• แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 5

    A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน

    เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง

    เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่
    ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน

    ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ”

    ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก

    เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง

    อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย !

    ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง
    อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้

    แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน

    สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้

    สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
    แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย

    #####
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 6 (จบ)
    (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน)

    ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy

    แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy

    อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ

    ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน

    อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น

    อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ
    Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร

    และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ

    นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม

    สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ

    อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร

    Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
    จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว

    ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ)

    ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ

    อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว

    ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร

    Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้
    และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก

    แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

    การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น

    อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้

    อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ
    ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ

    แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่
    หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน

    ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    16 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 5 A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่ ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ” ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย ! ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้ แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้ สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย ##### นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 6 (จบ) (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน) ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ) ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้ และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้ อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่ หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 16 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล

    ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป

    แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง

    OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน

    จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล
    Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล
    บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ
    หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว”

    แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี
    ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI
    มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

    โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud
    OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า
    กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud
    อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    สถานะทางการเงินและการเติบโต
    บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด
    คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
    ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

    คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ
    นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล
    รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว
    หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    🧠 เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน ✅ จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล ➡️ บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ ➡️ หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว” ✅ แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี ➡️ ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI ➡️ มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ✅ โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud ➡️ OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า ➡️ กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud ➡️ อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ สถานะทางการเงินและการเติบโต ➡️ บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด ➡️ คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ➡️ ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ‼️ คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ ⛔ นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล ⛔ รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว ⛔ หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI discussed government loan guarantees for chip plants, not data centers, Altman says
    (Reuters) -OpenAI has spoken with the U.S. government about the possibility of federal loan guarantees to spur construction of chip factories in the U.S., but has not sought U.S. government guarantees for building its data centers, CEO Sam Altman said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข? เมื่อ IQ ไม่ใช่คำตอบของชีวิต

    ในบทความจาก Seeds of Science โดย Adam Mastroianni นักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ด ได้ตั้งคำถามที่ชวนคิดว่า “ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข?” ทั้งที่ความฉลาดควรช่วยให้เราวางแผนชีวิต แก้ปัญหา และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดีกว่าคนทั่วไป

    แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 50 ปีจาก General Social Survey พบว่าคนที่มีคะแนนทดสอบความฉลาดสูงกลับมีระดับความสุขต่ำลงเล็กน้อย (r = -0.06) ซึ่งขัดกับความคาดหวังของสังคม

    Mastroianni เสนอว่าปัญหาอยู่ที่ “นิยามของความฉลาด” ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบมีคำตอบชัดเจน (well-defined problems) เช่น คณิตศาสตร์หรือหมากรุก แต่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่มีคำตอบตายตัว (poorly-defined problems) เช่น “จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความหมาย?” หรือ “จะทำอย่างไรเมื่อคนที่รักจากไป?”

    เขาเสนอว่าความสามารถในการแก้ปัญหาแบบไม่มีคำตอบชัดเจนนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ “ความฉลาด” ที่ไม่เคยถูกวัดหรือให้คุณค่าอย่างจริงจัง

    ความฉลาดแบบดั้งเดิม
    นิยามโดยความสามารถในการแก้ปัญหา วางแผน และเรียนรู้
    วัดผ่านแบบทดสอบ IQ และการเรียนรู้ในระบบ
    ใช้กับปัญหาแบบ well-defined เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา หรือหมากรุก

    ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสุข
    คนที่มี IQ สูงไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนทั่วไป
    บางกรณีมีความสุขน้อยลงเล็กน้อย
    ข้อมูลจาก General Social Survey และงานวิจัยอื่น ๆ

    ปัญหาแบบ poorly-defined
    ปัญหาที่ไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น ความรัก ความหมายชีวิต
    ไม่สามารถแก้ด้วยตรรกะหรือสูตรสำเร็จ
    ต้องใช้ความเข้าใจตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และปัญญาเชิงลึก

    ความฉลาดอีกแบบที่ไม่ถูกวัด
    ความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นอน
    การเลือกเป้าหมายชีวิตที่เหมาะสมและยึดมั่นกับมัน
    อาจเรียกว่า “directionness” หรือ “wisdom”

    ตัวอย่างคนฉลาดที่ตัดสินใจผิดพลาด
    นักวิชาการระดับสูงที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
    อัจฉริยะที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด
    แสดงให้เห็นว่า IQ ไม่ใช่เครื่องมือวัดความดีหรือความสุข

    https://www.theseedsofscience.pub/p/why-arent-smart-people-happier
    🧠 ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข? เมื่อ IQ ไม่ใช่คำตอบของชีวิต ในบทความจาก Seeds of Science โดย Adam Mastroianni นักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ด ได้ตั้งคำถามที่ชวนคิดว่า “ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข?” ทั้งที่ความฉลาดควรช่วยให้เราวางแผนชีวิต แก้ปัญหา และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 50 ปีจาก General Social Survey พบว่าคนที่มีคะแนนทดสอบความฉลาดสูงกลับมีระดับความสุขต่ำลงเล็กน้อย (r = -0.06) ซึ่งขัดกับความคาดหวังของสังคม Mastroianni เสนอว่าปัญหาอยู่ที่ “นิยามของความฉลาด” ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบมีคำตอบชัดเจน (well-defined problems) เช่น คณิตศาสตร์หรือหมากรุก แต่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่มีคำตอบตายตัว (poorly-defined problems) เช่น “จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความหมาย?” หรือ “จะทำอย่างไรเมื่อคนที่รักจากไป?” เขาเสนอว่าความสามารถในการแก้ปัญหาแบบไม่มีคำตอบชัดเจนนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ “ความฉลาด” ที่ไม่เคยถูกวัดหรือให้คุณค่าอย่างจริงจัง ✅ ความฉลาดแบบดั้งเดิม ➡️ นิยามโดยความสามารถในการแก้ปัญหา วางแผน และเรียนรู้ ➡️ วัดผ่านแบบทดสอบ IQ และการเรียนรู้ในระบบ ➡️ ใช้กับปัญหาแบบ well-defined เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา หรือหมากรุก ✅ ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสุข ➡️ คนที่มี IQ สูงไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนทั่วไป ➡️ บางกรณีมีความสุขน้อยลงเล็กน้อย ➡️ ข้อมูลจาก General Social Survey และงานวิจัยอื่น ๆ ✅ ปัญหาแบบ poorly-defined ➡️ ปัญหาที่ไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น ความรัก ความหมายชีวิต ➡️ ไม่สามารถแก้ด้วยตรรกะหรือสูตรสำเร็จ ➡️ ต้องใช้ความเข้าใจตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และปัญญาเชิงลึก ✅ ความฉลาดอีกแบบที่ไม่ถูกวัด ➡️ ความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นอน ➡️ การเลือกเป้าหมายชีวิตที่เหมาะสมและยึดมั่นกับมัน ➡️ อาจเรียกว่า “directionness” หรือ “wisdom” ✅ ตัวอย่างคนฉลาดที่ตัดสินใจผิดพลาด ➡️ นักวิชาการระดับสูงที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ➡️ อัจฉริยะที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด ➡️ แสดงให้เห็นว่า IQ ไม่ใช่เครื่องมือวัดความดีหรือความสุข https://www.theseedsofscience.pub/p/why-arent-smart-people-happier
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 1

    วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555

    เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง

    รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป

    Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น
    เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ

    ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป”
    China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come”

    คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ
    ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน..

    …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย..

    …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย..

    .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน

    การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้…

    ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค
    ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น

    ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ

    นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป..
    อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย

    “แผนสอยมังกร”

    ตอน 2

    จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ

    – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55)
    – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย

    – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก

    แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น
    เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ

    – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง….

    และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย
    แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น….

    แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ

    สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน

    นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 1 วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป” China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come” คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน.. …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย.. …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย.. .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้… ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป.. อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย “แผนสอยมังกร” ตอน 2 จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55) – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง…. และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น…. แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ.


    การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง:
    - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก
    - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก

    นั่นเป็นเพราะ:
    - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ)
    - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม
    - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน
    - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ
    - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน

    ผลที่ตามมา:
    - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน
    - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ)
    - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์
    - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล

    หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง:
    - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า
    - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย
    - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ
    - นักแปลและล่าม
    - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon)
    - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี
    - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ

    ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม:
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น
    https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897

    ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ. การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง: - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก นั่นเป็นเพราะ: - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ) - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน ผลที่ตามมา: - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ) - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์ - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง: - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ - นักแปลและล่าม - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon) - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qu-MRI” กล้องควอนตัมเพชรเปลี่ยนโลกเซมิคอนดักเตอร์

    ลองจินตนาการถึงการตรวจสอบชิปเซมิคอนดักเตอร์แบบ 3D โดยไม่ต้องสัมผัส ไม่ต้องทำลาย และยังแม่นยำระดับนาโนแอมป์ — นี่คือสิ่งที่ EuQlid ทำได้ด้วย “Qu-MRI” เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ควอนตัมเซ็นเซอร์จากเพชรในการสแกนวงจรภายในชิปแบบไม่รุกราน

    บริษัท EuQlid ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Harvard, Yale และ Texas Instruments ได้เปิดตัว Qu-MRI หลังจากพัฒนาในโหมดลับมานาน โดยใช้เทคนิค Quantum NV-diamond magnetometry ร่วมกับ AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง เพื่อสร้างแผนที่กระแสไฟฟ้าที่ฝังอยู่ภายในชิปแบบละเอียด

    บริษัท EuQlid ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Harvard, Yale และ Texas Instruments ได้เปิดตัว Qu-MRI หลังจากพัฒนาในโหมดลับมานาน โดยใช้เทคนิค Quantum NV-diamond magnetometry ร่วมกับ AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง เพื่อสร้างแผนที่กระแสไฟฟ้าที่ฝังอยู่ภายในชิปแบบละเอียด

    AI + ควอนตัม = การตรวจสอบที่แม่นยำและรวดเร็ว
    Qu-MRI ไม่เพียงแต่ตรวจจับข้อผิดพลาดในชิปได้เร็วขึ้น แต่ยังสามารถใช้ในสายการผลิตจริงแบบ inline ได้ทันที ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพของชิป โดยเฉพาะในยุคที่ 3D IC และ HBM (High Bandwidth Memory) กำลังเติบโต

    ตลาดใหญ่และการลงทุนที่หลั่งไหล
    ตลาดเครื่องมือวัดและตรวจสอบเซมิคอนดักเตอร์มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว EuQlid ได้รับเงินลงทุนแล้วกว่า 3 ล้านดอลลาร์ และมีรายได้จากลูกค้าในช่วงแรกกว่า 1.5 ล้านดอลลาร์ โดยมีลูกค้าในวงการวิจัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก

    Qu-MRI: เทคโนโลยีสแกนชิปแบบไม่ทำลาย
    ใช้ Quantum NV-diamond magnetometry ตรวจจับกระแสไฟฟ้าฝังในชิป
    ไม่ต้องสัมผัสหรือทำลายชั้นของชิป
    ตรวจสอบได้แม้ในสายการผลิตจริง

    ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    ลดต้นทุนการตรวจสอบและการผลิต
    ตรวจจับข้อผิดพลาดในชิป 3D IC และ HBM ได้แม่นยำ
    เพิ่มคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์

    การผสาน AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง
    วิเคราะห์ข้อมูลจากการสแกนได้รวดเร็วและแม่นยำ
    รองรับการตรวจสอบ CPU และ GPU ที่ทำงานอยู่

    การเติบโตของ EuQlid
    ได้รับเงินลงทุนจาก QDNL Participations กว่า 3 ล้านดอลลาร์
    มีลูกค้าในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Harvard, NYU, Oxford

    ความท้าทายของการตรวจสอบชิปแบบเดิม
    ต้องบดหรือผ่าชั้นของชิปเพื่อดูภายใน
    ใช้เวลานานและทำลายชิ้นงาน
    ไม่สามารถใช้ในสายการผลิตแบบเรียลไทม์

    ความซับซ้อนของชิปยุคใหม่
    3D IC และ HBM มีโครงสร้างซับซ้อน ตรวจสอบยาก
    ข้อผิดพลาดที่ฝังลึกอาจไม่ถูกตรวจพบด้วยวิธีเดิม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/quantum-diamond-scanner-delivers-non-invasive-3d-imaging-of-semiconductors-euqlid-qu-mri-could-save-chip-foundries-billions-of-dollars
    💎🔬 “Qu-MRI” กล้องควอนตัมเพชรเปลี่ยนโลกเซมิคอนดักเตอร์ ลองจินตนาการถึงการตรวจสอบชิปเซมิคอนดักเตอร์แบบ 3D โดยไม่ต้องสัมผัส ไม่ต้องทำลาย และยังแม่นยำระดับนาโนแอมป์ — นี่คือสิ่งที่ EuQlid ทำได้ด้วย “Qu-MRI” เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ควอนตัมเซ็นเซอร์จากเพชรในการสแกนวงจรภายในชิปแบบไม่รุกราน บริษัท EuQlid ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Harvard, Yale และ Texas Instruments ได้เปิดตัว Qu-MRI หลังจากพัฒนาในโหมดลับมานาน โดยใช้เทคนิค Quantum NV-diamond magnetometry ร่วมกับ AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง เพื่อสร้างแผนที่กระแสไฟฟ้าที่ฝังอยู่ภายในชิปแบบละเอียด บริษัท EuQlid ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Harvard, Yale และ Texas Instruments ได้เปิดตัว Qu-MRI หลังจากพัฒนาในโหมดลับมานาน โดยใช้เทคนิค Quantum NV-diamond magnetometry ร่วมกับ AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง เพื่อสร้างแผนที่กระแสไฟฟ้าที่ฝังอยู่ภายในชิปแบบละเอียด 🧠 AI + ควอนตัม = การตรวจสอบที่แม่นยำและรวดเร็ว Qu-MRI ไม่เพียงแต่ตรวจจับข้อผิดพลาดในชิปได้เร็วขึ้น แต่ยังสามารถใช้ในสายการผลิตจริงแบบ inline ได้ทันที ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพของชิป โดยเฉพาะในยุคที่ 3D IC และ HBM (High Bandwidth Memory) กำลังเติบโต 💰 ตลาดใหญ่และการลงทุนที่หลั่งไหล ตลาดเครื่องมือวัดและตรวจสอบเซมิคอนดักเตอร์มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว EuQlid ได้รับเงินลงทุนแล้วกว่า 3 ล้านดอลลาร์ และมีรายได้จากลูกค้าในช่วงแรกกว่า 1.5 ล้านดอลลาร์ โดยมีลูกค้าในวงการวิจัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก ✅ Qu-MRI: เทคโนโลยีสแกนชิปแบบไม่ทำลาย ➡️ ใช้ Quantum NV-diamond magnetometry ตรวจจับกระแสไฟฟ้าฝังในชิป ➡️ ไม่ต้องสัมผัสหรือทำลายชั้นของชิป ➡️ ตรวจสอบได้แม้ในสายการผลิตจริง ✅ ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ ลดต้นทุนการตรวจสอบและการผลิต ➡️ ตรวจจับข้อผิดพลาดในชิป 3D IC และ HBM ได้แม่นยำ ➡️ เพิ่มคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ ✅ การผสาน AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจากการสแกนได้รวดเร็วและแม่นยำ ➡️ รองรับการตรวจสอบ CPU และ GPU ที่ทำงานอยู่ ✅ การเติบโตของ EuQlid ➡️ ได้รับเงินลงทุนจาก QDNL Participations กว่า 3 ล้านดอลลาร์ ➡️ มีลูกค้าในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Harvard, NYU, Oxford ‼️ ความท้าทายของการตรวจสอบชิปแบบเดิม ⛔ ต้องบดหรือผ่าชั้นของชิปเพื่อดูภายใน ⛔ ใช้เวลานานและทำลายชิ้นงาน ⛔ ไม่สามารถใช้ในสายการผลิตแบบเรียลไทม์ ‼️ ความซับซ้อนของชิปยุคใหม่ ⛔ 3D IC และ HBM มีโครงสร้างซับซ้อน ตรวจสอบยาก ⛔ ข้อผิดพลาดที่ฝังลึกอาจไม่ถูกตรวจพบด้วยวิธีเดิม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/quantum-diamond-scanner-delivers-non-invasive-3d-imaging-of-semiconductors-euqlid-qu-mri-could-save-chip-foundries-billions-of-dollars
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: ไม่ต้องปัดขวาอีกต่อไป — AI กำลังพลิกโฉมแอปหาคู่

    AI กำลังเปลี่ยนวิธีการจับคู่ในแอปหาคู่จากการปัดขวาแบบเดิมๆ ไปสู่การจับคู่แบบเจาะลึกผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมและความชอบส่วนบุคคล โดยทั้งสตาร์ทอัพและแอปใหญ่ต่างเร่งพัฒนา AI matchmaker เพื่อแก้ปัญหา “วงจรแห่งความสิ้นหวัง” ที่ผู้ใช้มักเจอในแอปหาคู่แบบเก่า.

    Emma Inge หญิงสาววัย 25 ปีจากซานฟรานซิสโก เบื่อหน่ายกับการปัดขวาใน Tinder และ Hinge จึงลองใช้บริการของ Known สตาร์ทอัพที่ใช้ AI chatbot เป็นแม่สื่อ เธอใช้เวลา 20 นาทีพูดคุยกับ AI ผ่านโทรศัพท์ บอกความชอบและข้อห้าม จากนั้นหนึ่งสัปดาห์ก็ได้รับการจับคู่ — จ่ายครั้งเดียว US$25 เพื่อไปเจอกันที่บาร์

    แม้จะโดน ghosted หลังเดทแรก แต่เธอยอมรับว่า “AI จับคู่ได้ดี แต่คนจริงๆ นั่นแหละที่ไม่เวิร์ก”

    บริษัทใหญ่ก็ไม่ยอมตกเทรนด์:
    Tinder กำลังทดสอบฟีเจอร์ “Chemistry” ที่ให้ AI สแกนรูปภาพในมือถือเพื่อเรียนรู้ผู้ใช้
    Hinge ใช้ generative AI ปรับอัลกอริธึมจนจำนวนการจับคู่เพิ่มขึ้น 15%
    Bumble เตรียมเปิดตัวแอปจับคู่ด้วย AI ภายในปีนี้

    นอกจากนี้ยังมีการทดลองฟีเจอร์ล้ำๆ เช่น:
    AI dating coach ที่ให้คำแนะนำหลังเดท
    AI clones ที่จับคู่กันเองแล้วรายงานผลให้เจ้าของ

    แต่ก็มีเสียงต้านจากผู้ใช้ที่ไม่ชอบ “AI slop” หรือระบบอัตโนมัติที่มากเกินไป บางแอปจึงเลือกไม่เปิดเผยว่าใช้ AI อยู่

    การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแอปหาคู่
    จากระบบปัดขวาไปสู่การจับคู่แบบเจาะลึกด้วย AI
    ผู้ใช้จ่ายต่อการจับคู่แทนการสมัครสมาชิกรายเดือน
    สตาร์ทอัพอย่าง Known ใช้ AI chatbot เป็นแม่สื่อ

    การปรับตัวของแอปใหญ่
    Tinder ทดสอบฟีเจอร์ “Chemistry” สแกนรูปเพื่อเรียนรู้ผู้ใช้
    Hinge ใช้ generative AI ปรับอัลกอริธึมเพิ่มการจับคู่
    Bumble เตรียมเปิดตัวแอป AI matchmaking

    ฟีเจอร์ AI ที่กำลังทดลอง
    AI dating coach ให้คำแนะนำหลังเดท
    AI clones ทดลองจับคู่กันเอง
    Facebook Dating ให้ผู้ใช้พิมพ์ลักษณะคู่ในฝันเพื่อจับคู่

    คำเตือนจากผู้ใช้และนักวิเคราะห์
    “วงจรแห่งความสิ้นหวัง” จากการใช้แอปหาคู่แบบเดิมยังคงอยู่
    การใช้ AI มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ
    การเปิดให้ AI เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ อาจเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/you-dont-need-to-swipe-right-ai-is-transforming-dating-apps
    💘 หัวข้อข่าว: ไม่ต้องปัดขวาอีกต่อไป — AI กำลังพลิกโฉมแอปหาคู่ AI กำลังเปลี่ยนวิธีการจับคู่ในแอปหาคู่จากการปัดขวาแบบเดิมๆ ไปสู่การจับคู่แบบเจาะลึกผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมและความชอบส่วนบุคคล โดยทั้งสตาร์ทอัพและแอปใหญ่ต่างเร่งพัฒนา AI matchmaker เพื่อแก้ปัญหา “วงจรแห่งความสิ้นหวัง” ที่ผู้ใช้มักเจอในแอปหาคู่แบบเก่า. Emma Inge หญิงสาววัย 25 ปีจากซานฟรานซิสโก เบื่อหน่ายกับการปัดขวาใน Tinder และ Hinge จึงลองใช้บริการของ Known สตาร์ทอัพที่ใช้ AI chatbot เป็นแม่สื่อ เธอใช้เวลา 20 นาทีพูดคุยกับ AI ผ่านโทรศัพท์ บอกความชอบและข้อห้าม จากนั้นหนึ่งสัปดาห์ก็ได้รับการจับคู่ — จ่ายครั้งเดียว US$25 เพื่อไปเจอกันที่บาร์ แม้จะโดน ghosted หลังเดทแรก แต่เธอยอมรับว่า “AI จับคู่ได้ดี แต่คนจริงๆ นั่นแหละที่ไม่เวิร์ก” บริษัทใหญ่ก็ไม่ยอมตกเทรนด์: 🔖 Tinder กำลังทดสอบฟีเจอร์ “Chemistry” ที่ให้ AI สแกนรูปภาพในมือถือเพื่อเรียนรู้ผู้ใช้ 🔖 Hinge ใช้ generative AI ปรับอัลกอริธึมจนจำนวนการจับคู่เพิ่มขึ้น 15% 🔖 Bumble เตรียมเปิดตัวแอปจับคู่ด้วย AI ภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีการทดลองฟีเจอร์ล้ำๆ เช่น: 🔖 AI dating coach ที่ให้คำแนะนำหลังเดท 🔖 AI clones ที่จับคู่กันเองแล้วรายงานผลให้เจ้าของ แต่ก็มีเสียงต้านจากผู้ใช้ที่ไม่ชอบ “AI slop” หรือระบบอัตโนมัติที่มากเกินไป บางแอปจึงเลือกไม่เปิดเผยว่าใช้ AI อยู่ ✅ การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแอปหาคู่ ➡️ จากระบบปัดขวาไปสู่การจับคู่แบบเจาะลึกด้วย AI ➡️ ผู้ใช้จ่ายต่อการจับคู่แทนการสมัครสมาชิกรายเดือน ➡️ สตาร์ทอัพอย่าง Known ใช้ AI chatbot เป็นแม่สื่อ ✅ การปรับตัวของแอปใหญ่ ➡️ Tinder ทดสอบฟีเจอร์ “Chemistry” สแกนรูปเพื่อเรียนรู้ผู้ใช้ ➡️ Hinge ใช้ generative AI ปรับอัลกอริธึมเพิ่มการจับคู่ ➡️ Bumble เตรียมเปิดตัวแอป AI matchmaking ✅ ฟีเจอร์ AI ที่กำลังทดลอง ➡️ AI dating coach ให้คำแนะนำหลังเดท ➡️ AI clones ทดลองจับคู่กันเอง ➡️ Facebook Dating ให้ผู้ใช้พิมพ์ลักษณะคู่ในฝันเพื่อจับคู่ ‼️ คำเตือนจากผู้ใช้และนักวิเคราะห์ ⛔ “วงจรแห่งความสิ้นหวัง” จากการใช้แอปหาคู่แบบเดิมยังคงอยู่ ⛔ การใช้ AI มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ⛔ การเปิดให้ AI เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ อาจเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/you-dont-need-to-swipe-right-ai-is-transforming-dating-apps
    WWW.THESTAR.COM.MY
    You don't need to swipe right. AI is transforming dating apps.
    Meet your artificial intelligence matchmakers. These A.I. tools are changing dating apps, so users don't have to swipe through an endless scroll of profiles.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์เจาะระบบ Nikkei – ขโมยข้อมูลส่วนตัวและ Slack กว่า 17,000 รายการ”

    ในเดือนกันยายน 2025 บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น “Nikkei Inc.” เจ้าของหนังสือพิมพ์ The Nikkei และดัชนีหุ้น Nikkei 225 พบว่ามีการเข้าถึงบัญชี Slack ของพนักงานอย่างผิดปกติ หลังจากตรวจสอบพบว่าเกิดจากมัลแวร์ที่ติดในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนตัวของกว่า 17,000 คน รวมถึงประวัติการแชตใน Slack

    แฮกเกอร์ใช้ข้อมูลล็อกอินที่ขโมยไปจากเครื่องพนักงานเพื่อเข้าถึง Slack Workspace ภายในของบริษัท ซึ่งมีข้อมูลของพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจจำนวนมาก แม้ Nikkei จะยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุดออกไป แต่ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล และประวัติการสนทนา ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงในโลกไซเบอร์

    สิ่งที่น่ากังวลคือรูปแบบการโจมตีนี้คล้ายกับกรณีของ Change Healthcare ในปี 2024 ที่มีการขโมยข้อมูลของกว่า 190 ล้านคนเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ใช้วิธีล็อกระบบแบบ ransomware แต่ขู่จะเปิดเผยข้อมูลแทน

    Nikkei ถูกแฮกผ่านมัลแวร์ในเครื่องพนักงาน
    มัลแวร์ขโมยข้อมูลล็อกอิน Slack
    แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลของ 17,368 คน
    รวมถึงชื่อ อีเมล และประวัติการแชต

    การตอบสนองของบริษัท
    รีเซ็ตรหัสผ่านและจำกัดการเข้าถึง
    แจ้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของญี่ปุ่น
    ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุด

    ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า
    Nikkei เคยสูญเงิน $29 ล้านจากการถูกหลอกให้โอนเงินในปี 2019
    Tech in Asia ก็เคยถูกแฮกในปี 2024 และข้อมูลผู้ใช้กว่า 221,000 รายถูกเปิดเผย

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    Mayank Kumar จาก DeepTempo ระบุว่าเป้าหมายของมัลแวร์คือการขโมยล็อกอินที่ถูกต้อง
    การโจมตีแบบนี้ยากต่อการตรวจจับ เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติ
    ระบบ SIEM ไม่สามารถแจ้งเตือนได้หากการล็อกอินถูกต้อง
    ระบบ NDR ก็ไม่สามารถตรวจสอบ payload ได้หากข้อมูลถูกเข้ารหัส

    ความเสี่ยงจากการใช้เครื่องส่วนตัวในการทำงาน
    มัลแวร์สามารถเจาะระบบผ่านเครื่องที่ไม่มีการป้องกัน
    ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมยสามารถใช้เข้าถึงระบบภายในได้
    การแยกงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องโหว่

    ความท้าทายในการตรวจจับการโจมตีแบบ “แฝงตัว”
    การใช้งานที่ดูเหมือนปกติทำให้ระบบความปลอดภัยไม่แจ้งเตือน
    การเข้ารหัสข้อมูลทำให้ตรวจสอบ payload ได้ยาก
    การขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลแทนการล็อกระบบเป็นแนวโน้มใหม่ของแฮกเกอร์

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อมูลล็อกอิน” กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องก้าวข้ามการตรวจจับแบบเดิมๆ ไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้น

    https://hackread.com/nikkei-data-breach-hackers-steal-data-slack-messages/
    🕵️‍♂️ “แฮกเกอร์เจาะระบบ Nikkei – ขโมยข้อมูลส่วนตัวและ Slack กว่า 17,000 รายการ” ในเดือนกันยายน 2025 บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น “Nikkei Inc.” เจ้าของหนังสือพิมพ์ The Nikkei และดัชนีหุ้น Nikkei 225 พบว่ามีการเข้าถึงบัญชี Slack ของพนักงานอย่างผิดปกติ หลังจากตรวจสอบพบว่าเกิดจากมัลแวร์ที่ติดในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนตัวของกว่า 17,000 คน รวมถึงประวัติการแชตใน Slack แฮกเกอร์ใช้ข้อมูลล็อกอินที่ขโมยไปจากเครื่องพนักงานเพื่อเข้าถึง Slack Workspace ภายในของบริษัท ซึ่งมีข้อมูลของพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจจำนวนมาก แม้ Nikkei จะยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุดออกไป แต่ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล และประวัติการสนทนา ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงในโลกไซเบอร์ สิ่งที่น่ากังวลคือรูปแบบการโจมตีนี้คล้ายกับกรณีของ Change Healthcare ในปี 2024 ที่มีการขโมยข้อมูลของกว่า 190 ล้านคนเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ใช้วิธีล็อกระบบแบบ ransomware แต่ขู่จะเปิดเผยข้อมูลแทน ✅ Nikkei ถูกแฮกผ่านมัลแวร์ในเครื่องพนักงาน ➡️ มัลแวร์ขโมยข้อมูลล็อกอิน Slack ➡️ แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลของ 17,368 คน ➡️ รวมถึงชื่อ อีเมล และประวัติการแชต ✅ การตอบสนองของบริษัท ➡️ รีเซ็ตรหัสผ่านและจำกัดการเข้าถึง ➡️ แจ้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของญี่ปุ่น ➡️ ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุด ✅ ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า ➡️ Nikkei เคยสูญเงิน $29 ล้านจากการถูกหลอกให้โอนเงินในปี 2019 ➡️ Tech in Asia ก็เคยถูกแฮกในปี 2024 และข้อมูลผู้ใช้กว่า 221,000 รายถูกเปิดเผย ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ Mayank Kumar จาก DeepTempo ระบุว่าเป้าหมายของมัลแวร์คือการขโมยล็อกอินที่ถูกต้อง ➡️ การโจมตีแบบนี้ยากต่อการตรวจจับ เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติ ➡️ ระบบ SIEM ไม่สามารถแจ้งเตือนได้หากการล็อกอินถูกต้อง ➡️ ระบบ NDR ก็ไม่สามารถตรวจสอบ payload ได้หากข้อมูลถูกเข้ารหัส ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้เครื่องส่วนตัวในการทำงาน ⛔ มัลแวร์สามารถเจาะระบบผ่านเครื่องที่ไม่มีการป้องกัน ⛔ ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมยสามารถใช้เข้าถึงระบบภายในได้ ⛔ การแยกงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องโหว่ ‼️ ความท้าทายในการตรวจจับการโจมตีแบบ “แฝงตัว” ⛔ การใช้งานที่ดูเหมือนปกติทำให้ระบบความปลอดภัยไม่แจ้งเตือน ⛔ การเข้ารหัสข้อมูลทำให้ตรวจสอบ payload ได้ยาก ⛔ การขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลแทนการล็อกระบบเป็นแนวโน้มใหม่ของแฮกเกอร์ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อมูลล็อกอิน” กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องก้าวข้ามการตรวจจับแบบเดิมๆ ไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้น https://hackread.com/nikkei-data-breach-hackers-steal-data-slack-messages/
    HACKREAD.COM
    Hackers Steal Personal Data and 17K Slack Messages in Nikkei Data Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • Fwupd 2.0.17 มาแล้ว! เพิ่มการรองรับ SSD และอุปกรณ์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์อัปเดตสุดล้ำ

    Fwupd 2.0.17 เวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมืออัปเดตเฟิร์มแวร์บน Linux ได้เปิดตัวแล้ว โดยมาพร้อมการรองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลายชนิด รวมถึงฟีเจอร์ที่ช่วยให้การอัปเดตปลอดภัยและแม่นยำยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุมการอัปเดตฮาร์ดแวร์อย่างมืออาชีพ.

    Fwupd เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถอัปเดตเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย โดยเวอร์ชัน 2.0.17 นี้ถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น SSD จาก Lexar และ Maxio, เมาส์ Primax Ryder 2, กล้อง Huddly C1, คีย์บอร์ด Framework Copilot และชิป Genesys GL352530/GL352360

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น การรองรับการอัปเดตแบบ phased deployment ฝั่ง client, การใช้ลายเซ็น post-quantum เพื่อความปลอดภัยในอนาคต, และการ dump ข้อมูล eventlog แบบ raw เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก

    เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
    Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการถอดรหัสโดยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต
    Phased deployment ช่วยลดความเสี่ยงจากการอัปเดตผิดพลาด โดยทยอยปล่อยอัปเดตให้กลุ่มผู้ใช้ทีละส่วน
    การ dump eventlog แบบ raw ช่วยให้สามารถตรวจสอบปัญหาเฟิร์มแวร์ได้อย่างละเอียด

    รองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลาย
    Lexar และ Maxio NVMe SSDs, ASUS CX9406, Framework Copilot keyboard, Primax Ryder 2 mouse, Huddly C1, Genesys GL352530/GL352360

    เพิ่มฟีเจอร์ client-side phased update deployment
    ช่วยให้การอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นไปอย่างปลอดภัยและควบคุมได้

    รองรับ post-quantum signatures
    เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจาก quantum computing

    เพิ่มคำสั่ง fwupdtpmevlog สำหรับ dump eventlog
    เหมาะสำหรับนักวิเคราะห์ระบบและผู้ดูแลเครือข่าย

    รองรับ UDisks รุ่นเก่าและปรับปรุง manpage
    เพิ่มความเข้ากันได้และความเข้าใจในการใช้งาน

    รองรับการ parsing VSS/FTW จาก EFI volumes
    ช่วยให้การจัดการ BIOS และ EFI มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ปรับปรุงการจัดการ composite devices และ BIOS region
    ลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งและอัปเดต

    ปรับปรุงการอัปเดต Logitech peripherals และ Dell dock firmware
    เพิ่มความเสถียรและลดข้อผิดพลาดในการใช้งานจริง

    ผู้ใช้ควรอัปเดตผ่าน repository ที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ

    การใช้งานฟีเจอร์ใหม่อาจต้องศึกษาคำสั่งเพิ่มเติม เช่น fwupdtpmevlog หรือการจัดการ GUID จาก serial number

    https://9to5linux.com/fwupd-2-0-17-released-with-support-for-lexar-and-maxio-nvme-ssds
    🛠️ Fwupd 2.0.17 มาแล้ว! เพิ่มการรองรับ SSD และอุปกรณ์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์อัปเดตสุดล้ำ Fwupd 2.0.17 เวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมืออัปเดตเฟิร์มแวร์บน Linux ได้เปิดตัวแล้ว โดยมาพร้อมการรองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลายชนิด รวมถึงฟีเจอร์ที่ช่วยให้การอัปเดตปลอดภัยและแม่นยำยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุมการอัปเดตฮาร์ดแวร์อย่างมืออาชีพ. Fwupd เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถอัปเดตเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย โดยเวอร์ชัน 2.0.17 นี้ถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น SSD จาก Lexar และ Maxio, เมาส์ Primax Ryder 2, กล้อง Huddly C1, คีย์บอร์ด Framework Copilot และชิป Genesys GL352530/GL352360 นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น การรองรับการอัปเดตแบบ phased deployment ฝั่ง client, การใช้ลายเซ็น post-quantum เพื่อความปลอดภัยในอนาคต, และการ dump ข้อมูล eventlog แบบ raw เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก 📚 เกร็ดความรู้เพิ่มเติม 💠 Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการถอดรหัสโดยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต 💠 Phased deployment ช่วยลดความเสี่ยงจากการอัปเดตผิดพลาด โดยทยอยปล่อยอัปเดตให้กลุ่มผู้ใช้ทีละส่วน 💠 การ dump eventlog แบบ raw ช่วยให้สามารถตรวจสอบปัญหาเฟิร์มแวร์ได้อย่างละเอียด ✅ รองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลาย ➡️ Lexar และ Maxio NVMe SSDs, ASUS CX9406, Framework Copilot keyboard, Primax Ryder 2 mouse, Huddly C1, Genesys GL352530/GL352360 ✅ เพิ่มฟีเจอร์ client-side phased update deployment ➡️ ช่วยให้การอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นไปอย่างปลอดภัยและควบคุมได้ ✅ รองรับ post-quantum signatures ➡️ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจาก quantum computing ✅ เพิ่มคำสั่ง fwupdtpmevlog สำหรับ dump eventlog ➡️ เหมาะสำหรับนักวิเคราะห์ระบบและผู้ดูแลเครือข่าย ✅ รองรับ UDisks รุ่นเก่าและปรับปรุง manpage ➡️ เพิ่มความเข้ากันได้และความเข้าใจในการใช้งาน ✅ รองรับการ parsing VSS/FTW จาก EFI volumes ➡️ ช่วยให้การจัดการ BIOS และ EFI มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ปรับปรุงการจัดการ composite devices และ BIOS region ➡️ ลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งและอัปเดต ✅ ปรับปรุงการอัปเดต Logitech peripherals และ Dell dock firmware ➡️ เพิ่มความเสถียรและลดข้อผิดพลาดในการใช้งานจริง ‼️ ผู้ใช้ควรอัปเดตผ่าน repository ที่ปลอดภัย ⛔ หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ ‼️ การใช้งานฟีเจอร์ใหม่อาจต้องศึกษาคำสั่งเพิ่มเติม ⛔ เช่น fwupdtpmevlog หรือการจัดการ GUID จาก serial number https://9to5linux.com/fwupd-2-0-17-released-with-support-for-lexar-and-maxio-nvme-ssds
    9TO5LINUX.COM
    Fwupd 2.0.17 Released with Support for Lexar and Maxio NVMe SSDs - 9to5Linux
    Fwupd 2.0.17 Linux firmware updater is now available for download with support for ASUS CX9406 touch controller, Framework Copilot keyboard.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนภัยไซเบอร์! ช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ VizAir เสี่ยงต่อความปลอดภัยการบินทั่วโลก

    CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ออกประกาศเตือนด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในระบบตรวจอากาศ VizAir ที่ใช้ในสนามบินทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้มีคะแนน CVSS สูงสุดที่ 10.0 ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตีและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเที่ยวบิน

    Radiometrics VizAir เป็นระบบตรวจอากาศที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลสำคัญ เช่น ลมเฉือน (wind shear), การกลับด้านของอุณหภูมิ (temperature inversion), และ CAPE (Convective Available Potential Energy) เพื่อช่วยในการวางแผนการบินและการจัดการรันเวย์

    CISA ระบุว่ามีช่องโหว่ 3 รายการที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถ:
    เข้าถึงแผงควบคุมโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    แก้ไขข้อมูลอากาศแบบเรียลไทม์
    ปิดการแจ้งเตือนความเสี่ยง
    ดึงข้อมูลอากาศที่เป็นความลับ
    สร้างความสับสนให้กับระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ

    Radiometrics ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันเดือนสิงหาคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตทันที พร้อมตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้รัดกุม

    สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-61945: เข้าถึงแผงควบคุม VizAir โดยไม่ต้องล็อกอิน
    ผู้โจมตีสามารถแก้ไขข้อมูลลมเฉือน, inversion depth และ CAPE ได้ทันที

    ช่องโหว่ CVE-2025-54863: การเปิดเผย API key ผ่านไฟล์ config
    ทำให้สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและดึงข้อมูลอากาศได้

    ช่องโหว่ CVE-2025-61956: ไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในการเรียก API
    ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนการตั้งค่ารันเวย์และข้อมูลที่ส่งไปยัง ATC ได้

    VizAir ใช้ในสนามบินทั่วโลกเพื่อวิเคราะห์สภาพอากาศ
    มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจด้านความปลอดภัยการบิน

    Radiometrics ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 08/2025
    ผู้ใช้งานควรอัปเดตทันทีและตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้ปลอดภัย

    ช่องโหว่ทั้งหมดมีคะแนน CVSS 10.0
    หมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตี

    หากระบบ VizAir ถูกโจมตี อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางอากาศ
    เช่น การจัดรันเวย์ผิดพลาด, การแจ้งเตือนลมเฉือนไม่ทำงาน

    ระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูง
    โดยเฉพาะหากเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะหรือไม่มีการยืนยันตัวตน

    เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
    CAPE เป็นค่าที่ใช้วัดพลังงานในบรรยากาศที่อาจทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งมีผลต่อการวางแผนการบิน
    การโจมตีระบบตรวจอากาศอาจไม่ใช่แค่เรื่องข้อมูลผิดพลาด แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินโดยตรง
    การแยกระบบออกจากเครือข่ายสาธารณะและใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการป้องกันการโจมตีลักษณะนี้

    นี่คือการเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม—เพราะความปลอดภัยของผู้โดยสารหลายพันคนอาจขึ้นอยู่กับการอัปเดตระบบเพียงครั้งเดียว

    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-vizair-flaws-cvss-10-0-expose-airport-weather-systems-to-unauthenticated-manipulation/
    ✈️ เตือนภัยไซเบอร์! ช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ VizAir เสี่ยงต่อความปลอดภัยการบินทั่วโลก CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ออกประกาศเตือนด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในระบบตรวจอากาศ VizAir ที่ใช้ในสนามบินทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้มีคะแนน CVSS สูงสุดที่ 10.0 ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตีและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเที่ยวบิน Radiometrics VizAir เป็นระบบตรวจอากาศที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลสำคัญ เช่น ลมเฉือน (wind shear), การกลับด้านของอุณหภูมิ (temperature inversion), และ CAPE (Convective Available Potential Energy) เพื่อช่วยในการวางแผนการบินและการจัดการรันเวย์ CISA ระบุว่ามีช่องโหว่ 3 รายการที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถ: 📍 เข้าถึงแผงควบคุมโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน 📍 แก้ไขข้อมูลอากาศแบบเรียลไทม์ 📍 ปิดการแจ้งเตือนความเสี่ยง 📍 ดึงข้อมูลอากาศที่เป็นความลับ 📍 สร้างความสับสนให้กับระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ Radiometrics ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันเดือนสิงหาคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตทันที พร้อมตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้รัดกุม 📌 สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-61945: เข้าถึงแผงควบคุม VizAir โดยไม่ต้องล็อกอิน ➡️ ผู้โจมตีสามารถแก้ไขข้อมูลลมเฉือน, inversion depth และ CAPE ได้ทันที ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-54863: การเปิดเผย API key ผ่านไฟล์ config ➡️ ทำให้สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและดึงข้อมูลอากาศได้ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-61956: ไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในการเรียก API ➡️ ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนการตั้งค่ารันเวย์และข้อมูลที่ส่งไปยัง ATC ได้ ✅ VizAir ใช้ในสนามบินทั่วโลกเพื่อวิเคราะห์สภาพอากาศ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจด้านความปลอดภัยการบิน ✅ Radiometrics ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 08/2025 ➡️ ผู้ใช้งานควรอัปเดตทันทีและตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้ปลอดภัย ‼️ ช่องโหว่ทั้งหมดมีคะแนน CVSS 10.0 ⛔ หมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตี ‼️ หากระบบ VizAir ถูกโจมตี อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางอากาศ ⛔ เช่น การจัดรันเวย์ผิดพลาด, การแจ้งเตือนลมเฉือนไม่ทำงาน ‼️ ระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูง ⛔ โดยเฉพาะหากเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะหรือไม่มีการยืนยันตัวตน 📚 เกร็ดความรู้เพิ่มเติม 🎗️ CAPE เป็นค่าที่ใช้วัดพลังงานในบรรยากาศที่อาจทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งมีผลต่อการวางแผนการบิน 🎗️ การโจมตีระบบตรวจอากาศอาจไม่ใช่แค่เรื่องข้อมูลผิดพลาด แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินโดยตรง 🎗️ การแยกระบบออกจากเครือข่ายสาธารณะและใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ นี่คือการเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม—เพราะความปลอดภัยของผู้โดยสารหลายพันคนอาจขึ้นอยู่กับการอัปเดตระบบเพียงครั้งเดียว 🛫🔐 https://securityonline.info/cisa-warns-critical-vizair-flaws-cvss-10-0-expose-airport-weather-systems-to-unauthenticated-manipulation/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA Warns: Critical VizAir Flaws (CVSS 10.0) Expose Airport Weather Systems to Unauthenticated Manipulation
    CISA warned of three Critical flaws (CVSS 10.0) in Radiometrics VizAir weather systems. Unauthenticated attackers can manipulate wind shear alerts and runway configurations, risking hazardous flight conditions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฮกเกอร์เหนือชั้น! กลุ่ม Curly COMrades ซ่อนมัลแวร์ใน VM บน Hyper-V หลบ EDR ได้แนบเนียน

    เรื่องนี้ต้องเล่าให้ฟัง เพราะมันคือหนึ่งในเทคนิคการโจมตีที่ “ล้ำลึกและแนบเนียน” ที่สุดในปี 2025 เมื่อกลุ่มแฮกเกอร์ระดับรัฐจากรัสเซียที่รู้จักกันในชื่อ “Curly COMrades” ได้ใช้เทคโนโลยี Hyper-V ของ Microsoft เพื่อซ่อนมัลแวร์ไว้ในเครื่องเสมือน (VM) ที่ตรวจจับแทบไม่ได้ด้วยเครื่องมือ EDR (Endpoint Detection and Response) ทั่วไป

    แฮกเกอร์กลุ่มนี้เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 โดยมุ่งเป้าไปที่องค์กรในยุโรปตะวันออกและแถบคอเคซัส พวกเขาใช้เทคนิคเปิดใช้งาน Hyper-V บนเครื่อง Windows 10 ที่ถูกเจาะ แล้วติดตั้ง Alpine Linux VM ขนาดเล็กเพียง 120MB ซึ่งภายในมีมัลแวร์ 2 ตัวคือ CurlyShell และ CurlCat

    VM นี้ถูกตั้งชื่อหลอกว่า “WSL” เพื่อให้ดูเหมือน Windows Subsystem for Linux ทั้งที่จริงแล้วเป็น Hyper-V VM แยกต่างหากอย่างสมบูรณ์

    CurlyShell ทำหน้าที่เป็น reverse shell ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ผ่าน HTTPS ส่วน CurlCat ทำหน้าที่เป็น reverse proxy โดยใช้ SSH over HTTP เพื่อส่งข้อมูลแบบเข้ารหัสกลับไปยังผู้ควบคุม

    นอกจากนี้ยังมีการใช้ PowerShell script ขั้นสูง เช่น kb_upd.ps1 ที่สามารถ inject Kerberos ticket เข้าไปใน LSASS เพื่อเข้าถึงระบบอื่นในเครือข่าย และ screensaver.ps1 ที่สามารถสร้างหรือรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชีผู้ใช้ในเครื่องได้โดยอัตโนมัติ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    การใช้ VM ซ่อนมัลแวร์เป็นแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “Virtualization-based Evasion” ซึ่งยากต่อการตรวจจับเพราะ VM ทำงานแยกจากระบบหลัก
    การตั้งชื่อ VM ว่า “WSL” เป็นการใช้เทคนิค deception เพื่อหลอกผู้ดูแลระบบให้เข้าใจผิดว่าเป็นระบบปกติ
    การใช้ libcurl และ Base64 แบบดัดแปลงช่วยให้การสื่อสารของมัลแวร์ไม่ถูกตรวจจับโดยระบบวิเคราะห์ทราฟฟิกทั่วไป
    การใช้ PowerShell และ Kerberos ticket injection เป็นเทคนิคที่นิยมในกลุ่มแฮกเกอร์ระดับสูง เพราะสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่านจริง

    เทคนิคการโจมตีของ Curly COMrades
    ใช้ Hyper-V สร้าง VM ซ่อนมัลแวร์
    ติดตั้ง Alpine Linux VM ขนาดเล็กเพียง 120MB
    ใช้ชื่อ VM ว่า “WSL” เพื่อหลอกผู้ดูแลระบบ
    ใช้ CurlyShell และ CurlCat สำหรับควบคุมและส่งข้อมูล
    ใช้ PowerShell script เพื่อคงอยู่ในระบบและเคลื่อนไหวภายในเครือข่าย

    จุดเด่นของมัลแวร์
    CurlyShell: reverse shell ที่สื่อสารผ่าน HTTPS
    CurlCat: reverse proxy ที่ใช้ SSH over HTTP
    เขียนด้วย C++ และใช้ libcurl
    ใช้ Base64 แบบดัดแปลงเพื่อหลบการตรวจจับ
    มีการจัดการสิทธิ์และบัญชีผู้ใช้ในเครื่องอย่างแนบเนียน

    การค้นพบและวิเคราะห์
    Bitdefender ร่วมมือกับ CERT ของจอร์เจีย
    พบการใช้ iptables filter เฉพาะเหยื่อ
    ใช้ fake TLS certificate เพื่อพรางตัว
    ใช้เว็บเซิร์ฟเวอร์เป็น proxy สำหรับ C2

    คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบองค์กร
    อย่ามองข้าม VM ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย เช่น “WSL”
    ควรตรวจสอบการเปิดใช้งาน Hyper-V บนเครื่องผู้ใช้
    ตรวจสอบ PowerShell script ที่รันอัตโนมัติในระบบ
    ใช้ EDR ที่สามารถตรวจจับพฤติกรรม VM และการใช้ PowerShell ขั้นสูง
    แยกสิทธิ์ผู้ใช้และจำกัดการเข้าถึง Hyper-V เฉพาะผู้ที่จำเป็น

    นี่ไม่ใช่แค่มัลแวร์ธรรมดา แต่มันคือ “การซ่อนตัวในโลกเสมือน” ที่ทำให้แฮกเกอร์สามารถอยู่ในระบบของคุณได้นานโดยไม่มีใครรู้ตัว… และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด.

    https://securityonline.info/curly-comrades-apt-bypasses-edr-by-hiding-linux-backdoor-inside-covert-hyper-v-vm/
    🧠 แฮกเกอร์เหนือชั้น! กลุ่ม Curly COMrades ซ่อนมัลแวร์ใน VM บน Hyper-V หลบ EDR ได้แนบเนียน เรื่องนี้ต้องเล่าให้ฟัง เพราะมันคือหนึ่งในเทคนิคการโจมตีที่ “ล้ำลึกและแนบเนียน” ที่สุดในปี 2025 เมื่อกลุ่มแฮกเกอร์ระดับรัฐจากรัสเซียที่รู้จักกันในชื่อ “Curly COMrades” ได้ใช้เทคโนโลยี Hyper-V ของ Microsoft เพื่อซ่อนมัลแวร์ไว้ในเครื่องเสมือน (VM) ที่ตรวจจับแทบไม่ได้ด้วยเครื่องมือ EDR (Endpoint Detection and Response) ทั่วไป แฮกเกอร์กลุ่มนี้เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 โดยมุ่งเป้าไปที่องค์กรในยุโรปตะวันออกและแถบคอเคซัส พวกเขาใช้เทคนิคเปิดใช้งาน Hyper-V บนเครื่อง Windows 10 ที่ถูกเจาะ แล้วติดตั้ง Alpine Linux VM ขนาดเล็กเพียง 120MB ซึ่งภายในมีมัลแวร์ 2 ตัวคือ CurlyShell และ CurlCat VM นี้ถูกตั้งชื่อหลอกว่า “WSL” เพื่อให้ดูเหมือน Windows Subsystem for Linux ทั้งที่จริงแล้วเป็น Hyper-V VM แยกต่างหากอย่างสมบูรณ์ CurlyShell ทำหน้าที่เป็น reverse shell ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ผ่าน HTTPS ส่วน CurlCat ทำหน้าที่เป็น reverse proxy โดยใช้ SSH over HTTP เพื่อส่งข้อมูลแบบเข้ารหัสกลับไปยังผู้ควบคุม นอกจากนี้ยังมีการใช้ PowerShell script ขั้นสูง เช่น kb_upd.ps1 ที่สามารถ inject Kerberos ticket เข้าไปใน LSASS เพื่อเข้าถึงระบบอื่นในเครือข่าย และ screensaver.ps1 ที่สามารถสร้างหรือรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชีผู้ใช้ในเครื่องได้โดยอัตโนมัติ 📚 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🎗️ การใช้ VM ซ่อนมัลแวร์เป็นแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “Virtualization-based Evasion” ซึ่งยากต่อการตรวจจับเพราะ VM ทำงานแยกจากระบบหลัก 🎗️ การตั้งชื่อ VM ว่า “WSL” เป็นการใช้เทคนิค deception เพื่อหลอกผู้ดูแลระบบให้เข้าใจผิดว่าเป็นระบบปกติ 🎗️ การใช้ libcurl และ Base64 แบบดัดแปลงช่วยให้การสื่อสารของมัลแวร์ไม่ถูกตรวจจับโดยระบบวิเคราะห์ทราฟฟิกทั่วไป 🎗️ การใช้ PowerShell และ Kerberos ticket injection เป็นเทคนิคที่นิยมในกลุ่มแฮกเกอร์ระดับสูง เพราะสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่านจริง ✅ เทคนิคการโจมตีของ Curly COMrades ➡️ ใช้ Hyper-V สร้าง VM ซ่อนมัลแวร์ ➡️ ติดตั้ง Alpine Linux VM ขนาดเล็กเพียง 120MB ➡️ ใช้ชื่อ VM ว่า “WSL” เพื่อหลอกผู้ดูแลระบบ ➡️ ใช้ CurlyShell และ CurlCat สำหรับควบคุมและส่งข้อมูล ➡️ ใช้ PowerShell script เพื่อคงอยู่ในระบบและเคลื่อนไหวภายในเครือข่าย ✅ จุดเด่นของมัลแวร์ ➡️ CurlyShell: reverse shell ที่สื่อสารผ่าน HTTPS ➡️ CurlCat: reverse proxy ที่ใช้ SSH over HTTP ➡️ เขียนด้วย C++ และใช้ libcurl ➡️ ใช้ Base64 แบบดัดแปลงเพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ มีการจัดการสิทธิ์และบัญชีผู้ใช้ในเครื่องอย่างแนบเนียน ✅ การค้นพบและวิเคราะห์ ➡️ Bitdefender ร่วมมือกับ CERT ของจอร์เจีย ➡️ พบการใช้ iptables filter เฉพาะเหยื่อ ➡️ ใช้ fake TLS certificate เพื่อพรางตัว ➡️ ใช้เว็บเซิร์ฟเวอร์เป็น proxy สำหรับ C2 ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบองค์กร ⛔ อย่ามองข้าม VM ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย เช่น “WSL” ⛔ ควรตรวจสอบการเปิดใช้งาน Hyper-V บนเครื่องผู้ใช้ ⛔ ตรวจสอบ PowerShell script ที่รันอัตโนมัติในระบบ ⛔ ใช้ EDR ที่สามารถตรวจจับพฤติกรรม VM และการใช้ PowerShell ขั้นสูง ⛔ แยกสิทธิ์ผู้ใช้และจำกัดการเข้าถึง Hyper-V เฉพาะผู้ที่จำเป็น นี่ไม่ใช่แค่มัลแวร์ธรรมดา แต่มันคือ “การซ่อนตัวในโลกเสมือน” ที่ทำให้แฮกเกอร์สามารถอยู่ในระบบของคุณได้นานโดยไม่มีใครรู้ตัว… และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด. https://securityonline.info/curly-comrades-apt-bypasses-edr-by-hiding-linux-backdoor-inside-covert-hyper-v-vm/
    SECURITYONLINE.INFO
    Curly COMrades APT Bypasses EDR by Hiding Linux Backdoor Inside Covert Hyper-V VM
    Bitdefender exposed Curly COMrades (Russian APT) using Hyper-V to run a hidden Alpine Linux VM. The VM hosts the CurlyShell backdoor, effectively bypassing host-based EDR for espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 7

    Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย

    อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน

    ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า
    ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้

    ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917

    น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน

    สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่
    และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้

    ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน

    ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ

    แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร

    ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า

    เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 8 (ตอนจบ)

    ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

    น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้

    ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้
    เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น
    จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี

    เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย

    แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน
    และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ

    “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    11 พ.ค. 2558

    ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 7 Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้ ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917 น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่ และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้ ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 8 (ตอนจบ) ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้ ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้ เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 11 พ.ค. 2558 ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Manifold” พื้นฐานแห่งจักรวาลที่ซ่อนอยู่ในคณิตศาสตร์และฟิสิกส์

    ลองจินตนาการว่าคุณยืนอยู่กลางทุ่งกว้าง โลกดูแบนราบจากมุมมองของคุณ แต่เรารู้ดีว่าโลกกลม—นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิด “Manifold” หรือ “พหุพาค” ที่เปลี่ยนวิธีคิดของนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ทั่วโลก

    เรื่องเล่าจากอดีตสู่ปัจจุบัน
    ในศตวรรษที่ 19 Bernhard Riemann นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันได้เสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับ “พื้นที่” ที่ไม่จำกัดแค่แบบแบนราบแบบยุคลิด เขาเสนอว่าเราสามารถคิดถึงพื้นที่ที่โค้งงอได้ และสามารถมีมิติได้มากกว่าสามมิติที่เราคุ้นเคย แนวคิดนี้กลายเป็นรากฐานของ “Topology” หรือ “ภูมิรูปศาสตร์” และถูกนำไปใช้ในฟิสิกส์ โดยเฉพาะในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Einstein ที่มองว่า “อวกาศ-เวลา” คือ manifold สี่มิติที่โค้งงอจากแรงโน้มถ่วง

    Manifold คืออะไร?
    Manifold คือพื้นที่ที่เมื่อซูมเข้าไปใกล้ ๆ จะดูเหมือนพื้นที่ยุคลิด เช่น พื้นผิวโลกที่ดูแบนเมื่อมองจากจุดเล็ก ๆ แต่จริง ๆ แล้วโค้งเป็นทรงกลม หรือวงกลมที่ดูเหมือนเส้นตรงเมื่อมองใกล้ ๆ แต่ถ้าเป็นรูปเลขแปดที่ตัดกันตรงกลาง จะไม่ใช่ manifold เพราะจุดตัดนั้นไม่สามารถมองว่าเป็นพื้นที่ยุคลิดได้

    การใช้งานในโลกจริง
    Manifold ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่ยังใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น การทำความเข้าใจการทำงานของสมองจากข้อมูลนิวรอนนับพัน หรือการจำลองการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์และอนุภาคควอนตัม โดยใช้ manifold เป็นพื้นฐานในการคำนวณและจำลองพฤติกรรม

    เกร็ดเสริมจากภายนอก
    ใน Machine Learning มีเทคนิคชื่อ “Manifold Learning” ที่ใช้ลดมิติของข้อมูลเพื่อให้เข้าใจโครงสร้างภายใน เช่น t-SNE หรือ UMAP

    ในกราฟิก 3D การสร้างพื้นผิววัตถุที่สมจริงก็ใช้แนวคิด manifold เพื่อจัดการกับโครงสร้างพื้นผิวที่ซับซ้อน

    แนวคิดพื้นฐานของ Manifold
    เป็นพื้นที่ที่ดูเหมือนยุคลิดเมื่อมองใกล้ ๆ
    ถูกเสนอโดย Bernhard Riemann ในศตวรรษที่ 19
    เป็นจุดเริ่มต้นของวิชา Topology

    การประยุกต์ใช้ในฟิสิกส์
    Einstein ใช้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
    อวกาศ-เวลาเป็น manifold สี่มิติที่โค้งจากแรงโน้มถ่วง

    ตัวอย่างทางคณิตศาสตร์
    วงกลมเป็น manifold หนึ่งมิติ
    รูปเลขแปดไม่ใช่ manifold เพราะมีจุดตัดที่ไม่ยุคลิด

    การใช้งานในวิทยาการข้อมูล
    ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลนิวรอน
    ใช้จำลองการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์และอนุภาค

    การแบ่งพื้นที่ด้วยแผนที่ (Chart) และแอตลาส
    ใช้ชุดพิกัดเพื่ออธิบายแต่ละส่วนของ manifold
    เชื่อมโยงแผนที่ต่าง ๆ ด้วยกฎการแปลงพิกัด

    https://www.quantamagazine.org/what-is-a-manifold-20251103/
    🧠 "Manifold” พื้นฐานแห่งจักรวาลที่ซ่อนอยู่ในคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ลองจินตนาการว่าคุณยืนอยู่กลางทุ่งกว้าง โลกดูแบนราบจากมุมมองของคุณ แต่เรารู้ดีว่าโลกกลม—นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิด “Manifold” หรือ “พหุพาค” ที่เปลี่ยนวิธีคิดของนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ทั่วโลก 📜 เรื่องเล่าจากอดีตสู่ปัจจุบัน ในศตวรรษที่ 19 Bernhard Riemann นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันได้เสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับ “พื้นที่” ที่ไม่จำกัดแค่แบบแบนราบแบบยุคลิด เขาเสนอว่าเราสามารถคิดถึงพื้นที่ที่โค้งงอได้ และสามารถมีมิติได้มากกว่าสามมิติที่เราคุ้นเคย แนวคิดนี้กลายเป็นรากฐานของ “Topology” หรือ “ภูมิรูปศาสตร์” และถูกนำไปใช้ในฟิสิกส์ โดยเฉพาะในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Einstein ที่มองว่า “อวกาศ-เวลา” คือ manifold สี่มิติที่โค้งงอจากแรงโน้มถ่วง 🔍 Manifold คืออะไร? Manifold คือพื้นที่ที่เมื่อซูมเข้าไปใกล้ ๆ จะดูเหมือนพื้นที่ยุคลิด เช่น พื้นผิวโลกที่ดูแบนเมื่อมองจากจุดเล็ก ๆ แต่จริง ๆ แล้วโค้งเป็นทรงกลม หรือวงกลมที่ดูเหมือนเส้นตรงเมื่อมองใกล้ ๆ แต่ถ้าเป็นรูปเลขแปดที่ตัดกันตรงกลาง จะไม่ใช่ manifold เพราะจุดตัดนั้นไม่สามารถมองว่าเป็นพื้นที่ยุคลิดได้ 📚 การใช้งานในโลกจริง Manifold ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่ยังใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น การทำความเข้าใจการทำงานของสมองจากข้อมูลนิวรอนนับพัน หรือการจำลองการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์และอนุภาคควอนตัม โดยใช้ manifold เป็นพื้นฐานในการคำนวณและจำลองพฤติกรรม 🧩 เกร็ดเสริมจากภายนอก 💠 ใน Machine Learning มีเทคนิคชื่อ “Manifold Learning” ที่ใช้ลดมิติของข้อมูลเพื่อให้เข้าใจโครงสร้างภายใน เช่น t-SNE หรือ UMAP 💠 ในกราฟิก 3D การสร้างพื้นผิววัตถุที่สมจริงก็ใช้แนวคิด manifold เพื่อจัดการกับโครงสร้างพื้นผิวที่ซับซ้อน ✅ แนวคิดพื้นฐานของ Manifold ➡️ เป็นพื้นที่ที่ดูเหมือนยุคลิดเมื่อมองใกล้ ๆ ➡️ ถูกเสนอโดย Bernhard Riemann ในศตวรรษที่ 19 ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของวิชา Topology ✅ การประยุกต์ใช้ในฟิสิกส์ ➡️ Einstein ใช้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ➡️ อวกาศ-เวลาเป็น manifold สี่มิติที่โค้งจากแรงโน้มถ่วง ✅ ตัวอย่างทางคณิตศาสตร์ ➡️ วงกลมเป็น manifold หนึ่งมิติ ➡️ รูปเลขแปดไม่ใช่ manifold เพราะมีจุดตัดที่ไม่ยุคลิด ✅ การใช้งานในวิทยาการข้อมูล ➡️ ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลนิวรอน ➡️ ใช้จำลองการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์และอนุภาค ✅ การแบ่งพื้นที่ด้วยแผนที่ (Chart) และแอตลาส ➡️ ใช้ชุดพิกัดเพื่ออธิบายแต่ละส่วนของ manifold ➡️ เชื่อมโยงแผนที่ต่าง ๆ ด้วยกฎการแปลงพิกัด https://www.quantamagazine.org/what-is-a-manifold-20251103/
    WWW.QUANTAMAGAZINE.ORG
    What Is a Manifold?
    In the mid-19th century, Bernhard Riemann conceived of a new way to think about mathematical spaces, providing the foundation for modern geometry and physics.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI

    Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

    Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที

    Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที

    Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ

    Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน

    Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker
    อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี
    ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc.

    Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง
    ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์
    มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย

    เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้”
    ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น

    ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น
    รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill
    เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก

    ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง
    ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม
    การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์

    ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์
    องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล
    ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร

    นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล.

    https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    🧠 ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน ✅ Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker ➡️ อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี ➡️ ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. ✅ Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์ ➡️ มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย ✅ เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้” ➡️ ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น ✅ ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น ➡️ รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill ➡️ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก ‼️ ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง ⛔ ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม ⛔ การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์ ‼️ ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์ ⛔ องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล ⛔ ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล. https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    SECURITYONLINE.INFO
    Bob Flores, Former CTO of the CIA, Joins Brinker
    Delaware, United States, 4th November 2025, CyberNewsWire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: ภัยเงียบในองค์กร—เมื่อคนในกลายเป็นความเสี่ยงที่จับต้องไม่ได้

    ลองจินตนาการว่าในองค์กรของคุณ มีคนที่คุณไว้ใจที่สุด กลับเป็นผู้ที่อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงโดยไม่มีใครทันสังเกต นี่คือภาพรวมจากรายงาน “2025 Insider Risk Report” ที่เผยให้เห็นความจริงอันน่าตกใจเกี่ยวกับภัยคุกคามจากคนในองค์กร ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในยุคที่ AI และการทำงานแบบไร้ศูนย์กลางกำลังเติบโต

    รายงานนี้สำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน พบว่า 93% มองว่าภัยจากคนในตรวจจับได้ยากพอๆ กับ หรือยากกว่าการโจมตีจากภายนอก และมีเพียง 23% เท่านั้นที่มั่นใจว่าจะสามารถหยุดยั้งได้ก่อนเกิดความเสียหาย

    สิ่งที่น่ากังวลคือหลายองค์กรยังคงใช้วิธีการแบบ “ตั้งรับ” โดยไม่สามารถคาดการณ์หรือวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียง 12% เท่านั้นที่มีระบบวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงคาดการณ์อย่างจริงจัง

    👁️‍🗨️ มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก

    ในโลกไซเบอร์ปัจจุบัน การใช้ AI ไม่ได้จำกัดแค่การป้องกันภัย แต่ยังสามารถถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดีเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น การใช้ AI สร้างพฤติกรรมที่ดูเหมือนปกติ หรือการลอบส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่ไม่คาดคิด เช่น การใช้แอปแปลภาษา หรือระบบสื่อสารภายในที่ไม่มีการตรวจสอบ

    ความท้าทายในการตรวจจับภัยจากคนใน
    93% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์มองว่าภัยจากคนในตรวจจับได้ยากกว่าภัยจากภายนอก
    มีเพียง 23% เท่านั้นที่มั่นใจว่าจะสามารถหยุดยั้งได้ก่อนเกิดความเสียหาย

    ขาดการวิเคราะห์พฤติกรรมเชิงลึก
    มีเพียง 21% ที่รวมข้อมูลจาก HR, ความเครียดทางการเงิน หรือสัญญาณทางจิตสังคมในการตรวจจับ
    ส่วนใหญ่ยังพึ่งพาแค่ข้อมูลทางเทคนิค เช่น การเข้าถึงไฟล์หรือระบบ

    ขาดระบบคาดการณ์ความเสี่ยง
    มีเพียง 12% ที่มีระบบวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงคาดการณ์ที่ใช้งานจริง
    องค์กรส่วนใหญ่ยังอยู่ในโหมด “ตั้งรับ” ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้

    ถ้าคุณทำงานในองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญ หรือดูแลระบบความปลอดภัยไซเบอร์ นี่คือสัญญาณเตือนให้คุณเริ่มมอง “คนใน” ด้วยมุมมองใหม่ และพิจารณาใช้เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกและแม่นยำมากขึ้นก่อนที่ภัยเงียบจะกลายเป็นภัยจริง.

    https://securityonline.info/2025-insider-risk-report-finds-most-organizations-struggle-to-detect-and-predict-insider-risks/
    🕵️‍♂️ หัวข้อข่าว: ภัยเงียบในองค์กร—เมื่อคนในกลายเป็นความเสี่ยงที่จับต้องไม่ได้ ลองจินตนาการว่าในองค์กรของคุณ มีคนที่คุณไว้ใจที่สุด กลับเป็นผู้ที่อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงโดยไม่มีใครทันสังเกต นี่คือภาพรวมจากรายงาน “2025 Insider Risk Report” ที่เผยให้เห็นความจริงอันน่าตกใจเกี่ยวกับภัยคุกคามจากคนในองค์กร ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในยุคที่ AI และการทำงานแบบไร้ศูนย์กลางกำลังเติบโต รายงานนี้สำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน พบว่า 93% มองว่าภัยจากคนในตรวจจับได้ยากพอๆ กับ หรือยากกว่าการโจมตีจากภายนอก และมีเพียง 23% เท่านั้นที่มั่นใจว่าจะสามารถหยุดยั้งได้ก่อนเกิดความเสียหาย สิ่งที่น่ากังวลคือหลายองค์กรยังคงใช้วิธีการแบบ “ตั้งรับ” โดยไม่สามารถคาดการณ์หรือวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียง 12% เท่านั้นที่มีระบบวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงคาดการณ์อย่างจริงจัง 👁️‍🗨️ มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก ในโลกไซเบอร์ปัจจุบัน การใช้ AI ไม่ได้จำกัดแค่การป้องกันภัย แต่ยังสามารถถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดีเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น การใช้ AI สร้างพฤติกรรมที่ดูเหมือนปกติ หรือการลอบส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่ไม่คาดคิด เช่น การใช้แอปแปลภาษา หรือระบบสื่อสารภายในที่ไม่มีการตรวจสอบ ✅ ความท้าทายในการตรวจจับภัยจากคนใน ➡️ 93% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์มองว่าภัยจากคนในตรวจจับได้ยากกว่าภัยจากภายนอก ➡️ มีเพียง 23% เท่านั้นที่มั่นใจว่าจะสามารถหยุดยั้งได้ก่อนเกิดความเสียหาย ✅ ขาดการวิเคราะห์พฤติกรรมเชิงลึก ➡️ มีเพียง 21% ที่รวมข้อมูลจาก HR, ความเครียดทางการเงิน หรือสัญญาณทางจิตสังคมในการตรวจจับ ➡️ ส่วนใหญ่ยังพึ่งพาแค่ข้อมูลทางเทคนิค เช่น การเข้าถึงไฟล์หรือระบบ ✅ ขาดระบบคาดการณ์ความเสี่ยง ➡️ มีเพียง 12% ที่มีระบบวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงคาดการณ์ที่ใช้งานจริง ➡️ องค์กรส่วนใหญ่ยังอยู่ในโหมด “ตั้งรับ” ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ถ้าคุณทำงานในองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญ หรือดูแลระบบความปลอดภัยไซเบอร์ นี่คือสัญญาณเตือนให้คุณเริ่มมอง “คนใน” ด้วยมุมมองใหม่ และพิจารณาใช้เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกและแม่นยำมากขึ้นก่อนที่ภัยเงียบจะกลายเป็นภัยจริง. https://securityonline.info/2025-insider-risk-report-finds-most-organizations-struggle-to-detect-and-predict-insider-risks/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง:

    ข้อมองในแง่บวก (Bull Case)

    1. การยอมรับในระดับสถาบัน

    · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF
    · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla)
    · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC)

    2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น

    · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี
    · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold)

    3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี

    · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network)
    · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract
    · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability)

    ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case)

    1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ

    · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ
    · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ
    · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล

    2. ความผันผวนสูง

    · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง
    · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา
    · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต

    3. ความท้าทายทางเทคนิค

    · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด
    · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม

    มุมมองโดยรวม

    ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น:

    · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล
    · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน
    · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่

    ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ:

    · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก
    · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น
    · ความไม่แน่นอนในระยะยาว

    คำแนะนำการลงทุน

    · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้
    · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
    · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

    ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง: ข้อมองในแง่บวก (Bull Case) 1. การยอมรับในระดับสถาบัน · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla) · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC) 2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold) 3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network) · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability) ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case) 1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล 2. ความผันผวนสูง · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต 3. ความท้าทายทางเทคนิค · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม มุมมองโดยรวม ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น: · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่ ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ: · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น · ความไม่แน่นอนในระยะยาว คำแนะนำการลงทุน · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้ · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ

    ลองจินตนาการว่า CISO (Chief Information Security Officer) ไม่ได้เป็นแค่ผู้เฝ้าระวังภัยไซเบอร์อีกต่อไป แต่กลายเป็น "ที่ปรึกษากลยุทธ์" ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะกรณีของ Tim Sattler จาก Jungheinrich AG ที่ไม่เพียงแต่ดูแลความปลอดภัย แต่ยังร่วมทีม AI เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัท

    เขาไม่มองแค่ "ความเสี่ยง" แต่ยังมองเห็น "โอกาส" จากเทคโนโลยี เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง และนี่คือบทบาทใหม่ของฝ่ายความปลอดภัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น

    ความปลอดภัยต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร
    CISO ควรรู้เป้าหมายธุรกิจ คู่แข่ง และแนวโน้มอุตสาหกรรม
    การเข้าใจโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่เป็นสิ่งจำเป็น เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง
    การมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการธุรกิจช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความไว้วางใจ

    ตัวอย่างการปรับตัวของ CISO ที่ดี
    เข้าร่วมทีม AI เพื่อวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง
    ให้คำแนะนำกับบอร์ดบริหารเรื่องเทคโนโลยีใหม่
    ใช้เวลาศึกษาเทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางใช้งานอย่างปลอดภัย

    ตัวชี้วัดของการปรับตัวที่ดี
    ใช้ตัวชี้วัดทางธุรกิจในการประเมินประสิทธิภาพของความปลอดภัย
    ทำงานร่วมกับฝ่ายวิศวกรรมเพื่อออกแบบระบบที่ปลอดภัยแต่ไม่รบกวนการผลิต
    วางแผนงานความปลอดภัยให้สอดคล้องกับเวลาหยุดของโรงงาน

    คำเตือนจากการวิจัย
    มีเพียง 13% ของ CISO ที่ถูกปรึกษาตั้งแต่ต้นในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    58% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถอธิบายคุณค่าของตนเกินกว่าการลดความเสี่ยง
    ความไม่เข้าใจเป้าหมายธุรกิจทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็น "เกาะโดดเดี่ยว"

    ความเสี่ยงจากการไม่ปรับตัว
    การวางระบบความปลอดภัยที่เกินความจำเป็นอาจทำให้ธุรกิจชะงัก
    การเข้าร่วมโครงการหลังจากเริ่มไปแล้วทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็นผู้ขัดขวาง
    การไม่เข้าใจกลยุทธ์องค์กรทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการเติบโตได้อย่างแท้จริง

    ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือทำงานด้านความปลอดภัย ลองถามตัวเองว่า “เรากำลังช่วยให้ธุรกิจเติบโต หรือแค่ป้องกันไม่ให้มันล้ม?” เพราะในยุคนี้ ความปลอดภัยไม่ใช่แค่เกราะป้องกัน แต่คือพลังขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแท้จริง

    https://www.csoonline.com/article/4080670/what-does-aligning-security-to-the-business-really-mean.html
    🛡️ เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ ลองจินตนาการว่า CISO (Chief Information Security Officer) ไม่ได้เป็นแค่ผู้เฝ้าระวังภัยไซเบอร์อีกต่อไป แต่กลายเป็น "ที่ปรึกษากลยุทธ์" ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะกรณีของ Tim Sattler จาก Jungheinrich AG ที่ไม่เพียงแต่ดูแลความปลอดภัย แต่ยังร่วมทีม AI เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัท เขาไม่มองแค่ "ความเสี่ยง" แต่ยังมองเห็น "โอกาส" จากเทคโนโลยี เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง และนี่คือบทบาทใหม่ของฝ่ายความปลอดภัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น ✅ ความปลอดภัยต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร ➡️ CISO ควรรู้เป้าหมายธุรกิจ คู่แข่ง และแนวโน้มอุตสาหกรรม ➡️ การเข้าใจโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่เป็นสิ่งจำเป็น เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ การมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการธุรกิจช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความไว้วางใจ ✅ ตัวอย่างการปรับตัวของ CISO ที่ดี ➡️ เข้าร่วมทีม AI เพื่อวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง ➡️ ให้คำแนะนำกับบอร์ดบริหารเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ➡️ ใช้เวลาศึกษาเทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางใช้งานอย่างปลอดภัย ✅ ตัวชี้วัดของการปรับตัวที่ดี ➡️ ใช้ตัวชี้วัดทางธุรกิจในการประเมินประสิทธิภาพของความปลอดภัย ➡️ ทำงานร่วมกับฝ่ายวิศวกรรมเพื่อออกแบบระบบที่ปลอดภัยแต่ไม่รบกวนการผลิต ➡️ วางแผนงานความปลอดภัยให้สอดคล้องกับเวลาหยุดของโรงงาน ‼️ คำเตือนจากการวิจัย ⛔ มีเพียง 13% ของ CISO ที่ถูกปรึกษาตั้งแต่ต้นในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ⛔ 58% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถอธิบายคุณค่าของตนเกินกว่าการลดความเสี่ยง ⛔ ความไม่เข้าใจเป้าหมายธุรกิจทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็น "เกาะโดดเดี่ยว" ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่ปรับตัว ⛔ การวางระบบความปลอดภัยที่เกินความจำเป็นอาจทำให้ธุรกิจชะงัก ⛔ การเข้าร่วมโครงการหลังจากเริ่มไปแล้วทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็นผู้ขัดขวาง ⛔ การไม่เข้าใจกลยุทธ์องค์กรทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการเติบโตได้อย่างแท้จริง ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือทำงานด้านความปลอดภัย ลองถามตัวเองว่า “เรากำลังช่วยให้ธุรกิจเติบโต หรือแค่ป้องกันไม่ให้มันล้ม?” เพราะในยุคนี้ ความปลอดภัยไม่ใช่แค่เกราะป้องกัน แต่คือพลังขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแท้จริง 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4080670/what-does-aligning-security-to-the-business-really-mean.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What does aligning security to the business really mean?
    Security leaders must ensure their security strategies and teams support the organization’s overall business strategy. Here’s what that looks like in practice — and why it remains so challenging.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: Microsoft ปรับชื่ออัปเดต Windows แบบใหม่—สั้นลงแต่ทำ IT ปวดหัว

    Microsoft ได้เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่ออัปเดต Windows โดยตัดข้อมูลสำคัญออกไป เช่น เวอร์ชันระบบปฏิบัติการ, สถาปัตยกรรม, เดือนและปีของการปล่อยอัปเดต ซึ่งเคยช่วยให้ผู้ดูแลระบบและผู้ใช้ทั่วไปสามารถระบุอัปเดตได้อย่างแม่นยำ การเปลี่ยนแปลงนี้จุดชนวนให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากชุมชน IT อย่างกว้างขวาง

    รูปแบบชื่อเดิมของอัปเดต Windows
    ตัวอย่าง: Cumulative Update Preview for Windows 11 Version 24H2 for x64-based Systems (KB5065789) (26100.6725)
    มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ประเภทอัปเดต, เวอร์ชัน OS, สถาปัตยกรรม, เดือน/ปี, รหัส KB, และ build number

    รูปแบบชื่อใหม่ที่ Microsoft นำมาใช้
    ตัวอย่าง: Security Update (KB5034123) (26100.4747)
    ตัดข้อมูลสำคัญออก เหลือเพียงประเภทอัปเดต, รหัส KB และ build number

    เหตุผลของ Microsoft
    ต้องการให้ชื่ออัปเดตอ่านง่ายขึ้นในหน้า Settings และประวัติการอัปเดต
    อ้างว่าเป็นประโยชน์ต่อ OEM และพันธมิตรด้านบริการ

    เสียงคัดค้านจากผู้ดูแลระบบ
    มองว่าชื่อใหม่ทำให้ยากต่อการติดตามและวิเคราะห์ปัญหา
    เรียกร้องให้ Microsoft กลับไปใช้รูปแบบเดิมที่ให้ข้อมูลครบถ้วน

    ตัวอย่างชื่ออัปเดตในรูปแบบใหม่
    Monthly Security: Security Update (KB5034123) (26100.4747)
    Preview: Preview Update (KB5062660) (26100.4770)
    .NET: .NET Framework Security Update (KB5056579)
    Driver: Logitech Driver Update (123.331.1.0)
    AI Component: Phi Silica AI Component Update (KB5064650) (1.2507.793.0)

    https://securityonline.info/streamlined-microsoft-strips-critical-info-from-windows-update-names-causing-it-backlash/
    🪟 หัวข้อข่าว: Microsoft ปรับชื่ออัปเดต Windows แบบใหม่—สั้นลงแต่ทำ IT ปวดหัว Microsoft ได้เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่ออัปเดต Windows โดยตัดข้อมูลสำคัญออกไป เช่น เวอร์ชันระบบปฏิบัติการ, สถาปัตยกรรม, เดือนและปีของการปล่อยอัปเดต ซึ่งเคยช่วยให้ผู้ดูแลระบบและผู้ใช้ทั่วไปสามารถระบุอัปเดตได้อย่างแม่นยำ การเปลี่ยนแปลงนี้จุดชนวนให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากชุมชน IT อย่างกว้างขวาง ✅ รูปแบบชื่อเดิมของอัปเดต Windows ➡️ ตัวอย่าง: Cumulative Update Preview for Windows 11 Version 24H2 for x64-based Systems (KB5065789) (26100.6725) ➡️ มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ประเภทอัปเดต, เวอร์ชัน OS, สถาปัตยกรรม, เดือน/ปี, รหัส KB, และ build number ✅ รูปแบบชื่อใหม่ที่ Microsoft นำมาใช้ ➡️ ตัวอย่าง: Security Update (KB5034123) (26100.4747) ➡️ ตัดข้อมูลสำคัญออก เหลือเพียงประเภทอัปเดต, รหัส KB และ build number ✅ เหตุผลของ Microsoft ➡️ ต้องการให้ชื่ออัปเดตอ่านง่ายขึ้นในหน้า Settings และประวัติการอัปเดต ➡️ อ้างว่าเป็นประโยชน์ต่อ OEM และพันธมิตรด้านบริการ ✅ เสียงคัดค้านจากผู้ดูแลระบบ ➡️ มองว่าชื่อใหม่ทำให้ยากต่อการติดตามและวิเคราะห์ปัญหา ➡️ เรียกร้องให้ Microsoft กลับไปใช้รูปแบบเดิมที่ให้ข้อมูลครบถ้วน ✅ ตัวอย่างชื่ออัปเดตในรูปแบบใหม่ ➡️ Monthly Security: Security Update (KB5034123) (26100.4747) ➡️ Preview: Preview Update (KB5062660) (26100.4770) ➡️ .NET: .NET Framework Security Update (KB5056579) ➡️ Driver: Logitech Driver Update (123.331.1.0) ➡️ AI Component: Phi Silica AI Component Update (KB5064650) (1.2507.793.0) https://securityonline.info/streamlined-microsoft-strips-critical-info-from-windows-update-names-causing-it-backlash/
    SECURITYONLINE.INFO
    Streamlined? Microsoft Strips Critical Info from Windows Update Names, Causing IT Backlash
    Microsoft is simplifying Windows Update names by removing OS version, date, and architecture—a change criticized by admins for degrading readability and context.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: พบเรือโบราณอายุ 2,000 ปีใต้ทะเลตุรกี พร้อมเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารครบชุด!

    การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2025 เมื่อทีมนักดำน้ำสำรวจชายฝั่งเมือง Adrasan ประเทศตุรกี ได้พบซากเรือโบราณที่จมอยู่ใต้ทะเลลึกประมาณ 150 ฟุต และที่น่าทึ่งคือ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เช่น จาน ชาม หม้อ และถาด ยังคงเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 2,000 ปีแล้วก็ตาม.

    ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการค้าโบราณ
    ซากเรือโบราณเผยให้เห็นวิธีการขนส่งสินค้าในยุคโบราณ
    เครื่องปั้นดินเผาถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อการขนส่งจำนวนมาก
    เคลือบด้วยดินเหนียวก่อนบรรจุลงเรือ เพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำทะเล

    การอนุรักษ์ที่น่าทึ่งของเครื่องปั้นดินเผา
    สีและลวดลายดั้งเดิมยังคงปรากฏชัดเจน
    ดินเหนียวและทรายช่วยลดช่องว่างระหว่างภาชนะ ทำให้สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไม่สามารถเข้าไปอาศัยได้

    การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการค้นหา
    ใช้ Sonar, LiDAR และภาพถ่ายดาวเทียมในการระบุตำแหน่ง
    ปัญญาประดิษฐ์ช่วยวิเคราะห์ภาพซากเรือที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น

    แผนการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์
    เครื่องปั้นดินเผาบางส่วนจะถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีใต้น้ำแห่งใหม่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
    ซากเรือบางส่วนจะเปิดให้นักดำน้ำเข้าเยี่ยมชมในอนาคต

    https://www.slashgear.com/2006585/2000-year-old-shipwreck-adrasan-plate/
    ⚓ หัวข้อข่าว: พบเรือโบราณอายุ 2,000 ปีใต้ทะเลตุรกี พร้อมเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารครบชุด! การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2025 เมื่อทีมนักดำน้ำสำรวจชายฝั่งเมือง Adrasan ประเทศตุรกี ได้พบซากเรือโบราณที่จมอยู่ใต้ทะเลลึกประมาณ 150 ฟุต และที่น่าทึ่งคือ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เช่น จาน ชาม หม้อ และถาด ยังคงเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 2,000 ปีแล้วก็ตาม. 🏺 ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการค้าโบราณ ✅ ซากเรือโบราณเผยให้เห็นวิธีการขนส่งสินค้าในยุคโบราณ ➡️ เครื่องปั้นดินเผาถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อการขนส่งจำนวนมาก ➡️ เคลือบด้วยดินเหนียวก่อนบรรจุลงเรือ เพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำทะเล ✅ การอนุรักษ์ที่น่าทึ่งของเครื่องปั้นดินเผา ➡️ สีและลวดลายดั้งเดิมยังคงปรากฏชัดเจน ➡️ ดินเหนียวและทรายช่วยลดช่องว่างระหว่างภาชนะ ทำให้สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไม่สามารถเข้าไปอาศัยได้ ✅ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการค้นหา ➡️ ใช้ Sonar, LiDAR และภาพถ่ายดาวเทียมในการระบุตำแหน่ง ➡️ ปัญญาประดิษฐ์ช่วยวิเคราะห์ภาพซากเรือที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น ✅ แผนการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ➡️ เครื่องปั้นดินเผาบางส่วนจะถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีใต้น้ำแห่งใหม่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ➡️ ซากเรือบางส่วนจะเปิดให้นักดำน้ำเข้าเยี่ยมชมในอนาคต https://www.slashgear.com/2006585/2000-year-old-shipwreck-adrasan-plate/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Divers Discover 2,000-Year-Old Shipwreck With Its Tableware Still In Place - SlashGear
    In June 2025, divers discovered an ancient shipwreck in Turkey that still had the plates, bowls, and pots it was transporting stacked neatly in place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคนิค “โกหกเรื่องสัญญาณ” เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้มือถือ — จริงหรือหลอกกันแน่?

    บทความจาก Nick vs Networking เผยเทคนิคที่ผู้ให้บริการมือถือบางรายใช้เพื่อ “เพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้” โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน นั่นคือการ “โกหกเรื่องความแรงของสัญญาณ” ด้วยการปรับเกณฑ์การแสดงแถบสัญญาณ (signal bars) ให้ดูดีขึ้นกว่าความเป็นจริง

    ตัวอย่างเช่น:
    เดิมทีอุปกรณ์จะแสดง 1 ขีดเมื่อสัญญาณอยู่ที่ -110 dBm
    แต่หากผู้ให้บริการปรับ threshold ให้แสดง 3 ขีดที่ระดับเดียวกัน ผู้ใช้จะ “รู้สึก” ว่าสัญญาณดีขึ้น ทั้งที่คุณภาพจริงไม่ได้เปลี่ยน

    แม้จะฟังดูเหมือนกลเม็ดทางการตลาด แต่ผลลัพธ์กลับน่าทึ่ง — ผู้ใช้มีแนวโน้มร้องเรียนลดลง และรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น แม้คุณภาพการโทรหรือความเร็วอินเทอร์เน็ตจะเท่าเดิมก็ตาม

    สาระสำคัญจากบทความ
    ผู้ให้บริการบางรายปรับเกณฑ์แสดงแถบสัญญาณให้ดูแรงขึ้น
    เปลี่ยนจากแสดง 1 ขีดที่ -110 dBm เป็น 3 ขีด
    ทำให้ผู้ใช้ “รู้สึก” ว่าสัญญาณดีขึ้น

    เทคนิคนี้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มในโครงข่าย
    ไม่ต้องติดตั้งเสาสัญญาณเพิ่ม
    ลดต้นทุนแต่เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

    ผู้ใช้ร้องเรียนลดลงแม้คุณภาพจริงไม่เปลี่ยน
    ความรู้สึกมีผลต่อประสบการณ์ใช้งาน
    แสดงให้เห็นว่า perception สำคัญพอ ๆ กับ performance

    การ “โกหก” เรื่องสัญญาณอาจสร้างความเข้าใจผิด
    ผู้ใช้อาจเข้าใจผิดว่าปัญหาเกิดจากอุปกรณ์ ไม่ใช่เครือข่าย
    อาจทำให้การวิเคราะห์ปัญหาจริงยากขึ้น

    อาจขัดกับหลักจริยธรรมและความโปร่งใส
    ผู้ให้บริการควรให้ข้อมูลที่สะท้อนความจริง
    การบิดเบือนข้อมูลอาจกระทบความเชื่อมั่นในระยะยาว

    https://nickvsnetworking.com/simple-trick-to-increase-coverage-lying-to-users-about-signal-strength/
    📶 เทคนิค “โกหกเรื่องสัญญาณ” เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้มือถือ — จริงหรือหลอกกันแน่? บทความจาก Nick vs Networking เผยเทคนิคที่ผู้ให้บริการมือถือบางรายใช้เพื่อ “เพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้” โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน นั่นคือการ “โกหกเรื่องความแรงของสัญญาณ” ด้วยการปรับเกณฑ์การแสดงแถบสัญญาณ (signal bars) ให้ดูดีขึ้นกว่าความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น: 💠 เดิมทีอุปกรณ์จะแสดง 1 ขีดเมื่อสัญญาณอยู่ที่ -110 dBm 💠 แต่หากผู้ให้บริการปรับ threshold ให้แสดง 3 ขีดที่ระดับเดียวกัน ผู้ใช้จะ “รู้สึก” ว่าสัญญาณดีขึ้น ทั้งที่คุณภาพจริงไม่ได้เปลี่ยน แม้จะฟังดูเหมือนกลเม็ดทางการตลาด แต่ผลลัพธ์กลับน่าทึ่ง — ผู้ใช้มีแนวโน้มร้องเรียนลดลง และรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น แม้คุณภาพการโทรหรือความเร็วอินเทอร์เน็ตจะเท่าเดิมก็ตาม ✅ สาระสำคัญจากบทความ ✅ ผู้ให้บริการบางรายปรับเกณฑ์แสดงแถบสัญญาณให้ดูแรงขึ้น ➡️ เปลี่ยนจากแสดง 1 ขีดที่ -110 dBm เป็น 3 ขีด ➡️ ทำให้ผู้ใช้ “รู้สึก” ว่าสัญญาณดีขึ้น ✅ เทคนิคนี้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มในโครงข่าย ➡️ ไม่ต้องติดตั้งเสาสัญญาณเพิ่ม ➡️ ลดต้นทุนแต่เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ✅ ผู้ใช้ร้องเรียนลดลงแม้คุณภาพจริงไม่เปลี่ยน ➡️ ความรู้สึกมีผลต่อประสบการณ์ใช้งาน ➡️ แสดงให้เห็นว่า perception สำคัญพอ ๆ กับ performance ‼️ การ “โกหก” เรื่องสัญญาณอาจสร้างความเข้าใจผิด ⛔ ผู้ใช้อาจเข้าใจผิดว่าปัญหาเกิดจากอุปกรณ์ ไม่ใช่เครือข่าย ⛔ อาจทำให้การวิเคราะห์ปัญหาจริงยากขึ้น ‼️ อาจขัดกับหลักจริยธรรมและความโปร่งใส ⛔ ผู้ให้บริการควรให้ข้อมูลที่สะท้อนความจริง ⛔ การบิดเบือนข้อมูลอาจกระทบความเชื่อมั่นในระยะยาว https://nickvsnetworking.com/simple-trick-to-increase-coverage-lying-to-users-about-signal-strength/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไม Nextcloud ถึงรู้สึกช้า? เมื่อ JavaScript กลายเป็นตัวถ่วงประสบการณ์ผู้ใช้

    ผู้ใช้รายหนึ่งที่ตั้งใจใช้ Nextcloud เป็นศูนย์รวมบริการส่วนตัว เช่น ไฟล์, ปฏิทิน, โน้ต, รายการสิ่งที่ต้องทำ ฯลฯ ได้แชร์ประสบการณ์ว่า แม้จะใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพดีและปรับแต่งแล้ว แต่ Nextcloud ก็ยังรู้สึกช้าอย่างน่าหงุดหงิด

    เมื่อเปิด Developer Tools เพื่อวิเคราะห์ พบว่า Nextcloud โหลด JavaScript จำนวนมหาศาลในแต่ละหน้า — มากถึง 15–20 MB ต่อการโหลดหนึ่งครั้ง (แม้จะถูกบีบอัดเหลือ 4–5 MB ก็ยังถือว่าหนักมาก)

    ตัวอย่างเช่น:
    core-common.js ขนาด 4.71 MB
    NotificationsApp.chunk.mjs ขนาด 1.06 MB
    Calendar app ใช้ 5.94 MB เพื่อแสดงปฏิทินพื้นฐาน
    Files app มีหลายไฟล์ย่อย เช่น EditorOutline (1.77 MB), previewUtils (1.17 MB), emoji-picker (0.9 MB)
    Notes app ใช้ 4.36 MB สำหรับ editor พื้นฐาน

    แม้จะมีการแคชในเบราว์เซอร์ แต่ทุกครั้งที่เข้าใช้งาน ผู้ใช้ต้องรอให้เบราว์เซอร์ประมวลผลโค้ดทั้งหมดอีกครั้ง ซึ่งใช้เวลานาน โดยเฉพาะในเครือข่ายที่ช้า หรืออุปกรณ์ที่ไม่แรงมาก เช่น iPhone 13 mini

    ผู้เขียนบทความจึงเริ่มแยกบางฟีเจอร์ออกจาก Nextcloud เช่น ใช้ Vikunja แทน Tasks app และ Immich แทน Photos ซึ่งให้ประสบการณ์ที่เร็วกว่าอย่างชัดเจน

    Nextcloud ใช้ JavaScript จำนวนมากในการโหลดแต่ละหน้า
    โหลด 15–20 MB ต่อหน้า แม้บีบอัดแล้วก็ยังหนัก
    ส่งผลให้การใช้งานรู้สึกช้า แม้ใช้ฮาร์ดแวร์ดี

    แอปต่าง ๆ ใน Nextcloud มีขนาดไฟล์ JS ใหญ่เกินจำเป็น
    Calendar app ใช้ 5.94 MB
    Files app รวมแล้วเกือบ 19 MB
    Notes app ใช้ 4.36 MB สำหรับ editor พื้นฐาน

    ผู้ใช้เริ่มแยกบริการบางส่วนออกจาก Nextcloud
    ใช้ Vikunja แทน Tasks app (โหลดเพียง 1.5 MB)
    ใช้ Immich แทน Photos เพื่อความเร็วที่ดีกว่า

    ความสะดวกของ Nextcloud ยังเป็นจุดแข็ง
    รวมหลายบริการไว้ในที่เดียว
    ยังคงใช้งานบางฟีเจอร์ต่อไปเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า

    https://ounapuu.ee/posts/2025/11/03/nextcloud-slow/
    🐢 ทำไม Nextcloud ถึงรู้สึกช้า? เมื่อ JavaScript กลายเป็นตัวถ่วงประสบการณ์ผู้ใช้ ผู้ใช้รายหนึ่งที่ตั้งใจใช้ Nextcloud เป็นศูนย์รวมบริการส่วนตัว เช่น ไฟล์, ปฏิทิน, โน้ต, รายการสิ่งที่ต้องทำ ฯลฯ ได้แชร์ประสบการณ์ว่า แม้จะใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพดีและปรับแต่งแล้ว แต่ Nextcloud ก็ยังรู้สึกช้าอย่างน่าหงุดหงิด เมื่อเปิด Developer Tools เพื่อวิเคราะห์ พบว่า Nextcloud โหลด JavaScript จำนวนมหาศาลในแต่ละหน้า — มากถึง 15–20 MB ต่อการโหลดหนึ่งครั้ง (แม้จะถูกบีบอัดเหลือ 4–5 MB ก็ยังถือว่าหนักมาก) ตัวอย่างเช่น: 🔖 core-common.js ขนาด 4.71 MB 🔖 NotificationsApp.chunk.mjs ขนาด 1.06 MB 🔖 Calendar app ใช้ 5.94 MB เพื่อแสดงปฏิทินพื้นฐาน 🔖 Files app มีหลายไฟล์ย่อย เช่น EditorOutline (1.77 MB), previewUtils (1.17 MB), emoji-picker (0.9 MB) 🔖 Notes app ใช้ 4.36 MB สำหรับ editor พื้นฐาน แม้จะมีการแคชในเบราว์เซอร์ แต่ทุกครั้งที่เข้าใช้งาน ผู้ใช้ต้องรอให้เบราว์เซอร์ประมวลผลโค้ดทั้งหมดอีกครั้ง ซึ่งใช้เวลานาน โดยเฉพาะในเครือข่ายที่ช้า หรืออุปกรณ์ที่ไม่แรงมาก เช่น iPhone 13 mini ผู้เขียนบทความจึงเริ่มแยกบางฟีเจอร์ออกจาก Nextcloud เช่น ใช้ Vikunja แทน Tasks app และ Immich แทน Photos ซึ่งให้ประสบการณ์ที่เร็วกว่าอย่างชัดเจน ✅ Nextcloud ใช้ JavaScript จำนวนมากในการโหลดแต่ละหน้า ➡️ โหลด 15–20 MB ต่อหน้า แม้บีบอัดแล้วก็ยังหนัก ➡️ ส่งผลให้การใช้งานรู้สึกช้า แม้ใช้ฮาร์ดแวร์ดี ✅ แอปต่าง ๆ ใน Nextcloud มีขนาดไฟล์ JS ใหญ่เกินจำเป็น ➡️ Calendar app ใช้ 5.94 MB ➡️ Files app รวมแล้วเกือบ 19 MB ➡️ Notes app ใช้ 4.36 MB สำหรับ editor พื้นฐาน ✅ ผู้ใช้เริ่มแยกบริการบางส่วนออกจาก Nextcloud ➡️ ใช้ Vikunja แทน Tasks app (โหลดเพียง 1.5 MB) ➡️ ใช้ Immich แทน Photos เพื่อความเร็วที่ดีกว่า ✅ ความสะดวกของ Nextcloud ยังเป็นจุดแข็ง ➡️ รวมหลายบริการไว้ในที่เดียว ➡️ ยังคงใช้งานบางฟีเจอร์ต่อไปเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า https://ounapuu.ee/posts/2025/11/03/nextcloud-slow/
    OUNAPUU.EE
    Why Nextcloud feels slow to use
    No amount of tuning the backend service performance helped, and then I learned why. Oh no. Oh no no no no.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลก 11 พ.ย. – สัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่หรือแค่รีเฟรชรับเทศกาล?”

    Apple เตรียมปรับเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่และ HomePod mini ที่กำลังขาดตลาด หรืออาจเป็นแค่การรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี.

    Mark Gurman นักข่าวสาย Apple ที่มีชื่อเสียง เผยว่า Apple ได้แจ้งพนักงานให้เตรียม “overnight” หรือการปรับเปลี่ยนหน้าร้านหลังปิดทำการในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ Apple มักใช้ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่

    สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจคือ สินค้าอย่าง Apple TV และ HomePod mini กำลังขาดตลาดในหลายพื้นที่ ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวรุ่นใหม่ โดยคาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมาพร้อมชิปใหม่และระบบไร้สายที่พัฒนาโดย Apple เอง

    อย่างไรก็ตาม Apple ก็มีประวัติในการปรับหน้าร้านช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรับเทศกาล เช่น Black Friday และคริสต์มาส ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

    Tim Cook ยังกล่าวในรายงานผลประกอบการล่าสุดว่า Apple ไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในช่วงที่เหลือของปี 2025 ทำให้การเปลี่ยนหน้าร้านครั้งนี้ยังคงเป็นปริศนา

    Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน
    พนักงานได้รับแจ้งให้เตรียม “overnight” เพื่อปรับหน้าร้านหลังปิดทำการ

    อาจเป็นสัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Apple TV และ HomePod mini
    สินค้าทั้งสองรุ่นกำลังขาดตลาด และมีข่าวลือว่าจะมาพร้อมชิปใหม่

    Apple มักปรับหน้าร้านก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่
    เป็นขั้นตอนที่ใช้มานานในการเตรียมการตลาด

    อีกความเป็นไปได้คือการรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี
    เช่น Black Friday และคริสต์มาส

    Tim Cook ยืนยันว่าไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในปีนี้
    ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าใหม่หรือไม่

    https://wccftech.com/when-apple-changes-its-retail-store-displays-everyone-pays-attention-heres-why/
    🛍️🍎 หัวข้อข่าว: “Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลก 11 พ.ย. – สัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่หรือแค่รีเฟรชรับเทศกาล?” Apple เตรียมปรับเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่และ HomePod mini ที่กำลังขาดตลาด หรืออาจเป็นแค่การรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี. Mark Gurman นักข่าวสาย Apple ที่มีชื่อเสียง เผยว่า Apple ได้แจ้งพนักงานให้เตรียม “overnight” หรือการปรับเปลี่ยนหน้าร้านหลังปิดทำการในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ Apple มักใช้ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่ สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจคือ สินค้าอย่าง Apple TV และ HomePod mini กำลังขาดตลาดในหลายพื้นที่ ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวรุ่นใหม่ โดยคาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมาพร้อมชิปใหม่และระบบไร้สายที่พัฒนาโดย Apple เอง อย่างไรก็ตาม Apple ก็มีประวัติในการปรับหน้าร้านช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรับเทศกาล เช่น Black Friday และคริสต์มาส ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ Tim Cook ยังกล่าวในรายงานผลประกอบการล่าสุดว่า Apple ไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในช่วงที่เหลือของปี 2025 ทำให้การเปลี่ยนหน้าร้านครั้งนี้ยังคงเป็นปริศนา ✅ Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ➡️ พนักงานได้รับแจ้งให้เตรียม “overnight” เพื่อปรับหน้าร้านหลังปิดทำการ ✅ อาจเป็นสัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Apple TV และ HomePod mini ➡️ สินค้าทั้งสองรุ่นกำลังขาดตลาด และมีข่าวลือว่าจะมาพร้อมชิปใหม่ ✅ Apple มักปรับหน้าร้านก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่ ➡️ เป็นขั้นตอนที่ใช้มานานในการเตรียมการตลาด ✅ อีกความเป็นไปได้คือการรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี ➡️ เช่น Black Friday และคริสต์มาส ✅ Tim Cook ยืนยันว่าไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในปีนี้ ➡️ ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าใหม่หรือไม่ https://wccftech.com/when-apple-changes-its-retail-store-displays-everyone-pays-attention-heres-why/
    WCCFTECH.COM
    When Apple Changes Its Retail Store Displays, Everyone Pays Attention - Here's Why
    When Apple launches new products, it goes through a litany of protocols, including one that involves preparing its store front displays.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “อินเทอร์เน็ตโลกยังเปราะบาง – Cloudflare เผยเบื้องหลังการล่มจากสายเคเบิล,ภัยธรรมชาติ และคำสั่งรัฐ”

    รายงานล่าสุดจาก Cloudflare เผยว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โลกเผชิญกับการล่มของอินเทอร์เน็ตจากหลายสาเหตุ ทั้งภัยธรรมชาติ, การก่อสร้าง, การโจมตีไซเบอร์ และคำสั่งจากรัฐบาล โดยมีผลกระทบต่อผู้ใช้งานในกว่า 125 ประเทศ.

    ลองนึกภาพว่าแค่กระสุนหลงในเท็กซัสก็สามารถทำให้ผู้ใช้ Spectrum หลายพันคนใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ได้ถึง 2 ชั่วโมง นี่คือหนึ่งในหลายกรณีที่ Cloudflare รวบรวมไว้ในรายงาน “Q3 Internet Disruptions” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตทั่วโลกยังคงเปราะบางอย่างมาก

    รายงานระบุว่า:
    รัฐบาลยังคงเป็นต้นเหตุหลักของการล่ม เช่น อิรัก, ซีเรีย และซูดาน ที่สั่งปิดอินเทอร์เน็ตช่วงสอบระดับชาติ เพื่อป้องกันการโกงข้อสอบ
    ภัยธรรมชาติและอุบัติเหตุ เช่น แผ่นดินไหวขนาด 8.8 ในคัมชัตกา, ไฟไหม้ศูนย์กลางโทรคมนาคมในอียิปต์, และการตัดสายเคเบิลจากการก่อสร้างในแองโกลาและโดมินิกัน
    การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของระบบ เช่น Starlink ที่ล่มทั่วโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม จากความผิดพลาดของซอฟต์แวร์ภายใน

    แม้จะมีเทคโนโลยีป้องกัน DDoS และระบบ routing ที่ทันสมัย แต่เมื่อโครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายหรือถูกสั่งปิด อินเทอร์เน็ตก็ยังคงล่มได้ง่าย

    Cloudflare เผยรายงาน Q3 Internet Disruptions ปี 2025
    ครอบคลุมเหตุการณ์ล่มใน 125 ประเทศจากหลายสาเหตุ

    รัฐบาลยังคงใช้การปิดอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือควบคุม
    เช่น อิรัก, ซีเรีย, ซูดาน ปิดเน็ตช่วงสอบเพื่อป้องกันการโกง

    ภัยธรรมชาติและอุบัติเหตุเป็นสาเหตุสำคัญ
    แผ่นดินไหวในรัสเซีย, ไฟไหม้ในอียิปต์, กระสุนหลงในเท็กซัส

    การก่อสร้างทำให้สายเคเบิลถูกตัด
    ส่งผลให้การเชื่อมต่อหยุดชะงักหลายชั่วโมงในหลายประเทศ

    Starlink ล่มทั่วโลกจากความผิดพลาดของระบบ
    แสดงให้เห็นว่าแม้ระบบดาวเทียมก็ยังไม่ปลอดภัยจากข้อผิดพลาดภายใน

    Cloudflare ใช้ข้อมูลจากเครือข่ายใน 330 เมืองทั่วโลก
    เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการล่มและสาเหตุที่แท้จริง

    https://www.techradar.com/pro/disasters-shutdowns-and-cable-damage-galore-cloudflare-study-reveals-whats-really-been-behind-all-the-recent-internet-outages
    🌐⚡ หัวข้อข่าว: “อินเทอร์เน็ตโลกยังเปราะบาง – Cloudflare เผยเบื้องหลังการล่มจากสายเคเบิล,ภัยธรรมชาติ และคำสั่งรัฐ” รายงานล่าสุดจาก Cloudflare เผยว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โลกเผชิญกับการล่มของอินเทอร์เน็ตจากหลายสาเหตุ ทั้งภัยธรรมชาติ, การก่อสร้าง, การโจมตีไซเบอร์ และคำสั่งจากรัฐบาล โดยมีผลกระทบต่อผู้ใช้งานในกว่า 125 ประเทศ. ลองนึกภาพว่าแค่กระสุนหลงในเท็กซัสก็สามารถทำให้ผู้ใช้ Spectrum หลายพันคนใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ได้ถึง 2 ชั่วโมง นี่คือหนึ่งในหลายกรณีที่ Cloudflare รวบรวมไว้ในรายงาน “Q3 Internet Disruptions” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตทั่วโลกยังคงเปราะบางอย่างมาก รายงานระบุว่า: 📍 รัฐบาลยังคงเป็นต้นเหตุหลักของการล่ม เช่น อิรัก, ซีเรีย และซูดาน ที่สั่งปิดอินเทอร์เน็ตช่วงสอบระดับชาติ เพื่อป้องกันการโกงข้อสอบ 📍 ภัยธรรมชาติและอุบัติเหตุ เช่น แผ่นดินไหวขนาด 8.8 ในคัมชัตกา, ไฟไหม้ศูนย์กลางโทรคมนาคมในอียิปต์, และการตัดสายเคเบิลจากการก่อสร้างในแองโกลาและโดมินิกัน 📍 การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของระบบ เช่น Starlink ที่ล่มทั่วโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม จากความผิดพลาดของซอฟต์แวร์ภายใน แม้จะมีเทคโนโลยีป้องกัน DDoS และระบบ routing ที่ทันสมัย แต่เมื่อโครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายหรือถูกสั่งปิด อินเทอร์เน็ตก็ยังคงล่มได้ง่าย ✅ Cloudflare เผยรายงาน Q3 Internet Disruptions ปี 2025 ➡️ ครอบคลุมเหตุการณ์ล่มใน 125 ประเทศจากหลายสาเหตุ ✅ รัฐบาลยังคงใช้การปิดอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือควบคุม ➡️ เช่น อิรัก, ซีเรีย, ซูดาน ปิดเน็ตช่วงสอบเพื่อป้องกันการโกง ✅ ภัยธรรมชาติและอุบัติเหตุเป็นสาเหตุสำคัญ ➡️ แผ่นดินไหวในรัสเซีย, ไฟไหม้ในอียิปต์, กระสุนหลงในเท็กซัส ✅ การก่อสร้างทำให้สายเคเบิลถูกตัด ➡️ ส่งผลให้การเชื่อมต่อหยุดชะงักหลายชั่วโมงในหลายประเทศ ✅ Starlink ล่มทั่วโลกจากความผิดพลาดของระบบ ➡️ แสดงให้เห็นว่าแม้ระบบดาวเทียมก็ยังไม่ปลอดภัยจากข้อผิดพลาดภายใน ✅ Cloudflare ใช้ข้อมูลจากเครือข่ายใน 330 เมืองทั่วโลก ➡️ เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการล่มและสาเหตุที่แท้จริง https://www.techradar.com/pro/disasters-shutdowns-and-cable-damage-galore-cloudflare-study-reveals-whats-really-been-behind-all-the-recent-internet-outages
    WWW.TECHRADAR.COM
    Fires, bullets, and earthquakes can easily take the internet down
    Little things like a stray bullet in Texas can disrupt entire network connections
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “M5 Pro vs M5 Max – ทำไมแบนด์วิดท์เพิ่ม 275GB/s ถึงคุ้มค่าหลายพันดอลลาร์สำหรับสายวิดีโอและ AI”

    แม้ Apple ยังไม่เปิดตัว M5 Pro และ M5 Max อย่างเป็นทางการ แต่บทวิเคราะห์จาก TechRadar ชี้ว่า ความต่างด้าน “memory bandwidth” ระหว่างสองรุ่นนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนเกมสำหรับมืออาชีพด้านวิดีโอและ AI.

    Apple เพิ่งเปิดตัวชิป M5 ซึ่งมี unified memory bandwidth สูงถึง 153GB/s เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จาก M4 แต่สิ่งที่น่าจับตาคือเวอร์ชัน “Pro” และ “Max” ที่ยังไม่เปิดตัว แต่มีการคาดการณ์ว่า M5 Pro จะมี bandwidth สูงถึง 275GB/s และ M5 Max อาจทะลุ 550GB/s เลยทีเดียว

    ทำไม bandwidth ถึงสำคัญ? เพราะมันคือ “ท่อส่งข้อมูล” จากหน่วยความจำไปยังหน่วยประมวลผล ถ้าท่อกว้างขึ้น ข้อมูลก็ไหลได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดต่อวิดีโอ 8K, การเรนเดอร์ 3D หรือการฝึกโมเดล AI ทำได้เร็วขึ้นและลื่นไหลกว่าเดิม

    แม้ CPU หรือ GPU จะมีพลังมากแค่ไหน แต่ถ้า memory bandwidth ไม่พอ ก็เหมือนรถซุปเปอร์คาร์ที่ติดคอขวดบนถนนแคบๆ

    บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า M5 Max อาจมีการเพิ่มช่องทาง memory interface เป็นสองเท่า ทำให้สามารถโหลด asset ขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องรอ cache และยังช่วยลดต้นทุน cloud สำหรับนักพัฒนา AI ที่ต้องการฝึกโมเดลบนเครื่อง

    M5 เพิ่ม memory bandwidth เป็น 153GB/s
    สูงกว่า M4 ประมาณ 30% ช่วยให้แอปตอบสนองเร็วขึ้น

    คาดว่า M5 Pro จะมี bandwidth 275GB/s
    เหมาะกับงานวิดีโอหลายเลเยอร์และการเรนเดอร์ 3D

    M5 Max อาจมี bandwidth สูงถึง 550GB/s
    รองรับงาน AI ที่ต้องการโหลดข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์

    bandwidth สูงช่วยลดเวลาทำงานและต้นทุน cloud
    เช่น การฝึกโมเดล AI บนเครื่องแทนการใช้ cloud

    แนวโน้มการออกแบบชิปเน้น bandwidth มากกว่า clock speed
    เพื่อให้หน่วยประมวลผลทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ติดคอขวด

    https://www.techradar.com/pro/the-true-pro-tax-m5-pro-vs-m5-max-why-that-extra-275gb-s-of-memory-bandwidth-is-worth-thousands-of-dollars-for-video-and-ai-workflows
    🚀💾 หัวข้อข่าว: “M5 Pro vs M5 Max – ทำไมแบนด์วิดท์เพิ่ม 275GB/s ถึงคุ้มค่าหลายพันดอลลาร์สำหรับสายวิดีโอและ AI” แม้ Apple ยังไม่เปิดตัว M5 Pro และ M5 Max อย่างเป็นทางการ แต่บทวิเคราะห์จาก TechRadar ชี้ว่า ความต่างด้าน “memory bandwidth” ระหว่างสองรุ่นนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนเกมสำหรับมืออาชีพด้านวิดีโอและ AI. Apple เพิ่งเปิดตัวชิป M5 ซึ่งมี unified memory bandwidth สูงถึง 153GB/s เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จาก M4 แต่สิ่งที่น่าจับตาคือเวอร์ชัน “Pro” และ “Max” ที่ยังไม่เปิดตัว แต่มีการคาดการณ์ว่า M5 Pro จะมี bandwidth สูงถึง 275GB/s และ M5 Max อาจทะลุ 550GB/s เลยทีเดียว ทำไม bandwidth ถึงสำคัญ? เพราะมันคือ “ท่อส่งข้อมูล” จากหน่วยความจำไปยังหน่วยประมวลผล ถ้าท่อกว้างขึ้น ข้อมูลก็ไหลได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดต่อวิดีโอ 8K, การเรนเดอร์ 3D หรือการฝึกโมเดล AI ทำได้เร็วขึ้นและลื่นไหลกว่าเดิม แม้ CPU หรือ GPU จะมีพลังมากแค่ไหน แต่ถ้า memory bandwidth ไม่พอ ก็เหมือนรถซุปเปอร์คาร์ที่ติดคอขวดบนถนนแคบๆ บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า M5 Max อาจมีการเพิ่มช่องทาง memory interface เป็นสองเท่า ทำให้สามารถโหลด asset ขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องรอ cache และยังช่วยลดต้นทุน cloud สำหรับนักพัฒนา AI ที่ต้องการฝึกโมเดลบนเครื่อง ✅ M5 เพิ่ม memory bandwidth เป็น 153GB/s ➡️ สูงกว่า M4 ประมาณ 30% ช่วยให้แอปตอบสนองเร็วขึ้น ✅ คาดว่า M5 Pro จะมี bandwidth 275GB/s ➡️ เหมาะกับงานวิดีโอหลายเลเยอร์และการเรนเดอร์ 3D ✅ M5 Max อาจมี bandwidth สูงถึง 550GB/s ➡️ รองรับงาน AI ที่ต้องการโหลดข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ ✅ bandwidth สูงช่วยลดเวลาทำงานและต้นทุน cloud ➡️ เช่น การฝึกโมเดล AI บนเครื่องแทนการใช้ cloud ✅ แนวโน้มการออกแบบชิปเน้น bandwidth มากกว่า clock speed ➡️ เพื่อให้หน่วยประมวลผลทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ติดคอขวด https://www.techradar.com/pro/the-true-pro-tax-m5-pro-vs-m5-max-why-that-extra-275gb-s-of-memory-bandwidth-is-worth-thousands-of-dollars-for-video-and-ai-workflows
    WWW.TECHRADAR.COM
    The next generation of Apple silicon could double memory bandwidth
    Apple hasn't announced the chips yet - but we have an idea of what to expect
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Semrush One ปรับเกม SEO สู่ยุค AI – ใครไม่ปรับ อาจหายจากสายตาผู้ค้นหา”

    ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์ของคุณเคยติดอันดับต้นๆ บน Google แต่พอ AI อย่าง ChatGPT, Gemini หรือ Perplexity เริ่มกลายเป็นแหล่งค้นหาหลักของผู้คน เว็บไซต์ของคุณกลับหายไปจากเรดาร์! นี่คือปัญหาที่นักการตลาดดิจิทัลทั่วโลกกำลังเผชิญ และ Semrush กำลังเสนอทางออกใหม่ที่ชื่อว่า “Semrush One”

    Semrush One คือแพลตฟอร์มใหม่ที่รวมพลังของ SEO แบบดั้งเดิมเข้ากับการวิเคราะห์การมองเห็นในระบบ AI หรือที่เรียกว่า “AI Visibility” ซึ่งช่วยให้แบรนด์รู้ว่าตัวเองปรากฏอยู่ตรงไหนในระบบค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไม่ใช่แค่ Google อีกต่อไป แต่รวมถึง ChatGPT, Gemini และ Perplexity ด้วย

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Semrush อ้างว่า หลังจากใช้ระบบใหม่นี้ “AI share of voice” หรือการมองเห็นในระบบ AI ของพวกเขาเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าภายในเดือนเดียว! นั่นแปลว่า AI มีการตอบสนองต่อการปรับเนื้อหาเร็วกว่า SEO แบบเดิมมาก

    แต่แน่นอนว่า ทุกอย่างมีต้นทุน – ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นของ Semrush One อยู่ที่ $165 ต่อเดือน ซึ่งอาจสูงเกินไปสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือร้านค้าออนไลน์ที่เพิ่งเริ่มต้น

    นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันระดับองค์กรที่เรียกว่า “AI Optimization” ซึ่งให้ความสามารถในการควบคุมระดับโมเดล AI และปรับแต่ง prompt ได้เอง เหมาะกับแบรนด์ใหญ่ที่ต้องการควบคุมภาพลักษณ์ในโลก AI อย่างเต็มที่

    ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนวิธีค้นหาข้อมูล การปรับตัวไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความอยู่รอดของแบรนด์

    Semrush เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อ “Semrush One”
    รวมการวิเคราะห์ SEO แบบเดิมกับการวิเคราะห์การมองเห็นในระบบ AI (AI Visibility)

    รองรับการวิเคราะห์การมองเห็นใน ChatGPT, Gemini และ Perplexity
    ช่วยให้แบรนด์รู้ว่าตัวเองปรากฏอยู่ในผลลัพธ์ของ AI หรือไม่

    Semrush อ้างว่า AI visibility เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าภายใน 1 เดือน
    แสดงให้เห็นว่า AI ปรับผลลัพธ์เร็วกว่า SEO แบบเดิม

    มีเวอร์ชันให้เลือก 3 ระดับ: Starter, Pro+, Advanced
    รองรับทีมขนาดต่างๆ และความต้องการที่หลากหลาย

    เวอร์ชันองค์กร “AI Optimization” มีความสามารถขั้นสูง
    ปรับแต่ง prompt และควบคุมระดับโมเดล AI ได้เอง

    ฐานข้อมูลของ Semrush ครอบคลุมกว่า 808 ล้านโดเมน และลิงก์ย้อนกลับนับล้านล้าน
    เป็นหนึ่งในฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในวงการ SEO

    ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ $165 ต่อเดือน อาจไม่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
    โดยเฉพาะร้านค้าออนไลน์หรือสตาร์ทอัพที่มีงบจำกัด

    ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าแบรนด์อื่นจะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกับ Semrush
    ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามบริบทของเนื้อหาและการแข่งขันในแต่ละตลาด

    การจัดอันดับในระบบ AI ยังไม่มีความเสถียร
    อัลกอริธึมของ AI เปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้การวางแผนระยะยาวอาจมีความเสี่ยง

    ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่ช่วยค้นหา แต่กลายเป็น “ผู้คัดกรอง” ข้อมูลให้ผู้ใช้ การเข้าใจว่าแบรนด์ของคุณถูกมองเห็นอย่างไรในสายตา AI จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าเดิม และ Semrush One กำลังวางตัวเป็นเครื่องมือสำคัญในสนามใหม่นี้

    https://www.techradar.com/pro/semrush-has-a-new-tool-to-help-marketers-win-in-the-ai-age-make-sure-your-business-doesnt-get-hidden
    📣🤖 หัวข้อข่าว: “Semrush One ปรับเกม SEO สู่ยุค AI – ใครไม่ปรับ อาจหายจากสายตาผู้ค้นหา” ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์ของคุณเคยติดอันดับต้นๆ บน Google แต่พอ AI อย่าง ChatGPT, Gemini หรือ Perplexity เริ่มกลายเป็นแหล่งค้นหาหลักของผู้คน เว็บไซต์ของคุณกลับหายไปจากเรดาร์! นี่คือปัญหาที่นักการตลาดดิจิทัลทั่วโลกกำลังเผชิญ และ Semrush กำลังเสนอทางออกใหม่ที่ชื่อว่า “Semrush One” Semrush One คือแพลตฟอร์มใหม่ที่รวมพลังของ SEO แบบดั้งเดิมเข้ากับการวิเคราะห์การมองเห็นในระบบ AI หรือที่เรียกว่า “AI Visibility” ซึ่งช่วยให้แบรนด์รู้ว่าตัวเองปรากฏอยู่ตรงไหนในระบบค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไม่ใช่แค่ Google อีกต่อไป แต่รวมถึง ChatGPT, Gemini และ Perplexity ด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือ Semrush อ้างว่า หลังจากใช้ระบบใหม่นี้ “AI share of voice” หรือการมองเห็นในระบบ AI ของพวกเขาเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าภายในเดือนเดียว! นั่นแปลว่า AI มีการตอบสนองต่อการปรับเนื้อหาเร็วกว่า SEO แบบเดิมมาก แต่แน่นอนว่า ทุกอย่างมีต้นทุน – ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นของ Semrush One อยู่ที่ $165 ต่อเดือน ซึ่งอาจสูงเกินไปสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือร้านค้าออนไลน์ที่เพิ่งเริ่มต้น นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันระดับองค์กรที่เรียกว่า “AI Optimization” ซึ่งให้ความสามารถในการควบคุมระดับโมเดล AI และปรับแต่ง prompt ได้เอง เหมาะกับแบรนด์ใหญ่ที่ต้องการควบคุมภาพลักษณ์ในโลก AI อย่างเต็มที่ ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนวิธีค้นหาข้อมูล การปรับตัวไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความอยู่รอดของแบรนด์ ✅ Semrush เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อ “Semrush One” ➡️ รวมการวิเคราะห์ SEO แบบเดิมกับการวิเคราะห์การมองเห็นในระบบ AI (AI Visibility) ✅ รองรับการวิเคราะห์การมองเห็นใน ChatGPT, Gemini และ Perplexity ➡️ ช่วยให้แบรนด์รู้ว่าตัวเองปรากฏอยู่ในผลลัพธ์ของ AI หรือไม่ ✅ Semrush อ้างว่า AI visibility เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าภายใน 1 เดือน ➡️ แสดงให้เห็นว่า AI ปรับผลลัพธ์เร็วกว่า SEO แบบเดิม ✅ มีเวอร์ชันให้เลือก 3 ระดับ: Starter, Pro+, Advanced ➡️ รองรับทีมขนาดต่างๆ และความต้องการที่หลากหลาย ✅ เวอร์ชันองค์กร “AI Optimization” มีความสามารถขั้นสูง ➡️ ปรับแต่ง prompt และควบคุมระดับโมเดล AI ได้เอง ✅ ฐานข้อมูลของ Semrush ครอบคลุมกว่า 808 ล้านโดเมน และลิงก์ย้อนกลับนับล้านล้าน ➡️ เป็นหนึ่งในฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในวงการ SEO ‼️ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ $165 ต่อเดือน อาจไม่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ⛔ โดยเฉพาะร้านค้าออนไลน์หรือสตาร์ทอัพที่มีงบจำกัด ‼️ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าแบรนด์อื่นจะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกับ Semrush ⛔ ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามบริบทของเนื้อหาและการแข่งขันในแต่ละตลาด ‼️ การจัดอันดับในระบบ AI ยังไม่มีความเสถียร ⛔ อัลกอริธึมของ AI เปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้การวางแผนระยะยาวอาจมีความเสี่ยง ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่ช่วยค้นหา แต่กลายเป็น “ผู้คัดกรอง” ข้อมูลให้ผู้ใช้ การเข้าใจว่าแบรนด์ของคุณถูกมองเห็นอย่างไรในสายตา AI จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าเดิม และ Semrush One กำลังวางตัวเป็นเครื่องมือสำคัญในสนามใหม่นี้ 🚀 https://www.techradar.com/pro/semrush-has-a-new-tool-to-help-marketers-win-in-the-ai-age-make-sure-your-business-doesnt-get-hidden
    WWW.TECHRADAR.COM
    Semrush One, the AI tool reshaping how brands compete for online visibility
    Semrush says its AI visibility share nearly tripled within one month
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts