• “AI ออกแบบคอมพิวเตอร์เสร็จใน 1 สัปดาห์ – Project Speedrun สร้างสถิติใหม่”

    การออกแบบแผงวงจร (PCB) มักเป็นงานที่ใช้เวลานานและซับซ้อน โดยปกติวิศวกรต้องใช้เวลาหลายเดือนในการวางแผนและทดสอบ แต่ Quilter AI ได้แสดงให้เห็นว่า AI สามารถลดเวลาจาก 430 ชั่วโมงเหลือเพียง 38.5 ชั่วโมง พร้อมสร้างคอมพิวเตอร์ที่บูตระบบปฏิบัติการ Debian ได้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก ถือเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของ AI ในการออกแบบฮาร์ดแวร์ที่ซับซ้อน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Quilter AI ไม่ได้ถูกฝึกจากตัวอย่าง PCB ที่มนุษย์ออกแบบมาก่อน แต่ใช้การ “เล่นเกมกับกฎฟิสิกส์” เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด ทำให้ระบบไม่ถูกจำกัดด้วยข้อผิดพลาดที่มนุษย์เคยทำ และสามารถสร้างการออกแบบที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

    การทดลองนี้ยังสะท้อนถึงอนาคตของอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ ที่อาจเปิดโอกาสให้ สตาร์ทอัพหรือผู้เล่นรายเล็กเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น เพราะ AI สามารถลดต้นทุนเวลาและแรงงานลงอย่างมหาศาล ทำให้การสร้างคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใหม่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ทีมวิศวกรขนาดใหญ่เสมอไป

    ในระยะยาว Quilter ตั้งเป้าว่า AI จะไม่เพียงแค่ “ทำงานแทนมนุษย์” แต่จะสามารถออกแบบ PCB ที่ดีกว่าที่มนุษย์เคยทำได้ ซึ่งหากสำเร็จจริง อาจเป็นการพลิกโฉมวงการอิเล็กทรอนิกส์และการผลิตคอมพิวเตอร์ทั่วโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Project Speedrun ของ Quilter AI
    ออกแบบคอมพิวเตอร์ Linux แบบ Dual-PCB มีชิ้นส่วน 843 ชิ้น

    ลดเวลาออกแบบอย่างมหาศาล
    ใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ และแรงงานมนุษย์ 38.5 ชั่วโมง จากเดิม 430 ชั่วโมง

    บูต Debian สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก
    แสดงถึงความแม่นยำและประสิทธิภาพของการออกแบบโดย AI

    แนวทางการฝึก AI
    ไม่ใช้ตัวอย่างมนุษย์ แต่เรียนรู้จากกฎฟิสิกส์โดยตรง

    ความท้าทายและความเสี่ยง
    หาก AI ออกแบบผิดพลาด อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อวงจรหรือระบบที่ซับซ้อน
    การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะการออกแบบเชิงลึก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/dual-pcb-linux-computer-with-843-components-designed-by-ai-boots-on-first-attempt-project-speedrun-was-made-in-just-one-week-and-required-less-than-40-hours-of-human-work
    📰 “AI ออกแบบคอมพิวเตอร์เสร็จใน 1 สัปดาห์ – Project Speedrun สร้างสถิติใหม่” การออกแบบแผงวงจร (PCB) มักเป็นงานที่ใช้เวลานานและซับซ้อน โดยปกติวิศวกรต้องใช้เวลาหลายเดือนในการวางแผนและทดสอบ แต่ Quilter AI ได้แสดงให้เห็นว่า AI สามารถลดเวลาจาก 430 ชั่วโมงเหลือเพียง 38.5 ชั่วโมง พร้อมสร้างคอมพิวเตอร์ที่บูตระบบปฏิบัติการ Debian ได้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก ถือเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของ AI ในการออกแบบฮาร์ดแวร์ที่ซับซ้อน สิ่งที่น่าสนใจคือ Quilter AI ไม่ได้ถูกฝึกจากตัวอย่าง PCB ที่มนุษย์ออกแบบมาก่อน แต่ใช้การ “เล่นเกมกับกฎฟิสิกส์” เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด ทำให้ระบบไม่ถูกจำกัดด้วยข้อผิดพลาดที่มนุษย์เคยทำ และสามารถสร้างการออกแบบที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม การทดลองนี้ยังสะท้อนถึงอนาคตของอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ ที่อาจเปิดโอกาสให้ สตาร์ทอัพหรือผู้เล่นรายเล็กเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น เพราะ AI สามารถลดต้นทุนเวลาและแรงงานลงอย่างมหาศาล ทำให้การสร้างคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใหม่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ทีมวิศวกรขนาดใหญ่เสมอไป ในระยะยาว Quilter ตั้งเป้าว่า AI จะไม่เพียงแค่ “ทำงานแทนมนุษย์” แต่จะสามารถออกแบบ PCB ที่ดีกว่าที่มนุษย์เคยทำได้ ซึ่งหากสำเร็จจริง อาจเป็นการพลิกโฉมวงการอิเล็กทรอนิกส์และการผลิตคอมพิวเตอร์ทั่วโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Project Speedrun ของ Quilter AI ➡️ ออกแบบคอมพิวเตอร์ Linux แบบ Dual-PCB มีชิ้นส่วน 843 ชิ้น ✅ ลดเวลาออกแบบอย่างมหาศาล ➡️ ใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ และแรงงานมนุษย์ 38.5 ชั่วโมง จากเดิม 430 ชั่วโมง ✅ บูต Debian สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก ➡️ แสดงถึงความแม่นยำและประสิทธิภาพของการออกแบบโดย AI ✅ แนวทางการฝึก AI ➡️ ไม่ใช้ตัวอย่างมนุษย์ แต่เรียนรู้จากกฎฟิสิกส์โดยตรง ‼️ ความท้าทายและความเสี่ยง ⛔ หาก AI ออกแบบผิดพลาด อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อวงจรหรือระบบที่ซับซ้อน ⛔ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะการออกแบบเชิงลึก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/dual-pcb-linux-computer-with-843-components-designed-by-ai-boots-on-first-attempt-project-speedrun-was-made-in-just-one-week-and-required-less-than-40-hours-of-human-work
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Dual-PCB Linux computer with 843 components designed by AI boots on first attempt — Project Speedrun was made in just one week and required less than 40 hours of human work
    Quilter, the LA-based startup behind this feat, says its dual-PCB Linux computer with 843 components was designed in just one week.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • ShinyHunters ขู่เปิดโปงข้อมูลผู้ใช้ Pornhub Premium

    เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 กลุ่มแฮ็กเกอร์ ShinyHunters ประกาศว่าพวกเขาได้ขโมยข้อมูลของผู้ใช้ Pornhub Premium และกำลังเรียกร้องค่าไถ่เป็น Bitcoin เพื่อแลกกับการไม่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว โดยมีการปล่อยตัวอย่างข้อมูลที่ Reuters สามารถตรวจสอบได้บางส่วนว่าเป็นของจริง แม้จะเป็นข้อมูลเก่าหลายปีแล้วก็ตาม

    ผู้ใช้บางรายจากแคนาดาและสหรัฐฯ ยืนยันกับสื่อว่าข้อมูลที่ถูกเปิดเผยเป็นของตนจริง ซึ่งสร้างความกังวลว่าข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมลและรายละเอียดการสมัครสมาชิก อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

    Pornhub และบริษัทแม่ Ethical Capital Partners ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับ Mixpanel บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลภายนอก โดยข้อมูลที่รั่วไหลเป็นเพียง “ชุดข้อมูลการวิเคราะห์ที่จำกัด” และไม่ใช่ข้อมูลการชำระเงินหรือข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ Pornhub เอง ขณะที่ Mixpanel ก็ออกแถลงการณ์ว่าไม่พบหลักฐานว่าข้อมูลที่ถูกขโมยมาจากเหตุการณ์ความปลอดภัยของตน

    ShinyHunters เป็นกลุ่มที่มีประวัติการโจมตีองค์กรใหญ่หลายแห่ง เช่น Salesforce และร้านค้าหรูในสหราชอาณาจักร โดยใช้วิธีการขโมยข้อมูลลูกค้าแล้วเรียกค่าไถ่ ซึ่งทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกจับตามองอย่างมากในวงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การโจมตีของ ShinyHunters
    อ้างว่าขโมยข้อมูลผู้ใช้ Pornhub Premium
    เรียกร้องค่าไถ่เป็น Bitcoin

    ข้อมูลที่ถูกเปิดเผย
    มีการยืนยันจากผู้ใช้บางรายว่าเป็นข้อมูลจริง
    ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเก่าหลายปี

    คำชี้แจงจาก Pornhub และ Mixpanel
    ระบุว่าเป็นข้อมูลการวิเคราะห์ที่จำกัด ไม่ใช่ข้อมูลการชำระเงิน
    Mixpanel ยืนยันว่าไม่พบหลักฐานว่าข้อมูลรั่วจากระบบของตน

    ประวัติของ ShinyHunters
    เคยโจมตี Salesforce และร้านค้าหรูในสหราชอาณาจักร
    ใช้วิธีการขโมยข้อมูลลูกค้าแล้วเรียกค่าไถ่

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้บริการออนไลน์
    ควรใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน
    หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวกับแพลตฟอร์มที่ไม่น่าเชื่อถือ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/17/hacking-group-shinyhunters-threatens-to-expose-premium-users-of-sex-site-pornhub
    🕵️‍♂️ ShinyHunters ขู่เปิดโปงข้อมูลผู้ใช้ Pornhub Premium เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 กลุ่มแฮ็กเกอร์ ShinyHunters ประกาศว่าพวกเขาได้ขโมยข้อมูลของผู้ใช้ Pornhub Premium และกำลังเรียกร้องค่าไถ่เป็น Bitcoin เพื่อแลกกับการไม่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว โดยมีการปล่อยตัวอย่างข้อมูลที่ Reuters สามารถตรวจสอบได้บางส่วนว่าเป็นของจริง แม้จะเป็นข้อมูลเก่าหลายปีแล้วก็ตาม ผู้ใช้บางรายจากแคนาดาและสหรัฐฯ ยืนยันกับสื่อว่าข้อมูลที่ถูกเปิดเผยเป็นของตนจริง ซึ่งสร้างความกังวลว่าข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมลและรายละเอียดการสมัครสมาชิก อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด Pornhub และบริษัทแม่ Ethical Capital Partners ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับ Mixpanel บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลภายนอก โดยข้อมูลที่รั่วไหลเป็นเพียง “ชุดข้อมูลการวิเคราะห์ที่จำกัด” และไม่ใช่ข้อมูลการชำระเงินหรือข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ Pornhub เอง ขณะที่ Mixpanel ก็ออกแถลงการณ์ว่าไม่พบหลักฐานว่าข้อมูลที่ถูกขโมยมาจากเหตุการณ์ความปลอดภัยของตน ShinyHunters เป็นกลุ่มที่มีประวัติการโจมตีองค์กรใหญ่หลายแห่ง เช่น Salesforce และร้านค้าหรูในสหราชอาณาจักร โดยใช้วิธีการขโมยข้อมูลลูกค้าแล้วเรียกค่าไถ่ ซึ่งทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกจับตามองอย่างมากในวงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การโจมตีของ ShinyHunters ➡️ อ้างว่าขโมยข้อมูลผู้ใช้ Pornhub Premium ➡️ เรียกร้องค่าไถ่เป็น Bitcoin ✅ ข้อมูลที่ถูกเปิดเผย ➡️ มีการยืนยันจากผู้ใช้บางรายว่าเป็นข้อมูลจริง ➡️ ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเก่าหลายปี ✅ คำชี้แจงจาก Pornhub และ Mixpanel ➡️ ระบุว่าเป็นข้อมูลการวิเคราะห์ที่จำกัด ไม่ใช่ข้อมูลการชำระเงิน ➡️ Mixpanel ยืนยันว่าไม่พบหลักฐานว่าข้อมูลรั่วจากระบบของตน ✅ ประวัติของ ShinyHunters ➡️ เคยโจมตี Salesforce และร้านค้าหรูในสหราชอาณาจักร ➡️ ใช้วิธีการขโมยข้อมูลลูกค้าแล้วเรียกค่าไถ่ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้บริการออนไลน์ ⛔ ควรใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน ⛔ หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวกับแพลตฟอร์มที่ไม่น่าเชื่อถือ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/17/hacking-group-shinyhunters-threatens-to-expose-premium-users-of-sex-site-pornhub
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Hacking group ‘ShinyHunters’ threatens to expose premium users of sex site Pornhub
    WASHINGTON, Dec 16 (Reuters) - The hacking group "ShinyHunters" said on Tuesday it has stolen data belonging to premium customers of the leading sex website Pornhub and is threatening to publish it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดนมาร์กกับร่างกฎหมาย VPN ที่เป็นข้อถกเถียง

    รัฐบาลเดนมาร์ก โดยกระทรวงวัฒนธรรม เสนอร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์ให้ “เป็นกลางทางเทคโนโลยี” โดยห้ามการใช้ VPN เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกบล็อกทางภูมิศาสตร์หรือเว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้น ร่างนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะและจะสิ้นสุดในวันที่ 9 มกราคม 2026 หากผ่านการอนุมัติ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2026

    เสียงวิจารณ์และความกังวล
    นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ์ดิจิทัลเตือนว่าถ้อยคำในร่างกฎหมายมีความคลุมเครือ อาจตีความได้ว่าการใช้ VPN ในเชิงปกติ เช่น การปกป้องความเป็นส่วนตัว หรือการเข้าถึงบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจถูกจัดว่าเป็นการกระทำผิด ตัวอย่างเช่น Jesper Lund จาก IT-Politisk Forening ระบุว่าร่างนี้มี “กลิ่นอายแบบเผด็จการ” และไม่เคยมีประเทศใดออกกฎหมายห้ามใช้ VPN โดยตรงมาก่อน ขณะที่นักวิชาการกฎหมายจากมหาวิทยาลัย Syddansk ก็เห็นว่าร่างนี้ “เขียนกว้างเกินไป” และอาจเกินขอบเขตของการคุ้มครองลิขสิทธิ์

    การชี้แจงจากรัฐบาล
    Jakob Engel-Schmidt รัฐมนตรีวัฒนธรรมของเดนมาร์กออกมาปฏิเสธเสียงวิจารณ์ โดยยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ VPN เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ร่างนี้มีเป้าหมายเพียงเพื่อยืนยันว่า การสตรีมคอนเทนต์กีฬาโดยไม่จ่ายเงินหรือไม่มีการสมัครสมาชิกเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมากว่า 10 ปี เขาย้ำว่าการตีความผิด ๆ เป็น “ข่าวปลอม” และจะให้เจ้าหน้าที่ปรับถ้อยคำให้ชัดเจนขึ้นในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดร่างกฎหมาย VPN เดนมาร์ก
    ห้ามใช้ VPN เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกบล็อกหรือเว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้น
    อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (สิ้นสุด 9 ม.ค. 2026)
    มีผลบังคับใช้ 1 ก.ค. 2026 หากผ่าน

    เสียงวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญ
    ถ้อยคำคลุมเครือ อาจกระทบการใช้งาน VPN ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    ถูกมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิ์ดิจิทัลและความเป็นส่วนตัว

    การชี้แจงจากรัฐบาล
    ยืนยันว่าไม่ได้ห้าม VPN โดยตรง
    เป้าหมายคือการป้องกันการสตรีมคอนเทนต์กีฬาโดยไม่จ่ายเงิน

    คำเตือนต่อผู้ใช้ VPN
    หากร่างกฎหมายไม่ถูกปรับแก้ อาจทำให้การใช้ VPN เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวเสี่ยงผิดกฎหมาย
    การเข้าถึงบริการที่ถูกต้องตามกฎหมายผ่าน VPN อาจถูกตีความผิดพลาด

    https://itsfoss.com/news/denmark-controversial-vpn-bill/
    🌐 เดนมาร์กกับร่างกฎหมาย VPN ที่เป็นข้อถกเถียง รัฐบาลเดนมาร์ก โดยกระทรวงวัฒนธรรม เสนอร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์ให้ “เป็นกลางทางเทคโนโลยี” โดยห้ามการใช้ VPN เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกบล็อกทางภูมิศาสตร์หรือเว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้น ร่างนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะและจะสิ้นสุดในวันที่ 9 มกราคม 2026 หากผ่านการอนุมัติ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2026 ⚖️ เสียงวิจารณ์และความกังวล นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ์ดิจิทัลเตือนว่าถ้อยคำในร่างกฎหมายมีความคลุมเครือ อาจตีความได้ว่าการใช้ VPN ในเชิงปกติ เช่น การปกป้องความเป็นส่วนตัว หรือการเข้าถึงบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจถูกจัดว่าเป็นการกระทำผิด ตัวอย่างเช่น Jesper Lund จาก IT-Politisk Forening ระบุว่าร่างนี้มี “กลิ่นอายแบบเผด็จการ” และไม่เคยมีประเทศใดออกกฎหมายห้ามใช้ VPN โดยตรงมาก่อน ขณะที่นักวิชาการกฎหมายจากมหาวิทยาลัย Syddansk ก็เห็นว่าร่างนี้ “เขียนกว้างเกินไป” และอาจเกินขอบเขตของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ 🗣️ การชี้แจงจากรัฐบาล Jakob Engel-Schmidt รัฐมนตรีวัฒนธรรมของเดนมาร์กออกมาปฏิเสธเสียงวิจารณ์ โดยยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ VPN เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ร่างนี้มีเป้าหมายเพียงเพื่อยืนยันว่า การสตรีมคอนเทนต์กีฬาโดยไม่จ่ายเงินหรือไม่มีการสมัครสมาชิกเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมากว่า 10 ปี เขาย้ำว่าการตีความผิด ๆ เป็น “ข่าวปลอม” และจะให้เจ้าหน้าที่ปรับถ้อยคำให้ชัดเจนขึ้นในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดร่างกฎหมาย VPN เดนมาร์ก ➡️ ห้ามใช้ VPN เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกบล็อกหรือเว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้น ➡️ อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (สิ้นสุด 9 ม.ค. 2026) ➡️ มีผลบังคับใช้ 1 ก.ค. 2026 หากผ่าน ✅ เสียงวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ถ้อยคำคลุมเครือ อาจกระทบการใช้งาน VPN ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ➡️ ถูกมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิ์ดิจิทัลและความเป็นส่วนตัว ✅ การชี้แจงจากรัฐบาล ➡️ ยืนยันว่าไม่ได้ห้าม VPN โดยตรง ➡️ เป้าหมายคือการป้องกันการสตรีมคอนเทนต์กีฬาโดยไม่จ่ายเงิน ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ VPN ⛔ หากร่างกฎหมายไม่ถูกปรับแก้ อาจทำให้การใช้ VPN เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวเสี่ยงผิดกฎหมาย ⛔ การเข้าถึงบริการที่ถูกต้องตามกฎหมายผ่าน VPN อาจถูกตีความผิดพลาด https://itsfoss.com/news/denmark-controversial-vpn-bill/
    ITSFOSS.COM
    Is Denmark Really Banning VPNs? A Controversial Bill Has People Worried
    Proposed legislation would make it illegal to use VPNs for accessing geo-blocked content.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ปิดบริการ Dark Web Report กุมภาพันธ์ 2026

    Google ประกาศยุติบริการ Dark Web Report ที่เคยช่วยผู้ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เบอร์โทร หรือที่อยู่ ปรากฏอยู่ในตลาดมืดหรือไม่ บริการนี้เปิดตัวครั้งแรกปี 2023 และขยายให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงได้ในปี 2024 แต่จะหยุดการสแกนข้อมูลใหม่ตั้งแต่ 15 มกราคม 2026 และปิดถาวรใน 16 กุมภาพันธ์ 2026 พร้อมลบข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกจากระบบ

    สาเหตุหลักคือ ข้อจำกัดของบริการ ที่แม้จะแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อพบข้อมูลรั่วไหล แต่กลับไม่สามารถบอกวิธีแก้ไขที่ชัดเจนได้ เช่น เมื่อมีการแจ้งว่า “เบอร์โทรถูกพบใน Dark Web” ผู้ใช้กลับไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ ทำให้เกิดความกังวลมากกว่าการแก้ปัญหา Google จึงเลือกหันไปลงทุนในเครื่องมือที่ให้การป้องกันเชิงรุกและมีขั้นตอนแก้ไขที่ชัดเจนกว่า

    หลังการยุติบริการ Google แนะนำให้ผู้ใช้หันไปใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น Google Password Manager ที่ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ, Security Checkup ที่รีวิวกิจกรรมการเข้าสู่ระบบ, Passkeys ที่ช่วยยืนยันตัวตนแบบปลอดภัย และ Results about you ที่ช่วยลบข้อมูลส่วนตัวออกจากผลการค้นหา Google Search ซึ่งทั้งหมดนี้ให้การป้องกันที่เป็นรูปธรรมมากกว่าเพียงการแจ้งเตือน

    นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่าแม้ Google จะปิดบริการ แต่ผู้ใช้ยังสามารถใช้บริการภายนอก เช่น Have I Been Pwned, Bitwarden, 1Password หรือ Mozilla Monitor Plus ที่ยังคงให้การตรวจสอบข้อมูลรั่วไหลบน Dark Web ได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวอย่างจริงจัง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    กำหนดการปิดบริการ Dark Web Report
    หยุดสแกนข้อมูลใหม่: 15 มกราคม 2026
    ปิดถาวรและลบข้อมูลทั้งหมด: 16 กุมภาพันธ์ 2026

    เหตุผลที่ยุติบริการ
    แจ้งเตือนทั่วไปแต่ไม่ให้แนวทางแก้ไขที่ชัดเจน
    สร้างความกังวลมากกว่าการแก้ปัญหา

    เครื่องมือที่ Google แนะนำแทน
    Google Password Manager – ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ
    Security Checkup – ตรวจสอบกิจกรรมการเข้าสู่ระบบ
    Passkeys – ระบบยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย
    Results about you – ลบข้อมูลส่วนตัวจาก Google Search

    บริการทางเลือกจากภายนอก
    Have I Been Pwned – ตรวจสอบอีเมลที่ถูกเจาะ
    Bitwarden, 1Password, Mozilla Monitor Plus – ให้บริการตรวจสอบข้อมูลรั่วไหล

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากไม่ลบข้อมูลโปรไฟล์ก่อนกำหนด ข้อมูลจะถูกลบโดยอัตโนมัติ 16 กุมภาพันธ์ 2026
    การพึ่งพาเพียงการแจ้งเตือนโดยไม่มีการป้องกันเชิงรุก อาจทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์มากขึ้น
    🛡️ Google ปิดบริการ Dark Web Report กุมภาพันธ์ 2026 Google ประกาศยุติบริการ Dark Web Report ที่เคยช่วยผู้ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เบอร์โทร หรือที่อยู่ ปรากฏอยู่ในตลาดมืดหรือไม่ บริการนี้เปิดตัวครั้งแรกปี 2023 และขยายให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงได้ในปี 2024 แต่จะหยุดการสแกนข้อมูลใหม่ตั้งแต่ 15 มกราคม 2026 และปิดถาวรใน 16 กุมภาพันธ์ 2026 พร้อมลบข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกจากระบบ สาเหตุหลักคือ ข้อจำกัดของบริการ ที่แม้จะแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อพบข้อมูลรั่วไหล แต่กลับไม่สามารถบอกวิธีแก้ไขที่ชัดเจนได้ เช่น เมื่อมีการแจ้งว่า “เบอร์โทรถูกพบใน Dark Web” ผู้ใช้กลับไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ ทำให้เกิดความกังวลมากกว่าการแก้ปัญหา Google จึงเลือกหันไปลงทุนในเครื่องมือที่ให้การป้องกันเชิงรุกและมีขั้นตอนแก้ไขที่ชัดเจนกว่า หลังการยุติบริการ Google แนะนำให้ผู้ใช้หันไปใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น Google Password Manager ที่ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ, Security Checkup ที่รีวิวกิจกรรมการเข้าสู่ระบบ, Passkeys ที่ช่วยยืนยันตัวตนแบบปลอดภัย และ Results about you ที่ช่วยลบข้อมูลส่วนตัวออกจากผลการค้นหา Google Search ซึ่งทั้งหมดนี้ให้การป้องกันที่เป็นรูปธรรมมากกว่าเพียงการแจ้งเตือน นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่าแม้ Google จะปิดบริการ แต่ผู้ใช้ยังสามารถใช้บริการภายนอก เช่น Have I Been Pwned, Bitwarden, 1Password หรือ Mozilla Monitor Plus ที่ยังคงให้การตรวจสอบข้อมูลรั่วไหลบน Dark Web ได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวอย่างจริงจัง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ กำหนดการปิดบริการ Dark Web Report ➡️ หยุดสแกนข้อมูลใหม่: 15 มกราคม 2026 ➡️ ปิดถาวรและลบข้อมูลทั้งหมด: 16 กุมภาพันธ์ 2026 ✅ เหตุผลที่ยุติบริการ ➡️ แจ้งเตือนทั่วไปแต่ไม่ให้แนวทางแก้ไขที่ชัดเจน ➡️ สร้างความกังวลมากกว่าการแก้ปัญหา ✅ เครื่องมือที่ Google แนะนำแทน ➡️ Google Password Manager – ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ ➡️ Security Checkup – ตรวจสอบกิจกรรมการเข้าสู่ระบบ ➡️ Passkeys – ระบบยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย ➡️ Results about you – ลบข้อมูลส่วนตัวจาก Google Search ✅ บริการทางเลือกจากภายนอก ➡️ Have I Been Pwned – ตรวจสอบอีเมลที่ถูกเจาะ ➡️ Bitwarden, 1Password, Mozilla Monitor Plus – ให้บริการตรวจสอบข้อมูลรั่วไหล ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากไม่ลบข้อมูลโปรไฟล์ก่อนกำหนด ข้อมูลจะถูกลบโดยอัตโนมัติ 16 กุมภาพันธ์ 2026 ⛔ การพึ่งพาเพียงการแจ้งเตือนโดยไม่มีการป้องกันเชิงรุก อาจทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์มากขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • Hashcards: เครื่องมือทบทวนความรู้แบบเรียบง่าย

    บทความจาก borretti.me แนะนำ Hashcards ซึ่งเป็นระบบ Spaced Repetition ที่ใช้ไฟล์ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูลการ์ดคำถาม-คำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและแก้ไขได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมซับซ้อนหรือฐานข้อมูลปิด การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เครื่องมือใดก็ได้ที่รองรับข้อความธรรมดา เช่น Git หรือโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป

    จุดเด่นของ Hashcards
    Hashcards ถูกออกแบบมาเพื่อความโปร่งใสและความยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถดูและแก้ไขข้อมูลการ์ดได้โดยตรง ไม่ต้องกังวลเรื่องการล็อกอินหรือการผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ อีกทั้งยังสามารถซิงก์ไฟล์กับระบบควบคุมเวอร์ชัน เช่น Git เพื่อเก็บประวัติการเรียนรู้และแชร์กับผู้อื่นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการใช้ อัลกอริทึม Spaced Repetition ที่ช่วยให้การทบทวนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการทบทวนในช่วงเวลาที่เหมาะสม

    หลักการสำคัญของ Spaced Repetition
    Spacing Effect: งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบว่า การทบทวนข้อมูลแบบเว้นระยะ (เช่น 1 วัน, 3 วัน, 1 สัปดาห์) จะช่วยให้สมองจดจำได้ดีกว่าการท่องจำติดกันในช่วงสั้นๆ
    Active Recall: การดึงข้อมูลออกมาใช้จริง เช่น การตอบคำถามหรือทำแฟลชการ์ด จะช่วยให้สมองสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแรงกว่าการอ่านซ้ำเฉยๆ
    Feedback: แอปมักให้ผลตอบกลับทันทีว่าคุณจำถูกหรือผิด ซึ่งช่วยปรับการเรียนรู้ให้แม่นยำขึ้น
    Prioritization: เน้นทบทวนสิ่งที่จำยากบ่อยกว่า ส่วนสิ่งที่จำได้แล้วจะถูกเลื่อนออกไปทบทวนห่างขึ้น

    ความแตกต่างจากระบบปิด
    ต่างจากแอป Spaced Repetition ที่นิยมอย่าง Anki หรือ Quizlet ซึ่งมักใช้ฐานข้อมูลเฉพาะและมีข้อจำกัดในการเข้าถึง Hashcards เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียข้อมูลหากแพลตฟอร์มปิดตัวลง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ โดยไม่ถูกจำกัดด้วย UI หรือฟีเจอร์ที่ตายตัว

    ผลกระทบต่อการเรียนรู้และชุมชน
    Hashcards เป็นตัวอย่างของการนำแนวคิดโอเพ่นซอร์สมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างระบบทบทวนที่เหมาะกับตนเองได้จริง และยังเปิดโอกาสให้ชุมชนร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง หรือแชร์ชุดการ์ดความรู้ได้อย่างอิสระ ถือเป็นการคืนอำนาจการเรียนรู้ให้กับผู้ใช้โดยตรง

    สรุปสาระสำคัญ
    คุณสมบัติของ Hashcards
    ใช้ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูล
    รองรับการซิงก์กับ Git และเครื่องมือทั่วไป

    ข้อดีของระบบ
    โปร่งใสและยืดหยุ่น
    ไม่ผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ
    ใช้อัลกอริทึม Spaced Repetition เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้

    ข้อควรระวัง
    ต้องการความเข้าใจพื้นฐานด้านการจัดการไฟล์และข้อความ
    อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ UI สำเร็จรูปและใช้งานง่ายทันที

    https://borretti.me/article/hashcards-plain-text-spaced-repetition
    📝 Hashcards: เครื่องมือทบทวนความรู้แบบเรียบง่าย บทความจาก borretti.me แนะนำ Hashcards ซึ่งเป็นระบบ Spaced Repetition ที่ใช้ไฟล์ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูลการ์ดคำถาม-คำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและแก้ไขได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมซับซ้อนหรือฐานข้อมูลปิด การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เครื่องมือใดก็ได้ที่รองรับข้อความธรรมดา เช่น Git หรือโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป ⚡ จุดเด่นของ Hashcards Hashcards ถูกออกแบบมาเพื่อความโปร่งใสและความยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถดูและแก้ไขข้อมูลการ์ดได้โดยตรง ไม่ต้องกังวลเรื่องการล็อกอินหรือการผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ อีกทั้งยังสามารถซิงก์ไฟล์กับระบบควบคุมเวอร์ชัน เช่น Git เพื่อเก็บประวัติการเรียนรู้และแชร์กับผู้อื่นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการใช้ อัลกอริทึม Spaced Repetition ที่ช่วยให้การทบทวนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการทบทวนในช่วงเวลาที่เหมาะสม 🧠 หลักการสำคัญของ Spaced Repetition 💠 Spacing Effect: งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบว่า การทบทวนข้อมูลแบบเว้นระยะ (เช่น 1 วัน, 3 วัน, 1 สัปดาห์) จะช่วยให้สมองจดจำได้ดีกว่าการท่องจำติดกันในช่วงสั้นๆ 💠 Active Recall: การดึงข้อมูลออกมาใช้จริง เช่น การตอบคำถามหรือทำแฟลชการ์ด จะช่วยให้สมองสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแรงกว่าการอ่านซ้ำเฉยๆ 💠 Feedback: แอปมักให้ผลตอบกลับทันทีว่าคุณจำถูกหรือผิด ซึ่งช่วยปรับการเรียนรู้ให้แม่นยำขึ้น 💠 Prioritization: เน้นทบทวนสิ่งที่จำยากบ่อยกว่า ส่วนสิ่งที่จำได้แล้วจะถูกเลื่อนออกไปทบทวนห่างขึ้น 🔒 ความแตกต่างจากระบบปิด ต่างจากแอป Spaced Repetition ที่นิยมอย่าง Anki หรือ Quizlet ซึ่งมักใช้ฐานข้อมูลเฉพาะและมีข้อจำกัดในการเข้าถึง Hashcards เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียข้อมูลหากแพลตฟอร์มปิดตัวลง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ โดยไม่ถูกจำกัดด้วย UI หรือฟีเจอร์ที่ตายตัว 🌍 ผลกระทบต่อการเรียนรู้และชุมชน Hashcards เป็นตัวอย่างของการนำแนวคิดโอเพ่นซอร์สมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างระบบทบทวนที่เหมาะกับตนเองได้จริง และยังเปิดโอกาสให้ชุมชนร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง หรือแชร์ชุดการ์ดความรู้ได้อย่างอิสระ ถือเป็นการคืนอำนาจการเรียนรู้ให้กับผู้ใช้โดยตรง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คุณสมบัติของ Hashcards ➡️ ใช้ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูล ➡️ รองรับการซิงก์กับ Git และเครื่องมือทั่วไป ✅ ข้อดีของระบบ ➡️ โปร่งใสและยืดหยุ่น ➡️ ไม่ผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ ➡️ ใช้อัลกอริทึม Spaced Repetition เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ต้องการความเข้าใจพื้นฐานด้านการจัดการไฟล์และข้อความ ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ UI สำเร็จรูปและใช้งานง่ายทันที https://borretti.me/article/hashcards-plain-text-spaced-repetition
    BORRETTI.ME
    Hashcards: A Plain-Text Spaced Repetition System
    Announcing my latest open-source project.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI แทนแรงงาน: คำถามใหม่ด้านเศรษฐกิจและสังคม

    บทความจาก El País ตั้งคำถามสำคัญว่า หาก AI เข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ในหลายอุตสาหกรรม ควรมีการเก็บภาษีจาก AI หรือไม่ เพื่อชดเชยรายได้ภาษีที่รัฐสูญเสียไปจากการลดลงของแรงงานมนุษย์ และเพื่อสนับสนุนระบบสวัสดิการสังคมที่ต้องรองรับผู้ที่ตกงานจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

    มุมมองจากนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง
    นักเศรษฐศาสตร์บางคนเสนอว่า การเก็บภาษีจาก AI หรือบริษัทที่ใช้ AI อย่างเข้มข้น อาจช่วยสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเป็นธรรมทางสังคม แนวคิดนี้คล้ายกับการเก็บภาษีจากหุ่นยนต์ที่เคยถูกเสนอโดย Bill Gates เพื่อป้องกันไม่ให้การใช้เทคโนโลยีทำลายฐานภาษีของรัฐ ขณะเดียวกัน นักการเมืองบางฝ่ายกังวลว่าการเก็บภาษีเช่นนี้อาจ ชะลอการลงทุนและนวัตกรรม

    ความท้าทายในการบังคับใช้
    แม้แนวคิดดูสมเหตุสมผล แต่การบังคับใช้จริงกลับซับซ้อน เพราะต้องนิยามว่า “AI” คืออะไร และจะวัดการแทนที่แรงงานมนุษย์อย่างไร ตัวอย่างเช่น หากบริษัทใช้ AI เพียงบางส่วนในกระบวนการผลิต จะต้องเสียภาษีเท่าใด? อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่บริษัทจะหาทางเลี่ยงภาษีผ่านการจัดโครงสร้างธุรกิจที่ซับซ้อน

    ผลกระทบต่ออนาคตแรงงานและสังคม
    บทความชี้ว่า การถกเถียงเรื่องภาษี AI ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องความยุติธรรมทางสังคม หากไม่มีมาตรการรองรับ การแทนที่แรงงานมนุษย์ด้วย AI อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการของรัฐในระยะยาว

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิดการเก็บภาษี AI
    เพื่อชดเชยรายได้ภาษีที่หายไปจากแรงงานมนุษย์
    สนับสนุนระบบสวัสดิการสังคม

    ข้อเสนอจากนักเศรษฐศาสตร์
    คล้ายกับแนวคิดเก็บภาษีหุ่นยนต์ที่ Bill Gates เคยเสนอ
    ช่วยสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเป็นธรรม

    ความท้าทายในการบังคับใช้
    ต้องนิยามว่า “AI” คืออะไร และวัดผลแทนแรงงานอย่างไร
    เสี่ยงต่อการเลี่ยงภาษีจากบริษัท

    ผลกระทบต่อสังคม
    หากไม่มีมาตรการรองรับ อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำ
    ระบบสวัสดิการอาจถูกกดดันหนักขึ้นในอนาคต

    https://english.elpais.com/technology/2025-11-30/if-ai-replaces-workers-should-it-also-pay-taxes.html
    🤖 AI แทนแรงงาน: คำถามใหม่ด้านเศรษฐกิจและสังคม บทความจาก El País ตั้งคำถามสำคัญว่า หาก AI เข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ในหลายอุตสาหกรรม ควรมีการเก็บภาษีจาก AI หรือไม่ เพื่อชดเชยรายได้ภาษีที่รัฐสูญเสียไปจากการลดลงของแรงงานมนุษย์ และเพื่อสนับสนุนระบบสวัสดิการสังคมที่ต้องรองรับผู้ที่ตกงานจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี 💼 มุมมองจากนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์บางคนเสนอว่า การเก็บภาษีจาก AI หรือบริษัทที่ใช้ AI อย่างเข้มข้น อาจช่วยสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเป็นธรรมทางสังคม แนวคิดนี้คล้ายกับการเก็บภาษีจากหุ่นยนต์ที่เคยถูกเสนอโดย Bill Gates เพื่อป้องกันไม่ให้การใช้เทคโนโลยีทำลายฐานภาษีของรัฐ ขณะเดียวกัน นักการเมืองบางฝ่ายกังวลว่าการเก็บภาษีเช่นนี้อาจ ชะลอการลงทุนและนวัตกรรม ⚖️ ความท้าทายในการบังคับใช้ แม้แนวคิดดูสมเหตุสมผล แต่การบังคับใช้จริงกลับซับซ้อน เพราะต้องนิยามว่า “AI” คืออะไร และจะวัดการแทนที่แรงงานมนุษย์อย่างไร ตัวอย่างเช่น หากบริษัทใช้ AI เพียงบางส่วนในกระบวนการผลิต จะต้องเสียภาษีเท่าใด? อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่บริษัทจะหาทางเลี่ยงภาษีผ่านการจัดโครงสร้างธุรกิจที่ซับซ้อน 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตแรงงานและสังคม บทความชี้ว่า การถกเถียงเรื่องภาษี AI ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องความยุติธรรมทางสังคม หากไม่มีมาตรการรองรับ การแทนที่แรงงานมนุษย์ด้วย AI อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการของรัฐในระยะยาว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิดการเก็บภาษี AI ➡️ เพื่อชดเชยรายได้ภาษีที่หายไปจากแรงงานมนุษย์ ➡️ สนับสนุนระบบสวัสดิการสังคม ✅ ข้อเสนอจากนักเศรษฐศาสตร์ ➡️ คล้ายกับแนวคิดเก็บภาษีหุ่นยนต์ที่ Bill Gates เคยเสนอ ➡️ ช่วยสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเป็นธรรม ‼️ ความท้าทายในการบังคับใช้ ⛔ ต้องนิยามว่า “AI” คืออะไร และวัดผลแทนแรงงานอย่างไร ⛔ เสี่ยงต่อการเลี่ยงภาษีจากบริษัท ‼️ ผลกระทบต่อสังคม ⛔ หากไม่มีมาตรการรองรับ อาจเพิ่มความเหลื่อมล้ำ ⛔ ระบบสวัสดิการอาจถูกกดดันหนักขึ้นในอนาคต https://english.elpais.com/technology/2025-11-30/if-ai-replaces-workers-should-it-also-pay-taxes.html
    ENGLISH.ELPAIS.COM
    If AI replaces workers, should it also pay taxes?
    The technological race among industry giants and the wave of layoffs they have announced has revived the debate about the advisability of taxing automation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ: ผู้ช่วยที่ประหยัดเวลา

    สมาร์ทโฮมกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เพราะช่วยลดภาระงานบ้านที่กินเวลาและแรงงานไปมาก หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Posha หุ่นยนต์ทำอาหาร ที่สามารถปรุงเมนูหลากหลายชาติได้โดยอัตโนมัติ เพียงใส่วัตถุดิบและเลือกเมนูบนหน้าจอ หุ่นยนต์จะจัดการทุกขั้นตอนแทนคุณ ทำให้การทำอาหารที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหารนอกบ้านอีกด้วย

    อีกหนึ่งผู้ช่วยที่ได้รับความนิยมคือ Roborock Qrevo หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น ที่มาพร้อมระบบดูดแรงสูงถึง 8,000Pa และฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคอยทำความสะอาดเครื่องบ่อยๆ เพียงตั้งเวลาในแอปพลิเคชันก็สามารถปล่อยให้บ้านสะอาดได้ทุกวันโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง นอกจากนี้ยังมีระบบหลบสิ่งกีดขวางและแปรงกันพันเส้นผมที่ช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สำหรับผู้ที่มีบ้านพร้อมสนามหญ้าใหญ่ Segway Navimow i105N หุ่นยนต์ตัดหญ้า ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดภาระการดูแลสวน สามารถตั้งเขตการทำงานผ่านแอปและตรวจจับสิ่งกีดขวางได้อัตโนมัติ แม้ผลลัพธ์อาจไม่ละเอียดเท่าการตัดด้วยมือ แต่ถือว่าคุ้มค่าในแง่การประหยัดเวลาและแรงงาน อีกทั้งยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa

    สุดท้ายคือ Cradlewise เปลอัจฉริยะสำหรับเด็กทารก ที่รวมฟังก์ชันกล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว เครื่องเสียงกล่อมเด็ก และระบบโยกอัตโนมัติไว้ในตัวเดียว ช่วยให้พ่อแม่สามารถพักผ่อนได้มากขึ้นโดยไม่ต้องคอยตรวจเช็กลูกน้อยตลอดเวลา ถือเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดความเครียดของครอบครัว

    สรุปสาระสำคัญ
    หุ่นยนต์ทำอาหาร Posha
    ลดเวลาทำอาหารจากชั่วโมงเหลือไม่กี่นาที และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหาร

    หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น Roborock Qrevo
    ระบบดูดแรงสูง ฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ลดภาระการทำความสะอาด

    หุ่นยนต์ตัดหญ้า Segway Navimow i105N
    ตั้งเขตการทำงานผ่านแอป ตรวจจับสิ่งกีดขวาง และรองรับการสั่งงานด้วยเสียง

    ระบบรดน้ำอัจฉริยะ Rachio Wi-Fi Sprinkler
    ตั้งเวลารดน้ำอัตโนมัติ ปรับตามสภาพอากาศ ลดการสิ้นเปลืองน้ำ

    เปลอัจฉริยะ Cradlewise
    รวมกล้องตรวจจับ เครื่องเสียง และระบบโยกอัตโนมัติ ช่วยให้พ่อแม่พักผ่อนได้มากขึ้น

    ข้อควรระวังในการใช้สมาร์ทโฮม
    อุปกรณ์บางชนิดมีราคาสูง อาจไม่เหมาะกับทุกครัวเรือน
    ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชัน หากระบบล่มอาจใช้งานไม่ได้
    ความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา

    https://www.slashgear.com/2048306/smart-home-gadgets-time-saving-chores/
    🏠 เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ: ผู้ช่วยที่ประหยัดเวลา สมาร์ทโฮมกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เพราะช่วยลดภาระงานบ้านที่กินเวลาและแรงงานไปมาก หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Posha หุ่นยนต์ทำอาหาร ที่สามารถปรุงเมนูหลากหลายชาติได้โดยอัตโนมัติ เพียงใส่วัตถุดิบและเลือกเมนูบนหน้าจอ หุ่นยนต์จะจัดการทุกขั้นตอนแทนคุณ ทำให้การทำอาหารที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหารนอกบ้านอีกด้วย อีกหนึ่งผู้ช่วยที่ได้รับความนิยมคือ Roborock Qrevo หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น ที่มาพร้อมระบบดูดแรงสูงถึง 8,000Pa และฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคอยทำความสะอาดเครื่องบ่อยๆ เพียงตั้งเวลาในแอปพลิเคชันก็สามารถปล่อยให้บ้านสะอาดได้ทุกวันโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง นอกจากนี้ยังมีระบบหลบสิ่งกีดขวางและแปรงกันพันเส้นผมที่ช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีบ้านพร้อมสนามหญ้าใหญ่ Segway Navimow i105N หุ่นยนต์ตัดหญ้า ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดภาระการดูแลสวน สามารถตั้งเขตการทำงานผ่านแอปและตรวจจับสิ่งกีดขวางได้อัตโนมัติ แม้ผลลัพธ์อาจไม่ละเอียดเท่าการตัดด้วยมือ แต่ถือว่าคุ้มค่าในแง่การประหยัดเวลาและแรงงาน อีกทั้งยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa สุดท้ายคือ Cradlewise เปลอัจฉริยะสำหรับเด็กทารก ที่รวมฟังก์ชันกล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว เครื่องเสียงกล่อมเด็ก และระบบโยกอัตโนมัติไว้ในตัวเดียว ช่วยให้พ่อแม่สามารถพักผ่อนได้มากขึ้นโดยไม่ต้องคอยตรวจเช็กลูกน้อยตลอดเวลา ถือเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดความเครียดของครอบครัว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ หุ่นยนต์ทำอาหาร Posha ➡️ ลดเวลาทำอาหารจากชั่วโมงเหลือไม่กี่นาที และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหาร ✅ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น Roborock Qrevo ➡️ ระบบดูดแรงสูง ฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ลดภาระการทำความสะอาด ✅ หุ่นยนต์ตัดหญ้า Segway Navimow i105N ➡️ ตั้งเขตการทำงานผ่านแอป ตรวจจับสิ่งกีดขวาง และรองรับการสั่งงานด้วยเสียง ✅ ระบบรดน้ำอัจฉริยะ Rachio Wi-Fi Sprinkler ➡️ ตั้งเวลารดน้ำอัตโนมัติ ปรับตามสภาพอากาศ ลดการสิ้นเปลืองน้ำ ✅ เปลอัจฉริยะ Cradlewise ➡️ รวมกล้องตรวจจับ เครื่องเสียง และระบบโยกอัตโนมัติ ช่วยให้พ่อแม่พักผ่อนได้มากขึ้น ‼️ ข้อควรระวังในการใช้สมาร์ทโฮม ⛔ อุปกรณ์บางชนิดมีราคาสูง อาจไม่เหมาะกับทุกครัวเรือน ⛔ ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชัน หากระบบล่มอาจใช้งานไม่ได้ ⛔ ความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา https://www.slashgear.com/2048306/smart-home-gadgets-time-saving-chores/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These 5 Smart Home Gadgets Will Save You Hours Every Week - SlashGear
    Smart gadgets are capable of much more than reporting the weather and playing music. These selections of time-saving tech could return hours to your busy day.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • GNOME ปรับนโยบายใหม่ ปฏิเสธโค้ด AI Slop

    ทีมตรวจสอบ Extensions ของ GNOME ประกาศปรับแนวทางการรีวิว โดยจะ ไม่อนุมัติ Extensions ที่มีโค้ดจาก AI โดยตรง หลังพบว่ามีจำนวนมากที่เต็มไปด้วยโค้ดไม่จำเป็น เช่น try-catch block ที่ซ้ำซ้อน หรือการเรียกใช้ API ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เสียเวลาในการตรวจสอบและเสี่ยงต่อคุณภาพของระบบ

    เหตุผลที่ต้องเข้มงวด
    ผู้ตรวจสอบบางรายเล่าว่า ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอ่านโค้ดนับหมื่นบรรทัดที่มาจาก AI ซึ่งมักมีสไตล์ไม่สอดคล้องกัน และบางครั้งมีคอมเมนต์ที่ดูเหมือน prompt ของ LLM แทรกอยู่ในโค้ด สิ่งเหล่านี้ทำให้การดูแล ecosystem ของ GNOME ยากขึ้น และอาจเปิดช่องให้เกิดบั๊กหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    อะไรที่ยังอนุญาตได้
    GNOME ยืนยันว่า การใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้หรือทำ code completion ยังสามารถทำได้ แต่หากนักพัฒนาสร้าง Extensions ทั้งหมดด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธทันที แนวทางนี้จึงไม่ใช่การ “แบน AI” แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ ecosystem ถูกท่วมด้วยโค้ดคุณภาพต่ำ

    มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มออกมาตรการคล้ายกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โค้ดที่สร้างด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบเข้ามาทำลายคุณภาพของระบบ GNOME ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การใช้ AI ต้องมีความรับผิดชอบและความเข้าใจจริง ไม่ใช่เพียงการกดปุ่ม generate แล้วส่งขึ้น repository

    สรุปประเด็นสำคัญ
    นโยบายใหม่ของ GNOME
    ปฏิเสธ Extensions ที่สร้างด้วย AI โดยตรง
    ตรวจพบโค้ดไม่จำเป็นและ API สมมติ

    เหตุผลที่ต้องเข้มงวด
    โค้ดจาก AI ใช้เวลาตรวจสอบมาก
    สไตล์ไม่สอดคล้องและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    สิ่งที่ยังอนุญาต
    ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้
    ใช้ AI ทำ code completion ได้

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    หากสร้าง Extensions ด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธ
    โค้ดคุณภาพต่ำอาจทำลาย ecosystem และเพิ่มภาระให้ทีมตรวจสอบ

    https://itsfoss.com/news/no-ai-extension-gnome/
    🖥️ GNOME ปรับนโยบายใหม่ ปฏิเสธโค้ด AI Slop ทีมตรวจสอบ Extensions ของ GNOME ประกาศปรับแนวทางการรีวิว โดยจะ ไม่อนุมัติ Extensions ที่มีโค้ดจาก AI โดยตรง หลังพบว่ามีจำนวนมากที่เต็มไปด้วยโค้ดไม่จำเป็น เช่น try-catch block ที่ซ้ำซ้อน หรือการเรียกใช้ API ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เสียเวลาในการตรวจสอบและเสี่ยงต่อคุณภาพของระบบ ⚡ เหตุผลที่ต้องเข้มงวด ผู้ตรวจสอบบางรายเล่าว่า ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอ่านโค้ดนับหมื่นบรรทัดที่มาจาก AI ซึ่งมักมีสไตล์ไม่สอดคล้องกัน และบางครั้งมีคอมเมนต์ที่ดูเหมือน prompt ของ LLM แทรกอยู่ในโค้ด สิ่งเหล่านี้ทำให้การดูแล ecosystem ของ GNOME ยากขึ้น และอาจเปิดช่องให้เกิดบั๊กหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 🔒 อะไรที่ยังอนุญาตได้ GNOME ยืนยันว่า การใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้หรือทำ code completion ยังสามารถทำได้ แต่หากนักพัฒนาสร้าง Extensions ทั้งหมดด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธทันที แนวทางนี้จึงไม่ใช่การ “แบน AI” แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ ecosystem ถูกท่วมด้วยโค้ดคุณภาพต่ำ 🌍 มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มออกมาตรการคล้ายกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โค้ดที่สร้างด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบเข้ามาทำลายคุณภาพของระบบ GNOME ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การใช้ AI ต้องมีความรับผิดชอบและความเข้าใจจริง ไม่ใช่เพียงการกดปุ่ม generate แล้วส่งขึ้น repository 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ นโยบายใหม่ของ GNOME ➡️ ปฏิเสธ Extensions ที่สร้างด้วย AI โดยตรง ➡️ ตรวจพบโค้ดไม่จำเป็นและ API สมมติ ✅ เหตุผลที่ต้องเข้มงวด ➡️ โค้ดจาก AI ใช้เวลาตรวจสอบมาก ➡️ สไตล์ไม่สอดคล้องและเสี่ยงต่อความปลอดภัย ✅ สิ่งที่ยังอนุญาต ➡️ ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้ ➡️ ใช้ AI ทำ code completion ได้ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ หากสร้าง Extensions ด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธ ⛔ โค้ดคุณภาพต่ำอาจทำลาย ecosystem และเพิ่มภาระให้ทีมตรวจสอบ https://itsfoss.com/news/no-ai-extension-gnome/
    ITSFOSS.COM
    No AI Slops! GNOME Now Forbids Vibe Coded Extensions
    New policy targets low-quality AI-generated code while still allowing AI as a learning tool.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linux อาจยังไม่ใช่สำหรับคุณ…ตอนนี้
    บทความจาก It’s FOSS ชี้ให้เห็นว่า หลายคนที่คุ้นเคยกับระบบปิดอาจรู้สึกแปลกเมื่อเจอกับโลกของ Linux เช่น ไม่ชินกับการที่ระบบไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้, ไม่ชินกับการไม่มีโฆษณา, หรือไม่ชินกับการที่ผู้ใช้มีสิทธิ์ปรับแต่งทุกอย่างได้เอง ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า Linux ไม่เหมาะกับคุณ แต่สะท้อนว่าคุณยังอยู่ใน “โซนสบาย” ของระบบเดิม

    ตัวอย่างสัญญาณที่น่าสนใจ
    คุณชอบให้ระบบติดตามและแนะนำสิ่งต่าง ๆ → Linux ไม่ทำแบบนั้น
    คุณพอใจที่จะให้บริษัทบอกว่า “ทำสิ่งนี้ไม่ได้” → Linux เปิดให้คุณลองเองแม้เสี่ยงพัง
    คุณไม่ชอบมีตัวเลือกเยอะเกินไป → Linux มีตัวเลือกแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ Desktop Environment ไปจนถึง Window Manager
    คุณเชื่อว่า “มาตรฐานอุตสาหกรรม” คือสิ่งที่บริษัทใหญ่กำหนด → Linux ยึดตามมาตรฐานเปิดจริง ๆ เช่น ODF, SVG, PDF

    มุมมองด้านความปลอดภัยและการควบคุม
    Linux ไม่ได้พยายามเก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อทำ personalization หรือโฆษณาเหมือนระบบปิด แต่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลจริง ๆ รวมถึงการอัปเดตที่ไม่จำเป็นต้องรีบูตเครื่องทุกครั้ง และการพัฒนาแบบเปิดที่ทุกคนสามารถตรวจสอบโค้ดได้ หากคุณรู้สึกไม่สบายใจกับความโปร่งใสและการควบคุมที่มากเกินไป นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า Linux ยังไม่ใช่สำหรับคุณ

    ข้อคิดจากบทความ
    แท้จริงแล้ว บทความนี้ไม่ได้บอกว่า Linux ไม่เหมาะกับใคร แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่า “สิ่งที่คุณเคยชิน” อาจทำให้คุณลังเลที่จะลอง Linux หากคุณเปิดใจและอยากควบคุมระบบของตัวเองมากขึ้น Linux อาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สัญญาณที่บอกว่า Linux อาจยังไม่เหมาะ
    ชอบให้ระบบติดตามและแนะนำ
    พอใจเมื่อถูกจำกัดสิทธิ์
    ไม่ชอบมีตัวเลือกเยอะ
    เชื่อว่ามาตรฐานคือสิ่งที่บริษัทใหญ่กำหนด

    จุดแข็งของ Linux
    ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อโฆษณา
    เปิดให้ผู้ใช้ควบคุมทุกอย่าง
    ใช้มาตรฐานเปิดจริง ๆ
    อัปเดตโดยไม่ต้องรีบูตบ่อย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ใหม่
    หากไม่ชอบความโปร่งใสและการควบคุม อาจรู้สึกว่า Linux ซับซ้อนเกินไป
    การมีตัวเลือกมากมายอาจทำให้ผู้ใช้มือใหม่สับสน

    https://itsfoss.com/signs-linux-is-not-for-you/
    🐧 Linux อาจยังไม่ใช่สำหรับคุณ…ตอนนี้ บทความจาก It’s FOSS ชี้ให้เห็นว่า หลายคนที่คุ้นเคยกับระบบปิดอาจรู้สึกแปลกเมื่อเจอกับโลกของ Linux เช่น ไม่ชินกับการที่ระบบไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้, ไม่ชินกับการไม่มีโฆษณา, หรือไม่ชินกับการที่ผู้ใช้มีสิทธิ์ปรับแต่งทุกอย่างได้เอง ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า Linux ไม่เหมาะกับคุณ แต่สะท้อนว่าคุณยังอยู่ใน “โซนสบาย” ของระบบเดิม ⚙️ ตัวอย่างสัญญาณที่น่าสนใจ 💠 คุณชอบให้ระบบติดตามและแนะนำสิ่งต่าง ๆ → Linux ไม่ทำแบบนั้น 💠 คุณพอใจที่จะให้บริษัทบอกว่า “ทำสิ่งนี้ไม่ได้” → Linux เปิดให้คุณลองเองแม้เสี่ยงพัง 💠 คุณไม่ชอบมีตัวเลือกเยอะเกินไป → Linux มีตัวเลือกแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ Desktop Environment ไปจนถึง Window Manager 💠 คุณเชื่อว่า “มาตรฐานอุตสาหกรรม” คือสิ่งที่บริษัทใหญ่กำหนด → Linux ยึดตามมาตรฐานเปิดจริง ๆ เช่น ODF, SVG, PDF 🔒 มุมมองด้านความปลอดภัยและการควบคุม Linux ไม่ได้พยายามเก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อทำ personalization หรือโฆษณาเหมือนระบบปิด แต่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลจริง ๆ รวมถึงการอัปเดตที่ไม่จำเป็นต้องรีบูตเครื่องทุกครั้ง และการพัฒนาแบบเปิดที่ทุกคนสามารถตรวจสอบโค้ดได้ หากคุณรู้สึกไม่สบายใจกับความโปร่งใสและการควบคุมที่มากเกินไป นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า Linux ยังไม่ใช่สำหรับคุณ 🌍 ข้อคิดจากบทความ แท้จริงแล้ว บทความนี้ไม่ได้บอกว่า Linux ไม่เหมาะกับใคร แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่า “สิ่งที่คุณเคยชิน” อาจทำให้คุณลังเลที่จะลอง Linux หากคุณเปิดใจและอยากควบคุมระบบของตัวเองมากขึ้น Linux อาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สัญญาณที่บอกว่า Linux อาจยังไม่เหมาะ ➡️ ชอบให้ระบบติดตามและแนะนำ ➡️ พอใจเมื่อถูกจำกัดสิทธิ์ ➡️ ไม่ชอบมีตัวเลือกเยอะ ➡️ เชื่อว่ามาตรฐานคือสิ่งที่บริษัทใหญ่กำหนด ✅ จุดแข็งของ Linux ➡️ ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อโฆษณา ➡️ เปิดให้ผู้ใช้ควบคุมทุกอย่าง ➡️ ใช้มาตรฐานเปิดจริง ๆ ➡️ อัปเดตโดยไม่ต้องรีบูตบ่อย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ใหม่ ⛔ หากไม่ชอบความโปร่งใสและการควบคุม อาจรู้สึกว่า Linux ซับซ้อนเกินไป ⛔ การมีตัวเลือกมากมายอาจทำให้ผู้ใช้มือใหม่สับสน https://itsfoss.com/signs-linux-is-not-for-you/
    ITSFOSS.COM
    15 Signs Linux Is Not For You
    If you recognized yourself in a few of these points, that doesn’t mean Linux isn’t for you. In fact, you can count it as an invitation. It just means you’ve spent a long time in an ecosystem that treats you more like a product than a participant.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤติช่องโหว่ FortiGate SSO ถูกโจมตีจริง

    เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2025 มีรายงานว่าแฮกเกอร์เริ่มใช้ช่องโหว่ CVE-2025-59718 และ CVE-2025-59719 ซึ่งมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.1–9.8 เพื่อเจาะระบบ FortiGate และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Fortinet ผ่านการปลอมแปลงข้อความ SAML ทำให้สามารถเข้าสู่ระบบในสิทธิ์ผู้ดูแลได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่านใด ๆ การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเกิดขึ้นจริงและมีการขโมยการตั้งค่าระบบออกไป ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลบัญชี VPN และผู้ใช้ภายในองค์กร

    สาเหตุและความเสี่ยงที่แท้จริง
    แม้ Fortinet ระบุว่า FortiCloud SSO ถูกปิดเป็นค่าเริ่มต้น แต่เมื่อผู้ดูแลลงทะเบียนอุปกรณ์ผ่าน FortiCare ฟีเจอร์นี้จะถูกเปิดโดยอัตโนมัติหากไม่ได้ปิดสวิตช์ “Allow administrative login using FortiCloud SSO” ทำให้หลายองค์กรไม่รู้ตัวว่ากำลังเปิดช่องโหว่ไว้โดยตรง การโจมตีที่พบมีรูปแบบชัดเจนคือเจาะเข้าบัญชี admin แล้วดึงการตั้งค่าผ่าน GUI ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี

    การแก้ไขและแพตช์ล่าสุด
    Fortinet ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน เช่น FortiOS 7.6.4, 7.4.9, 7.2.12 และ 7.0.18 รวมถึง FortiProxy, FortiWeb และ FortiSwitchManager รุ่นใหม่ ผู้ดูแลระบบที่ไม่สามารถอัปเดตได้ทันทีสามารถใช้วิธีแก้ไขชั่วคราวโดยปิดการใช้งาน FortiCloud SSO ผ่าน CLI หรือ GUI เพื่อป้องกันการโจมตีเพิ่มเติม

    มุมมองจากวงการไซเบอร์
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้เป็นตัวอย่างของการที่ “ฟีเจอร์สะดวก” กลายเป็น “ประตูหลัง” ให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบได้โดยตรง หากองค์กรไม่ตรวจสอบการตั้งค่าอย่างละเอียด การโจมตีที่เกิดขึ้นยังสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการใช้ MFA (Multi-Factor Authentication) และการตรวจสอบ log อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ผิดปกติ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ที่ถูกโจมตี
    CVE-2025-59718 และ CVE-2025-59719 มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.1–9.8
    ใช้การปลอมแปลง SAML เพื่อข้ามการยืนยันตัวตน SSO

    สาเหตุที่ฟีเจอร์เสี่ยง
    FortiCloud SSO ถูกเปิดอัตโนมัติเมื่อสมัคร FortiCare หากไม่ปิดสวิตช์
    ทำให้ผู้ดูแลหลายคนไม่รู้ว่ากำลังเปิดช่องโหว่ไว้

    การแก้ไขและแพตช์
    อัปเดตเป็น FortiOS 7.6.4, 7.4.9, 7.2.12, 7.0.18
    ปิด FortiCloud SSO ผ่าน CLI หากยังไม่สามารถอัปเดตได้

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    การตั้งค่า firewall ที่ถูกขโมยอาจมีข้อมูลบัญชี VPN และผู้ใช้ภายใน
    หากไม่อัปเดตหรือปิดฟีเจอร์ทันที อาจถูกยึดสิทธิ์ผู้ดูแลและควบคุมระบบทั้งหมด

    https://securityonline.info/critical-fortigate-sso-flaw-under-active-exploitation-attackers-bypass-auth-and-exfiltrate-configs/
    🔐 วิกฤติช่องโหว่ FortiGate SSO ถูกโจมตีจริง เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2025 มีรายงานว่าแฮกเกอร์เริ่มใช้ช่องโหว่ CVE-2025-59718 และ CVE-2025-59719 ซึ่งมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.1–9.8 เพื่อเจาะระบบ FortiGate และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Fortinet ผ่านการปลอมแปลงข้อความ SAML ทำให้สามารถเข้าสู่ระบบในสิทธิ์ผู้ดูแลได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่านใด ๆ การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเกิดขึ้นจริงและมีการขโมยการตั้งค่าระบบออกไป ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลบัญชี VPN และผู้ใช้ภายในองค์กร ⚙️ สาเหตุและความเสี่ยงที่แท้จริง แม้ Fortinet ระบุว่า FortiCloud SSO ถูกปิดเป็นค่าเริ่มต้น แต่เมื่อผู้ดูแลลงทะเบียนอุปกรณ์ผ่าน FortiCare ฟีเจอร์นี้จะถูกเปิดโดยอัตโนมัติหากไม่ได้ปิดสวิตช์ “Allow administrative login using FortiCloud SSO” ทำให้หลายองค์กรไม่รู้ตัวว่ากำลังเปิดช่องโหว่ไว้โดยตรง การโจมตีที่พบมีรูปแบบชัดเจนคือเจาะเข้าบัญชี admin แล้วดึงการตั้งค่าผ่าน GUI ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี 🛡️ การแก้ไขและแพตช์ล่าสุด Fortinet ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน เช่น FortiOS 7.6.4, 7.4.9, 7.2.12 และ 7.0.18 รวมถึง FortiProxy, FortiWeb และ FortiSwitchManager รุ่นใหม่ ผู้ดูแลระบบที่ไม่สามารถอัปเดตได้ทันทีสามารถใช้วิธีแก้ไขชั่วคราวโดยปิดการใช้งาน FortiCloud SSO ผ่าน CLI หรือ GUI เพื่อป้องกันการโจมตีเพิ่มเติม 🌍 มุมมองจากวงการไซเบอร์ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้เป็นตัวอย่างของการที่ “ฟีเจอร์สะดวก” กลายเป็น “ประตูหลัง” ให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบได้โดยตรง หากองค์กรไม่ตรวจสอบการตั้งค่าอย่างละเอียด การโจมตีที่เกิดขึ้นยังสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการใช้ MFA (Multi-Factor Authentication) และการตรวจสอบ log อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ผิดปกติ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่ถูกโจมตี ➡️ CVE-2025-59718 และ CVE-2025-59719 มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.1–9.8 ➡️ ใช้การปลอมแปลง SAML เพื่อข้ามการยืนยันตัวตน SSO ✅ สาเหตุที่ฟีเจอร์เสี่ยง ➡️ FortiCloud SSO ถูกเปิดอัตโนมัติเมื่อสมัคร FortiCare หากไม่ปิดสวิตช์ ➡️ ทำให้ผู้ดูแลหลายคนไม่รู้ว่ากำลังเปิดช่องโหว่ไว้ ✅ การแก้ไขและแพตช์ ➡️ อัปเดตเป็น FortiOS 7.6.4, 7.4.9, 7.2.12, 7.0.18 ➡️ ปิด FortiCloud SSO ผ่าน CLI หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ การตั้งค่า firewall ที่ถูกขโมยอาจมีข้อมูลบัญชี VPN และผู้ใช้ภายใน ⛔ หากไม่อัปเดตหรือปิดฟีเจอร์ทันที อาจถูกยึดสิทธิ์ผู้ดูแลและควบคุมระบบทั้งหมด https://securityonline.info/critical-fortigate-sso-flaw-under-active-exploitation-attackers-bypass-auth-and-exfiltrate-configs/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical FortiGate SSO Flaw Under Active Exploitation: Attackers Bypass Auth and Exfiltrate Configs
    A critical FortiGate SSO flaw (CVSS 9.1) is under active exploitation, letting unauthenticated attackers bypass login via crafted SAML. The flaw is armed by default registration, risking config exfiltration. Patch immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าว: VPN หลายเจ้าโฆษณาเกินจริง ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับความจริง

    การศึกษาล่าสุดจาก IPinfo วิเคราะห์ VPN 20 ราย พบว่า 17 รายมีการ mismatch ระหว่างประเทศที่โฆษณากับประเทศที่ทราฟฟิกออกจริง โดยบางเจ้าอ้างว่ามีเซิร์ฟเวอร์กว่า 100 ประเทศ แต่แท้จริงแล้วใช้เพียงไม่กี่ศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ และยุโรป การตรวจสอบกว่า 150,000 IP พบว่ามีถึง 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” คือมีชื่ออยู่ในรายการ แต่ไม่เคยมีการเชื่อมต่อจริงเลย

    Virtual Location: ภาพลวงตาของการเชื่อมต่อ
    ตัวอย่างเช่น VPN ที่ให้ผู้ใช้เลือก “Bahamas” หรือ “Somalia” แต่การวัด latency และ routing แสดงว่าทราฟฟิกจริงออกจากสหรัฐฯ หรือยุโรป การตั้งค่าเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าตัวเองอยู่ในประเทศที่เลือก ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ การพึ่งพาเพียงข้อมูล self-declared ของผู้ให้บริการยิ่งทำให้ฐานข้อมูล IP อื่น ๆ ติดตามผิดพลาดไปด้วย

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจาก VPN
    นอกจากปัญหาการโฆษณาเกินจริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า VPN ยังมีช่องโหว่หลายประการ เช่น การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ, การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks), การใช้โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ, หรือแม้แต่การเจอผู้ให้บริการ VPN ที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้ต่อไป ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้การเลือก VPN ที่น่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

    บทเรียนสำหรับผู้ใช้
    รายงานนี้ไม่ใช่การบอกว่า VPN ทั้งหมด “ไม่ดี” แต่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใช้ควรตรวจสอบความโปร่งใสของผู้ให้บริการ เช่น การระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดเป็น virtual, มีการทดสอบ latency จริงหรือไม่ และมีนโยบายไม่เก็บ log ที่ชัดเจนหรือเปล่า การใช้ VPN ที่มีมาตรฐานเข้ารหัสแข็งแรงและมีชื่อเสียงด้านความโปร่งใส จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ผลการศึกษา VPN
    17 จาก 20 ผู้ให้บริการมีตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับที่โฆษณา
    พบ 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” ไม่มีเซิร์ฟเวอร์จริง

    ตัวอย่าง Virtual Location
    Bahamas ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากสหรัฐฯ
    Somalia ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร

    ผู้ให้บริการที่ตรวจสอบแล้วตรงจริง
    Mullvad, IVPN และ Windscribe ไม่มี mismatch

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    Man-in-the-Middle Attack หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ
    การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks)
    VPN ปลอมที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้
    โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ ทำให้ถูกเจาะได้ง่าย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    อย่าเลือก VPN เพียงเพราะจำนวนประเทศที่โฆษณา
    ตรวจสอบนโยบายความโปร่งใสและการไม่เก็บ log ก่อนใช้งาน

    https://ipinfo.io/blog/vpn-location-mismatch-report
    🌐 ข่าว: VPN หลายเจ้าโฆษณาเกินจริง ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับความจริง การศึกษาล่าสุดจาก IPinfo วิเคราะห์ VPN 20 ราย พบว่า 17 รายมีการ mismatch ระหว่างประเทศที่โฆษณากับประเทศที่ทราฟฟิกออกจริง โดยบางเจ้าอ้างว่ามีเซิร์ฟเวอร์กว่า 100 ประเทศ แต่แท้จริงแล้วใช้เพียงไม่กี่ศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ และยุโรป การตรวจสอบกว่า 150,000 IP พบว่ามีถึง 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” คือมีชื่ออยู่ในรายการ แต่ไม่เคยมีการเชื่อมต่อจริงเลย 🔍 Virtual Location: ภาพลวงตาของการเชื่อมต่อ ตัวอย่างเช่น VPN ที่ให้ผู้ใช้เลือก “Bahamas” หรือ “Somalia” แต่การวัด latency และ routing แสดงว่าทราฟฟิกจริงออกจากสหรัฐฯ หรือยุโรป การตั้งค่าเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าตัวเองอยู่ในประเทศที่เลือก ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ การพึ่งพาเพียงข้อมูล self-declared ของผู้ให้บริการยิ่งทำให้ฐานข้อมูล IP อื่น ๆ ติดตามผิดพลาดไปด้วย ⚠️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจาก VPN นอกจากปัญหาการโฆษณาเกินจริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า VPN ยังมีช่องโหว่หลายประการ เช่น การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ, การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks), การใช้โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ, หรือแม้แต่การเจอผู้ให้บริการ VPN ที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้ต่อไป ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้การเลือก VPN ที่น่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญมาก 🛡️ บทเรียนสำหรับผู้ใช้ รายงานนี้ไม่ใช่การบอกว่า VPN ทั้งหมด “ไม่ดี” แต่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใช้ควรตรวจสอบความโปร่งใสของผู้ให้บริการ เช่น การระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดเป็น virtual, มีการทดสอบ latency จริงหรือไม่ และมีนโยบายไม่เก็บ log ที่ชัดเจนหรือเปล่า การใช้ VPN ที่มีมาตรฐานเข้ารหัสแข็งแรงและมีชื่อเสียงด้านความโปร่งใส จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ผลการศึกษา VPN ➡️ 17 จาก 20 ผู้ให้บริการมีตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับที่โฆษณา ➡️ พบ 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” ไม่มีเซิร์ฟเวอร์จริง ✅ ตัวอย่าง Virtual Location ➡️ Bahamas ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากสหรัฐฯ ➡️ Somalia ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ✅ ผู้ให้บริการที่ตรวจสอบแล้วตรงจริง ➡️ Mullvad, IVPN และ Windscribe ไม่มี mismatch ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ Man-in-the-Middle Attack หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ ⛔ การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks) ⛔ VPN ปลอมที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้ ⛔ โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ ทำให้ถูกเจาะได้ง่าย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ อย่าเลือก VPN เพียงเพราะจำนวนประเทศที่โฆษณา ⛔ ตรวจสอบนโยบายความโปร่งใสและการไม่เก็บ log ก่อนใช้งาน https://ipinfo.io/blog/vpn-location-mismatch-report
    IPINFO.IO
    Should You Trust Your VPN Location?
    17 out of 20 popular VPNs exit traffic from different countries than they claim. Dig into what that means and why it matters in our VPN report.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองเชิง ตอนที่ 11

    “ลองเชิง”
    ตอน 11
    แค่ปัญหาเรื่องแก๊ส ระหว่าง ค่าย อิหร่าน อิรัค ซีเรีย กับค่าย กาตาร์ ซาอุ ตุรกี 2 ค่ายนี่ ก็ทำให้อเมริกาเต้นเป็นลิงเกาเห็บแล้ว ยังดันเพิ่มเรื่อง ของอิสราเอลเข้าไปอีกด้วย อย่างนี้ ซีเรีย ไม่เดือดก็ผิดสันดานนักล่า
    อิสราเอล แม้จะถูกอุ้มไปอยู่ในตะวันออกกลาง เป็นกาฝากอยู่แถวทะเลทราย แต่ไม่เคยโชคดีมีน้ำมันท่วมเหมือนพวกเจ้าของถิ่นเขา แต่แล้ว เวลาอะไรมันจะมา ไม่ว่าดี ว่าร้าย (ส่วนมากมักเป็นเรื่องร้าย) มักไม่ค่อยรู้ตัวล่วงหน้า ปี ค.ศ.2009 อิสราเอล ก็ได้ข่าวเหมือนกันว่า โนเบิล เอนเนอร์จี Noble Energy หุ้นส่วนจากเท็กซัส (ของใครนะ) ที่อิสราเอลร่วมทุนให้ทำการสำรวจแหล่งแก๊ส ก็เจอหลุมแก๊ส ทามาร์ Tamar ที่แถวไฮฟา Haifa ทางเหนือของอิสราเอล
    ทามาร์ นับเป็นหลุมแก๊สที่ใหญ่ที่สุด ที่เจอกันในปี ค.ศ.2009 และคาดว่า
    ทามาร์ จะให้ผลผลิตได้ ในปี ค.ศ.2012 อิสราเอลให้ชื่อหลุมแก็สนี้ว่า Leviathan ตามชื่อสัตว์ร้ายในทะเลในพระคัมภึร์ แถมคุยว่า สัตวร้ายตัวนี้ สามารถผลิตแก๊สเลี้ยงอิสราเอลไปได้เป็นร้อยปี
    ในช่วงก่อนเจอสัตว์ร้าย อิสราเอลต้องพึ่งแก๊สจากหลุม Yam Tethys ซึ่งผลิตเลี้ยงประเทศได้ประมา ณ 70% ของความต้องการ และคาดว่าไม่นานเกืน 3 ปี หลุมนี้ก็จะแห้งสนิท และอิสราเอลก็คงเหนื่อย แต่ตอนนี้ชะตาพลิกผัน นอกจากไม่ต้องหน้ามืด หาแเก๊สมาเพิ่มแล้ว อิสราเอลกลับจะกลายเป็นเสี่ยถังแก๊สขึ้นมาเสียอีกด้วย ดังนั้นข่าวเรื่องที่ศัตรูคู่อาฆาต อิหร่าน อิรัค เลบานอน จะจับมือกันต่อท่อแก๊สไปถึงยุโรป จึงเป็นเรื่องที่อิสราเอลไม่พอใจอย่างยิ่ง กำลังฝันหวาน จะหิ้วถังแก๊สไปขายแถวยุโรป เอาเงินมาตุนทอง ทำกำไรอีกต่อ ทำท่าจะไม่เป็นอย่างที่ฝัน เราหิ้วเป็นถัง พวกมันส่งไปทางท่อ จะไปทันมันยังไง โอ้ย ยิวปวดใจ
    คิดไปแล้ว อิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์ของผม นี่ (ปีเตอร์) อู๋ จริงๆนะ มีทั้งนิวเคลียร์ มีทั้งน้ำมัน มีทั้งแก๊ส มิน่า ไอ้พวกใบตองแห้ง มันถึงน้ำลายไหลเยิ้มยืดหกออกมานอกปาก เวลานึกถึงดินแดนของเสี่ยนิวเคลียร์ แล้วแบบนี้ไอ้ใบตองแห้งมันจะปล่อยให้ลอยนวล ไปจับมือกับคุณพี่ปูติน กับ อาเฮียมังกรซ่อนเล็บได้ยังไง
    อิสราเอลคิดว่า ทางเดียวที่ จะหิ้วแก๊สไปขายยุโรปได้สดวกใจ ต้องให้ท่อส่งของเหล่าชีอะบรรลัยไปสิ้น แต่ช่วงนั้น กลุ่มมุสลิม บราเธอร์ฮูด ก็มาอยู่เต็มซีเรียแล้ว และมุสลิมบราเธอร์ฮูด ก็ไม่ถูกกับอิสราเอลอย่างแรง
    แล้วพวกมุสลิมบราเธอ์ฮูด นี่ มาอยู่ในซีเรียได้อย่างไรล่ะ
    ย้อนกลับไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.1950 กว่า เป็นช่วงที่อเมริกาใช้สถานทูตอเมริกาในอิยิปต์ เหมือนเป็นสำนักงานซีไอเอ สาขา 2 ที่เอาไว้ดูแลจัดการตะวันออกกลางและอาฟริกา ให้เป็นไปตามความต้องการของอเมริกา อเมริกาเอาหัวหน้ามุสลิมบราเธอร์ฮูดชาวอิยิปต์ ลี้ภัยออกจากอิยิปป์มาฝากไว้ที่ซาอุดิอารเบีย และก็ทำให้กลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮูด ผสมพันธ์ุกับกลุ่มวาหะบีของซาอุดิอารเบีย เกิดเป็นนักรบเพื่อศาสนา จีฮาร์ด มุสลิมบราเธอร์ฮูด
    (โฮ้ย! ทำไมมึงมันช่างคิดแผนชั่วได้ตลอดเวลาอย่างนี่นะ ไม่รู้ชีวิตกูที่เหลือนี่ จะแฉความชั่วมึงหมดไหม)
    เมื่อความไม่สงบในซีเรียเริ่มใหม่ๆ ตุรกีรับหน้าที่ เป็นมือเป็นตีนให้กับอเมริกา เขาว่า ก่อนการเลือกตั้งปี ค.ศ.2011 ที่ทำให้พรรค AKP ของนาย ตอยับ เอร์โดดานชนะเลือกตั้ง ได้คุมเสียงข้างมากในสภา และได้เป็นนายกรัฐมนตรี สั่งการตุรกีได้ตามใจนั้น ราชวงศ์ซาอุด ที่ดูแลนักรบเพื่อศาสนา (แต่จริงๆ ดูเหมือนจะรบเพื่ออเมริกามากก ว่า) ได้มอบเงิน “สนับสนุน” ให้แก่พรรค AKP ของนายตอยับ ถึงหนึ่งหมื่นล้านเหรียญ หลังจากพรรค AKP ชนะขาดลอย นายตอยับ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตุรกี มุสลิมบราเธอร์ฮูดก็ย้ายออกจากซาอุ ไปเข้าแถวออกันเต็ม อยู่ที่ชายแดนของตุรกีที่ติดกับซีเรีย
    ในเดือน ธันวาคม ค.ศ.2011 มีบทความของนาย Philip Giradi อดีตซีไอเอ สรุปว่า
    ….นาโต้ เข้าไปในซีเรียแล้ว โดยมีตุรกี ในฐานะตัวแทนของอเมริกา เป็นหัวหน้านำการรบ นาย Davutoglu รัฐมนตรีการต่างประเทศของตุรกี บอกว่า ประเทศเขาพร้อมบุกซีเรีย เพราะมีข้อตกลงกับประเทศตะวันตก ที่จะดำเนินการเช่นนั้น การบุกจะใช้หลักการเพื่อมนุษยธรรม(หลอก) นำหน้าเข้าไป เช่นเดียวกับวิธีการที่ใช้ตอนบุกลิเบีย และจะเริ่มโดยตั้งแนวเขตกันชน buffer zone ตลอดเส้นแนวเขตระหว่างตุรกี กับซีเรีย หลังจากนั้นก็จะขยายไปเรื่อยๆ และ อาเลปโป Aleppo เมืองใหญ่ของซีเรีย ก็จะกลายเป็นเป้าหมายใหญ่ ที่กลุ่มกบฏซีเรียจะไปยึดครอง
    ….เครื่องบินรบของนาโต้ ที่ไม่ติดเครื่องหมาย บินมาถึงฐานทัพทหารของตุรกี ที่อยู่ใกล้กับเมือง Iskenderum ที่อยู่เขตแดนของซีเรีย เพื่อขนอาวุธที่ยึดมาจากกัดดาฟี หลังจากฆ่าโหดกัดดาฟีไปแล้ว รวมทั้งบรรดาอาสาสมัคร (ที่มีใครจ่ายเงินสนับสนุนให้) ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีเพื่อรบกับกองทหาร เป็นความสามารถที่ได้มาจากการฝึก เอาไว้สู้กับกองทัพของกัดดาฟี….
    …. ที่เมือง Iskenderum ยังมีหน่วยรบพิเศษของฝรั่งเศส และอังกฤษ คอยฝึก ให้กับกลุ่มกบฏของซีเรีย ขณะเดียวกัน ซีไอเอ และหน่วยรบพิเศษ ของอเมริกา ยังคอยเป็นพี่เลี้ยง และช่วยพากลุ่มกบฏ เลี่ยงการปะทะกับกองทัพของซีเรียอีกด้วย…..
    อเมริกาเอง ในช่วงนั้น ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกลุ่มมุสลิม บราเธอร์ฮูด (MB) อย่างไม่ปิดบัง รู้กันทั่วว่า นาง Huma Abedin หัวหน้าฝ่ายบริหาร ของกระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา สมัยที่คุณนายคลินตัน นางสิงห์สั่งฆ่า เป็นรัฐมนตรีนั้น นาง Abedin แสดงตัวอย่างเปิดเผยว่า มีความใกล้ชิดกับกลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮูด และยังมีอีกหลายคน ที่อยู่วงในของคณะทำงานของนายโอบามา ก็สนับสนุนกลุ่ม MB ก็คงสรุปได้ว่า ช่วงนั้น อเมริกาใช้กลุ่ม MB เป็นตัวสกัดเส้นทางการสร้างท่อส่งของกลุ่มอิหร่านซีเรีย
    และขณะเดียวกับที่อเมริกาใช้ตุรกีออกหน้าเข้าฉากซีเรีย ทาง อิสราเอล ซึ่งพักนั้น ไม่ค่อยร้องเพลงทำนองเดียวกับโอ บามา แต่พอมีเรื่องท่อแก๊ส ของซีเรีย โผล่ขึ้นมา อิสราเอล ก็มาเข้าฉากด้วย พอตุรกีบุกซีเรียด้านหนึ่ง หน่วย Israel Defense Force (IDF) ก็สร้างแผนล่อ ด้วยการอัดกองกำลังเข้าไปที่ Golan Height ที่อยู่ตรงเขตแดนระหว่างอิสราเอลกับซีเรีย เพื่อให้ซีเรีย ห่วงหน้าพะวงหลัง
    แต่เรื่องที่ อเมริกา ใช้ตุรกีออกหน้า รวมทั้ง สมคบกับซาอุ คู่แข่ง ของอิสราเอล ในรายการถล่มซีเรียนี่ ก็ดูเหมือนจะสร้าง “รอย” ระหว่าง อเมริกา กับ อิสราเอล ไว้เหมือนกัน ไอ้ใบตองแห้งนี่ อย่าได้ประเมินความชั่วของมัน ต่ำน้อยไปเชียว
    และ ทั้งหมดก็ เป็นไปตามแผนของอเมริกา ในการสกัดซีเรีย หรือท่อส่งแก๊สกลุ่มอิหร่านซีเรีย โดยอเมริการะดมพล ทั้งกลุ่มนักรบอิสลามสาระพัดพันธ์ุ สาระพัดชื่อ แต่ไม่ว่าพันธุ์ไหน อเมริกาก็มีส่วนกี่ยวข้องทั้งนั้น รวมทั้ง กองกำลังนาโต้ ที่เดินเองพูดเองไม่เป็น ต้องทำตามใบสั่งของอเมริกาเท่านั้น บวกกับ กลุ่มลูกหาบนานาชาติ หรือกลุ่ม 11 ที่มีผลประโยชน์ บุญคุณ หนี้สินติดพันกันเอง และกับอเมริกา
    ผมตกใครไปไหมเนี่ยะ เผื่อมีใครกำลังรวบรวมรายชื่อ ทำบัญชี…
    คนเล่านิทาน
    10 ต.ค. 2558
    ลองเชิง ตอนที่ 11 “ลองเชิง” ตอน 11 แค่ปัญหาเรื่องแก๊ส ระหว่าง ค่าย อิหร่าน อิรัค ซีเรีย กับค่าย กาตาร์ ซาอุ ตุรกี 2 ค่ายนี่ ก็ทำให้อเมริกาเต้นเป็นลิงเกาเห็บแล้ว ยังดันเพิ่มเรื่อง ของอิสราเอลเข้าไปอีกด้วย อย่างนี้ ซีเรีย ไม่เดือดก็ผิดสันดานนักล่า อิสราเอล แม้จะถูกอุ้มไปอยู่ในตะวันออกกลาง เป็นกาฝากอยู่แถวทะเลทราย แต่ไม่เคยโชคดีมีน้ำมันท่วมเหมือนพวกเจ้าของถิ่นเขา แต่แล้ว เวลาอะไรมันจะมา ไม่ว่าดี ว่าร้าย (ส่วนมากมักเป็นเรื่องร้าย) มักไม่ค่อยรู้ตัวล่วงหน้า ปี ค.ศ.2009 อิสราเอล ก็ได้ข่าวเหมือนกันว่า โนเบิล เอนเนอร์จี Noble Energy หุ้นส่วนจากเท็กซัส (ของใครนะ) ที่อิสราเอลร่วมทุนให้ทำการสำรวจแหล่งแก๊ส ก็เจอหลุมแก๊ส ทามาร์ Tamar ที่แถวไฮฟา Haifa ทางเหนือของอิสราเอล ทามาร์ นับเป็นหลุมแก๊สที่ใหญ่ที่สุด ที่เจอกันในปี ค.ศ.2009 และคาดว่า ทามาร์ จะให้ผลผลิตได้ ในปี ค.ศ.2012 อิสราเอลให้ชื่อหลุมแก็สนี้ว่า Leviathan ตามชื่อสัตว์ร้ายในทะเลในพระคัมภึร์ แถมคุยว่า สัตวร้ายตัวนี้ สามารถผลิตแก๊สเลี้ยงอิสราเอลไปได้เป็นร้อยปี ในช่วงก่อนเจอสัตว์ร้าย อิสราเอลต้องพึ่งแก๊สจากหลุม Yam Tethys ซึ่งผลิตเลี้ยงประเทศได้ประมา ณ 70% ของความต้องการ และคาดว่าไม่นานเกืน 3 ปี หลุมนี้ก็จะแห้งสนิท และอิสราเอลก็คงเหนื่อย แต่ตอนนี้ชะตาพลิกผัน นอกจากไม่ต้องหน้ามืด หาแเก๊สมาเพิ่มแล้ว อิสราเอลกลับจะกลายเป็นเสี่ยถังแก๊สขึ้นมาเสียอีกด้วย ดังนั้นข่าวเรื่องที่ศัตรูคู่อาฆาต อิหร่าน อิรัค เลบานอน จะจับมือกันต่อท่อแก๊สไปถึงยุโรป จึงเป็นเรื่องที่อิสราเอลไม่พอใจอย่างยิ่ง กำลังฝันหวาน จะหิ้วถังแก๊สไปขายแถวยุโรป เอาเงินมาตุนทอง ทำกำไรอีกต่อ ทำท่าจะไม่เป็นอย่างที่ฝัน เราหิ้วเป็นถัง พวกมันส่งไปทางท่อ จะไปทันมันยังไง โอ้ย ยิวปวดใจ คิดไปแล้ว อิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์ของผม นี่ (ปีเตอร์) อู๋ จริงๆนะ มีทั้งนิวเคลียร์ มีทั้งน้ำมัน มีทั้งแก๊ส มิน่า ไอ้พวกใบตองแห้ง มันถึงน้ำลายไหลเยิ้มยืดหกออกมานอกปาก เวลานึกถึงดินแดนของเสี่ยนิวเคลียร์ แล้วแบบนี้ไอ้ใบตองแห้งมันจะปล่อยให้ลอยนวล ไปจับมือกับคุณพี่ปูติน กับ อาเฮียมังกรซ่อนเล็บได้ยังไง อิสราเอลคิดว่า ทางเดียวที่ จะหิ้วแก๊สไปขายยุโรปได้สดวกใจ ต้องให้ท่อส่งของเหล่าชีอะบรรลัยไปสิ้น แต่ช่วงนั้น กลุ่มมุสลิม บราเธอร์ฮูด ก็มาอยู่เต็มซีเรียแล้ว และมุสลิมบราเธอร์ฮูด ก็ไม่ถูกกับอิสราเอลอย่างแรง แล้วพวกมุสลิมบราเธอ์ฮูด นี่ มาอยู่ในซีเรียได้อย่างไรล่ะ ย้อนกลับไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.1950 กว่า เป็นช่วงที่อเมริกาใช้สถานทูตอเมริกาในอิยิปต์ เหมือนเป็นสำนักงานซีไอเอ สาขา 2 ที่เอาไว้ดูแลจัดการตะวันออกกลางและอาฟริกา ให้เป็นไปตามความต้องการของอเมริกา อเมริกาเอาหัวหน้ามุสลิมบราเธอร์ฮูดชาวอิยิปต์ ลี้ภัยออกจากอิยิปป์มาฝากไว้ที่ซาอุดิอารเบีย และก็ทำให้กลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮูด ผสมพันธ์ุกับกลุ่มวาหะบีของซาอุดิอารเบีย เกิดเป็นนักรบเพื่อศาสนา จีฮาร์ด มุสลิมบราเธอร์ฮูด (โฮ้ย! ทำไมมึงมันช่างคิดแผนชั่วได้ตลอดเวลาอย่างนี่นะ ไม่รู้ชีวิตกูที่เหลือนี่ จะแฉความชั่วมึงหมดไหม) เมื่อความไม่สงบในซีเรียเริ่มใหม่ๆ ตุรกีรับหน้าที่ เป็นมือเป็นตีนให้กับอเมริกา เขาว่า ก่อนการเลือกตั้งปี ค.ศ.2011 ที่ทำให้พรรค AKP ของนาย ตอยับ เอร์โดดานชนะเลือกตั้ง ได้คุมเสียงข้างมากในสภา และได้เป็นนายกรัฐมนตรี สั่งการตุรกีได้ตามใจนั้น ราชวงศ์ซาอุด ที่ดูแลนักรบเพื่อศาสนา (แต่จริงๆ ดูเหมือนจะรบเพื่ออเมริกามากก ว่า) ได้มอบเงิน “สนับสนุน” ให้แก่พรรค AKP ของนายตอยับ ถึงหนึ่งหมื่นล้านเหรียญ หลังจากพรรค AKP ชนะขาดลอย นายตอยับ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตุรกี มุสลิมบราเธอร์ฮูดก็ย้ายออกจากซาอุ ไปเข้าแถวออกันเต็ม อยู่ที่ชายแดนของตุรกีที่ติดกับซีเรีย ในเดือน ธันวาคม ค.ศ.2011 มีบทความของนาย Philip Giradi อดีตซีไอเอ สรุปว่า ….นาโต้ เข้าไปในซีเรียแล้ว โดยมีตุรกี ในฐานะตัวแทนของอเมริกา เป็นหัวหน้านำการรบ นาย Davutoglu รัฐมนตรีการต่างประเทศของตุรกี บอกว่า ประเทศเขาพร้อมบุกซีเรีย เพราะมีข้อตกลงกับประเทศตะวันตก ที่จะดำเนินการเช่นนั้น การบุกจะใช้หลักการเพื่อมนุษยธรรม(หลอก) นำหน้าเข้าไป เช่นเดียวกับวิธีการที่ใช้ตอนบุกลิเบีย และจะเริ่มโดยตั้งแนวเขตกันชน buffer zone ตลอดเส้นแนวเขตระหว่างตุรกี กับซีเรีย หลังจากนั้นก็จะขยายไปเรื่อยๆ และ อาเลปโป Aleppo เมืองใหญ่ของซีเรีย ก็จะกลายเป็นเป้าหมายใหญ่ ที่กลุ่มกบฏซีเรียจะไปยึดครอง ….เครื่องบินรบของนาโต้ ที่ไม่ติดเครื่องหมาย บินมาถึงฐานทัพทหารของตุรกี ที่อยู่ใกล้กับเมือง Iskenderum ที่อยู่เขตแดนของซีเรีย เพื่อขนอาวุธที่ยึดมาจากกัดดาฟี หลังจากฆ่าโหดกัดดาฟีไปแล้ว รวมทั้งบรรดาอาสาสมัคร (ที่มีใครจ่ายเงินสนับสนุนให้) ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีเพื่อรบกับกองทหาร เป็นความสามารถที่ได้มาจากการฝึก เอาไว้สู้กับกองทัพของกัดดาฟี…. …. ที่เมือง Iskenderum ยังมีหน่วยรบพิเศษของฝรั่งเศส และอังกฤษ คอยฝึก ให้กับกลุ่มกบฏของซีเรีย ขณะเดียวกัน ซีไอเอ และหน่วยรบพิเศษ ของอเมริกา ยังคอยเป็นพี่เลี้ยง และช่วยพากลุ่มกบฏ เลี่ยงการปะทะกับกองทัพของซีเรียอีกด้วย….. อเมริกาเอง ในช่วงนั้น ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกลุ่มมุสลิม บราเธอร์ฮูด (MB) อย่างไม่ปิดบัง รู้กันทั่วว่า นาง Huma Abedin หัวหน้าฝ่ายบริหาร ของกระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา สมัยที่คุณนายคลินตัน นางสิงห์สั่งฆ่า เป็นรัฐมนตรีนั้น นาง Abedin แสดงตัวอย่างเปิดเผยว่า มีความใกล้ชิดกับกลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮูด และยังมีอีกหลายคน ที่อยู่วงในของคณะทำงานของนายโอบามา ก็สนับสนุนกลุ่ม MB ก็คงสรุปได้ว่า ช่วงนั้น อเมริกาใช้กลุ่ม MB เป็นตัวสกัดเส้นทางการสร้างท่อส่งของกลุ่มอิหร่านซีเรีย และขณะเดียวกับที่อเมริกาใช้ตุรกีออกหน้าเข้าฉากซีเรีย ทาง อิสราเอล ซึ่งพักนั้น ไม่ค่อยร้องเพลงทำนองเดียวกับโอ บามา แต่พอมีเรื่องท่อแก๊ส ของซีเรีย โผล่ขึ้นมา อิสราเอล ก็มาเข้าฉากด้วย พอตุรกีบุกซีเรียด้านหนึ่ง หน่วย Israel Defense Force (IDF) ก็สร้างแผนล่อ ด้วยการอัดกองกำลังเข้าไปที่ Golan Height ที่อยู่ตรงเขตแดนระหว่างอิสราเอลกับซีเรีย เพื่อให้ซีเรีย ห่วงหน้าพะวงหลัง แต่เรื่องที่ อเมริกา ใช้ตุรกีออกหน้า รวมทั้ง สมคบกับซาอุ คู่แข่ง ของอิสราเอล ในรายการถล่มซีเรียนี่ ก็ดูเหมือนจะสร้าง “รอย” ระหว่าง อเมริกา กับ อิสราเอล ไว้เหมือนกัน ไอ้ใบตองแห้งนี่ อย่าได้ประเมินความชั่วของมัน ต่ำน้อยไปเชียว และ ทั้งหมดก็ เป็นไปตามแผนของอเมริกา ในการสกัดซีเรีย หรือท่อส่งแก๊สกลุ่มอิหร่านซีเรีย โดยอเมริการะดมพล ทั้งกลุ่มนักรบอิสลามสาระพัดพันธ์ุ สาระพัดชื่อ แต่ไม่ว่าพันธุ์ไหน อเมริกาก็มีส่วนกี่ยวข้องทั้งนั้น รวมทั้ง กองกำลังนาโต้ ที่เดินเองพูดเองไม่เป็น ต้องทำตามใบสั่งของอเมริกาเท่านั้น บวกกับ กลุ่มลูกหาบนานาชาติ หรือกลุ่ม 11 ที่มีผลประโยชน์ บุญคุณ หนี้สินติดพันกันเอง และกับอเมริกา ผมตกใครไปไหมเนี่ยะ เผื่อมีใครกำลังรวบรวมรายชื่อ ทำบัญชี… คนเล่านิทาน 10 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI Moderation กำลังทำลายระบบนิเวศ Creator

    บทความนี้เล่าถึงปัญหาที่ YouTube ใช้ระบบ AI ตรวจสอบคอนเทนต์มากขึ้น จนทำให้วิดีโอสอนเทคนิคและช่องใหญ่ ๆ ถูกลบหรือปิดโดยไม่ชัดเจน การอุทธรณ์ก็เหมือนถูกตัดสินแบบอัตโนมัติ สร้างความไม่มั่นใจและบั่นทอนระบบนิเวศของผู้สร้างคอนเทนต์

    YouTube อ้างว่าการตรวจสอบคอนเทนต์เป็นการผสมผสานระหว่าง “มนุษย์และระบบอัตโนมัติ” แต่หลายเหตุการณ์ชี้ว่า การลบวิดีโอและการปฏิเสธอุทธรณ์เกิดขึ้นเร็วผิดปกติ จนดูเหมือนเป็นการตัดสินใจโดย AI ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น วิดีโอสอนติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องที่ไม่รองรับถูกลบว่า “อันตราย” ทั้งที่เป็นเพียงคู่มือเชิงเทคนิค

    ผลกระทบต่อผู้สร้างคอนเทนต์
    ช่องใหญ่ถูกปิดโดยไม่ชัดเจน เช่น Enderman ที่ถูกเชื่อมโยงผิดกับบัญชีอื่นที่เคยโดนแบน
    ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ: การโดน strike เพียงครั้งเดียวอาจทำให้รายได้หายและผู้สนับสนุนถอนตัว
    ความเหนื่อยล้าในการอุทธรณ์: เมื่อระบบอุทธรณ์ดูเหมือนอัตโนมัติ ผู้สร้างหลายคนเลิกพยายามและหันไปหลีกเลี่ยงหัวข้อเสี่ยงแทน

    ปัญหาที่ซ่อนอยู่
    AI มักตีความคำอย่าง “bypass” หรือ “workaround” ว่าเป็นสัญญาณเสี่ยง ทำให้ คอนเทนต์การศึกษาโดนลงโทษ ทั้งที่ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือกฎจริง ๆ ขณะเดียวกัน คอนเทนต์คุณภาพต่ำที่สร้างด้วย AI กลับยังคงผ่านการตรวจสอบและปรากฏใน feed ของผู้ใช้ สะท้อนว่า สัญญาณการบังคับใช้กลับหัวกลับหาง

    ทางออกที่เสนอ
    ผู้เขียนแนะนำว่า YouTube ควร:
    ออกนโยบายละเอียดสำหรับวิดีโอสอนที่เกี่ยวกับการตั้งค่า OS หรือเฟิร์มแวร์
    เพิ่มขั้นตอนอุทธรณ์ที่มีมนุษย์ตรวจสอบจริง พร้อมหลักฐานการตัดสินใจ
    แยกนโยบาย “การกระทำอันตราย” ออกจาก “การปรับแต่งซอฟต์แวร์”
    ทำให้เครื่องมือแนะนำหัวข้อของ Creator สอดคล้องกับนโยบายบังคับใช้

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    วิดีโอสอน Windows 11 ถูกลบว่า “อันตราย”
    ช่องใหญ่ถูกปิดโดยการเชื่อมโยงผิด

    ผลกระทบต่อ Creator
    รายได้และผู้สนับสนุนหายไปเมื่อโดน strike
    ผู้สร้างเลิกอุทธรณ์เพราะระบบดูเหมือนอัตโนมัติ

    ปัญหาที่ซ่อนอยู่
    คำอย่าง “bypass” ทำให้คอนเทนต์การศึกษาถูกลงโทษ
    คอนเทนต์ AI คุณภาพต่ำยังผ่านการตรวจสอบ

    ทางออกที่เสนอ
    ออกนโยบายละเอียดสำหรับวิดีโอสอน OS/เฟิร์มแวร์
    เพิ่มการตรวจสอบอุทธรณ์โดยมนุษย์จริง
    แยกนโยบาย “อันตราย” ออกจาก “การปรับแต่งซอฟต์แวร์”

    ข้อควรระวัง
    ความไม่โปร่งใสทำให้ผู้สร้างไม่มั่นใจ
    ระบบอัตโนมัติอาจลงโทษคอนเทนต์ที่ไม่ผิดจริง
    เสี่ยงต่อการทำให้คอนเทนต์คุณภาพหายไปจากแพลตฟอร์ม

    https://itsfoss.com/news/youtubes-ai-mod-enshittification/
    🤖 AI Moderation กำลังทำลายระบบนิเวศ Creator บทความนี้เล่าถึงปัญหาที่ YouTube ใช้ระบบ AI ตรวจสอบคอนเทนต์มากขึ้น จนทำให้วิดีโอสอนเทคนิคและช่องใหญ่ ๆ ถูกลบหรือปิดโดยไม่ชัดเจน การอุทธรณ์ก็เหมือนถูกตัดสินแบบอัตโนมัติ สร้างความไม่มั่นใจและบั่นทอนระบบนิเวศของผู้สร้างคอนเทนต์ YouTube อ้างว่าการตรวจสอบคอนเทนต์เป็นการผสมผสานระหว่าง “มนุษย์และระบบอัตโนมัติ” แต่หลายเหตุการณ์ชี้ว่า การลบวิดีโอและการปฏิเสธอุทธรณ์เกิดขึ้นเร็วผิดปกติ จนดูเหมือนเป็นการตัดสินใจโดย AI ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น วิดีโอสอนติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องที่ไม่รองรับถูกลบว่า “อันตราย” ทั้งที่เป็นเพียงคู่มือเชิงเทคนิค ⚠️ ผลกระทบต่อผู้สร้างคอนเทนต์ 💠 ช่องใหญ่ถูกปิดโดยไม่ชัดเจน เช่น Enderman ที่ถูกเชื่อมโยงผิดกับบัญชีอื่นที่เคยโดนแบน 💠 ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ: การโดน strike เพียงครั้งเดียวอาจทำให้รายได้หายและผู้สนับสนุนถอนตัว 💠 ความเหนื่อยล้าในการอุทธรณ์: เมื่อระบบอุทธรณ์ดูเหมือนอัตโนมัติ ผู้สร้างหลายคนเลิกพยายามและหันไปหลีกเลี่ยงหัวข้อเสี่ยงแทน 🧩 ปัญหาที่ซ่อนอยู่ AI มักตีความคำอย่าง “bypass” หรือ “workaround” ว่าเป็นสัญญาณเสี่ยง ทำให้ คอนเทนต์การศึกษาโดนลงโทษ ทั้งที่ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือกฎจริง ๆ ขณะเดียวกัน คอนเทนต์คุณภาพต่ำที่สร้างด้วย AI กลับยังคงผ่านการตรวจสอบและปรากฏใน feed ของผู้ใช้ สะท้อนว่า สัญญาณการบังคับใช้กลับหัวกลับหาง 🔮 ทางออกที่เสนอ ผู้เขียนแนะนำว่า YouTube ควร: 💠 ออกนโยบายละเอียดสำหรับวิดีโอสอนที่เกี่ยวกับการตั้งค่า OS หรือเฟิร์มแวร์ 💠 เพิ่มขั้นตอนอุทธรณ์ที่มีมนุษย์ตรวจสอบจริง พร้อมหลักฐานการตัดสินใจ 💠 แยกนโยบาย “การกระทำอันตราย” ออกจาก “การปรับแต่งซอฟต์แวร์” 💠 ทำให้เครื่องมือแนะนำหัวข้อของ Creator สอดคล้องกับนโยบายบังคับใช้ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ วิดีโอสอน Windows 11 ถูกลบว่า “อันตราย” ➡️ ช่องใหญ่ถูกปิดโดยการเชื่อมโยงผิด ✅ ผลกระทบต่อ Creator ➡️ รายได้และผู้สนับสนุนหายไปเมื่อโดน strike ➡️ ผู้สร้างเลิกอุทธรณ์เพราะระบบดูเหมือนอัตโนมัติ ✅ ปัญหาที่ซ่อนอยู่ ➡️ คำอย่าง “bypass” ทำให้คอนเทนต์การศึกษาถูกลงโทษ ➡️ คอนเทนต์ AI คุณภาพต่ำยังผ่านการตรวจสอบ ✅ ทางออกที่เสนอ ➡️ ออกนโยบายละเอียดสำหรับวิดีโอสอน OS/เฟิร์มแวร์ ➡️ เพิ่มการตรวจสอบอุทธรณ์โดยมนุษย์จริง ➡️ แยกนโยบาย “อันตราย” ออกจาก “การปรับแต่งซอฟต์แวร์” ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ความไม่โปร่งใสทำให้ผู้สร้างไม่มั่นใจ ⛔ ระบบอัตโนมัติอาจลงโทษคอนเทนต์ที่ไม่ผิดจริง ⛔ เสี่ยงต่อการทำให้คอนเทนต์คุณภาพหายไปจากแพลตฟอร์ม https://itsfoss.com/news/youtubes-ai-mod-enshittification/
    ITSFOSS.COM
    YouTube’s AI is Breaking the Creator Ecosystem
    A moderation system that leans on automation just knocked legitimate tech tutorials and even entire channels offline. The appeals felt automated, too. Creators are powerless against opaque enforcement and the incentives that should favor craft and trust are tilting toward noise.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪸 ฟองน้ำกินเนื้อ “Death-Ball”

    นักวิทยาศาสตร์ค้นพบฟองน้ำสายพันธุ์ใหม่ในทะเลลึกแอนตาร์กติกา ที่ถูกเรียกว่า “death-ball sponge” เพราะมีลักษณะคล้ายลูกบอลและเป็นฟองน้ำกินเนื้อ ใช้ตะขอเล็ก ๆ จับสัตว์น้ำที่ว่ายผ่าน ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ที่ถูกบันทึกในการสำรวจครั้งนี้

    ฟองน้ำชนิดใหม่นี้ถูกจัดอยู่ในสกุล Chondrocladia หรือที่รู้จักกันว่า “ping pong ball sponges” เพราะรูปร่างคล้ายลูกบอลเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนก้าน แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูไม่อันตราย มันกลับมีตะขอจิ๋วที่ใช้จับสัตว์น้ำเล็ก ๆ เช่นครัสเตเชียนที่ว่ายผ่านไป

    การค้นพบในทะเลลึก
    การสำรวจโดยโครงการ Nippon Foundation–Nekton Ocean Census ในปี 2025 ใช้ยานควบคุมระยะไกล (ROV) ลงไปที่ความลึกกว่า 3,600 เมตร ใกล้เกาะ Montagu ในมหาสมุทรใต้ ผลลัพธ์คือการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ รวมถึงฟองน้ำกินเนื้อชนิดนี้ หนอนเกล็ดที่มีเกราะสะท้อนแสง และสัตว์ทะเลอื่น ๆ

    ไฮไลท์ของภารกิจ
    นอกจากฟองน้ำแล้ว ทีมวิจัยยังบันทึกวิดีโอแรกของลูกหมึกยักษ์โคลอสซัลในวัยเด็ก และค้นพบระบบนิเวศใหม่ที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่แตกออกจากธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกา การค้นพบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่ยังไม่ถูกศึกษาในมหาสมุทรใต้

    ความหมายต่อวิทยาศาสตร์
    Michelle Taylor หัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ของ Ocean Census ระบุว่า ปัจจุบันยังมีการวิเคราะห์ตัวอย่างเพียง 30% ของทั้งหมด แต่ก็สามารถยืนยันสิ่งมีชีวิตใหม่ได้แล้วกว่า 30 สายพันธุ์ แสดงให้เห็นว่ามหาสมุทรใต้ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีความลึกลับและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การค้นพบฟองน้ำกินเนื้อ
    ฟองน้ำ “death-ball” อยู่ในสกุล Chondrocladia
    ใช้ตะขอเล็ก ๆ จับสัตว์น้ำที่ว่ายผ่าน

    การสำรวจในมหาสมุทรใต้
    ใช้ ROV ลงไปที่ความลึก 3,601 เมตร
    พบสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์

    ไฮไลท์ของภารกิจ
    บันทึกวิดีโอลูกหมึกโคลอสซัลครั้งแรก
    พบระบบนิเวศใหม่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง

    ความหมายต่อวิทยาศาสตร์
    ยืนยันสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์
    ยังมีตัวอย่างอีกมากที่รอการวิเคราะห์

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การค้นพบยังอยู่ในขั้นต้น ต้องการการตรวจสอบเพิ่มเติม
    ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของฟองน้ำในระบบนิเวศยังไม่สมบูรณ์
    การสำรวจทะเลลึกยังมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายสูง

    https://www.sciencealert.com/meet-the-latest-deep-sea-horror-meat-eating-death-ball-sponges
    🪸 ฟองน้ำกินเนื้อ “Death-Ball” นักวิทยาศาสตร์ค้นพบฟองน้ำสายพันธุ์ใหม่ในทะเลลึกแอนตาร์กติกา ที่ถูกเรียกว่า “death-ball sponge” เพราะมีลักษณะคล้ายลูกบอลและเป็นฟองน้ำกินเนื้อ ใช้ตะขอเล็ก ๆ จับสัตว์น้ำที่ว่ายผ่าน ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ที่ถูกบันทึกในการสำรวจครั้งนี้ ฟองน้ำชนิดใหม่นี้ถูกจัดอยู่ในสกุล Chondrocladia หรือที่รู้จักกันว่า “ping pong ball sponges” เพราะรูปร่างคล้ายลูกบอลเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนก้าน แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูไม่อันตราย มันกลับมีตะขอจิ๋วที่ใช้จับสัตว์น้ำเล็ก ๆ เช่นครัสเตเชียนที่ว่ายผ่านไป 🌊 การค้นพบในทะเลลึก การสำรวจโดยโครงการ Nippon Foundation–Nekton Ocean Census ในปี 2025 ใช้ยานควบคุมระยะไกล (ROV) ลงไปที่ความลึกกว่า 3,600 เมตร ใกล้เกาะ Montagu ในมหาสมุทรใต้ ผลลัพธ์คือการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ รวมถึงฟองน้ำกินเนื้อชนิดนี้ หนอนเกล็ดที่มีเกราะสะท้อนแสง และสัตว์ทะเลอื่น ๆ 🦑 ไฮไลท์ของภารกิจ นอกจากฟองน้ำแล้ว ทีมวิจัยยังบันทึกวิดีโอแรกของลูกหมึกยักษ์โคลอสซัลในวัยเด็ก และค้นพบระบบนิเวศใหม่ที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่แตกออกจากธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกา การค้นพบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่ยังไม่ถูกศึกษาในมหาสมุทรใต้ 🔬 ความหมายต่อวิทยาศาสตร์ Michelle Taylor หัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ของ Ocean Census ระบุว่า ปัจจุบันยังมีการวิเคราะห์ตัวอย่างเพียง 30% ของทั้งหมด แต่ก็สามารถยืนยันสิ่งมีชีวิตใหม่ได้แล้วกว่า 30 สายพันธุ์ แสดงให้เห็นว่ามหาสมุทรใต้ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีความลึกลับและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การค้นพบฟองน้ำกินเนื้อ ➡️ ฟองน้ำ “death-ball” อยู่ในสกุล Chondrocladia ➡️ ใช้ตะขอเล็ก ๆ จับสัตว์น้ำที่ว่ายผ่าน ✅ การสำรวจในมหาสมุทรใต้ ➡️ ใช้ ROV ลงไปที่ความลึก 3,601 เมตร ➡️ พบสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ ✅ ไฮไลท์ของภารกิจ ➡️ บันทึกวิดีโอลูกหมึกโคลอสซัลครั้งแรก ➡️ พบระบบนิเวศใหม่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ✅ ความหมายต่อวิทยาศาสตร์ ➡️ ยืนยันสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ ➡️ ยังมีตัวอย่างอีกมากที่รอการวิเคราะห์ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การค้นพบยังอยู่ในขั้นต้น ต้องการการตรวจสอบเพิ่มเติม ⛔ ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของฟองน้ำในระบบนิเวศยังไม่สมบูรณ์ ⛔ การสำรวจทะเลลึกยังมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายสูง https://www.sciencealert.com/meet-the-latest-deep-sea-horror-meat-eating-death-ball-sponges
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Meet The Latest Deep-Sea Horror: Meat-Eating 'Death-Ball' Sponges
    Sponges are some of the simplest and least dangerous animals on Earth, but a new species seems to be shooting for a cooler reputation.
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar

    รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S
    เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า
    https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review

    มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร
    นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก
    https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it

    ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA
    IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA
    https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function

    6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement
    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ
    https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan

    Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่
    ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was

    Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era”
    Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน
    https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all

    EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035
    สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035

    ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI”
    ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย
    https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture

    สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ
    นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่
    https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know

    AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime”
    ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า
    https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it



    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar 🖥️ รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า 🔗 https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review 💻 มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it 🔌 ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA 🔗 https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function 🤖 6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan 🚗 Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่ ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was 🖌️ Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era” Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all 🚗 EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035 สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035 🤖 ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI” ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture 🛂 สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ 🔗 https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know ⚙️ AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime” ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it
    WWW.TECHRADAR.COM
    I tested the HHKB Professional Classic Type-S — a niche option for those prepared to learn a new keyboard layout to get Topre key mechanisms
    The HHKB Professional Classic Type-S is a radically deconstructed keyboard design that focuses on compact layout rather than easy adaptability.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • คดีฟ้องร้องยักษ์ใหญ่ชิปสหรัฐฯ

    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการฟ้องร้องบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในรัฐเท็กซัส ได้แก่ AMD, Intel และ Texas Instruments โดยกลุ่มพลเรือนยูเครน กล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้ละเลยการควบคุมการส่งออก ทำให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขาถูกนำไปใช้ใน โดรนและขีปนาวุธรัสเซีย ที่โจมตีพลเรือนระหว่างปี 2023–2025 การฟ้องร้องใช้ถ้อยคำรุนแรง เช่น “merchants of death” หรือ “พ่อค้าแห่งความตาย” เพื่อชี้ถึงความรับผิดชอบทางศีลธรรมของบริษัทเหล่านี้

    ช่องโหว่การคว่ำบาตรและการเล็ดรอดของเทคโนโลยี
    แม้สหรัฐฯ และพันธมิตรจะออกมาตรการคว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2022 แต่รัสเซียยังคงหาช่องทางนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญผ่าน ตลาดสีเทาและบริษัทตัวกลางในต่างประเทศ เช่น จีน ตุรกี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้ชิปที่ควรใช้ในอุปกรณ์พลเรือนกลับถูกนำไปใช้ในระบบนำทางและควบคุมของอาวุธร้ายแรง การสอบสวนพบว่า กว่า 95% ของขีปนาวุธและโดรนรัสเซียมีชิ้นส่วนตะวันตก

    ผลกระทบต่อพลเรือนยูเครน
    หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจคือการโจมตีโรงพยาบาลเด็ก Okhmatdyt ในกรุงเคียฟ ปี 2024 ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยพบว่าขีปนาวุธที่ใช้มีชิ้นส่วนจากบริษัทสหรัฐฯ นี่เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าชิ้นส่วนที่ถูกละเลยการควบคุมสามารถสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์

    บทเรียนและความรับผิดชอบระดับโลก
    คดีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความล้มเหลวของการคว่ำบาตร แต่ยังตั้งคำถามถึง ความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยีในสงครามสมัยใหม่ หากศาลตัดสินให้บริษัทเหล่านี้มีความผิด อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่บังคับให้ผู้ผลิตเทคโนโลยีทั่วโลกต้องเข้มงวดกับการตรวจสอบเส้นทางการส่งออกมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การฟ้องร้องบริษัทชิปสหรัฐฯ
    AMD, Intel และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่าชิ้นส่วนของพวกเขาถูกใช้ในอาวุธรัสเซีย

    ช่องโหว่การคว่ำบาตร
    รัสเซียใช้บริษัทตัวกลางในต่างประเทศเพื่อเลี่ยงมาตรการและนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญ

    ผลกระทบต่อพลเรือน
    เหตุโจมตีโรงพยาบาลเด็กในเคียฟปี 2024 เป็นตัวอย่างการใช้ชิ้นส่วนตะวันตกในอาวุธ

    ความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยี
    หากคดีนี้ชนะ อาจสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการควบคุมการส่งออกทั่วโลก

    ความล้มเหลวของมาตรการคว่ำบาตร
    กว่า 95% ของอาวุธรัสเซียยังคงมีชิ้นส่วนตะวันตก แม้มีข้อห้ามแล้ว

    ความเสี่ยงต่อพลเรือน
    การละเลยการตรวจสอบเส้นทางชิ้นส่วนทำให้พลเรือนยูเครนยังคงตกเป็นเป้าการโจมตี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/amd-intel-and-ti-are-merchants-of-death-says-lawyer-representing-ukrainian-civilians-five-new-suits-complain-that-russian-drones-and-missiles-continue-to-use-high-tech-components-from-these-brands
    ⚖️ คดีฟ้องร้องยักษ์ใหญ่ชิปสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการฟ้องร้องบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในรัฐเท็กซัส ได้แก่ AMD, Intel และ Texas Instruments โดยกลุ่มพลเรือนยูเครน กล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้ละเลยการควบคุมการส่งออก ทำให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขาถูกนำไปใช้ใน โดรนและขีปนาวุธรัสเซีย ที่โจมตีพลเรือนระหว่างปี 2023–2025 การฟ้องร้องใช้ถ้อยคำรุนแรง เช่น “merchants of death” หรือ “พ่อค้าแห่งความตาย” เพื่อชี้ถึงความรับผิดชอบทางศีลธรรมของบริษัทเหล่านี้ 🚀 ช่องโหว่การคว่ำบาตรและการเล็ดรอดของเทคโนโลยี แม้สหรัฐฯ และพันธมิตรจะออกมาตรการคว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2022 แต่รัสเซียยังคงหาช่องทางนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญผ่าน ตลาดสีเทาและบริษัทตัวกลางในต่างประเทศ เช่น จีน ตุรกี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้ชิปที่ควรใช้ในอุปกรณ์พลเรือนกลับถูกนำไปใช้ในระบบนำทางและควบคุมของอาวุธร้ายแรง การสอบสวนพบว่า กว่า 95% ของขีปนาวุธและโดรนรัสเซียมีชิ้นส่วนตะวันตก 🏥 ผลกระทบต่อพลเรือนยูเครน หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจคือการโจมตีโรงพยาบาลเด็ก Okhmatdyt ในกรุงเคียฟ ปี 2024 ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยพบว่าขีปนาวุธที่ใช้มีชิ้นส่วนจากบริษัทสหรัฐฯ นี่เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าชิ้นส่วนที่ถูกละเลยการควบคุมสามารถสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์ 🌐 บทเรียนและความรับผิดชอบระดับโลก คดีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความล้มเหลวของการคว่ำบาตร แต่ยังตั้งคำถามถึง ความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยีในสงครามสมัยใหม่ หากศาลตัดสินให้บริษัทเหล่านี้มีความผิด อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่บังคับให้ผู้ผลิตเทคโนโลยีทั่วโลกต้องเข้มงวดกับการตรวจสอบเส้นทางการส่งออกมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การฟ้องร้องบริษัทชิปสหรัฐฯ ➡️ AMD, Intel และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่าชิ้นส่วนของพวกเขาถูกใช้ในอาวุธรัสเซีย ✅ ช่องโหว่การคว่ำบาตร ➡️ รัสเซียใช้บริษัทตัวกลางในต่างประเทศเพื่อเลี่ยงมาตรการและนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญ ✅ ผลกระทบต่อพลเรือน ➡️ เหตุโจมตีโรงพยาบาลเด็กในเคียฟปี 2024 เป็นตัวอย่างการใช้ชิ้นส่วนตะวันตกในอาวุธ ✅ ความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยี ➡️ หากคดีนี้ชนะ อาจสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการควบคุมการส่งออกทั่วโลก ‼️ ความล้มเหลวของมาตรการคว่ำบาตร ⛔ กว่า 95% ของอาวุธรัสเซียยังคงมีชิ้นส่วนตะวันตก แม้มีข้อห้ามแล้ว ‼️ ความเสี่ยงต่อพลเรือน ⛔ การละเลยการตรวจสอบเส้นทางชิ้นส่วนทำให้พลเรือนยูเครนยังคงตกเป็นเป้าการโจมตี https://www.tomshardware.com/pc-components/amd-intel-and-ti-are-merchants-of-death-says-lawyer-representing-ukrainian-civilians-five-new-suits-complain-that-russian-drones-and-missiles-continue-to-use-high-tech-components-from-these-brands
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI เปิดตัวระบบ Skills ใน ChatGPT และ Codex CLI”

    OpenAI ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Skills ลงใน ChatGPT และ Codex CLI โดยแนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Anthropic ที่เปิดตัวระบบคล้ายกันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา “Skill” คือโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ Markdown และทรัพยากรเสริม ทำให้โมเดลสามารถใช้งานได้เหมือนปลั๊กอินที่เพิ่มความสามารถเฉพาะด้าน เช่น การทำงานกับสเปรดชีต ไฟล์ Word หรือ PDF

    ใน ChatGPT ระบบ Skills ถูกซ่อนอยู่ในโฟลเดอร์ /home/oai/skills ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านการสั่งงาน ตัวอย่างเช่นการสร้าง PDF ที่มีการสรุปข้อมูล โดยโมเดลจะอ่านไฟล์ skill.md เพื่อทำตามแนวทางการสร้างเอกสาร และยังสามารถปรับแต่งผลลัพธ์ เช่น เปลี่ยนฟอนต์เมื่อพบว่ามีปัญหากับตัวอักษรพิเศษ

    สำหรับ Codex CLI มีการเพิ่มการรองรับ Skills ผ่านการตั้งค่าในโฟลเดอร์ ~/.codex/skills ผู้ใช้สามารถติดตั้งปลั๊กอินใหม่ได้ง่าย ๆ เช่น การสร้างปลั๊กอิน Datasette ที่เพิ่มฟังก์ชัน cowsay โดยเพียงแค่ใส่โค้ดลงในโฟลเดอร์และเปิดใช้งานด้วยคำสั่ง --enable skills

    สิ่งที่น่าสนใจคือ OpenAI เลือกใช้วิธีการประมวลผล PDF โดยแปลงเป็นภาพ PNG ต่อหน้า แล้วส่งให้โมเดลที่รองรับ Vision วิเคราะห์ เพื่อรักษารูปแบบและกราฟิกที่อาจสูญหายหากใช้การดึงข้อความเพียงอย่างเดียว แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามในการทำให้โมเดลเข้าใจข้อมูลเชิงโครงสร้างและภาพมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    OpenAI เพิ่มระบบ Skills ใน ChatGPT และ Codex CLI
    Skills คือโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ Markdown และทรัพยากรเสริม
    ChatGPT ใช้ Skills ในการสร้างและจัดการเอกสาร เช่น PDF, DOCX, Spreadsheets
    Codex CLI รองรับการติดตั้งปลั๊กอินใหม่ผ่านโฟลเดอร์ ~/.codex/skills

    ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet
    Anthropic เคยเปิดตัวระบบ Skills ก่อนหน้านี้ และ OpenAI นำแนวคิดมาใช้
    การแปลง PDF เป็น PNG ต่อหน้าเพื่อให้โมเดล Vision วิเคราะห์ เป็นวิธีรักษารูปแบบเอกสาร
    ระบบ Skills อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการขยายความสามารถของ LLM

    คำเตือน
    การใช้ Skills ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของปลั๊กอินที่ติดตั้งจากภายนอก
    หากไม่มีการกำกับดูแล อาจเกิดการใช้ Skills ที่มีโค้ดไม่ปลอดภัยหรือเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
    การพึ่งพา Skills ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ อาจทำให้โมเดลทำงานผิดพลาดหรือสร้างผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด

    https://simonwillison.net/2025/Dec/12/openai-skills/
    🤖 “OpenAI เปิดตัวระบบ Skills ใน ChatGPT และ Codex CLI” OpenAI ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Skills ลงใน ChatGPT และ Codex CLI โดยแนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Anthropic ที่เปิดตัวระบบคล้ายกันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา “Skill” คือโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ Markdown และทรัพยากรเสริม ทำให้โมเดลสามารถใช้งานได้เหมือนปลั๊กอินที่เพิ่มความสามารถเฉพาะด้าน เช่น การทำงานกับสเปรดชีต ไฟล์ Word หรือ PDF ใน ChatGPT ระบบ Skills ถูกซ่อนอยู่ในโฟลเดอร์ /home/oai/skills ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านการสั่งงาน ตัวอย่างเช่นการสร้าง PDF ที่มีการสรุปข้อมูล โดยโมเดลจะอ่านไฟล์ skill.md เพื่อทำตามแนวทางการสร้างเอกสาร และยังสามารถปรับแต่งผลลัพธ์ เช่น เปลี่ยนฟอนต์เมื่อพบว่ามีปัญหากับตัวอักษรพิเศษ สำหรับ Codex CLI มีการเพิ่มการรองรับ Skills ผ่านการตั้งค่าในโฟลเดอร์ ~/.codex/skills ผู้ใช้สามารถติดตั้งปลั๊กอินใหม่ได้ง่าย ๆ เช่น การสร้างปลั๊กอิน Datasette ที่เพิ่มฟังก์ชัน cowsay โดยเพียงแค่ใส่โค้ดลงในโฟลเดอร์และเปิดใช้งานด้วยคำสั่ง --enable skills สิ่งที่น่าสนใจคือ OpenAI เลือกใช้วิธีการประมวลผล PDF โดยแปลงเป็นภาพ PNG ต่อหน้า แล้วส่งให้โมเดลที่รองรับ Vision วิเคราะห์ เพื่อรักษารูปแบบและกราฟิกที่อาจสูญหายหากใช้การดึงข้อความเพียงอย่างเดียว แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามในการทำให้โมเดลเข้าใจข้อมูลเชิงโครงสร้างและภาพมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ OpenAI เพิ่มระบบ Skills ใน ChatGPT และ Codex CLI ➡️ Skills คือโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ Markdown และทรัพยากรเสริม ➡️ ChatGPT ใช้ Skills ในการสร้างและจัดการเอกสาร เช่น PDF, DOCX, Spreadsheets ➡️ Codex CLI รองรับการติดตั้งปลั๊กอินใหม่ผ่านโฟลเดอร์ ~/.codex/skills ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet ➡️ Anthropic เคยเปิดตัวระบบ Skills ก่อนหน้านี้ และ OpenAI นำแนวคิดมาใช้ ➡️ การแปลง PDF เป็น PNG ต่อหน้าเพื่อให้โมเดล Vision วิเคราะห์ เป็นวิธีรักษารูปแบบเอกสาร ➡️ ระบบ Skills อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการขยายความสามารถของ LLM ‼️ คำเตือน ⛔ การใช้ Skills ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของปลั๊กอินที่ติดตั้งจากภายนอก ⛔ หากไม่มีการกำกับดูแล อาจเกิดการใช้ Skills ที่มีโค้ดไม่ปลอดภัยหรือเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ⛔ การพึ่งพา Skills ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ อาจทำให้โมเดลทำงานผิดพลาดหรือสร้างผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด https://simonwillison.net/2025/Dec/12/openai-skills/
    SIMONWILLISON.NET
    OpenAI are quietly adopting skills, now available in ChatGPT and Codex CLI
    One of the things that most excited me about Anthropic’s new Skills mechanism back in October is how easy it looked for other platforms to implement. A skill is just …
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • Oracle เลื่อนโครงการศูนย์ข้อมูล AI

    Oracle ได้ปรับกำหนดการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ภายใต้โครงการ Stargate ที่ร่วมกับ OpenAI และ SoftBank จากปี 2027 ไปเป็นปี 2028 โดยสาเหตุหลักคือการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและวัสดุที่จำเป็นต่อการก่อสร้าง แม้จะเลื่อนเวลา แต่ขอบเขตโครงการยังคงเดิม คือการสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อรองรับการประมวลผล AI

    ขนาดโครงการที่ทะเยอทะยาน
    ตามสัญญาที่ลงนามในเดือนกรกฎาคม Oracle จะสร้างศูนย์ข้อมูลที่รองรับ 2 ล้าน AI accelerators และใช้พลังงาน 5 GW ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อเสร็จสมบูรณ์ แม้จะมีการเลื่อน แต่ Oracle ยืนยันว่าโครงการยังคงเดินหน้าตามแผน และจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่

    ตัวอย่างความสำเร็จที่ผ่านมา
    Oracle ยกตัวอย่าง SuperCluster ใน Abilene, Texas ที่สามารถติดตั้ง GPU ของ Nvidia ได้เกือบ 200,000 ตัวภายในเวลาไม่กี่เดือน เพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความสามารถในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แม้จะมีอุปสรรคด้านวัสดุและแรงงาน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    การล่าช้าของโครงการนี้สะท้อนถึงปัญหาที่อุตสาหกรรม AI เผชิญทั่วโลก ทั้งการขาดแคลนพลังงาน วัสดุ และแรงงานที่มีทักษะ หากไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลา อาจทำให้การขยายตัวของ AI ชะลอลง และส่งผลต่อความสามารถในการรองรับโมเดลใหม่ ๆ ที่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Oracle เลื่อนโครงการ
    จากปี 2027 ไปเป็นปี 2028
    สาเหตุจากการขาดแคลนแรงงานและวัสดุ

    ขนาดโครงการ
    รองรับ 2 ล้าน AI accelerators
    ใช้พลังงาน 5 GW

    ตัวอย่างความสำเร็จ
    SuperCluster ใน Texas ติดตั้ง GPU ได้เกือบ 200,000 ตัว
    แสดงศักยภาพการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ปัญหาการขาดแคลนพลังงานและวัสดุทั่วโลก
    อาจทำให้การขยายตัวของ AI ชะลอลง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การล่าช้าอาจกระทบต่อการรองรับโมเดล AI รุ่นใหม่
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาทรัพยากรที่หายากและแรงงานที่มีทักษะ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/oracle-reportedly-delays-several-new-openai-data-centers-because-of-shortages-tight-material-and-labor-supply-frustrate-expansion-plans-possibly-by-a-year-or-more
    🏗️ Oracle เลื่อนโครงการศูนย์ข้อมูล AI Oracle ได้ปรับกำหนดการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ภายใต้โครงการ Stargate ที่ร่วมกับ OpenAI และ SoftBank จากปี 2027 ไปเป็นปี 2028 โดยสาเหตุหลักคือการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและวัสดุที่จำเป็นต่อการก่อสร้าง แม้จะเลื่อนเวลา แต่ขอบเขตโครงการยังคงเดิม คือการสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อรองรับการประมวลผล AI ⚡ ขนาดโครงการที่ทะเยอทะยาน ตามสัญญาที่ลงนามในเดือนกรกฎาคม Oracle จะสร้างศูนย์ข้อมูลที่รองรับ 2 ล้าน AI accelerators และใช้พลังงาน 5 GW ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อเสร็จสมบูรณ์ แม้จะมีการเลื่อน แต่ Oracle ยืนยันว่าโครงการยังคงเดินหน้าตามแผน และจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่ 🔧 ตัวอย่างความสำเร็จที่ผ่านมา Oracle ยกตัวอย่าง SuperCluster ใน Abilene, Texas ที่สามารถติดตั้ง GPU ของ Nvidia ได้เกือบ 200,000 ตัวภายในเวลาไม่กี่เดือน เพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความสามารถในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แม้จะมีอุปสรรคด้านวัสดุและแรงงาน 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI การล่าช้าของโครงการนี้สะท้อนถึงปัญหาที่อุตสาหกรรม AI เผชิญทั่วโลก ทั้งการขาดแคลนพลังงาน วัสดุ และแรงงานที่มีทักษะ หากไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลา อาจทำให้การขยายตัวของ AI ชะลอลง และส่งผลต่อความสามารถในการรองรับโมเดลใหม่ ๆ ที่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Oracle เลื่อนโครงการ ➡️ จากปี 2027 ไปเป็นปี 2028 ➡️ สาเหตุจากการขาดแคลนแรงงานและวัสดุ ✅ ขนาดโครงการ ➡️ รองรับ 2 ล้าน AI accelerators ➡️ ใช้พลังงาน 5 GW ✅ ตัวอย่างความสำเร็จ ➡️ SuperCluster ใน Texas ติดตั้ง GPU ได้เกือบ 200,000 ตัว ➡️ แสดงศักยภาพการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ ปัญหาการขาดแคลนพลังงานและวัสดุทั่วโลก ➡️ อาจทำให้การขยายตัวของ AI ชะลอลง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การล่าช้าอาจกระทบต่อการรองรับโมเดล AI รุ่นใหม่ ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาทรัพยากรที่หายากและแรงงานที่มีทักษะ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/oracle-reportedly-delays-several-new-openai-data-centers-because-of-shortages-tight-material-and-labor-supply-frustrate-expansion-plans-possibly-by-a-year-or-more
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพบเห็นซีพียูใหม่ Intel Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ในอินเดีย

    รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ถูกเพิ่มเข้ารายการสินค้าของร้านค้าปลีกในอินเดีย แม้ไม่มีรายละเอียดด้านราคาและสเปกเต็ม แต่การปรากฏชื่อรุ่นถือเป็นการยืนยันว่า Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Arrow Lake Refresh

    การต่อยอดจาก Arrow Lake
    ซีพียูรุ่น "Plus" นี้คาดว่าจะเป็นการปรับปรุงจาก Arrow Lake รุ่นแรก ที่เปิดตัวในปี 2024 โดยอาจมีการเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกา (clock speed) และปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการพลังงาน เพื่อแข่งขันกับ AMD Ryzen รุ่นล่าสุดในตลาด high-end desktop

    ตลาดและกลยุทธ์ Intel
    การพบเห็นในอินเดียสะท้อนว่า Intel กำลังเตรียมกระจายสินค้าไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นการประกอบเครื่องเอง (DIY PC) ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของซีพียู high-end การเปิดตัวรุ่น "Plus" อาจเป็นการรักษาความสดใหม่ของไลน์ผลิตภัณฑ์ก่อนการมาถึงของสถาปัตยกรรมใหม่ในปี 2026

    แนวโน้มในอนาคต
    แม้ยังไม่มีข้อมูลราคา แต่คาดว่า Core Ultra 9 290K Plus จะเป็นรุ่นท็อปที่แข่งขันกับ Ryzen 9 series ส่วน Core Ultra 7 270K Plus จะจับตลาดระดับกลางถึงสูง การเปิดตัวอย่างเป็นทางการอาจเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2026 ซึ่งจะเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ของ Intel ในการรักษาส่วนแบ่งตลาดซีพียูเดสก์ท็อป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การพบเห็นซีพียูใหม่
    Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus
    รายชื่อสินค้าปรากฏในร้านค้าปลีกอินเดีย

    การต่อยอดจาก Arrow Lake
    รุ่น "Plus" อาจเพิ่ม clock speed และปรับปรุงพลังงาน
    แข่งขันกับ AMD Ryzen รุ่นล่าสุด

    กลยุทธ์ตลาด
    เน้นตลาด DIY PC และตลาดเกิดใหม่
    รักษาความสดใหม่ของไลน์ผลิตภัณฑ์ก่อนสถาปัตยกรรมใหม่

    แนวโน้มอนาคต
    Core Ultra 9 290K Plus จับตลาด high-end
    Core Ultra 7 270K Plus จับตลาด mid-high segment

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-7-270k-plus-and-core-ultra-9-290k-plus-spotted-at-indian-retailer-listings-appear-to-corroborate-prior-leaks-but-dont-reveal-pricing-or-new-info-for-upcoming-arrow-lake-refresh
    🖥️ การพบเห็นซีพียูใหม่ Intel Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ในอินเดีย รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ถูกเพิ่มเข้ารายการสินค้าของร้านค้าปลีกในอินเดีย แม้ไม่มีรายละเอียดด้านราคาและสเปกเต็ม แต่การปรากฏชื่อรุ่นถือเป็นการยืนยันว่า Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Arrow Lake Refresh ⚙️ การต่อยอดจาก Arrow Lake ซีพียูรุ่น "Plus" นี้คาดว่าจะเป็นการปรับปรุงจาก Arrow Lake รุ่นแรก ที่เปิดตัวในปี 2024 โดยอาจมีการเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกา (clock speed) และปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการพลังงาน เพื่อแข่งขันกับ AMD Ryzen รุ่นล่าสุดในตลาด high-end desktop 🌐 ตลาดและกลยุทธ์ Intel การพบเห็นในอินเดียสะท้อนว่า Intel กำลังเตรียมกระจายสินค้าไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นการประกอบเครื่องเอง (DIY PC) ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของซีพียู high-end การเปิดตัวรุ่น "Plus" อาจเป็นการรักษาความสดใหม่ของไลน์ผลิตภัณฑ์ก่อนการมาถึงของสถาปัตยกรรมใหม่ในปี 2026 🔮 แนวโน้มในอนาคต แม้ยังไม่มีข้อมูลราคา แต่คาดว่า Core Ultra 9 290K Plus จะเป็นรุ่นท็อปที่แข่งขันกับ Ryzen 9 series ส่วน Core Ultra 7 270K Plus จะจับตลาดระดับกลางถึงสูง การเปิดตัวอย่างเป็นทางการอาจเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2026 ซึ่งจะเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ของ Intel ในการรักษาส่วนแบ่งตลาดซีพียูเดสก์ท็อป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การพบเห็นซีพียูใหม่ ➡️ Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ➡️ รายชื่อสินค้าปรากฏในร้านค้าปลีกอินเดีย ✅ การต่อยอดจาก Arrow Lake ➡️ รุ่น "Plus" อาจเพิ่ม clock speed และปรับปรุงพลังงาน ➡️ แข่งขันกับ AMD Ryzen รุ่นล่าสุด ✅ กลยุทธ์ตลาด ➡️ เน้นตลาด DIY PC และตลาดเกิดใหม่ ➡️ รักษาความสดใหม่ของไลน์ผลิตภัณฑ์ก่อนสถาปัตยกรรมใหม่ ✅ แนวโน้มอนาคต ➡️ Core Ultra 9 290K Plus จับตลาด high-end ➡️ Core Ultra 7 270K Plus จับตลาด mid-high segment https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-7-270k-plus-and-core-ultra-9-290k-plus-spotted-at-indian-retailer-listings-appear-to-corroborate-prior-leaks-but-dont-reveal-pricing-or-new-info-for-upcoming-arrow-lake-refresh
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI Slop” – คำวิจารณ์ที่ยังไร้คำนิยาม

    บทความจาก The Star ชี้ว่าแม้คำว่า AI slop จะถูกใช้แพร่หลายเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อคอนเทนต์ที่สร้างด้วย AI แต่แทบไม่มีใครให้คำจำกัดความที่ชัดเจน บางคนมองว่ามันคือ “เนื้อหาที่ผลิตซ้ำไร้คุณภาพ” เช่น spam, clickbait หรือภาพ AI ที่ดูผิดธรรมชาติ ขณะที่บางคนมองว่ามันคือ “ภัยคุกคาม” เมื่อถูกใช้สร้าง deepfake เพื่อหลอกลวงทางการเมือง.

    นักวิจารณ์บางราย เช่น Ted Gioia เปรียบ “slop art” ว่าเป็นงานที่แบนและไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับการวิจารณ์ศิลปะใหม่ ๆ ในยุค 1950–60 ที่ถูกมองว่าไร้ค่าในตอนแรก แต่ต่อมากลับมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรม. สิ่งนี้สะท้อนว่าทุกยุคสมัยมี “ขยะ” และ “ศิลป์” ที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่.

    บทความยังยกตัวอย่างโฆษณา Coca-Cola ที่ใช้ AI สร้างภาพสัตว์ป่าเฉลิมฉลอง ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็น “AI slop” เพราะภาพมีข้อบกพร่องที่มนุษย์คงไม่ทำ แต่ในอีกด้านก็เป็นเพียงการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและเวลา ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวง.

    สิ่งที่น่ากังวลจริง ๆ คือการใช้ AI สร้าง propaganda และ deepfake ทางการเมือง เช่นวิดีโอปลอมของ Joe Biden หรือ Donald Trump ที่ถูกเผยแพร่ในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งแม้จะถูกจับได้ว่าเป็นของปลอม แต่ก็สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ AI จะถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงในระดับสังคมและการเมือง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คำว่า “AI slop” ถูกใช้แพร่หลายแต่ไร้นิยามชัดเจน
    บางคนมองว่าเป็น spam, clickbait, หรือภาพ AI ที่ผิดธรรมชาติ
    บางคนมองว่าเป็นภัยคุกคามเมื่อใช้สร้าง deepfake

    มุมมองจากนักวิจารณ์และสื่อ
    Ted Gioia เปรียบ slop art ว่าไร้ชีวิตชีวา คล้ายการวิจารณ์ศิลปะใหม่ในอดีต
    Scientific American ชี้ว่า “ทุกการปฏิวัติสื่อย่อมสร้างทั้งขยะและศิลป์”

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    โฆษณา Coca-Cola ที่ใช้ AI ถูกวิจารณ์ว่าเป็น slop แต่ไม่ได้หลอกลวง
    เพลง country ที่สร้างด้วย AI ติดอันดับ Billboard แต่ใช้สไตล์จากศิลปินจริง

    ข้อกังวลที่แท้จริง
    Deepfake ทางการเมือง เช่นวิดีโอปลอมของ Biden และ Trump
    การใช้ AI เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้าง propaganda

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/13/opinion-everyone-complains-about-039ai-slop039-but-no-one-can-define-it
    🤖 “AI Slop” – คำวิจารณ์ที่ยังไร้คำนิยาม บทความจาก The Star ชี้ว่าแม้คำว่า AI slop จะถูกใช้แพร่หลายเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อคอนเทนต์ที่สร้างด้วย AI แต่แทบไม่มีใครให้คำจำกัดความที่ชัดเจน บางคนมองว่ามันคือ “เนื้อหาที่ผลิตซ้ำไร้คุณภาพ” เช่น spam, clickbait หรือภาพ AI ที่ดูผิดธรรมชาติ ขณะที่บางคนมองว่ามันคือ “ภัยคุกคาม” เมื่อถูกใช้สร้าง deepfake เพื่อหลอกลวงทางการเมือง. นักวิจารณ์บางราย เช่น Ted Gioia เปรียบ “slop art” ว่าเป็นงานที่แบนและไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับการวิจารณ์ศิลปะใหม่ ๆ ในยุค 1950–60 ที่ถูกมองว่าไร้ค่าในตอนแรก แต่ต่อมากลับมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรม. สิ่งนี้สะท้อนว่าทุกยุคสมัยมี “ขยะ” และ “ศิลป์” ที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่. บทความยังยกตัวอย่างโฆษณา Coca-Cola ที่ใช้ AI สร้างภาพสัตว์ป่าเฉลิมฉลอง ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็น “AI slop” เพราะภาพมีข้อบกพร่องที่มนุษย์คงไม่ทำ แต่ในอีกด้านก็เป็นเพียงการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและเวลา ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวง. สิ่งที่น่ากังวลจริง ๆ คือการใช้ AI สร้าง propaganda และ deepfake ทางการเมือง เช่นวิดีโอปลอมของ Joe Biden หรือ Donald Trump ที่ถูกเผยแพร่ในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งแม้จะถูกจับได้ว่าเป็นของปลอม แต่ก็สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ AI จะถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงในระดับสังคมและการเมือง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คำว่า “AI slop” ถูกใช้แพร่หลายแต่ไร้นิยามชัดเจน ➡️ บางคนมองว่าเป็น spam, clickbait, หรือภาพ AI ที่ผิดธรรมชาติ ➡️ บางคนมองว่าเป็นภัยคุกคามเมื่อใช้สร้าง deepfake ✅ มุมมองจากนักวิจารณ์และสื่อ ➡️ Ted Gioia เปรียบ slop art ว่าไร้ชีวิตชีวา คล้ายการวิจารณ์ศิลปะใหม่ในอดีต ➡️ Scientific American ชี้ว่า “ทุกการปฏิวัติสื่อย่อมสร้างทั้งขยะและศิลป์” ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ โฆษณา Coca-Cola ที่ใช้ AI ถูกวิจารณ์ว่าเป็น slop แต่ไม่ได้หลอกลวง ➡️ เพลง country ที่สร้างด้วย AI ติดอันดับ Billboard แต่ใช้สไตล์จากศิลปินจริง ‼️ ข้อกังวลที่แท้จริง ⛔ Deepfake ทางการเมือง เช่นวิดีโอปลอมของ Biden และ Trump ⛔ การใช้ AI เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้าง propaganda https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/13/opinion-everyone-complains-about-039ai-slop039-but-no-one-can-define-it
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: Everyone complains about 'AI slop,' but no one can define it
    The problem with this complaint is that almost no one makes the effort to define "AI slop." Is it anything produced with AI? Or any such content appearing in social media?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google De-Indexed Bear Blog โดยไม่ทราบสาเหตุ

    เจ้าของบล็อกเล่าว่า หลังจากเริ่มต้นสร้างบล็อกบน Bear Blog เพียงหนึ่งเดือน บล็อกทั้งหมดถูก Google de-indexed โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือคำอธิบายที่ชัดเจน ส่งผลให้บล็อกไม่ปรากฏในผลการค้นหาอีกต่อไป.

    แม้จะพยายามตรวจสอบสาเหตุ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับ robots.txt, sitemap, หรือการละเมิดนโยบาย แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติที่ชัดเจน. การหายไปจากการจัดทำดัชนีทำให้บล็อกสูญเสียการเข้าถึงจากผู้ค้นหาทาง Google อย่างสิ้นเชิง.

    เพื่อแก้ไขปัญหา ผู้เขียนตัดสินใจ ย้ายบล็อกไปยังแพลตฟอร์มใหม่ ที่มีความเสถียรมากกว่า และหวังว่าจะช่วยให้บล็อกกลับมาปรากฏในผลการค้นหาอีกครั้ง. เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวในการเผยแพร่เนื้อหา.

    กรณีนี้ยังเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้สร้างเนื้อหาจะปฏิบัติตามแนวทาง SEO และนโยบาย แต่ก็ยังมีโอกาสที่ระบบอัตโนมัติของ Google จะทำการ de-index โดยไม่ชี้แจงเหตุผล ทำให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องหาทางแก้ไขด้วยตนเอง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    บล็อกที่สร้างด้วย Bear Blog ถูก Google de-indexed
    ไม่มีการแจ้งเตือนหรือคำอธิบายจาก Google

    การตรวจสอบสาเหตุ
    ตรวจสอบ robots.txt และ sitemap แต่ไม่พบปัญหา
    ไม่พบการละเมิดนโยบายที่ชัดเจน

    การแก้ไขปัญหา
    ผู้เขียนย้ายบล็อกไปแพลตฟอร์มใหม่
    หวังให้กลับมาปรากฏในผลการค้นหาอีกครั้ง

    ข้อควรระวังสำหรับผู้สร้างเนื้อหา
    การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียการเข้าถึง
    ระบบอัตโนมัติของ Google อาจ de-index โดยไม่ชี้แจงเหตุผล

    https://journal.james-zhan.com/google-de-indexed-my-entire-bear-blog-and-i-dont-know-why/
    🌐 Google De-Indexed Bear Blog โดยไม่ทราบสาเหตุ เจ้าของบล็อกเล่าว่า หลังจากเริ่มต้นสร้างบล็อกบน Bear Blog เพียงหนึ่งเดือน บล็อกทั้งหมดถูก Google de-indexed โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือคำอธิบายที่ชัดเจน ส่งผลให้บล็อกไม่ปรากฏในผลการค้นหาอีกต่อไป. แม้จะพยายามตรวจสอบสาเหตุ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับ robots.txt, sitemap, หรือการละเมิดนโยบาย แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติที่ชัดเจน. การหายไปจากการจัดทำดัชนีทำให้บล็อกสูญเสียการเข้าถึงจากผู้ค้นหาทาง Google อย่างสิ้นเชิง. เพื่อแก้ไขปัญหา ผู้เขียนตัดสินใจ ย้ายบล็อกไปยังแพลตฟอร์มใหม่ ที่มีความเสถียรมากกว่า และหวังว่าจะช่วยให้บล็อกกลับมาปรากฏในผลการค้นหาอีกครั้ง. เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวในการเผยแพร่เนื้อหา. กรณีนี้ยังเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้สร้างเนื้อหาจะปฏิบัติตามแนวทาง SEO และนโยบาย แต่ก็ยังมีโอกาสที่ระบบอัตโนมัติของ Google จะทำการ de-index โดยไม่ชี้แจงเหตุผล ทำให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องหาทางแก้ไขด้วยตนเอง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ บล็อกที่สร้างด้วย Bear Blog ถูก Google de-indexed ➡️ ไม่มีการแจ้งเตือนหรือคำอธิบายจาก Google ✅ การตรวจสอบสาเหตุ ➡️ ตรวจสอบ robots.txt และ sitemap แต่ไม่พบปัญหา ➡️ ไม่พบการละเมิดนโยบายที่ชัดเจน ✅ การแก้ไขปัญหา ➡️ ผู้เขียนย้ายบล็อกไปแพลตฟอร์มใหม่ ➡️ หวังให้กลับมาปรากฏในผลการค้นหาอีกครั้ง ‼️ข้อควรระวังสำหรับผู้สร้างเนื้อหา ⛔ การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียการเข้าถึง ⛔ ระบบอัตโนมัติของ Google อาจ de-index โดยไม่ชี้แจงเหตุผล https://journal.james-zhan.com/google-de-indexed-my-entire-bear-blog-and-i-dont-know-why/
    JOURNAL.JAMES-ZHAN.COM
    Google De-Indexed My Entire Bear Blog and I Don’t Know Why
    A month after I started my first Bear blog at , my blog was entirely de-indexed by Google for no apparent reason: I have since migrated to (you ar...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • การจัดการ Identity เพื่อยกระดับ Cybersecurity ขององค์กร

    การรักษาความปลอดภัยในองค์กรยุคใหม่ไม่ใช่แค่การป้องกันเครือข่าย แต่ต้องเริ่มจากการ ระบุตัวตนและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง ของผู้ใช้และระบบต่าง ๆ บทความจาก CSO Online ชี้ว่า identity management เป็นหัวใจสำคัญในการลดความซับซ้อนของ cybersecurity โดยเฉพาะเมื่อองค์กรต้องจัดการกับผู้ใช้จำนวนมาก, อุปกรณ์หลายชนิด และระบบคลาวด์ที่กระจายตัว.

    หนึ่งในแนวทางที่ถูกเน้นคือการใช้ multifactor authentication (MFA) และ conditional access เพื่อสร้างชั้นการป้องกันที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบท เช่น การตรวจสอบตำแหน่งที่ผู้ใช้ล็อกอิน, พฤติกรรมการใช้งาน, และสิทธิ์ที่จำเป็นจริง ๆ. นอกจากนี้ privileged access management (PAM) ยังช่วยควบคุมบัญชีที่มีสิทธิ์สูง ป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี.

    บทความยังกล่าวถึงการนำ AI และ machine learning เข้ามาช่วยในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคาม โดยสามารถลดเวลาในการวิเคราะห์เหตุการณ์ลงได้ถึง 70–80% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบ manual เช่น การแมปข้อมูลเข้ากับ MITRE ATT&CK framework. สิ่งนี้ทำให้ทีม security operation center (SOC) มีข้อมูลที่แม่นยำและทันเวลาในการรับมือ.

    นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างจากองค์กรอุตสาหกรรมและการเงินที่ใช้ระบบ identity management เพื่อแก้ปัญหาการระบุเจ้าของบัญชีที่ไม่ชัดเจน และจากบริษัทที่ใช้ Azure Active Directory (AAD) ในการตรวจสอบการเข้าถึงตามภูมิศาสตร์ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “impossible travel” หรือการล็อกอินจากสถานที่ที่ผู้ใช้ไม่สามารถเดินทางไปถึงได้จริง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Identity management เป็นหัวใจของ cybersecurity องค์กร
    ใช้ MFA และ conditional access เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    PAM ช่วยควบคุมบัญชีที่มีสิทธิ์สูง

    การใช้ AI และ machine learning
    ลดเวลาในการวิเคราะห์เหตุการณ์ลงได้ถึง 70–80%
    เพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับและตอบสนอง

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    อุตสาหกรรมและการเงินใช้ระบบเพื่อแก้ปัญหาการระบุเจ้าของบัญชี
    Apexanalytix ใช้ Azure AD ตรวจสอบการเข้าถึงตามภูมิศาสตร์

    ข้อควรระวังในการจัดการ identity
    หากสิทธิ์การเข้าถูกกำหนดไม่ชัดเจน อาจเปิดช่องให้โจมตี
    การปรับนโยบายเข้มงวดเกินไปอาจกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้

    https://www.csoonline.com/article/4104438/how-to-simplify-enterprise-cybersecurity-through-effective-identity-management.html
    🛡️ การจัดการ Identity เพื่อยกระดับ Cybersecurity ขององค์กร การรักษาความปลอดภัยในองค์กรยุคใหม่ไม่ใช่แค่การป้องกันเครือข่าย แต่ต้องเริ่มจากการ ระบุตัวตนและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง ของผู้ใช้และระบบต่าง ๆ บทความจาก CSO Online ชี้ว่า identity management เป็นหัวใจสำคัญในการลดความซับซ้อนของ cybersecurity โดยเฉพาะเมื่อองค์กรต้องจัดการกับผู้ใช้จำนวนมาก, อุปกรณ์หลายชนิด และระบบคลาวด์ที่กระจายตัว. หนึ่งในแนวทางที่ถูกเน้นคือการใช้ multifactor authentication (MFA) และ conditional access เพื่อสร้างชั้นการป้องกันที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบท เช่น การตรวจสอบตำแหน่งที่ผู้ใช้ล็อกอิน, พฤติกรรมการใช้งาน, และสิทธิ์ที่จำเป็นจริง ๆ. นอกจากนี้ privileged access management (PAM) ยังช่วยควบคุมบัญชีที่มีสิทธิ์สูง ป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี. บทความยังกล่าวถึงการนำ AI และ machine learning เข้ามาช่วยในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคาม โดยสามารถลดเวลาในการวิเคราะห์เหตุการณ์ลงได้ถึง 70–80% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบ manual เช่น การแมปข้อมูลเข้ากับ MITRE ATT&CK framework. สิ่งนี้ทำให้ทีม security operation center (SOC) มีข้อมูลที่แม่นยำและทันเวลาในการรับมือ. นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างจากองค์กรอุตสาหกรรมและการเงินที่ใช้ระบบ identity management เพื่อแก้ปัญหาการระบุเจ้าของบัญชีที่ไม่ชัดเจน และจากบริษัทที่ใช้ Azure Active Directory (AAD) ในการตรวจสอบการเข้าถึงตามภูมิศาสตร์ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “impossible travel” หรือการล็อกอินจากสถานที่ที่ผู้ใช้ไม่สามารถเดินทางไปถึงได้จริง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Identity management เป็นหัวใจของ cybersecurity องค์กร ➡️ ใช้ MFA และ conditional access เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ➡️ PAM ช่วยควบคุมบัญชีที่มีสิทธิ์สูง ✅ การใช้ AI และ machine learning ➡️ ลดเวลาในการวิเคราะห์เหตุการณ์ลงได้ถึง 70–80% ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับและตอบสนอง ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ อุตสาหกรรมและการเงินใช้ระบบเพื่อแก้ปัญหาการระบุเจ้าของบัญชี ➡️ Apexanalytix ใช้ Azure AD ตรวจสอบการเข้าถึงตามภูมิศาสตร์ ‼️ ข้อควรระวังในการจัดการ identity ⛔ หากสิทธิ์การเข้าถูกกำหนดไม่ชัดเจน อาจเปิดช่องให้โจมตี ⛔ การปรับนโยบายเข้มงวดเกินไปอาจกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้ https://www.csoonline.com/article/4104438/how-to-simplify-enterprise-cybersecurity-through-effective-identity-management.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How to simplify enterprise cybersecurity through effective identity management
    Deloitte and apexanalytix share their insights on the complexities of implementing identity security systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • "SMIC ก้าวสู่ยุค 5 นาโนเมตรด้วย DUV"

    รายงานจาก TechInsights ยืนยันว่า Huawei Kirin 9030 SoC ถูกผลิตด้วยกระบวนการ N+3 ของ SMIC ซึ่งเป็นโหนด 5 นาโนเมตรที่ใช้เทคนิค deep ultraviolet lithography (DUV) แทน EUV ที่จีนไม่สามารถเข้าถึงได้เพราะข้อจำกัดการส่งออก เทคโนโลยีนี้ถือเป็นการพัฒนาเหนือกว่าโหนด N+2 (7 นาโนเมตร) ที่เคยใช้ในชิป AI และโครงสร้างพื้นฐานของ Huawei

    เทคนิคการผลิตและข้อจำกัด
    แม้ SMIC สามารถใช้ DUV แบบหลายรอบ เช่น self-aligned quadruple patterning (SAQP) เพื่อให้ได้ความละเอียดใกล้ 35 นาโนเมตรต่อการพิมพ์ แต่ ยังมีปัญหาด้าน yield ที่สูงมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงและบางส่วนต้องลดเกรดชิปลง การใช้ DUV แทน EUV จึงเป็นการบรรลุผลทางเทคนิค แต่ยังไม่สามารถแข่งขันด้านประสิทธิภาพและต้นทุนกับผู้ผลิตรายใหญ่ที่ใช้ EUV ได้

    ความหมายต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน
    ความสำเร็จนี้สะท้อนว่า จีนสามารถเดินหน้าผลิตชิปขั้นสูงได้แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีตะวันตก ถือเป็นสัญญาณของการพึ่งพาตนเองในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ และอาจช่วยให้ Huawei และบริษัทจีนอื่น ๆ ลดการพึ่งพาต่างประเทศในด้าน AI และอุปกรณ์สื่อสาร

    ความท้าทายและอนาคต
    แม้เป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่ง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การใช้ DUV ในระดับ 5 นาโนเมตรเป็นการลงทุนที่เสี่ยงทางเศรษฐกิจ เพราะ yield ต่ำและต้นทุนสูง หากไม่สามารถพัฒนาเครื่อง EUV ในประเทศได้ จีนอาจยังคงตามหลังผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง TSMC และ Samsung ในเชิงประสิทธิภาพและความคุ้มค่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    SMIC ผลิตชิป 5 นาโนเมตร (N+3) โดยใช้ DUV
    Huawei Kirin 9030 SoC เป็นตัวอย่างที่ยืนยัน

    เทคนิค SAQP และการพิมพ์หลายรอบช่วยให้บรรลุความละเอียด
    ได้ใกล้เคียง 35 นาโนเมตรต่อการพิมพ์

    ความสำเร็จสะท้อนการพึ่งพาตนเองของจีนในอุตสาหกรรมชิป
    ลดการพึ่งพาต่างประเทศในเทคโนโลยีขั้นสูง

    Yield ต่ำทำให้ต้นทุนการผลิตสูง
    ชิปบางส่วนต้องลดเกรดลง

    การใช้ DUV แทน EUV เป็นข้อจำกัดเชิงเทคนิค
    จีนยังตามหลัง TSMC และ Samsung ในด้านประสิทธิภาพ

    https://www.techpowerup.com/344000/chinese-smic-achieves-5-nm-production-on-n-3-node-without-euv-tools
    🏭 "SMIC ก้าวสู่ยุค 5 นาโนเมตรด้วย DUV" รายงานจาก TechInsights ยืนยันว่า Huawei Kirin 9030 SoC ถูกผลิตด้วยกระบวนการ N+3 ของ SMIC ซึ่งเป็นโหนด 5 นาโนเมตรที่ใช้เทคนิค deep ultraviolet lithography (DUV) แทน EUV ที่จีนไม่สามารถเข้าถึงได้เพราะข้อจำกัดการส่งออก เทคโนโลยีนี้ถือเป็นการพัฒนาเหนือกว่าโหนด N+2 (7 นาโนเมตร) ที่เคยใช้ในชิป AI และโครงสร้างพื้นฐานของ Huawei ⚙️ เทคนิคการผลิตและข้อจำกัด แม้ SMIC สามารถใช้ DUV แบบหลายรอบ เช่น self-aligned quadruple patterning (SAQP) เพื่อให้ได้ความละเอียดใกล้ 35 นาโนเมตรต่อการพิมพ์ แต่ ยังมีปัญหาด้าน yield ที่สูงมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงและบางส่วนต้องลดเกรดชิปลง การใช้ DUV แทน EUV จึงเป็นการบรรลุผลทางเทคนิค แต่ยังไม่สามารถแข่งขันด้านประสิทธิภาพและต้นทุนกับผู้ผลิตรายใหญ่ที่ใช้ EUV ได้ 🌍 ความหมายต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน ความสำเร็จนี้สะท้อนว่า จีนสามารถเดินหน้าผลิตชิปขั้นสูงได้แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีตะวันตก ถือเป็นสัญญาณของการพึ่งพาตนเองในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ และอาจช่วยให้ Huawei และบริษัทจีนอื่น ๆ ลดการพึ่งพาต่างประเทศในด้าน AI และอุปกรณ์สื่อสาร ⚠️ ความท้าทายและอนาคต แม้เป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่ง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การใช้ DUV ในระดับ 5 นาโนเมตรเป็นการลงทุนที่เสี่ยงทางเศรษฐกิจ เพราะ yield ต่ำและต้นทุนสูง หากไม่สามารถพัฒนาเครื่อง EUV ในประเทศได้ จีนอาจยังคงตามหลังผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง TSMC และ Samsung ในเชิงประสิทธิภาพและความคุ้มค่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ SMIC ผลิตชิป 5 นาโนเมตร (N+3) โดยใช้ DUV ➡️ Huawei Kirin 9030 SoC เป็นตัวอย่างที่ยืนยัน ✅ เทคนิค SAQP และการพิมพ์หลายรอบช่วยให้บรรลุความละเอียด ➡️ ได้ใกล้เคียง 35 นาโนเมตรต่อการพิมพ์ ✅ ความสำเร็จสะท้อนการพึ่งพาตนเองของจีนในอุตสาหกรรมชิป ➡️ ลดการพึ่งพาต่างประเทศในเทคโนโลยีขั้นสูง ‼️ Yield ต่ำทำให้ต้นทุนการผลิตสูง ⛔ ชิปบางส่วนต้องลดเกรดลง ‼️ การใช้ DUV แทน EUV เป็นข้อจำกัดเชิงเทคนิค ⛔ จีนยังตามหลัง TSMC และ Samsung ในด้านประสิทธิภาพ https://www.techpowerup.com/344000/chinese-smic-achieves-5-nm-production-on-n-3-node-without-euv-tools
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Chinese SMIC Achieves 5 nm Production on N+3 Node Without EUV Tools
    Chinese company SMIC has officially achieved volume production of its newest 5 nm-class node called SMIC N+3. This is officially China's most advanced semiconductor node produced without any extreme ultraviolet (EUV) lithography tools, relying on the deep ultraviolet (DUV) to manufacture its silicon...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กรุ๊ปเลือดกับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง"

    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Neurology วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 48 งานวิจัย รวมผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกว่า 17,000 คน และกลุ่มควบคุมเกือบ 600,000 คน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองก่อนอายุ 60 ปีสูงขึ้น 16% เมื่อเทียบกับคนกรุ๊ปอื่น ในขณะที่ผู้ที่มีกรุ๊ป O กลับมีความเสี่ยงต่ำลงราว 12%

    กลไกที่อาจเกี่ยวข้อง
    นักวิจัยยังไม่สามารถระบุชัดเจนว่าทำไมกรุ๊ปเลือด A จึงสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้น แต่คาดว่าเกี่ยวข้องกับ ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด เช่น เกล็ดเลือดและโปรตีนที่หมุนเวียนในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในคนอายุน้อยที่โรคหลอดเลือดสมองมักไม่ได้เกิดจากไขมันสะสมในหลอดเลือดเหมือนในผู้สูงอายุ

    ความแตกต่างตามอายุและภูมิภาค
    การศึกษาเปรียบเทียบผู้ที่เกิดโรคหลอดเลือดสมองก่อนและหลังอายุ 60 ปี พบว่า ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในกรุ๊ป A มีผลเฉพาะในวัยหนุ่มสาวเท่านั้น ส่วนผู้สูงอายุไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปและอเมริกาเหนือ ทำให้ยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมในประชากรที่หลากหลายมากขึ้น

    ข้อควรระวังและการตีความ
    แม้ผลการศึกษาจะน่าสนใจ แต่ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในกรุ๊ป A มีขนาดเล็ก จึงไม่จำเป็นต้องมีการตรวจคัดกรองพิเศษสำหรับคนกรุ๊ปนี้ การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ เช่น การควบคุมความดันโลหิต การเลิกบุหรี่ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    กรุ๊ปเลือดสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง
    กรุ๊ป A เสี่ยงสูงขึ้น 16% ก่อนอายุ 60 ปี
    กรุ๊ป O เสี่ยงต่ำลง 12%

    กลไกอาจเกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด
    เกล็ดเลือดและโปรตีนในหลอดเลือดมีบทบาทสำคัญ

    ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นพบเฉพาะในวัยหนุ่มสาว
    ผู้สูงอายุไม่พบความแตกต่างชัดเจน

    งานวิจัยต้องการข้อมูลจากประชากรที่หลากหลายมากขึ้น
    ปัจจุบันตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปและอเมริกาเหนือ

    ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในกรุ๊ป A มีขนาดเล็ก
    ไม่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองพิเศษ

    ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญยังคงเป็นพฤติกรรมและสุขภาพทั่วไป
    ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ และการไม่ออกกำลังกาย

    https://www.sciencealert.com/your-blood-type-affects-your-risk-of-early-stroke-study-reveals
    🧬 "กรุ๊ปเลือดกับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง" งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Neurology วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 48 งานวิจัย รวมผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกว่า 17,000 คน และกลุ่มควบคุมเกือบ 600,000 คน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองก่อนอายุ 60 ปีสูงขึ้น 16% เมื่อเทียบกับคนกรุ๊ปอื่น ในขณะที่ผู้ที่มีกรุ๊ป O กลับมีความเสี่ยงต่ำลงราว 12% 🧠 กลไกที่อาจเกี่ยวข้อง นักวิจัยยังไม่สามารถระบุชัดเจนว่าทำไมกรุ๊ปเลือด A จึงสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้น แต่คาดว่าเกี่ยวข้องกับ ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด เช่น เกล็ดเลือดและโปรตีนที่หมุนเวียนในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในคนอายุน้อยที่โรคหลอดเลือดสมองมักไม่ได้เกิดจากไขมันสะสมในหลอดเลือดเหมือนในผู้สูงอายุ 🌍 ความแตกต่างตามอายุและภูมิภาค การศึกษาเปรียบเทียบผู้ที่เกิดโรคหลอดเลือดสมองก่อนและหลังอายุ 60 ปี พบว่า ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในกรุ๊ป A มีผลเฉพาะในวัยหนุ่มสาวเท่านั้น ส่วนผู้สูงอายุไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปและอเมริกาเหนือ ทำให้ยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมในประชากรที่หลากหลายมากขึ้น ⚠️ ข้อควรระวังและการตีความ แม้ผลการศึกษาจะน่าสนใจ แต่ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในกรุ๊ป A มีขนาดเล็ก จึงไม่จำเป็นต้องมีการตรวจคัดกรองพิเศษสำหรับคนกรุ๊ปนี้ การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ เช่น การควบคุมความดันโลหิต การเลิกบุหรี่ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ กรุ๊ปเลือดสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ➡️ กรุ๊ป A เสี่ยงสูงขึ้น 16% ก่อนอายุ 60 ปี ➡️ กรุ๊ป O เสี่ยงต่ำลง 12% ✅ กลไกอาจเกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด ➡️ เกล็ดเลือดและโปรตีนในหลอดเลือดมีบทบาทสำคัญ ✅ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นพบเฉพาะในวัยหนุ่มสาว ➡️ ผู้สูงอายุไม่พบความแตกต่างชัดเจน ✅ งานวิจัยต้องการข้อมูลจากประชากรที่หลากหลายมากขึ้น ➡️ ปัจจุบันตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปและอเมริกาเหนือ ‼️ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในกรุ๊ป A มีขนาดเล็ก ⛔ ไม่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองพิเศษ ‼️ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญยังคงเป็นพฤติกรรมและสุขภาพทั่วไป ⛔ ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ และการไม่ออกกำลังกาย https://www.sciencealert.com/your-blood-type-affects-your-risk-of-early-stroke-study-reveals
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Your Blood Type Affects Your Risk of Early Stroke, Study Reveals
    Research suggests a surprising link between blood type and stroke risk, with people carrying one specific group A blood type facing a higher likelihood of stroke before age 60.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดราม่าในรั้วมหาวิทยาลัย: นักศึกษาปริญญาเอก UC Berkeley ถูกจับฐานทำลายคอมพิวเตอร์เพื่อน

    เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ภาควิชา Electrical Engineering and Computer Sciences ของ UC Berkeley เมื่อศาสตราจารย์สังเกตว่ามีคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาคนหนึ่งเสียหายบ่อยผิดปกติ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 46,000 ดอลลาร์สหรัฐ จึงตัดสินใจติดตั้งกล้องแอบถ่ายเพื่อหาสาเหตุ

    กล้องจับภาพขณะก่อเหตุ
    กล้องสามารถบันทึกภาพนักศึกษาปริญญาเอกอีกคนหนึ่งชื่อ Jiarui Zou อายุ 26 ปี กำลังใช้เครื่องมือทำลายคอมพิวเตอร์ของเพื่อนร่วมงาน จนถึงขั้นทำให้เกิดประกายไฟออกจากเครื่อง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงวันที่ 9–10 พฤศจิกายน และสร้างความเสียหายต่อคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 3 เครื่อง

    การดำเนินคดีและข้อกล่าวหา
    Zou ถูกจับกุมที่บ้านพักใน Berkeley เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน และถูกตั้งข้อหา 3 กระทงความผิดฐานทำลายทรัพย์สิน (felony vandalism) โดยแต่ละกรณีมีมูลค่าความเสียหายเกิน 400 ดอลลาร์ แม้จะปฏิเสธการให้การกับตำรวจ แต่หลักฐานจากวิดีโอทำให้คดีถูกนำขึ้นศาลในวันที่ 15 ธันวาคม

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการวิชาการ
    กรณีนี้สะท้อนถึงแรงกดดันและการแข่งขันในระดับบัณฑิตศึกษา โดยเฉพาะในสาขาวิศวกรรมและวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มีการแข่งขันสูง นักวิชาการบางส่วนชี้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างของ “academic sabotage” ซึ่งแม้จะพบไม่บ่อย แต่ก็สร้างผลกระทบต่อชื่อเสียงของสถาบันและความไว้วางใจในชุมชนวิจัย

    สรุปสาระสำคัญ
    ศาสตราจารย์ UC Berkeley ติดตั้งกล้องแอบถ่าย
    พบความเสียหายสะสมกว่า 46,000 ดอลลาร์

    กล้องจับภาพ Jiarui Zou ก่อเหตุ
    ทำลายคอมพิวเตอร์เพื่อนร่วมงานจนเกิดประกายไฟ

    ถูกตั้งข้อหา 3 กระทง felony vandalism
    แต่ละกรณีมีมูลค่าความเสียหายเกิน 400 ดอลลาร์

    ความเสี่ยงจากการแข่งขันในวงการวิชาการ
    อาจนำไปสู่การก่อเหตุทำลายหรือ sabotage

    ผลกระทบต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจ
    สร้างบรรยากาศไม่ปลอดภัยในชุมชนวิจัย

    https://www.tomshardware.com/laptops/uc-berkeley-ph-d-candidate-busted-by-hidden-camera-repeatedly-sabotaging-rival-students-computer-arrested-on-three-felony-counts-may-have-caused-usd46-000-in-damage
    🎓 ดราม่าในรั้วมหาวิทยาลัย: นักศึกษาปริญญาเอก UC Berkeley ถูกจับฐานทำลายคอมพิวเตอร์เพื่อน เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ภาควิชา Electrical Engineering and Computer Sciences ของ UC Berkeley เมื่อศาสตราจารย์สังเกตว่ามีคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาคนหนึ่งเสียหายบ่อยผิดปกติ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 46,000 ดอลลาร์สหรัฐ จึงตัดสินใจติดตั้งกล้องแอบถ่ายเพื่อหาสาเหตุ 🔍 กล้องจับภาพขณะก่อเหตุ กล้องสามารถบันทึกภาพนักศึกษาปริญญาเอกอีกคนหนึ่งชื่อ Jiarui Zou อายุ 26 ปี กำลังใช้เครื่องมือทำลายคอมพิวเตอร์ของเพื่อนร่วมงาน จนถึงขั้นทำให้เกิดประกายไฟออกจากเครื่อง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงวันที่ 9–10 พฤศจิกายน และสร้างความเสียหายต่อคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 3 เครื่อง ⚖️ การดำเนินคดีและข้อกล่าวหา Zou ถูกจับกุมที่บ้านพักใน Berkeley เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน และถูกตั้งข้อหา 3 กระทงความผิดฐานทำลายทรัพย์สิน (felony vandalism) โดยแต่ละกรณีมีมูลค่าความเสียหายเกิน 400 ดอลลาร์ แม้จะปฏิเสธการให้การกับตำรวจ แต่หลักฐานจากวิดีโอทำให้คดีถูกนำขึ้นศาลในวันที่ 15 ธันวาคม 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการวิชาการ กรณีนี้สะท้อนถึงแรงกดดันและการแข่งขันในระดับบัณฑิตศึกษา โดยเฉพาะในสาขาวิศวกรรมและวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มีการแข่งขันสูง นักวิชาการบางส่วนชี้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างของ “academic sabotage” ซึ่งแม้จะพบไม่บ่อย แต่ก็สร้างผลกระทบต่อชื่อเสียงของสถาบันและความไว้วางใจในชุมชนวิจัย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ศาสตราจารย์ UC Berkeley ติดตั้งกล้องแอบถ่าย ➡️ พบความเสียหายสะสมกว่า 46,000 ดอลลาร์ ✅ กล้องจับภาพ Jiarui Zou ก่อเหตุ ➡️ ทำลายคอมพิวเตอร์เพื่อนร่วมงานจนเกิดประกายไฟ ✅ ถูกตั้งข้อหา 3 กระทง felony vandalism ➡️ แต่ละกรณีมีมูลค่าความเสียหายเกิน 400 ดอลลาร์ ‼️ ความเสี่ยงจากการแข่งขันในวงการวิชาการ ⛔ อาจนำไปสู่การก่อเหตุทำลายหรือ sabotage ‼️ ผลกระทบต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจ ⛔ สร้างบรรยากาศไม่ปลอดภัยในชุมชนวิจัย https://www.tomshardware.com/laptops/uc-berkeley-ph-d-candidate-busted-by-hidden-camera-repeatedly-sabotaging-rival-students-computer-arrested-on-three-felony-counts-may-have-caused-usd46-000-in-damage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts