• สวดมนต์ ภาวนา ก็ทำไปตามหน้าที่..ทำเอาบุญ ทำเอาความสงบของจิต ให้ยึดถือ ทาน ศิล ภาวนา
    สวดมนต์ ภาวนา ก็ทำไปตามหน้าที่..ทำเอาบุญ ทำเอาความสงบของจิต ให้ยึดถือ ทาน ศิล ภาวนา
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • วันนี้เรามาคุยถึงเครื่องประดับชนิดหนึ่งในสมัยราชวงศ์ชิงที่ดูจะไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง แต่เพื่อนเพจที่ได้ดูละครของยุคสมัยนั้นอย่างเช่น <หรูอี้ จอมนางเคียงบัลลังก์> หรือ <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> จะเห็นนางในมีสร้อยประคำผูกไว้ที่คอเสื้อ จริงๆ แล้วมันก็คือสร้อยประคำมือ เรียกว่า ‘สือปาจื่อ’ (十八子)

    ความมีอยู่ว่า
    ... โจวเซิงเฉินเดินออกมาพอดี เห็นสร้อยประคำมือหยก 18 เม็ดบนข้อมือของเธอ ในแววตาปรากฏความแปลกใจแวบหนึ่ง ในระหว่างเดินทางกลับ เขาค่อยเล่าให้ฟังถึงที่มาของสร้อยประคำนี้: “ยาว 28ซม. เม็ดประคำหยกสิบแปดเม็ด” เขาชี้นิ้วไล่ตามเชือกใต้เม็ดปะการังสีแดง “พลอยทัวร์มารีนสีชมพูแกะสลักเป็นดอกไม้ แล้วยังมีเม็ดปะการังและไข่มุก...เป็นของจากสมัยปลายราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิง”...
    - จาก <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    สร้อยประคำมือที่กล่าวถึงในบทความข้างต้นนั้นมีลูกประคำ 18 เม็ด ซึ่งมีความหมายทางศาสนาพุทธ บ้างก็ว่าหมายถึง 18 อรหันต์ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ Storyฯ ค้นพบจะบอกว่าหมายถึง 6 ผัสสะซึ่งก็คือ:
    1. จักขุสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางตา คือ ตา+รูป+จักขุวิญญาณ
    2. โสตสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางหู คือ หู+เสียง+โสตวิญญาณ
    3. ฆานสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางจมูก คือ จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ
    4. ชิวหาสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ
    5. กายสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางกาย คือ กาย+โผฏฐัพพะ (เช่น ร้อน เย็น อ่อน แข็ง) +กายวิญญาณ
    6. มโนสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางใจ คือ ใจ+ธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด) +มโนวิญญาณ

    สร้อยประคำมือนี้เดิมมีไว้ใช้ตอนสวดมนต์ ต่อมากลายเป็นเครื่องประดับในสมัยราชวงศ์ชิง การนำมาใช้เป็นเครื่องประดับนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่แน่ชัด รู้แต่ว่าในสมัยกลางของราชวงศ์ชิงยังไม่มีการกล่าวถึงนัก ต่อมาจึงเห็นจากภาพวาดในช่วงปลายราชวงศ์ชิงว่ามันได้กลายเป็นเครื่องประดับติดกายที่นิยมอย่างมากทั้งในหญิงและชาย (ดูรูปแรก)

    แรกเริ่มใช้กันในวัง แต่มันไม่ใช่เครื่องประดับอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงใช้ได้ทุกระดับยศและเลือกใช้วัสดุได้หลากหลาย แต่แน่นอนว่ายศยิ่งสูง วัสดุที่ใช้ก็ยิ่งเลอค่า ต่อมาความนิยมนี้แพร่หลายออกมานอกวัง แต่ยังอยู่เฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูงอย่างเช่นคนในตระกูลกองธงต่างๆ รูปแบบหรือองค์ประกอบของสร้อยก็มีการแปลงง่ายลงโดยคงไว้ซึ่งส่วนสำคัญของสร้อยประคำเท่านั้น ซึ่งก็คือส่วนที่เรียกว่าเศียรพระพุทธเจ้า เม็ดคั่น และเม็ดหลัก 18 เม็ด (ดูรูปสองบน)

    ตำแหน่งที่แขวนสร้อยประคำมือเป็นเครื่องประดับนั้น หากเป็นเสื้อสาบเฉียงให้ห้อยไว้ทางด้านขวา หากเป็นสาบตรงให้ห้อยไว้ที่กระดุมเม็ดที่สองข้างหน้า

    ใครตามละครเรื่องราวในวังยุคสมัยราชวงศ์ชิงอยู่ลองสังเกตดูนะคะ Storyฯ เห็นอยู่ในหลายเรื่องเลย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/491583437_515879
    https://kknews.cc/collect/jjzjqoe.html
    https://m.xing73.com/zt/yiL5Lmo5Q2a5Q_o5p_I6Q2a5rWY5B2Y5.html
    https://kknews.cc/culture/6er9xv.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/omn/20191012/20191012A0N7RC00.html
    https://www.sohu.com/a/249960097_105772
    https://kknews.cc/collect/q5k3bvb.html
    https://kknews.cc/collect/jjzjqoe.html
    https://www.baanjomyut.com/pratripidok/41.html

    #กระดูกงดงาม #สร้อยประคำมือ #สือปาจื่อ #ผัสสะ #เครื่องแต่งกายสตรีจีนโบราณ #ราชวงศ์ชิง
    วันนี้เรามาคุยถึงเครื่องประดับชนิดหนึ่งในสมัยราชวงศ์ชิงที่ดูจะไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง แต่เพื่อนเพจที่ได้ดูละครของยุคสมัยนั้นอย่างเช่น <หรูอี้ จอมนางเคียงบัลลังก์> หรือ <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> จะเห็นนางในมีสร้อยประคำผูกไว้ที่คอเสื้อ จริงๆ แล้วมันก็คือสร้อยประคำมือ เรียกว่า ‘สือปาจื่อ’ (十八子) ความมีอยู่ว่า ... โจวเซิงเฉินเดินออกมาพอดี เห็นสร้อยประคำมือหยก 18 เม็ดบนข้อมือของเธอ ในแววตาปรากฏความแปลกใจแวบหนึ่ง ในระหว่างเดินทางกลับ เขาค่อยเล่าให้ฟังถึงที่มาของสร้อยประคำนี้: “ยาว 28ซม. เม็ดประคำหยกสิบแปดเม็ด” เขาชี้นิ้วไล่ตามเชือกใต้เม็ดปะการังสีแดง “พลอยทัวร์มารีนสีชมพูแกะสลักเป็นดอกไม้ แล้วยังมีเม็ดปะการังและไข่มุก...เป็นของจากสมัยปลายราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิง”... - จาก <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) สร้อยประคำมือที่กล่าวถึงในบทความข้างต้นนั้นมีลูกประคำ 18 เม็ด ซึ่งมีความหมายทางศาสนาพุทธ บ้างก็ว่าหมายถึง 18 อรหันต์ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ Storyฯ ค้นพบจะบอกว่าหมายถึง 6 ผัสสะซึ่งก็คือ: 1. จักขุสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางตา คือ ตา+รูป+จักขุวิญญาณ 2. โสตสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางหู คือ หู+เสียง+โสตวิญญาณ 3. ฆานสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางจมูก คือ จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ 4. ชิวหาสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ 5. กายสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางกาย คือ กาย+โผฏฐัพพะ (เช่น ร้อน เย็น อ่อน แข็ง) +กายวิญญาณ 6. มโนสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางใจ คือ ใจ+ธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด) +มโนวิญญาณ สร้อยประคำมือนี้เดิมมีไว้ใช้ตอนสวดมนต์ ต่อมากลายเป็นเครื่องประดับในสมัยราชวงศ์ชิง การนำมาใช้เป็นเครื่องประดับนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่แน่ชัด รู้แต่ว่าในสมัยกลางของราชวงศ์ชิงยังไม่มีการกล่าวถึงนัก ต่อมาจึงเห็นจากภาพวาดในช่วงปลายราชวงศ์ชิงว่ามันได้กลายเป็นเครื่องประดับติดกายที่นิยมอย่างมากทั้งในหญิงและชาย (ดูรูปแรก) แรกเริ่มใช้กันในวัง แต่มันไม่ใช่เครื่องประดับอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงใช้ได้ทุกระดับยศและเลือกใช้วัสดุได้หลากหลาย แต่แน่นอนว่ายศยิ่งสูง วัสดุที่ใช้ก็ยิ่งเลอค่า ต่อมาความนิยมนี้แพร่หลายออกมานอกวัง แต่ยังอยู่เฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูงอย่างเช่นคนในตระกูลกองธงต่างๆ รูปแบบหรือองค์ประกอบของสร้อยก็มีการแปลงง่ายลงโดยคงไว้ซึ่งส่วนสำคัญของสร้อยประคำเท่านั้น ซึ่งก็คือส่วนที่เรียกว่าเศียรพระพุทธเจ้า เม็ดคั่น และเม็ดหลัก 18 เม็ด (ดูรูปสองบน) ตำแหน่งที่แขวนสร้อยประคำมือเป็นเครื่องประดับนั้น หากเป็นเสื้อสาบเฉียงให้ห้อยไว้ทางด้านขวา หากเป็นสาบตรงให้ห้อยไว้ที่กระดุมเม็ดที่สองข้างหน้า ใครตามละครเรื่องราวในวังยุคสมัยราชวงศ์ชิงอยู่ลองสังเกตดูนะคะ Storyฯ เห็นอยู่ในหลายเรื่องเลย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/491583437_515879 https://kknews.cc/collect/jjzjqoe.html https://m.xing73.com/zt/yiL5Lmo5Q2a5Q_o5p_I6Q2a5rWY5B2Y5.html https://kknews.cc/culture/6er9xv.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/omn/20191012/20191012A0N7RC00.html https://www.sohu.com/a/249960097_105772 https://kknews.cc/collect/q5k3bvb.html https://kknews.cc/collect/jjzjqoe.html https://www.baanjomyut.com/pratripidok/41.html #กระดูกงดงาม #สร้อยประคำมือ #สือปาจื่อ #ผัสสะ #เครื่องแต่งกายสตรีจีนโบราณ #ราชวงศ์ชิง
    2 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • คำพูดมีพลัง…เปลี่ยนทั้งชีวิตให้สว่างหรือมืดลงได้!

    > “แค่คำพูดที่หลุดปาก ก็เหมือนประกาศต่อจักรวาลว่า…ใจเราสว่างหรือมืด”
    เพราะวจีกรรม…ไม่เคยเป็นแค่เสียง
    แต่มันคือ “แรงกระเพื่อมของพลังงานจิต” ที่ย้อนกลับมาสร้างชีวิตใหม่ทุกวินาที

    ---

    คนที่พูดมืดๆ เป็นนิสัย กำลังสวดมนต์อัปมงคลใส่ชีวิตตัวเอง!

    คุณอาจไม่ทันสังเกต
    ว่าคำพูดบ่น โอดครวญ ตัดพ้อ ด่าว่า หรือแขวะใคร
    คือ มนต์ดำ ที่เสกให้ใจตัวเองซวยทุกวัน

    ยิ่งพูดมาก…จิตยิ่งตก
    ยิ่งพูดนาน…ออร่าทางความคิดยิ่งขุ่น
    พลังงานดีๆ ไล่หนีหมด
    คนฟังก็หมดแรง คนอยู่ใกล้ก็หน่ายใจ
    สุดท้ายคือ โลกทั้งใบ เริ่มผลักคุณออก

    ---

    ทางรอดเริ่มที่การเปลี่ยนวิธีคิด

    คุณแกล้ง “พูดบวก” ได้ไม่นาน
    ถ้าใจยัง “คิดลบ” อยู่ลึกๆ

    แต่ถ้าเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดจริงจัง
    จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์คือ
    คิดเป็น จิตเปลี่ยน พูดเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน…ชีวิตเปลี่ยน!

    ฝึกคิดบวกแบบธรรมะ ไม่ใช่โลกสวยหลอกตัวเอง
    แต่คือการตั้งใจ “มองให้เห็นคุณค่าแม้ในโชคร้าย” เช่น...

    ล้มเหลว = โอกาสฝึกความเข้มแข็ง

    เจอคนใส่ร้าย = โอกาสฝึกอดทน พิสูจน์ด้วยกาลเวลา

    เจอคนไม่จริงใจ = ฝึกวางใจแบบรู้เท่าทัน

    เลิกคบ = ปล่อยคืนสิ่งที่ไม่ใช่ของเราให้ธรรมชาติ

    ---

    พูดดีได้…เมื่อใจเริ่มหายฟุ้งซ่าน

    คนที่พูดแล้วเย็นใจ คือคนที่เริ่มคิดอย่างมีสติ
    ไม่ปล่อยให้ความฟุ้งซ่านสั่งชีวิต
    เพราะรู้ว่าแค่ “คิดเยอะจนเหนื่อย”
    ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น
    แต่ทำให้พลังชีวิตรั่วไหลไปเฉยๆ

    จิตที่สงบ = พลังคำพูดที่ปลอบใจคนได้
    จิตที่ฟุ้ง = คำพูดที่เผาใจตัวเองและคนอื่น

    ---

    อยากโชคดี...ไม่ต้องรอวาสนา แค่พูดให้ถูกทาง!

    ถ้าฝึกจนพูดดีได้เป็นธรรมชาติ
    คุณจะรู้สึกเหมือนมีบอดี้การ์ดพลังบุญ
    คุ้มกันให้ไม่ตกเหวง่ายๆ
    แม้วิบากร้ายจะมาเคาะประตูทุกวัน

    > จำไว้ว่าคำพูดของคุณ
    ไม่ได้แค่ส่งเสียงออกไป
    แต่มันกำลัง “จัดชะตา” ให้คุณอยู่ทุกลมหายใจ

    ---

    เลือกพูดแบบมีสติ = เลือกชีวิตที่มีแสง!
    อย่าเผลอพูดมืดๆ แล้วเรียกความมืดมาครองโลกในใจอีกเลยครับ.
    คำพูดมีพลัง…เปลี่ยนทั้งชีวิตให้สว่างหรือมืดลงได้! > “แค่คำพูดที่หลุดปาก ก็เหมือนประกาศต่อจักรวาลว่า…ใจเราสว่างหรือมืด” เพราะวจีกรรม…ไม่เคยเป็นแค่เสียง แต่มันคือ “แรงกระเพื่อมของพลังงานจิต” ที่ย้อนกลับมาสร้างชีวิตใหม่ทุกวินาที --- คนที่พูดมืดๆ เป็นนิสัย กำลังสวดมนต์อัปมงคลใส่ชีวิตตัวเอง! คุณอาจไม่ทันสังเกต ว่าคำพูดบ่น โอดครวญ ตัดพ้อ ด่าว่า หรือแขวะใคร คือ มนต์ดำ ที่เสกให้ใจตัวเองซวยทุกวัน ยิ่งพูดมาก…จิตยิ่งตก ยิ่งพูดนาน…ออร่าทางความคิดยิ่งขุ่น พลังงานดีๆ ไล่หนีหมด คนฟังก็หมดแรง คนอยู่ใกล้ก็หน่ายใจ สุดท้ายคือ โลกทั้งใบ เริ่มผลักคุณออก --- ทางรอดเริ่มที่การเปลี่ยนวิธีคิด คุณแกล้ง “พูดบวก” ได้ไม่นาน ถ้าใจยัง “คิดลบ” อยู่ลึกๆ แต่ถ้าเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดจริงจัง จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์คือ คิดเป็น จิตเปลี่ยน พูดเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน…ชีวิตเปลี่ยน! ฝึกคิดบวกแบบธรรมะ ไม่ใช่โลกสวยหลอกตัวเอง แต่คือการตั้งใจ “มองให้เห็นคุณค่าแม้ในโชคร้าย” เช่น... ล้มเหลว = โอกาสฝึกความเข้มแข็ง เจอคนใส่ร้าย = โอกาสฝึกอดทน พิสูจน์ด้วยกาลเวลา เจอคนไม่จริงใจ = ฝึกวางใจแบบรู้เท่าทัน เลิกคบ = ปล่อยคืนสิ่งที่ไม่ใช่ของเราให้ธรรมชาติ --- พูดดีได้…เมื่อใจเริ่มหายฟุ้งซ่าน คนที่พูดแล้วเย็นใจ คือคนที่เริ่มคิดอย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้ความฟุ้งซ่านสั่งชีวิต เพราะรู้ว่าแค่ “คิดเยอะจนเหนื่อย” ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ทำให้พลังชีวิตรั่วไหลไปเฉยๆ จิตที่สงบ = พลังคำพูดที่ปลอบใจคนได้ จิตที่ฟุ้ง = คำพูดที่เผาใจตัวเองและคนอื่น --- อยากโชคดี...ไม่ต้องรอวาสนา แค่พูดให้ถูกทาง! ถ้าฝึกจนพูดดีได้เป็นธรรมชาติ คุณจะรู้สึกเหมือนมีบอดี้การ์ดพลังบุญ คุ้มกันให้ไม่ตกเหวง่ายๆ แม้วิบากร้ายจะมาเคาะประตูทุกวัน > จำไว้ว่าคำพูดของคุณ ไม่ได้แค่ส่งเสียงออกไป แต่มันกำลัง “จัดชะตา” ให้คุณอยู่ทุกลมหายใจ --- เลือกพูดแบบมีสติ = เลือกชีวิตที่มีแสง! อย่าเผลอพูดมืดๆ แล้วเรียกความมืดมาครองโลกในใจอีกเลยครับ.
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • วิริยะคือความเพียร วิริยะอุตสาหะ คือความเพียรพยายาม.. ในตัวเราต่างมีความเพียร เอาใช้ในการทำความดี สวดมนต์ ภาวนา รักษาศิล ปฏิบัติทำไปทุก 365 วัน คูณ 50 ปี ก็เป็น 18,250 วัน หาก 100 ปีละ 36,500 วัน เพียรพยามทำ พราหมณ์แค่มาบอกเล่าบอกกล่าว ชวนทำดี พราหมณ์แก่ก็ปรารถนาทำบุญกับพระพุทธเจ้า
    วิริยะคือความเพียร วิริยะอุตสาหะ คือความเพียรพยายาม.. ในตัวเราต่างมีความเพียร เอาใช้ในการทำความดี สวดมนต์ ภาวนา รักษาศิล ปฏิบัติทำไปทุก 365 วัน คูณ 50 ปี ก็เป็น 18,250 วัน หาก 100 ปีละ 36,500 วัน เพียรพยามทำ พราหมณ์แค่มาบอกเล่าบอกกล่าว ชวนทำดี พราหมณ์แก่ก็ปรารถนาทำบุญกับพระพุทธเจ้า
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • วันพระ /วันอัฏฐมีบูชา..เราก็พากันรักษาศิลรักษาธรรม สวดมนต์ไหว้พระ ภาวนากัน อย่าไปตื่นกับกระแสกิเลส ผู้คนที่อ้างตน...
    วันพระ /วันอัฏฐมีบูชา..เราก็พากันรักษาศิลรักษาธรรม สวดมนต์ไหว้พระ ภาวนากัน อย่าไปตื่นกับกระแสกิเลส ผู้คนที่อ้างตน...
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • “สวดมนต์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ…ถ้าสวดด้วยใจถวาย ไม่ใช่ด้วยใจขอ”

    มีคนมากมายเคยสวดมนต์
    แต่จำนวนน้อยเท่านั้น…ที่รู้จัก
    “สวดแล้วจิตเป็นบุญจริงๆ”

    ส่วนใหญ่สวดไปตามหนังสือ
    บางทีก็สวดเพราะถูกบอกให้สวด
    บางทีก็สวดเพราะอยากขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    แต่สุดท้าย…ก็รู้สึกว่า

    > “ทำไมมันน่าเบื่อ?”
    “ทำไมจิตไม่สงบ?”
    “ทำไมไม่รู้สึกถึงอะไรเลย?”

    ---

    คำตอบคือ เพราะเราสวดด้วยความคาดหวัง ไม่ใช่ด้วยความถวายใจ

    ถ้าคุณเคยสวดมนต์ด้วยใจที่อยาก “ขอ”
    ก็เท่ากับว่าคุณเอาความทุกข์ไปใส่มือพระ
    แต่ไม่ได้ใส่ “ความสุข” ลงในถ้อยคำที่เปล่งออกไป

    แท้จริงแล้ว

    > การสวดมนต์ที่ดีที่สุด
    ไม่ใช่การเปล่งเสียงด้วยความหวัง
    แต่คือการถวายเสียงด้วยความรัก

    ---

    เสียงสวดของคุณ…คือดอกไม้ในใจที่วางไว้เบื้องหน้าองค์พระ

    ไม่ต้องขอพร ไม่ต้องภาวนาให้ได้อะไร
    แค่คิดว่า

    > “ขอถวายเสียงนี้เพื่อบูชาท่าน
    ด้วยจิตที่แค่อยากสรรเสริญความดีงามของพระองค์”

    แค่นั้นเอง…จิตจะเบา
    จิตจะเป็นอิสระ
    และคุณจะเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนว่า

    > “นี่แหละ…คือความสุขที่เกิดจากจิตเป็นมหากุศล”

    ---

    ในทางวิทยาศาสตร์…ก็ไม่ต่างกัน

    การสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ
    โดยเฉพาะแบบที่มีเสียงเปล่งจากใจจริง
    จะทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด
    ลดการทำงานลงภายในไม่กี่นาที
    ร่างกายจะเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย
    จิตใจจะสงบเหมือนได้รับการปลอบโยน
    จากถ้อยคำที่ตนเองเป็นผู้เปล่งออก

    ---

    ถ้าฟุ้งซ่าน…ไม่ต้องด่าใจตัวเอง

    ฟุ้งแค่ไหน ก็แค่รู้
    รู้แล้ว…ก็แค่กลับมาตั้งใจสวดอีกครั้ง
    รอบแรกฟุ้งเยอะ รอบสองฟุ้งน้อย
    รอบสามเริ่มนิ่งขึ้น
    สวดไปเรื่อยๆ เหมือนเดินใจเข้าวัดทีละก้าว

    ---

    บทสรุปของการสวดมนต์แบบพุทธแท้

    > สวดมนต์ให้ได้ผล ไม่ใช่สวดด้วยความหวัง
    แต่คือสวดด้วยความสุข…ในจิตที่อยากถวาย

    เมื่อจิตถวายความสว่างด้วยเสียง
    จิตก็ได้รับความสว่างเป็นของตอบแทน

    ---
    “สวดมนต์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ…ถ้าสวดด้วยใจถวาย ไม่ใช่ด้วยใจขอ” มีคนมากมายเคยสวดมนต์ แต่จำนวนน้อยเท่านั้น…ที่รู้จัก “สวดแล้วจิตเป็นบุญจริงๆ” ส่วนใหญ่สวดไปตามหนังสือ บางทีก็สวดเพราะถูกบอกให้สวด บางทีก็สวดเพราะอยากขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่สุดท้าย…ก็รู้สึกว่า > “ทำไมมันน่าเบื่อ?” “ทำไมจิตไม่สงบ?” “ทำไมไม่รู้สึกถึงอะไรเลย?” --- คำตอบคือ เพราะเราสวดด้วยความคาดหวัง ไม่ใช่ด้วยความถวายใจ ถ้าคุณเคยสวดมนต์ด้วยใจที่อยาก “ขอ” ก็เท่ากับว่าคุณเอาความทุกข์ไปใส่มือพระ แต่ไม่ได้ใส่ “ความสุข” ลงในถ้อยคำที่เปล่งออกไป แท้จริงแล้ว > การสวดมนต์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่การเปล่งเสียงด้วยความหวัง แต่คือการถวายเสียงด้วยความรัก --- เสียงสวดของคุณ…คือดอกไม้ในใจที่วางไว้เบื้องหน้าองค์พระ ไม่ต้องขอพร ไม่ต้องภาวนาให้ได้อะไร แค่คิดว่า > “ขอถวายเสียงนี้เพื่อบูชาท่าน ด้วยจิตที่แค่อยากสรรเสริญความดีงามของพระองค์” แค่นั้นเอง…จิตจะเบา จิตจะเป็นอิสระ และคุณจะเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนว่า > “นี่แหละ…คือความสุขที่เกิดจากจิตเป็นมหากุศล” --- ในทางวิทยาศาสตร์…ก็ไม่ต่างกัน การสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะแบบที่มีเสียงเปล่งจากใจจริง จะทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ลดการทำงานลงภายในไม่กี่นาที ร่างกายจะเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย จิตใจจะสงบเหมือนได้รับการปลอบโยน จากถ้อยคำที่ตนเองเป็นผู้เปล่งออก --- ถ้าฟุ้งซ่าน…ไม่ต้องด่าใจตัวเอง ฟุ้งแค่ไหน ก็แค่รู้ รู้แล้ว…ก็แค่กลับมาตั้งใจสวดอีกครั้ง รอบแรกฟุ้งเยอะ รอบสองฟุ้งน้อย รอบสามเริ่มนิ่งขึ้น สวดไปเรื่อยๆ เหมือนเดินใจเข้าวัดทีละก้าว --- บทสรุปของการสวดมนต์แบบพุทธแท้ > สวดมนต์ให้ได้ผล ไม่ใช่สวดด้วยความหวัง แต่คือสวดด้วยความสุข…ในจิตที่อยากถวาย เมื่อจิตถวายความสว่างด้วยเสียง จิตก็ได้รับความสว่างเป็นของตอบแทน ---
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • บุญ..สวดมนต์ท่านเป็นบุญ ภาวนาท่านก็ว่าเป็นบุญ ใส่บาตรท่านก็ว่าเป็น กฐิน ผ้าป่าท่านก็ว่าเป็นบุญ ไปบวชพระท่านว่าเป็นบุญ สงเคราะห์คนท่านว่าเป็นบุญ..บุญ
    บุญ..สวดมนต์ท่านเป็นบุญ ภาวนาท่านก็ว่าเป็นบุญ ใส่บาตรท่านก็ว่าเป็น กฐิน ผ้าป่าท่านก็ว่าเป็นบุญ ไปบวชพระท่านว่าเป็นบุญ สงเคราะห์คนท่านว่าเป็นบุญ..บุญ
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • 2524
    นิทานตรง
    ช่วงวัยฉะกัน เริ่มพบว่าโลกสวยแต่น่ากลัวยิ่งแสนโหดร้าย

    เริ่มสวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิผ่านร้อนหนาวตามลำพังไร้อาจารย์ บทสวดได้จากหนังสือ

    คืน1ฝันเห็นหันหลังให้ ก้อเดินอ้อมมาด้านหน้าพบเห็นใบหน้าชัดเจนแต่ไม่เข้าใจใดๆ วันเวลาผ่านไปฝันเห็นคล้ายเดิม

    ตรองไปมาใบหน้าแบบนี้คล้ายองค์พรหม

    ค่ำวัน1ตั้งใจตั้งจิตจักวิ่งไปกราบพระพรหมที่เอราวัณราชประสงค์ ได้เวลาใกล้รุ่งก้อเริ่มิกเดินวิ่งจากบ้าน

    ครั้นไปถึงยังมืดไม่สว่างคนไม่มีจึงเดินเข้าไปกราบท่านเบื้องหน้า ครั้นเงยหน้ามองท่านตกใจด้วยท่านยิ้ม

    จากนั้นพบเหตุสปช.หลากหลาย

    ท้ายสุดท่านเตือนจนต้องอายท่าน

    ละอายใจสุดๆ

    น้อมกราบองค์พ่อท้าวมหาพรหม

    นิพพานปัจจโยโหตุ
    2524 นิทานตรง ช่วงวัยฉะกัน เริ่มพบว่าโลกสวยแต่น่ากลัวยิ่งแสนโหดร้าย เริ่มสวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิผ่านร้อนหนาวตามลำพังไร้อาจารย์ บทสวดได้จากหนังสือ คืน1ฝันเห็นหันหลังให้ ก้อเดินอ้อมมาด้านหน้าพบเห็นใบหน้าชัดเจนแต่ไม่เข้าใจใดๆ วันเวลาผ่านไปฝันเห็นคล้ายเดิม ตรองไปมาใบหน้าแบบนี้คล้ายองค์พรหม ค่ำวัน1ตั้งใจตั้งจิตจักวิ่งไปกราบพระพรหมที่เอราวัณราชประสงค์ ได้เวลาใกล้รุ่งก้อเริ่มิกเดินวิ่งจากบ้าน ครั้นไปถึงยังมืดไม่สว่างคนไม่มีจึงเดินเข้าไปกราบท่านเบื้องหน้า ครั้นเงยหน้ามองท่านตกใจด้วยท่านยิ้ม จากนั้นพบเหตุสปช.หลากหลาย ท้ายสุดท่านเตือนจนต้องอายท่าน ละอายใจสุดๆ น้อมกราบองค์พ่อท้าวมหาพรหม นิพพานปัจจโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เนื่องในวันวิสาขบูชา

    วันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ที่ วัดสุทธจินดา วรวิหาร #นายวีระชาติ ทุ่งไผ่แหลม รองนายก อบจ.นครราชสีมา ร่วมกิจกรรมทำวัตรสวดมนต์ ฟังพระธรรมเทศนา และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เนื่องในวันวิสาขบูชา เพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา

    #นายกหน่อย #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เนื่องในวันวิสาขบูชา วันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ที่ วัดสุทธจินดา วรวิหาร #นายวีระชาติ ทุ่งไผ่แหลม รองนายก อบจ.นครราชสีมา ร่วมกิจกรรมทำวัตรสวดมนต์ ฟังพระธรรมเทศนา และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เนื่องในวันวิสาขบูชา เพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา #นายกหน่อย #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • เพียรๆ ในการทำบุญกุศล เพียรสวดมนต์ เพียรภาวนา เพียรในการรักษาศิล ให้มากๆ
    เพียรๆ ในการทำบุญกุศล เพียรสวดมนต์ เพียรภาวนา เพียรในการรักษาศิล ให้มากๆ
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • ก่อนนอนก็สร้างบุญไว้ บุญนั้นก็แสนง่ายดาย สวดมนต์ และภาวนา .
    สาธุๆ ใครทำใครได้
    ก่อนนอนก็สร้างบุญไว้ บุญนั้นก็แสนง่ายดาย สวดมนต์ และภาวนา . สาธุๆ ใครทำใครได้
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • ร้อนมาก..รอฝนก็เงียบ มานึกองค์พระพุทธเจ้า เสด็จไปยังเมืองต่างๆ ในอินเดีย ร้อนจัด หนทางก็ลำบาก องค์ท่านก็เสด็จไปสอนผู้คนให้พ้นทุกข์
    เราเองก็อดทน เพียรในการไหว้สวดมนต์ ภาวนา ตายจากโลกนี้ไปแบกเอาบุญกุศล ธรรมะของพระพุทธเจ้า
    ร้อนมาก..รอฝนก็เงียบ มานึกองค์พระพุทธเจ้า เสด็จไปยังเมืองต่างๆ ในอินเดีย ร้อนจัด หนทางก็ลำบาก องค์ท่านก็เสด็จไปสอนผู้คนให้พ้นทุกข์ เราเองก็อดทน เพียรในการไหว้สวดมนต์ ภาวนา ตายจากโลกนี้ไปแบกเอาบุญกุศล ธรรมะของพระพุทธเจ้า
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • หลวงปู่คล้าย วัดบางนมโค

    ในสมัยก่อนที่หลวงพ่อปานจะบวช ท่านพบพระองค์หนึ่งซึ่งมีปฏิปทาการปฏิบัติดีเป็นพิเศษ พระองค์นี้เดิมทีท่านอยู่จังหวัดธนบุรี ต่อมาท่านได้ออกธุดงค์ที่อยุธยามาถึงก็ปักกลดอยู่ที่วัดบางนมโค

    สมัยนั้นวัดบางนมโคยังเป็นวัดร้างอยู่ ยังไม่มีสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุอะไร พอท่านมาอยู่ท่านก็เริ่มสร้างกุฏิไว้ 2-3 หลังก่อน แล้วถึงมาสร้างโบสถ์ โดยสร้างทับที่เดิม ก็เป็นอันว่าท่านเป็นผู้เริ่มก่อสร้างวัดบางนมโคเป็นองค์แรก

    พระองค์นี้คือ "หลวงปู่คล้าย" หลวงปู่คล้ายองค์นี้เป็นพระที่มีปาฏิหาริย์มาก มีความสามารถในทางไสยศาสตร์และสมาธิ หมายความว่าท่านจะทำสิ่งของต่าง ๆ ให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าจะกล่าวกันไปตามหลักวิชาการในสมัยนี้ ในทางพุทธศาสนาที่เรารู้กันก็หมายความว่าท่านเป็นผู้ทรงอภิญญานั่นเอง

    และเรื่องราวของหลวงปู่คล้ายหลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่หลวงพ่อปานเข้ามาอยู่เป็นนาคจะบวชพระนั้น วันหนึ่งเขาลองยิงพระกัน (พระเครื่อง) พระองค์ไหนก็ยิงออกหมด หลวงปู่คล้ายเดินไปถึงที่ที่เขากำลังลองพระกัน ท่านก็เปลื้องจีวรออกแล้วก็เอาจีวรวางไว้

    ท่านบอกว่า "ไหนลองยิงจีวรของฉันดูซิ" พวกนั้นใช้ปืนทุกอย่างยิงจีวรของท่านไม่ติด ท่านก็บอกว่า "ทุด ! ไอ้ปืนของพวกมึงนี่มันไม่ดี ยิงพระออก แต่ยิงจีวรของกูไม่ออก ปืนของมึงเสีย" นั่นครั้งหนึ่ง

    อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อปานบอกว่า ขณะที่ท่านกำลังท่องหนังสืออยู่ในป่าช้า ท่องหนังสือขานนาคหรือสวดมนต์ หลวงปู่คล้ายท่านเดินเข้าไปหาท่านถามว่า

    "ปานทำอะไรวะ?"
    "ผมกำลังท่องหนังสือครับ"
    "ปาน แกบวชแล้วแกจะสึกไหม?"
    "ผมบวชแล้วผมไม่อยากสึกครับ"
    "ฮือ...ดี บุคคลที่เขาไม่สึกเขาต้องทำอย่างนี้นะปาน" แล้วท่านก็วางจีวรไว้ท่านถามว่า
    "ปาน...อยากดูช้างไหม?"
    "อยากดูครับ"
    "แกดูจีวรนี่นะ เดี๋ยวมันจะเป็นช้าง"

    ▪️จีวรกลายเป็นช้าง▪️

    พอมองไปประเดี๋ยวเดียวจีวรค่อย ๆ กลายเป็นช้างทีละนิด ๆ ทีแรกมันจะเกิดเป็นงวงมาก่อน สุดงวงแล้วจะเห็นงา เห็นงาแล้วจะเห็นหัว ตัวช้างขาช้าง หางช้าง แล้วช้างมันเดินไปได้ตามความประสงค์

    ท่านก็บอกว่า "ปานอยากขี่ช้างไหม?"
    "อยากขี่ครับ"
    "เอ้า ! เทาลงมาหน่อยให้เขาขี่" หัวช้างก็เทาลงมา แล้วก็ขี่เล่นภายในป่าช้าวนไปวนมาสัก 5 นาทีก็บอกให้ลงจากคอช้าง

    เมื่อลงจากคอช้างแล้วท่านก็พูดว่า
    "ช้าง เอ็งกลับเป็นจีวรตามเดิมซิ ข้าจะกลับไปกุฏิ เดี๋ยวข้าไปไม่มีจีวรห่ม" เท่านั้นเองก็ปรากฏว่าช้างกลายเป็นจีวรตามเดิม

    หลวงพ่อปานท่านเลยถามว่า
    "พระที่ทำอย่างนี้ได้น่ะ ทำได้ทุกองค์ไหมครับ?"
    " ทำไม่ได้ทุกองค์หรอก พระที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเจริญกรรมฐาน"
    "กรรมฐานเป็นอย่างไรครับ?"
    "เอาเถอะ เวลานี้ท่องหนังสือไปก่อน เมื่อเธอบวชแล้วถ้าเธอมีความประสงค์จะทำได้อย่างนี้ ฉันจะสอนให้"

    ท่านบอกว่าเป็นเหตุจับใจที่สุดในการเข้ามาสู่เขตพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อน ท่านบอกว่ามีความเลื่อมใสมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพระจะทำอะไรต่ออะไรได้ทุกอย่าง และท่านก็ถามหลวงปู่คล้ายว่า

    "หลวงพ่อทำได้แต่เพียงเท่านี้หรือครับ?"
    "ทำได้ทุกอย่าง เอาอย่างนี้ไหมล่ะ แกอยากดูไหมว่าฉันสูงแค่ไหน? คอยดูนะ ให้ดูหลังคาศาลาปรก"

    ▪️เมื่อมีสมาธิก็ทำได้ทุกอย่าง▪️

    แล้วท่านก็มายืนอยู่ข้างนอก "หัวฉันจะแค่หลังคาศาลาปรก" มองไปประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่าท่านสูงแค่หลังคาศาลาปรก "ฉันจะทำให้สูงกว่ายอดไม้" ประเดี๋ยวเดียวตัวของท่านก็สูงกว่ายอดไม้

    ครู่หนึ่งท่านก็ทำตัวย่อลงมา แล้วก็บอกว่าจะทำตัวให้เล็กนิดเดียว ตัวของท่านก็เล็กนิดเดียวจริง ๆ ปรากฏว่าท่านสูงไม่ถึงคืบ ท่านบอกว่าทำให้เล็กกว่านี้ก็ได้ และในที่สุดท่านก็คลายสมาธิ กลับมาอยู่ในสภาพเดิม

    หลวงพ่อปานถามว่า
    "วิชาอย่างนี้เรียนได้จากไหน หลวงพ่อจะสอนผมได้ไหมครับ?"
    "เมื่อเธอทำสมาธิได้ เธอทำอย่างนี้ได้ แล้วก็ไม่ใช่จะได้เพียงเท่านี้นะ ทำได้ทุกอย่าง จะเหาะเหินเดินอากาศก็ได้ จะดำดิน เดินน้ำทำได้ทุกอย่าง เขาเรียกว่าสมาบัติ"

    ท่านก็จำคำว่า "สมาบัติ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แล้วก็สนใจในการประพฤติปฏิบัติ แล้วก็พยายามท่องหนังสือหนังหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ท่านต้องเป็นนาคอยู่ 3 เดือน ต่อมาเมื่อเวลาบวชหลวงปู่คล้ายบอกว่า

    "ถ้าจะบวชก็ไปบอกพ่อแกให้ไปนิมนต์หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล เป็นพระคู่สวดอีกองค์หนึ่งนอกจากฉัน แล้วก็ไปนิมนต์หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอเป็นพระอุปัชฌาย์ เพราะทั้งสององค์นั้นเก่งกว่าฉัน

    (ตอนหน้า...หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ)

    พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2525),23,111-116
    หลวงปู่คล้าย วัดบางนมโค ในสมัยก่อนที่หลวงพ่อปานจะบวช ท่านพบพระองค์หนึ่งซึ่งมีปฏิปทาการปฏิบัติดีเป็นพิเศษ พระองค์นี้เดิมทีท่านอยู่จังหวัดธนบุรี ต่อมาท่านได้ออกธุดงค์ที่อยุธยามาถึงก็ปักกลดอยู่ที่วัดบางนมโค สมัยนั้นวัดบางนมโคยังเป็นวัดร้างอยู่ ยังไม่มีสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุอะไร พอท่านมาอยู่ท่านก็เริ่มสร้างกุฏิไว้ 2-3 หลังก่อน แล้วถึงมาสร้างโบสถ์ โดยสร้างทับที่เดิม ก็เป็นอันว่าท่านเป็นผู้เริ่มก่อสร้างวัดบางนมโคเป็นองค์แรก พระองค์นี้คือ "หลวงปู่คล้าย" หลวงปู่คล้ายองค์นี้เป็นพระที่มีปาฏิหาริย์มาก มีความสามารถในทางไสยศาสตร์และสมาธิ หมายความว่าท่านจะทำสิ่งของต่าง ๆ ให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าจะกล่าวกันไปตามหลักวิชาการในสมัยนี้ ในทางพุทธศาสนาที่เรารู้กันก็หมายความว่าท่านเป็นผู้ทรงอภิญญานั่นเอง และเรื่องราวของหลวงปู่คล้ายหลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่หลวงพ่อปานเข้ามาอยู่เป็นนาคจะบวชพระนั้น วันหนึ่งเขาลองยิงพระกัน (พระเครื่อง) พระองค์ไหนก็ยิงออกหมด หลวงปู่คล้ายเดินไปถึงที่ที่เขากำลังลองพระกัน ท่านก็เปลื้องจีวรออกแล้วก็เอาจีวรวางไว้ ท่านบอกว่า "ไหนลองยิงจีวรของฉันดูซิ" พวกนั้นใช้ปืนทุกอย่างยิงจีวรของท่านไม่ติด ท่านก็บอกว่า "ทุด ! ไอ้ปืนของพวกมึงนี่มันไม่ดี ยิงพระออก แต่ยิงจีวรของกูไม่ออก ปืนของมึงเสีย" นั่นครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อปานบอกว่า ขณะที่ท่านกำลังท่องหนังสืออยู่ในป่าช้า ท่องหนังสือขานนาคหรือสวดมนต์ หลวงปู่คล้ายท่านเดินเข้าไปหาท่านถามว่า "ปานทำอะไรวะ?" "ผมกำลังท่องหนังสือครับ" "ปาน แกบวชแล้วแกจะสึกไหม?" "ผมบวชแล้วผมไม่อยากสึกครับ" "ฮือ...ดี บุคคลที่เขาไม่สึกเขาต้องทำอย่างนี้นะปาน" แล้วท่านก็วางจีวรไว้ท่านถามว่า "ปาน...อยากดูช้างไหม?" "อยากดูครับ" "แกดูจีวรนี่นะ เดี๋ยวมันจะเป็นช้าง" ▪️จีวรกลายเป็นช้าง▪️ พอมองไปประเดี๋ยวเดียวจีวรค่อย ๆ กลายเป็นช้างทีละนิด ๆ ทีแรกมันจะเกิดเป็นงวงมาก่อน สุดงวงแล้วจะเห็นงา เห็นงาแล้วจะเห็นหัว ตัวช้างขาช้าง หางช้าง แล้วช้างมันเดินไปได้ตามความประสงค์ ท่านก็บอกว่า "ปานอยากขี่ช้างไหม?" "อยากขี่ครับ" "เอ้า ! เทาลงมาหน่อยให้เขาขี่" หัวช้างก็เทาลงมา แล้วก็ขี่เล่นภายในป่าช้าวนไปวนมาสัก 5 นาทีก็บอกให้ลงจากคอช้าง เมื่อลงจากคอช้างแล้วท่านก็พูดว่า "ช้าง เอ็งกลับเป็นจีวรตามเดิมซิ ข้าจะกลับไปกุฏิ เดี๋ยวข้าไปไม่มีจีวรห่ม" เท่านั้นเองก็ปรากฏว่าช้างกลายเป็นจีวรตามเดิม หลวงพ่อปานท่านเลยถามว่า "พระที่ทำอย่างนี้ได้น่ะ ทำได้ทุกองค์ไหมครับ?" " ทำไม่ได้ทุกองค์หรอก พระที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเจริญกรรมฐาน" "กรรมฐานเป็นอย่างไรครับ?" "เอาเถอะ เวลานี้ท่องหนังสือไปก่อน เมื่อเธอบวชแล้วถ้าเธอมีความประสงค์จะทำได้อย่างนี้ ฉันจะสอนให้" ท่านบอกว่าเป็นเหตุจับใจที่สุดในการเข้ามาสู่เขตพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อน ท่านบอกว่ามีความเลื่อมใสมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพระจะทำอะไรต่ออะไรได้ทุกอย่าง และท่านก็ถามหลวงปู่คล้ายว่า "หลวงพ่อทำได้แต่เพียงเท่านี้หรือครับ?" "ทำได้ทุกอย่าง เอาอย่างนี้ไหมล่ะ แกอยากดูไหมว่าฉันสูงแค่ไหน? คอยดูนะ ให้ดูหลังคาศาลาปรก" ▪️เมื่อมีสมาธิก็ทำได้ทุกอย่าง▪️ แล้วท่านก็มายืนอยู่ข้างนอก "หัวฉันจะแค่หลังคาศาลาปรก" มองไปประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่าท่านสูงแค่หลังคาศาลาปรก "ฉันจะทำให้สูงกว่ายอดไม้" ประเดี๋ยวเดียวตัวของท่านก็สูงกว่ายอดไม้ ครู่หนึ่งท่านก็ทำตัวย่อลงมา แล้วก็บอกว่าจะทำตัวให้เล็กนิดเดียว ตัวของท่านก็เล็กนิดเดียวจริง ๆ ปรากฏว่าท่านสูงไม่ถึงคืบ ท่านบอกว่าทำให้เล็กกว่านี้ก็ได้ และในที่สุดท่านก็คลายสมาธิ กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หลวงพ่อปานถามว่า "วิชาอย่างนี้เรียนได้จากไหน หลวงพ่อจะสอนผมได้ไหมครับ?" "เมื่อเธอทำสมาธิได้ เธอทำอย่างนี้ได้ แล้วก็ไม่ใช่จะได้เพียงเท่านี้นะ ทำได้ทุกอย่าง จะเหาะเหินเดินอากาศก็ได้ จะดำดิน เดินน้ำทำได้ทุกอย่าง เขาเรียกว่าสมาบัติ" ท่านก็จำคำว่า "สมาบัติ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แล้วก็สนใจในการประพฤติปฏิบัติ แล้วก็พยายามท่องหนังสือหนังหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ท่านต้องเป็นนาคอยู่ 3 เดือน ต่อมาเมื่อเวลาบวชหลวงปู่คล้ายบอกว่า "ถ้าจะบวชก็ไปบอกพ่อแกให้ไปนิมนต์หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล เป็นพระคู่สวดอีกองค์หนึ่งนอกจากฉัน แล้วก็ไปนิมนต์หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอเป็นพระอุปัชฌาย์ เพราะทั้งสององค์นั้นเก่งกว่าฉัน (ตอนหน้า...หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ) พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2525),23,111-116
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • วิธีรับมือคน 8 จำพวกของมรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชท่านแก้ปัญหาด้วยคาถาพาหุงไม่ใช่แค่นั่งสวดมนต์ แต่คือการเอาคำสอนในบทสวดมาปฏิบัติท่านกล่าวว่า คาถานี้แสดงให้เห็นมาตรการที่พระพุทธเจ้าใช้จัดการกับศัตรูหมู่ร้ายที่มีมาใน 8 รูปแบบ กล่าวคือ 1. เอาชนะคนโลภ (ในบทสวดแทนด้วยพญามาร) ด้วยการให้ทาน 2. เอาชนะคนอวดเบ่ง (ในบทสวดแทนด้วยอาฬวกยักษ์) ด้วยการไม่ให้ความสำคัญ (ในคาถาพาหุงคือ ขันติ) 3. เอาชนะคนคลุ้มคลั่ง (ในบทสวดคือช้างนาฬาคีรีที่ตกมัน) ด้วยเมตตา (อาจารย์คึกฤทธิ์แปลว่า ไม่ถือสา เหมือนครั้งที่ท่านอภัยให้กลุ่มตำรวจขี้เมาที่มาพังบ้านท่าน) 4. เอาชนะคนที่มีโมหะหรือหลงผิด (ในบทสวดคือองคุลิมาล) ด้วยการแสดงความเหนือกว่า สูงส่งกว่า 5. เอาชนะคนขี้โกง ขี้โกหก (ในบทสวดคือนางจิญจมาณวิกาผู้ไปโพนทะนาว่าท้องกับพระพุทธเจ้า) ด้วยความสงบเยือกเย็น 6. เอาชนะผู้ใส่ร้ายและเข้าใจผิดๆ (ในบทสวดคือ พวกสัจจกนิครนถ์ที่ไม่นับถือพระพุทธเจ้า) ด้วยการให้ปัญญา 7. เอาชนะผู้มีฤทธิ์ (ในบทสวดคือพญานาคชื่อนันโทปนันทะ) ด้วยการใช้ ”ผู้ช่วย” คือ พระโมคคัลลานะ 8. เอาชนะผู้มีวิชาความรู้ (ในบทสวดคือพกาพรหม) ด้วยการหยั่งรู้ (ญาณ หรือที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์แปลว่าการวิจัยหรือการให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือ)อาจารย์คึกฤทธิ์แก้ปัญหาต่างๆด้วยวิธีเหล่านี้โดยมีตัวอย่างให้เห็นจริงทั้งหมดคุณก๋วยเจ๋ง (เลขาของท่าน) ให้แง่คิดว่า ใครจะเอาวิชาเหล่านี้ไปลองเอาไปใช้ดูก็ได้ เท่าที่ลองดูก็ได้ผลพอสมควร เพราะทั้งหมดนั้นคือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้Credit : Facebook Pattara Khumphitak
    วิธีรับมือคน 8 จำพวกของมรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชท่านแก้ปัญหาด้วยคาถาพาหุงไม่ใช่แค่นั่งสวดมนต์ แต่คือการเอาคำสอนในบทสวดมาปฏิบัติท่านกล่าวว่า คาถานี้แสดงให้เห็นมาตรการที่พระพุทธเจ้าใช้จัดการกับศัตรูหมู่ร้ายที่มีมาใน 8 รูปแบบ กล่าวคือ 1. เอาชนะคนโลภ (ในบทสวดแทนด้วยพญามาร) ด้วยการให้ทาน 2. เอาชนะคนอวดเบ่ง (ในบทสวดแทนด้วยอาฬวกยักษ์) ด้วยการไม่ให้ความสำคัญ (ในคาถาพาหุงคือ ขันติ) 3. เอาชนะคนคลุ้มคลั่ง (ในบทสวดคือช้างนาฬาคีรีที่ตกมัน) ด้วยเมตตา (อาจารย์คึกฤทธิ์แปลว่า ไม่ถือสา เหมือนครั้งที่ท่านอภัยให้กลุ่มตำรวจขี้เมาที่มาพังบ้านท่าน) 4. เอาชนะคนที่มีโมหะหรือหลงผิด (ในบทสวดคือองคุลิมาล) ด้วยการแสดงความเหนือกว่า สูงส่งกว่า 5. เอาชนะคนขี้โกง ขี้โกหก (ในบทสวดคือนางจิญจมาณวิกาผู้ไปโพนทะนาว่าท้องกับพระพุทธเจ้า) ด้วยความสงบเยือกเย็น 6. เอาชนะผู้ใส่ร้ายและเข้าใจผิดๆ (ในบทสวดคือ พวกสัจจกนิครนถ์ที่ไม่นับถือพระพุทธเจ้า) ด้วยการให้ปัญญา 7. เอาชนะผู้มีฤทธิ์ (ในบทสวดคือพญานาคชื่อนันโทปนันทะ) ด้วยการใช้ ”ผู้ช่วย” คือ พระโมคคัลลานะ 8. เอาชนะผู้มีวิชาความรู้ (ในบทสวดคือพกาพรหม) ด้วยการหยั่งรู้ (ญาณ หรือที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์แปลว่าการวิจัยหรือการให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือ)อาจารย์คึกฤทธิ์แก้ปัญหาต่างๆด้วยวิธีเหล่านี้โดยมีตัวอย่างให้เห็นจริงทั้งหมดคุณก๋วยเจ๋ง (เลขาของท่าน) ให้แง่คิดว่า ใครจะเอาวิชาเหล่านี้ไปลองเอาไปใช้ดูก็ได้ เท่าที่ลองดูก็ได้ผลพอสมควร เพราะทั้งหมดนั้นคือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้Credit : Facebook Pattara Khumphitak
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 446 Views 0 Reviews
  • อากาศร้อนทั้งวันคืน..พึ่งน้ำแข็งมาทั้งเดือน ..ร้อนกาย..มาสวดมนต์ให้มันเย็นในจิตใจ ภาวนาให้มันเย็นในจิตใจ
    อากาศร้อนทั้งวันคืน..พึ่งน้ำแข็งมาทั้งเดือน ..ร้อนกาย..มาสวดมนต์ให้มันเย็นในจิตใจ ภาวนาให้มันเย็นในจิตใจ
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • อาภัพ .ปราศจากโชค, เคราะห์ร้าย, วาสนาน้อย, ตกอับ, ลำเค็ญ.
    อาภัพก็สร้างมันขึ้นด้วยบุญกุศล สวดมนต์ ภาวนาไป ทาน ศิล ภาวนา ทานบริจาคไป
    อาภัพ .ปราศจากโชค, เคราะห์ร้าย, วาสนาน้อย, ตกอับ, ลำเค็ญ. อาภัพก็สร้างมันขึ้นด้วยบุญกุศล สวดมนต์ ภาวนาไป ทาน ศิล ภาวนา ทานบริจาคไป
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • เดินจงกรมดี
    มีกำลังกาย
    สติก็ได้
    ให้สมาธิ

    จะนั่งก็ได้
    ให้รู้ทันจิต
    เป็นสมาธิ
    สติตั้งมั่น

    กิเลสระงับ
    ดับทุกข์เสกสรรค์
    เจริญทุกวัน
    ปัญญาธรรมได้

    สวดมนต์ก็ดี
    มีสติใช้
    จดจ่อมนต์ได้
    ให้สมาธิ

    สมาธิดี
    มีหลักแนบชิด
    บุญดีจริต
    จิตตั้งมั่นพร้อม

    สมาธิฐาน
    การงานห้อมล้อม
    มีหลักเตรียมพร้อม
    น้อมปัญญาทำ

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    เดินจงกรมดี มีกำลังกาย สติก็ได้ ให้สมาธิ จะนั่งก็ได้ ให้รู้ทันจิต เป็นสมาธิ สติตั้งมั่น กิเลสระงับ ดับทุกข์เสกสรรค์ เจริญทุกวัน ปัญญาธรรมได้ สวดมนต์ก็ดี มีสติใช้ จดจ่อมนต์ได้ ให้สมาธิ สมาธิดี มีหลักแนบชิด บุญดีจริต จิตตั้งมั่นพร้อม สมาธิฐาน การงานห้อมล้อม มีหลักเตรียมพร้อม น้อมปัญญาทำ ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • อากาศร้อนมาก อดทนเอา..เพียรเอาบุญ สวดมนต์ ภาวนาไป จิตมั่นคงกับบุญกุศลไว้
    อากาศร้อนมาก อดทนเอา..เพียรเอาบุญ สวดมนต์ ภาวนาไป จิตมั่นคงกับบุญกุศลไว้
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • สวดมนต์เสริมบุญบารมี ภาวนาเสริมบุญบารมี มาๆ ปีใหม่ไทย
    สวดมนต์เสริมบุญบารมี ภาวนาเสริมบุญบารมี มาๆ ปีใหม่ไทย
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • มีเกร็ดเล็กๆ น้อยที่เคยได้ยินท่านหลวงตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องโชคเรื่องลาภ จึงขอนำมาเล่าให้ฟังกันครับ

    หลวงตาม้าท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ท่านหนึ่งว่า เวลาถูกหวยหรือล็อตเตอรรี่ ให้แบ่ง 1ใน 3 ของส่วนที่ได้ไปทำบุญ แล้วครั้งต่อไปจะถูกอีก! เป็นบุญต่อบุญไง

    และอีกครั้งหนึ่ง ท่านเคยบอกได้ใจความว่า...บางทีเวลาเราไปขอหวยหรือขอเรื่องทรัพย์กับเทวดาเนี่ย เขาก็อยากให้เราเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้นะ แต่คนบางคนเนี่ย มันไม่เคยให้ทานมาก่อนเลย เทวดาเขาก็มองไม่เห็นบุญ เลยไม่รู้จะให้ยังไง ดังนั้นเวลาไปขอเรื่องทรัพย์หรือเรื่องหวยกับเทวดาเนี่ย ก่อนจะขอนั้น ให้เรานึกถึง บุญที่เราเคยทำทานมาก่อน เอาทานที่มันใหญ่ๆที่เราเคยทำมา นั่นแหละ เทวดาเขาจะมองเห็นบุญเรา แล้วเขาจะให้ได้

    จากที่หลวงตาม้าท่านกล่าวนั้น ที่ท่านบอกว่า ให้นึกถึงทานที่มันใหญ่ๆ ที่เราเคยทำมา บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าอย่างไหนที่เรียกว่าทานอย่างใหญ่

    ผมขอยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ เช่น ร่วมสร้างวิหาร ร่วมสร้างวัด ร่วมสร้างพระแล้วแจกฟรี หรือให้ธรรมะเป็นทาน อย่างนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุญใหญ่ทั้งนั้น ที่เป็นบุญใหญ่เพราะ อย่างการสร้างวัดนี้ ใครก็ตามที่เข้าไปทำบุญใดๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับวัดนี้ เราก็มีส่วนได้บุญด้วยทั้งหมด เพราะเราเป็นเหตุให้เขาได้บุญ เอาแค่ว่ามีคนไปกวาดลานวัด เราก็ได้บุญด้วย เพราะเราเป็นเหตุ หรือการให้ธรรมะเป็นทานนั้น เช่น ถ้าเราไปสอนใครสวดมนต์ แล้วเขาคนนั้นนำไปสวด ทุกครั้งที่เขาสวด เราก็มีส่วนได้บุญด้วย เพราะเราเป็นเหตุ หลวงตาม้าท่านเคยบอกว่า..... หลวงปู่(ดู่) ท่านสอนว่า... เวลาจะทำอะไรให้เลือกทำที่มันยาวๆ จะดีกว่า อย่างการสร้างพระพุทธรูปเนี่ย
    พระพุทธรูปบางองค์อยู่ได้เป็นหลายร้อยปีเลยนะ ภายในระยะเวลาหลายร้อยปีนั้น ผู้ใดก็ตามที่มากราบพระพุทธรูปองค์นี้หรือมาทำบุญกับพระพุทธรูปองค์นี้ คนที่สร้างจะมีส่วนได้บุญทั้งหมด เพราะเป็นเหตุให้เขาได้กราบหรือได้ทำบุญ

    อย่างครูบา(ศรีวิชัย) เนี่ย ท่านไปสร้างวัดใช่ไหม ใครก็ตามที่ทำบุญใดๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับวัดนั้น
    ท่านครูบาได้ด้วยหมดเลย(หัวเราะ)

    หรืออย่างหลวงตาสร้างพระเนี่ย ใครก็ตามที่เอาพระของหลวงตาไปกำทำสมาธิ หลวงตาก็ได้บุญด้วยหมดเลยนะ ตอนนี้หลวงตาใจสบายตลอดเวลาเลยเนี่ย เพราะมีคนสวดให้ตลอดเวลา(หัวเราะ)

    เมื่อหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ผมจึงได้เข้าใจ การทำบุญใดๆ ที่ทำแล้วส่งผลเป็นระยะยาว อานิสงส์ย่อมได้มากกว่าบุญที่ทำแล้วจบลงตรงนั้นเลย

    ขอบคุณและ เครดิตที่มา

    น้อมกราบ 
    #หลวงตาม้า
    #หลวงตาม้าวัดถ้ำเมืองนะ
    #พระวรงคตวิริยธโร
    #วัดถ้ำเมืองนะ
    #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ
    #พระพรหมปัญโญ
    #สวดคาถามหาจักรพรรดิ
    #สวดมนต์ #บันทึกบุญ #โมทนาบุญ #ยินดีในบุญ
    #คาถามหาจักรพรรดิ108
    #ธรรมทานเหนือการให้ทั้งปวง
    #พุทธังอนันตังธัมมังจักรวาลังสังฆังนิพพานะปัจจะโยโหตุ

    ว่ากันต่อต่อไปให้ได้บุญ
    @แฟนตัวยง
    มีเกร็ดเล็กๆ น้อยที่เคยได้ยินท่านหลวงตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องโชคเรื่องลาภ จึงขอนำมาเล่าให้ฟังกันครับ หลวงตาม้าท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ท่านหนึ่งว่า เวลาถูกหวยหรือล็อตเตอรรี่ ให้แบ่ง 1ใน 3 ของส่วนที่ได้ไปทำบุญ แล้วครั้งต่อไปจะถูกอีก! เป็นบุญต่อบุญไง และอีกครั้งหนึ่ง ท่านเคยบอกได้ใจความว่า...บางทีเวลาเราไปขอหวยหรือขอเรื่องทรัพย์กับเทวดาเนี่ย เขาก็อยากให้เราเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้นะ แต่คนบางคนเนี่ย มันไม่เคยให้ทานมาก่อนเลย เทวดาเขาก็มองไม่เห็นบุญ เลยไม่รู้จะให้ยังไง ดังนั้นเวลาไปขอเรื่องทรัพย์หรือเรื่องหวยกับเทวดาเนี่ย ก่อนจะขอนั้น ให้เรานึกถึง บุญที่เราเคยทำทานมาก่อน เอาทานที่มันใหญ่ๆที่เราเคยทำมา นั่นแหละ เทวดาเขาจะมองเห็นบุญเรา แล้วเขาจะให้ได้ จากที่หลวงตาม้าท่านกล่าวนั้น ที่ท่านบอกว่า ให้นึกถึงทานที่มันใหญ่ๆ ที่เราเคยทำมา บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าอย่างไหนที่เรียกว่าทานอย่างใหญ่ ผมขอยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ เช่น ร่วมสร้างวิหาร ร่วมสร้างวัด ร่วมสร้างพระแล้วแจกฟรี หรือให้ธรรมะเป็นทาน อย่างนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุญใหญ่ทั้งนั้น ที่เป็นบุญใหญ่เพราะ อย่างการสร้างวัดนี้ ใครก็ตามที่เข้าไปทำบุญใดๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับวัดนี้ เราก็มีส่วนได้บุญด้วยทั้งหมด เพราะเราเป็นเหตุให้เขาได้บุญ เอาแค่ว่ามีคนไปกวาดลานวัด เราก็ได้บุญด้วย เพราะเราเป็นเหตุ หรือการให้ธรรมะเป็นทานนั้น เช่น ถ้าเราไปสอนใครสวดมนต์ แล้วเขาคนนั้นนำไปสวด ทุกครั้งที่เขาสวด เราก็มีส่วนได้บุญด้วย เพราะเราเป็นเหตุ หลวงตาม้าท่านเคยบอกว่า..... หลวงปู่(ดู่) ท่านสอนว่า... เวลาจะทำอะไรให้เลือกทำที่มันยาวๆ จะดีกว่า อย่างการสร้างพระพุทธรูปเนี่ย พระพุทธรูปบางองค์อยู่ได้เป็นหลายร้อยปีเลยนะ ภายในระยะเวลาหลายร้อยปีนั้น ผู้ใดก็ตามที่มากราบพระพุทธรูปองค์นี้หรือมาทำบุญกับพระพุทธรูปองค์นี้ คนที่สร้างจะมีส่วนได้บุญทั้งหมด เพราะเป็นเหตุให้เขาได้กราบหรือได้ทำบุญ อย่างครูบา(ศรีวิชัย) เนี่ย ท่านไปสร้างวัดใช่ไหม ใครก็ตามที่ทำบุญใดๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับวัดนั้น ท่านครูบาได้ด้วยหมดเลย(หัวเราะ) หรืออย่างหลวงตาสร้างพระเนี่ย ใครก็ตามที่เอาพระของหลวงตาไปกำทำสมาธิ หลวงตาก็ได้บุญด้วยหมดเลยนะ ตอนนี้หลวงตาใจสบายตลอดเวลาเลยเนี่ย เพราะมีคนสวดให้ตลอดเวลา(หัวเราะ) เมื่อหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ผมจึงได้เข้าใจ การทำบุญใดๆ ที่ทำแล้วส่งผลเป็นระยะยาว อานิสงส์ย่อมได้มากกว่าบุญที่ทำแล้วจบลงตรงนั้นเลย ขอบคุณและ เครดิตที่มา น้อมกราบ  #หลวงตาม้า #หลวงตาม้าวัดถ้ำเมืองนะ #พระวรงคตวิริยธโร #วัดถ้ำเมืองนะ #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ #พระพรหมปัญโญ #สวดคาถามหาจักรพรรดิ #สวดมนต์ #บันทึกบุญ #โมทนาบุญ #ยินดีในบุญ #คาถามหาจักรพรรดิ108 #ธรรมทานเหนือการให้ทั้งปวง #พุทธังอนันตังธัมมังจักรวาลังสังฆังนิพพานะปัจจะโยโหตุ ว่ากันต่อต่อไปให้ได้บุญ @แฟนตัวยง
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 458 Views 0 Reviews
  • “ดูแลผู้ป่วยติดเตียงอย่างไร ให้ได้บุญโดยไม่จมอยู่กับบาปทางใจ”
    ---

    1. การดูแลผู้ป่วยติดเตียง คือทานใหญ่ที่ได้บุญมาก

    โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรืออาการลูกผีลูกคน

    ใช้ทั้งกำลังกายและกำลังใจสูง ถือเป็น “กุศลกรรม” ใหญ่

    แม้มีอารมณ์เผลอเป็นโทสะหรือคิดลบบ้าง ก็ยังได้บุญมากกว่าได้บาป

    ---

    2. ฐานะของผู้ป่วยส่งผลต่อน้ำหนักบุญ

    ถ้าเป็น พ่อแม่ จะมีผลบุญมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นผู้มีพระคุณ

    หากเป็นญาติทั่วไป หรือคนไม่มีบุญคุณโดยตรง บุญก็ยังมี แต่ไม่เท่ากัน

    ต่อให้พ่อแม่เคยทำไม่ดี ก็ยังเป็นฐานแห่งบุญบาปที่ยิ่งใหญ่ตามกฎธรรมชาติ

    ---

    3. ถ้าเคยเผลอคิดว่า "อยากให้ตายๆ ไปเสียที" ถือเป็นบาปไหม?

    ขึ้นอยู่กับเจตนา:

    ถ้าเป็น เมตตา อยากให้เขาพ้นทุกข์ = ไม่เป็นบาป

    ถ้าเป็น โทสะ เหนื่อย รำคาญ อยากให้พ้นจากภาระตัวเอง = เป็นบาปทางใจ แม้ภายนอกจะทำบุญอยู่ก็ตาม

    ---

    4. ทางออกที่ดีที่สุด คือ รักษาใจและสร้างบรรยากาศทางธรรม

    ชวนผู้ป่วยพูดคุยเรื่องดีๆ หรือสวดมนต์แม้เขาจะไม่ได้สติ

    เพราะแม้เขาจะไม่รู้ตัว แต่กระแสจิตที่สว่างของคุณยังส่งถึงเขาได้

    สิ่งนี้มีผลดีต่อทั้งผู้ป่วย และจิตใจของผู้ดูแลเอง

    ---

    5. แก่นแท้ของบุญนี้ ไม่ใช่แค่ดูแลกายเขา แต่คือ "ดูแลใจเรา" ด้วย

    ใจที่เอาตัวรอดจากความเครียด โทสะ และความเหนื่อยล้าได้ คือ “พลังบุญ” ที่เกิดขึ้นจริง

    แม้คนอื่นอาจเข้าใจยาก แต่ตัวเราจะรู้ว่าได้กุศลเต็มใจจริงๆ

    ---

    Essence สั้นๆ

    ดูแลผู้ป่วยติดเตียงให้ดี เป็นบุญใหญ่
    แต่ถ้ารักษาใจให้สว่างด้วยได้ด้วย = เป็นบุญที่ประณีตและแรงกว่าหลายเท่า
    อย่าปล่อยให้โทสะปนใจจนบดบังคุณค่าของสิ่งดีๆ ที่กำลังทำอยู่!
    “ดูแลผู้ป่วยติดเตียงอย่างไร ให้ได้บุญโดยไม่จมอยู่กับบาปทางใจ” --- 1. การดูแลผู้ป่วยติดเตียง คือทานใหญ่ที่ได้บุญมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรืออาการลูกผีลูกคน ใช้ทั้งกำลังกายและกำลังใจสูง ถือเป็น “กุศลกรรม” ใหญ่ แม้มีอารมณ์เผลอเป็นโทสะหรือคิดลบบ้าง ก็ยังได้บุญมากกว่าได้บาป --- 2. ฐานะของผู้ป่วยส่งผลต่อน้ำหนักบุญ ถ้าเป็น พ่อแม่ จะมีผลบุญมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นผู้มีพระคุณ หากเป็นญาติทั่วไป หรือคนไม่มีบุญคุณโดยตรง บุญก็ยังมี แต่ไม่เท่ากัน ต่อให้พ่อแม่เคยทำไม่ดี ก็ยังเป็นฐานแห่งบุญบาปที่ยิ่งใหญ่ตามกฎธรรมชาติ --- 3. ถ้าเคยเผลอคิดว่า "อยากให้ตายๆ ไปเสียที" ถือเป็นบาปไหม? ขึ้นอยู่กับเจตนา: ถ้าเป็น เมตตา อยากให้เขาพ้นทุกข์ = ไม่เป็นบาป ถ้าเป็น โทสะ เหนื่อย รำคาญ อยากให้พ้นจากภาระตัวเอง = เป็นบาปทางใจ แม้ภายนอกจะทำบุญอยู่ก็ตาม --- 4. ทางออกที่ดีที่สุด คือ รักษาใจและสร้างบรรยากาศทางธรรม ชวนผู้ป่วยพูดคุยเรื่องดีๆ หรือสวดมนต์แม้เขาจะไม่ได้สติ เพราะแม้เขาจะไม่รู้ตัว แต่กระแสจิตที่สว่างของคุณยังส่งถึงเขาได้ สิ่งนี้มีผลดีต่อทั้งผู้ป่วย และจิตใจของผู้ดูแลเอง --- 5. แก่นแท้ของบุญนี้ ไม่ใช่แค่ดูแลกายเขา แต่คือ "ดูแลใจเรา" ด้วย ใจที่เอาตัวรอดจากความเครียด โทสะ และความเหนื่อยล้าได้ คือ “พลังบุญ” ที่เกิดขึ้นจริง แม้คนอื่นอาจเข้าใจยาก แต่ตัวเราจะรู้ว่าได้กุศลเต็มใจจริงๆ --- Essence สั้นๆ ดูแลผู้ป่วยติดเตียงให้ดี เป็นบุญใหญ่ แต่ถ้ารักษาใจให้สว่างด้วยได้ด้วย = เป็นบุญที่ประณีตและแรงกว่าหลายเท่า อย่าปล่อยให้โทสะปนใจจนบดบังคุณค่าของสิ่งดีๆ ที่กำลังทำอยู่!
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • เชื่อว่าเพื่อนเพจต้องคุ้นหูคุ้นตากับ ‘คทาหรูอี้’ (หรูอี้/如意 แปลตรงตัวได้ว่า สมดังปรารถนา) บริบทที่เรามักเห็นในนิยาย/ละครจีนบ่อยๆ คือ ฮ่องเต้พระราชทานคทาหรูอี้หยกให้เป็นรางวัลต่อขุนนาง หรือบุรุษสูงศักดิ์มอบคทาหรูอี้ให้สตรีที่ถูกเลือกเป็นภรรยา อย่างเช่นตัวอย่างภาพประกอบยกมาจากละคร <หรูอี้ จอมนางเคียงบัลลังก์> ตอนที่องค์ชายหงอี้ทรงเลือกชิงอิงเป็นพระชายา (รูปประกอบ1 ซ้าย) หรือเป็นวัตถุมงคลเหมาะกับการมอบให้เป็นของขวัญ

    เคยมีคนเขียนถึงคทาหรูอี้มาแล้วบ้าง ด้วยความหมายที่กล่าวถึงข้างต้น และเพื่อนเพจอาจเคยคุ้นกับการที่มีคทาหรูอี้ปรากฏในรูปภาพและรูปปั้นเทพเจ้าจีน และนักบวชนิยมถือคทาหรูอี้ยามสวดมนต์ ว่ากันว่าการใช้คทาหรูอี้เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนานั้นได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียโบราณ

    แต่วันนี้ Storyฯ มาคุยเกี่ยวกับคทาหรูอี้ในอีกแง่มุมหนึ่ง... เพื่อนเพจเคยสงสัยเหมือน Storyฯ หรือไม่ว่า เข้าใจล่ะว่าชื่อเป็นมงคล แต่คทาหรูอี้ออกจะเทอะทะ... มันไม่มีประโยชน์อื่นนอกจากตั้งโชว์หรือถือไว้เท่ๆ เลยหรือ?

    จากภาพวาดโบราณ (รูปประกอบ 1 ขวา) จะเห็นว่าคทาหรูอี้เป็นของใช้ติดมือของชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้แก่ผู้เฒ่า... แสดงว่ามันต้องมีประโยชน์สิน่ะ เพื่อนเพจพอจะเดากันออกหรือไม่?

    จากข้อมูลที่ทางพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้ามรวบรวมได้ คทาหรูอี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ประมาณปี 206 ก่อนคริสตศักราช - ปีค.ศ. 220) เดิมถูกใช้เป็นไม้เกาหลัง เรียกว่า ‘หรูอี้’ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘ไม่ง้อใคร’ (不求人/ปู้ฉิวเหริน) แรกเริ่มมีรูปทรงคล้ายมือ โดยในบันทึกสมัยราชวงศ์ชิง (事物异名录/ซื่ออู้อี้หมิงลู่) ได้เขียนไว้ว่า “หรูอี้นั้นไซร้ เป็นไม้กรงเล็บ”

    นอกจากนี้ ยังมีบทความสมัยราชวงศ์เหนือใต้ว่ามีการใช้คทาหรูอี้เป็นไม้ส่งสัญญาณเคลื่อนทัพในยามศึก นัยว่าเพื่อให้ชนะศึกได้ดังใจหมาย

    คทาหรูอี้กลายเป็นวัตถุประจำตัวที่คนนิยมพกพาเพราะชื่อเป็นมงคลและใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวก็ได้ จึงพัฒนารูปแบบให้สวยงามมากขึ้น ว่ากันว่าในสมัยราชวงศ์เหนือใต้นั้นใช้กันแพร่หลายในหลายแคว้นทั้งในวังและนอกวัง โดยสมัยนั้นนิยมให้ด้ามจับโค้งเป็นทรงกลุ่มดาวจระเข้ ตัวด้ามกลมมนเพื่อให้จับถนัดมือ ทำจากไม้ ไม้ไผ่หรือโลหะ มีใช้กันตั้งแต่ในวังยันชาวบ้านธรรมดานอกวัง ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ถังจึงทำด้ามจับให้แบนลงและเป็นเส้นตรง โค้งที่ปลายหัว

    นานวันเข้า เมื่อถึงสมัยหมิงและชิง คทาหรูอี้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในฐานะวัตถุมงคลที่ใช้ประดับบ้านเรือนหรือของขวัญ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรมีในสินสอดของหมั้นของแต่งงาน จึงมีรูปแบบที่วิจิตรขึ้น รูปทรงที่เราคุ้นตาคือหัวเป็นทรงเห็ดหลินจือ โดยเฉพาะในยุคสมัยชิงนั้น คทาหรูอี้เป็นที่นิยมมากในวัง ไม่ว่าจะในงานราชประเพณี การแต่งตั้งขุนนาง การรับทูตจากต่างแดน ฯลฯ ล้วนต้องมีการถือคทาหรูอี้เพื่อเป็นสัญลักษณ์มงคล

    ปัจจุบันในพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้ามมีการเก็บรักษาคทาหรูอี้โบราณไว้กว่าสองพันชิ้นโดยส่วนใหญ่เป็นของสมัยชิง วัสดุที่ใช้ทำคทาหรูอี้นั้นหลากหลาย มีทั้งหยกชนิดต่างๆ ปะการัง ทองคำ เงิน ทองเหลือง งาช้าง ไม้ไผ่และไม้ชนิดต่างๆ และมีการแกะสลักลวดลายมากมายลงบนคทา

    Storyฯ เคยไปเที่ยวเมื่อนานมากแล้ว จำไม่ได้เลยว่าได้เคยเห็นอะไรในพิพิธภัณฑ์นี้บ้าง เพื่อนเพจท่านใดเคยผ่านตาก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.jianshu.com/p/faa99f5d9868
    https://new.qq.com/rain/a/20211210A027EU00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.mct.gov.cn/whzx/zsdw/ggbwy/202102/t20210210_921534.htm
    https://www.sohu.com/a/508658629_322551
    https://baike.baidu.com/item/如意/254746
    https://new.qq.com/rain/a/20220728A054CG00

    #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #คทาหรูอี้ #วัตถุมงคลจีน #ไม้เกาหลัง
    เชื่อว่าเพื่อนเพจต้องคุ้นหูคุ้นตากับ ‘คทาหรูอี้’ (หรูอี้/如意 แปลตรงตัวได้ว่า สมดังปรารถนา) บริบทที่เรามักเห็นในนิยาย/ละครจีนบ่อยๆ คือ ฮ่องเต้พระราชทานคทาหรูอี้หยกให้เป็นรางวัลต่อขุนนาง หรือบุรุษสูงศักดิ์มอบคทาหรูอี้ให้สตรีที่ถูกเลือกเป็นภรรยา อย่างเช่นตัวอย่างภาพประกอบยกมาจากละคร <หรูอี้ จอมนางเคียงบัลลังก์> ตอนที่องค์ชายหงอี้ทรงเลือกชิงอิงเป็นพระชายา (รูปประกอบ1 ซ้าย) หรือเป็นวัตถุมงคลเหมาะกับการมอบให้เป็นของขวัญ เคยมีคนเขียนถึงคทาหรูอี้มาแล้วบ้าง ด้วยความหมายที่กล่าวถึงข้างต้น และเพื่อนเพจอาจเคยคุ้นกับการที่มีคทาหรูอี้ปรากฏในรูปภาพและรูปปั้นเทพเจ้าจีน และนักบวชนิยมถือคทาหรูอี้ยามสวดมนต์ ว่ากันว่าการใช้คทาหรูอี้เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนานั้นได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียโบราณ แต่วันนี้ Storyฯ มาคุยเกี่ยวกับคทาหรูอี้ในอีกแง่มุมหนึ่ง... เพื่อนเพจเคยสงสัยเหมือน Storyฯ หรือไม่ว่า เข้าใจล่ะว่าชื่อเป็นมงคล แต่คทาหรูอี้ออกจะเทอะทะ... มันไม่มีประโยชน์อื่นนอกจากตั้งโชว์หรือถือไว้เท่ๆ เลยหรือ? จากภาพวาดโบราณ (รูปประกอบ 1 ขวา) จะเห็นว่าคทาหรูอี้เป็นของใช้ติดมือของชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้แก่ผู้เฒ่า... แสดงว่ามันต้องมีประโยชน์สิน่ะ เพื่อนเพจพอจะเดากันออกหรือไม่? จากข้อมูลที่ทางพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้ามรวบรวมได้ คทาหรูอี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ประมาณปี 206 ก่อนคริสตศักราช - ปีค.ศ. 220) เดิมถูกใช้เป็นไม้เกาหลัง เรียกว่า ‘หรูอี้’ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘ไม่ง้อใคร’ (不求人/ปู้ฉิวเหริน) แรกเริ่มมีรูปทรงคล้ายมือ โดยในบันทึกสมัยราชวงศ์ชิง (事物异名录/ซื่ออู้อี้หมิงลู่) ได้เขียนไว้ว่า “หรูอี้นั้นไซร้ เป็นไม้กรงเล็บ” นอกจากนี้ ยังมีบทความสมัยราชวงศ์เหนือใต้ว่ามีการใช้คทาหรูอี้เป็นไม้ส่งสัญญาณเคลื่อนทัพในยามศึก นัยว่าเพื่อให้ชนะศึกได้ดังใจหมาย คทาหรูอี้กลายเป็นวัตถุประจำตัวที่คนนิยมพกพาเพราะชื่อเป็นมงคลและใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวก็ได้ จึงพัฒนารูปแบบให้สวยงามมากขึ้น ว่ากันว่าในสมัยราชวงศ์เหนือใต้นั้นใช้กันแพร่หลายในหลายแคว้นทั้งในวังและนอกวัง โดยสมัยนั้นนิยมให้ด้ามจับโค้งเป็นทรงกลุ่มดาวจระเข้ ตัวด้ามกลมมนเพื่อให้จับถนัดมือ ทำจากไม้ ไม้ไผ่หรือโลหะ มีใช้กันตั้งแต่ในวังยันชาวบ้านธรรมดานอกวัง ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ถังจึงทำด้ามจับให้แบนลงและเป็นเส้นตรง โค้งที่ปลายหัว นานวันเข้า เมื่อถึงสมัยหมิงและชิง คทาหรูอี้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในฐานะวัตถุมงคลที่ใช้ประดับบ้านเรือนหรือของขวัญ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรมีในสินสอดของหมั้นของแต่งงาน จึงมีรูปแบบที่วิจิตรขึ้น รูปทรงที่เราคุ้นตาคือหัวเป็นทรงเห็ดหลินจือ โดยเฉพาะในยุคสมัยชิงนั้น คทาหรูอี้เป็นที่นิยมมากในวัง ไม่ว่าจะในงานราชประเพณี การแต่งตั้งขุนนาง การรับทูตจากต่างแดน ฯลฯ ล้วนต้องมีการถือคทาหรูอี้เพื่อเป็นสัญลักษณ์มงคล ปัจจุบันในพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้ามมีการเก็บรักษาคทาหรูอี้โบราณไว้กว่าสองพันชิ้นโดยส่วนใหญ่เป็นของสมัยชิง วัสดุที่ใช้ทำคทาหรูอี้นั้นหลากหลาย มีทั้งหยกชนิดต่างๆ ปะการัง ทองคำ เงิน ทองเหลือง งาช้าง ไม้ไผ่และไม้ชนิดต่างๆ และมีการแกะสลักลวดลายมากมายลงบนคทา Storyฯ เคยไปเที่ยวเมื่อนานมากแล้ว จำไม่ได้เลยว่าได้เคยเห็นอะไรในพิพิธภัณฑ์นี้บ้าง เพื่อนเพจท่านใดเคยผ่านตาก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.jianshu.com/p/faa99f5d9868 https://new.qq.com/rain/a/20211210A027EU00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.mct.gov.cn/whzx/zsdw/ggbwy/202102/t20210210_921534.htm https://www.sohu.com/a/508658629_322551 https://baike.baidu.com/item/如意/254746 https://new.qq.com/rain/a/20220728A054CG00 #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #คทาหรูอี้ #วัตถุมงคลจีน #ไม้เกาหลัง
    WWW.JIANSHU.COM
    【如懿传|如懿】年少情深,也可以走到相看两厌
    一出墙头马上,两心相许。山河依旧,唯人兰因絮果。 如懿的一生都把真心付给了自己的少年郎,年少时的扶持,无人之巅的陪伴,病榻前的守护,相比于甄嬛,她更加令人心疼。 执着勇敢是她...
    Like
    1
    2 Comments 0 Shares 870 Views 0 Reviews
  • มาสวดมนต์เอาบุญ. บุญทำทุกเวลา จิตเป็นบุญอยู่ที่ไหนก็เป็นบุญ ..
    มาสวดมนต์เอาบุญ. บุญทำทุกเวลา จิตเป็นบุญอยู่ที่ไหนก็เป็นบุญ ..
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • หลวงปู่ดู่ เตือนเรื่อง "ปรามาสพระ"

    วันหนึ่งมีผู้มากราบนมัสการท่าน และเรียนถามปัญหาต่างๆ จากนั้นจึงกลับไป หลวงปู่ท่านได้ยกเป็นคติเตือนใจให้ผู้เขียนฟังว่า

    “คนที่มาเมื่อกี้ หากไปเจอพระดีล่ะก็ลงนรก ไม่ไปสวรรค์ นิพพานหรอก”

    ผู้เขียนจึงเรียนถามท่านว่า “เพราะเหตุไรครับ”

    ท่านตอบว่า “ก็จะไปปรามาสพระท่านน่ะซี ไม่ได้ไปเอาธรรมจากท่าน”

    หลวงปู่เคยเตือนพวกเราไว้ว่า

    “การไปอยู่กับพระอรหันต์ อย่าอยู่กับท่านนาน เพราะเมื่อเกิดความมักคุ้นแล้ว มักทำให้ลืมตัว เห็นท่านเป็นเพื่อนเล่น คุยเล่นหัวท่านบ้าง ให้ท่านเหาะให้ดูบ้าง ถึงกับออกปากใช้ท่านเลยก็มี การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการปรามาสพระ ลบหลู่ครูอาจารย์ และเป็นบาปมาก ปิดกั้นทางมรรคผลนิพพานได้ จึงขอให้พวกเราสำรวมระวังให้ดี”

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ
    #พระพรหมปัญโญ
    #สวดคาถามหาจักรพรรดิ
    #สวดมนต์ #บันทึกบุญ #โมทนาบุญ #ยินดีในบุญ
    #คาถามหาจักรพรรดิ108
    #ธรรมทานเหนือการให้ทั้งปวง
    #พุทธังอนันตังธัมมังจักรวาลังสังฆังนิพพานะปัจจะโยโหตุ
    #ขอให้ประสบแต่ความดีปราศจากความทุกข์"

    ว่ากันต่อต่อไปให้ได้บุญ
    หลวงปู่ดู่ เตือนเรื่อง "ปรามาสพระ" วันหนึ่งมีผู้มากราบนมัสการท่าน และเรียนถามปัญหาต่างๆ จากนั้นจึงกลับไป หลวงปู่ท่านได้ยกเป็นคติเตือนใจให้ผู้เขียนฟังว่า “คนที่มาเมื่อกี้ หากไปเจอพระดีล่ะก็ลงนรก ไม่ไปสวรรค์ นิพพานหรอก” ผู้เขียนจึงเรียนถามท่านว่า “เพราะเหตุไรครับ” ท่านตอบว่า “ก็จะไปปรามาสพระท่านน่ะซี ไม่ได้ไปเอาธรรมจากท่าน” หลวงปู่เคยเตือนพวกเราไว้ว่า “การไปอยู่กับพระอรหันต์ อย่าอยู่กับท่านนาน เพราะเมื่อเกิดความมักคุ้นแล้ว มักทำให้ลืมตัว เห็นท่านเป็นเพื่อนเล่น คุยเล่นหัวท่านบ้าง ให้ท่านเหาะให้ดูบ้าง ถึงกับออกปากใช้ท่านเลยก็มี การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการปรามาสพระ ลบหลู่ครูอาจารย์ และเป็นบาปมาก ปิดกั้นทางมรรคผลนิพพานได้ จึงขอให้พวกเราสำรวมระวังให้ดี” หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ #พระพรหมปัญโญ #สวดคาถามหาจักรพรรดิ #สวดมนต์ #บันทึกบุญ #โมทนาบุญ #ยินดีในบุญ #คาถามหาจักรพรรดิ108 #ธรรมทานเหนือการให้ทั้งปวง #พุทธังอนันตังธัมมังจักรวาลังสังฆังนิพพานะปัจจะโยโหตุ #ขอให้ประสบแต่ความดีปราศจากความทุกข์" ว่ากันต่อต่อไปให้ได้บุญ
    0 Comments 0 Shares 570 Views 0 Reviews
  • จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา
    เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน
    แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน
    ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก
    จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
    หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
    สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
    แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
    จะสร้างพรตอดรักหักสวาท
    เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย
    แม้นน้องนุชบุษบานิคาลัย
    จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬส
    จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศม
    รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด
    ปะตาปาอายันอยู่บรรพต
    อุตส่าห์อดอาลัยก็ไม่คลาย
    ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช
    ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย
    จะสวดมนต์ต้นถูกถึงผูกปลาย
    ก็กลับกลายเรื่องราวเป็นกล่าวกลอน
    จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ จะสร้างพรตอดรักหักสวาท เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย แม้นน้องนุชบุษบานิคาลัย จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬส จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศม รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด ปะตาปาอายันอยู่บรรพต อุตส่าห์อดอาลัยก็ไม่คลาย ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย จะสวดมนต์ต้นถูกถึงผูกปลาย ก็กลับกลายเรื่องราวเป็นกล่าวกลอน
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
More Results