• “Typst 0.14 เปิดศักราชใหม่ของเอกสารดิจิทัล: เข้าถึงได้มากขึ้น ฉลาดขึ้น และสวยงามกว่าเดิม”

    รู้ไหมว่า Typst ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดหน้าเอกสารที่หลายคนใช้แทน LaTeX ตอนนี้ออกเวอร์ชันใหม่แล้ว—Typst 0.14! รอบนี้เขาไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะอัปเดตครั้งนี้เน้นเรื่อง “การเข้าถึง” หรือ accessibility เป็นหลักเลยล่ะ

    ลองนึกภาพว่าเราทำเอกสาร PDF แล้วคนที่ใช้ screen reader ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้เหมือนกับคนที่มองเห็นปกติ—Typst ทำให้สิ่งนี้เป็นจริง เพราะตอนนี้มันสามารถใส่ tag ที่ช่วยให้โปรแกรมช่วยอ่านเข้าใจโครงสร้างของเอกสารได้โดยอัตโนมัติ แถมยังมีตัวเลือกให้ตรวจสอบว่าเอกสารของเราผ่านมาตรฐานสากลอย่าง PDF/UA-1 หรือเปล่าด้วยนะ

    นอกจากนี้ยังมีของใหม่อีกเพียบ เช่น การรองรับ PDF เป็นภาพโดยตรง (เหมาะมากกับคนที่มีกราฟิกซับซ้อน), การจัดย่อหน้าแบบละเอียดถึงระดับตัวอักษร (character-level justification), และการส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้นเยอะ

    ที่น่าสนใจคือ Typst ยังใช้ไลบรารี PDF ใหม่ที่ชื่อว่า “hayro” ซึ่งเขียนด้วยภาษา Rust ทั้งหมด ทำให้การประมวลผล PDF เร็วและเสถียรมากขึ้นอีกด้วย

    การเข้าถึง (Accessibility) เป็นค่าเริ่มต้นใน Typst 0.14
    เอกสาร PDF ที่สร้างจาก Typst จะมี tag สำหรับ screen reader โดยอัตโนมัติ
    รองรับการใส่คำอธิบายภาพ (alt text) สำหรับรูปภาพและแผนภาพ
    มีโหมดตรวจสอบความเข้ากันได้กับมาตรฐาน PDF/UA-1 เพื่อให้เอกสารเข้าถึงได้จริง

    รองรับ PDF เป็นภาพ (PDFs as images)
    สามารถแทรกไฟล์ PDF เป็นภาพในเอกสารได้โดยตรง
    รองรับการแสดงผลในทุกฟอร์แมต เช่น PDF, HTML, SVG, PNG
    ใช้ไลบรารี “hayro” ที่เขียนด้วยภาษา Rust เพื่อประมวลผล PDF

    การจัดย่อหน้าแบบละเอียด (Character-level justification)
    ปรับระยะห่างระหว่างตัวอักษรเพื่อให้ย่อหน้าดูสมดุล
    เป็นฟีเจอร์ที่ LaTeX ยังไม่มีในตอนนี้
    ช่วยให้การจัดหน้าเอกสารดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น

    การส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้น (Richer HTML export)
    รองรับ element เพิ่มเติม เช่น footnotes, citations, outlines
    มีระบบ typed HTML interface สำหรับเขียน HTML ด้วย Typst ได้ง่ายขึ้น
    เตรียมเปิดให้ใช้งานในเว็บแอปเร็ว ๆ นี้

    การอัปเกรดที่ราบรื่น (Migration & Compatibility)
    มีระบบช่วยตรวจสอบความเข้ากันได้ของเอกสารเก่ากับเวอร์ชันใหม่
    แจ้งเตือนเมื่อมีเวอร์ชันใหม่ และให้เลือกอัปเกรดได้ในเว็บแอป

    https://typst.app/blog/2025/typst-0.14/
    “Typst 0.14 เปิดศักราชใหม่ของเอกสารดิจิทัล: เข้าถึงได้มากขึ้น ฉลาดขึ้น และสวยงามกว่าเดิม” รู้ไหมว่า Typst ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดหน้าเอกสารที่หลายคนใช้แทน LaTeX ตอนนี้ออกเวอร์ชันใหม่แล้ว—Typst 0.14! รอบนี้เขาไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะอัปเดตครั้งนี้เน้นเรื่อง “การเข้าถึง” หรือ accessibility เป็นหลักเลยล่ะ ลองนึกภาพว่าเราทำเอกสาร PDF แล้วคนที่ใช้ screen reader ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้เหมือนกับคนที่มองเห็นปกติ—Typst ทำให้สิ่งนี้เป็นจริง เพราะตอนนี้มันสามารถใส่ tag ที่ช่วยให้โปรแกรมช่วยอ่านเข้าใจโครงสร้างของเอกสารได้โดยอัตโนมัติ แถมยังมีตัวเลือกให้ตรวจสอบว่าเอกสารของเราผ่านมาตรฐานสากลอย่าง PDF/UA-1 หรือเปล่าด้วยนะ นอกจากนี้ยังมีของใหม่อีกเพียบ เช่น การรองรับ PDF เป็นภาพโดยตรง (เหมาะมากกับคนที่มีกราฟิกซับซ้อน), การจัดย่อหน้าแบบละเอียดถึงระดับตัวอักษร (character-level justification), และการส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้นเยอะ ที่น่าสนใจคือ Typst ยังใช้ไลบรารี PDF ใหม่ที่ชื่อว่า “hayro” ซึ่งเขียนด้วยภาษา Rust ทั้งหมด ทำให้การประมวลผล PDF เร็วและเสถียรมากขึ้นอีกด้วย ✅ การเข้าถึง (Accessibility) เป็นค่าเริ่มต้นใน Typst 0.14 ➡️ เอกสาร PDF ที่สร้างจาก Typst จะมี tag สำหรับ screen reader โดยอัตโนมัติ ➡️ รองรับการใส่คำอธิบายภาพ (alt text) สำหรับรูปภาพและแผนภาพ ➡️ มีโหมดตรวจสอบความเข้ากันได้กับมาตรฐาน PDF/UA-1 เพื่อให้เอกสารเข้าถึงได้จริง ✅ รองรับ PDF เป็นภาพ (PDFs as images) ➡️ สามารถแทรกไฟล์ PDF เป็นภาพในเอกสารได้โดยตรง ➡️ รองรับการแสดงผลในทุกฟอร์แมต เช่น PDF, HTML, SVG, PNG ➡️ ใช้ไลบรารี “hayro” ที่เขียนด้วยภาษา Rust เพื่อประมวลผล PDF ✅ การจัดย่อหน้าแบบละเอียด (Character-level justification) ➡️ ปรับระยะห่างระหว่างตัวอักษรเพื่อให้ย่อหน้าดูสมดุล ➡️ เป็นฟีเจอร์ที่ LaTeX ยังไม่มีในตอนนี้ ➡️ ช่วยให้การจัดหน้าเอกสารดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ✅ การส่งออก HTML ที่ฉลาดขึ้น (Richer HTML export) ➡️ รองรับ element เพิ่มเติม เช่น footnotes, citations, outlines ➡️ มีระบบ typed HTML interface สำหรับเขียน HTML ด้วย Typst ได้ง่ายขึ้น ➡️ เตรียมเปิดให้ใช้งานในเว็บแอปเร็ว ๆ นี้ ✅ การอัปเกรดที่ราบรื่น (Migration & Compatibility) ➡️ มีระบบช่วยตรวจสอบความเข้ากันได้ของเอกสารเก่ากับเวอร์ชันใหม่ ➡️ แจ้งเตือนเมื่อมีเวอร์ชันใหม่ และให้เลือกอัปเกรดได้ในเว็บแอป https://typst.app/blog/2025/typst-0.14/
    TYPST.APP
    Typst: Typst 0.14: Now accessible – Typst Blog
    Typst 0.14 is out now. With accessibility by default, PDFs as images, character-level justification, and more, it has everything you need to move from draft to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel Core Ultra 5 338H โผล่ใน Geekbench – ยืนยันใช้ iGPU Arc B370 Xe3 และไม่มี “X” ในชื่อรุ่น

    Intel Core Ultra 5 338H ได้รับการเปิดเผยผ่านผลการทดสอบ Geekbench ล่าสุด โดยชิปนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Panther Lake ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 จุดเด่นคือการใช้ iGPU รุ่นใหม่ Arc B370 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม Xe3 ที่พัฒนาจาก Battlemage IP และมีจำนวนคอร์กราฟิก 10 คอร์

    แม้จะอยู่ในกลุ่มชิปประสิทธิภาพสูง แต่ Core Ultra 5 338H ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น ซึ่งแตกต่างจากรุ่น Core Ultra X7 และ X9 ที่มี 12 คอร์กราฟิกและได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม “X” สำหรับงานกราฟิกเต็มรูปแบบ

    ผลการทดสอบ Vulkan บน Geekbench แสดงคะแนน 39,406 ซึ่งสูงกว่า Arc A140T ของ Lunar Lake เล็กน้อย (~4%) และใกล้เคียงกับ Radeon 880M ของ AMD ที่ได้ประมาณ 39,917 คะแนน

    Intel Core Ultra 5 338H
    ใช้ iGPU Arc B370 Xe3 (10 คอร์กราฟิก)
    ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น แม้ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับรุ่น X
    คะแนน Vulkan บน Geekbench: 39,406
    สูงกว่า Arc A140T (~4%) และใกล้เคียง Radeon 880M

    สถาปัตยกรรม Panther Lake
    ใช้ Xe3 GPU จาก Battlemage IP
    มีการเปลี่ยนแปลงระบบตั้งชื่อรุ่นใหม่
    รุ่นที่มี “X” จะมี 12 คอร์กราฟิก เช่น X7 358H, X9 388H
    Core Ultra 5 338H ใช้เวอร์ชันลดสเปกของ GPU เดียวกัน

    ความหมายของการไม่มี “X”
    ไม่ใช่รุ่นกราฟิกเต็มสเปก แต่ยังอยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพสูง
    เหมาะกับงานทั่วไปและเกมระดับกลาง
    ช่วยลดต้นทุนและพลังงานโดยยังคงประสิทธิภาพที่ดี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-5-338h-appears-in-geekbench-listing-confirming-new-arc-b370-xe3-igpu-no-x-branding-in-sight-as-panther-lakes-naming-scheme-becomes-clear
    🧠 Intel Core Ultra 5 338H โผล่ใน Geekbench – ยืนยันใช้ iGPU Arc B370 Xe3 และไม่มี “X” ในชื่อรุ่น Intel Core Ultra 5 338H ได้รับการเปิดเผยผ่านผลการทดสอบ Geekbench ล่าสุด โดยชิปนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Panther Lake ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 จุดเด่นคือการใช้ iGPU รุ่นใหม่ Arc B370 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม Xe3 ที่พัฒนาจาก Battlemage IP และมีจำนวนคอร์กราฟิก 10 คอร์ แม้จะอยู่ในกลุ่มชิปประสิทธิภาพสูง แต่ Core Ultra 5 338H ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น ซึ่งแตกต่างจากรุ่น Core Ultra X7 และ X9 ที่มี 12 คอร์กราฟิกและได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม “X” สำหรับงานกราฟิกเต็มรูปแบบ ผลการทดสอบ Vulkan บน Geekbench แสดงคะแนน 39,406 ซึ่งสูงกว่า Arc A140T ของ Lunar Lake เล็กน้อย (~4%) และใกล้เคียงกับ Radeon 880M ของ AMD ที่ได้ประมาณ 39,917 คะแนน ✅ Intel Core Ultra 5 338H ➡️ ใช้ iGPU Arc B370 Xe3 (10 คอร์กราฟิก) ➡️ ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น แม้ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับรุ่น X ➡️ คะแนน Vulkan บน Geekbench: 39,406 ➡️ สูงกว่า Arc A140T (~4%) และใกล้เคียง Radeon 880M ✅ สถาปัตยกรรม Panther Lake ➡️ ใช้ Xe3 GPU จาก Battlemage IP ➡️ มีการเปลี่ยนแปลงระบบตั้งชื่อรุ่นใหม่ ➡️ รุ่นที่มี “X” จะมี 12 คอร์กราฟิก เช่น X7 358H, X9 388H ➡️ Core Ultra 5 338H ใช้เวอร์ชันลดสเปกของ GPU เดียวกัน ✅ ความหมายของการไม่มี “X” ➡️ ไม่ใช่รุ่นกราฟิกเต็มสเปก แต่ยังอยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพสูง ➡️ เหมาะกับงานทั่วไปและเกมระดับกลาง ➡️ ช่วยลดต้นทุนและพลังงานโดยยังคงประสิทธิภาพที่ดี https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-5-338h-appears-in-geekbench-listing-confirming-new-arc-b370-xe3-igpu-no-x-branding-in-sight-as-panther-lakes-naming-scheme-becomes-clear
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ยอมรับกลาย ๆ ว่า GPU ของ Tensor G5 ยังต้องปรับจูน – เตรียมเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่

    Google กำลังพัฒนา Tensor G5 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่จะใช้ใน Pixel รุ่นถัดไป โดยมีรายงานว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติมก่อนจะพร้อมใช้งานจริง

    แม้ Google จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลจากเอกสารภายในและการเคลื่อนไหวของทีมพัฒนาเผยว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมจากบริษัท Imagination Technologies ยังต้องการการปรับจูนเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานบน Android และแอปต่าง ๆ ของ Google โดยเฉพาะด้านการประมวลผลกราฟิกและ AI

    Tensor G5 ถือเป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ โดยใช้โรงงาน TSMC ในการผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm ซึ่งต่างจาก Tensor รุ่นก่อนที่ร่วมพัฒนากับ Samsung การเปลี่ยนมาใช้ GPU จาก Imagination แทน ARM Mali ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการปรับแต่งให้เข้ากับ ecosystem ของ Google

    การพัฒนา Tensor G5 โดย Google
    เป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ
    ผลิตโดย TSMC ด้วยเทคโนโลยี 3nm
    ใช้ GPU จาก Imagination Technologies แทน ARM Mali

    ความท้าทายด้าน GPU
    GPU ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
    ต้องการการปรับจูนเพื่อรองรับ Android และแอปของ Google
    ทีมพัฒนากำลังเร่งแก้ไขก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่

    การเปลี่ยนแปลงจาก Tensor รุ่นก่อน
    Tensor G5 ไม่ร่วมพัฒนากับ Samsung เหมือนรุ่นก่อน
    เปลี่ยนสถาปัตยกรรม GPU เป็นครั้งแรก
    มุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพโดย Google เอง

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การเปลี่ยน GPU อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปบางตัว
    หากปรับจูนไม่ทัน อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Pixel รุ่นใหม่
    การพัฒนา GPU ภายในต้องใช้ทรัพยากรและเวลามาก
    ความคาดหวังสูงจากผู้ใช้ Pixel อาจกดดันทีมพัฒนา

    https://wccftech.com/google-tacitly-admits-to-the-need-for-optimizing-the-tensor-g5s-gpu/
    📱 Google ยอมรับกลาย ๆ ว่า GPU ของ Tensor G5 ยังต้องปรับจูน – เตรียมเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่ Google กำลังพัฒนา Tensor G5 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่จะใช้ใน Pixel รุ่นถัดไป โดยมีรายงานว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติมก่อนจะพร้อมใช้งานจริง แม้ Google จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลจากเอกสารภายในและการเคลื่อนไหวของทีมพัฒนาเผยว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมจากบริษัท Imagination Technologies ยังต้องการการปรับจูนเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานบน Android และแอปต่าง ๆ ของ Google โดยเฉพาะด้านการประมวลผลกราฟิกและ AI Tensor G5 ถือเป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ โดยใช้โรงงาน TSMC ในการผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm ซึ่งต่างจาก Tensor รุ่นก่อนที่ร่วมพัฒนากับ Samsung การเปลี่ยนมาใช้ GPU จาก Imagination แทน ARM Mali ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการปรับแต่งให้เข้ากับ ecosystem ของ Google ✅ การพัฒนา Tensor G5 โดย Google ➡️ เป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ ➡️ ผลิตโดย TSMC ด้วยเทคโนโลยี 3nm ➡️ ใช้ GPU จาก Imagination Technologies แทน ARM Mali ✅ ความท้าทายด้าน GPU ➡️ GPU ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ➡️ ต้องการการปรับจูนเพื่อรองรับ Android และแอปของ Google ➡️ ทีมพัฒนากำลังเร่งแก้ไขก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่ ✅ การเปลี่ยนแปลงจาก Tensor รุ่นก่อน ➡️ Tensor G5 ไม่ร่วมพัฒนากับ Samsung เหมือนรุ่นก่อน ➡️ เปลี่ยนสถาปัตยกรรม GPU เป็นครั้งแรก ➡️ มุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพโดย Google เอง ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การเปลี่ยน GPU อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปบางตัว ⛔ หากปรับจูนไม่ทัน อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Pixel รุ่นใหม่ ⛔ การพัฒนา GPU ภายในต้องใช้ทรัพยากรและเวลามาก ⛔ ความคาดหวังสูงจากผู้ใช้ Pixel อาจกดดันทีมพัฒนา https://wccftech.com/google-tacitly-admits-to-the-need-for-optimizing-the-tensor-g5s-gpu/
    WCCFTECH.COM
    Google Tacitly Admits To The Need For Optimizing The Tensor G5's GPU
    While Google has worked with Imagination to develop the IMG DXT-48-1536 GPU for the Tensor G5, Imagination retains full proprietary control.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง เสือกซ้ำซาก
    “เสือกซ้ำซาก”

    วันก่อน แฟนเพจท่านหนึ่งเพิ่งเขียนถามหน้าจอว่า “ลุงครับ ตาแดเนียล รัสเซล เขาจะมาหลอกล่อ ล้วงตับอะไรสมันน้อยไหม ตานี่ประวัติไม่ธรรมดา สงสัยมากดดันให้เลือกตั้งไวๆ ….”

    ผมละดีใจมาก ที่แฟนเพจนิทาน ตื่นตัว หูตากว้างไกล มองเห็นภัยของการเป็นสมันน้อยมากขึ้น ผมก็ตอบไปตามการวิเคราะห์ว่า ” เป็นจังหวะที่อเมริกาต้องมาตรวจแถว ก่อนจัดระเบียบแถวใหม่ และอื่นๆครับ อื่นๆ นี่ต้องไปถามท่านผู้นำเอง “

    ผมวิเคราะห์จากการขยับหมากตัวอื่นๆของไอ้นักล่าใบตองแห้ง ผมคิดว่ามันกำลังเตรียมแผน และตามนิสัยมัน ก่อนจะสรุปแผน ไอ้นักล่าต้องตรวจสอบทุกเรื่องก่อน และแน่นอนในการตรวจสอบ ก็คงทำการเสือกเหมือนเคย และผมก็เบื่อที่จะต้องด่าถึงความเสือกอย่างซ้ำซากของพวกมัน

    แต่วันนี้พอผมเปิดเครื่อง ผมยิ่งดีใจใหญ่ ที่มีหลายท่าน อินบ๊อกซ์เข้ามาด่าไอ้เวรทิ้งไว้ให้ผมอ่าน แสดงว่าเราไม่ได้เป็นสมันน้อยแล้ว เรารู้สึกไม่พอใจเป็นแล้ว และถ้าเราไม่พูดอะไรเสียเลย เดี๋ยวมันก็จะนึกว่าเราก็ไม่รู้ สึกรู้สา นึกว่าเราเป็นขี้ข้า อย่างเคยๆ กระดิกนิ้วเมื่อไหร่ก็มา ชี้ด่าเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นสมันน้อยเหมือนเดิม งั้นวันนี้เราต้องฉลองการเลิกเป็นสมันน้อยของพวกเรา อย่างน้อยก็พวกเราในเพจนิทานล่ะครับ และผมเชื่อว่า มีคนไทยอีกมากมาย ที่ไม่อยากเป็นสมันน้อย และกำลังหาทางแหกคอกออกมา

    นายดาเนียล รัสเซล Daniel R Russel นี่เป็นใคร เขาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ดูแลกิจการด้านเอเซียตะวันออกและแปซิฟิก ก่อนหน้ารับตำแหน่งนี้ เมื่อกรกฏาคม 2013 เขาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีโอบามา ในการวางนโยบาย ปรับกำลังมาทางแปซิฟิกมากขึ้น Pivot To Asia

    คงจำกันได้ ก่อนหน้านั้น อเมริกาวางน้ำหนักความสำคัญด้านความมั่นคงให้ทางยุโรป โดยผ่านกองกำลังนาโต้ 60% และให้น้ำหนักทางแปซิฟิก 40% แต่เมื่อเกิดอาการช๊อก ที่เห็นอาเฮียโตเร็วเกินคาดในปี 2012 อเมริกาจึงรีบปรับนโยบาย ตอนนั้นคุณนายคลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินสายแถวแปซิฟิกเสียหน้าเหี่ยว และตอนนั้นอเมริกาก็คงพอใจ ที่ไทยแลนด์ แดนสมันน้อย มีรัฐบาลที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพรมเช็ดเท้าให้อเมริกา เพราะมีหัวหน้ารัฐบาลที่แม้แต่พูดภาษาคนธรรมดายังไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่พูดภาษาราชการ หรือภาษาการฑูตเลย

    แน่นอน นายเดเนียล รัสเซล ผู้มีส่วนสำคัญในการปรับนโยบายใหม่ คงยืดน่าดู เพราะได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูแลแปซิฟิกสมใจ

    5 กุมภาพันธ์ 2014 จากรายงานข่าวแจกของกระทรวงต่างประเทศ ที่วอชิงตัน บอกว่า อเมริกากำลังปรับดุลในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก “rebalance” โดยนายรัสเซลบอกว่า เราต้องใช้กำลังพลด้านการฑูตเพิ่มอีกมาก เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของ เรา rebalance นี้ จะครอบคลุมไปถึงเรื่อง เศรษฐกิจ ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยจะเน้นเรื่อง Trans -Pacific Partnership (TPP) และเรื่องขัดแย้งในทะเลจีน โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง Air Defense Indentification Zone (ADIZ) ที่จีนประกาศใช้ในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งอเมริกาไม่ชอบใจ
    แหม! อ่านตั้งนาน กว่าไต๋จะโผล่ นักล่าหงุดหงิดเรื่องนี้เอง แปลว่า ไอ้ที่อเมริกาเคยบินโฉบไปแอบดูอาหม่วยแถวนั้น โดยไม่แจง ไม่แจ้งน่ะ ทำไม่ได้แล้วนะ

    นายรัสเซล ยังบอกอีกว่า สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และของแปซิฟิก มีสเต็กชิ้นใหญ่อยู่ในแปซิฟิก ที่จำเป็นจะต้องให้เอเซียแปซิฟิก เปิดประตูกว้างเอาไว้ เพื่อเดินเข้าไปกินสะดวก แปลว่าตอนนี้กินสเต็กไม่สะดวก เพราะจีนกำลังขวางทางเข้าไปกิน

    อ่านต่อไม่ไหวครับ ยาแก้คลื่นไส้ ไม่ช่วยเลย

    ขอเปลี่ยนไปต่อ ที่การเสนอข่าวฉบับนี้ ที่ผมว่าน่าสนใจกว่าที่ ไอ้ขี้โม้รัสเซลพูดอีก

    เป็นการเสนอข่าวของ นายกวี จงกิจถาวร ใน นสพ. The Nation เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2015 นี้เอง หัวเรื่อง ” Are Thai-US relations warming up slowly?”
    http://www.nationmultimedia.com/opinion/Are-Thai-US-relations-warming-up-slowly-30251708.html

    ก่อนไปถึงเนื้อข่าว ขอให้ข้อมูลท่านผู้อ่านเสียหน่อยว่า จากข้อมูลของวิกิลีกซ์ ที่หล่นมาให้พวกเราหูตาสว่างกัน เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนนั้น นายกวี เป็นนักข่าว ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายงานของสถานฑูตอเมริกัน ประจำราชอาณาจักรไทย เกือบทุกครั้งที่มีการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือมีนายใหญ่จากวอชิงตันมา นายกวีจะต้องร่วมหารือและให้ความเห็นในฐานะสื่อใหญ่ของไทยเสมอ พูดง่ายๆว่า ไม่มากไม่น้อย อเมริกาก็เห็น หรือรู้จักประเทศไทย จากสายตาและความคิดของนายกวี ซึ่งก็มีข่าวว่า อเมริกายกย่องและดูแลอย่างดี

    เนื้อข่าวของนายกวี สรุปว่า นายรัสเซลมาเมืองไทยเมื่อเดือนเมษายน ปี 2014 และให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS ว่า เขามีความหวังว่าไทยจะมีการเลือกตั้ง ผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งไทยควรมีการเลือกตั้งเช่นนั้น เพื่อที่จะสมกับการเป็นมิตรที่อเมริกาไว้วางใจ แต่หลังจากนั้น 44 วัน โดยไม่มีใครรู้ตัว (รวมทั้งนายรัสเซล และนายกวี ?!) ทหารก็ทำการยึดอำนาจ

    วอชิงตันแปลกใจมาก เพราะไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน และนั่นเป็นสาเหตุที่นาย Kerry มีปฏิกริยารุนแรงกับไทย แล้วสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกา ก็ลงเหวอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นหนทางที่จะเยียวยาให้ดีขึ้น Thai-US relations quickly went downhill without any prospect of amelioration !

    ว้าย ตาเถรหก! ผมอ่านแล้วตกใจแทบสิ้นสติ อ่านข่าวแจกของฝร้่ง ต้องกินยาแก้คลื่นไส้ แต่พอมาอ่านข่าวคนไทยเขียน ผมต้องรีบให้เด็กเอายาหอมมาให้!
    ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าการปฏิวัติของคุณพี่ตู่ มันน่ากลัวถึงขนาดนั้น แต่พอมาอ่านที่นายกวีเขียนว่า ถึงขนาดที่เราจะขาดมิตร ที่คบกับมากว่า 70 ปี โดย อย่างไม่เห็นหนทางเยียวยาเอาเลย นี่ ผมเลยลมรับประทาน….ด้วยความดีใจ…… ขอให้มันเป็นหยั่งงั้นเถิด เจ้าประคู้น เอ้า! แล้วนี่เสือกมาทำไมล่ะ มากรีดซ้ำเป็นการเยียวยาหรือยังไง เดี๋ยวต้องคอยตามอ่าน บทความของนายกวีเสียแล้วสินะ

    นายกวีขู่ผมต่อ …. หลังจาก 259 วันที่ปราศจากการติดต่อระดับรัฐมนตรี สัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกของไทย-อเมริกัน ก็เริ่มปรับตัวอุ่นขึ้น ด้วยการมา (โปรด!) ของนายรัสเซล เขาบอกว่าระหว่าง 2 วัน ที่อยู่เมืองไทย เขาจะมาทำทุกอย่างที่เขาจะทำได้ให้อุ่นขึ้น เขาเน้นว่า ผู้บริหารระดับสูงของอเมริกา ยังไม่ติดต่อกับรัฐบาลไทยเลยนะ และนอกจากอเมริกาแล้ว EU ก็ยังไม่กลับมามีสัมพันธ์ปรกติกับไทยด้วย รอจนกว่าไทยจะมีการเลือกตั้งก่อน …

    กิจกรรมแรก ที่ไทยจะมีร่วมกับอเมริกาในต้นปีนี้คือ การฝึกประจำปี Cobra Gold ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับอเมริกามา 3 ทศวรรษ สำหรับปีนี้ จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่นครนายก แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ไปจัดที่อื่น หลังจากที่ไทยมีการปฏิวัติ คราวนี้การฝึกคงเป็นระดับเล็กลง และประชาสัมพันธ์น้อยลง อืม..,

    เดี๋ยวนี้ ประเทศไทยดูเหมือนจะมีความหลากหลายในการสร้างมั่นคงของตน ถ้าใช้ตามวลีอันขึ้นชื่อของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม นาย Donald Rumsfeld ก็ต้องบอกว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป จากการคบคนเคยรู้กันแล้ว เป็นการคบกับคนที่ไม่เคยรู้กัน ( known-knowns เป็น known-unknowns) ที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ประเทศไทยมีการเจรจา และมีโครงการด้านความมั่นคงกับจีน รัสเซีย เวียตนาม..

    เอาละครับ สรุปมาให้ฟัง ทั้งที่ฝรั่งแจก กับไทยเขียนแทนฝรั่ง คงเห็นกันแล้วว่า อเมริกากำลังคิดอย่างไร

    – อเมริกา หน้าแตก แหกเป็นริ้ว มานั่งคุยจ้อเรื่องเลือกตั้ง นึกว่าสั่งแล้ว เขารู้เรื่องทำตาม ที่ไหนได้ กลับบ้านไป 44 วันเขาปฏิวัติ ไม่หน้าแหกยังไง จมูก CIA เสียหมดหรือไง ถึงดมกลิ่นปฏิวัติไม่เจอเลย แถมไอ้ลูกพี่ ที่มานั่งคุยกร่าง ยังจับทางไม่ได้ นั่งอยู่กลางบ้านเขาแท้ๆ ยังงี้มันน่าปลดให้หมด แล้วไอ้คนไทยที่เลี้ยงไว้เป็นสายสืบ ก็ต้องปลดด้วย ลูกเต้าที่ส่งเสียให้เรียนมหาวิทยาลัยดัง ส่งกลับไปอยู่วัดจานบินให้หมด

    – อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ไล่บี้ไอ้พวกลูกหาบ แถวเอเซียแปซิฟิกแรงๆ ให้มันไปช่วยกดดันจีน ดันบี้แรงไปหน่อย ทำท่าจะแหกคอก แตกแถว ไปอยู่ฝั่งโน้น อย่างนี้ ยิ่งกว่าหน้าแตก มันหน้าหัก หักหน้ากัน ไม่ตามมาด่าซ้ำถึงกลางบ้านได้ยังไง เด็กเลี้ยงมา 70 ปี มาทำหือ อย่างนีต้องเจอโทษหนักแน่นอน

    – แต่ที่แสดงความหมดท่า เสียที คือ อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ย้ายมากดดันจีน
    ลืมระวังอีกข้าง ถูกลูกหลอกฝั่งรัสเซียจีนผลัดกันโหม่ง วิ่งรับลูกผิดทาง เจอคุณพี่ปูตินซัดเต็มเหนี่ยว เกี่ยวเอาไครเมีย กล่องดวงใจกลับไปกก อันนี้มันเป็นเรื่อง แค้นนี้ต้องชำระ

    – แล้วใครล่ะ ที่เดินจ๋อยๆ เป็นสมันน้อยน่ารัก แต่จับมือกับเขาไปทั่ว ไอ้รูปจับมือ สร้างทางรถไฟนี่ มันต้องคารวะให้ 3 จอก จังหวะดีเหลือเชื่อ
    เอาแค่ตัวอย่างที่ยกมา ผมจึงไม่แปลกใจ ที่จะมีไอ้บ้าอะไรสักตัว มานั่งพล่าม นั่งเสือกยุ่งอยู่ในบ้านคนอื่นเขา เขาจัดการเรื่องบ้านเมืองของเขา ตามที่เขาเห็นเหมาะสม มันต้องเสือกอะไรด้วย เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร ไม่ได้เป็นทาสของใคร อย่าไปสนใจ ตกใจกับเสียงเห่า ตามสันดานของพวกหวงรางหญ้าครับ ปล่อยให้มันบ้าไป คุณพี่ตู่ท่านทำถูกแล้วที่ไม่รับนัด จริงๆ ไม่ควรมีใครรับนัดเลย ปล่อยให้มันคุยแต่กับนังเอ๋อ รายเดียวเหมาะสมกันดีจะตาย

    สวัสดีครับ
    ลุงนิทาน
    27 มกราคม 2558

    U.S. to Intensify Rebalancing in Asia in 2014
    https://geneva.usmission.gov/2014/02/06/u-s-to-intensify-rebalancing-in-asia-in-2014/
    เรื่อง เสือกซ้ำซาก “เสือกซ้ำซาก” วันก่อน แฟนเพจท่านหนึ่งเพิ่งเขียนถามหน้าจอว่า “ลุงครับ ตาแดเนียล รัสเซล เขาจะมาหลอกล่อ ล้วงตับอะไรสมันน้อยไหม ตานี่ประวัติไม่ธรรมดา สงสัยมากดดันให้เลือกตั้งไวๆ ….” ผมละดีใจมาก ที่แฟนเพจนิทาน ตื่นตัว หูตากว้างไกล มองเห็นภัยของการเป็นสมันน้อยมากขึ้น ผมก็ตอบไปตามการวิเคราะห์ว่า ” เป็นจังหวะที่อเมริกาต้องมาตรวจแถว ก่อนจัดระเบียบแถวใหม่ และอื่นๆครับ อื่นๆ นี่ต้องไปถามท่านผู้นำเอง “ ผมวิเคราะห์จากการขยับหมากตัวอื่นๆของไอ้นักล่าใบตองแห้ง ผมคิดว่ามันกำลังเตรียมแผน และตามนิสัยมัน ก่อนจะสรุปแผน ไอ้นักล่าต้องตรวจสอบทุกเรื่องก่อน และแน่นอนในการตรวจสอบ ก็คงทำการเสือกเหมือนเคย และผมก็เบื่อที่จะต้องด่าถึงความเสือกอย่างซ้ำซากของพวกมัน แต่วันนี้พอผมเปิดเครื่อง ผมยิ่งดีใจใหญ่ ที่มีหลายท่าน อินบ๊อกซ์เข้ามาด่าไอ้เวรทิ้งไว้ให้ผมอ่าน แสดงว่าเราไม่ได้เป็นสมันน้อยแล้ว เรารู้สึกไม่พอใจเป็นแล้ว และถ้าเราไม่พูดอะไรเสียเลย เดี๋ยวมันก็จะนึกว่าเราก็ไม่รู้ สึกรู้สา นึกว่าเราเป็นขี้ข้า อย่างเคยๆ กระดิกนิ้วเมื่อไหร่ก็มา ชี้ด่าเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นสมันน้อยเหมือนเดิม งั้นวันนี้เราต้องฉลองการเลิกเป็นสมันน้อยของพวกเรา อย่างน้อยก็พวกเราในเพจนิทานล่ะครับ และผมเชื่อว่า มีคนไทยอีกมากมาย ที่ไม่อยากเป็นสมันน้อย และกำลังหาทางแหกคอกออกมา นายดาเนียล รัสเซล Daniel R Russel นี่เป็นใคร เขาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ดูแลกิจการด้านเอเซียตะวันออกและแปซิฟิก ก่อนหน้ารับตำแหน่งนี้ เมื่อกรกฏาคม 2013 เขาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีโอบามา ในการวางนโยบาย ปรับกำลังมาทางแปซิฟิกมากขึ้น Pivot To Asia คงจำกันได้ ก่อนหน้านั้น อเมริกาวางน้ำหนักความสำคัญด้านความมั่นคงให้ทางยุโรป โดยผ่านกองกำลังนาโต้ 60% และให้น้ำหนักทางแปซิฟิก 40% แต่เมื่อเกิดอาการช๊อก ที่เห็นอาเฮียโตเร็วเกินคาดในปี 2012 อเมริกาจึงรีบปรับนโยบาย ตอนนั้นคุณนายคลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินสายแถวแปซิฟิกเสียหน้าเหี่ยว และตอนนั้นอเมริกาก็คงพอใจ ที่ไทยแลนด์ แดนสมันน้อย มีรัฐบาลที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพรมเช็ดเท้าให้อเมริกา เพราะมีหัวหน้ารัฐบาลที่แม้แต่พูดภาษาคนธรรมดายังไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่พูดภาษาราชการ หรือภาษาการฑูตเลย แน่นอน นายเดเนียล รัสเซล ผู้มีส่วนสำคัญในการปรับนโยบายใหม่ คงยืดน่าดู เพราะได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูแลแปซิฟิกสมใจ 5 กุมภาพันธ์ 2014 จากรายงานข่าวแจกของกระทรวงต่างประเทศ ที่วอชิงตัน บอกว่า อเมริกากำลังปรับดุลในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก “rebalance” โดยนายรัสเซลบอกว่า เราต้องใช้กำลังพลด้านการฑูตเพิ่มอีกมาก เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของ เรา rebalance นี้ จะครอบคลุมไปถึงเรื่อง เศรษฐกิจ ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยจะเน้นเรื่อง Trans -Pacific Partnership (TPP) และเรื่องขัดแย้งในทะเลจีน โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง Air Defense Indentification Zone (ADIZ) ที่จีนประกาศใช้ในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งอเมริกาไม่ชอบใจ แหม! อ่านตั้งนาน กว่าไต๋จะโผล่ นักล่าหงุดหงิดเรื่องนี้เอง แปลว่า ไอ้ที่อเมริกาเคยบินโฉบไปแอบดูอาหม่วยแถวนั้น โดยไม่แจง ไม่แจ้งน่ะ ทำไม่ได้แล้วนะ นายรัสเซล ยังบอกอีกว่า สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และของแปซิฟิก มีสเต็กชิ้นใหญ่อยู่ในแปซิฟิก ที่จำเป็นจะต้องให้เอเซียแปซิฟิก เปิดประตูกว้างเอาไว้ เพื่อเดินเข้าไปกินสะดวก แปลว่าตอนนี้กินสเต็กไม่สะดวก เพราะจีนกำลังขวางทางเข้าไปกิน อ่านต่อไม่ไหวครับ ยาแก้คลื่นไส้ ไม่ช่วยเลย ขอเปลี่ยนไปต่อ ที่การเสนอข่าวฉบับนี้ ที่ผมว่าน่าสนใจกว่าที่ ไอ้ขี้โม้รัสเซลพูดอีก เป็นการเสนอข่าวของ นายกวี จงกิจถาวร ใน นสพ. The Nation เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2015 นี้เอง หัวเรื่อง ” Are Thai-US relations warming up slowly?” http://www.nationmultimedia.com/opinion/Are-Thai-US-relations-warming-up-slowly-30251708.html ก่อนไปถึงเนื้อข่าว ขอให้ข้อมูลท่านผู้อ่านเสียหน่อยว่า จากข้อมูลของวิกิลีกซ์ ที่หล่นมาให้พวกเราหูตาสว่างกัน เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนนั้น นายกวี เป็นนักข่าว ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในรายงานของสถานฑูตอเมริกัน ประจำราชอาณาจักรไทย เกือบทุกครั้งที่มีการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือมีนายใหญ่จากวอชิงตันมา นายกวีจะต้องร่วมหารือและให้ความเห็นในฐานะสื่อใหญ่ของไทยเสมอ พูดง่ายๆว่า ไม่มากไม่น้อย อเมริกาก็เห็น หรือรู้จักประเทศไทย จากสายตาและความคิดของนายกวี ซึ่งก็มีข่าวว่า อเมริกายกย่องและดูแลอย่างดี เนื้อข่าวของนายกวี สรุปว่า นายรัสเซลมาเมืองไทยเมื่อเดือนเมษายน ปี 2014 และให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS ว่า เขามีความหวังว่าไทยจะมีการเลือกตั้ง ผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งไทยควรมีการเลือกตั้งเช่นนั้น เพื่อที่จะสมกับการเป็นมิตรที่อเมริกาไว้วางใจ แต่หลังจากนั้น 44 วัน โดยไม่มีใครรู้ตัว (รวมทั้งนายรัสเซล และนายกวี ?!) ทหารก็ทำการยึดอำนาจ วอชิงตันแปลกใจมาก เพราะไม่ได้รู้ข่าวมาก่อน และนั่นเป็นสาเหตุที่นาย Kerry มีปฏิกริยารุนแรงกับไทย แล้วสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกา ก็ลงเหวอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นหนทางที่จะเยียวยาให้ดีขึ้น Thai-US relations quickly went downhill without any prospect of amelioration ! ว้าย ตาเถรหก! ผมอ่านแล้วตกใจแทบสิ้นสติ อ่านข่าวแจกของฝร้่ง ต้องกินยาแก้คลื่นไส้ แต่พอมาอ่านข่าวคนไทยเขียน ผมต้องรีบให้เด็กเอายาหอมมาให้! ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าการปฏิวัติของคุณพี่ตู่ มันน่ากลัวถึงขนาดนั้น แต่พอมาอ่านที่นายกวีเขียนว่า ถึงขนาดที่เราจะขาดมิตร ที่คบกับมากว่า 70 ปี โดย อย่างไม่เห็นหนทางเยียวยาเอาเลย นี่ ผมเลยลมรับประทาน….ด้วยความดีใจ…… ขอให้มันเป็นหยั่งงั้นเถิด เจ้าประคู้น เอ้า! แล้วนี่เสือกมาทำไมล่ะ มากรีดซ้ำเป็นการเยียวยาหรือยังไง เดี๋ยวต้องคอยตามอ่าน บทความของนายกวีเสียแล้วสินะ นายกวีขู่ผมต่อ …. หลังจาก 259 วันที่ปราศจากการติดต่อระดับรัฐมนตรี สัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกของไทย-อเมริกัน ก็เริ่มปรับตัวอุ่นขึ้น ด้วยการมา (โปรด!) ของนายรัสเซล เขาบอกว่าระหว่าง 2 วัน ที่อยู่เมืองไทย เขาจะมาทำทุกอย่างที่เขาจะทำได้ให้อุ่นขึ้น เขาเน้นว่า ผู้บริหารระดับสูงของอเมริกา ยังไม่ติดต่อกับรัฐบาลไทยเลยนะ และนอกจากอเมริกาแล้ว EU ก็ยังไม่กลับมามีสัมพันธ์ปรกติกับไทยด้วย รอจนกว่าไทยจะมีการเลือกตั้งก่อน … กิจกรรมแรก ที่ไทยจะมีร่วมกับอเมริกาในต้นปีนี้คือ การฝึกประจำปี Cobra Gold ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับอเมริกามา 3 ทศวรรษ สำหรับปีนี้ จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่นครนายก แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ไปจัดที่อื่น หลังจากที่ไทยมีการปฏิวัติ คราวนี้การฝึกคงเป็นระดับเล็กลง และประชาสัมพันธ์น้อยลง อืม.., เดี๋ยวนี้ ประเทศไทยดูเหมือนจะมีความหลากหลายในการสร้างมั่นคงของตน ถ้าใช้ตามวลีอันขึ้นชื่อของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม นาย Donald Rumsfeld ก็ต้องบอกว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป จากการคบคนเคยรู้กันแล้ว เป็นการคบกับคนที่ไม่เคยรู้กัน ( known-knowns เป็น known-unknowns) ที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ประเทศไทยมีการเจรจา และมีโครงการด้านความมั่นคงกับจีน รัสเซีย เวียตนาม.. เอาละครับ สรุปมาให้ฟัง ทั้งที่ฝรั่งแจก กับไทยเขียนแทนฝรั่ง คงเห็นกันแล้วว่า อเมริกากำลังคิดอย่างไร – อเมริกา หน้าแตก แหกเป็นริ้ว มานั่งคุยจ้อเรื่องเลือกตั้ง นึกว่าสั่งแล้ว เขารู้เรื่องทำตาม ที่ไหนได้ กลับบ้านไป 44 วันเขาปฏิวัติ ไม่หน้าแหกยังไง จมูก CIA เสียหมดหรือไง ถึงดมกลิ่นปฏิวัติไม่เจอเลย แถมไอ้ลูกพี่ ที่มานั่งคุยกร่าง ยังจับทางไม่ได้ นั่งอยู่กลางบ้านเขาแท้ๆ ยังงี้มันน่าปลดให้หมด แล้วไอ้คนไทยที่เลี้ยงไว้เป็นสายสืบ ก็ต้องปลดด้วย ลูกเต้าที่ส่งเสียให้เรียนมหาวิทยาลัยดัง ส่งกลับไปอยู่วัดจานบินให้หมด – อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ไล่บี้ไอ้พวกลูกหาบ แถวเอเซียแปซิฟิกแรงๆ ให้มันไปช่วยกดดันจีน ดันบี้แรงไปหน่อย ทำท่าจะแหกคอก แตกแถว ไปอยู่ฝั่งโน้น อย่างนี้ ยิ่งกว่าหน้าแตก มันหน้าหัก หักหน้ากัน ไม่ตามมาด่าซ้ำถึงกลางบ้านได้ยังไง เด็กเลี้ยงมา 70 ปี มาทำหือ อย่างนีต้องเจอโทษหนักแน่นอน – แต่ที่แสดงความหมดท่า เสียที คือ อุตส่าห์คิดนโยบายใหม่ ย้ายมากดดันจีน ลืมระวังอีกข้าง ถูกลูกหลอกฝั่งรัสเซียจีนผลัดกันโหม่ง วิ่งรับลูกผิดทาง เจอคุณพี่ปูตินซัดเต็มเหนี่ยว เกี่ยวเอาไครเมีย กล่องดวงใจกลับไปกก อันนี้มันเป็นเรื่อง แค้นนี้ต้องชำระ – แล้วใครล่ะ ที่เดินจ๋อยๆ เป็นสมันน้อยน่ารัก แต่จับมือกับเขาไปทั่ว ไอ้รูปจับมือ สร้างทางรถไฟนี่ มันต้องคารวะให้ 3 จอก จังหวะดีเหลือเชื่อ เอาแค่ตัวอย่างที่ยกมา ผมจึงไม่แปลกใจ ที่จะมีไอ้บ้าอะไรสักตัว มานั่งพล่าม นั่งเสือกยุ่งอยู่ในบ้านคนอื่นเขา เขาจัดการเรื่องบ้านเมืองของเขา ตามที่เขาเห็นเหมาะสม มันต้องเสือกอะไรด้วย เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร ไม่ได้เป็นทาสของใคร อย่าไปสนใจ ตกใจกับเสียงเห่า ตามสันดานของพวกหวงรางหญ้าครับ ปล่อยให้มันบ้าไป คุณพี่ตู่ท่านทำถูกแล้วที่ไม่รับนัด จริงๆ ไม่ควรมีใครรับนัดเลย ปล่อยให้มันคุยแต่กับนังเอ๋อ รายเดียวเหมาะสมกันดีจะตาย สวัสดีครับ ลุงนิทาน 27 มกราคม 2558 U.S. to Intensify Rebalancing in Asia in 2014 https://geneva.usmission.gov/2014/02/06/u-s-to-intensify-rebalancing-in-asia-in-2014/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wikipedia เผยทราฟฟิกลดฮวบ – คนหันไปดูคลิปกับใช้ AI ตอบแทนการคลิก”

    Wikipedia ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลอันดับหนึ่งของโลก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมผู้ใช้ โดย Marshall Miller จาก Wikimedia Foundation เผยว่า จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

    สาเหตุหลักคือการเปลี่ยนวิธี “ค้นหาความรู้” ของผู้คน โดยเฉพาะจากสองกระแสใหญ่:

    1️⃣ AI search summaries – เครื่องมือค้นหาหลายเจ้าตอนนี้ใช้ AI สรุปคำตอบให้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ เช่น Google’s SGE หรือ Bing Copilot ทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบจาก Wikipedia โดยไม่เคยเข้า Wikipedia จริง ๆ

    2️⃣ Social video platforms – คนรุ่นใหม่หันไปใช้ TikTok, YouTube Shorts และ Instagram Reels เพื่อหาความรู้แบบเร็ว ๆ แทนการอ่านบทความยาว ๆ บนเว็บ

    Wikipedia เองเคยทดลองใช้ AI สรุปบทความ แต่ต้องหยุดไปเพราะชุมชนผู้แก้ไขไม่พอใจเรื่องความแม่นยำและการควบคุมเนื้อหา

    สิ่งที่น่ากังวลคือ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง ก็จะมีผู้แก้ไขน้อยลง และยอดบริจาคก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหาในระยะยาว

    Miller จึงเรียกร้องให้บริษัท AI และแพลตฟอร์มค้นหา “ส่งคนกลับเข้า Wikipedia” และกำลังพัฒนา framework ใหม่เพื่อให้การอ้างอิงเนื้อหาจาก Wikipedia มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น

    สถานการณ์ปัจจุบันของ Wikipedia
    จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    การลดลงเกิดหลังจากปรับระบบตรวจจับ bot ใหม่
    พบว่าทราฟฟิกสูงช่วงพฤษภาคม–มิถุนายนมาจาก bot ที่หลบการตรวจจับ

    สาเหตุของการลดลง
    AI search summaries ให้คำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ
    คนรุ่นใหม่หันไปใช้ social video เพื่อหาความรู้
    พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลเปลี่ยนจาก “อ่าน” เป็น “ดู” และ “ฟัง”

    ผลกระทบต่อ Wikipedia
    ผู้เข้าชมน้อยลง = ผู้แก้ไขน้อยลง
    ยอดบริจาคลดลงตามจำนวนผู้ใช้
    เสี่ยงต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหา
    ความเข้าใจของผู้ใช้ต่อแหล่งที่มาของข้อมูลลดลง

    การตอบสนองจาก Wikimedia Foundation
    เรียกร้องให้ AI และ search engine ส่งคนกลับเข้า Wikipedia
    พัฒนา framework ใหม่สำหรับการอ้างอิงเนื้อหา
    มีทีมงาน 2 ทีมช่วยผลักดัน Wikipedia สู่กลุ่มผู้ใช้ใหม่
    หยุดการใช้ AI สรุปบทความหลังชุมชนไม่พอใจ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง อาจไม่รู้ว่าเนื้อหามาจากไหน
    การลดจำนวนผู้แก้ไขอาจทำให้เนื้อหาล้าสมัยหรือผิดพลาด
    การพึ่งพา AI summaries อาจลดความหลากหลายของมุมมอง
    หากยอดบริจาคลดลง อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ Wikimedia
    การใช้ social video เพื่อหาความรู้อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดแพร่กระจายง่ายขึ้น

    https://techcrunch.com/2025/10/18/wikipedia-says-traffic-is-falling-due-to-ai-search-summaries-and-social-video/
    📉 “Wikipedia เผยทราฟฟิกลดฮวบ – คนหันไปดูคลิปกับใช้ AI ตอบแทนการคลิก” Wikipedia ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลอันดับหนึ่งของโลก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมผู้ใช้ โดย Marshall Miller จาก Wikimedia Foundation เผยว่า จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง สาเหตุหลักคือการเปลี่ยนวิธี “ค้นหาความรู้” ของผู้คน โดยเฉพาะจากสองกระแสใหญ่: 1️⃣ AI search summaries – เครื่องมือค้นหาหลายเจ้าตอนนี้ใช้ AI สรุปคำตอบให้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ เช่น Google’s SGE หรือ Bing Copilot ทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบจาก Wikipedia โดยไม่เคยเข้า Wikipedia จริง ๆ 2️⃣ Social video platforms – คนรุ่นใหม่หันไปใช้ TikTok, YouTube Shorts และ Instagram Reels เพื่อหาความรู้แบบเร็ว ๆ แทนการอ่านบทความยาว ๆ บนเว็บ Wikipedia เองเคยทดลองใช้ AI สรุปบทความ แต่ต้องหยุดไปเพราะชุมชนผู้แก้ไขไม่พอใจเรื่องความแม่นยำและการควบคุมเนื้อหา สิ่งที่น่ากังวลคือ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง ก็จะมีผู้แก้ไขน้อยลง และยอดบริจาคก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหาในระยะยาว Miller จึงเรียกร้องให้บริษัท AI และแพลตฟอร์มค้นหา “ส่งคนกลับเข้า Wikipedia” และกำลังพัฒนา framework ใหม่เพื่อให้การอ้างอิงเนื้อหาจาก Wikipedia มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น ✅ สถานการณ์ปัจจุบันของ Wikipedia ➡️ จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ การลดลงเกิดหลังจากปรับระบบตรวจจับ bot ใหม่ ➡️ พบว่าทราฟฟิกสูงช่วงพฤษภาคม–มิถุนายนมาจาก bot ที่หลบการตรวจจับ ✅ สาเหตุของการลดลง ➡️ AI search summaries ให้คำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ ➡️ คนรุ่นใหม่หันไปใช้ social video เพื่อหาความรู้ ➡️ พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลเปลี่ยนจาก “อ่าน” เป็น “ดู” และ “ฟัง” ✅ ผลกระทบต่อ Wikipedia ➡️ ผู้เข้าชมน้อยลง = ผู้แก้ไขน้อยลง ➡️ ยอดบริจาคลดลงตามจำนวนผู้ใช้ ➡️ เสี่ยงต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหา ➡️ ความเข้าใจของผู้ใช้ต่อแหล่งที่มาของข้อมูลลดลง ✅ การตอบสนองจาก Wikimedia Foundation ➡️ เรียกร้องให้ AI และ search engine ส่งคนกลับเข้า Wikipedia ➡️ พัฒนา framework ใหม่สำหรับการอ้างอิงเนื้อหา ➡️ มีทีมงาน 2 ทีมช่วยผลักดัน Wikipedia สู่กลุ่มผู้ใช้ใหม่ ➡️ หยุดการใช้ AI สรุปบทความหลังชุมชนไม่พอใจ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง อาจไม่รู้ว่าเนื้อหามาจากไหน ⛔ การลดจำนวนผู้แก้ไขอาจทำให้เนื้อหาล้าสมัยหรือผิดพลาด ⛔ การพึ่งพา AI summaries อาจลดความหลากหลายของมุมมอง ⛔ หากยอดบริจาคลดลง อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ Wikimedia ⛔ การใช้ social video เพื่อหาความรู้อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดแพร่กระจายง่ายขึ้น https://techcrunch.com/2025/10/18/wikipedia-says-traffic-is-falling-due-to-ai-search-summaries-and-social-video/
    TECHCRUNCH.COM
    Wikipedia says traffic is falling due to AI search summaries and social video | TechCrunch
    Looks like Wikipedia isn't immune to broader online trends, with human page views falling 8% year-over-year, according to a new blog post from Marshall Miller of the Wikimedia Foundation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สหรัฐฯ เสนอแบน VPN – นักเคลื่อนไหวทั่วโลกลุกฮือจัด ‘VPN Day of Action’ ต้านกฎหมายเซ็นเซอร์”

    ในเดือนกันยายน 2025 รัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act ซึ่งมีเนื้อหาห้ามการเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม” เช่น ภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิกต่าง ๆ พร้อมบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์มที่เผยแพร่

    แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ กฎหมายนี้ยังเสนอให้ แบนเครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ เช่น VPN, proxy และ encrypted tunneling ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงข้อมูลในประเทศที่มีการควบคุมเนื้อหา

    แม้กฎหมายนี้จะยังไม่ผ่าน แต่ก็จุดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง โดยองค์กร Fight for the Future ได้จัดกิจกรรม VPN Day of Action ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน เพื่อเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN

    นักเคลื่อนไหวชี้ว่า VPN ไม่ใช่แค่เครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์จากรัฐและกลุ่มอาชญากรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายน 2025 นักเคลื่อนไหวในเนปาลใช้ VPN เพื่อจัดการประท้วงผ่านโซเชียลมีเดีย แม้รัฐบาลจะพยายามบล็อกแพลตฟอร์มเหล่านั้นก็ตาม

    รายละเอียดร่างกฎหมายในมิชิแกน
    ชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act
    ห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม”
    รวมถึงภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิก
    เสนอแบน VPN, proxy และ encrypted tunneling
    มีบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์ม

    การตอบโต้จากนักเคลื่อนไหว
    องค์กร Fight for the Future จัด VPN Day of Action
    มีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน
    เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN
    ชี้ว่า VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยและเสรีภาพ
    ยกตัวอย่างการใช้ VPN ในการจัดการประท้วงในเนปาล

    บริบททางการเมืองและเทคโนโลยี
    กฎหมายนี้สะท้อนแนวโน้มการเซ็นเซอร์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และยุโรป
    สหราชอาณาจักรก็เคยเสนอจำกัด VPN หลังยอดดาวน์โหลดพุ่ง
    การแบน VPN อาจทำให้สหรัฐฯ ถูกเปรียบเทียบกับรัฐเผด็จการ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ
    VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม

    https://www.slashgear.com/1998517/us-states-vpn-ban-protests-day-of-action/
    🛡️ “สหรัฐฯ เสนอแบน VPN – นักเคลื่อนไหวทั่วโลกลุกฮือจัด ‘VPN Day of Action’ ต้านกฎหมายเซ็นเซอร์” ในเดือนกันยายน 2025 รัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act ซึ่งมีเนื้อหาห้ามการเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม” เช่น ภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิกต่าง ๆ พร้อมบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์มที่เผยแพร่ แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ กฎหมายนี้ยังเสนอให้ แบนเครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ เช่น VPN, proxy และ encrypted tunneling ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงข้อมูลในประเทศที่มีการควบคุมเนื้อหา แม้กฎหมายนี้จะยังไม่ผ่าน แต่ก็จุดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง โดยองค์กร Fight for the Future ได้จัดกิจกรรม VPN Day of Action ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน เพื่อเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN นักเคลื่อนไหวชี้ว่า VPN ไม่ใช่แค่เครื่องมือหลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์จากรัฐและกลุ่มอาชญากรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายน 2025 นักเคลื่อนไหวในเนปาลใช้ VPN เพื่อจัดการประท้วงผ่านโซเชียลมีเดีย แม้รัฐบาลจะพยายามบล็อกแพลตฟอร์มเหล่านั้นก็ตาม ✅ รายละเอียดร่างกฎหมายในมิชิแกน ➡️ ชื่อว่า Anticorruption of Public Morals Act ➡️ ห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกมองว่า “บ่อนทำลายศีลธรรม” ➡️ รวมถึงภาพคนข้ามเพศ, สื่อลามก, ASMR และภาพกราฟิก ➡️ เสนอแบน VPN, proxy และ encrypted tunneling ➡️ มีบทลงโทษทั้งปรับและจำคุกสำหรับผู้โพสต์และแพลตฟอร์ม ✅ การตอบโต้จากนักเคลื่อนไหว ➡️ องค์กร Fight for the Future จัด VPN Day of Action ➡️ มีผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกมากกว่า 15,000 คน ➡️ เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ปกป้องสิทธิในการใช้ VPN ➡️ ชี้ว่า VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความปลอดภัยและเสรีภาพ ➡️ ยกตัวอย่างการใช้ VPN ในการจัดการประท้วงในเนปาล ✅ บริบททางการเมืองและเทคโนโลยี ➡️ กฎหมายนี้สะท้อนแนวโน้มการเซ็นเซอร์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และยุโรป ➡️ สหราชอาณาจักรก็เคยเสนอจำกัด VPN หลังยอดดาวน์โหลดพุ่ง ➡️ การแบน VPN อาจทำให้สหรัฐฯ ถูกเปรียบเทียบกับรัฐเผด็จการ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ ➡️ VPN เป็นเครื่องมือสำคัญในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม https://www.slashgear.com/1998517/us-states-vpn-ban-protests-day-of-action/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    US States Want To Ban VPNs, But Citizens Are Already Fighting Back - SlashGear
    The Michigan ban is about more than moderating content. VPNs play an essential role in protecting citizens' right to access and share information.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Tiny Corp ปลดล็อก Nvidia GPU บน MacBook ARM ผ่าน USB4 – เปิดทางใหม่ให้สาย AI บน macOS!”

    ใครที่ใช้ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M-series อาจเคยรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถใช้การ์ดจอแยกจาก Nvidia ได้ เพราะ macOS บน ARM ไม่มีไดรเวอร์รองรับแบบเป็นทางการ แต่ล่าสุด Tiny Corp สตาร์ทอัพสาย AI ได้สร้างความฮือฮา ด้วยการพัฒนาไดรเวอร์ที่ทำให้ MacBook ARM สามารถใช้งาน Nvidia GPU ได้ผ่าน USB4 หรือ Thunderbolt 4 โดยใช้ eGPU docking station!

    ก่อนหน้านี้ Tiny Corp เคยทำให้ AMD GPU ทำงานบน MacBook ARM ผ่าน USB3 ได้สำเร็จมาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งแรกในโลก และครั้งนี้พวกเขาได้ต่อยอดไปยัง Nvidia โดยรองรับการ์ด RTX รุ่น 30, 40 และ 50 series ส่วน RTX 20 series อาจใช้ได้ แต่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ส่วน GTX series ไม่รองรับ เพราะไม่มี GPU system processor

    การใช้งาน Nvidia GPU บน MacBook นี้ไม่ได้เพื่อการแสดงผลกราฟิก แต่เน้นสำหรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่น การรันโมเดล LLM หรืองาน inference ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูง ซึ่งการ์ดจอของ Apple ยังไม่สามารถเทียบได้ในด้านนี้

    Tiny Corp ได้โชว์ตัวอย่างการใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม X โดยใช้ MacBook Pro M3 Max เชื่อมต่อกับ RTX GPU ผ่าน dock รุ่น ADT-UT3G และรัน Tinygrad ได้อย่างลื่นไหล ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับนักพัฒนา AI ที่ใช้ macOS

    ความสำเร็จของ Tiny Corp
    พัฒนาไดรเวอร์ให้ MacBook ARM ใช้งาน Nvidia GPU ผ่าน USB4/Thunderbolt 4
    รองรับ RTX 30, 40, 50 series สำหรับงาน AI
    RTX 20 series อาจใช้ได้ แต่ต้องปรับแต่งเอง
    GTX series ไม่รองรับ เพราะไม่มี GPU system processor
    ใช้ dock รุ่น ADT-UT3G เชื่อมต่อผ่าน USB4
    รัน Tinygrad บน MacBook Pro M3 Max ได้สำเร็จ
    ไม่รองรับการแสดงผลกราฟิก แต่เน้นงาน AI เช่น LLM และ inference

    ความเป็นมาของเทคโนโลยี
    ก่อนหน้านี้เคยทำให้ AMD GPU ทำงานบน MacBook ARM ผ่าน USB3
    USB4/Thunderbolt 4 รองรับ PCIe โดยตรง ทำให้เชื่อมต่อ eGPU ได้ง่ายขึ้น
    Apple ไม่เคยรองรับ Nvidia GPU บน macOS ARM อย่างเป็นทางการ
    นักพัฒนาต้องสร้างไดรเวอร์เองเพื่อใช้งาน eGPU บน MacBook

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ใช้งานได้เฉพาะสำหรับงาน AI ไม่รองรับการแสดงผลหน้าจอ
    ต้องใช้การ์ดที่มี GPU system processor เท่านั้น
    RTX 20 series ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ไม่ใช่ plug-and-play
    GTX series ไม่สามารถใช้งานได้เลย
    การติดตั้งไดรเวอร์ต้องใช้ความเข้าใจเชิงเทคนิคพอสมควร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/tiny-corp-successfully-runs-an-nvidia-gpu-on-arm-macbook-through-usb4-using-an-external-gpu-docking-station
    🔌 “Tiny Corp ปลดล็อก Nvidia GPU บน MacBook ARM ผ่าน USB4 – เปิดทางใหม่ให้สาย AI บน macOS!” ใครที่ใช้ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M-series อาจเคยรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถใช้การ์ดจอแยกจาก Nvidia ได้ เพราะ macOS บน ARM ไม่มีไดรเวอร์รองรับแบบเป็นทางการ แต่ล่าสุด Tiny Corp สตาร์ทอัพสาย AI ได้สร้างความฮือฮา ด้วยการพัฒนาไดรเวอร์ที่ทำให้ MacBook ARM สามารถใช้งาน Nvidia GPU ได้ผ่าน USB4 หรือ Thunderbolt 4 โดยใช้ eGPU docking station! ก่อนหน้านี้ Tiny Corp เคยทำให้ AMD GPU ทำงานบน MacBook ARM ผ่าน USB3 ได้สำเร็จมาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งแรกในโลก และครั้งนี้พวกเขาได้ต่อยอดไปยัง Nvidia โดยรองรับการ์ด RTX รุ่น 30, 40 และ 50 series ส่วน RTX 20 series อาจใช้ได้ แต่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ส่วน GTX series ไม่รองรับ เพราะไม่มี GPU system processor การใช้งาน Nvidia GPU บน MacBook นี้ไม่ได้เพื่อการแสดงผลกราฟิก แต่เน้นสำหรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่น การรันโมเดล LLM หรืองาน inference ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูง ซึ่งการ์ดจอของ Apple ยังไม่สามารถเทียบได้ในด้านนี้ Tiny Corp ได้โชว์ตัวอย่างการใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม X โดยใช้ MacBook Pro M3 Max เชื่อมต่อกับ RTX GPU ผ่าน dock รุ่น ADT-UT3G และรัน Tinygrad ได้อย่างลื่นไหล ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับนักพัฒนา AI ที่ใช้ macOS ✅ ความสำเร็จของ Tiny Corp ➡️ พัฒนาไดรเวอร์ให้ MacBook ARM ใช้งาน Nvidia GPU ผ่าน USB4/Thunderbolt 4 ➡️ รองรับ RTX 30, 40, 50 series สำหรับงาน AI ➡️ RTX 20 series อาจใช้ได้ แต่ต้องปรับแต่งเอง ➡️ GTX series ไม่รองรับ เพราะไม่มี GPU system processor ➡️ ใช้ dock รุ่น ADT-UT3G เชื่อมต่อผ่าน USB4 ➡️ รัน Tinygrad บน MacBook Pro M3 Max ได้สำเร็จ ➡️ ไม่รองรับการแสดงผลกราฟิก แต่เน้นงาน AI เช่น LLM และ inference ✅ ความเป็นมาของเทคโนโลยี ➡️ ก่อนหน้านี้เคยทำให้ AMD GPU ทำงานบน MacBook ARM ผ่าน USB3 ➡️ USB4/Thunderbolt 4 รองรับ PCIe โดยตรง ทำให้เชื่อมต่อ eGPU ได้ง่ายขึ้น ➡️ Apple ไม่เคยรองรับ Nvidia GPU บน macOS ARM อย่างเป็นทางการ ➡️ นักพัฒนาต้องสร้างไดรเวอร์เองเพื่อใช้งาน eGPU บน MacBook ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ใช้งานได้เฉพาะสำหรับงาน AI ไม่รองรับการแสดงผลหน้าจอ ⛔ ต้องใช้การ์ดที่มี GPU system processor เท่านั้น ⛔ RTX 20 series ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ไม่ใช่ plug-and-play ⛔ GTX series ไม่สามารถใช้งานได้เลย ⛔ การติดตั้งไดรเวอร์ต้องใช้ความเข้าใจเชิงเทคนิคพอสมควร https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/tiny-corp-successfully-runs-an-nvidia-gpu-on-arm-macbook-through-usb4-using-an-external-gpu-docking-station
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AWS ล่มครั้งใหญ่! อินเทอร์เน็ตสะดุดทั่วโลก – Alexa, Ring, Snapchat, Fortnite และอีกเพียบโดนหางเลข”

    เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2025 เกิดเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่า “อินเทอร์เน็ตสะดุด” ครั้งใหญ่ เมื่อ Amazon Web Services (AWS) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ที่สุดในโลก เกิดปัญหาขัดข้องในภูมิภาค US-EAST-1 ส่งผลให้บริการออนไลน์จำนวนมหาศาลล่มตามไปด้วย

    เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้ามืดตามเวลาแปซิฟิก ผู้ใช้เริ่มรายงานปัญหาผ่าน Downdetector ว่าไม่สามารถใช้งานแอปและเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ เช่น Alexa, Ring, Snapchat, Fortnite, Roblox, Canva, Venmo, Coinbase, McDonald's, Reddit และแม้แต่บริการของสายการบินอย่าง United และ Delta ก็ได้รับผลกระทบ

    AWS ระบุว่า สาเหตุเกิดจากระบบภายในที่ใช้ตรวจสอบสุขภาพของ network load balancer มีปัญหา ทำให้เกิด error rates สูงและ latency เพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายบริการ โดยเฉพาะ EC2 และ Lambda ซึ่งเป็นหัวใจของการประมวลผลในระบบคลาวด์

    แม้ AWS จะดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและสามารถฟื้นฟูระบบได้ภายในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน แต่หลายบริการยังคงมี backlog ที่ต้องเคลียร์ และบางระบบยังไม่สามารถกลับมาใช้งานได้เต็มที่ทันที

    เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า โลกออนไลน์ในปัจจุบันพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานของ AWS มากเพียงใด และเมื่อเกิดปัญหา แม้แต่การสั่งกาแฟผ่านแอปหรือเช็คอินเที่ยวบินก็อาจกลายเป็นเรื่องยากทันที

    รายละเอียดเหตุการณ์ AWS ล่ม
    เกิดขึ้นวันที่ 20 ตุลาคม 2025 ในภูมิภาค US-EAST-1
    ส่งผลให้บริการออนไลน์จำนวนมากไม่สามารถใช้งานได้
    สาเหตุจากระบบตรวจสอบสุขภาพของ network load balancer มีปัญหา
    บริการที่ได้รับผลกระทบ เช่น Alexa, Ring, Snapchat, Fortnite, Roblox, Canva, Venmo, Coinbase, McDonald's, Reddit
    สายการบิน United และ Delta ก็ได้รับผลกระทบ
    AWS ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการแก้ไขและฟื้นฟูระบบ
    บางบริการยังมี backlog ที่ต้องเคลียร์หลังระบบกลับมา

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และธุรกิจ
    ผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานแอปพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้
    ธุรกิจที่พึ่งพา AWS ต้องหยุดชะงักชั่วคราว
    ระบบการจองตั๋ว การชำระเงิน และการสื่อสารออนไลน์ล่ม
    สะท้อนความเสี่ยงของการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์รายเดียว

    https://www.techradar.com/news/live/amazon-web-services-alexa-ring-snapchat-fortnite-down-october-2025
    🌐 “AWS ล่มครั้งใหญ่! อินเทอร์เน็ตสะดุดทั่วโลก – Alexa, Ring, Snapchat, Fortnite และอีกเพียบโดนหางเลข” เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2025 เกิดเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่า “อินเทอร์เน็ตสะดุด” ครั้งใหญ่ เมื่อ Amazon Web Services (AWS) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ที่สุดในโลก เกิดปัญหาขัดข้องในภูมิภาค US-EAST-1 ส่งผลให้บริการออนไลน์จำนวนมหาศาลล่มตามไปด้วย เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้ามืดตามเวลาแปซิฟิก ผู้ใช้เริ่มรายงานปัญหาผ่าน Downdetector ว่าไม่สามารถใช้งานแอปและเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ เช่น Alexa, Ring, Snapchat, Fortnite, Roblox, Canva, Venmo, Coinbase, McDonald's, Reddit และแม้แต่บริการของสายการบินอย่าง United และ Delta ก็ได้รับผลกระทบ AWS ระบุว่า สาเหตุเกิดจากระบบภายในที่ใช้ตรวจสอบสุขภาพของ network load balancer มีปัญหา ทำให้เกิด error rates สูงและ latency เพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายบริการ โดยเฉพาะ EC2 และ Lambda ซึ่งเป็นหัวใจของการประมวลผลในระบบคลาวด์ แม้ AWS จะดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและสามารถฟื้นฟูระบบได้ภายในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน แต่หลายบริการยังคงมี backlog ที่ต้องเคลียร์ และบางระบบยังไม่สามารถกลับมาใช้งานได้เต็มที่ทันที เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า โลกออนไลน์ในปัจจุบันพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานของ AWS มากเพียงใด และเมื่อเกิดปัญหา แม้แต่การสั่งกาแฟผ่านแอปหรือเช็คอินเที่ยวบินก็อาจกลายเป็นเรื่องยากทันที ✅ รายละเอียดเหตุการณ์ AWS ล่ม ➡️ เกิดขึ้นวันที่ 20 ตุลาคม 2025 ในภูมิภาค US-EAST-1 ➡️ ส่งผลให้บริการออนไลน์จำนวนมากไม่สามารถใช้งานได้ ➡️ สาเหตุจากระบบตรวจสอบสุขภาพของ network load balancer มีปัญหา ➡️ บริการที่ได้รับผลกระทบ เช่น Alexa, Ring, Snapchat, Fortnite, Roblox, Canva, Venmo, Coinbase, McDonald's, Reddit ➡️ สายการบิน United และ Delta ก็ได้รับผลกระทบ ➡️ AWS ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการแก้ไขและฟื้นฟูระบบ ➡️ บางบริการยังมี backlog ที่ต้องเคลียร์หลังระบบกลับมา ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้และธุรกิจ ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานแอปพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้ ➡️ ธุรกิจที่พึ่งพา AWS ต้องหยุดชะงักชั่วคราว ➡️ ระบบการจองตั๋ว การชำระเงิน และการสื่อสารออนไลน์ล่ม ➡️ สะท้อนความเสี่ยงของการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์รายเดียว https://www.techradar.com/news/live/amazon-web-services-alexa-ring-snapchat-fortnite-down-october-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5”

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus

    จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD

    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K

    ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก

    ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่

    Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป

    สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh
    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E)
    เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์
    แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม
    ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน
    คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT)
    ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s
    ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน
    มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ
    Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP
    เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026

    แผนอนาคตของ Intel
    เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า
    ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป
    Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851

    https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    🚀 “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5” Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่ Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ✅ สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh ➡️ Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E) ➡️ เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์ ➡️ แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม ➡️ ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน ➡️ คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT) ➡️ ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน ➡️ มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP ➡️ เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026 ✅ แผนอนาคตของ Intel ➡️ เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ➡️ ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ➡️ Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851 https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    WCCFTECH.COM
    Intel Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs Leak: Flagship Is Ultra 9 290K Plus, Ultra 7 270K Plus Benchmarked
    Intel's upcoming Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs, such as the Ultra 9 290K Plus & Ultra 7 270K Plus, have leaked.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD เตรียมนำ Krackan Point APU ลงแพลตฟอร์ม AM5 — BIOS ใหม่ AGESA 1.2.7.0 เพิ่มการรองรับ Zen 5” — เมื่อ APU ที่เคยอยู่แค่ในโน้ตบุ๊กอาจกลายเป็นขุมพลังใหม่ของเดสก์ท็อป

    รายงานจาก Wccftech เผยว่า AMD อาจนำ APU ตระกูล Krackan Point ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 มาสู่แพลตฟอร์มเดสก์ท็อป AM5 ในเร็ว ๆ นี้ โดยมีเบาะแสจากไฟล์สเปรดชีตที่แสดงว่า BIOS เวอร์ชันใหม่ AGESA 1.2.7.0 ได้เพิ่มการรองรับไมโครโค้ด “00B60Fxx” ซึ่งตรงกับ Krackan Point ทั้งรุ่น 1 และ 2

    Krackan Point เป็น APU ที่เปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2025 สำหรับโน้ตบุ๊กระดับกลาง โดยอยู่ในซีรีส์ Ryzen AI 300 และใช้กราฟิก RDNA 3.5 พร้อม NPU XDNA 2 สำหรับงาน AI inference

    หากนำมาลง AM5 จริง จะเป็นครั้งแรกที่ Zen 5 APU ปรากฏบนเดสก์ท็อป เพราะปัจจุบัน Ryzen 8000G ยังใช้ Zen 4 และไม่สามารถเทียบกับ APU มือถือรุ่นใหม่อย่าง Strix Point หรือ Strix Halo ได้เลย

    มีข่าวลือว่า AMD จะเปิดตัว Ryzen 9000G หรือ 10000G ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 โดยใช้ Zen 5 แบบ 8 คอร์ 16 เธรด และกราฟิก RDNA 3.5 ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Krackan Point มือถือ แต่มีพลังงานสูงกว่า ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีกว่า

    AGESA BIOS 1.2.7.0 เพิ่มการรองรับไมโครโค้ด “00B60Fxx”
    ซึ่งตรงกับ Krackan Point APU ทั้งรุ่น 1 และ 2

    Krackan Point เป็น APU Zen 5 ที่เปิดตัวใน Q1 2025 สำหรับโน้ตบุ๊ก
    อยู่ในซีรีส์ Ryzen AI 300 พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 และ NPU XDNA 2

    ปัจจุบัน Ryzen 8000G บนเดสก์ท็อปยังใช้ Zen 4
    ไม่สามารถเทียบกับ APU มือถือรุ่นใหม่ได้

    มีข่าวลือว่า Ryzen 9000G หรือ 10000G จะเปิดตัวใน Q4 2025
    ใช้ Zen 5 แบบ 8 คอร์ 16 เธรด และกราฟิก RDNA 3.5

    หาก Krackan Point มาลง AM5 จะเป็น Zen 5 APU รุ่นแรกบนเดสก์ท็อป
    เพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ APU

    https://wccftech.com/amd-krackan-point-is-reportedly-coming-to-am5-new-agesa-bios-adds-support-for-zen-5-apus/
    🧠 “AMD เตรียมนำ Krackan Point APU ลงแพลตฟอร์ม AM5 — BIOS ใหม่ AGESA 1.2.7.0 เพิ่มการรองรับ Zen 5” — เมื่อ APU ที่เคยอยู่แค่ในโน้ตบุ๊กอาจกลายเป็นขุมพลังใหม่ของเดสก์ท็อป รายงานจาก Wccftech เผยว่า AMD อาจนำ APU ตระกูล Krackan Point ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 มาสู่แพลตฟอร์มเดสก์ท็อป AM5 ในเร็ว ๆ นี้ โดยมีเบาะแสจากไฟล์สเปรดชีตที่แสดงว่า BIOS เวอร์ชันใหม่ AGESA 1.2.7.0 ได้เพิ่มการรองรับไมโครโค้ด “00B60Fxx” ซึ่งตรงกับ Krackan Point ทั้งรุ่น 1 และ 2 Krackan Point เป็น APU ที่เปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2025 สำหรับโน้ตบุ๊กระดับกลาง โดยอยู่ในซีรีส์ Ryzen AI 300 และใช้กราฟิก RDNA 3.5 พร้อม NPU XDNA 2 สำหรับงาน AI inference หากนำมาลง AM5 จริง จะเป็นครั้งแรกที่ Zen 5 APU ปรากฏบนเดสก์ท็อป เพราะปัจจุบัน Ryzen 8000G ยังใช้ Zen 4 และไม่สามารถเทียบกับ APU มือถือรุ่นใหม่อย่าง Strix Point หรือ Strix Halo ได้เลย มีข่าวลือว่า AMD จะเปิดตัว Ryzen 9000G หรือ 10000G ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 โดยใช้ Zen 5 แบบ 8 คอร์ 16 เธรด และกราฟิก RDNA 3.5 ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Krackan Point มือถือ แต่มีพลังงานสูงกว่า ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีกว่า ✅ AGESA BIOS 1.2.7.0 เพิ่มการรองรับไมโครโค้ด “00B60Fxx” ➡️ ซึ่งตรงกับ Krackan Point APU ทั้งรุ่น 1 และ 2 ✅ Krackan Point เป็น APU Zen 5 ที่เปิดตัวใน Q1 2025 สำหรับโน้ตบุ๊ก ➡️ อยู่ในซีรีส์ Ryzen AI 300 พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 และ NPU XDNA 2 ✅ ปัจจุบัน Ryzen 8000G บนเดสก์ท็อปยังใช้ Zen 4 ➡️ ไม่สามารถเทียบกับ APU มือถือรุ่นใหม่ได้ ✅ มีข่าวลือว่า Ryzen 9000G หรือ 10000G จะเปิดตัวใน Q4 2025 ➡️ ใช้ Zen 5 แบบ 8 คอร์ 16 เธรด และกราฟิก RDNA 3.5 ✅ หาก Krackan Point มาลง AM5 จะเป็น Zen 5 APU รุ่นแรกบนเดสก์ท็อป ➡️ เพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ APU https://wccftech.com/amd-krackan-point-is-reportedly-coming-to-am5-new-agesa-bios-adds-support-for-zen-5-apus/
    WCCFTECH.COM
    AMD Krackan Point Is Reportedly Coming To AM5; New AGESA BIOS Adds Support For Zen 5 APUs
    A new document leak has shown that AMD's Krackan Point APUs might come to the desktop AM5 platform as well.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Cloud เปิดให้ใช้งาน G4 VM แล้ว — มาพร้อม RTX PRO 6000 Blackwell GPU สำหรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง” — เมื่อการประมวลผลแบบมัลติโหมดและฟิสิกส์จำลองกลายเป็นเรื่องง่ายบนคลาวด์

    Google Cloud ประกาศเปิดให้ใช้งาน G4 VM อย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้ GPU รุ่นใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA คือ RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่การ inference ของโมเดลมัลติโหมด ไปจนถึงการจำลองฟิสิกส์ในหุ่นยนต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์

    G4 VM รองรับการใช้งานร่วมกับ NVIDIA Omniverse และ Isaac Sim ผ่าน VM image บน Google Cloud Marketplace ทำให้สามารถสร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ในสภาพแวดล้อมจำลองได้ทันที

    ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell
    มี Tensor Core รุ่นที่ 5 รองรับ FP4 สำหรับ inference ที่เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำน้อย
    มี RT Core รุ่นที่ 4 ให้ ray tracing แบบ real-time ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า

    รองรับสูงสุด 8 GPU ต่อ VM
    รวมหน่วยความจำ GDDR7 ได้ถึง 768 GB
    เหมาะกับงาน simulation, content creation และ AI agent

    เชื่อมต่อกับบริการอื่นใน Google Cloud ได้โดยตรง
    เช่น Kubernetes Engine, Vertex AI, Dataproc (Spark/Hadoop)

    รองรับซอฟต์แวร์ยอดนิยมในสายวิศวกรรมและกราฟิก
    เช่น AutoCAD, Blender, SolidWorks

    ใช้ร่วมกับ NVIDIA Omniverse ได้
    สร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ด้วย Isaac Sim
    ใช้ Cosmos foundation model และ Blueprints สำหรับการจำลอง

    รองรับการ deploy agentic AI ด้วย NVIDIA Nemotron และ NIM
    มี microservices สำหรับ inference ที่ปลอดภัยและเร็ว

    เหมาะกับงาน HPC เช่น genomics และ drug discovery
    บน Blackwell GPU มี throughput สูงกว่าเดิมถึง 6.8 เท่าในงาน alignment

    https://www.techpowerup.com/342057/google-cloud-g4-vms-with-nvidia-rtx-pro-6000-blackwell-gpu-now-generally-available
    ☁️ “Google Cloud เปิดให้ใช้งาน G4 VM แล้ว — มาพร้อม RTX PRO 6000 Blackwell GPU สำหรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง” — เมื่อการประมวลผลแบบมัลติโหมดและฟิสิกส์จำลองกลายเป็นเรื่องง่ายบนคลาวด์ Google Cloud ประกาศเปิดให้ใช้งาน G4 VM อย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้ GPU รุ่นใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA คือ RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่การ inference ของโมเดลมัลติโหมด ไปจนถึงการจำลองฟิสิกส์ในหุ่นยนต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ G4 VM รองรับการใช้งานร่วมกับ NVIDIA Omniverse และ Isaac Sim ผ่าน VM image บน Google Cloud Marketplace ทำให้สามารถสร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ในสภาพแวดล้อมจำลองได้ทันที ✅ ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell ➡️ มี Tensor Core รุ่นที่ 5 รองรับ FP4 สำหรับ inference ที่เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำน้อย ➡️ มี RT Core รุ่นที่ 4 ให้ ray tracing แบบ real-time ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า ✅ รองรับสูงสุด 8 GPU ต่อ VM ➡️ รวมหน่วยความจำ GDDR7 ได้ถึง 768 GB ➡️ เหมาะกับงาน simulation, content creation และ AI agent ✅ เชื่อมต่อกับบริการอื่นใน Google Cloud ได้โดยตรง ➡️ เช่น Kubernetes Engine, Vertex AI, Dataproc (Spark/Hadoop) ✅ รองรับซอฟต์แวร์ยอดนิยมในสายวิศวกรรมและกราฟิก ➡️ เช่น AutoCAD, Blender, SolidWorks ✅ ใช้ร่วมกับ NVIDIA Omniverse ได้ ➡️ สร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ด้วย Isaac Sim ➡️ ใช้ Cosmos foundation model และ Blueprints สำหรับการจำลอง ✅ รองรับการ deploy agentic AI ด้วย NVIDIA Nemotron และ NIM ➡️ มี microservices สำหรับ inference ที่ปลอดภัยและเร็ว ✅ เหมาะกับงาน HPC เช่น genomics และ drug discovery ➡️ บน Blackwell GPU มี throughput สูงกว่าเดิมถึง 6.8 เท่าในงาน alignment https://www.techpowerup.com/342057/google-cloud-g4-vms-with-nvidia-rtx-pro-6000-blackwell-gpu-now-generally-available
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Google Cloud G4 VMs With NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell GPU Now Generally Available
    NVIDIA and Google Cloud are expanding access to accelerated computing to transform the full spectrum of enterprise workloads, from visual computing to agentic and physical AI. Google Cloud today announced the general availability of G4 VMs, powered by NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition GPU...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 — ปิดตำนานเครื่องมือออกแบบยุค 90” — เมื่อแอปสร้างใบปลิวและจดหมายข่าวที่เคยอยู่ในทุกบ้านกำลังจะอำลาอย่างถาวร

    Microsoft ประกาศว่าจะยุติการสนับสนุนแอป Publisher อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2026 ซึ่งตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 โดยหลังจากวันนั้น Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 และไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีกต่อไปในเวอร์ชันใหม่

    Publisher เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น ใบปลิว, โบรชัวร์, จดหมายข่าว โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมระดับมืออาชีพอย่าง QuarkXPress หรือ Adobe InDesign ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการใช้งานง่าย ทำให้ Publisher กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในโรงเรียน, ธุรกิจขนาดเล็ก และผู้ใช้ตามบ้าน

    แม้จะไม่เคยครองใจนักออกแบบมืออาชีพ แต่ Publisher ก็มีบทบาทสำคัญในการ “ประชาธิปไตยด้านการออกแบบ” โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างสื่อสิ่งพิมพ์ได้ด้วยตัวเอง

    หลังจากการยุติการสนับสนุน Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู และหากต้องการแก้ไข ให้เปิด PDF ใน Word — แม้ว่าการจัดวางอาจเพี้ยน โดยเฉพาะไฟล์ที่มีกราฟิกจำนวนมาก

    สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ Microsoft แนะนำให้ใช้ Word, PowerPoint หรือแอป Designer แทน ส่วนทางเลือกจากภายนอกก็มีเช่น:

    Canva — ใช้งานง่าย มีเทมเพลตหลากหลาย แต่ฟีเจอร์เต็มต้องสมัครสมาชิก
    LibreOffice Draw — ฟรีและโอเพ่นซอร์ส รองรับไฟล์ .pub ได้พอสมควร
    Affinity Publisher 2 — ซื้อครั้งเดียว ไม่มีรายเดือน เหมาะกับผู้ใช้จริงจัง

    Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026
    ตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021

    Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365
    ไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีก

    Publisher เปิดตัวในปี 1991 และรวมอยู่ใน Office ตั้งแต่เวอร์ชัน 97
    เคยเป็นเครื่องมือออกแบบยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    Microsoft แนะนำให้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู
    และเปิด PDF ใน Word หากต้องการแก้ไข

    ทางเลือกใหม่จาก Microsoft ได้แก่ Word, PowerPoint และ Designer
    ใช้แทน Publisher สำหรับงานออกแบบทั่วไป

    ทางเลือกจากภายนอก ได้แก่ Canva, LibreOffice Draw, Affinity Publisher 2
    มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินตามระดับความสามารถ

    https://www.slashgear.com/2001386/microsoft-ending-publisher-in-october-2026/
    📄 “Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 — ปิดตำนานเครื่องมือออกแบบยุค 90” — เมื่อแอปสร้างใบปลิวและจดหมายข่าวที่เคยอยู่ในทุกบ้านกำลังจะอำลาอย่างถาวร Microsoft ประกาศว่าจะยุติการสนับสนุนแอป Publisher อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2026 ซึ่งตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 โดยหลังจากวันนั้น Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 และไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีกต่อไปในเวอร์ชันใหม่ Publisher เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น ใบปลิว, โบรชัวร์, จดหมายข่าว โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมระดับมืออาชีพอย่าง QuarkXPress หรือ Adobe InDesign ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการใช้งานง่าย ทำให้ Publisher กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในโรงเรียน, ธุรกิจขนาดเล็ก และผู้ใช้ตามบ้าน แม้จะไม่เคยครองใจนักออกแบบมืออาชีพ แต่ Publisher ก็มีบทบาทสำคัญในการ “ประชาธิปไตยด้านการออกแบบ” โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างสื่อสิ่งพิมพ์ได้ด้วยตัวเอง หลังจากการยุติการสนับสนุน Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู และหากต้องการแก้ไข ให้เปิด PDF ใน Word — แม้ว่าการจัดวางอาจเพี้ยน โดยเฉพาะไฟล์ที่มีกราฟิกจำนวนมาก สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ Microsoft แนะนำให้ใช้ Word, PowerPoint หรือแอป Designer แทน ส่วนทางเลือกจากภายนอกก็มีเช่น: 📐 Canva — ใช้งานง่าย มีเทมเพลตหลากหลาย แต่ฟีเจอร์เต็มต้องสมัครสมาชิก 📐 LibreOffice Draw — ฟรีและโอเพ่นซอร์ส รองรับไฟล์ .pub ได้พอสมควร 📐 Affinity Publisher 2 — ซื้อครั้งเดียว ไม่มีรายเดือน เหมาะกับผู้ใช้จริงจัง ✅ Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 ➡️ ตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 ✅ Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 ➡️ ไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีก ✅ Publisher เปิดตัวในปี 1991 และรวมอยู่ใน Office ตั้งแต่เวอร์ชัน 97 ➡️ เคยเป็นเครื่องมือออกแบบยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ✅ Microsoft แนะนำให้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู ➡️ และเปิด PDF ใน Word หากต้องการแก้ไข ✅ ทางเลือกใหม่จาก Microsoft ได้แก่ Word, PowerPoint และ Designer ➡️ ใช้แทน Publisher สำหรับงานออกแบบทั่วไป ✅ ทางเลือกจากภายนอก ได้แก่ Canva, LibreOffice Draw, Affinity Publisher 2 ➡️ มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินตามระดับความสามารถ https://www.slashgear.com/2001386/microsoft-ending-publisher-in-october-2026/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Microsoft Will Be Ending Support For This Popular Software In October 2026 - SlashGear
    Microsoft Publisher will reach end-of-support in October 2026 -- Microsoft will drop updates and remove it from Microsoft 365 apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SuperTuxKart 1.5 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ — ปรับกราฟิก, เพิ่ม Egg Hunt และอำลา Story Mode 1.x” — เมื่อเกมแข่งรถโอเพ่นซอร์สสุดคลาสสิกกลับมาอีกครั้ง พร้อมอัปเกรดครั้งใหญ่

    หลังจากห่างหายไปนานกว่า 3 ปี SuperTuxKart 1.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านกราฟิก, ฟีเจอร์, และระบบการเล่น โดยเฉพาะการอำลา Story Mode เวอร์ชัน 1.x เพื่อเตรียมเข้าสู่ยุคใหม่ของเกม

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ “Egg Hunt” ที่เพิ่มเข้ามาใน 3 สนามใหม่ ได้แก่ Black Forest, Gran Paradisio Island และ The Old Mine ซึ่งเป็นโหมดเล่นสนุกที่ให้ผู้เล่นตามหาไข่ที่ซ่อนอยู่ในสนาม

    ด้านกราฟิกมีการปรับปรุงหลายจุด เช่น:

    เพิ่ม SSAA และ Percentage-Closer Soft Shadows สำหรับ GPU แรง
    ปรับปรุง Vulkan renderer และ Cascaded Shadow Mapping
    เพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่สำหรับผู้ใช้ไดรเวอร์วิดีโอรุ่นเก่า
    ปรับคุณภาพภาพใน preset ต่ำและกลางให้ดีขึ้นด้วย anisotropic filtering

    ระบบเสียงก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยผู้เล่นสามารถควบคุมระดับเสียงได้ละเอียดขึ้น และมีเพลงใหม่สำหรับสนาม Las Dunas Arena และ Las Dunas Soccer

    ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
    ปรับปรุง animation ของ parachute และ bubblegum shield
    เพิ่ม spotlight และ LoD settings เพื่อลดปัญหา popping
    เพิ่มการตั้งค่า FPS สูงสุดในเกม (ไม่จำกัดแค่ 120 FPS บน PC หรือ 30 FPS บน Android อีกต่อไป)
    เพิ่มฟอนต์ใหม่เพื่อรองรับหลายภาษา
    ปรับปรุงระบบ Follow-The-Leader ด้วยเสียงและสีเตือนก่อนถูกคัดออก
    เพิ่ม smooth scrolling สำหรับ Irrlicht และปรับปรุง framerate limiter

    ผู้เล่นสามารถดาวน์โหลด SuperTuxKart 1.5 ได้แล้วทั้งบนระบบ 64-bit และ ARM64 สำหรับ Linux ผ่าน GitHub หรือ Flathub

    https://9to5linux.com/supertuxkart-1-5-open-source-kart-racing-game-released-with-major-changes
    🏎️ “SuperTuxKart 1.5 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ — ปรับกราฟิก, เพิ่ม Egg Hunt และอำลา Story Mode 1.x” — เมื่อเกมแข่งรถโอเพ่นซอร์สสุดคลาสสิกกลับมาอีกครั้ง พร้อมอัปเกรดครั้งใหญ่ หลังจากห่างหายไปนานกว่า 3 ปี SuperTuxKart 1.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านกราฟิก, ฟีเจอร์, และระบบการเล่น โดยเฉพาะการอำลา Story Mode เวอร์ชัน 1.x เพื่อเตรียมเข้าสู่ยุคใหม่ของเกม หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ “Egg Hunt” ที่เพิ่มเข้ามาใน 3 สนามใหม่ ได้แก่ Black Forest, Gran Paradisio Island และ The Old Mine ซึ่งเป็นโหมดเล่นสนุกที่ให้ผู้เล่นตามหาไข่ที่ซ่อนอยู่ในสนาม ด้านกราฟิกมีการปรับปรุงหลายจุด เช่น: 🎗️ เพิ่ม SSAA และ Percentage-Closer Soft Shadows สำหรับ GPU แรง 🎗️ ปรับปรุง Vulkan renderer และ Cascaded Shadow Mapping 🎗️ เพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่สำหรับผู้ใช้ไดรเวอร์วิดีโอรุ่นเก่า 🎗️ ปรับคุณภาพภาพใน preset ต่ำและกลางให้ดีขึ้นด้วย anisotropic filtering ระบบเสียงก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยผู้เล่นสามารถควบคุมระดับเสียงได้ละเอียดขึ้น และมีเพลงใหม่สำหรับสนาม Las Dunas Arena และ Las Dunas Soccer ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ: 🛻 ปรับปรุง animation ของ parachute และ bubblegum shield 🛻 เพิ่ม spotlight และ LoD settings เพื่อลดปัญหา popping 🛻 เพิ่มการตั้งค่า FPS สูงสุดในเกม (ไม่จำกัดแค่ 120 FPS บน PC หรือ 30 FPS บน Android อีกต่อไป) 🛻 เพิ่มฟอนต์ใหม่เพื่อรองรับหลายภาษา 🛻 ปรับปรุงระบบ Follow-The-Leader ด้วยเสียงและสีเตือนก่อนถูกคัดออก 🛻 เพิ่ม smooth scrolling สำหรับ Irrlicht และปรับปรุง framerate limiter ผู้เล่นสามารถดาวน์โหลด SuperTuxKart 1.5 ได้แล้วทั้งบนระบบ 64-bit และ ARM64 สำหรับ Linux ผ่าน GitHub หรือ Flathub https://9to5linux.com/supertuxkart-1-5-open-source-kart-racing-game-released-with-major-changes
    9TO5LINUX.COM
    SuperTuxKart 1.5 Open-Source Kart Racing Game Released with Major Changes - 9to5Linux
    SuperTuxKart 1.5 free and open-source kart racing game is now available for download as a major update with new features and improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • "DOSBox Pure Unleashed: อีมูเลเตอร์ยุคใหม่ที่ปลดล็อกความคลาสสิกของเกม DOS"

    หลังจากใช้เวลาพัฒนานานถึง 5 ปี Psyraven ได้เปิดตัว DOSBox Pure Unleashed อย่างเป็นทางการ—เวอร์ชันใหม่ของอีมูเลเตอร์ DOS ที่ไม่ต้องพึ่ง RetroArch อีกต่อไป และพร้อมใช้งานแบบ standalone บน Windows, macOS และ Linux

    เวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม UI ที่ใช้งานง่าย และฟีเจอร์ล้ำ ๆ ที่ตอบโจทย์นักเล่นเกม retro โดยเฉพาะ เช่น การรันเกมจากไฟล์ ZIP โดยไม่ต้องติดตั้ง OS, รองรับกราฟิก Voodoo สูงสุดถึง 4K, การใช้ MIDI synth และ SoundFonts, รวมถึงระบบ save state และการตั้งค่าคอนโทรลเลอร์แบบอัตโนมัติ

    ที่สำคัญคือการรองรับเกม Windows 9X แบบทดลอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการขยายขอบเขตของอีมูเลเตอร์ DOS ไปสู่ยุค Windows รุ่นเก่า

    จุดเด่นของ DOSBox Pure Unleashed
    เป็นเวอร์ชัน standalone ไม่ต้องใช้ RetroArch
    รองรับ Windows, macOS และ Linux
    UI ใช้งานง่าย แบ่งหมวดหมู่ชัดเจน
    รันเกมจาก ZIP ได้ทันที ไม่ต้องติดตั้ง OS

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ
    รองรับ Voodoo graphics สูงสุด 4K/UHD
    ใช้ MIDI synth และ SoundFonts ได้
    มีระบบ save state และ shared system shells
    รองรับการตั้งค่าคอนโทรลเลอร์อัตโนมัติ
    มี on-screen keyboard และ mouse/joystick emulation

    ความสามารถเพิ่มเติม
    รองรับ Windows 9X แบบทดลอง
    มีฟีเจอร์ auto-start และ advanced OS install options
    มี CRT filters สำหรับภาพแบบยุคเก่า
    รองรับ MT-32 และ SoundFont playback

    คำเตือนในการใช้งาน
    ฟีเจอร์ Windows 9X ยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจไม่เสถียร
    การตั้งค่าขั้นสูงอาจต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิค
    ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการ “คลิกแล้วเล่น” แบบง่าย ๆ

    การสนับสนุนและชุมชน
    มี Discord สำหรับพูดคุยและแลกเปลี่ยนเทคนิค
    ดาวน์โหลดฟรี ขนาดไฟล์เล็ก ~1.5MB
    ผู้พัฒนาหวังรับ “ทิป” ผ่านหน้า Itch.io

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความสำคัญของ DOSBox ในวงการเกม retro
    เป็นเครื่องมือหลักในการเล่นเกม DOS บนระบบปฏิบัติการยุคใหม่
    ช่วยอนุรักษ์เกมเก่าและประสบการณ์การเล่นแบบดั้งเดิม

    แนวโน้มของอีมูเลเตอร์ยุคใหม่
    เน้นความง่ายในการใช้งานและความแม่นยำในการจำลอง
    รองรับกราฟิกและเสียงระดับสูงเพื่อประสบการณ์ที่สมจริง

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/dosbox-pure-unleashed-is-ready-for-windows-mac-and-linux-computers-after-five-years-in-development-enhanced-standalone-release-no-longer-restricted-to-being-a-retroarch-core
    🎮 "DOSBox Pure Unleashed: อีมูเลเตอร์ยุคใหม่ที่ปลดล็อกความคลาสสิกของเกม DOS" หลังจากใช้เวลาพัฒนานานถึง 5 ปี Psyraven ได้เปิดตัว DOSBox Pure Unleashed อย่างเป็นทางการ—เวอร์ชันใหม่ของอีมูเลเตอร์ DOS ที่ไม่ต้องพึ่ง RetroArch อีกต่อไป และพร้อมใช้งานแบบ standalone บน Windows, macOS และ Linux เวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม UI ที่ใช้งานง่าย และฟีเจอร์ล้ำ ๆ ที่ตอบโจทย์นักเล่นเกม retro โดยเฉพาะ เช่น การรันเกมจากไฟล์ ZIP โดยไม่ต้องติดตั้ง OS, รองรับกราฟิก Voodoo สูงสุดถึง 4K, การใช้ MIDI synth และ SoundFonts, รวมถึงระบบ save state และการตั้งค่าคอนโทรลเลอร์แบบอัตโนมัติ ที่สำคัญคือการรองรับเกม Windows 9X แบบทดลอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการขยายขอบเขตของอีมูเลเตอร์ DOS ไปสู่ยุค Windows รุ่นเก่า ✅ จุดเด่นของ DOSBox Pure Unleashed ➡️ เป็นเวอร์ชัน standalone ไม่ต้องใช้ RetroArch ➡️ รองรับ Windows, macOS และ Linux ➡️ UI ใช้งานง่าย แบ่งหมวดหมู่ชัดเจน ➡️ รันเกมจาก ZIP ได้ทันที ไม่ต้องติดตั้ง OS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ ➡️ รองรับ Voodoo graphics สูงสุด 4K/UHD ➡️ ใช้ MIDI synth และ SoundFonts ได้ ➡️ มีระบบ save state และ shared system shells ➡️ รองรับการตั้งค่าคอนโทรลเลอร์อัตโนมัติ ➡️ มี on-screen keyboard และ mouse/joystick emulation ✅ ความสามารถเพิ่มเติม ➡️ รองรับ Windows 9X แบบทดลอง ➡️ มีฟีเจอร์ auto-start และ advanced OS install options ➡️ มี CRT filters สำหรับภาพแบบยุคเก่า ➡️ รองรับ MT-32 และ SoundFont playback ‼️ คำเตือนในการใช้งาน ⛔ ฟีเจอร์ Windows 9X ยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจไม่เสถียร ⛔ การตั้งค่าขั้นสูงอาจต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิค ⛔ ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการ “คลิกแล้วเล่น” แบบง่าย ๆ ✅ การสนับสนุนและชุมชน ➡️ มี Discord สำหรับพูดคุยและแลกเปลี่ยนเทคนิค ➡️ ดาวน์โหลดฟรี ขนาดไฟล์เล็ก ~1.5MB ➡️ ผู้พัฒนาหวังรับ “ทิป” ผ่านหน้า Itch.io 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความสำคัญของ DOSBox ในวงการเกม retro ➡️ เป็นเครื่องมือหลักในการเล่นเกม DOS บนระบบปฏิบัติการยุคใหม่ ➡️ ช่วยอนุรักษ์เกมเก่าและประสบการณ์การเล่นแบบดั้งเดิม ✅ แนวโน้มของอีมูเลเตอร์ยุคใหม่ ➡️ เน้นความง่ายในการใช้งานและความแม่นยำในการจำลอง ➡️ รองรับกราฟิกและเสียงระดับสูงเพื่อประสบการณ์ที่สมจริง https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/dosbox-pure-unleashed-is-ready-for-windows-mac-and-linux-computers-after-five-years-in-development-enhanced-standalone-release-no-longer-restricted-to-being-a-retroarch-core
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ภาพนิ่งที่ขยับได้: เบื้องหลังมายากลของวิดีโอในยุคกราฟิกการ์ดครองโลก"

    เรื่องเล่าจากอดีตของ Raymond Chen นักพัฒนาระบบ Windows ที่เผยเบื้องหลังเทคนิคการแสดงผลวิดีโอในยุคก่อน Windows XP ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์สุดแปลก—เมื่อคุณจับภาพหน้าจอจากวิดีโอ แล้วเปิดในโปรแกรม Paint ภาพนิ่งนั้นกลับขยับได้ราวกับมีชีวิต!

    Chen อธิบายว่าเทคนิคนี้เกิดจากการใช้ “overlay surfaces” หรือพื้นผิวกราฟิกพิเศษที่ทำงานร่วมกับกราฟิกการ์ดโดยตรง โดยวิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอจริง แต่ถูกวาดลงบนพื้นผิวที่แชร์กับการ์ดจอ แล้วใช้เทคนิค “chroma key” หรือการแทนที่สี (เช่น สีเขียว) ด้วยภาพวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่

    เมื่อคุณจับภาพหน้าจอในขณะที่ overlay ยังทำงานอยู่ ภาพที่ได้จะมีพื้นที่สีเขียวแทนตำแหน่งวิดีโอ และหากเปิดภาพนั้นใน Paint แล้ววางไว้ตรงตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงานอยู่ วิดีโอจะยังคงแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่งนั้น—ราวกับภาพนิ่งกลายเป็นวิดีโอ!

    เทคนิคนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น การลดการแปลงรูปแบบพิกเซล และการอัปเดตภาพวิดีโอโดยไม่ต้องผ่านการวาดใหม่ทั้งหมด ทำให้สามารถแสดงผลวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า แต่ก็มีข้อเสีย เช่น การแสดงผลผิดพลาดเมื่อมีหน้าต่างอื่นที่มีสีเขียวซ้อนทับ หรือการจำกัดจำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับ

    ในยุคปัจจุบัน เทคนิคนี้ถูกแทนที่ด้วยระบบ “desktop compositor” ที่รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำและลื่นไหลมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป

    เทคนิค overlay video rendering
    ใช้พื้นผิวกราฟิกพิเศษร่วมกับการ์ดจอเพื่อแสดงวิดีโอ
    วิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอโดยตรง แต่ใช้การแทนที่สี (chroma key) เช่น สีเขียว
    ทำให้สามารถแสดงวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า

    ปรากฏการณ์ภาพนิ่งที่ขยับได้
    เกิดจากการจับภาพหน้าจอขณะ overlay ยังทำงานอยู่
    หากเปิดภาพในตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงาน วิดีโอจะยังแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่ง

    ข้อดีของ overlay
    ลดการแปลงรูปแบบพิกเซล
    อัปเดตภาพวิดีโอได้เร็วโดยไม่ต้องวาดใหม่
    รองรับการแสดงผลแบบ 60 fps จาก background thread

    ข้อจำกัดและปัญหาของ overlay
    หากหน้าต่างอื่นมีสีเขียวซ้อนทับ อาจแสดงวิดีโอผิดตำแหน่ง
    การเคลื่อนย้ายหน้าต่างวิดีโออาจทำให้ overlay ตามไม่ทัน เกิดการกระตุก
    จำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับมีจำกัด

    เทคโนโลยีปัจจุบัน: desktop compositor
    รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำ
    รองรับการเปลี่ยนขนาดและตำแหน่งของวิดีโออัตโนมัติ
    ไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป

    สาระเพิ่มเติม: Chroma key ในวงการภาพยนตร์
    เทคนิคเดียวกันนี้ใช้ในสตูดิโอถ่ายทำ เช่น การแทนที่ฉากหลังสีเขียวด้วยภาพอื่น
    เป็นพื้นฐานของการสร้างฉากเสมือนในภาพยนตร์และรายการข่าว


    https://devblogs.microsoft.com/oldnewthing/20251014-00/?p=111681
    😺 "ภาพนิ่งที่ขยับได้: เบื้องหลังมายากลของวิดีโอในยุคกราฟิกการ์ดครองโลก" เรื่องเล่าจากอดีตของ Raymond Chen นักพัฒนาระบบ Windows ที่เผยเบื้องหลังเทคนิคการแสดงผลวิดีโอในยุคก่อน Windows XP ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์สุดแปลก—เมื่อคุณจับภาพหน้าจอจากวิดีโอ แล้วเปิดในโปรแกรม Paint ภาพนิ่งนั้นกลับขยับได้ราวกับมีชีวิต! Chen อธิบายว่าเทคนิคนี้เกิดจากการใช้ “overlay surfaces” หรือพื้นผิวกราฟิกพิเศษที่ทำงานร่วมกับกราฟิกการ์ดโดยตรง โดยวิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอจริง แต่ถูกวาดลงบนพื้นผิวที่แชร์กับการ์ดจอ แล้วใช้เทคนิค “chroma key” หรือการแทนที่สี (เช่น สีเขียว) ด้วยภาพวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่ เมื่อคุณจับภาพหน้าจอในขณะที่ overlay ยังทำงานอยู่ ภาพที่ได้จะมีพื้นที่สีเขียวแทนตำแหน่งวิดีโอ และหากเปิดภาพนั้นใน Paint แล้ววางไว้ตรงตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงานอยู่ วิดีโอจะยังคงแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่งนั้น—ราวกับภาพนิ่งกลายเป็นวิดีโอ! เทคนิคนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น การลดการแปลงรูปแบบพิกเซล และการอัปเดตภาพวิดีโอโดยไม่ต้องผ่านการวาดใหม่ทั้งหมด ทำให้สามารถแสดงผลวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า แต่ก็มีข้อเสีย เช่น การแสดงผลผิดพลาดเมื่อมีหน้าต่างอื่นที่มีสีเขียวซ้อนทับ หรือการจำกัดจำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับ ในยุคปัจจุบัน เทคนิคนี้ถูกแทนที่ด้วยระบบ “desktop compositor” ที่รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำและลื่นไหลมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป ✅ เทคนิค overlay video rendering ➡️ ใช้พื้นผิวกราฟิกพิเศษร่วมกับการ์ดจอเพื่อแสดงวิดีโอ ➡️ วิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอโดยตรง แต่ใช้การแทนที่สี (chroma key) เช่น สีเขียว ➡️ ทำให้สามารถแสดงวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า ✅ ปรากฏการณ์ภาพนิ่งที่ขยับได้ ➡️ เกิดจากการจับภาพหน้าจอขณะ overlay ยังทำงานอยู่ ➡️ หากเปิดภาพในตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงาน วิดีโอจะยังแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่ง ✅ ข้อดีของ overlay ➡️ ลดการแปลงรูปแบบพิกเซล ➡️ อัปเดตภาพวิดีโอได้เร็วโดยไม่ต้องวาดใหม่ ➡️ รองรับการแสดงผลแบบ 60 fps จาก background thread ‼️ ข้อจำกัดและปัญหาของ overlay ⛔ หากหน้าต่างอื่นมีสีเขียวซ้อนทับ อาจแสดงวิดีโอผิดตำแหน่ง ⛔ การเคลื่อนย้ายหน้าต่างวิดีโออาจทำให้ overlay ตามไม่ทัน เกิดการกระตุก ⛔ จำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับมีจำกัด ✅ เทคโนโลยีปัจจุบัน: desktop compositor ➡️ รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำ ➡️ รองรับการเปลี่ยนขนาดและตำแหน่งของวิดีโออัตโนมัติ ➡️ ไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป ✅ สาระเพิ่มเติม: Chroma key ในวงการภาพยนตร์ ➡️ เทคนิคเดียวกันนี้ใช้ในสตูดิโอถ่ายทำ เช่น การแทนที่ฉากหลังสีเขียวด้วยภาพอื่น ➡️ เป็นพื้นฐานของการสร้างฉากเสมือนในภาพยนตร์และรายการข่าว https://devblogs.microsoft.com/oldnewthing/20251014-00/?p=111681
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Neural Engine คืออะไร? ต่างจาก GPU อย่างไร?” — เมื่อชิป AI กลายเป็นหัวใจของอุปกรณ์ยุคใหม่ และ NPU คือผู้เล่นตัวจริง

    บทความจาก SlashGear อธิบายว่า Neural Engine หรือ NPU (Neural Processing Unit) คือชิปเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลด้าน AI และ machine learning โดยเฉพาะ ต่างจาก CPU ที่เน้นงานเชิงตรรกะ และ GPU ที่เน้นงานกราฟิกและการคำนวณแบบขนาน

    Apple เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่นำ Neural Engine มาใช้ใน iPhone X ปี 2017 เพื่อช่วยงาน Face ID และการเรียนรู้ของ Siri ปัจจุบัน NPU ถูกฝังอยู่ในอุปกรณ์หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ และแม้แต่ IoT

    NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบมาเพื่อการคำนวณซ้ำ ๆ เช่น matrix multiplication ซึ่งเป็นหัวใจของ neural networks นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำในตัว (on-chip memory) เพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ

    GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในระดับ data center เช่นที่ OpenAI ใช้ GPU จาก NVIDIA และ AMD แต่ GPU ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง จึงใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง

    ในอุปกรณ์พกพา เช่น iPhone 16 หรือ Pixel 10 NPU ถูกใช้เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local เช่น live translation, image generation และ call transcribing โดยไม่ต้องพึ่ง cloud

    Neural Engine หรือ NPU คือชิปเฉพาะทางสำหรับงาน AI
    เช่น Face ID, Siri, live translation, image generation

    NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบเพื่อ matrix multiplication
    เหมาะกับงาน neural networks และ machine learning

    มีหน่วยความจำในตัวเพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ
    ทำให้เร็วและประหยัดพลังงานกว่า GPU

    GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้
    โดยเฉพาะในระดับ data center เช่น OpenAI ใช้ GPU cluster

    GPU ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง
    ใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง

    อุปกรณ์พกพาใช้ NPU เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local
    ไม่ต้องพึ่ง cloud เช่น iPhone 16 และ Pixel 10

    https://www.slashgear.com/1997513/what-is-a-neural-engine-how-npu-different-than-gpu/
    🧠 “Neural Engine คืออะไร? ต่างจาก GPU อย่างไร?” — เมื่อชิป AI กลายเป็นหัวใจของอุปกรณ์ยุคใหม่ และ NPU คือผู้เล่นตัวจริง บทความจาก SlashGear อธิบายว่า Neural Engine หรือ NPU (Neural Processing Unit) คือชิปเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลด้าน AI และ machine learning โดยเฉพาะ ต่างจาก CPU ที่เน้นงานเชิงตรรกะ และ GPU ที่เน้นงานกราฟิกและการคำนวณแบบขนาน Apple เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่นำ Neural Engine มาใช้ใน iPhone X ปี 2017 เพื่อช่วยงาน Face ID และการเรียนรู้ของ Siri ปัจจุบัน NPU ถูกฝังอยู่ในอุปกรณ์หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ และแม้แต่ IoT NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบมาเพื่อการคำนวณซ้ำ ๆ เช่น matrix multiplication ซึ่งเป็นหัวใจของ neural networks นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำในตัว (on-chip memory) เพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในระดับ data center เช่นที่ OpenAI ใช้ GPU จาก NVIDIA และ AMD แต่ GPU ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง จึงใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง ในอุปกรณ์พกพา เช่น iPhone 16 หรือ Pixel 10 NPU ถูกใช้เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local เช่น live translation, image generation และ call transcribing โดยไม่ต้องพึ่ง cloud ✅ Neural Engine หรือ NPU คือชิปเฉพาะทางสำหรับงาน AI ➡️ เช่น Face ID, Siri, live translation, image generation ✅ NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบเพื่อ matrix multiplication ➡️ เหมาะกับงาน neural networks และ machine learning ✅ มีหน่วยความจำในตัวเพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ทำให้เร็วและประหยัดพลังงานกว่า GPU ✅ GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้ ➡️ โดยเฉพาะในระดับ data center เช่น OpenAI ใช้ GPU cluster ✅ GPU ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง ➡️ ใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง ✅ อุปกรณ์พกพาใช้ NPU เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local ➡️ ไม่ต้องพึ่ง cloud เช่น iPhone 16 และ Pixel 10 https://www.slashgear.com/1997513/what-is-a-neural-engine-how-npu-different-than-gpu/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is A Neural Engine & How Do NPUs Differ From GPUs? - SlashGear
    When it comes to tech, most don't think too much about how things like NPUs and GPUs work. But the differences between them is more important than you think.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • “D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่” — จัดการเครือข่ายองค์กรได้ง่ายขึ้นด้วยระบบควบคุมแบบรวมศูนย์

    D-Link ประกาศเปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่ ได้แก่ DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000 ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรทุกขนาดบริหารจัดการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย โดยสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้ตั้งแต่ระดับ edge ไปจนถึง core switch

    จุดเด่นของ Nuclias คือการลดความซับซ้อนของการดูแลระบบ IT โดยให้ real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ, การวิเคราะห์ทราฟฟิก และการควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบแบบ tiered access

    แต่ละรุ่นมีความสามารถต่างกัน:

    🛜 DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก โรงเรียน หรือร้านค้า
    🛜 DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับสำนักงานใหญ่ มหาวิทยาลัย หรือห้างสรรพสินค้า
    🛜 DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขา

    ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน และมีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิตการใช้งาน

    ข้อมูลในข่าว
    D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่น DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000
    รองรับการจัดการอุปกรณ์เครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย
    มี real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ทราฟฟิก
    รองรับ tiered admin access เพื่อควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ
    DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
    DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่
    DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น
    ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน
    มีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิต

    https://www.techpowerup.com/341962/d-link-unveils-nuclias-network-controllers-for-businesses
    🌐 “D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่” — จัดการเครือข่ายองค์กรได้ง่ายขึ้นด้วยระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ D-Link ประกาศเปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่นใหม่ ได้แก่ DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000 ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรทุกขนาดบริหารจัดการเครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย โดยสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้ตั้งแต่ระดับ edge ไปจนถึง core switch จุดเด่นของ Nuclias คือการลดความซับซ้อนของการดูแลระบบ IT โดยให้ real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ, การวิเคราะห์ทราฟฟิก และการควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบแบบ tiered access แต่ละรุ่นมีความสามารถต่างกัน: 🛜 DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก โรงเรียน หรือร้านค้า 🛜 DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับสำนักงานใหญ่ มหาวิทยาลัย หรือห้างสรรพสินค้า 🛜 DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขา ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน และมีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิตการใช้งาน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ D-Link เปิดตัว Nuclias Network Controllers รุ่น DNH-1000, DNH-3000 และ DNC-5000 ➡️ รองรับการจัดการอุปกรณ์เครือข่ายแบบรวมศูนย์ ทั้งแบบมีสายและไร้สาย ➡️ มี real-time dashboard, การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ทราฟฟิก ➡️ รองรับ tiered admin access เพื่อควบคุมสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ ➡️ DNH-1000 รองรับอุปกรณ์สูงสุด 500 ชิ้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ➡️ DNH-3000 รองรับสูงสุด 1,500 ชิ้น เหมาะกับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ ➡️ DNC-5000 เป็น software-based controller รองรับสูงสุด 2,000 ชิ้น ➡️ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในไต้หวัน ➡️ มีจำหน่ายผ่านตัวแทนทั่วโลก พร้อมบริการให้คำปรึกษาและสาธิต https://www.techpowerup.com/341962/d-link-unveils-nuclias-network-controllers-for-businesses
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    D-Link Unveils Nuclias Network Controllers for Businesses
    D-Link Corporation (TWSE: 2332), one of the global leaders in networking solutions, today announced the launch of its next-generation Nuclias Network Controllers—DNH-1000, DNH-3000, and DNC-5000. Engineered for businesses of all sizes, these controllers offer centralized management, real-time visibi...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nano Banana จาก Google Gemini แซงหน้า ChatGPT” — สร้างภาพสมจริงจากข้อความและภาพต้นฉบับได้แม่นยำกว่า

    ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2022 ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในฐานะเครื่องมือ AI อเนกประสงค์ โดยเฉพาะความสามารถในการสร้างภาพจากข้อความ ซึ่งช่วยผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กในการออกแบบโลโก้หรือภาพประกอบโดยไม่ต้องมีทักษะด้านกราฟิก

    แต่ล่าสุด Google Gemini ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Nano Banana” ซึ่งกลายเป็นขวัญใจผู้ใช้ในโลกออนไลน์ ด้วยความสามารถในการสร้างภาพที่สมจริงและแม่นยำกว่า ChatGPT โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบภาพที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น เปลี่ยนชุดของบุคคลในภาพ

    Nano Banana สามารถ:
    สร้างภาพจากข้อความ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ
    แก้ไขภาพที่อัปโหลด เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง หรือรวมภาพหลายภาพเข้าด้วยกัน
    รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพไว้ได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทางของบุคคล
    รองรับคำสั่งแก้ไขแบบละเอียด เช่น “ทำให้ผู้หญิงในภาพหัวเราะ” หรือ “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด”

    YouTubers อย่าง Corey McClain และ Brock Mesarich ได้ทดสอบ Nano Banana เทียบกับ ChatGPT โดยใช้ prompt เดียวกัน พบว่า Nano Banana เร็วกว่าและแม่นยำกว่าในการเปลี่ยนชุดของบุคคล โดยยังคงใบหน้าเดิมไว้ ขณะที่ ChatGPT กลับสร้างภาพของคนใหม่แทน

    ข้อมูลในข่าว
    Nano Banana เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google Gemini สำหรับสร้างภาพจากข้อความและภาพต้นฉบับ
    เปิดตัวช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025
    รองรับการแก้ไขภาพ เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง รวมภาพหลายภาพ
    รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทาง
    รองรับ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ
    สามารถใช้คำสั่งแก้ไขภาพ เช่น “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” หรือ “ทำให้คนในภาพหัวเราะ”
    YouTubers พบว่า Nano Banana เร็วและแม่นยำกว่า ChatGPT ในการเปลี่ยนชุดของบุคคล ChatGPT อาจเปลี่ยนภาพทั้งใบหน้าแทนที่จะเปลี่ยนแค่ชุด
    Nano Banana รองรับหลายสไตล์ภาพ รวมถึง photorealistic และ ultra-realistic
    ใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์หรือแอป Google Gemini บน iOS และ Android
    รองรับการอัปโหลดภาพสูงสุด 10 รูปต่อ prompt

    https://www.slashgear.com/1995313/google-gemini-beats-chatgpt-nano-banana/
    🍌 “Nano Banana จาก Google Gemini แซงหน้า ChatGPT” — สร้างภาพสมจริงจากข้อความและภาพต้นฉบับได้แม่นยำกว่า ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2022 ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในฐานะเครื่องมือ AI อเนกประสงค์ โดยเฉพาะความสามารถในการสร้างภาพจากข้อความ ซึ่งช่วยผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กในการออกแบบโลโก้หรือภาพประกอบโดยไม่ต้องมีทักษะด้านกราฟิก แต่ล่าสุด Google Gemini ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Nano Banana” ซึ่งกลายเป็นขวัญใจผู้ใช้ในโลกออนไลน์ ด้วยความสามารถในการสร้างภาพที่สมจริงและแม่นยำกว่า ChatGPT โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบภาพที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น เปลี่ยนชุดของบุคคลในภาพ Nano Banana สามารถ: 🖼️ สร้างภาพจากข้อความ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ 🖼️ แก้ไขภาพที่อัปโหลด เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง หรือรวมภาพหลายภาพเข้าด้วยกัน 🖼️ รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพไว้ได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทางของบุคคล 🖼️ รองรับคำสั่งแก้ไขแบบละเอียด เช่น “ทำให้ผู้หญิงในภาพหัวเราะ” หรือ “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” YouTubers อย่าง Corey McClain และ Brock Mesarich ได้ทดสอบ Nano Banana เทียบกับ ChatGPT โดยใช้ prompt เดียวกัน พบว่า Nano Banana เร็วกว่าและแม่นยำกว่าในการเปลี่ยนชุดของบุคคล โดยยังคงใบหน้าเดิมไว้ ขณะที่ ChatGPT กลับสร้างภาพของคนใหม่แทน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nano Banana เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google Gemini สำหรับสร้างภาพจากข้อความและภาพต้นฉบับ ➡️ เปิดตัวช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ รองรับการแก้ไขภาพ เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง รวมภาพหลายภาพ ➡️ รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทาง ➡️ รองรับ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ ➡️ สามารถใช้คำสั่งแก้ไขภาพ เช่น “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” หรือ “ทำให้คนในภาพหัวเราะ” ➡️ YouTubers พบว่า Nano Banana เร็วและแม่นยำกว่า ChatGPT ในการเปลี่ยนชุดของบุคคล ➡️ ChatGPT อาจเปลี่ยนภาพทั้งใบหน้าแทนที่จะเปลี่ยนแค่ชุด ➡️ Nano Banana รองรับหลายสไตล์ภาพ รวมถึง photorealistic และ ultra-realistic ➡️ ใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์หรือแอป Google Gemini บน iOS และ Android ➡️ รองรับการอัปโหลดภาพสูงสุด 10 รูปต่อ prompt https://www.slashgear.com/1995313/google-gemini-beats-chatgpt-nano-banana/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Gemini Just Dethroned ChatGPT Thanks To This New Fan-Favorite Feature - SlashGear
    Google Gemini recently released its new image generating tool, Nano Banana. Reviewers are saying it produces far more realistic images than ChatGPT.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 3
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 3

    บรรดาลูกพี่ของพรรค Republican ต่างหงุดหงิด กับหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration ฉายมา 2 ปีแล้ว เอาออกจากโรงไม่ได้เสียที แต่โอกาสกำลังมารำไร ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สภาสูงของอเมริกา มีการเลือกตั้งสมาชิก ที่เรียกว่า mid term election และ พรรค Republican ได้จำนวนที่นั่งเป็นเสียงข้างมากครั้งแรก ตั้งแต่เสียตำแหน่งไปในปี 2006 คราวนี้น่าจะตีแตก เปลี่ยนเอาหนังเรื่องใหม่มาฉายตามใจพวกเหยี่ยว

    สภาสูงที่มี Republican ฝ่ายค้านกุมเสียงข้างมาก จะเปิดประชุมสมัยที่ 114 ประมาณต้นเดือน มกราคม 2015 คาดว่าจะมีนาย John McCain วุฒิสมาชิกตัวแสบ ผู้ทรงอืทธิพลของ Republican มาเป็นประธานกรรมาธิการ Armed Services Commitee และ วุฒิสมาชิก Thad Cochran เป็นหัวหน้า Senate Appropriation Committee-Defense Subcommittee ฝ่ายค้านเตรียมพร้อมยึดอำนาจ งาบการคุมงบกองทัพไปจากรัฐบาล…

    ดูเหมือนรัฐบาลนายโอบามา กำลังถูกต้อนเข้ามุมอับ แม้แต่เรื่องภายในบ้านหลายเรื่องยังค้างคาอยู่ นี่ยังมาเสียทีฝ่ายค้านเพิ่ม เป็นรัฐบาลแต่คุมเสียงสภาสูงไม่ได้ สงสัยจะเอาตัวไม่รอด อย่าว่าแต่จะคิดทำสงครามชิงแชมป์โลกเล้ย!

    อย่าเพิ่งสรุปใส่นักล่าใบตองแห้ง ผู้กำลังท้าชิงแชมป์โลกเช่นนั้น…

    ถ้าย้อนกลับไป ดูจังหวะการออกมาร้องเพลงประสานเสียงของฝ่ายกลาโหม เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียง กับที่รัฐบาลโอบามาประกาศส่งกำลังทางอากาศไปกวาดหน่อ ISIS ที่ กำลังวิ่งเล่นอยู่แถวอืรัค ซีเรีย ก็น่าคิดว่า นายโอบามา กำลังวางแผน หาทางตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากมึนหัว หลงทิศอยู่หลายเดือนเมื่อได้รับสัญญาณส่ง ของคุณพี่ปูติน กรณียึด Crimea เมื่อเดือนมีนาคม

    นายโอบามาจะกลับลำ เรื่องตัดเหี้ยน มาเตรียมความพร้อมของกองทัพ เพื่อเดินหมากกลับเข้าไปอยู่ใน เส้นเขตเข้าชิงแชมป์ ตามแผนที่วางมาร้อยปี มันต้องยอมเดินหมาก แบบถอยหลังมาสัก สอง สาม จังหวะก่อน ค่อยเดินรุกใหม่ แต่จะเดินเองเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด มันก็เหมือนฟ้องว่าเสียเชิงคุณพี่ปูตินเขาไปเรียบร้อยแล้ว นักล่าหน้าไม่เหลือให้เชื่อถือ ลูกหาบรวนเรแตกแถวแน่ คณะประสานเสียงกลาโหม จึงต้องมารับบทร้องนำ การเดินหมาก ถอยหลังจังหวะที่หนึ่งก่อน หลังจากส่งคณะ อีโบลา และ ไอซิส ไปเล่นละครสลับฉาก ระหว่างซื้อเวลา เพื่อจัดการปรุงยาแก้การมึนหัว หลงทิศให้ได้ก่อน

    หมากจังหวะที่สองคือ การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกลาโหม จากนาย Chuck Hagel ซึ่งนายโอบามาเลือกมา ให้รับภาระกิจ ถอนกองทัพออกมาจากอาฟกานิสถาน แต่เมื่อปรับแผนเตรียมจะเล่นจังหวะรุก นาย Hagel ย่อมไม่เหมาะ รายชื่อที่เป็นตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง คือนาง Flournoy ซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์ นายโอบามาไม่เลือก และนาง Flournoy ก็รีบออกมาปฏิเสธ ไม่ขออยู่ในรายชื่อตัวเก็งตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีชื่อออกมา
    ล่าสุดมีข่าวว่า ค่อนข้างแน่นอนแล้ว ว่านายโอบามาจะเลือกนาย Ashton Carter ผู้ชำนาญด้านระบบ IT ที่เคยรับผิดชอบนโยบายด้านความมั่นคง เกี่ยวกับรัฐที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และนโยบายเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ และการจัดซื้ออาวุธของกลาโหม มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม นับเป็นการเลือกแม่ทัพ ของนายโอบามา ที่ทำให้เห็นชัดว่าอเมริกา กำลังรีบตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากออกอ่าวไปจริงๆ

    ผู้รับหน้าที่เดินหมากจังหวะที่สาม กลายเป็นฝ่ายค้าน เข้าไปกวาดเสียงข้างมากในสภาสูง เตรียมทำหน้าที่ ปลดหนังเรื่องตัดเหี้ยน Sequestration ออกจากโรง แต่ถ้าเล่นหมากนี้โดดๆ มันเสียทั้งหน้า เสียทั้งงบ จะทำยังไงให้มันมีแต่ได้ กับได้

    วันที่ 4 ธันวาคม 2014 จึงมีฉากการลงมติประณามรัสเซียอย่างรุนแรง ผ่านสภาด้วยคะแนนเสียงท้วมท้น ปูทางสำหรับการเดินหมาก จังหวะใหม่ของอเมริกา จะเป็นจังหวะรุกเข้าไปใหม่ หรือจะเป็นจังหวะรับแบบหมดท่า หลงทิศซ้ำซาก เช่นเมื่อกลางปี ก็แล้วแต่ว่า นายโอบามา จะจับมือเล่นกับสภาสูงแบบไหน การเมืองอเมริกานั้น เวลาปรกติ ก็คัดค้านกันเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น เกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาล รัฐบาลและฝ่ายค้านก็พร้อมจับมือกันเสมอ

    หมากนี้ ต้องขอปรบมือให้กับผู้กำกับฝ่ายตัดต่อหนังของวอชิงตัน

    นอกจากนี้ ช่วงที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเข้า ไปแทรกแซง Ukraine ยาวไปถึงการผนวก Crimea เข้ามานั้น สายเหยี่ยวกระหายเลือดของ Republican ดูเหมือนจะขัดอกขัดใจมาก ที่นายโอบามาแค่คว่ำบาตรรัสเซีย แทนที่จะเปิดเกมรุก วุฒิสมาชิกกลุ่มนาย John McCain เจ้าเก่า จึงยื่นร่างกฏหมาย Russian Aggression Prevention Act (RAPA) เข้าสภาสูงเมื่อประมาณเดื่อนพฤษภาคม 2014 เรียกร้องให้ มีการย้ายกองกำลัง ทั้งของอเมริกาเอง และของ NATO ไปจ่อประตูหลังบ้านรัสเซีย และให้อเมริกาจัดส่งอาวุธให้ Poland เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเอาไว้รับมือกับรัสเซียเป็น ด่านแรก และที่น่าสนใจ ร่างนี้ ให้ ถือว่า Ukraine, Maldova และ Georgia เป็นพันธมิตร นอก NATO ร่างนี้ ยังอยู้ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาสูง

    เมื่อเอามาวางต่อกับหมากสาม ที่สภาล่างเพิ่งลงมติประณามรัสเซียไป 2 ฉากนี้ เหมือนเป็นละครเรื่องเดียวกัน แต่เป็นการใช้ฝ่ายค้านมาเข้าฉาก ออกแรงตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง ที่แนบเนียน และน่าสนใจทีเดียว

    คุณพี่ ปูตินยาตราทัพเข้าไปยึด Crimea ตั้งแต่เดือนมีนาคม อเมริกาได้แต่เล่นบทสั่ง ให้พรรคพวกช่วยกันขัดบาตร เอามาคว่ำใส่รัสเสีย พร้อมกับส่งเสียงขู่สไตล์นักล่าใบตองแห้ง เป็นเวลารวมทั้งสิ้นเกือบ 9 เดือน นี่ถ้าพร้อมจริง ไม่ออกอ่าวไปตั้งแต่ปี 2011 ที่ จะวิ่งมาดักตีหัวแถวแปซิฟิก คงไม่ต้องรอลมเบ่งนาน 9 เดือน วางหมากถอยหลังก่อนเดินหน้าขนาดนี้กระมัง

    เอาละ หลังสภาสูงเปิดในต้นเดือนมกราคม 2015 อเมริกาน่าจะตีกรรเชียงเข้าฝั่งเรียบร้อย พร้อมเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชิงโลกของตน อเมริกาจะเลือกเดินหมากต่อไปอย่างไร

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 3 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 3 บรรดาลูกพี่ของพรรค Republican ต่างหงุดหงิด กับหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration ฉายมา 2 ปีแล้ว เอาออกจากโรงไม่ได้เสียที แต่โอกาสกำลังมารำไร ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สภาสูงของอเมริกา มีการเลือกตั้งสมาชิก ที่เรียกว่า mid term election และ พรรค Republican ได้จำนวนที่นั่งเป็นเสียงข้างมากครั้งแรก ตั้งแต่เสียตำแหน่งไปในปี 2006 คราวนี้น่าจะตีแตก เปลี่ยนเอาหนังเรื่องใหม่มาฉายตามใจพวกเหยี่ยว สภาสูงที่มี Republican ฝ่ายค้านกุมเสียงข้างมาก จะเปิดประชุมสมัยที่ 114 ประมาณต้นเดือน มกราคม 2015 คาดว่าจะมีนาย John McCain วุฒิสมาชิกตัวแสบ ผู้ทรงอืทธิพลของ Republican มาเป็นประธานกรรมาธิการ Armed Services Commitee และ วุฒิสมาชิก Thad Cochran เป็นหัวหน้า Senate Appropriation Committee-Defense Subcommittee ฝ่ายค้านเตรียมพร้อมยึดอำนาจ งาบการคุมงบกองทัพไปจากรัฐบาล… ดูเหมือนรัฐบาลนายโอบามา กำลังถูกต้อนเข้ามุมอับ แม้แต่เรื่องภายในบ้านหลายเรื่องยังค้างคาอยู่ นี่ยังมาเสียทีฝ่ายค้านเพิ่ม เป็นรัฐบาลแต่คุมเสียงสภาสูงไม่ได้ สงสัยจะเอาตัวไม่รอด อย่าว่าแต่จะคิดทำสงครามชิงแชมป์โลกเล้ย! อย่าเพิ่งสรุปใส่นักล่าใบตองแห้ง ผู้กำลังท้าชิงแชมป์โลกเช่นนั้น… ถ้าย้อนกลับไป ดูจังหวะการออกมาร้องเพลงประสานเสียงของฝ่ายกลาโหม เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียง กับที่รัฐบาลโอบามาประกาศส่งกำลังทางอากาศไปกวาดหน่อ ISIS ที่ กำลังวิ่งเล่นอยู่แถวอืรัค ซีเรีย ก็น่าคิดว่า นายโอบามา กำลังวางแผน หาทางตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากมึนหัว หลงทิศอยู่หลายเดือนเมื่อได้รับสัญญาณส่ง ของคุณพี่ปูติน กรณียึด Crimea เมื่อเดือนมีนาคม นายโอบามาจะกลับลำ เรื่องตัดเหี้ยน มาเตรียมความพร้อมของกองทัพ เพื่อเดินหมากกลับเข้าไปอยู่ใน เส้นเขตเข้าชิงแชมป์ ตามแผนที่วางมาร้อยปี มันต้องยอมเดินหมาก แบบถอยหลังมาสัก สอง สาม จังหวะก่อน ค่อยเดินรุกใหม่ แต่จะเดินเองเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด มันก็เหมือนฟ้องว่าเสียเชิงคุณพี่ปูตินเขาไปเรียบร้อยแล้ว นักล่าหน้าไม่เหลือให้เชื่อถือ ลูกหาบรวนเรแตกแถวแน่ คณะประสานเสียงกลาโหม จึงต้องมารับบทร้องนำ การเดินหมาก ถอยหลังจังหวะที่หนึ่งก่อน หลังจากส่งคณะ อีโบลา และ ไอซิส ไปเล่นละครสลับฉาก ระหว่างซื้อเวลา เพื่อจัดการปรุงยาแก้การมึนหัว หลงทิศให้ได้ก่อน หมากจังหวะที่สองคือ การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกลาโหม จากนาย Chuck Hagel ซึ่งนายโอบามาเลือกมา ให้รับภาระกิจ ถอนกองทัพออกมาจากอาฟกานิสถาน แต่เมื่อปรับแผนเตรียมจะเล่นจังหวะรุก นาย Hagel ย่อมไม่เหมาะ รายชื่อที่เป็นตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง คือนาง Flournoy ซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์ นายโอบามาไม่เลือก และนาง Flournoy ก็รีบออกมาปฏิเสธ ไม่ขออยู่ในรายชื่อตัวเก็งตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีชื่อออกมา ล่าสุดมีข่าวว่า ค่อนข้างแน่นอนแล้ว ว่านายโอบามาจะเลือกนาย Ashton Carter ผู้ชำนาญด้านระบบ IT ที่เคยรับผิดชอบนโยบายด้านความมั่นคง เกี่ยวกับรัฐที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และนโยบายเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ และการจัดซื้ออาวุธของกลาโหม มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม นับเป็นการเลือกแม่ทัพ ของนายโอบามา ที่ทำให้เห็นชัดว่าอเมริกา กำลังรีบตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากออกอ่าวไปจริงๆ ผู้รับหน้าที่เดินหมากจังหวะที่สาม กลายเป็นฝ่ายค้าน เข้าไปกวาดเสียงข้างมากในสภาสูง เตรียมทำหน้าที่ ปลดหนังเรื่องตัดเหี้ยน Sequestration ออกจากโรง แต่ถ้าเล่นหมากนี้โดดๆ มันเสียทั้งหน้า เสียทั้งงบ จะทำยังไงให้มันมีแต่ได้ กับได้ วันที่ 4 ธันวาคม 2014 จึงมีฉากการลงมติประณามรัสเซียอย่างรุนแรง ผ่านสภาด้วยคะแนนเสียงท้วมท้น ปูทางสำหรับการเดินหมาก จังหวะใหม่ของอเมริกา จะเป็นจังหวะรุกเข้าไปใหม่ หรือจะเป็นจังหวะรับแบบหมดท่า หลงทิศซ้ำซาก เช่นเมื่อกลางปี ก็แล้วแต่ว่า นายโอบามา จะจับมือเล่นกับสภาสูงแบบไหน การเมืองอเมริกานั้น เวลาปรกติ ก็คัดค้านกันเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น เกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาล รัฐบาลและฝ่ายค้านก็พร้อมจับมือกันเสมอ หมากนี้ ต้องขอปรบมือให้กับผู้กำกับฝ่ายตัดต่อหนังของวอชิงตัน นอกจากนี้ ช่วงที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเข้า ไปแทรกแซง Ukraine ยาวไปถึงการผนวก Crimea เข้ามานั้น สายเหยี่ยวกระหายเลือดของ Republican ดูเหมือนจะขัดอกขัดใจมาก ที่นายโอบามาแค่คว่ำบาตรรัสเซีย แทนที่จะเปิดเกมรุก วุฒิสมาชิกกลุ่มนาย John McCain เจ้าเก่า จึงยื่นร่างกฏหมาย Russian Aggression Prevention Act (RAPA) เข้าสภาสูงเมื่อประมาณเดื่อนพฤษภาคม 2014 เรียกร้องให้ มีการย้ายกองกำลัง ทั้งของอเมริกาเอง และของ NATO ไปจ่อประตูหลังบ้านรัสเซีย และให้อเมริกาจัดส่งอาวุธให้ Poland เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเอาไว้รับมือกับรัสเซียเป็น ด่านแรก และที่น่าสนใจ ร่างนี้ ให้ ถือว่า Ukraine, Maldova และ Georgia เป็นพันธมิตร นอก NATO ร่างนี้ ยังอยู้ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาสูง เมื่อเอามาวางต่อกับหมากสาม ที่สภาล่างเพิ่งลงมติประณามรัสเซียไป 2 ฉากนี้ เหมือนเป็นละครเรื่องเดียวกัน แต่เป็นการใช้ฝ่ายค้านมาเข้าฉาก ออกแรงตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง ที่แนบเนียน และน่าสนใจทีเดียว คุณพี่ ปูตินยาตราทัพเข้าไปยึด Crimea ตั้งแต่เดือนมีนาคม อเมริกาได้แต่เล่นบทสั่ง ให้พรรคพวกช่วยกันขัดบาตร เอามาคว่ำใส่รัสเสีย พร้อมกับส่งเสียงขู่สไตล์นักล่าใบตองแห้ง เป็นเวลารวมทั้งสิ้นเกือบ 9 เดือน นี่ถ้าพร้อมจริง ไม่ออกอ่าวไปตั้งแต่ปี 2011 ที่ จะวิ่งมาดักตีหัวแถวแปซิฟิก คงไม่ต้องรอลมเบ่งนาน 9 เดือน วางหมากถอยหลังก่อนเดินหน้าขนาดนี้กระมัง เอาละ หลังสภาสูงเปิดในต้นเดือนมกราคม 2015 อเมริกาน่าจะตีกรรเชียงเข้าฝั่งเรียบร้อย พร้อมเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชิงโลกของตน อเมริกาจะเลือกเดินหมากต่อไปอย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ

    Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว

    ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ

    SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม

    ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร

    Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI

    ข้อมูลในข่าว
    Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่
    SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google
    ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา
    รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU
    มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor
    มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB
    เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์
    ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm
    ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026

    https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    🧠 “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ ➡️ SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google ➡️ ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา ➡️ รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU ➡️ มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor ➡️ มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB ➡️ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์ ➡️ ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ➡️ ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026 https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Synaptics Launches the Next Generation of Astra Multimodal GenAI Edge Processors
    Synaptics Incorporated (Nasdaq: SYNA), announces the new Astra SL2600 Series of multimodal Edge AI processors designed to deliver exceptional power and performance. The Astra SL2600 series enables a new generation of cost-effective intelligent devices that make the cognitive Internet of Things (IoT)...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple M5 vs M4” — ก้าวกระโดดด้าน AI และกราฟิกที่เปลี่ยนเกมของ Apple Silicon

    หลังจากเปิดตัวชิป M4 ในเดือนพฤษภาคม 2024 Apple ก็เดินหน้าต่อด้วย M5 ซึ่งเป็นชิปที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพด้าน AI และกราฟิกอย่างชัดเจน

    M5 มาพร้อม GPU แบบ 10 คอร์ที่มี Neural Accelerator ฝังอยู่ในแต่ละคอร์ ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้เร็วกว่า M4 ถึง 4 เท่า และให้ประสิทธิภาพกราฟิกดีขึ้นถึง 45% นอกจากนี้ CPU ของ M5 ยังมี 10 คอร์ (4 คอร์ประสิทธิภาพ + 6 คอร์ประหยัดพลังงาน) ซึ่งเพิ่มความเร็วแบบ multithreaded ขึ้นอีก 15% เมื่อเทียบกับ M4

    Neural Engine แบบ 16 คอร์ใน M5 ยังช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์ของ unified memory ขึ้นถึง 30% ซึ่งส่งผลให้การทำงานร่วมกับโมเดล AI และการเรนเดอร์ภาพมีความลื่นไหลและแม่นยำมากขึ้น

    ในขณะที่ M4 เป็นชิปแรกที่ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สอง และเปิดตัวพร้อม iPad Pro โดยเน้นการเรนเดอร์กราฟิกด้วย ray tracing และ mesh shading M5 ได้รับการเปิดตัวพร้อมกับ Vision Pro และ MacBook Pro รุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นการขยายการใช้งานของ Apple Silicon ไปยังอุปกรณ์ระดับสูงที่ต้องการพลังประมวลผลแบบเต็มรูปแบบ

    ข้อมูลในข่าว
    M5 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม พร้อม GPU แบบ 10 คอร์
    มี Neural Accelerator ในทุกคอร์ของ GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI
    ประสิทธิภาพ AI สูงกว่า M4 ถึง 4 เท่า และกราฟิกดีขึ้น 45%
    CPU แบบ 10 คอร์ให้ multithreaded performance สูงขึ้น 15%
    Neural Engine แบบ 16 คอร์ช่วยเพิ่ม unified memory bandwidth ขึ้น 30%
    M4 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สอง และเปิดตัวพร้อม iPad Pro
    M4 รองรับ ray tracing, mesh shading และ Dynamic Caching
    M5 เปิดตัวพร้อม Vision Pro และ MacBook Pro รุ่นใหม่
    M5 เหมาะกับงาน AI และกราฟิกที่ต้องการพลังประมวลผลสูง

    https://www.slashgear.com/1997651/apple-m5-vs-m4-what-difference-performance-capabilities/
    🍏 “Apple M5 vs M4” — ก้าวกระโดดด้าน AI และกราฟิกที่เปลี่ยนเกมของ Apple Silicon หลังจากเปิดตัวชิป M4 ในเดือนพฤษภาคม 2024 Apple ก็เดินหน้าต่อด้วย M5 ซึ่งเป็นชิปที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพด้าน AI และกราฟิกอย่างชัดเจน M5 มาพร้อม GPU แบบ 10 คอร์ที่มี Neural Accelerator ฝังอยู่ในแต่ละคอร์ ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้เร็วกว่า M4 ถึง 4 เท่า และให้ประสิทธิภาพกราฟิกดีขึ้นถึง 45% นอกจากนี้ CPU ของ M5 ยังมี 10 คอร์ (4 คอร์ประสิทธิภาพ + 6 คอร์ประหยัดพลังงาน) ซึ่งเพิ่มความเร็วแบบ multithreaded ขึ้นอีก 15% เมื่อเทียบกับ M4 Neural Engine แบบ 16 คอร์ใน M5 ยังช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์ของ unified memory ขึ้นถึง 30% ซึ่งส่งผลให้การทำงานร่วมกับโมเดล AI และการเรนเดอร์ภาพมีความลื่นไหลและแม่นยำมากขึ้น ในขณะที่ M4 เป็นชิปแรกที่ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สอง และเปิดตัวพร้อม iPad Pro โดยเน้นการเรนเดอร์กราฟิกด้วย ray tracing และ mesh shading M5 ได้รับการเปิดตัวพร้อมกับ Vision Pro และ MacBook Pro รุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นการขยายการใช้งานของ Apple Silicon ไปยังอุปกรณ์ระดับสูงที่ต้องการพลังประมวลผลแบบเต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ M5 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม พร้อม GPU แบบ 10 คอร์ ➡️ มี Neural Accelerator ในทุกคอร์ของ GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI ➡️ ประสิทธิภาพ AI สูงกว่า M4 ถึง 4 เท่า และกราฟิกดีขึ้น 45% ➡️ CPU แบบ 10 คอร์ให้ multithreaded performance สูงขึ้น 15% ➡️ Neural Engine แบบ 16 คอร์ช่วยเพิ่ม unified memory bandwidth ขึ้น 30% ➡️ M4 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สอง และเปิดตัวพร้อม iPad Pro ➡️ M4 รองรับ ray tracing, mesh shading และ Dynamic Caching ➡️ M5 เปิดตัวพร้อม Vision Pro และ MacBook Pro รุ่นใหม่ ➡️ M5 เหมาะกับงาน AI และกราฟิกที่ต้องการพลังประมวลผลสูง https://www.slashgear.com/1997651/apple-m5-vs-m4-what-difference-performance-capabilities/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Apple M5 Vs. M4: What's The Difference In Performance & Capability? - SlashGear
    Apple’s M5 outpaces the M4 with up to 45% better graphics, faster AI processing, and higher memory bandwidth, making it a big leap in performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • “73% ของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอาจเป็นบอต” — เปิดโปงเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลอกลวงด้วยทราฟฟิกปลอม

    Simul Sarker ผู้ก่อตั้ง DataCops เผยผลการสืบสวนที่น่าตกใจ: เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจำนวนมากกำลังถูกหลอกโดยบอตที่แสร้งเป็นผู้ใช้งานจริง ทำให้ข้อมูลใน Google Analytics ดูดี แต่ยอดขายกลับไม่ขยับ โดยเขาเริ่มจากการติดตั้งสคริปต์ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ลูกค้า และพบว่า 68% ของทราฟฟิกเป็นบอตที่มีพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์อย่างแนบเนียน

    เมื่อขยายการตรวจสอบไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ กว่า 200 แห่ง พบว่าค่าเฉลี่ยของทราฟฟิกปลอมสูงถึง 73% ซึ่งเป็นปัญหาระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่กรณีเฉพาะ

    บอตเหล่านี้มีหลายประเภท เช่น “Engagement Bot” ที่ทำให้รายงานดูดีโดยคลิกและเลื่อนหน้าอย่างเป็นระบบ, “Cart Abandonment Bot” ที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้าแล้วทิ้งไว้เพื่อสร้างภาพว่ามีผู้สนใจ, และ “Phantom Social Media Visitor” ที่สร้างทราฟฟิกจาก Instagram หรือ TikTok โดยไม่มีการมีส่วนร่วมจริง

    นอกจากนี้ยังมีบอตที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ เช่น การเก็บข้อมูลสินค้าจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ราคาและสต็อก ซึ่งแม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็สร้างภาระให้กับระบบและทำให้ข้อมูล analytics บิดเบือน

    เมื่อกรองบอตออกจากทราฟฟิกของลูกค้า พบว่ายอดขายจริงเพิ่มขึ้น 34% โดยไม่ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ใช่คุณภาพของสินค้า แต่เป็นการโฆษณาให้กับ “ผู้ชมที่ไม่มีตัวตน”

    ข้อมูลในข่าว
    การสืบสวนพบว่า 68–73% ของทราฟฟิกเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นบอต
    บอตมีพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์ เช่น เลื่อนหน้า คลิก และอยู่ในหน้าเว็บนาน
    ประเภทบอตที่พบ ได้แก่ Engagement Bot, Cart Abandonment Bot และ Phantom Visitor
    บางบอตใช้เพื่อเก็บข้อมูลสินค้าและราคาเพื่อวิเคราะห์การแข่งขัน
    การกรองบอตออกช่วยให้ยอดขายจริงเพิ่มขึ้น 34%
    ปัญหาทราฟฟิกปลอมเป็นระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่กรณีเฉพาะ
    บอตสามารถหลอกแพลตฟอร์มโฆษณาและทำให้ ROI ดูดีเกินจริง
    การตรวจสอบพฤติกรรมผู้ใช้ช่วยแยกมนุษย์ออกจากบอตได้แม่นยำ
    บอตบางตัวถูกออกแบบให้ทำให้ cart abandonment ดูสมจริง
    การใช้บอตเพื่อสร้างทราฟฟิกปลอมเป็นส่วนหนึ่งของ ad fraud

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การพึ่งพา Google Analytics โดยไม่ตรวจสอบพฤติกรรมจริงอาจทำให้เข้าใจผิด
    บอตที่มีพฤติกรรมเหมือนมนุษย์สามารถหลบการกรองแบบทั่วไปได้
    การโฆษณาให้กับบอตทำให้เสียงบประมาณโดยไม่มีผลตอบแทน
    บอตที่เก็บข้อมูลสินค้าอาจทำให้ระบบทำงานหนักและข้อมูล analytics บิดเบือน
    การไม่ตรวจสอบ referral traffic อย่างละเอียดอาจทำให้เข้าใจผิดว่าแคมเปญได้ผล
    บางแพลตฟอร์มโฆษณาอาจไม่กรองบอตอย่างจริงจังเพราะมีผลต่อรายได้ของตนเอง

    https://joindatacops.com/resources/how-73-of-your-e-commerce-visitors-could-be-fake
    🛒 “73% ของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอาจเป็นบอต” — เปิดโปงเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลอกลวงด้วยทราฟฟิกปลอม Simul Sarker ผู้ก่อตั้ง DataCops เผยผลการสืบสวนที่น่าตกใจ: เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจำนวนมากกำลังถูกหลอกโดยบอตที่แสร้งเป็นผู้ใช้งานจริง ทำให้ข้อมูลใน Google Analytics ดูดี แต่ยอดขายกลับไม่ขยับ โดยเขาเริ่มจากการติดตั้งสคริปต์ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ลูกค้า และพบว่า 68% ของทราฟฟิกเป็นบอตที่มีพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์อย่างแนบเนียน เมื่อขยายการตรวจสอบไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ กว่า 200 แห่ง พบว่าค่าเฉลี่ยของทราฟฟิกปลอมสูงถึง 73% ซึ่งเป็นปัญหาระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่กรณีเฉพาะ บอตเหล่านี้มีหลายประเภท เช่น “Engagement Bot” ที่ทำให้รายงานดูดีโดยคลิกและเลื่อนหน้าอย่างเป็นระบบ, “Cart Abandonment Bot” ที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้าแล้วทิ้งไว้เพื่อสร้างภาพว่ามีผู้สนใจ, และ “Phantom Social Media Visitor” ที่สร้างทราฟฟิกจาก Instagram หรือ TikTok โดยไม่มีการมีส่วนร่วมจริง นอกจากนี้ยังมีบอตที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ เช่น การเก็บข้อมูลสินค้าจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ราคาและสต็อก ซึ่งแม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็สร้างภาระให้กับระบบและทำให้ข้อมูล analytics บิดเบือน เมื่อกรองบอตออกจากทราฟฟิกของลูกค้า พบว่ายอดขายจริงเพิ่มขึ้น 34% โดยไม่ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ใช่คุณภาพของสินค้า แต่เป็นการโฆษณาให้กับ “ผู้ชมที่ไม่มีตัวตน” ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ การสืบสวนพบว่า 68–73% ของทราฟฟิกเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นบอต ➡️ บอตมีพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์ เช่น เลื่อนหน้า คลิก และอยู่ในหน้าเว็บนาน ➡️ ประเภทบอตที่พบ ได้แก่ Engagement Bot, Cart Abandonment Bot และ Phantom Visitor ➡️ บางบอตใช้เพื่อเก็บข้อมูลสินค้าและราคาเพื่อวิเคราะห์การแข่งขัน ➡️ การกรองบอตออกช่วยให้ยอดขายจริงเพิ่มขึ้น 34% ➡️ ปัญหาทราฟฟิกปลอมเป็นระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่กรณีเฉพาะ ➡️ บอตสามารถหลอกแพลตฟอร์มโฆษณาและทำให้ ROI ดูดีเกินจริง ➡️ การตรวจสอบพฤติกรรมผู้ใช้ช่วยแยกมนุษย์ออกจากบอตได้แม่นยำ ➡️ บอตบางตัวถูกออกแบบให้ทำให้ cart abandonment ดูสมจริง ➡️ การใช้บอตเพื่อสร้างทราฟฟิกปลอมเป็นส่วนหนึ่งของ ad fraud ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การพึ่งพา Google Analytics โดยไม่ตรวจสอบพฤติกรรมจริงอาจทำให้เข้าใจผิด ⛔ บอตที่มีพฤติกรรมเหมือนมนุษย์สามารถหลบการกรองแบบทั่วไปได้ ⛔ การโฆษณาให้กับบอตทำให้เสียงบประมาณโดยไม่มีผลตอบแทน ⛔ บอตที่เก็บข้อมูลสินค้าอาจทำให้ระบบทำงานหนักและข้อมูล analytics บิดเบือน ⛔ การไม่ตรวจสอบ referral traffic อย่างละเอียดอาจทำให้เข้าใจผิดว่าแคมเปญได้ผล ⛔ บางแพลตฟอร์มโฆษณาอาจไม่กรองบอตอย่างจริงจังเพราะมีผลต่อรายได้ของตนเอง https://joindatacops.com/resources/how-73-of-your-e-commerce-visitors-could-be-fake
    JOINDATACOPS.COM
    How 73% of Your E-commerce Visitors Could Be Fake
    A conversion rate of less than 0.1%. That was the moment I realized something was fundamentally broken with the way we measure success on the internet.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple เปิดตัวชิป M5” — ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ด้าน AI ด้วย GPU แบบใหม่และ Neural Accelerator ในทุกคอร์

    Apple ประกาศเปิดตัวชิป M5 ซึ่งเป็นระบบบนชิป (SoC) รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการประมวลผลด้าน AI โดยเฉพาะ โดยนำมาใช้ใน MacBook Pro ขนาด 14 นิ้ว, iPad Pro และ Apple Vision Pro รุ่นล่าสุด

    M5 ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม และมาพร้อม GPU แบบ 10 คอร์ที่มี Neural Accelerator ฝังอยู่ในแต่ละคอร์ ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้เร็วขึ้นกว่า M4 ถึง 4 เท่า และเร็วกว่า M1 ถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านกราฟิกด้วย ray tracing รุ่นที่สาม และ dynamic caching รุ่นใหม่ที่ช่วยให้การเล่นเกมและการเรนเดอร์ภาพ 3D ลื่นไหลและสมจริงมากขึ้น

    CPU ของ M5 มี 10 คอร์ (แบ่งเป็น 6 คอร์ประหยัดพลังงาน และ 4 คอร์ประสิทธิภาพสูง) ซึ่งให้ความเร็วในการประมวลผลแบบ multithreaded สูงกว่า M4 ถึง 15% พร้อม Neural Engine แบบ 16 คอร์ที่เร็วขึ้น และแบนด์วิดธ์ของ unified memory เพิ่มขึ้นเกือบ 30% เป็น 153GB/s

    ชิป M5 ยังช่วยให้ Apple Vision Pro แสดงผลได้ละเอียดขึ้น 10% และเพิ่ม refresh rate สูงสุดถึง 120Hz ทำให้ภาพคมชัดและลดอาการเบลอจากการเคลื่อนไหว

    Apple ยังเน้นว่า M5 จะช่วยให้การใช้งาน AI บนอุปกรณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างภาพใน Image Playground, การใช้ Foundation Models framework และการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่แบบ on-device โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    ข้อมูลในข่าว
    Apple เปิดตัวชิป M5 สำหรับ MacBook Pro, iPad Pro และ Vision Pro
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม
    GPU แบบ 10 คอร์มี Neural Accelerator ในทุกคอร์
    ประสิทธิภาพ AI สูงกว่า M4 ถึง 4 เท่า และ M1 ถึง 6 เท่า
    รองรับ ray tracing รุ่นที่สามและ dynamic caching รุ่นใหม่
    CPU แบบ 10 คอร์ให้ความเร็ว multithreaded สูงกว่า M4 ถึง 15%
    Neural Engine แบบ 16 คอร์ที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงาน
    แบนด์วิดธ์ unified memory เพิ่มขึ้นเป็น 153GB/s
    Vision Pro แสดงผลละเอียดขึ้น 10% และ refresh rate สูงสุด 120Hz
    รองรับการใช้งาน AI แบบ on-device เช่น Image Playground และ Foundation Models

    https://www.apple.com/newsroom/2025/10/apple-unleashes-m5-the-next-big-leap-in-ai-performance-for-apple-silicon/
    🍎 “Apple เปิดตัวชิป M5” — ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ด้าน AI ด้วย GPU แบบใหม่และ Neural Accelerator ในทุกคอร์ Apple ประกาศเปิดตัวชิป M5 ซึ่งเป็นระบบบนชิป (SoC) รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการประมวลผลด้าน AI โดยเฉพาะ โดยนำมาใช้ใน MacBook Pro ขนาด 14 นิ้ว, iPad Pro และ Apple Vision Pro รุ่นล่าสุด M5 ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม และมาพร้อม GPU แบบ 10 คอร์ที่มี Neural Accelerator ฝังอยู่ในแต่ละคอร์ ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้เร็วขึ้นกว่า M4 ถึง 4 เท่า และเร็วกว่า M1 ถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านกราฟิกด้วย ray tracing รุ่นที่สาม และ dynamic caching รุ่นใหม่ที่ช่วยให้การเล่นเกมและการเรนเดอร์ภาพ 3D ลื่นไหลและสมจริงมากขึ้น CPU ของ M5 มี 10 คอร์ (แบ่งเป็น 6 คอร์ประหยัดพลังงาน และ 4 คอร์ประสิทธิภาพสูง) ซึ่งให้ความเร็วในการประมวลผลแบบ multithreaded สูงกว่า M4 ถึง 15% พร้อม Neural Engine แบบ 16 คอร์ที่เร็วขึ้น และแบนด์วิดธ์ของ unified memory เพิ่มขึ้นเกือบ 30% เป็น 153GB/s ชิป M5 ยังช่วยให้ Apple Vision Pro แสดงผลได้ละเอียดขึ้น 10% และเพิ่ม refresh rate สูงสุดถึง 120Hz ทำให้ภาพคมชัดและลดอาการเบลอจากการเคลื่อนไหว Apple ยังเน้นว่า M5 จะช่วยให้การใช้งาน AI บนอุปกรณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างภาพใน Image Playground, การใช้ Foundation Models framework และการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่แบบ on-device โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Apple เปิดตัวชิป M5 สำหรับ MacBook Pro, iPad Pro และ Vision Pro ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม ➡️ GPU แบบ 10 คอร์มี Neural Accelerator ในทุกคอร์ ➡️ ประสิทธิภาพ AI สูงกว่า M4 ถึง 4 เท่า และ M1 ถึง 6 เท่า ➡️ รองรับ ray tracing รุ่นที่สามและ dynamic caching รุ่นใหม่ ➡️ CPU แบบ 10 คอร์ให้ความเร็ว multithreaded สูงกว่า M4 ถึง 15% ➡️ Neural Engine แบบ 16 คอร์ที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงาน ➡️ แบนด์วิดธ์ unified memory เพิ่มขึ้นเป็น 153GB/s ➡️ Vision Pro แสดงผลละเอียดขึ้น 10% และ refresh rate สูงสุด 120Hz ➡️ รองรับการใช้งาน AI แบบ on-device เช่น Image Playground และ Foundation Models https://www.apple.com/newsroom/2025/10/apple-unleashes-m5-the-next-big-leap-in-ai-performance-for-apple-silicon/
    WWW.APPLE.COM
    Apple unleashes M5, the next big leap in AI performance for Apple silicon
    Apple today announced M5, delivering advances to every aspect of the chip and the next big leap in AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัย MCP” — ยกระดับการเชื่อมต่อ AI กับระบบองค์กรอย่างปลอดภัย

    MCPTotal ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานและควบคุม MCP (Model Context Protocol) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI เข้ากับระบบภายในองค์กร แหล่งข้อมูลภายนอก และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม แต่การนำมาใช้อย่างไร้การควบคุมก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น ช่องโหว่ด้านซัพพลายเชน, การโจมตีแบบ prompt injection, การใช้เซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ไม่ปลอดภัย, การล้วงข้อมูล และช่องโหว่ด้านการยืนยันตัวตน

    MCPTotal จึงนำเสนอแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่มีโครงสร้างแบบ hub-and-gateway ซึ่งช่วยให้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ MCP ได้อย่างปลอดภัย พร้อมระบบยืนยันตัวตน, การจัดการข้อมูลรับรอง และการตรวจสอบทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ โดยทำหน้าที่เป็นไฟร์วอลล์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ

    แพลตฟอร์มนี้ยังมีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วหลายร้อยรายการ ให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจ พร้อมระบบ single sign-on ที่ช่วยให้พนักงานสามารถเชื่อมต่อโมเดล AI กับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ได้ทันที โดยไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง

    MCPTotal มี 4 จุดเด่นหลักที่แตกต่างจากตลาดทั่วไป:

    การเปิดใช้งานแบบปลอดภัย: ให้พนักงานทุกคนใช้งาน MCP ได้ทันทีผ่านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย พร้อมระบบตรวจสอบและบังคับใช้นโยบายในตัว
    การตรวจสอบความปลอดภัยอัตโนมัติ: เซิร์ฟเวอร์ MCP ทุกตัวต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนเข้าสู่ระบบ
    การสแกนความเสี่ยงแบบครอบคลุม: ตรวจสอบเครื่องของพนักงานเพื่อหาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ MCP
    รองรับหลายสภาพแวดล้อม: ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อป เบราว์เซอร์ คลาวด์ และระบบที่องค์กรโฮสต์เอง

    Gil Dabah ซีอีโอของ MCPTotal กล่าวว่า “นี่คือครั้งแรกที่มีโซลูชันที่ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถควบคุม MCP ได้ทันกับการใช้งานจริงของพนักงาน” โดยย้ำว่ามีรายงานพบเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายแล้วในโลกจริง และแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้สามารถโฮสต์ ตรวจสอบ และแยก sandbox ได้อย่างปลอดภัย

    ข้อมูลในข่าว
    MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยสำหรับ MCP แบบครบวงจร
    MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI กับระบบองค์กรและแอปภายนอก
    แพลตฟอร์มใช้โครงสร้าง hub-and-gateway พร้อมระบบยืนยันตัวตนและไฟร์วอลล์ AI-native
    มีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบหลายร้อยรายการ
    รองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ผ่าน single sign-on
    พนักงานไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง
    มีฟีเจอร์เด่น 4 ด้าน: เปิดใช้งานปลอดภัย, ตรวจสอบอัตโนมัติ, สแกนความเสี่ยง, รองรับหลายสภาพแวดล้อม
    ซีอีโอระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายเริ่มปรากฏในโลกจริงแล้ว

    https://securityonline.info/mcptotal-launches-to-power-secure-enterprise-mcp-workflows/
    🛡️ “MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัย MCP” — ยกระดับการเชื่อมต่อ AI กับระบบองค์กรอย่างปลอดภัย MCPTotal ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานและควบคุม MCP (Model Context Protocol) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI เข้ากับระบบภายในองค์กร แหล่งข้อมูลภายนอก และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม แต่การนำมาใช้อย่างไร้การควบคุมก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น ช่องโหว่ด้านซัพพลายเชน, การโจมตีแบบ prompt injection, การใช้เซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ไม่ปลอดภัย, การล้วงข้อมูล และช่องโหว่ด้านการยืนยันตัวตน MCPTotal จึงนำเสนอแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่มีโครงสร้างแบบ hub-and-gateway ซึ่งช่วยให้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ MCP ได้อย่างปลอดภัย พร้อมระบบยืนยันตัวตน, การจัดการข้อมูลรับรอง และการตรวจสอบทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ โดยทำหน้าที่เป็นไฟร์วอลล์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ แพลตฟอร์มนี้ยังมีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วหลายร้อยรายการ ให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจ พร้อมระบบ single sign-on ที่ช่วยให้พนักงานสามารถเชื่อมต่อโมเดล AI กับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ได้ทันที โดยไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง MCPTotal มี 4 จุดเด่นหลักที่แตกต่างจากตลาดทั่วไป: ✨ การเปิดใช้งานแบบปลอดภัย: ให้พนักงานทุกคนใช้งาน MCP ได้ทันทีผ่านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย พร้อมระบบตรวจสอบและบังคับใช้นโยบายในตัว ✨ การตรวจสอบความปลอดภัยอัตโนมัติ: เซิร์ฟเวอร์ MCP ทุกตัวต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนเข้าสู่ระบบ ✨ การสแกนความเสี่ยงแบบครอบคลุม: ตรวจสอบเครื่องของพนักงานเพื่อหาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ MCP ✨ รองรับหลายสภาพแวดล้อม: ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อป เบราว์เซอร์ คลาวด์ และระบบที่องค์กรโฮสต์เอง Gil Dabah ซีอีโอของ MCPTotal กล่าวว่า “นี่คือครั้งแรกที่มีโซลูชันที่ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถควบคุม MCP ได้ทันกับการใช้งานจริงของพนักงาน” โดยย้ำว่ามีรายงานพบเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายแล้วในโลกจริง และแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้สามารถโฮสต์ ตรวจสอบ และแยก sandbox ได้อย่างปลอดภัย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยสำหรับ MCP แบบครบวงจร ➡️ MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI กับระบบองค์กรและแอปภายนอก ➡️ แพลตฟอร์มใช้โครงสร้าง hub-and-gateway พร้อมระบบยืนยันตัวตนและไฟร์วอลล์ AI-native ➡️ มีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบหลายร้อยรายการ ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ผ่าน single sign-on ➡️ พนักงานไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง ➡️ มีฟีเจอร์เด่น 4 ด้าน: เปิดใช้งานปลอดภัย, ตรวจสอบอัตโนมัติ, สแกนความเสี่ยง, รองรับหลายสภาพแวดล้อม ➡️ ซีอีโอระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายเริ่มปรากฏในโลกจริงแล้ว https://securityonline.info/mcptotal-launches-to-power-secure-enterprise-mcp-workflows/
    SECURITYONLINE.INFO
    MCPTotal Launches to Power Secure Enterprise MCP Workflows
    New York, USA, New York, 15th October 2025, CyberNewsWire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jewelbug จากจีนล้วงข้อมูลบริษัท IT รัสเซีย 5 เดือนเต็ม” — ใช้ Yandex Cloud และ Microsoft Graph API พรางตัวแบบแนบเนียน

    ในรายงานล่าสุดจากทีม Symantec Threat Hunter ได้เปิดเผยการโจมตีไซเบอร์ที่น่าตกใจโดยกลุ่ม APT จากจีนชื่อ “Jewelbug” ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบของบริษัท IT สัญชาติรัสเซียได้นานถึง 5 เดือนในช่วงต้นปี 2025 โดยใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและแอบแฝงผ่านบริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในรัสเซียอย่าง Yandex Cloud รวมถึงใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมมัลแวร์ (C2) เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป

    การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในด้านการจารกรรมไซเบอร์ โดยก่อนหน้านี้กลุ่ม APT จากจีนมักไม่โจมตีเป้าหมายในรัสเซีย แต่หลังจากสงครามยูเครนเริ่มต้น ความร่วมมือระหว่างสองประเทศในโลกไซเบอร์เริ่มสั่นคลอน และ Jewelbug ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้

    Jewelbug ใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น การเปลี่ยนชื่อไฟล์ cdb.exe เป็น “7zup.exe” เพื่อหลบ whitelist, การใช้ scheduled tasks เพื่อคงการเข้าถึงระบบ, การล้าง log เพื่อลบร่องรอย และการใช้ไฟล์ “yandex2.exe” ในการส่งข้อมูลออกไปยัง Yandex Cloud

    นอกจากนี้ยังพบมัลแวร์รุ่นใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม โดยมีการสร้างโฟลเดอร์ลับในระบบ, อัปโหลดรายการไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ เช่น IP และเวอร์ชัน Windows

    ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ยังใช้เทคนิค BYOVD (Bring-Your-Own-Vulnerable-Driver) โดยนำไดรเวอร์จากระบบป้องกันเกม ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel และใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz และ Earthworm เพื่อเคลื่อนย้ายภายในระบบ

    การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสามารถของ Jewelbug แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทลูกค้าของผู้ให้บริการ IT รัสเซียจำนวนมาก

    ข้อมูลในข่าว
    Jewelbug เป็นกลุ่ม APT จากจีนที่แฮกระบบบริษัท IT รัสเซียได้นานถึง 5 เดือน
    ใช้ Yandex Cloud ในการส่งข้อมูลออกเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ไฟล์ “7zup.exe” ซึ่งเป็น cdb.exe ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อหลบ whitelist
    ใช้ scheduled tasks, credential dumping, log clearing และไฟล์ “yandex2.exe” ในการโจมตี
    พบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม (C2)
    มัลแวร์สามารถสร้างโฟลเดอร์ลับ, อัปโหลดไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ
    ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ใช้เทคนิค BYOVD โดยนำไดรเวอร์ ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel
    ใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz, SMBExec และ Earthworm
    มัลแวร์ถูกฝังใน mspaint.exe ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของ Jewelbug
    มีความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลต่อบริษัทลูกค้าจำนวนมากในรัสเซีย
    การโจมตีสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนหลังสงครามยูเครน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้บริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในประเทศเป้าหมายอาจทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    การเปลี่ยนชื่อไฟล์ระบบเพื่อหลบ whitelist เป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้กับหลายองค์กร
    การใช้ Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมอาจทำให้มัลแวร์พรางตัวได้ดีในทราฟฟิกปกติ
    การใช้เทคนิค BYOVD และเครื่องมือเจาะระบบระดับ kernel อาจทำให้ระบบป้องกันทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้
    ความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอาจขยายผลไปยังบริษัทอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการที่ถูกแฮก
    การฝังมัลแวร์ในโปรแกรมทั่วไปอย่าง mspaint.exe ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยและยากต่อการตรวจสอบ

    https://securityonline.info/chinas-jewelbug-apt-breaches-russian-it-provider-for-5-months-using-yandex-cloud-and-graph-api-c2/
    🕵️ “Jewelbug จากจีนล้วงข้อมูลบริษัท IT รัสเซีย 5 เดือนเต็ม” — ใช้ Yandex Cloud และ Microsoft Graph API พรางตัวแบบแนบเนียน ในรายงานล่าสุดจากทีม Symantec Threat Hunter ได้เปิดเผยการโจมตีไซเบอร์ที่น่าตกใจโดยกลุ่ม APT จากจีนชื่อ “Jewelbug” ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบของบริษัท IT สัญชาติรัสเซียได้นานถึง 5 เดือนในช่วงต้นปี 2025 โดยใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและแอบแฝงผ่านบริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในรัสเซียอย่าง Yandex Cloud รวมถึงใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมมัลแวร์ (C2) เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในด้านการจารกรรมไซเบอร์ โดยก่อนหน้านี้กลุ่ม APT จากจีนมักไม่โจมตีเป้าหมายในรัสเซีย แต่หลังจากสงครามยูเครนเริ่มต้น ความร่วมมือระหว่างสองประเทศในโลกไซเบอร์เริ่มสั่นคลอน และ Jewelbug ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ Jewelbug ใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น การเปลี่ยนชื่อไฟล์ cdb.exe เป็น “7zup.exe” เพื่อหลบ whitelist, การใช้ scheduled tasks เพื่อคงการเข้าถึงระบบ, การล้าง log เพื่อลบร่องรอย และการใช้ไฟล์ “yandex2.exe” ในการส่งข้อมูลออกไปยัง Yandex Cloud นอกจากนี้ยังพบมัลแวร์รุ่นใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม โดยมีการสร้างโฟลเดอร์ลับในระบบ, อัปโหลดรายการไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ เช่น IP และเวอร์ชัน Windows ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ยังใช้เทคนิค BYOVD (Bring-Your-Own-Vulnerable-Driver) โดยนำไดรเวอร์จากระบบป้องกันเกม ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel และใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz และ Earthworm เพื่อเคลื่อนย้ายภายในระบบ การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสามารถของ Jewelbug แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทลูกค้าของผู้ให้บริการ IT รัสเซียจำนวนมาก ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Jewelbug เป็นกลุ่ม APT จากจีนที่แฮกระบบบริษัท IT รัสเซียได้นานถึง 5 เดือน ➡️ ใช้ Yandex Cloud ในการส่งข้อมูลออกเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ไฟล์ “7zup.exe” ซึ่งเป็น cdb.exe ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อหลบ whitelist ➡️ ใช้ scheduled tasks, credential dumping, log clearing และไฟล์ “yandex2.exe” ในการโจมตี ➡️ พบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม (C2) ➡️ มัลแวร์สามารถสร้างโฟลเดอร์ลับ, อัปโหลดไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ ➡️ ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ใช้เทคนิค BYOVD โดยนำไดรเวอร์ ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel ➡️ ใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz, SMBExec และ Earthworm ➡️ มัลแวร์ถูกฝังใน mspaint.exe ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของ Jewelbug ➡️ มีความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลต่อบริษัทลูกค้าจำนวนมากในรัสเซีย ➡️ การโจมตีสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนหลังสงครามยูเครน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้บริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในประเทศเป้าหมายอาจทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ การเปลี่ยนชื่อไฟล์ระบบเพื่อหลบ whitelist เป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้กับหลายองค์กร ⛔ การใช้ Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมอาจทำให้มัลแวร์พรางตัวได้ดีในทราฟฟิกปกติ ⛔ การใช้เทคนิค BYOVD และเครื่องมือเจาะระบบระดับ kernel อาจทำให้ระบบป้องกันทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ ⛔ ความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอาจขยายผลไปยังบริษัทอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการที่ถูกแฮก ⛔ การฝังมัลแวร์ในโปรแกรมทั่วไปอย่าง mspaint.exe ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยและยากต่อการตรวจสอบ https://securityonline.info/chinas-jewelbug-apt-breaches-russian-it-provider-for-5-months-using-yandex-cloud-and-graph-api-c2/
    SECURITYONLINE.INFO
    China's Jewelbug APT Breaches Russian IT Provider for 5 Months, Using Yandex Cloud and Graph API C2
    Symantec exposed China's Jewelbug APT in an unprecedented 5-month intrusion on a Russian IT provider. The group used Yandex Cloud for data exfiltration and Graph API for stealthy C2 via custom malware.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts