• บทความกฎหมาย EP.32

    ทรัพย์สินมิได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่จับต้องได้หรือมีมูลค่าทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับมิติทางกฎหมายที่ให้ความคุ้มครอง สิทธิ และหน้าที่แก่เจ้าของ การทำความเข้าใจ "ทรัพย์สิน" ในฐานะของแนวคิดทางกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างความมั่นคงและส่งต่อมรดกอย่างเป็นระบบ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยได้ให้นิยามของทรัพย์ไว้ว่าคือวัตถุที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ รวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย ดังนั้นทรัพย์สินจึงแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหมายถึงที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ซึ่งการได้มา จำหน่ายจ่ายโอน หรือการก่อภาระผูกพันใดๆ ย่อมต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากขาดแบบพิธีทางกฎหมายนี้ สิทธินั้นย่อมไม่บริบูรณ์ตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นหลักการที่เข้มงวดเพื่อสร้างความชัดเจนและป้องกันข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินซึ่งมีมูลค่าสูง ในขณะที่สังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์สินอื่นๆ นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ อาจเป็นทรัพย์ที่มีทะเบียน เช่น รถยนต์ ซึ่งการโอนสิทธิก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะนั้นๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีทะเบียน เช่น เงิน เครื่องประดับ หรือทรัพย์สินในชีวิตประจำวัน การซื้อขายหรือการโอนกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์มักมีความยืดหยุ่นทางกฎหมายมากกว่า แต่ก็ยังอยู่ภายใต้หลักการทั่วไปของการทำนิติกรรมสัญญา และที่สำคัญอย่างยิ่งคือทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีมูลค่าทางกฎหมาย เช่น สิทธิเรียกร้องต่างๆ หุ้นในบริษัท สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา อย่างลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า ซึ่งทรัพย์สินประเภทหลังนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคดิจิทัล การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจึงเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางในการดำเนินการตามกฎหมาย ทรัพย์สินทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยกรรมสิทธิ์ เจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิใช้สอย ได้ดอกผล จำหน่าย และทำลายทรัพย์สินของตนเอง รวมไปถึงสิทธิในการติดตามและเอาคืนทรัพย์สินจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ซึ่งถือเป็นหลักการพื้นฐานในการคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคล การจัดการทรัพย์สินจึงต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายเหล่านี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญาซื้อขาย การจำนอง การจำนำ หรือแม้แต่การทำพินัยกรรมเพื่อเตรียมการส่งต่อทรัพย์สินเมื่อเจ้าของถึงแก่ความตาย การจัดการที่ดีจะช่วยให้การส่งมอบมรดกเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความขัดแย้งระหว่างทายาท และสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้รับช่วงต่อไป

    ในทางปฏิบัติ การทำความเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างถ่องแท้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการบริหารจัดการทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การทำนิติกรรมสัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทุกประเภทจะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีผู้เยาว์หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ การดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจส่งผลให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะหรือเป็นโมฆียะ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายและข้อพิพาททางกฎหมายตามมา การตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารสิทธิ การจดทะเบียนที่ดิน การจัดทำพินัยกรรมที่ถูกต้องตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด ไปจนถึงการจัดตั้งกองมรดกหรือการมอบอำนาจในการจัดการทรัพย์สิน ล้วนเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความระมัดระวังและปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัด การละเลยแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อยในทางกฎหมายก็อาจนำไปสู่การสูญเสียสิทธิหรือการถูกฟ้องร้องได้ นอกจากนี้ กฎหมายยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริต ซึ่งหมายความว่าแม้การได้มาซึ่งทรัพย์สินของบุคคลใดอาจมีข้อบกพร่องทางกฎหมาย แต่ถ้าหากบุคคลภายนอกได้มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน กฎหมายก็อาจให้ความคุ้มครองบุคคลภายนอกนั้นไว้ นี่คือความสมดุลที่กฎหมายสร้างขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจ การศึกษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทรัพย์สินจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องและเพิ่มพูนความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน

    ท้ายที่สุดนี้ ทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ เงินฝาก หรือสิทธิทางปัญญา ล้วนเป็นเสาหลักแห่งความมั่นคงในชีวิต การบริหารจัดการทรัพย์สินจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะกฎหมายคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความชัดเจน ความชอบธรรม และความยุติธรรมให้กับความเป็นเจ้าของ การทำความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ที่มาพร้อมกับทรัพย์สิน การปฏิบัติตามแบบพิธีการทำนิติกรรม การวางแผนภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน และการเตรียมการเรื่องมรดกอย่างรอบคอบ คือรากฐานของการปกป้องทรัพย์สินที่เราสร้างมาด้วยความเพียรพยายาม การมีวินัยทางกฎหมายในการจัดการทรัพย์สินจะนำไปสู่ความสงบสุขในครอบครัวและความมั่นคงทางการเงินอย่างแท้จริง และทำให้ทรัพย์สินนั้นกลายเป็นมรดกที่มีคุณค่าและสมบูรณ์พร้อมที่จะส่งต่อให้กับคนรุ่นถัดไปอย่างราบรื่นและชอบธรรมที่สุด
    บทความกฎหมาย EP.32 ทรัพย์สินมิได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่จับต้องได้หรือมีมูลค่าทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับมิติทางกฎหมายที่ให้ความคุ้มครอง สิทธิ และหน้าที่แก่เจ้าของ การทำความเข้าใจ "ทรัพย์สิน" ในฐานะของแนวคิดทางกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างความมั่นคงและส่งต่อมรดกอย่างเป็นระบบ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยได้ให้นิยามของทรัพย์ไว้ว่าคือวัตถุที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ รวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย ดังนั้นทรัพย์สินจึงแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหมายถึงที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ซึ่งการได้มา จำหน่ายจ่ายโอน หรือการก่อภาระผูกพันใดๆ ย่อมต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากขาดแบบพิธีทางกฎหมายนี้ สิทธินั้นย่อมไม่บริบูรณ์ตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นหลักการที่เข้มงวดเพื่อสร้างความชัดเจนและป้องกันข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินซึ่งมีมูลค่าสูง ในขณะที่สังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์สินอื่นๆ นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ อาจเป็นทรัพย์ที่มีทะเบียน เช่น รถยนต์ ซึ่งการโอนสิทธิก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะนั้นๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีทะเบียน เช่น เงิน เครื่องประดับ หรือทรัพย์สินในชีวิตประจำวัน การซื้อขายหรือการโอนกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์มักมีความยืดหยุ่นทางกฎหมายมากกว่า แต่ก็ยังอยู่ภายใต้หลักการทั่วไปของการทำนิติกรรมสัญญา และที่สำคัญอย่างยิ่งคือทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีมูลค่าทางกฎหมาย เช่น สิทธิเรียกร้องต่างๆ หุ้นในบริษัท สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา อย่างลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า ซึ่งทรัพย์สินประเภทหลังนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคดิจิทัล การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจึงเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางในการดำเนินการตามกฎหมาย ทรัพย์สินทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยกรรมสิทธิ์ เจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิใช้สอย ได้ดอกผล จำหน่าย และทำลายทรัพย์สินของตนเอง รวมไปถึงสิทธิในการติดตามและเอาคืนทรัพย์สินจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ซึ่งถือเป็นหลักการพื้นฐานในการคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคล การจัดการทรัพย์สินจึงต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายเหล่านี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญาซื้อขาย การจำนอง การจำนำ หรือแม้แต่การทำพินัยกรรมเพื่อเตรียมการส่งต่อทรัพย์สินเมื่อเจ้าของถึงแก่ความตาย การจัดการที่ดีจะช่วยให้การส่งมอบมรดกเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความขัดแย้งระหว่างทายาท และสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้รับช่วงต่อไป ในทางปฏิบัติ การทำความเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างถ่องแท้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการบริหารจัดการทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การทำนิติกรรมสัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทุกประเภทจะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีผู้เยาว์หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ การดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจส่งผลให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะหรือเป็นโมฆียะ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายและข้อพิพาททางกฎหมายตามมา การตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารสิทธิ การจดทะเบียนที่ดิน การจัดทำพินัยกรรมที่ถูกต้องตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด ไปจนถึงการจัดตั้งกองมรดกหรือการมอบอำนาจในการจัดการทรัพย์สิน ล้วนเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความระมัดระวังและปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัด การละเลยแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อยในทางกฎหมายก็อาจนำไปสู่การสูญเสียสิทธิหรือการถูกฟ้องร้องได้ นอกจากนี้ กฎหมายยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริต ซึ่งหมายความว่าแม้การได้มาซึ่งทรัพย์สินของบุคคลใดอาจมีข้อบกพร่องทางกฎหมาย แต่ถ้าหากบุคคลภายนอกได้มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน กฎหมายก็อาจให้ความคุ้มครองบุคคลภายนอกนั้นไว้ นี่คือความสมดุลที่กฎหมายสร้างขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจ การศึกษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทรัพย์สินจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องและเพิ่มพูนความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ท้ายที่สุดนี้ ทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ เงินฝาก หรือสิทธิทางปัญญา ล้วนเป็นเสาหลักแห่งความมั่นคงในชีวิต การบริหารจัดการทรัพย์สินจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะกฎหมายคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความชัดเจน ความชอบธรรม และความยุติธรรมให้กับความเป็นเจ้าของ การทำความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ที่มาพร้อมกับทรัพย์สิน การปฏิบัติตามแบบพิธีการทำนิติกรรม การวางแผนภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน และการเตรียมการเรื่องมรดกอย่างรอบคอบ คือรากฐานของการปกป้องทรัพย์สินที่เราสร้างมาด้วยความเพียรพยายาม การมีวินัยทางกฎหมายในการจัดการทรัพย์สินจะนำไปสู่ความสงบสุขในครอบครัวและความมั่นคงทางการเงินอย่างแท้จริง และทำให้ทรัพย์สินนั้นกลายเป็นมรดกที่มีคุณค่าและสมบูรณ์พร้อมที่จะส่งต่อให้กับคนรุ่นถัดไปอย่างราบรื่นและชอบธรรมที่สุด
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.31

    ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม

    ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.31 ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • Intel ปฏิเสธการได้ข้อมูลลับจาก TSMC

    Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารระดับสูงของ TSMC ได้นำข้อมูลเชิงลึกด้านเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงมาให้ Intel หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดย Tan ย้ำว่า “นี่เป็นเพียงข่าวลือและการคาดเดา เราเคารพทรัพย์สินทางปัญญา”

    การสอบสวนของไต้หวัน
    อัยการไต้หวันได้เริ่มการสอบสวนในระดับความมั่นคงแห่งชาติ โดยตรวจสอบว่า Lo อาจนำข้อมูลกระบวนการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16 และ A14 ไปเผยแพร่ให้กับ Intel หรือไม่ รายงานบางฉบับระบุว่า Lo เคยขอเอกสารภายในก่อนลาออกจาก TSMC ซึ่งสร้างความกังวลว่าข้อมูลอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ความแตกต่างด้านเทคโนโลยี
    แม้จะมีข้อสงสัย แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เทคโนโลยีของ Intel (18A และ 14A) แตกต่างจากของ TSMC อย่างมาก ทำให้ข้อมูลที่ Lo อาจนำออกไปไม่สามารถนำมาใช้โดยตรงกับกระบวนการผลิตของ Intel ได้ อย่างมากก็อาจใช้เพื่อการวิเคราะห์เชิงแข่งขันเท่านั้น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    กรณีนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง Intel และ TSMC ในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง การสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตรในอุตสาหกรรม หากพบว่ามีการละเมิดจริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Intel ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการได้ข้อมูลลับจาก TSMC
    ซีอีโอ Lip-Bu Tan ยืนยันว่า “เคารพทรัพย์สินทางปัญญา”

    อัยการไต้หวันสอบสวน Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC
    ตรวจสอบการขอเอกสารภายในเกี่ยวกับเทคโนโลยี N2, A16, A14

    เทคโนโลยี Intel (18A, 14A) แตกต่างจาก TSMC
    ทำให้ข้อมูลที่อาจถูกนำออกมาไม่สามารถใช้ได้โดยตรง

    กรณีนี้สะท้อนการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและทรัพย์สินทางปัญญา
    หากพบการละเมิดจริง อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการลงทุน

    ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของ Intel และ TSMC
    การสอบสวนที่ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อทั้งสองบริษัท

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-ceo-rejects-reports-the-company-is-obtaining-tsmc-secrets-from-former-executive-taiwans-investigation-into-intels-controversial-recent-hire-continues
    🏭 Intel ปฏิเสธการได้ข้อมูลลับจาก TSMC Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารระดับสูงของ TSMC ได้นำข้อมูลเชิงลึกด้านเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงมาให้ Intel หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดย Tan ย้ำว่า “นี่เป็นเพียงข่าวลือและการคาดเดา เราเคารพทรัพย์สินทางปัญญา” 🔎 การสอบสวนของไต้หวัน อัยการไต้หวันได้เริ่มการสอบสวนในระดับความมั่นคงแห่งชาติ โดยตรวจสอบว่า Lo อาจนำข้อมูลกระบวนการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16 และ A14 ไปเผยแพร่ให้กับ Intel หรือไม่ รายงานบางฉบับระบุว่า Lo เคยขอเอกสารภายในก่อนลาออกจาก TSMC ซึ่งสร้างความกังวลว่าข้อมูลอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ⚙️ ความแตกต่างด้านเทคโนโลยี แม้จะมีข้อสงสัย แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เทคโนโลยีของ Intel (18A และ 14A) แตกต่างจากของ TSMC อย่างมาก ทำให้ข้อมูลที่ Lo อาจนำออกไปไม่สามารถนำมาใช้โดยตรงกับกระบวนการผลิตของ Intel ได้ อย่างมากก็อาจใช้เพื่อการวิเคราะห์เชิงแข่งขันเท่านั้น 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ กรณีนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง Intel และ TSMC ในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง การสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตรในอุตสาหกรรม หากพบว่ามีการละเมิดจริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Intel ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการได้ข้อมูลลับจาก TSMC ➡️ ซีอีโอ Lip-Bu Tan ยืนยันว่า “เคารพทรัพย์สินทางปัญญา” ✅ อัยการไต้หวันสอบสวน Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC ➡️ ตรวจสอบการขอเอกสารภายในเกี่ยวกับเทคโนโลยี N2, A16, A14 ✅ เทคโนโลยี Intel (18A, 14A) แตกต่างจาก TSMC ➡️ ทำให้ข้อมูลที่อาจถูกนำออกมาไม่สามารถใช้ได้โดยตรง ✅ กรณีนี้สะท้อนการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและทรัพย์สินทางปัญญา ⛔ หากพบการละเมิดจริง อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการลงทุน ‼️ ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของ Intel และ TSMC ⛔ การสอบสวนที่ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อทั้งสองบริษัท https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-ceo-rejects-reports-the-company-is-obtaining-tsmc-secrets-from-former-executive-taiwans-investigation-into-intels-controversial-recent-hire-continues
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • เนเธอร์แลนด์ระงับคำสั่งควบคุม Nexperia

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ตัดสินใจ ระงับคำสั่งฉุกเฉินที่บังคับควบคุมการดำเนินงานของ Nexperia ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปที่อยู่ภายใต้การถือครองของ Wingtech จากจีน หลังจากการเจรจาระหว่างหลายประเทศ รวมถึงจีน สหภาพยุโรป เยอรมนี และสหรัฐฯ มีความคืบหน้า โดยรัฐบาลระบุว่า Nexperia “ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของซัพพลายเชน” ในช่วงนี้

    ผลกระทบต่อซัพพลายเชนโลก
    ก่อนหน้านี้ การบังคับควบคุมทำให้จีนตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกชิ้นส่วนจากโรงงาน Guangdong ซึ่งกระทบต่อการผลิตชิปที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น Honda และ Volkswagen ต้องปรับการจัดหาชิ้นส่วนทันที การระงับคำสั่งครั้งนี้จึงช่วย ลดแรงกดดันต่อซัพพลายเชนโลก และเป็นสัญญาณว่าความร่วมมือระหว่างจีนและยุโรปอาจกลับมาดีขึ้น

    เงื่อนไขและข้อควรระวัง
    แม้คำสั่งจะถูกระงับ แต่ยังไม่ถูกยกเลิกอย่างถาวร Nexperia ยังต้องรายงานต่อรัฐบาลหากมีการโอนสินทรัพย์หรือทรัพย์สินทางปัญญา ขณะที่จีนมองว่านี่เป็น “ก้าวที่ถูกต้อง” แต่ยังย้ำว่าต้นเหตุของความขัดแย้งยังไม่ถูกแก้ไขทั้งหมด นั่นหมายความว่า ความเสี่ยงด้านการเมืองและการค้า ยังคงอยู่

    ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์
    กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้โลกจะจับตามองชิปประสิทธิภาพสูง แต่ ชิปที่ใช้ในยานยนต์และระบบพื้นฐานก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยสามารถสร้างผลกระทบใหญ่ต่อการผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การผ่อนคลายข้อจำกัดครั้งนี้จึงถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การระงับคำสั่งควบคุม Nexperia
    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์คืนสิทธิการดำเนินงานให้กับ Wingtech จากจีน

    ผลกระทบต่อซัพพลายเชน
    จีนผ่อนคลายการส่งออกจาก Guangdong
    Honda และ Volkswagen ได้รับผลกระทบก่อนหน้านี้

    เงื่อนไขที่ยังคงอยู่
    Nexperia ต้องรายงานการโอนสินทรัพย์หรือ IP ต่อรัฐบาล
    จีนยังมองว่าต้นเหตุความขัดแย้งยังไม่ถูกแก้ไข

    ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์
    ชิปพื้นฐานมีผลต่อการผลิตรถยนต์อย่างมาก

    คำเตือนสำหรับอนาคต
    ความเสี่ยงทางการเมืองและการค้าอาจกลับมาอีก
    คำสั่งถูก “ระงับ” ไม่ใช่ “ยกเลิกถาวร”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/netherlands-suspends-nexperia-takeover-order-as-china-eases-export-curbs
    🇳🇱 เนเธอร์แลนด์ระงับคำสั่งควบคุม Nexperia รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ตัดสินใจ ระงับคำสั่งฉุกเฉินที่บังคับควบคุมการดำเนินงานของ Nexperia ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปที่อยู่ภายใต้การถือครองของ Wingtech จากจีน หลังจากการเจรจาระหว่างหลายประเทศ รวมถึงจีน สหภาพยุโรป เยอรมนี และสหรัฐฯ มีความคืบหน้า โดยรัฐบาลระบุว่า Nexperia “ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของซัพพลายเชน” ในช่วงนี้ 🌏 ผลกระทบต่อซัพพลายเชนโลก ก่อนหน้านี้ การบังคับควบคุมทำให้จีนตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกชิ้นส่วนจากโรงงาน Guangdong ซึ่งกระทบต่อการผลิตชิปที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น Honda และ Volkswagen ต้องปรับการจัดหาชิ้นส่วนทันที การระงับคำสั่งครั้งนี้จึงช่วย ลดแรงกดดันต่อซัพพลายเชนโลก และเป็นสัญญาณว่าความร่วมมือระหว่างจีนและยุโรปอาจกลับมาดีขึ้น ⚖️ เงื่อนไขและข้อควรระวัง แม้คำสั่งจะถูกระงับ แต่ยังไม่ถูกยกเลิกอย่างถาวร Nexperia ยังต้องรายงานต่อรัฐบาลหากมีการโอนสินทรัพย์หรือทรัพย์สินทางปัญญา ขณะที่จีนมองว่านี่เป็น “ก้าวที่ถูกต้อง” แต่ยังย้ำว่าต้นเหตุของความขัดแย้งยังไม่ถูกแก้ไขทั้งหมด นั่นหมายความว่า ความเสี่ยงด้านการเมืองและการค้า ยังคงอยู่ 🚗 ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้โลกจะจับตามองชิปประสิทธิภาพสูง แต่ ชิปที่ใช้ในยานยนต์และระบบพื้นฐานก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยสามารถสร้างผลกระทบใหญ่ต่อการผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การผ่อนคลายข้อจำกัดครั้งนี้จึงถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การระงับคำสั่งควบคุม Nexperia ➡️ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์คืนสิทธิการดำเนินงานให้กับ Wingtech จากจีน ✅ ผลกระทบต่อซัพพลายเชน ➡️ จีนผ่อนคลายการส่งออกจาก Guangdong ➡️ Honda และ Volkswagen ได้รับผลกระทบก่อนหน้านี้ ✅ เงื่อนไขที่ยังคงอยู่ ➡️ Nexperia ต้องรายงานการโอนสินทรัพย์หรือ IP ต่อรัฐบาล ➡️ จีนยังมองว่าต้นเหตุความขัดแย้งยังไม่ถูกแก้ไข ✅ ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ ➡️ ชิปพื้นฐานมีผลต่อการผลิตรถยนต์อย่างมาก ‼️ คำเตือนสำหรับอนาคต ⛔ ความเสี่ยงทางการเมืองและการค้าอาจกลับมาอีก ⛔ คำสั่งถูก “ระงับ” ไม่ใช่ “ยกเลิกถาวร” https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/netherlands-suspends-nexperia-takeover-order-as-china-eases-export-curbs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Netherlands suspends Nexperia takeover order as China eases export curbs — de-escalation could be welcome break for automotive industry
    The Hague hands operational control back to Wingtech-owned chipmaker after talks with Beijing, but warns powers could return if supplies falter.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • UNC1549 ขยายการโจมตีสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ

    ตั้งแต่กลางปี 2024 กลุ่ม UNC1549 ได้เพิ่มการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทด้านการบินและอวกาศ รวมถึงผู้รับเหมาด้านกลาโหม โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อน เช่น การเจาะผ่านซัพพลายเชน และ การส่ง spear-phishing แบบเจาะจงบุคคล เพื่อเข้าถึงระบบที่มีการป้องกันสูง

    เทคนิคที่ใช้: DLL Hijacking และ VDI Breakouts
    UNC1549 ใช้ DLL search order hijacking เพื่อรันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Citrix, VMware และ Microsoft นอกจากนี้ยังใช้ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัดของระบบ virtualization เช่น Citrix Virtual Desktop และ Azure Virtual Desktop ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบได้อย่างลับๆ

    มัลแวร์เฉพาะทางที่ถูกพัฒนา
    นักวิจัยพบมัลแวร์หลายตัวที่ UNC1549 ใช้ เช่น TWOSTROKE, MINIBIKE, DEEPROOT, LIGHTRAIL, CRASHPAD, SIGHTGRAB โดยแต่ละตัวมีความสามารถเฉพาะ เช่น การขโมย credential, การจับภาพหน้าจอ, การสร้าง backdoor ผ่าน Azure WebSocket และการใช้ Golang เพื่อสร้าง backdoor บน Linux จุดเด่นคือ ทุก payload มี hash ที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ยากขึ้นมาก

    ความเสี่ยงและผลกระทบ
    การโจมตีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาซัพพลายเชนและซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เพราะแม้ระบบหลักจะมีการป้องกันเข้มงวด แต่การเจาะผ่านพันธมิตรหรือผู้รับเหมาที่เชื่อมต่อกับระบบก็สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น เอกสารด้าน IT, ทรัพย์สินทางปัญญา และอีเมลภายในองค์กร

    สรุปสาระสำคัญ
    การโจมตีของ UNC1549
    มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการบิน, อวกาศ และกลาโหม
    ใช้ spear-phishing และการเจาะผ่านซัพพลายเชน

    เทคนิคที่ใช้
    DLL Hijacking บนซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ (Citrix, VMware, Microsoft)
    VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัด virtualization

    มัลแวร์ที่พบ
    TWOSTROKE: backdoor ที่เข้ารหัส SSL
    LIGHTRAIL: tunneler ผ่าน Azure WebSocket
    DEEPROOT: Golang backdoor บน Linux
    CRASHPAD และ SIGHTGRAB: ขโมย credential และจับภาพหน้าจอ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    การพึ่งพาซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับระบบหลักเป็นช่องโหว่สำคัญ
    Payload ที่มี hash ไม่ซ้ำกันทำให้การตรวจสอบยากขึ้น
    องค์กรควรเสริมการตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้และระบบ virtualization

    https://securityonline.info/iranian-apt-unc1549-infiltrates-aerospace-by-hijacking-trusted-dlls-and-executing-vdi-breakouts/
    ✈️ UNC1549 ขยายการโจมตีสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ตั้งแต่กลางปี 2024 กลุ่ม UNC1549 ได้เพิ่มการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทด้านการบินและอวกาศ รวมถึงผู้รับเหมาด้านกลาโหม โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อน เช่น การเจาะผ่านซัพพลายเชน และ การส่ง spear-phishing แบบเจาะจงบุคคล เพื่อเข้าถึงระบบที่มีการป้องกันสูง 🛠️ เทคนิคที่ใช้: DLL Hijacking และ VDI Breakouts UNC1549 ใช้ DLL search order hijacking เพื่อรันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Citrix, VMware และ Microsoft นอกจากนี้ยังใช้ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัดของระบบ virtualization เช่น Citrix Virtual Desktop และ Azure Virtual Desktop ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบได้อย่างลับๆ 🧩 มัลแวร์เฉพาะทางที่ถูกพัฒนา นักวิจัยพบมัลแวร์หลายตัวที่ UNC1549 ใช้ เช่น TWOSTROKE, MINIBIKE, DEEPROOT, LIGHTRAIL, CRASHPAD, SIGHTGRAB โดยแต่ละตัวมีความสามารถเฉพาะ เช่น การขโมย credential, การจับภาพหน้าจอ, การสร้าง backdoor ผ่าน Azure WebSocket และการใช้ Golang เพื่อสร้าง backdoor บน Linux จุดเด่นคือ ทุก payload มี hash ที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ยากขึ้นมาก ⚠️ ความเสี่ยงและผลกระทบ การโจมตีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาซัพพลายเชนและซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เพราะแม้ระบบหลักจะมีการป้องกันเข้มงวด แต่การเจาะผ่านพันธมิตรหรือผู้รับเหมาที่เชื่อมต่อกับระบบก็สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น เอกสารด้าน IT, ทรัพย์สินทางปัญญา และอีเมลภายในองค์กร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การโจมตีของ UNC1549 ➡️ มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการบิน, อวกาศ และกลาโหม ➡️ ใช้ spear-phishing และการเจาะผ่านซัพพลายเชน ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ DLL Hijacking บนซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ (Citrix, VMware, Microsoft) ➡️ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัด virtualization ✅ มัลแวร์ที่พบ ➡️ TWOSTROKE: backdoor ที่เข้ารหัส SSL ➡️ LIGHTRAIL: tunneler ผ่าน Azure WebSocket ➡️ DEEPROOT: Golang backdoor บน Linux ➡️ CRASHPAD และ SIGHTGRAB: ขโมย credential และจับภาพหน้าจอ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ การพึ่งพาซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับระบบหลักเป็นช่องโหว่สำคัญ ⛔ Payload ที่มี hash ไม่ซ้ำกันทำให้การตรวจสอบยากขึ้น ⛔ องค์กรควรเสริมการตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้และระบบ virtualization https://securityonline.info/iranian-apt-unc1549-infiltrates-aerospace-by-hijacking-trusted-dlls-and-executing-vdi-breakouts/
    SECURITYONLINE.INFO
    Iranian APT UNC1549 Infiltrates Aerospace by Hijacking Trusted DLLs and Executing VDI Breakouts
    Mandiant exposed UNC1549, an Iranian APT, using DLL search order hijacking on Citrix/VMware to deploy TWOSTROKE and DCSYNCER.SLICK. The group performs VDI breakouts for long-term espionage.
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • “Lazarus ปล่อย Comebacker Backdoor เวอร์ชันใหม่ เจาะอุตสาหกรรมการบิน-กลาโหมด้วย ChaCha20”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ตรวจพบการโจมตีล่าสุดจากกลุ่ม Lazarus ซึ่งมุ่งเป้าไปยังองค์กรด้านอวกาศและกลาโหม โดยใช้มัลแวร์ backdoor ที่เรียกว่า “Comebacker” เวอร์ชันใหม่ ซึ่งมีการเข้ารหัสข้อมูลด้วยอัลกอริธึม ChaCha20 เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับและเพิ่มความปลอดภัยในการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2)

    มัลแวร์ Comebacker ถูกออกแบบมาให้สามารถสื่อสารแบบเข้ารหัสกับ C2, ดาวน์โหลดคำสั่งเพิ่มเติม และขโมยข้อมูลจากระบบเป้าหมาย โดยใช้เทคนิคการพรางตัว เช่น การฝังโค้ดในไฟล์ DLL และการใช้ชื่อไฟล์ที่ดูเหมือนไฟล์ระบบปกติ

    กลุ่ม Lazarus และเป้าหมายการโจมตี
    กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ
    มุ่งเป้าไปยังองค์กรด้านอวกาศและกลาโหมในหลายประเทศ
    มีประวัติการโจมตีที่เกี่ยวข้องกับการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลลับ

    คุณสมบัติของ Comebacker Backdoor เวอร์ชันใหม่
    ใช้การเข้ารหัส ChaCha20 เพื่อปกปิดการสื่อสารกับ C2
    รองรับการดาวน์โหลด payload เพิ่มเติมและการสั่งงานจากระยะไกล
    ฝังตัวใน DLL และใช้ชื่อไฟล์ที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย

    เทคนิคการหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้การโหลดแบบ dynamic และ reflective DLL injection
    ใช้ชื่อฟังก์ชันและพารามิเตอร์ที่คลุมเครือ
    ซ่อนการทำงานผ่านการตรวจสอบสิทธิ์และการตรวจสภาพแวดล้อม

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    องค์กรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การบินและกลาโหม เป็นเป้าหมายหลัก
    การเข้ารหัสแบบ ChaCha20 ทำให้การวิเคราะห์ traffic ยากขึ้น
    การฝังตัวใน DLL และใช้ชื่อไฟล์ปลอมทำให้ยากต่อการตรวจจับด้วย antivirus ทั่วไป

    https://securityonline.info/lazarus-group-attacks-aerospace-defense-with-new-chacha20-encrypted-comebacker-backdoor/
    🚀 “Lazarus ปล่อย Comebacker Backdoor เวอร์ชันใหม่ เจาะอุตสาหกรรมการบิน-กลาโหมด้วย ChaCha20” นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ตรวจพบการโจมตีล่าสุดจากกลุ่ม Lazarus ซึ่งมุ่งเป้าไปยังองค์กรด้านอวกาศและกลาโหม โดยใช้มัลแวร์ backdoor ที่เรียกว่า “Comebacker” เวอร์ชันใหม่ ซึ่งมีการเข้ารหัสข้อมูลด้วยอัลกอริธึม ChaCha20 เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับและเพิ่มความปลอดภัยในการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) มัลแวร์ Comebacker ถูกออกแบบมาให้สามารถสื่อสารแบบเข้ารหัสกับ C2, ดาวน์โหลดคำสั่งเพิ่มเติม และขโมยข้อมูลจากระบบเป้าหมาย โดยใช้เทคนิคการพรางตัว เช่น การฝังโค้ดในไฟล์ DLL และการใช้ชื่อไฟล์ที่ดูเหมือนไฟล์ระบบปกติ ✅ กลุ่ม Lazarus และเป้าหมายการโจมตี ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ ➡️ มุ่งเป้าไปยังองค์กรด้านอวกาศและกลาโหมในหลายประเทศ ➡️ มีประวัติการโจมตีที่เกี่ยวข้องกับการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลลับ ✅ คุณสมบัติของ Comebacker Backdoor เวอร์ชันใหม่ ➡️ ใช้การเข้ารหัส ChaCha20 เพื่อปกปิดการสื่อสารกับ C2 ➡️ รองรับการดาวน์โหลด payload เพิ่มเติมและการสั่งงานจากระยะไกล ➡️ ฝังตัวใน DLL และใช้ชื่อไฟล์ที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย ✅ เทคนิคการหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้การโหลดแบบ dynamic และ reflective DLL injection ➡️ ใช้ชื่อฟังก์ชันและพารามิเตอร์ที่คลุมเครือ ➡️ ซ่อนการทำงานผ่านการตรวจสอบสิทธิ์และการตรวจสภาพแวดล้อม ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การบินและกลาโหม เป็นเป้าหมายหลัก ⛔ การเข้ารหัสแบบ ChaCha20 ทำให้การวิเคราะห์ traffic ยากขึ้น ⛔ การฝังตัวใน DLL และใช้ชื่อไฟล์ปลอมทำให้ยากต่อการตรวจจับด้วย antivirus ทั่วไป https://securityonline.info/lazarus-group-attacks-aerospace-defense-with-new-chacha20-encrypted-comebacker-backdoor/
    SECURITYONLINE.INFO
    Lazarus Group Attacks Aerospace/Defense with New ChaCha20-Encrypted Comebacker Backdoor
    ENKI exposed a Lazarus Group espionage campaign targeting aerospace/defense firms. The new Comebacker variant uses malicious Word macros and ChaCha20/AES to deliver a memory-resident backdoor.
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: Adeia ฟ้อง AMD ฐานละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์

    บริษัท Adeia Inc. ได้ยื่นฟ้อง AMD ต่อศาลแขวงสหรัฐฯ เขตตะวันตกของรัฐเท็กซัส โดยกล่าวหาว่า AMD ละเมิดสิทธิบัตร 10 ฉบับในพอร์ตโฟลิโอของตน ซึ่งครอบคลุมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ hybrid bonding และกระบวนการผลิตระดับสูง (advanced process node) โดย Adeia อ้างว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของ AMD ในฐานะผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์

    Adeia กล่าวหาว่า AMD ใช้เทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต
    7 สิทธิบัตรเกี่ยวกับ hybrid bonding
    3 สิทธิบัตรเกี่ยวกับ advanced process node

    ความพยายามเจรจาก่อนฟ้องไม่เป็นผล
    Adeia ระบุว่าได้พยายามหาทางตกลงกับ AMD มานานหลายปี
    การฟ้องร้องจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายเพื่อปกป้องสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา

    Adeia มีพอร์ตสิทธิบัตรขนาดใหญ่
    มากกว่า 13,000 สิทธิบัตรทั่วโลก
    ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสื่อและเซมิคอนดักเตอร์

    คดีนี้ยื่นฟ้องในรัฐเท็กซัส
    เป็นเขตที่ขึ้นชื่อว่ามีแนวโน้มตัดสินเข้าข้างโจทก์ในคดีสิทธิบัตร
    AMD มีสำนักงานในรัฐนี้ จึงอยู่ในเขตอำนาจศาล

    https://www.techpowerup.com/342575/adeia-initiates-patent-infringement-litigation-against-amd
    ⚖️ หัวข้อข่าว: Adeia ฟ้อง AMD ฐานละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ บริษัท Adeia Inc. ได้ยื่นฟ้อง AMD ต่อศาลแขวงสหรัฐฯ เขตตะวันตกของรัฐเท็กซัส โดยกล่าวหาว่า AMD ละเมิดสิทธิบัตร 10 ฉบับในพอร์ตโฟลิโอของตน ซึ่งครอบคลุมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ hybrid bonding และกระบวนการผลิตระดับสูง (advanced process node) โดย Adeia อ้างว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของ AMD ในฐานะผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ✅ Adeia กล่าวหาว่า AMD ใช้เทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ 7 สิทธิบัตรเกี่ยวกับ hybrid bonding ➡️ 3 สิทธิบัตรเกี่ยวกับ advanced process node ✅ ความพยายามเจรจาก่อนฟ้องไม่เป็นผล ➡️ Adeia ระบุว่าได้พยายามหาทางตกลงกับ AMD มานานหลายปี ➡️ การฟ้องร้องจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายเพื่อปกป้องสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา ✅ Adeia มีพอร์ตสิทธิบัตรขนาดใหญ่ ➡️ มากกว่า 13,000 สิทธิบัตรทั่วโลก ➡️ ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสื่อและเซมิคอนดักเตอร์ ✅ คดีนี้ยื่นฟ้องในรัฐเท็กซัส ➡️ เป็นเขตที่ขึ้นชื่อว่ามีแนวโน้มตัดสินเข้าข้างโจทก์ในคดีสิทธิบัตร ➡️ AMD มีสำนักงานในรัฐนี้ จึงอยู่ในเขตอำนาจศาล https://www.techpowerup.com/342575/adeia-initiates-patent-infringement-litigation-against-amd
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Adeia Initiates Patent Infringement Litigation Against AMD
    Adeia Inc., the technology company known for developing foundational innovations in the semiconductor industry, announced today that it has filed patent infringement lawsuits against Advanced Micro Devices, Inc. (AMD) in the U.S. District Court for the Western District of Texas. "Earlier today, A...
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • “Sailfish OS” ระบบปฏิบัติการมือถือสายอิสระที่ยังยืนหยัด

    หากคุณเคยได้ยินชื่อ Nokia N9 หรือ MeeGo มาก่อน คุณอาจไม่รู้ว่ามีระบบปฏิบัติการหนึ่งที่สืบทอดเจตนารมณ์ของความเปิดกว้างและอิสระจากยุคนั้น นั่นคือ Sailfish OS ซึ่งยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยทีมงาน Jolla จากฟินแลนด์ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนทั่วโลก

    Sailfish OS ไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการมือถือทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นจาก Linux แบบคลาสสิก ใช้ Qt และ Wayland เป็นแกนหลัก พร้อม UI ที่ออกแบบด้วย QML และ Sailfish Silica ซึ่งทำให้สามารถสร้างแอปที่ลื่นไหลและตอบสนองได้ดี นอกจากนี้ยังรองรับแอป Android ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ระบบนี้มีจุดเด่นคือ “อิสระจากบริษัทยักษ์ใหญ่” เพราะไม่มีพันธะกับ Google หรือ Apple และมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการระบบที่ปลอดภัยและควบคุมได้เอง

    Sailfish OS คือทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการระบบมือถือที่ “ไม่ตามกระแส” แต่ “ควบคุมได้เอง” และยังคงยืนหยัดในโลกที่เต็มไปด้วยระบบปิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่

    จุดกำเนิดของ Sailfish OS มาจาก MeeGo ของ Nokia และ Intel
    MeeGo เคยเป็นระบบเปิดที่ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนถูกยกเลิก

    ทีมงานเดิมของ MeeGo ก่อตั้งบริษัท Jolla เพื่อสานต่อโครงการ
    เปิดตัว Sailfish OS รุ่นเบต้าในปี 2013 พร้อม Jolla smartphone

    Sailfish OS รองรับแอป Android ได้ดี
    ใช้ไลบรารีของ Android เพื่อให้ทำงานได้ใกล้เคียง native

    มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงรุ่น Sailfish 4
    รองรับการใช้งานในองค์กรและภาครัฐ พร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย

    สร้าง UI ด้วย QML และ Sailfish Silica
    ทำให้สามารถสร้างแอปที่ตอบสนองดีและมีเอกลักษณ์

    เป็นระบบเปิดที่ไม่มีพันธะกับบริษัทใหญ่
    มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ

    เหมาะกับองค์กรและผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
    มีความปลอดภัยสูงและสามารถควบคุมระบบได้เอง

    ไม่ใช่ระบบที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปทุกคน
    ต้องการความเข้าใจด้านเทคนิคในการติดตั้งและใช้งาน

    แอปจาก Android อาจไม่ทำงานได้ 100%
    แม้รองรับ Android แต่บางแอปอาจมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้

    https://sailfishos.org/info/
    📱 “Sailfish OS” ระบบปฏิบัติการมือถือสายอิสระที่ยังยืนหยัด หากคุณเคยได้ยินชื่อ Nokia N9 หรือ MeeGo มาก่อน คุณอาจไม่รู้ว่ามีระบบปฏิบัติการหนึ่งที่สืบทอดเจตนารมณ์ของความเปิดกว้างและอิสระจากยุคนั้น นั่นคือ Sailfish OS ซึ่งยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยทีมงาน Jolla จากฟินแลนด์ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนทั่วโลก Sailfish OS ไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการมือถือทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นจาก Linux แบบคลาสสิก ใช้ Qt และ Wayland เป็นแกนหลัก พร้อม UI ที่ออกแบบด้วย QML และ Sailfish Silica ซึ่งทำให้สามารถสร้างแอปที่ลื่นไหลและตอบสนองได้ดี นอกจากนี้ยังรองรับแอป Android ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบนี้มีจุดเด่นคือ “อิสระจากบริษัทยักษ์ใหญ่” เพราะไม่มีพันธะกับ Google หรือ Apple และมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการระบบที่ปลอดภัยและควบคุมได้เอง Sailfish OS คือทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการระบบมือถือที่ “ไม่ตามกระแส” แต่ “ควบคุมได้เอง” และยังคงยืนหยัดในโลกที่เต็มไปด้วยระบบปิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่ 🛡️ ✅ จุดกำเนิดของ Sailfish OS มาจาก MeeGo ของ Nokia และ Intel ➡️ MeeGo เคยเป็นระบบเปิดที่ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนถูกยกเลิก ✅ ทีมงานเดิมของ MeeGo ก่อตั้งบริษัท Jolla เพื่อสานต่อโครงการ ➡️ เปิดตัว Sailfish OS รุ่นเบต้าในปี 2013 พร้อม Jolla smartphone ✅ Sailfish OS รองรับแอป Android ได้ดี ➡️ ใช้ไลบรารีของ Android เพื่อให้ทำงานได้ใกล้เคียง native ✅ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงรุ่น Sailfish 4 ➡️ รองรับการใช้งานในองค์กรและภาครัฐ พร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย ✅ สร้าง UI ด้วย QML และ Sailfish Silica ➡️ ทำให้สามารถสร้างแอปที่ตอบสนองดีและมีเอกลักษณ์ ✅ เป็นระบบเปิดที่ไม่มีพันธะกับบริษัทใหญ่ ➡️ มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ ✅ เหมาะกับองค์กรและผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ➡️ มีความปลอดภัยสูงและสามารถควบคุมระบบได้เอง ‼️ ไม่ใช่ระบบที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปทุกคน ⛔ ต้องการความเข้าใจด้านเทคนิคในการติดตั้งและใช้งาน ‼️ แอปจาก Android อาจไม่ทำงานได้ 100% ⛔ แม้รองรับ Android แต่บางแอปอาจมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ https://sailfishos.org/info/
    SAILFISHOS.ORG
    Info - Sailfish OS
    [et_pb_section fb_built=”1″ fullwidth=”on” _builder_version=”3.22″ background_image=”https://sailfishos.org/content/uploads/2018/10/Ambience_Hero_mainpage-1.jpg” da_is_popup=”off” da_exit_intent=”off” da_has_close=”on” da_alt_close=”off” da_dark_close=”off” da_not_modal=”on” da_is_singular=”off” da_with_loader=”off” da_has_shadow=”on” da_disable_devices=”off|off|off”][et_pb_fullwidth_header title=”Info” text_orientation=”center” background_overlay_color=”rgba(0,0,0,0)” admin_label=”Page title & ingress” module_class=”page-title-content” _builder_version=”3.17.6″ background_color=”rgba(126,190,197,0)” animation_style=”fade” animation_speed_curve=”ease-out” saved_tabs=”all” collapsed=”off”][/et_pb_fullwidth_header][/et_pb_section][et_pb_section fb_built=”1″ custom_padding_last_edited=”on|desktop” module_class=”section” _builder_version=”3.22″ custom_padding_tablet=”” custom_padding_phone=”” da_is_popup=”off” da_exit_intent=”off” da_has_close=”on” da_alt_close=”off” da_dark_close=”off” da_not_modal=”on” da_is_singular=”off” da_with_loader=”off” da_has_shadow=”on” da_disable_devices=”off|off|off”][et_pb_row module_class=”row-960″ _builder_version=”3.25″][et_pb_column type=”4_4″ _builder_version=”3.25″ custom_padding=”|||” custom_padding__hover=”|||”][et_pb_text admin_label=”Sailfish OS history” _builder_version=”3.27.4″ […]
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์

    บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์

    YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน”

    ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์

    บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์

    นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก
    ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย
    วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก

    การตอบโต้จากบริษัทล็อก
    ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
    กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด
    กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส
    การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ
    การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น

    คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
    การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
    ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์
    การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า


    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    🔒 บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์ บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์ YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน” ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก ➡️ ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย ➡️ วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก ✅ การตอบโต้จากบริษัทล็อก ➡️ ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด ➡️ กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์ ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส ➡️ การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ ➡️ การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น ‼️ คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ⛔ การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี ⛔ ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ⛔ การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    ARSTECHNICA.COM
    10M people watched a YouTuber shim a lock; the lock company sued him. Bad idea.
    It’s still legal to pick locks, even when you swing your legs.
    0 Comments 0 Shares 265 Views 0 Reviews
  • “ASUSTOR NAS พร้อมรับมือยุคควอนตัม” — อัปเกรดระบบเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography

    ASUSTOR ประกาศว่า NAS OS รุ่นล่าสุด ADM 5.1 ได้รับการอัปเกรดให้รองรับเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก NIST สหรัฐฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากการถอดรหัสด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต

    ระบบใหม่ใช้ Hybrid TLS ที่ผสานการเข้ารหัสแบบ X25519 กับ ML-KEM 768 (Kyber) เพื่อป้องกันข้อมูลทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม หากใช้เบราว์เซอร์ที่รองรับ TLS 1.3 และ PQC ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ

    การอัปเกรดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ซึ่งเป็นการดักจับข้อมูลเข้ารหัสไว้ก่อน แล้วรอให้เทคโนโลยีถอดรหัสพัฒนาจนสามารถเจาะข้อมูลได้ในอนาคต เช่น ข้อมูลสำรองระยะยาว, เอกสารลับ, ทรัพย์สินทางปัญญา, ข้อมูลการแพทย์และการเงิน

    ADM 5.1 จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน และจะเปิดใช้งาน PQC โดยอัตโนมัติเมื่อเบราว์เซอร์รองรับ โดยเบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73

    ข้อมูลในข่าว
    ASUSTOR อัปเกรด NAS OS ADM 5.1 ให้รองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC)
    ใช้มาตรฐานจาก NIST สหรัฐฯ เช่น ML-KEM 768 (Kyber)
    ใช้ Hybrid TLS ที่ผสาน X25519 กับ Kyber เพื่อความปลอดภัยสองชั้น
    ป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later”
    ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม หากเบราว์เซอร์รองรับ TLS 1.3 และ PQC
    ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ
    ADM จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็น
    เบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73
    เหมาะกับการปกป้องข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารลับและข้อมูลสำรอง

    https://www.techpowerup.com/341960/asustor-nas-devices-now-pqc-ready
    🔐 “ASUSTOR NAS พร้อมรับมือยุคควอนตัม” — อัปเกรดระบบเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography ASUSTOR ประกาศว่า NAS OS รุ่นล่าสุด ADM 5.1 ได้รับการอัปเกรดให้รองรับเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก NIST สหรัฐฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากการถอดรหัสด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต ระบบใหม่ใช้ Hybrid TLS ที่ผสานการเข้ารหัสแบบ X25519 กับ ML-KEM 768 (Kyber) เพื่อป้องกันข้อมูลทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม หากใช้เบราว์เซอร์ที่รองรับ TLS 1.3 และ PQC ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ การอัปเกรดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ซึ่งเป็นการดักจับข้อมูลเข้ารหัสไว้ก่อน แล้วรอให้เทคโนโลยีถอดรหัสพัฒนาจนสามารถเจาะข้อมูลได้ในอนาคต เช่น ข้อมูลสำรองระยะยาว, เอกสารลับ, ทรัพย์สินทางปัญญา, ข้อมูลการแพทย์และการเงิน ADM 5.1 จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน และจะเปิดใช้งาน PQC โดยอัตโนมัติเมื่อเบราว์เซอร์รองรับ โดยเบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ASUSTOR อัปเกรด NAS OS ADM 5.1 ให้รองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC) ➡️ ใช้มาตรฐานจาก NIST สหรัฐฯ เช่น ML-KEM 768 (Kyber) ➡️ ใช้ Hybrid TLS ที่ผสาน X25519 กับ Kyber เพื่อความปลอดภัยสองชั้น ➡️ ป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม หากเบราว์เซอร์รองรับ TLS 1.3 และ PQC ➡️ ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ ➡️ ADM จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็น ➡️ เบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73 ➡️ เหมาะกับการปกป้องข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารลับและข้อมูลสำรอง https://www.techpowerup.com/341960/asustor-nas-devices-now-pqc-ready
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    ASUSTOR NAS Devices Now PQC Ready
    Facing the arrival of the quantum computing era and the potential risks to traditional encryption algorithms, ASUSTOR Inc. has announced that its NAS operating system, ADM 5.1, will fully adopt post-quantum cryptography (PQC) technology approved by the US National Institute of Standards and Technolo...
    0 Comments 0 Shares 311 Views 0 Reviews
  • “ญี่ปุ่นเตือน OpenAI เรื่อง Sora 2” — หวั่นละเมิดลิขสิทธิ์อนิเมะและมังงะที่ถือเป็น ‘สมบัติวัฒนธรรมที่ไม่อาจทดแทนได้’

    รัฐบาลญี่ปุ่น โดยรัฐมนตรี Minoru Kōno ได้ออกแถลงการณ์เตือน OpenAI อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความกังวลด้านลิขสิทธิ์ หลังจากการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Sora 2 ซึ่งเป็นระบบสร้างวิดีโอ AI ที่สามารถผลิตคลิป 1080p พร้อมเสียงได้ภายใน 20 วินาที

    ญี่ปุ่นระบุว่า อนิเมะและมังงะเป็น “อัญมณีทางวัฒนธรรมที่ไม่อาจทดแทนได้” และการที่ผู้ใช้ Sora 2 นำเนื้อหาจากแฟรนไชส์ดังอย่าง Dragon Ball หรือ Pokémon ไปสร้างวิดีโอโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์อย่างร้ายแรง

    แม้ญี่ปุ่นจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งเสริม AI อย่างแข็งขัน แต่ก็พยายามสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดยมีการออกกฎหมาย AI Promotion Act และแนวทางปฏิบัติด้านลิขสิทธิ์

    ในเบื้องต้น OpenAI ได้ติดต่อพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อเสนอให้ “opt-out” จากการใช้ข้อมูลของพวกเขาในการฝึกโมเดล Sora 2 แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าบริษัทญี่ปุ่นใดตอบรับหรือปฏิเสธ

    นักการเมืองญี่ปุ่นอย่าง Akihisa Shiozaki ยังกล่าวว่า “ญี่ปุ่นมีหน้าที่เป็นผู้นำในการถกเถียงระดับโลกเรื่อง AI และลิขสิทธิ์ เพราะเราเป็นประเทศที่สร้างอนิเมะ เกม และดนตรี”

    ข้อมูลในข่าว
    ญี่ปุ่นเตือน OpenAI เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านแพลตฟอร์ม Sora 2
    Sora 2 สามารถสร้างวิดีโอ 1080p พร้อมเสียงได้ภายใน 20 วินาที
    ผู้ใช้บางรายนำเนื้อหาจาก Dragon Ball และ Pokémon ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
    ญี่ปุ่นมองว่าอนิเมะและมังงะเป็น “สมบัติวัฒนธรรมที่ไม่อาจทดแทนได้”
    รัฐบาลญี่ปุ่นมี AI Promotion Act และแนวทางด้านลิขสิทธิ์
    OpenAI เสนอให้พันธมิตร opt-out จากการใช้ข้อมูลในการฝึกโมเดล
    ยังไม่ชัดเจนว่าบริษัทญี่ปุ่นใดตอบรับหรือปฏิเสธ
    Akihisa Shiozaki ระบุว่าญี่ปุ่นควรเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐาน AI และลิขสิทธิ์

    https://securityonline.info/japan-warns-openai-over-sora-2-copyright-infringement-of-irreplaceable-anime-and-manga/
    🎌 “ญี่ปุ่นเตือน OpenAI เรื่อง Sora 2” — หวั่นละเมิดลิขสิทธิ์อนิเมะและมังงะที่ถือเป็น ‘สมบัติวัฒนธรรมที่ไม่อาจทดแทนได้’ รัฐบาลญี่ปุ่น โดยรัฐมนตรี Minoru Kōno ได้ออกแถลงการณ์เตือน OpenAI อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความกังวลด้านลิขสิทธิ์ หลังจากการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Sora 2 ซึ่งเป็นระบบสร้างวิดีโอ AI ที่สามารถผลิตคลิป 1080p พร้อมเสียงได้ภายใน 20 วินาที ญี่ปุ่นระบุว่า อนิเมะและมังงะเป็น “อัญมณีทางวัฒนธรรมที่ไม่อาจทดแทนได้” และการที่ผู้ใช้ Sora 2 นำเนื้อหาจากแฟรนไชส์ดังอย่าง Dragon Ball หรือ Pokémon ไปสร้างวิดีโอโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์อย่างร้ายแรง แม้ญี่ปุ่นจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งเสริม AI อย่างแข็งขัน แต่ก็พยายามสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดยมีการออกกฎหมาย AI Promotion Act และแนวทางปฏิบัติด้านลิขสิทธิ์ ในเบื้องต้น OpenAI ได้ติดต่อพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อเสนอให้ “opt-out” จากการใช้ข้อมูลของพวกเขาในการฝึกโมเดล Sora 2 แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าบริษัทญี่ปุ่นใดตอบรับหรือปฏิเสธ นักการเมืองญี่ปุ่นอย่าง Akihisa Shiozaki ยังกล่าวว่า “ญี่ปุ่นมีหน้าที่เป็นผู้นำในการถกเถียงระดับโลกเรื่อง AI และลิขสิทธิ์ เพราะเราเป็นประเทศที่สร้างอนิเมะ เกม และดนตรี” ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ญี่ปุ่นเตือน OpenAI เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านแพลตฟอร์ม Sora 2 ➡️ Sora 2 สามารถสร้างวิดีโอ 1080p พร้อมเสียงได้ภายใน 20 วินาที ➡️ ผู้ใช้บางรายนำเนื้อหาจาก Dragon Ball และ Pokémon ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ ญี่ปุ่นมองว่าอนิเมะและมังงะเป็น “สมบัติวัฒนธรรมที่ไม่อาจทดแทนได้” ➡️ รัฐบาลญี่ปุ่นมี AI Promotion Act และแนวทางด้านลิขสิทธิ์ ➡️ OpenAI เสนอให้พันธมิตร opt-out จากการใช้ข้อมูลในการฝึกโมเดล ➡️ ยังไม่ชัดเจนว่าบริษัทญี่ปุ่นใดตอบรับหรือปฏิเสธ ➡️ Akihisa Shiozaki ระบุว่าญี่ปุ่นควรเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐาน AI และลิขสิทธิ์ https://securityonline.info/japan-warns-openai-over-sora-2-copyright-infringement-of-irreplaceable-anime-and-manga/
    SECURITYONLINE.INFO
    Japan Warns OpenAI Over Sora 2 Copyright Infringement of "Irreplaceable" Anime and Manga
    Japan formally requested OpenAI to stop Sora 2 from infringing on its "irreplaceable" anime and manga IP after users generated videos of Dragon Ball and Pokémon.
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • “California ออกกฎหมาย SB 53 คุม Frontier AI — เมื่อรัฐกลายเป็นผู้วางกรอบความปลอดภัยให้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเกินจะปล่อยไว้เฉย ๆ”

    เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2025 ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ลงนามในกฎหมาย SB 53 หรือ Transparency in Frontier Artificial Intelligence Act (TFAIA) ซึ่งถือเป็นกฎหมายแรกของสหรัฐฯ ที่ควบคุมการพัฒนา AI ระดับ “frontier” หรือโมเดลขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูงและความเสี่ยงร้ายแรงหากใช้งานผิดวัตถุประสงค์

    กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้าง “ความโปร่งใส ความปลอดภัย และความรับผิดชอบ” โดยไม่ขัดขวางนวัตกรรม โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นศูนย์กลางของบริษัท AI ชั้นนำ เช่น Google, Apple, Nvidia, Meta และ Anthropic ซึ่งล้วนมีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายนี้

    SB 53 กำหนดให้บริษัทที่พัฒนาโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องเผยแพร่กรอบการทำงานด้านความปลอดภัยบนเว็บไซต์ของตน โดยต้องอธิบายว่าใช้มาตรฐานระดับชาติและนานาชาติอย่างไร รวมถึงวิธีประเมินความเสี่ยงร้ายแรง เช่น ความสามารถในการสร้างอาวุธชีวภาพหรือการโจมตีไซเบอร์ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือคร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 50 ราย

    นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้ง “CalCompute” ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือด้านการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน AI ของรัฐ เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและยั่งยืน พร้อมเปิดช่องให้ประชาชนและบริษัทสามารถรายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยต่อสำนักงานฉุกเฉินของรัฐได้โดยตรง

    กฎหมายยังให้ความคุ้มครองแก่ผู้แจ้งเบาะแส (whistleblower) ที่เปิดเผยความเสี่ยงด้านสุขภาพหรือความปลอดภัยจากโมเดล AI และให้อำนาจอัยการสูงสุดในการลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม

    แม้หลายฝ่ายชื่นชมว่า SB 53 เป็น “โมเดลต้นแบบ” สำหรับการออกกฎหมาย AI ในระดับประเทศ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากบางกลุ่มในอุตสาหกรรมว่าอาจเป็นการเปิดเผยข้อมูลภายในมากเกินไป และเสี่ยงต่อการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SB 53 เป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่ควบคุมการพัฒนา AI ระดับ frontier
    Frontier AI หมายถึงโมเดลขนาดใหญ่ที่ใช้พลังคำนวณมากกว่า 10²⁶ FLOPs และมีรายได้เกิน 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    บริษัทต้องเผยแพร่กรอบความปลอดภัยที่ใช้มาตรฐานระดับชาติและนานาชาติ
    ต้องอธิบายวิธีประเมินความเสี่ยงร้ายแรง เช่น การสร้างอาวุธชีวภาพหรือการโจมตีไซเบอร์
    จัดตั้ง CalCompute เพื่อสนับสนุนการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ปลอดภัย
    เปิดช่องให้รายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยต่อสำนักงานฉุกเฉินของรัฐ
    ให้ความคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่เปิดเผยความเสี่ยงจากโมเดล AI
    อัยการสูงสุดสามารถลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
    กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ เช่น Anthropic และ Meta

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SB 53 เป็นฉบับปรับปรุงจาก SB 1047 ที่ถูก veto ในปี 2024 เพราะเข้มงวดเกินไป
    กฎหมายนี้เน้น “trust but verify” คือให้บริษัทสร้างนวัตกรรมได้ แต่ต้องมีกรอบตรวจสอบ
    Frontier AI เช่น ChatGPT, Claude, Gemini เป็นโมเดลที่มีความสามารถกว้างและใช้ dataset ขนาดใหญ่
    FLOPs (Floating Point Operations) เป็นหน่วยวัดพลังคำนวณในการฝึกโมเดล
    กฎหมายนี้อาจเป็นต้นแบบให้รัฐอื่นในสหรัฐฯ และอาจผลักดันให้เกิดกฎหมายระดับชาติ

    https://www.gov.ca.gov/2025/09/29/governor-newsom-signs-sb-53-advancing-californias-world-leading-artificial-intelligence-industry/
    ⚖️ “California ออกกฎหมาย SB 53 คุม Frontier AI — เมื่อรัฐกลายเป็นผู้วางกรอบความปลอดภัยให้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเกินจะปล่อยไว้เฉย ๆ” เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2025 ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ลงนามในกฎหมาย SB 53 หรือ Transparency in Frontier Artificial Intelligence Act (TFAIA) ซึ่งถือเป็นกฎหมายแรกของสหรัฐฯ ที่ควบคุมการพัฒนา AI ระดับ “frontier” หรือโมเดลขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูงและความเสี่ยงร้ายแรงหากใช้งานผิดวัตถุประสงค์ กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้าง “ความโปร่งใส ความปลอดภัย และความรับผิดชอบ” โดยไม่ขัดขวางนวัตกรรม โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นศูนย์กลางของบริษัท AI ชั้นนำ เช่น Google, Apple, Nvidia, Meta และ Anthropic ซึ่งล้วนมีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายนี้ SB 53 กำหนดให้บริษัทที่พัฒนาโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องเผยแพร่กรอบการทำงานด้านความปลอดภัยบนเว็บไซต์ของตน โดยต้องอธิบายว่าใช้มาตรฐานระดับชาติและนานาชาติอย่างไร รวมถึงวิธีประเมินความเสี่ยงร้ายแรง เช่น ความสามารถในการสร้างอาวุธชีวภาพหรือการโจมตีไซเบอร์ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือคร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 50 ราย นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้ง “CalCompute” ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือด้านการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน AI ของรัฐ เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและยั่งยืน พร้อมเปิดช่องให้ประชาชนและบริษัทสามารถรายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยต่อสำนักงานฉุกเฉินของรัฐได้โดยตรง กฎหมายยังให้ความคุ้มครองแก่ผู้แจ้งเบาะแส (whistleblower) ที่เปิดเผยความเสี่ยงด้านสุขภาพหรือความปลอดภัยจากโมเดล AI และให้อำนาจอัยการสูงสุดในการลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม แม้หลายฝ่ายชื่นชมว่า SB 53 เป็น “โมเดลต้นแบบ” สำหรับการออกกฎหมาย AI ในระดับประเทศ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากบางกลุ่มในอุตสาหกรรมว่าอาจเป็นการเปิดเผยข้อมูลภายในมากเกินไป และเสี่ยงต่อการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SB 53 เป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่ควบคุมการพัฒนา AI ระดับ frontier ➡️ Frontier AI หมายถึงโมเดลขนาดใหญ่ที่ใช้พลังคำนวณมากกว่า 10²⁶ FLOPs และมีรายได้เกิน 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ บริษัทต้องเผยแพร่กรอบความปลอดภัยที่ใช้มาตรฐานระดับชาติและนานาชาติ ➡️ ต้องอธิบายวิธีประเมินความเสี่ยงร้ายแรง เช่น การสร้างอาวุธชีวภาพหรือการโจมตีไซเบอร์ ➡️ จัดตั้ง CalCompute เพื่อสนับสนุนการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ปลอดภัย ➡️ เปิดช่องให้รายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยต่อสำนักงานฉุกเฉินของรัฐ ➡️ ให้ความคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่เปิดเผยความเสี่ยงจากโมเดล AI ➡️ อัยการสูงสุดสามารถลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ➡️ กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ เช่น Anthropic และ Meta ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SB 53 เป็นฉบับปรับปรุงจาก SB 1047 ที่ถูก veto ในปี 2024 เพราะเข้มงวดเกินไป ➡️ กฎหมายนี้เน้น “trust but verify” คือให้บริษัทสร้างนวัตกรรมได้ แต่ต้องมีกรอบตรวจสอบ ➡️ Frontier AI เช่น ChatGPT, Claude, Gemini เป็นโมเดลที่มีความสามารถกว้างและใช้ dataset ขนาดใหญ่ ➡️ FLOPs (Floating Point Operations) เป็นหน่วยวัดพลังคำนวณในการฝึกโมเดล ➡️ กฎหมายนี้อาจเป็นต้นแบบให้รัฐอื่นในสหรัฐฯ และอาจผลักดันให้เกิดกฎหมายระดับชาติ https://www.gov.ca.gov/2025/09/29/governor-newsom-signs-sb-53-advancing-californias-world-leading-artificial-intelligence-industry/
    0 Comments 0 Shares 377 Views 0 Reviews
  • “Microsoft เปิดตลาดซื้อขายคอนเทนต์ AI กับสื่อมวลชน — เปลี่ยนโมเดลจากการดึงฟรี สู่การจ่ายจริงเพื่อความยั่งยืน”

    ในยุคที่ AI ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการนำเนื้อหาจากเว็บไซต์และสื่อมวลชนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต Microsoft ประกาศเปิดตัวโครงการนำร่องใหม่ที่พลิกแนวทางเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยจะจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตเนื้อหาเพื่อแลกกับสิทธิ์ในการนำข้อมูลไปใช้ฝึกโมเดล AI และตอบคำถามผ่าน Copilot

    โครงการนี้จะเริ่มจากการเจรจากับสื่อในสหรัฐฯ เพื่อสร้าง “ตลาดสองฝั่ง” ที่ผู้ผลิตเนื้อหาสามารถขายสิทธิ์การใช้งานให้กับ Microsoft ได้โดยตรง โดย Copilot จะเป็นผู้ซื้อรายแรกในระบบนี้ ซึ่ง Microsoft มองว่าเป็นก้าวแรกสู่โมเดลธุรกิจ AI ที่ยั่งยืนและเป็นธรรม

    Microsoft ระบุว่า AI ไม่สามารถให้คำตอบที่แม่นยำและมีคุณภาพได้ หากไม่มีเนื้อหาต้นฉบับจากผู้ผลิตข่าวสาร และย้ำว่า “คุณสมควรได้รับค่าตอบแทนตามคุณภาพของทรัพย์สินทางปัญญา” พร้อมประกาศว่าจะร่วมพัฒนาเครื่องมือ นโยบาย และโมเดลราคาใหม่สำหรับการซื้อขายเนื้อหาในระบบ PCM (Publisher Content Monetization)

    แม้ยังไม่มีไทม์ไลน์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ Microsoft ได้เริ่มทดลองภายในกับพันธมิตรบางราย และมีแผนขยายไปยังผลิตภัณฑ์ AI อื่น ๆ ในอนาคต โดยแนวทางนี้แตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Google ที่ยังไม่มีข้อตกลงจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตเนื้อหา แม้จะใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์ในการสร้าง AI Overviews ซึ่งส่งผลให้หลายสื่อสูญเสียทราฟฟิกและรายได้โฆษณาอย่างหนัก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft เปิดโครงการนำร่องจ่ายเงินให้ผู้ผลิตเนื้อหาเพื่อใช้ใน AI
    เริ่มจากการเจรจากับสื่อในสหรัฐฯ เพื่อสร้างตลาดสองฝั่งระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ AI
    Copilot จะเป็นผู้ซื้อรายแรกในระบบ Publisher Content Marketplace
    Microsoft จะร่วมพัฒนาเครื่องมือ นโยบาย และโมเดลราคาสำหรับ PCM
    เน้นความยั่งยืนของระบบ AI โดยให้ค่าตอบแทนแก่ผู้ผลิตเนื้อหา
    ยังไม่มีไทม์ไลน์เปิดตัว แต่เริ่มทดลองกับพันธมิตรบางรายแล้ว
    มีแผนขยายไปยังผลิตภัณฑ์ AI อื่น ๆ ของ Microsoft ในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cloudflare กำลังพัฒนาเครื่องมือให้เว็บไซต์บล็อก AI scrapers และเสนอโมเดลการจ่ายเงินเช่นกัน
    Google ยังไม่มีข้อตกลงจ่ายเงินให้สื่อ แต่ใช้เนื้อหาในการสร้าง AI Overviews
    สื่อหลายแห่งฟ้อง Google ฐานละเมิดลิขสิทธิ์และทำให้ทราฟฟิกลดลง
    การสร้างตลาดคอนเทนต์ AI อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม
    Microsoft เคยเซ็นสัญญากับบางสื่อเพื่อเข้าถึงเนื้อหาอย่างถูกต้องมาแล้ว

    https://securityonline.info/microsoft-to-pay-publishers-for-ai-content-in-new-pilot-program/
    📰 “Microsoft เปิดตลาดซื้อขายคอนเทนต์ AI กับสื่อมวลชน — เปลี่ยนโมเดลจากการดึงฟรี สู่การจ่ายจริงเพื่อความยั่งยืน” ในยุคที่ AI ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการนำเนื้อหาจากเว็บไซต์และสื่อมวลชนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต Microsoft ประกาศเปิดตัวโครงการนำร่องใหม่ที่พลิกแนวทางเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยจะจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตเนื้อหาเพื่อแลกกับสิทธิ์ในการนำข้อมูลไปใช้ฝึกโมเดล AI และตอบคำถามผ่าน Copilot โครงการนี้จะเริ่มจากการเจรจากับสื่อในสหรัฐฯ เพื่อสร้าง “ตลาดสองฝั่ง” ที่ผู้ผลิตเนื้อหาสามารถขายสิทธิ์การใช้งานให้กับ Microsoft ได้โดยตรง โดย Copilot จะเป็นผู้ซื้อรายแรกในระบบนี้ ซึ่ง Microsoft มองว่าเป็นก้าวแรกสู่โมเดลธุรกิจ AI ที่ยั่งยืนและเป็นธรรม Microsoft ระบุว่า AI ไม่สามารถให้คำตอบที่แม่นยำและมีคุณภาพได้ หากไม่มีเนื้อหาต้นฉบับจากผู้ผลิตข่าวสาร และย้ำว่า “คุณสมควรได้รับค่าตอบแทนตามคุณภาพของทรัพย์สินทางปัญญา” พร้อมประกาศว่าจะร่วมพัฒนาเครื่องมือ นโยบาย และโมเดลราคาใหม่สำหรับการซื้อขายเนื้อหาในระบบ PCM (Publisher Content Monetization) แม้ยังไม่มีไทม์ไลน์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ Microsoft ได้เริ่มทดลองภายในกับพันธมิตรบางราย และมีแผนขยายไปยังผลิตภัณฑ์ AI อื่น ๆ ในอนาคต โดยแนวทางนี้แตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Google ที่ยังไม่มีข้อตกลงจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตเนื้อหา แม้จะใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์ในการสร้าง AI Overviews ซึ่งส่งผลให้หลายสื่อสูญเสียทราฟฟิกและรายได้โฆษณาอย่างหนัก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft เปิดโครงการนำร่องจ่ายเงินให้ผู้ผลิตเนื้อหาเพื่อใช้ใน AI ➡️ เริ่มจากการเจรจากับสื่อในสหรัฐฯ เพื่อสร้างตลาดสองฝั่งระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ AI ➡️ Copilot จะเป็นผู้ซื้อรายแรกในระบบ Publisher Content Marketplace ➡️ Microsoft จะร่วมพัฒนาเครื่องมือ นโยบาย และโมเดลราคาสำหรับ PCM ➡️ เน้นความยั่งยืนของระบบ AI โดยให้ค่าตอบแทนแก่ผู้ผลิตเนื้อหา ➡️ ยังไม่มีไทม์ไลน์เปิดตัว แต่เริ่มทดลองกับพันธมิตรบางรายแล้ว ➡️ มีแผนขยายไปยังผลิตภัณฑ์ AI อื่น ๆ ของ Microsoft ในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cloudflare กำลังพัฒนาเครื่องมือให้เว็บไซต์บล็อก AI scrapers และเสนอโมเดลการจ่ายเงินเช่นกัน ➡️ Google ยังไม่มีข้อตกลงจ่ายเงินให้สื่อ แต่ใช้เนื้อหาในการสร้าง AI Overviews ➡️ สื่อหลายแห่งฟ้อง Google ฐานละเมิดลิขสิทธิ์และทำให้ทราฟฟิกลดลง ➡️ การสร้างตลาดคอนเทนต์ AI อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม ➡️ Microsoft เคยเซ็นสัญญากับบางสื่อเพื่อเข้าถึงเนื้อหาอย่างถูกต้องมาแล้ว https://securityonline.info/microsoft-to-pay-publishers-for-ai-content-in-new-pilot-program/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft to Pay Publishers for AI Content in New Pilot Program
    Microsoft is reportedly building a pilot program to pay publishers when their content is used by its AI, signaling a new path for content monetization.
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • “Supabase เปิดสิทธิบัตร OrioleDB ให้ชุมชน Postgres — ยกระดับระบบจัดเก็บข้อมูลด้วย B+-Tree เวอร์ชันทนทาน พร้อมเป้าหมายสู่การรวมเข้ากับต้นน้ำ”

    หลังจาก Supabase เข้าซื้อ OrioleDB มาเมื่อปีก่อน ล่าสุดบริษัทได้ประกาศเปิดสิทธิบัตรสหรัฐฯ หมายเลข 10,325,030 ซึ่งครอบคลุมเทคโนโลยี “Durable multiversion B+-tree” ให้ใช้งานได้ฟรีแบบไม่จำกัดสิทธิ์สำหรับผู้ใช้ OrioleDB ทุกคน รวมถึงโฟร์กเชิงพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องโอเพ่นซอร์สจากการฟ้องร้องด้านทรัพย์สินทางปัญญา และผลักดันให้ OrioleDB กลายเป็นส่วนหนึ่งของ PostgreSQL อย่างแท้จริง

    OrioleDB เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ extension ที่ใช้ Table Access Method API ของ Postgres เพื่อแทนที่ heap storage แบบเดิม โดยออกแบบมาให้ทำงานได้ดีกับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่และโครงสร้างคลาวด์ Benchmarks ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า OrioleDB เร็วกว่า heap ถึง 5.5 เท่าใน workload แบบ TPC-C

    สิ่งที่ทำให้ OrioleDB โดดเด่นคือการใช้ index-organized tables, การเชื่อมโยงหน้าในหน่วยความจำแบบตรง (no buffer mapping), การใช้ undo log แทน vacuum และการทำ checkpoint แบบ copy-on-write ซึ่งช่วยลด overhead และเพิ่มความเสถียรในการทำงานแบบ concurrent

    Supabase ยังยืนยันว่า OrioleDB จะยังคงเป็นโอเพ่นซอร์ส พร้อมเปิดรับการมีส่วนร่วมจากชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการส่งโค้ด ทดสอบ หรือให้ฟีดแบ็ก โดยมีเป้าหมายระยะยาวคือการ upstream เข้าสู่ PostgreSQL source tree เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบหลักอย่างเป็นทางการ

    การเปิดสิทธิบัตรของ OrioleDB
    Supabase เปิดสิทธิบัตร Durable multiversion B+-tree ให้ใช้งานฟรี
    ครอบคลุมผู้ใช้ทุกคน รวมถึงโฟร์กเชิงพาณิชย์
    ใช้เพื่อปกป้องโอเพ่นซอร์สจากการฟ้องร้องด้าน IP
    เสริมความเข้ากันได้กับ PostgreSQL License

    จุดเด่นของ OrioleDB
    เป็น extension ที่แทนที่ heap storage ด้วย Table Access Method API
    เร็วกว่า heap ถึง 5.5 เท่าใน TPC-C benchmark
    ใช้ index-organized tables และ direct memory mapping
    มี undo log แทน vacuum และใช้ copy-on-write checkpoint

    แนวทางการพัฒนาและเป้าหมาย
    ยังคงเป็นโอเพ่นซอร์ส พร้อมเปิดรับการมีส่วนร่วมจากชุมชน
    เป้าหมายคือ upstream เข้าสู่ PostgreSQL source tree
    พัฒนาให้ทำงานได้บน stock Postgres โดยไม่ต้องแก้ไขมาก
    มีแผนปรับปรุงเอกสารและ onboarding เพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PostgreSQL 18 กำลังจะเปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ด้าน performance ใหม่
    OrioleDB ยังไม่รองรับ index ประเภท HNSW ของ pg_vector
    มีการพัฒนา bridge สำหรับ Index Access Method เพื่อรองรับ index ทุกประเภท
    Supabase ใช้ OrioleDB เป็น storage engine เริ่มต้นใน image ของตนแล้ว

    https://supabase.com/blog/orioledb-patent-free
    🐘 “Supabase เปิดสิทธิบัตร OrioleDB ให้ชุมชน Postgres — ยกระดับระบบจัดเก็บข้อมูลด้วย B+-Tree เวอร์ชันทนทาน พร้อมเป้าหมายสู่การรวมเข้ากับต้นน้ำ” หลังจาก Supabase เข้าซื้อ OrioleDB มาเมื่อปีก่อน ล่าสุดบริษัทได้ประกาศเปิดสิทธิบัตรสหรัฐฯ หมายเลข 10,325,030 ซึ่งครอบคลุมเทคโนโลยี “Durable multiversion B+-tree” ให้ใช้งานได้ฟรีแบบไม่จำกัดสิทธิ์สำหรับผู้ใช้ OrioleDB ทุกคน รวมถึงโฟร์กเชิงพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องโอเพ่นซอร์สจากการฟ้องร้องด้านทรัพย์สินทางปัญญา และผลักดันให้ OrioleDB กลายเป็นส่วนหนึ่งของ PostgreSQL อย่างแท้จริง OrioleDB เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ extension ที่ใช้ Table Access Method API ของ Postgres เพื่อแทนที่ heap storage แบบเดิม โดยออกแบบมาให้ทำงานได้ดีกับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่และโครงสร้างคลาวด์ Benchmarks ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า OrioleDB เร็วกว่า heap ถึง 5.5 เท่าใน workload แบบ TPC-C สิ่งที่ทำให้ OrioleDB โดดเด่นคือการใช้ index-organized tables, การเชื่อมโยงหน้าในหน่วยความจำแบบตรง (no buffer mapping), การใช้ undo log แทน vacuum และการทำ checkpoint แบบ copy-on-write ซึ่งช่วยลด overhead และเพิ่มความเสถียรในการทำงานแบบ concurrent Supabase ยังยืนยันว่า OrioleDB จะยังคงเป็นโอเพ่นซอร์ส พร้อมเปิดรับการมีส่วนร่วมจากชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการส่งโค้ด ทดสอบ หรือให้ฟีดแบ็ก โดยมีเป้าหมายระยะยาวคือการ upstream เข้าสู่ PostgreSQL source tree เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบหลักอย่างเป็นทางการ ✅ การเปิดสิทธิบัตรของ OrioleDB ➡️ Supabase เปิดสิทธิบัตร Durable multiversion B+-tree ให้ใช้งานฟรี ➡️ ครอบคลุมผู้ใช้ทุกคน รวมถึงโฟร์กเชิงพาณิชย์ ➡️ ใช้เพื่อปกป้องโอเพ่นซอร์สจากการฟ้องร้องด้าน IP ➡️ เสริมความเข้ากันได้กับ PostgreSQL License ✅ จุดเด่นของ OrioleDB ➡️ เป็น extension ที่แทนที่ heap storage ด้วย Table Access Method API ➡️ เร็วกว่า heap ถึง 5.5 เท่าใน TPC-C benchmark ➡️ ใช้ index-organized tables และ direct memory mapping ➡️ มี undo log แทน vacuum และใช้ copy-on-write checkpoint ✅ แนวทางการพัฒนาและเป้าหมาย ➡️ ยังคงเป็นโอเพ่นซอร์ส พร้อมเปิดรับการมีส่วนร่วมจากชุมชน ➡️ เป้าหมายคือ upstream เข้าสู่ PostgreSQL source tree ➡️ พัฒนาให้ทำงานได้บน stock Postgres โดยไม่ต้องแก้ไขมาก ➡️ มีแผนปรับปรุงเอกสารและ onboarding เพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PostgreSQL 18 กำลังจะเปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ด้าน performance ใหม่ ➡️ OrioleDB ยังไม่รองรับ index ประเภท HNSW ของ pg_vector ➡️ มีการพัฒนา bridge สำหรับ Index Access Method เพื่อรองรับ index ทุกประเภท ➡️ Supabase ใช้ OrioleDB เป็น storage engine เริ่มต้นใน image ของตนแล้ว https://supabase.com/blog/orioledb-patent-free
    SUPABASE.COM
    OrioleDB Patent: now freely available to the Postgres community
    Supabase is explicitly making available a non-exclusive license of the OrioleDB patent to all OrioleDB users in accordance with the OrioleDB license.
    0 Comments 0 Shares 281 Views 0 Reviews
  • เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง

    รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น

    ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ

    ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ

    แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024
    สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
    Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์
    Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%)
    เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน
    การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์
    Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี
    97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI
    63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา
    การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI
    Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก
    การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%)
    การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้
    การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา

    https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    🎙️ เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024 ➡️ สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ➡️ Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%) ➡️ เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน ➡️ การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี ➡️ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI ➡️ 63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา ➡️ การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI ➡️ Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก ➡️ การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%) ➡️ การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ ➡️ การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is the cost of a data breach?
    The cost of a data breach is not easy to define, but as organizations increasingly fall victim to attacks and exposures, financial repercussions are becoming clearer.
    0 Comments 0 Shares 427 Views 0 Reviews
  • เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว

    ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน

    ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน

    ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ

    ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก

    แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ
    Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้
    Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google
    ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก
    Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี
    โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ
    Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ
    Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing
    ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ
    หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด
    OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย
    Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ
    นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล
    การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    🎙️ เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ ➡️ Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้ ➡️ Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google ➡️ ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก ➡️ Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี ➡️ โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ➡️ Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ ➡️ Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing ➡️ ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ ➡️ หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด ➡️ OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย ➡️ Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ ➡️ นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล ➡️ การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Germany's Ecosia proposes stewardship to run Google Chrome
    STOCKHOLM (Reuters) -Germany's Ecosia, a nonprofit search engine, said on Thursday it has submitted a proposal to assume a 10-year stewardship of Alphabet's Google Chrome web browser.
    0 Comments 0 Shares 450 Views 0 Reviews
  • เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

    เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์

    ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต

    Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI
    ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR
    ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์
    Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง
    Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว
    Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu
    Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล
    กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร
    การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan
    ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน
    นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง
    การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่
    Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น
    การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    🎙️ เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI ➡️ ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์ ➡️ Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง ➡️ Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว ➡️ Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu ➡️ Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล ➡️ กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร ➡️ การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan ➡️ ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน ➡️ นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง ➡️ การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่ ➡️ Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น ➡️ การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    HACKREAD.COM
    Qilin Ransomware Gang Claims 4TB Data Breach at Nissan CBI
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 465 Views 0 Reviews
  • "พาณิชย์" จัดงาน IP Fair 2025! โชว์นวัตกรรม-สินค้า GI...ตั้งเป้าสร้างมูลค่ากว่า 150 ล้าน...พร้อมเชิญชมนิทรรศการ "เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ"
    https://www.thai-tai.tv/news/20951/
    .
    #IPFair2025 #ทรัพย์สินทางปัญญา #เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี #ข่าวในพระราชสำนัก #กระทรวงพาณิชย์ #ไทยไท
    "พาณิชย์" จัดงาน IP Fair 2025! โชว์นวัตกรรม-สินค้า GI...ตั้งเป้าสร้างมูลค่ากว่า 150 ล้าน...พร้อมเชิญชมนิทรรศการ "เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ" https://www.thai-tai.tv/news/20951/ . #IPFair2025 #ทรัพย์สินทางปัญญา #เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี #ข่าวในพระราชสำนัก #กระทรวงพาณิชย์ #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 333 Views 0 Reviews
  • “สุชาติ” ขอบคุณ WIPO หนุนความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ยกระดับนวัตกรรมไทยสู่เวทีโลก
    https://www.thai-tai.tv/news/20918/
    .
    #สุชาติชมกลิ่น #WIPO #ทรัพย์สินทางปัญญา #ซอฟท์พาวเวอร์ #ผ้าไทย #ไทยไท

    “สุชาติ” ขอบคุณ WIPO หนุนความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ยกระดับนวัตกรรมไทยสู่เวทีโลก https://www.thai-tai.tv/news/20918/ . #สุชาติชมกลิ่น #WIPO #ทรัพย์สินทางปัญญา #ซอฟท์พาวเวอร์ #ผ้าไทย #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 341 Views 0 Reviews
  • สรุปเหตุการณ์: คดี “ขโมยเทคโนโลยี 2 นาโนเมตร” ของ TSMC

    เหตุการณ์เกิดขึ้น:
    วิศวกรของ TSMC ทั้งในตำแหน่ง "พนักงานปัจจุบันและอดีต" ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ หน้าจอโน้ตบุ๊กบริษัท ขณะทำงานที่บ้าน (ช่วง Work from Home)

    พวกเขานำข้อมูลลับของกระบวนการผลิตชิป ระดับ 2 นาโนเมตร ไปส่งให้กับ วิศวกรของบริษัท Tokyo Electron (TEL) ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของญี่ปุ่น

    วิศวกรคนนี้เคยทำงานที่ TSMC และได้ลาออกแล้ว

    วิธีการถูกจับได้อย่างไร?
    ระบบความปลอดภัยของ TSMC ตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย:
    ระบบมีการ วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานไฟล์ เช่น ระยะเวลาที่ดูเอกสาร, ความเร็วในการเปลี่ยนหน้า
    หากการดูข้อมูล “เร็วและสม่ำเสมอเกินไป” เช่น เปลี่ยนหน้าทุก ๆ 5 วินาทีเหมือนถ่ายรูป — ระบบจะสงสัยว่าอาจกำลังลักลอบถ่ายภาพ

    อีกทั้งยังมี ระบบ AI จำลองพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อคาดการณ์ว่าอาจกำลังมีการพยายามขโมยข้อมูล

    ทำไมถูกเรียกว่า “ขโมยแบบโง่ๆ” ?
    การขโมยแบบใช้มือถือส่วนตัวถ่ายหน้าจอ ถือว่า ล้าสมัยและถูกจับได้ง่ายมาก

    ระบบของ TSMC มีการตรวจสอบทั้งในระดับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ รวมถึงพฤติกรรมผู้ใช้ (Behavior Analytics)

    การใช้มือถือถ่ายหน้าจอโน้ตบุ๊กที่บริษัทแจกนั้น ยิ่งง่ายต่อการตรวจจับ เพราะบริษัทสามารถติดตามได้

    ผลกระทบและการดำเนินคดี
    ข้อมูลที่รั่วไหลเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 2 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าระดับโลกของ TSMC

    คดีนี้ทำให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานอัยการพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา บุกจับและควบคุมตัวพนักงานที่เกี่ยวข้องหลายราย

    3 คนจากทั้งหมด ถูกตั้งข้อหาภายใต้ กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ

    โยงถึงญี่ปุ่น: TEL และ Rapidus
    ข้อมูลทั้งหมดรั่วไหลไปถึงอดีตพนักงานของ Tokyo Electron (TEL)

    TEL มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับโครงการ Rapidus ของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่พยายามไล่ตามเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2 นาโนเมตรให้ทัน TSMC

    แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า Rapidus เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ความเชื่อมโยงนี้ทำให้เกิดความ “น่าสงสัย” และสร้างความตึงเครียดทางธุรกิจ

    บทเรียนจากกรณีนี้
    1. ระบบรักษาความปลอดภัยของ TSMC นั้นล้ำสมัยมาก
    ไม่เพียงห้ามถ่ายภาพในโรงงาน แต่ยังตรวจจับพฤติกรรมแม้ในช่วงทำงานจากบ้าน
    ใช้ AI วิเคราะห์รูปแบบการดูไฟล์ เพื่อหาความผิดปกติ

    2. การพยายามขโมยข้อมูลด้วยวิธีพื้นๆ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป
    แม้บางคนพยายามหลีกเลี่ยงโดยถ่ายจากจอมอนิเตอร์ของตัวเองแทนโน้ตบุ๊กบริษัท แต่บริษัทก็คิดไว้แล้ว

    3. วัฒนธรรมองค์กรต้องเข้มแข็ง
    ความจงรักภักดีและจริยธรรมของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้เทคโนโลยีจะดีแค่ไหน ก็ยังพ่ายต่อ “ใจคน” หากไม่มีจริยธรรม

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🧠 สรุปเหตุการณ์: คดี “ขโมยเทคโนโลยี 2 นาโนเมตร” ของ TSMC 🕵️‍♂️ เหตุการณ์เกิดขึ้น: ▶️ วิศวกรของ TSMC ทั้งในตำแหน่ง "พนักงานปัจจุบันและอดีต" ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ หน้าจอโน้ตบุ๊กบริษัท ขณะทำงานที่บ้าน (ช่วง Work from Home) ▶️ พวกเขานำข้อมูลลับของกระบวนการผลิตชิป ระดับ 2 นาโนเมตร ไปส่งให้กับ วิศวกรของบริษัท Tokyo Electron (TEL) ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ▶️ วิศวกรคนนี้เคยทำงานที่ TSMC และได้ลาออกแล้ว 🔍 วิธีการถูกจับได้อย่างไร? ⭕ ระบบความปลอดภัยของ TSMC ตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย: ▶️ ระบบมีการ วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานไฟล์ เช่น ระยะเวลาที่ดูเอกสาร, ความเร็วในการเปลี่ยนหน้า ▶️ หากการดูข้อมูล “เร็วและสม่ำเสมอเกินไป” เช่น เปลี่ยนหน้าทุก ๆ 5 วินาทีเหมือนถ่ายรูป — ระบบจะสงสัยว่าอาจกำลังลักลอบถ่ายภาพ ⭕ อีกทั้งยังมี ระบบ AI จำลองพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อคาดการณ์ว่าอาจกำลังมีการพยายามขโมยข้อมูล 🤦‍♂️ ทำไมถูกเรียกว่า “ขโมยแบบโง่ๆ” ? ✅ การขโมยแบบใช้มือถือส่วนตัวถ่ายหน้าจอ ถือว่า ล้าสมัยและถูกจับได้ง่ายมาก ✅ ระบบของ TSMC มีการตรวจสอบทั้งในระดับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ รวมถึงพฤติกรรมผู้ใช้ (Behavior Analytics) ✅ การใช้มือถือถ่ายหน้าจอโน้ตบุ๊กที่บริษัทแจกนั้น ยิ่งง่ายต่อการตรวจจับ เพราะบริษัทสามารถติดตามได้ ⚠️ ผลกระทบและการดำเนินคดี ⭕ ข้อมูลที่รั่วไหลเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 2 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าระดับโลกของ TSMC ⭕ คดีนี้ทำให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานอัยการพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา บุกจับและควบคุมตัวพนักงานที่เกี่ยวข้องหลายราย ⭕ 3 คนจากทั้งหมด ถูกตั้งข้อหาภายใต้ กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ 🇯🇵 โยงถึงญี่ปุ่น: TEL และ Rapidus ⭕ ข้อมูลทั้งหมดรั่วไหลไปถึงอดีตพนักงานของ Tokyo Electron (TEL) ⭕ TEL มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับโครงการ Rapidus ของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่พยายามไล่ตามเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2 นาโนเมตรให้ทัน TSMC ⭕ แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า Rapidus เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ความเชื่อมโยงนี้ทำให้เกิดความ “น่าสงสัย” และสร้างความตึงเครียดทางธุรกิจ 🔍 บทเรียนจากกรณีนี้ 🔐 1. ระบบรักษาความปลอดภัยของ TSMC นั้นล้ำสมัยมาก ▶️ ไม่เพียงห้ามถ่ายภาพในโรงงาน แต่ยังตรวจจับพฤติกรรมแม้ในช่วงทำงานจากบ้าน ▶️ ใช้ AI วิเคราะห์รูปแบบการดูไฟล์ เพื่อหาความผิดปกติ 📵 2. การพยายามขโมยข้อมูลด้วยวิธีพื้นๆ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ▶️ แม้บางคนพยายามหลีกเลี่ยงโดยถ่ายจากจอมอนิเตอร์ของตัวเองแทนโน้ตบุ๊กบริษัท แต่บริษัทก็คิดไว้แล้ว 🚫 3. วัฒนธรรมองค์กรต้องเข้มแข็ง ▶️ ความจงรักภักดีและจริยธรรมของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้เทคโนโลยีจะดีแค่ไหน ก็ยังพ่ายต่อ “ใจคน” หากไม่มีจริยธรรม #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 Comments 0 Shares 554 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกชิป: เมื่ออดีตพนักงาน Huawei ถูกตัดสินจำคุกจากคดีลับเทคโนโลยี

    ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด คดีล่าสุดจากประเทศจีนได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อศาลในเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei จำนวน 14 คน จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิปไปใช้ในการก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Zunpai Communication Technology

    Zhang Kun อดีตนักวิจัยจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ได้ลาออกในปี 2019 และก่อตั้ง Zunpai ในปี 2021 โดยดึงอดีตเพื่อนร่วมงานมาร่วมทีม พร้อมเสนอเงินเดือนสูงและหุ้นในบริษัท แต่สิ่งที่ตามมาคือข้อกล่าวหาว่า พวกเขาได้คัดลอกข้อมูลลับก่อนลาออก และนำไปใช้ในการพัฒนาชิป Wi-Fi ของ Zunpai

    ในเดือนธันวาคม 2023 ตำรวจเซี่ยงไฮ้ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยทั้ง 14 คน และอายัดทรัพย์สินของ Zunpai มูลค่า 95 ล้านหยวน โดยพบว่าเทคโนโลยีที่ใช้ใน Zunpai มีความคล้ายคลึงกับของ Huawei ถึง 90% แม้คำตัดสินจะยังไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี พร้อมโทษปรับ

    คดีนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของจีนในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิปที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล และยังเป็นการเตือนว่า “การลอกเลียนเทคโนโลยี” ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป

    ศาลเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei 14 คน
    จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิป

    ผู้ต้องหาก่อตั้งบริษัท Zunpai เพื่อพัฒนาชิป Wi-Fi
    โดยใช้ข้อมูลจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานของ Huawei

    ตำรวจพบว่าเทคโนโลยีของ Zunpai คล้ายกับของ Huawei ถึง 90%
    และอายัดทรัพย์สินมูลค่า 95 ล้านหยวน

    คำตัดสินยังไม่เผยแพร่ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี
    พร้อมโทษปรับทางการเงิน

    Huawei ยังไม่ออกความเห็นอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคดีนี้
    แต่ได้ดำเนินการทางกฎหมายตั้งแต่ปี 2023

    จีนมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา
    มีผู้ถูกดำเนินคดีด้าน IP มากกว่า 21,000 คนในปี 2024

    HiSilicon เป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ที่มีบทบาทสำคัญ
    โดยเฉพาะในด้านการพัฒนา AI และการสื่อสาร

    การลอกเลียนเทคโนโลยีชิปส่งผลต่อการแข่งขันในระดับโลก
    และอาจกระทบต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี

    การตั้งบริษัทใหม่โดยอดีตพนักงานเป็นเรื่องปกติในวงการเทคโนโลยี
    แต่ต้องไม่ละเมิดข้อมูลลับของบริษัทเดิม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/14-ex-huawei-employees-handed-down-prison-sentences-in-china-accused-face-up-to-six-years-for-taking-chip-related-business-secrets-with-them-to-form-startup-zunpai
    🔐⚖️ เรื่องเล่าจากโลกชิป: เมื่ออดีตพนักงาน Huawei ถูกตัดสินจำคุกจากคดีลับเทคโนโลยี ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด คดีล่าสุดจากประเทศจีนได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อศาลในเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei จำนวน 14 คน จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิปไปใช้ในการก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Zunpai Communication Technology Zhang Kun อดีตนักวิจัยจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ได้ลาออกในปี 2019 และก่อตั้ง Zunpai ในปี 2021 โดยดึงอดีตเพื่อนร่วมงานมาร่วมทีม พร้อมเสนอเงินเดือนสูงและหุ้นในบริษัท แต่สิ่งที่ตามมาคือข้อกล่าวหาว่า พวกเขาได้คัดลอกข้อมูลลับก่อนลาออก และนำไปใช้ในการพัฒนาชิป Wi-Fi ของ Zunpai ในเดือนธันวาคม 2023 ตำรวจเซี่ยงไฮ้ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยทั้ง 14 คน และอายัดทรัพย์สินของ Zunpai มูลค่า 95 ล้านหยวน โดยพบว่าเทคโนโลยีที่ใช้ใน Zunpai มีความคล้ายคลึงกับของ Huawei ถึง 90% แม้คำตัดสินจะยังไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี พร้อมโทษปรับ คดีนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของจีนในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิปที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล และยังเป็นการเตือนว่า “การลอกเลียนเทคโนโลยี” ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป ✅ ศาลเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei 14 คน ➡️ จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิป ✅ ผู้ต้องหาก่อตั้งบริษัท Zunpai เพื่อพัฒนาชิป Wi-Fi ➡️ โดยใช้ข้อมูลจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานของ Huawei ✅ ตำรวจพบว่าเทคโนโลยีของ Zunpai คล้ายกับของ Huawei ถึง 90% ➡️ และอายัดทรัพย์สินมูลค่า 95 ล้านหยวน ✅ คำตัดสินยังไม่เผยแพร่ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี ➡️ พร้อมโทษปรับทางการเงิน ✅ Huawei ยังไม่ออกความเห็นอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคดีนี้ ➡️ แต่ได้ดำเนินการทางกฎหมายตั้งแต่ปี 2023 ✅ จีนมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ มีผู้ถูกดำเนินคดีด้าน IP มากกว่า 21,000 คนในปี 2024 ✅ HiSilicon เป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ที่มีบทบาทสำคัญ ➡️ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนา AI และการสื่อสาร ✅ การลอกเลียนเทคโนโลยีชิปส่งผลต่อการแข่งขันในระดับโลก ➡️ และอาจกระทบต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี ✅ การตั้งบริษัทใหม่โดยอดีตพนักงานเป็นเรื่องปกติในวงการเทคโนโลยี ➡️ แต่ต้องไม่ละเมิดข้อมูลลับของบริษัทเดิม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/14-ex-huawei-employees-handed-down-prison-sentences-in-china-accused-face-up-to-six-years-for-taking-chip-related-business-secrets-with-them-to-form-startup-zunpai
    0 Comments 0 Shares 470 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “Man in the Prompt” เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยโจรกรรมข้อมูล

    นักวิจัยจากบริษัท LayerX ค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่เรียกว่า “Man in the Prompt” ซึ่งอาศัยความจริงที่ว่า ช่องใส่คำสั่ง (prompt input) ของ AI บนเว็บเบราว์เซอร์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหน้าเว็บ (Document Object Model หรือ DOM) นั่นหมายความว่า ส่วนเสริมใด ๆ ที่เข้าถึง DOM ได้ ก็สามารถอ่านหรือเขียนคำสั่งลงในช่อง prompt ได้ทันที—even ถ้าไม่มีสิทธิ์พิเศษ!

    แฮกเกอร์สามารถใช้ส่วนเสริมที่เป็นอันตราย (หรือซื้อสิทธิ์จากส่วนเสริมที่มีอยู่แล้ว) เพื่อแอบแฝงคำสั่งลับ, ดึงข้อมูลจากคำตอบของ AI, หรือแม้แต่ลบประวัติการสนทนาเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว

    LayerX ได้ทดลองโจมตีจริงกับ ChatGPT และ Google Gemini โดยใช้ส่วนเสริมที่ดูไม่มีพิษภัย แต่สามารถเปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง AI, ดึงข้อมูลออก และลบหลักฐานทั้งหมด

    สิ่งที่น่ากลัวคือ AI เหล่านี้มักถูกใช้ในองค์กรเพื่อประมวลผลข้อมูลลับ เช่น เอกสารภายใน, แผนธุรกิจ, หรือรหัสโปรแกรม—ซึ่งอาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว

    “Man in the Prompt” คือการโจมตีผ่านส่วนเสริมเบราว์เซอร์ที่แอบแฝงคำสั่งในช่อง prompt ของ AI
    ใช้ช่องโหว่ของ DOM ที่เปิดให้ส่วนเสริมเข้าถึงข้อมูลในหน้าเว็บ
    ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษก็สามารถอ่าน/เขียนคำสั่งได้

    AI ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini, Claude, Copilot และ Deepseek
    ทั้ง AI เชิงพาณิชย์และ AI ภายในองค์กร
    มีการทดสอบจริงและแสดงผลสำเร็จ

    ส่วนเสริมสามารถแอบส่งคำสั่ง, ดึงข้อมูล, และลบประวัติการสนทนาได้
    เช่น เปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง ChatGPT, ดึงผลลัพธ์, แล้วลบแชท
    Gemini สามารถถูกโจมตีผ่าน sidebar ที่เชื่อมกับ Google Workspace

    ข้อมูลที่เสี่ยงต่อการรั่วไหล ได้แก่ อีเมล, เอกสาร, รหัส, แผนธุรกิจ และทรัพย์สินทางปัญญา
    โดยเฉพาะ AI ภายในองค์กรที่ฝึกด้วยข้อมูลลับ
    มีความเชื่อมั่นสูงแต่ขาดระบบป้องกันคำสั่งแฝง

    LayerX แนะนำให้ตรวจสอบพฤติกรรม DOM ของส่วนเสริมแทนการดูแค่สิทธิ์ที่ประกาศไว้
    ปรับระบบความปลอดภัยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM
    ป้องกันการแอบแฝงคำสั่งและการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์

    ส่วนเสริมที่ดูปลอดภัยอาจถูกแฮกหรือซื้อสิทธิ์ไปใช้โจมตีได้
    เช่น ส่วนเสริมที่มีฟีเจอร์จัดการ prompt อาจถูกใช้เพื่อแอบแฝงคำสั่ง
    ไม่ต้องมีการติดตั้งใหม่หรืออนุญาตใด ๆ จากผู้ใช้

    ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการโจมตีในระดับ DOM ได้
    เช่น DLP หรือ Secure Web Gateway ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM
    การบล็อก URL ของ AI ไม่ช่วยป้องกันการโจมตีภายในเบราว์เซอร์

    องค์กรที่อนุญาตให้ติดตั้งส่วนเสริมอย่างเสรีมีความเสี่ยงสูงมาก
    พนักงานอาจติดตั้งส่วนเสริมที่เป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว
    ข้อมูลภายในองค์กรอาจถูกขโมยผ่าน AI ที่เชื่อมกับเบราว์เซอร์

    AI ที่ฝึกด้วยข้อมูลลับภายในองค์กรมีความเสี่ยงสูงสุด
    เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย, การเงิน, หรือกลยุทธ์
    หากถูกดึงออกผ่าน prompt จะไม่มีทางรู้ตัวเลย

    https://hackread.com/browser-extensions-exploit-chatgpt-gemini-man-in-the-prompt/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “Man in the Prompt” เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยโจรกรรมข้อมูล นักวิจัยจากบริษัท LayerX ค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่เรียกว่า “Man in the Prompt” ซึ่งอาศัยความจริงที่ว่า ช่องใส่คำสั่ง (prompt input) ของ AI บนเว็บเบราว์เซอร์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหน้าเว็บ (Document Object Model หรือ DOM) นั่นหมายความว่า ส่วนเสริมใด ๆ ที่เข้าถึง DOM ได้ ก็สามารถอ่านหรือเขียนคำสั่งลงในช่อง prompt ได้ทันที—even ถ้าไม่มีสิทธิ์พิเศษ! แฮกเกอร์สามารถใช้ส่วนเสริมที่เป็นอันตราย (หรือซื้อสิทธิ์จากส่วนเสริมที่มีอยู่แล้ว) เพื่อแอบแฝงคำสั่งลับ, ดึงข้อมูลจากคำตอบของ AI, หรือแม้แต่ลบประวัติการสนทนาเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว LayerX ได้ทดลองโจมตีจริงกับ ChatGPT และ Google Gemini โดยใช้ส่วนเสริมที่ดูไม่มีพิษภัย แต่สามารถเปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง AI, ดึงข้อมูลออก และลบหลักฐานทั้งหมด สิ่งที่น่ากลัวคือ AI เหล่านี้มักถูกใช้ในองค์กรเพื่อประมวลผลข้อมูลลับ เช่น เอกสารภายใน, แผนธุรกิจ, หรือรหัสโปรแกรม—ซึ่งอาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว ✅ “Man in the Prompt” คือการโจมตีผ่านส่วนเสริมเบราว์เซอร์ที่แอบแฝงคำสั่งในช่อง prompt ของ AI ➡️ ใช้ช่องโหว่ของ DOM ที่เปิดให้ส่วนเสริมเข้าถึงข้อมูลในหน้าเว็บ ➡️ ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษก็สามารถอ่าน/เขียนคำสั่งได้ ✅ AI ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini, Claude, Copilot และ Deepseek ➡️ ทั้ง AI เชิงพาณิชย์และ AI ภายในองค์กร ➡️ มีการทดสอบจริงและแสดงผลสำเร็จ ✅ ส่วนเสริมสามารถแอบส่งคำสั่ง, ดึงข้อมูล, และลบประวัติการสนทนาได้ ➡️ เช่น เปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง ChatGPT, ดึงผลลัพธ์, แล้วลบแชท ➡️ Gemini สามารถถูกโจมตีผ่าน sidebar ที่เชื่อมกับ Google Workspace ✅ ข้อมูลที่เสี่ยงต่อการรั่วไหล ได้แก่ อีเมล, เอกสาร, รหัส, แผนธุรกิจ และทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ โดยเฉพาะ AI ภายในองค์กรที่ฝึกด้วยข้อมูลลับ ➡️ มีความเชื่อมั่นสูงแต่ขาดระบบป้องกันคำสั่งแฝง ✅ LayerX แนะนำให้ตรวจสอบพฤติกรรม DOM ของส่วนเสริมแทนการดูแค่สิทธิ์ที่ประกาศไว้ ➡️ ปรับระบบความปลอดภัยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM ➡️ ป้องกันการแอบแฝงคำสั่งและการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ‼️ ส่วนเสริมที่ดูปลอดภัยอาจถูกแฮกหรือซื้อสิทธิ์ไปใช้โจมตีได้ ⛔ เช่น ส่วนเสริมที่มีฟีเจอร์จัดการ prompt อาจถูกใช้เพื่อแอบแฝงคำสั่ง ⛔ ไม่ต้องมีการติดตั้งใหม่หรืออนุญาตใด ๆ จากผู้ใช้ ‼️ ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการโจมตีในระดับ DOM ได้ ⛔ เช่น DLP หรือ Secure Web Gateway ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM ⛔ การบล็อก URL ของ AI ไม่ช่วยป้องกันการโจมตีภายในเบราว์เซอร์ ‼️ องค์กรที่อนุญาตให้ติดตั้งส่วนเสริมอย่างเสรีมีความเสี่ยงสูงมาก ⛔ พนักงานอาจติดตั้งส่วนเสริมที่เป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว ⛔ ข้อมูลภายในองค์กรอาจถูกขโมยผ่าน AI ที่เชื่อมกับเบราว์เซอร์ ‼️ AI ที่ฝึกด้วยข้อมูลลับภายในองค์กรมีความเสี่ยงสูงสุด ⛔ เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย, การเงิน, หรือกลยุทธ์ ⛔ หากถูกดึงออกผ่าน prompt จะไม่มีทางรู้ตัวเลย https://hackread.com/browser-extensions-exploit-chatgpt-gemini-man-in-the-prompt/
    HACKREAD.COM
    Browser Extensions Can Exploit ChatGPT, Gemini in ‘Man in the Prompt’ Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 408 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกรีโทรเกม: รีวิวเครื่องเกมพกพาอาจพาเข้าคุก?

    Francesco Salicini เจ้าของช่อง YouTube “Once Were Nerd” ที่มีผู้ติดตามกว่า 50,000 คน ถูกหน่วยอาชญากรรมเศรษฐกิจของตำรวจอิตาลีบุกค้นบ้านเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2025 และยึดเครื่องเกมพกพา 30 เครื่องจากแบรนด์ TrimUI, Powkiddy และ Anbernic ซึ่งมาพร้อม microSD ที่มี ROM เกมละเมิดลิขสิทธิ์ติดตั้งไว้

    ตำรวจยังยึดโทรศัพท์ส่วนตัวของเขาไปด้วย (และคืนในเดือนมิถุนายน) โดยอ้างว่าเขาได้ละเมิดมาตรา 171 ของกฎหมายอิตาลี ซึ่งห้ามการส่งเสริมเนื้อหาที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะเกมจาก Sony และ Nintendo

    แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า Sony หรือ Nintendo เป็นผู้ร้องเรียนโดยตรงหรือไม่ แต่ในอิตาลี ตำรวจสามารถดำเนินคดีโดยไม่ต้องเปิดเผยผู้กล่าวหา

    Salicini ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้โปรโมตหรือขายเครื่องเหล่านี้ และไม่ได้รับสปอนเซอร์หรือใส่ลิงก์พันธมิตรในวิดีโอ เขาได้ว่าจ้างทนายความและเปิดแคมเปญ GoFundMe เพื่อขอรับบริจาคช่วยค่าดำเนินคดี

    https://www.techspot.com/news/108709-youtuber-raided-italian-police-reviewing-handhelds-preloaded-roms.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกรีโทรเกม: รีวิวเครื่องเกมพกพาอาจพาเข้าคุก? Francesco Salicini เจ้าของช่อง YouTube “Once Were Nerd” ที่มีผู้ติดตามกว่า 50,000 คน ถูกหน่วยอาชญากรรมเศรษฐกิจของตำรวจอิตาลีบุกค้นบ้านเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2025 และยึดเครื่องเกมพกพา 30 เครื่องจากแบรนด์ TrimUI, Powkiddy และ Anbernic ซึ่งมาพร้อม microSD ที่มี ROM เกมละเมิดลิขสิทธิ์ติดตั้งไว้ ตำรวจยังยึดโทรศัพท์ส่วนตัวของเขาไปด้วย (และคืนในเดือนมิถุนายน) โดยอ้างว่าเขาได้ละเมิดมาตรา 171 ของกฎหมายอิตาลี ซึ่งห้ามการส่งเสริมเนื้อหาที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะเกมจาก Sony และ Nintendo แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า Sony หรือ Nintendo เป็นผู้ร้องเรียนโดยตรงหรือไม่ แต่ในอิตาลี ตำรวจสามารถดำเนินคดีโดยไม่ต้องเปิดเผยผู้กล่าวหา Salicini ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้โปรโมตหรือขายเครื่องเหล่านี้ และไม่ได้รับสปอนเซอร์หรือใส่ลิงก์พันธมิตรในวิดีโอ เขาได้ว่าจ้างทนายความและเปิดแคมเปญ GoFundMe เพื่อขอรับบริจาคช่วยค่าดำเนินคดี https://www.techspot.com/news/108709-youtuber-raided-italian-police-reviewing-handhelds-preloaded-roms.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    YouTuber raided by Italian police for reviewing handhelds with preloaded ROMs
    In a video titled "They Reported Me," Salicini alleges that the Economic and Financial Crimes unit of the Italian police raided his home on April 15 and...
    0 Comments 0 Shares 585 Views 0 Reviews
  • ขายทุเรียนป่าละอู ส่งตรงถึงท่านจากสหกรณ์การเกษตรห้วยสัตว์ใหญ่นะครับ ช่วยเกษตรกรระบายผลผลิตปลายฤดูกาลครับ

    สำหรับ fans สนธิทอร์ค, news1, และเครือ ผจก ให้ระบุใน in box ว่ามาจาก Thai town จะลดให้อีก10% จากราคารวมตามเงื่อนไขโปรโมชั่นครับ

    ต้องขออภัยทางไทยทาวน์ ขอวางลิงค์ facebook ไว้เป็นข้อมูลติดต่อเพิ่มเติมครับ https://www.facebook.com/share/p/185sW6wkYB/?mibextid=wwXIfr
    -----------

    โค้งสุดท้ายก่อนหมดฤดูกาล

    จำหน่ายทุเรียนป่าละอูแท้ 100%

    จากสหกรณ์การเกษตรห้วยสัตว์ใหญ่ จำกัด โครงการตามพระราชประสงค์ ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    ทุเรียนป่าละอูเป็นทุเรียนคุณภาพสูง และ มีการพัฒนามาอย่างยาวนานโดยทรงคุณค่าในความเฉพาะตัวและรักษาเอกลักษณ์ของแหล่งผลิตไว้ได้เป็นอย่างดี เป็นความภูมิใจของชุมชนและคนไทยทั้งปวง

    ได้รับการขึ้นทะเบียน GI :
    ได้รับหนังสืออนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทยในฐานะเป็นผู้ผลิต "ทุเรียนป่าละอู" ทะเบียนเลขที่ สช 57100062 จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา

    ทุเรียนป่าละอูแท้มีให้รับประทาน ปีละครั้งเดียว ช่วงเดือน มิถุนายนไปจนสิ้นเดือนกรกฎาคม เป็นการนำทุเรียนหมอนทองและชะนีมาปลูกพัฒนาในพื้นที่ป่าจนได้ลักษณะพิเศษของเนื้อและพันธ์ุที่บ่มเพาะโดยดินฟ้าอากาศและน้ำจากป่าเขาธรรมชาติ

    ------------------------------------------------------

    วันนี้ บริษัท เนียร์นอร์ท จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่าย (รายใหม่) และได้เริ่มดำเนินแผนในการส่งออก รวมทั้งเตรียมจำหน่ายในช่องทางที่หลากหลาย

    โดยได้ร่วมมือกับสหกรณ์ห้วยสัตว์ใหญ่ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจากสงครามราคาทุเรียน และ โปรโมทสินค้าในท้ายฤดูกาลนี้

    ⭐️จึงจัดจำหน่ายราคาเดียวกับสหกรณ์ ⭐️

    ทุเรียนจะถูกตัดสดจากสวนของสมาชิกในสหกรณ์ และส่งโดยตรงถึงท่าน

    เริ่มจัดส่งตั้งแต่ 14 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือน
    หรือ จนสินค้าหมด

    --------------------------

    ⚡️ราคาจำหน่าย : ทุเรียน กิโลกรัมละ 269 บาท ส่งฟรี

    คิดราคาตามน้ำหนัก

    1 ผล น้ำหนักเฉลี่ย 1.5-2.5 กิโลกรัม จำหน่าย กิโลกรัมละ 269 บาท

    2 ผล น้ำหนักเฉลี่ย 3-5 กิโลกรัม จำหน่าย กิโลกรัมละ 259 บาท

    3 ผล ขึ้นไป น้ำหนักเฉลี่ย 6-9 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 249 บาท

    ซื้อ 10 กก.ขึ้นไป จำหน่ายกิโลกรัมละ 239 บาท
    ------------------------------
    ตัวอย่างการคำนวณ :

    ซื้อ 3 กก. → 259 × 3 = 777 บาท (จากปกติ 807 บาท)

    ซื้อ 5 กก. → 259 × 5 = 1,295 บาท (จากปกติ 1,345 บาท)

    ซื้อ 10 กก. → 239 × 10 = 2,390 บาท (จากปกติ 2,690 บาท)

    -------------------------------

    วิธีสั่งซื้อ:
    1. ทักอินบ๊อกเพจ
    2. แจ้งจำนวนลูกที่ต้องการ / หรือ แจ้งเป็นกิโลกรัม จะจัดส่งโดยเฉลี่ยน้ำหนัก
    3. ทีมงานจะสรุปยอด และ แจ้งบัญชี
    4. ลูกค้าส่งสลิปโอน จะทำการตัดยอด
    5. ทางสหกรณ์จะดำเนินการส่งให้ลูกค้าโดยตรงในวันรุ่งขึ้น

    ก่อนแกะทุเรียน
    ทางสหกรณ์จะมีคำแนะนำวันที่ในการแกะที่เหมาะสม โปรดสังเกตคำแนะนำตามฉลากที่ขั้วทุเรียน

    หากพบปัญหาให้ถ่ายรูปพร้อมฉลาก และแจ้งตามช่องทางที่ระบุที่ฉลากบนขั้วทุเรียนเพื่อดำเนินการจัดส่ง

    รับเคลม โดยเป็นไปตามเงื่อนไขคำแนะนำวันที่ รวมถึงความชำรุดบกพร่องในการขนส่ง ยกเว้นกรณีลูกค้าแกะก่อนสุกโดยไม่ปฏิบัติตามข้อแนะนำ

    โปรดอ่านเงื่อนไขการรับเคลมโดยละเอียด

    ( ภาพแกะเนื้อเป็นภาพตัวอย่างเนื้อ เพื่อการโฆษณา )

    --------------------------------------------
    --------------------------------------------

    ประวัติการพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียนป่าละอู

    ทุเรียนป่าละอูมีความเกี่ยวข้องกับโครงการตามพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้พระราชทานต้นกล้าทุเรียนพันธุ์หมอนทองให้แก่ตำรวจตระเวนชายแดนนำไปปลูกในพื้นที่

    ทุเรียนป่าละอู เริ่มมีการนำเข้ามาปลูกในพื้นที่ป่าละอู ประมาณปีพ.ศ. 2527 ผู้ที่นำเข้ามาคนแรก คือนายพยุง พรายใย โดยนำพันธ์เม็ดใน ก้านยาว จากจังหวัดนนทบุรี และพันธุ์หมอนทอง จากระยอง มาทดลองปลูกจำนวน 100 ต้น ได้ผลผลิตที่ดีและแตกต่างจากต้นพันธุ์ที่นำมาจากทั้งสองจังหวัด

    เนื่องจากความสัมพันธ์กับพื้นที่เพาะปลูกที่ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ มีพื้นที่เป็นเทือกเขาสลับที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำปราณบุรีไหลผ่าน สภาพพื้นดินอุดมสมบูรณ์มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี มีความชื้นสัมพันธ์สูง อุณหภูมิต่ำในเวลากลางคืน ช่วงหน้าฝนจะมีน้ำไหลบ่าลงจากยอดเขานำเอาแร่ธาตุอาหารมาเติมให้กับพื้นที่เกษตร สภาพดินเป็นดินปนทราย น้ำไม่ขังนาน เหมาะแก่การปลูกทุเรียน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ทุเรียนป่าละอูมีความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่าง

    ทุเรียนลูกใหญ่กว่าที่อื่น เฉลี่ยน้ำหนักอยู่ที่ 1.5-5 กิโลกรัมต่อลูก ผลมีลักษณะเป็นวงรี ด้านใต้ผลจะแหลม ปลายหนามคม เห็นร่องพูชัดเจน

    โดยสีของเปลือกจะเป็นสีเขียวปนน้ำตาล ในส่วนของลักษณะเนื้อทุเรียน คือ มีรสหวาน เนื้อหนาเนียนละเอียด สีเหลืองอ่อน เนื้อแห้งมีความมันมากกว่าความหวาน กลิ่นไม่รุนแรง และมีรสชาติดี เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่ไม่ชอบทุเรียนที่กลิ่นแรง.

    ที่มาข้อมูล : กรมทรัพย์สินทางปัญญา
    https://www.ipthailand.go.th/images/781/s_57100062_1.pdf
    ขายทุเรียนป่าละอู ส่งตรงถึงท่านจากสหกรณ์การเกษตรห้วยสัตว์ใหญ่นะครับ ช่วยเกษตรกรระบายผลผลิตปลายฤดูกาลครับ สำหรับ fans สนธิทอร์ค, news1, และเครือ ผจก ให้ระบุใน in box ว่ามาจาก Thai town จะลดให้อีก10% จากราคารวมตามเงื่อนไขโปรโมชั่นครับ ต้องขออภัยทางไทยทาวน์ ขอวางลิงค์ facebook ไว้เป็นข้อมูลติดต่อเพิ่มเติมครับ https://www.facebook.com/share/p/185sW6wkYB/?mibextid=wwXIfr ----------- 📢โค้งสุดท้ายก่อนหมดฤดูกาล 📢 ☀️☀️☀️☀️☀️จำหน่ายทุเรียนป่าละอูแท้ 100% จากสหกรณ์การเกษตรห้วยสัตว์ใหญ่ จำกัด โครงการตามพระราชประสงค์ ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทุเรียนป่าละอูเป็นทุเรียนคุณภาพสูง และ มีการพัฒนามาอย่างยาวนานโดยทรงคุณค่าในความเฉพาะตัวและรักษาเอกลักษณ์ของแหล่งผลิตไว้ได้เป็นอย่างดี เป็นความภูมิใจของชุมชนและคนไทยทั้งปวง 🌟ได้รับการขึ้นทะเบียน GI : ได้รับหนังสืออนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทยในฐานะเป็นผู้ผลิต "ทุเรียนป่าละอู" ทะเบียนเลขที่ สช 57100062 จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทุเรียนป่าละอูแท้มีให้รับประทาน ปีละครั้งเดียว ช่วงเดือน มิถุนายนไปจนสิ้นเดือนกรกฎาคม เป็นการนำทุเรียนหมอนทองและชะนีมาปลูกพัฒนาในพื้นที่ป่าจนได้ลักษณะพิเศษของเนื้อและพันธ์ุที่บ่มเพาะโดยดินฟ้าอากาศและน้ำจากป่าเขาธรรมชาติ ------------------------------------------------------ 📣📣📣 วันนี้ บริษัท เนียร์นอร์ท จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่าย (รายใหม่) และได้เริ่มดำเนินแผนในการส่งออก รวมทั้งเตรียมจำหน่ายในช่องทางที่หลากหลาย โดยได้ร่วมมือกับสหกรณ์ห้วยสัตว์ใหญ่ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจากสงครามราคาทุเรียน และ โปรโมทสินค้าในท้ายฤดูกาลนี้ ⭐️จึงจัดจำหน่ายราคาเดียวกับสหกรณ์ ⭐️ ทุเรียนจะถูกตัดสดจากสวนของสมาชิกในสหกรณ์ และส่งโดยตรงถึงท่าน เริ่มจัดส่งตั้งแต่ 14 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือน หรือ จนสินค้าหมด -------------------------- ⚡️ราคาจำหน่าย : ทุเรียน กิโลกรัมละ 269 บาท ส่งฟรี คิดราคาตามน้ำหนัก 1 ผล น้ำหนักเฉลี่ย 1.5-2.5 กิโลกรัม จำหน่าย กิโลกรัมละ 269 บาท 2 ผล น้ำหนักเฉลี่ย 3-5 กิโลกรัม จำหน่าย กิโลกรัมละ 259 บาท 3 ผล ขึ้นไป น้ำหนักเฉลี่ย 6-9 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 249 บาท ซื้อ 10 กก.ขึ้นไป จำหน่ายกิโลกรัมละ 239 บาท ------------------------------ ตัวอย่างการคำนวณ : ซื้อ 3 กก. → 259 × 3 = 777 บาท (จากปกติ 807 บาท) ซื้อ 5 กก. → 259 × 5 = 1,295 บาท (จากปกติ 1,345 บาท) ซื้อ 10 กก. → 239 × 10 = 2,390 บาท (จากปกติ 2,690 บาท) ------------------------------- ✅วิธีสั่งซื้อ: 1. ทักอินบ๊อกเพจ 2. แจ้งจำนวนลูกที่ต้องการ / หรือ แจ้งเป็นกิโลกรัม จะจัดส่งโดยเฉลี่ยน้ำหนัก 3. ทีมงานจะสรุปยอด และ แจ้งบัญชี 4. ลูกค้าส่งสลิปโอน จะทำการตัดยอด 5. ทางสหกรณ์จะดำเนินการส่งให้ลูกค้าโดยตรงในวันรุ่งขึ้น ⚠️ ก่อนแกะทุเรียน ทางสหกรณ์จะมีคำแนะนำวันที่ในการแกะที่เหมาะสม โปรดสังเกตคำแนะนำตามฉลากที่ขั้วทุเรียน หากพบปัญหาให้ถ่ายรูปพร้อมฉลาก และแจ้งตามช่องทางที่ระบุที่ฉลากบนขั้วทุเรียนเพื่อดำเนินการจัดส่ง ✅ รับเคลม โดยเป็นไปตามเงื่อนไขคำแนะนำวันที่ รวมถึงความชำรุดบกพร่องในการขนส่ง ยกเว้นกรณีลูกค้าแกะก่อนสุกโดยไม่ปฏิบัติตามข้อแนะนำ ⚠️โปรดอ่านเงื่อนไขการรับเคลมโดยละเอียด ( ภาพแกะเนื้อเป็นภาพตัวอย่างเนื้อ เพื่อการโฆษณา ) -------------------------------------------- -------------------------------------------- ✨ประวัติการพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียนป่าละอู✨ ทุเรียนป่าละอูมีความเกี่ยวข้องกับโครงการตามพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้พระราชทานต้นกล้าทุเรียนพันธุ์หมอนทองให้แก่ตำรวจตระเวนชายแดนนำไปปลูกในพื้นที่ ทุเรียนป่าละอู เริ่มมีการนำเข้ามาปลูกในพื้นที่ป่าละอู ประมาณปีพ.ศ. 2527 ผู้ที่นำเข้ามาคนแรก คือนายพยุง พรายใย โดยนำพันธ์เม็ดใน ก้านยาว จากจังหวัดนนทบุรี และพันธุ์หมอนทอง จากระยอง มาทดลองปลูกจำนวน 100 ต้น ได้ผลผลิตที่ดีและแตกต่างจากต้นพันธุ์ที่นำมาจากทั้งสองจังหวัด เนื่องจากความสัมพันธ์กับพื้นที่เพาะปลูกที่ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ มีพื้นที่เป็นเทือกเขาสลับที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำปราณบุรีไหลผ่าน สภาพพื้นดินอุดมสมบูรณ์มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี มีความชื้นสัมพันธ์สูง อุณหภูมิต่ำในเวลากลางคืน ช่วงหน้าฝนจะมีน้ำไหลบ่าลงจากยอดเขานำเอาแร่ธาตุอาหารมาเติมให้กับพื้นที่เกษตร สภาพดินเป็นดินปนทราย น้ำไม่ขังนาน เหมาะแก่การปลูกทุเรียน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ทุเรียนป่าละอูมีความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่าง ทุเรียนลูกใหญ่กว่าที่อื่น เฉลี่ยน้ำหนักอยู่ที่ 1.5-5 กิโลกรัมต่อลูก ผลมีลักษณะเป็นวงรี ด้านใต้ผลจะแหลม ปลายหนามคม เห็นร่องพูชัดเจน โดยสีของเปลือกจะเป็นสีเขียวปนน้ำตาล ในส่วนของลักษณะเนื้อทุเรียน คือ มีรสหวาน เนื้อหนาเนียนละเอียด สีเหลืองอ่อน เนื้อแห้งมีความมันมากกว่าความหวาน กลิ่นไม่รุนแรง และมีรสชาติดี เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่ไม่ชอบทุเรียนที่กลิ่นแรง. ที่มาข้อมูล : กรมทรัพย์สินทางปัญญา https://www.ipthailand.go.th/images/781/s_57100062_1.pdf
    0 Comments 0 Shares 873 Views 0 Reviews
  • เศรษฐกิจในปี 2024 ไม่ได้โตจากรถสิบล้อวิ่งเข้าโรงงานอีกต่อไป…แต่โตจาก “การเทเงินเข้าไปที่ซอฟต์แวร์, โมเดล AI และสิทธิบัตรทางปัญญา” → รายงานร่วมจาก UN + Luiss Business School เผยว่า ประเทศกว่า 27 แห่งลงทุนในทรัพย์สินแบบไม่มีตัวตนถึง 7.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ → โตขึ้นจากปีที่แล้ว (~7.4 ล้านล้าน) แม้เศรษฐกิจโลกจะซบเซา!

    ประเทศที่ทุ่มสุดคือ สหรัฐฯ → ลงทุนมากกว่าฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น และอังกฤษรวมกัน → ส่วน “ประเทศที่เข้มข้นที่สุด” ในแง่สัดส่วน GDP คือ สวีเดน ที่การลงทุนแบบ intangible กินพื้นที่เศรษฐกิจถึง 16% → ตามด้วยสหรัฐฯ, ฝรั่งเศส และฟินแลนด์ (15%) → และอินเดียก็ขยับแซงหลายชาติ EU แล้วด้วยตัวเลขเกือบ 10%

    สิ่งที่โตเร็วที่สุดไม่ใช่แค่โมเดล AI → แต่คือ ซอฟต์แวร์ + ฐานข้อมูล ซึ่งโตเฉลี่ย 7%/ปี ตั้งแต่ปี 2013–2022 → เพราะระบบ AI ต้องการ “ดาต้าที่สะอาดและมีลิขสิทธิ์ชัดเจน” มาป้อนให้โมเดลเรียนรู้ → ซึ่งกลายเป็นหัวใจของมูลค่าทรัพย์สินใหม่โลกเทคโนโลยี

    นักวิจัย UN ยังทิ้งท้ายว่า… → ตอนนี้คือ “จุดเริ่มต้นของยุค AI” ไม่ใช่จุดกลางหรือจุดท้าย → ความเปลี่ยนแปลงที่ลึกกว่านี้อาจยังมาไม่ถึง แต่ต้องเตรียมรับตั้งแต่วันนี้

    การลงทุนในทรัพย์สินไม่มีตัวตน (intangible assets) โต 3 เท่าเมื่อเทียบกับทรัพย์สินจริง (machinery, buildings) ปี 2024  
    • รวมมูลค่าประมาณ $7.6T จาก 27 ประเทศ (โตจาก $7.4T ปี 2023)  
    • ปัจจัยที่ฉุด tangible asset = ดอกเบี้ยสูง, เศรษฐกิจฟื้นช้า

    ประเทศที่ลงทุนสูงสุดใน absolute คือ สหรัฐอเมริกา → มากกว่าทุกประเทศในกลุ่ม G7

    ประเทศที่มีความเข้มข้นสูงสุดด้านทรัพย์สินไร้ตัวตนต่อ GDP:  
    • สวีเดน (16%), สหรัฐฯ–ฝรั่งเศส–ฟินแลนด์ (15%), อินเดีย (~10%)

    ซอฟต์แวร์และฐานข้อมูล เป็นกลุ่มที่โตเร็วที่สุดในกลุ่ม intangible assets (โตเฉลี่ย 7%/ปี ตั้งแต่ 2013–2022)

    โมเดล AI ช่วยเร่งการลงทุนแบบ intangible → โดยเฉพาะด้านฐานข้อมูล, ทรัพย์สินทางปัญญา, และการเรียนรู้เชิงลึก

    การโตของ intangible asset มีความเสถียรตลอดช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ปี 2008 หรือช่วงโควิด (โตเฉลี่ย 4% ต่อปี)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/10/un-investments-rise-in-data-ai-outpacing-physical-assets
    เศรษฐกิจในปี 2024 ไม่ได้โตจากรถสิบล้อวิ่งเข้าโรงงานอีกต่อไป…แต่โตจาก “การเทเงินเข้าไปที่ซอฟต์แวร์, โมเดล AI และสิทธิบัตรทางปัญญา” → รายงานร่วมจาก UN + Luiss Business School เผยว่า ประเทศกว่า 27 แห่งลงทุนในทรัพย์สินแบบไม่มีตัวตนถึง 7.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ → โตขึ้นจากปีที่แล้ว (~7.4 ล้านล้าน) แม้เศรษฐกิจโลกจะซบเซา! ประเทศที่ทุ่มสุดคือ สหรัฐฯ → ลงทุนมากกว่าฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น และอังกฤษรวมกัน → ส่วน “ประเทศที่เข้มข้นที่สุด” ในแง่สัดส่วน GDP คือ สวีเดน ที่การลงทุนแบบ intangible กินพื้นที่เศรษฐกิจถึง 16% → ตามด้วยสหรัฐฯ, ฝรั่งเศส และฟินแลนด์ (15%) → และอินเดียก็ขยับแซงหลายชาติ EU แล้วด้วยตัวเลขเกือบ 10% สิ่งที่โตเร็วที่สุดไม่ใช่แค่โมเดล AI → แต่คือ ซอฟต์แวร์ + ฐานข้อมูล ซึ่งโตเฉลี่ย 7%/ปี ตั้งแต่ปี 2013–2022 → เพราะระบบ AI ต้องการ “ดาต้าที่สะอาดและมีลิขสิทธิ์ชัดเจน” มาป้อนให้โมเดลเรียนรู้ → ซึ่งกลายเป็นหัวใจของมูลค่าทรัพย์สินใหม่โลกเทคโนโลยี นักวิจัย UN ยังทิ้งท้ายว่า… → ตอนนี้คือ “จุดเริ่มต้นของยุค AI” ไม่ใช่จุดกลางหรือจุดท้าย → ความเปลี่ยนแปลงที่ลึกกว่านี้อาจยังมาไม่ถึง แต่ต้องเตรียมรับตั้งแต่วันนี้ ✅ การลงทุนในทรัพย์สินไม่มีตัวตน (intangible assets) โต 3 เท่าเมื่อเทียบกับทรัพย์สินจริง (machinery, buildings) ปี 2024   • รวมมูลค่าประมาณ $7.6T จาก 27 ประเทศ (โตจาก $7.4T ปี 2023)   • ปัจจัยที่ฉุด tangible asset = ดอกเบี้ยสูง, เศรษฐกิจฟื้นช้า ✅ ประเทศที่ลงทุนสูงสุดใน absolute คือ สหรัฐอเมริกา → มากกว่าทุกประเทศในกลุ่ม G7 ✅ ประเทศที่มีความเข้มข้นสูงสุดด้านทรัพย์สินไร้ตัวตนต่อ GDP:   • สวีเดน (16%), สหรัฐฯ–ฝรั่งเศส–ฟินแลนด์ (15%), อินเดีย (~10%) ✅ ซอฟต์แวร์และฐานข้อมูล เป็นกลุ่มที่โตเร็วที่สุดในกลุ่ม intangible assets (โตเฉลี่ย 7%/ปี ตั้งแต่ 2013–2022) ✅ โมเดล AI ช่วยเร่งการลงทุนแบบ intangible → โดยเฉพาะด้านฐานข้อมูล, ทรัพย์สินทางปัญญา, และการเรียนรู้เชิงลึก ✅ การโตของ intangible asset มีความเสถียรตลอดช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ปี 2008 หรือช่วงโควิด (โตเฉลี่ย 4% ต่อปี) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/10/un-investments-rise-in-data-ai-outpacing-physical-assets
    0 Comments 0 Shares 595 Views 0 Reviews
More Results