• เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ

    เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์

    ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei

    แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ

    HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B
    ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025
    สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper

    ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว
    มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์
    ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน

    HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native
    ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure
    เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ

    DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน
    เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก
    แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน

    HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ
    เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย
    ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า

    HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ
    เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central
    ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE

    การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร
    อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง
    ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว

    การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล
    เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง
    สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด”

    การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย
    แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE
    การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว

    การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ
    ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง
    สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    🧠 เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์ ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ ✅ HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B ➡️ ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025 ➡️ สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper ✅ ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว ➡️ มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน ✅ HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native ➡️ ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure ➡️ เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ ✅ DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน ➡️ เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก ➡️ แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน ✅ HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย ➡️ ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า ✅ HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central ➡️ ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE ‼️ การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร ⛔ อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง ⛔ ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว ‼️ การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล ⛔ เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง ⛔ สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด” ‼️ การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย ⛔ แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE ⛔ การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว ‼️ การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ ⛔ ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง ⛔ สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ยกระดับความปลอดภัย!" รมช.กลาโหม สั่งเข้ม "คัดกรองคนเข้าออก-ไซเบอร์" หลังสถานการณ์ตึงเครียด...พร้อม "เบรก" ความร่วมมือกับเขมร!
    https://www.thai-tai.tv/news/20634/
    .
    #พลอณัฐพลนาคพาณิชย์ #กระทรวงกลาโหม #ระงับความร่วมมือทางทหาร #ชายแดนไทยกัมพูชา #อุทกภัย #ความมั่นคงไซเบอร์ #วีรชน #สถานการณ์ตึงเครียด #ไทยไท
    "ยกระดับความปลอดภัย!" รมช.กลาโหม สั่งเข้ม "คัดกรองคนเข้าออก-ไซเบอร์" หลังสถานการณ์ตึงเครียด...พร้อม "เบรก" ความร่วมมือกับเขมร! https://www.thai-tai.tv/news/20634/ . #พลอณัฐพลนาคพาณิชย์ #กระทรวงกลาโหม #ระงับความร่วมมือทางทหาร #ชายแดนไทยกัมพูชา #อุทกภัย #ความมั่นคงไซเบอร์ #วีรชน #สถานการณ์ตึงเครียด #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากรหัสผ่านเดียวที่ล้มบริษัท 158 ปี

    KNP เป็นบริษัทขนส่งที่มีรถบรรทุกกว่า 500 คัน และพนักงานราว 700 คน โดยมีมาตรการด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมถึงประกันภัยไซเบอร์ แต่กลับถูกโจมตีด้วย ransomware ที่เริ่มต้นจากการ “เดารหัสผ่าน” ของพนักงานคนหนึ่ง

    แฮกเกอร์เข้าระบบได้และเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดของบริษัท — แม้จะมีประกัน แต่บริษัทประเมินว่าค่าไถ่อาจสูงถึง £5 ล้าน ซึ่งเกินกว่าที่จะจ่ายไหว สุดท้าย KNP ต้องปิดกิจการ และพนักงานทั้งหมดตกงาน

    Paul Abbott ผู้อำนวยการบริษัทบอกว่าเขาไม่เคยแจ้งพนักงานคนนั้นว่า “รหัสผ่านของเขาคือจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย” เพราะไม่อยากให้ใครต้องแบกรับความรู้สึกผิดเพียงคนเดียว

    หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของอังกฤษระบุว่า:
    - ปีที่ผ่านมา มีการโจมตี ransomware กว่า 19,000 ครั้ง
    - ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ £4 ล้าน
    - หนึ่งในสามของบริษัทเลือก “จ่ายเงิน” เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อได้

    Suzanne Grimmer จาก National Crime Agency เตือนว่า:

    “ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ปีนี้จะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ ransomware ในสหราชอาณาจักร”

    KNP Logistics Group ถูกโจมตีด้วย ransomware จากรหัสผ่านที่เดาง่ายของพนักงาน
    ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดถูกเข้ารหัส และบริษัทไม่สามารถจ่ายค่าไถ่ได้

    บริษัทมีพนักงานราว 700 คน และรถบรรทุกกว่า 500 คัน
    เป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งเก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ

    ค่าไถ่ถูกประเมินว่าอาจสูงถึง £5 ล้าน แม้จะมีประกันภัยไซเบอร์
    เกินกว่าที่บริษัทจะรับไหว ทำให้ต้องปิดกิจการ

    หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของอังกฤษระบุว่ามี ransomware กว่า 19,000 ครั้งในปีที่ผ่านมา
    ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ £4 ล้าน และหนึ่งในสามของบริษัทเลือกจ่ายเงิน

    Paul Abbott ไม่แจ้งพนักงานเจ้าของรหัสผ่านว่าเป็นต้นเหตุของการล่มสลาย
    เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกผิดที่รุนแรงเกินไป

    ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าแฮกเกอร์มัก “รอวันที่องค์กรอ่อนแอ” แล้วลงมือทันที
    ไม่จำเป็นต้องเจาะระบบซับซ้อน แค่รหัสผ่านอ่อนก็พอ

    https://www.techspot.com/news/108749-one-weak-password-brought-down-158-year-old.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากรหัสผ่านเดียวที่ล้มบริษัท 158 ปี KNP เป็นบริษัทขนส่งที่มีรถบรรทุกกว่า 500 คัน และพนักงานราว 700 คน โดยมีมาตรการด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมถึงประกันภัยไซเบอร์ แต่กลับถูกโจมตีด้วย ransomware ที่เริ่มต้นจากการ “เดารหัสผ่าน” ของพนักงานคนหนึ่ง แฮกเกอร์เข้าระบบได้และเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดของบริษัท — แม้จะมีประกัน แต่บริษัทประเมินว่าค่าไถ่อาจสูงถึง £5 ล้าน ซึ่งเกินกว่าที่จะจ่ายไหว สุดท้าย KNP ต้องปิดกิจการ และพนักงานทั้งหมดตกงาน Paul Abbott ผู้อำนวยการบริษัทบอกว่าเขาไม่เคยแจ้งพนักงานคนนั้นว่า “รหัสผ่านของเขาคือจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย” เพราะไม่อยากให้ใครต้องแบกรับความรู้สึกผิดเพียงคนเดียว หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ของอังกฤษระบุว่า: - ปีที่ผ่านมา มีการโจมตี ransomware กว่า 19,000 ครั้ง - ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ £4 ล้าน - หนึ่งในสามของบริษัทเลือก “จ่ายเงิน” เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อได้ Suzanne Grimmer จาก National Crime Agency เตือนว่า: 🔖 “ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ปีนี้จะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ ransomware ในสหราชอาณาจักร” ✅ KNP Logistics Group ถูกโจมตีด้วย ransomware จากรหัสผ่านที่เดาง่ายของพนักงาน ➡️ ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดถูกเข้ารหัส และบริษัทไม่สามารถจ่ายค่าไถ่ได้ ✅ บริษัทมีพนักงานราว 700 คน และรถบรรทุกกว่า 500 คัน ➡️ เป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งเก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ✅ ค่าไถ่ถูกประเมินว่าอาจสูงถึง £5 ล้าน แม้จะมีประกันภัยไซเบอร์ ➡️ เกินกว่าที่บริษัทจะรับไหว ทำให้ต้องปิดกิจการ ✅ หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของอังกฤษระบุว่ามี ransomware กว่า 19,000 ครั้งในปีที่ผ่านมา ➡️ ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ £4 ล้าน และหนึ่งในสามของบริษัทเลือกจ่ายเงิน ✅ Paul Abbott ไม่แจ้งพนักงานเจ้าของรหัสผ่านว่าเป็นต้นเหตุของการล่มสลาย ➡️ เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกผิดที่รุนแรงเกินไป ✅ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าแฮกเกอร์มัก “รอวันที่องค์กรอ่อนแอ” แล้วลงมือทันที ➡️ ไม่จำเป็นต้องเจาะระบบซับซ้อน แค่รหัสผ่านอ่อนก็พอ https://www.techspot.com/news/108749-one-weak-password-brought-down-158-year-old.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    One weak password brought down a 158-year-old company
    A business is only as strong as its weakest link and when that weak point happens to be an employee's easy-to-guess password, the outcome can be devastating....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน

    DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ

    แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล

    รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น:
    - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
    - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ
    - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม

    ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม

    ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท

    ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์
    - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025
    - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน
    - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล
    - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท
    - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว
    - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ
    - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล
    - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ
    - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น: - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025 - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Czechia warns that DeepSeek can share all user information with the Chinese government
    U.S. lawmakers issued similar warnings after the China-based AI company released its eponymous chatbot.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณใช้แอปแชตที่เข้ารหัส เช่น Signal, WhatsApp หรือ VPN แบบไม่มีล็อกข้อมูล...ข่าวนี้คือสิ่งที่ควรรู้ไว้เลยครับ เพราะสหภาพยุโรปมีแผนจะพัฒนาเครื่องมือให้หน่วยงานอย่าง Europol สามารถเข้าถึง–ถอดรหัสข้อมูลดิจิทัลได้แม้จะอยู่ในรูปแบบเข้ารหัสแบบ End-to-End โดยอ้างว่าเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์
    - Roadmap ที่เปิดตัวเมื่อ 24 มิ.ย. 2025 นี้ เป็น “หมุดแรก” ของยุทธศาสตร์ ProtectEU ซึ่งจะ:
    - วางกรอบทางกฎหมายและเทคโนโลยีให้บังคับใช้ได้จริง
    - ดันมาตรการร่วมมือกับผู้ให้บริการและอุตสาหกรรม
    - พัฒนา AI สำหรับการสืบสวน

    และ...เริ่มสร้างเทคโนโลยีถอดรหัสแบบลึก (decrypting solutions) โดยเตรียมเปิดแผนในปี 2026 และใช้งานจริงในปี 2030

    แม้จะยืนยันว่าจะ “เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว” แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์หลายรายก็มองว่า → การพยายาม “สร้างเทคโนโลยีถอดรหัส” เท่ากับเปิดช่องให้เกิดจุดอ่อนด้านความปลอดภัย → และเสี่ยงทำให้ยุโรปย้อนกลับไปสู่ยุค Surveillance ขนานใหญ่แบบที่เคยต่อต้านมาก่อนหน้านี้

    EU เปิดตัว Roadmap สำหรับยุทธศาสตร์ ProtectEU เพื่อให้ตำรวจสามารถเข้าถึงข้อมูลดิจิทัลอย่างถูกกฎหมาย  
    • วางเป้าหมายใช้งานระบบถอดรหัสจริงภายในปี 2030

    Roadmap มี 6 เสาหลัก ได้แก่:  
    • การเก็บรักษาข้อมูล (Data Retention)  
    • การดักฟังโดยชอบธรรม (Lawful Interception)  
    • Digital Forensics  
    • การถอดรหัส (Decryption)  
    • มาตรฐานความมั่นคง (Standardization)  
    • ระบบ AI สำหรับการสืบสวน (AI for Law Enforcement)

    การถอดรหัส End-to-End ถูกระบุว่าเป็น “ความท้าทายทางเทคนิคสูงสุด” ของตำรวจยุโรป  
    • มีเป้าหมายเสนอ Technology Roadmap ภายในปี 2026  
    • จะใช้กับ Europol ได้จริงราวปี 2030

    EU เคยยอมรับว่า End-to-End encryption คือพื้นฐานของความมั่นคงไซเบอร์  
    • แต่ตอนนี้กำลังพยายาม “บาลานซ์” กับภารกิจด้านความมั่นคง

    เน้นให้ความร่วมมือกับอุตสาหกรรม + สร้างมาตรฐานร่วมระดับยุโรป

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/the-eu-wants-to-decrypt-your-private-data-by-2030
    ถ้าคุณใช้แอปแชตที่เข้ารหัส เช่น Signal, WhatsApp หรือ VPN แบบไม่มีล็อกข้อมูล...ข่าวนี้คือสิ่งที่ควรรู้ไว้เลยครับ เพราะสหภาพยุโรปมีแผนจะพัฒนาเครื่องมือให้หน่วยงานอย่าง Europol สามารถเข้าถึง–ถอดรหัสข้อมูลดิจิทัลได้แม้จะอยู่ในรูปแบบเข้ารหัสแบบ End-to-End โดยอ้างว่าเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ - Roadmap ที่เปิดตัวเมื่อ 24 มิ.ย. 2025 นี้ เป็น “หมุดแรก” ของยุทธศาสตร์ ProtectEU ซึ่งจะ: - วางกรอบทางกฎหมายและเทคโนโลยีให้บังคับใช้ได้จริง - ดันมาตรการร่วมมือกับผู้ให้บริการและอุตสาหกรรม - พัฒนา AI สำหรับการสืบสวน และ...เริ่มสร้างเทคโนโลยีถอดรหัสแบบลึก (decrypting solutions) โดยเตรียมเปิดแผนในปี 2026 และใช้งานจริงในปี 2030 แม้จะยืนยันว่าจะ “เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว” แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์หลายรายก็มองว่า → การพยายาม “สร้างเทคโนโลยีถอดรหัส” เท่ากับเปิดช่องให้เกิดจุดอ่อนด้านความปลอดภัย → และเสี่ยงทำให้ยุโรปย้อนกลับไปสู่ยุค Surveillance ขนานใหญ่แบบที่เคยต่อต้านมาก่อนหน้านี้ ✅ EU เปิดตัว Roadmap สำหรับยุทธศาสตร์ ProtectEU เพื่อให้ตำรวจสามารถเข้าถึงข้อมูลดิจิทัลอย่างถูกกฎหมาย   • วางเป้าหมายใช้งานระบบถอดรหัสจริงภายในปี 2030 ✅ Roadmap มี 6 เสาหลัก ได้แก่:   • การเก็บรักษาข้อมูล (Data Retention)   • การดักฟังโดยชอบธรรม (Lawful Interception)   • Digital Forensics   • การถอดรหัส (Decryption)   • มาตรฐานความมั่นคง (Standardization)   • ระบบ AI สำหรับการสืบสวน (AI for Law Enforcement) ✅ การถอดรหัส End-to-End ถูกระบุว่าเป็น “ความท้าทายทางเทคนิคสูงสุด” ของตำรวจยุโรป   • มีเป้าหมายเสนอ Technology Roadmap ภายในปี 2026   • จะใช้กับ Europol ได้จริงราวปี 2030 ✅ EU เคยยอมรับว่า End-to-End encryption คือพื้นฐานของความมั่นคงไซเบอร์   • แต่ตอนนี้กำลังพยายาม “บาลานซ์” กับภารกิจด้านความมั่นคง ✅ เน้นให้ความร่วมมือกับอุตสาหกรรม + สร้างมาตรฐานร่วมระดับยุโรป https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/the-eu-wants-to-decrypt-your-private-data-by-2030
    WWW.TECHRADAR.COM
    The EU wants to decrypt your private data by 2030
    The EU Commission unveiled the first step in its security strategy to ensure "lawful and effective" law enforcement access to data
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลเกาหลีใต้สั่งปรับและตำหนิ SK Telecom บริษัทมือถือเบอร์หนึ่งของประเทศ หลังปล่อยให้ข้อมูลผู้ใช้งานกว่า 26.96 ล้านรายการรั่วไหล เพราะถูกมัลแวร์เล่นงาน

    เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา เมื่อ SK Telecom ออกมายอมรับว่า ข้อมูลลูกค้าหลายสิบล้านชิ้นถูกโจมตี ผ่านมัลแวร์ และล่าสุดรัฐบาลเกาหลีใต้ก็สรุปผลสอบสวนว่า → “บริษัทละเลยหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลอย่างร้ายแรง” → โดยเฉพาะข้อมูลจาก “USIM” ซึ่งก็คือชิประบุตัวตนที่อยู่ในมือถือทุกเครื่อง

    รัฐบาลจึงออกคำสั่งลงโทษหลายข้อ เช่น
    - ปรับเงินสูงสุด 30 ล้านวอน (~22,000 ดอลลาร์)
    - บังคับให้เพิ่มการตรวจสอบความปลอดภัยรายไตรมาส
    - ให้ CEO ดูแล data governance ด้วยตนเอง
    - ต้องเพิ่มทีมงานและงบลงทุนด้าน Cybersecurity

    ทาง SK Telecom ยอมรับความผิด และประกาศมาตรการชดเชย เช่น → แจก ส่วนลดค่าบริการ 50% ตลอดเดือนสิงหาคม ให้ลูกค้า 24 ล้านคน → แจก ซิม USIM ใหม่ฟรีให้กับลูกค้าทั้งหมด 23 ล้านคน (ณ สิ้น มิ.ย. มี 9.39 ล้านคนมาเปลี่ยนแล้ว) → ทุ่มงบ 700 พันล้านวอน (~513 ล้านดอลลาร์) ในช่วง 5 ปีเพื่อปรับปรุงระบบความปลอดภัย → ลดเป้ารายได้ปี 2025 ลงไป 800 พันล้านวอน เพื่อสะท้อนต้นทุนที่ใช้ในการชดเชยและระบบป้องกันใหม่

    ประธานกลุ่ม SK ยังออกมาขอโทษต่อสังคม และรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์เกาหลีก็ย้ำว่า

    “เหตุการณ์นี้คือ wake-up call ด้านความมั่นคงไซเบอร์ของทั้งอุตสาหกรรมโทรคมนาคม”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/south-korea-penalises-039negligent039-sk-telecom-over-major-data-leak
    รัฐบาลเกาหลีใต้สั่งปรับและตำหนิ SK Telecom บริษัทมือถือเบอร์หนึ่งของประเทศ หลังปล่อยให้ข้อมูลผู้ใช้งานกว่า 26.96 ล้านรายการรั่วไหล เพราะถูกมัลแวร์เล่นงาน เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา เมื่อ SK Telecom ออกมายอมรับว่า ข้อมูลลูกค้าหลายสิบล้านชิ้นถูกโจมตี ผ่านมัลแวร์ และล่าสุดรัฐบาลเกาหลีใต้ก็สรุปผลสอบสวนว่า → “บริษัทละเลยหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลอย่างร้ายแรง” → โดยเฉพาะข้อมูลจาก “USIM” ซึ่งก็คือชิประบุตัวตนที่อยู่ในมือถือทุกเครื่อง 📌 รัฐบาลจึงออกคำสั่งลงโทษหลายข้อ เช่น - ปรับเงินสูงสุด 30 ล้านวอน (~22,000 ดอลลาร์) - บังคับให้เพิ่มการตรวจสอบความปลอดภัยรายไตรมาส - ให้ CEO ดูแล data governance ด้วยตนเอง - ต้องเพิ่มทีมงานและงบลงทุนด้าน Cybersecurity ทาง SK Telecom ยอมรับความผิด และประกาศมาตรการชดเชย เช่น → แจก ส่วนลดค่าบริการ 50% ตลอดเดือนสิงหาคม ให้ลูกค้า 24 ล้านคน → แจก ซิม USIM ใหม่ฟรีให้กับลูกค้าทั้งหมด 23 ล้านคน (ณ สิ้น มิ.ย. มี 9.39 ล้านคนมาเปลี่ยนแล้ว) → ทุ่มงบ 700 พันล้านวอน (~513 ล้านดอลลาร์) ในช่วง 5 ปีเพื่อปรับปรุงระบบความปลอดภัย → ลดเป้ารายได้ปี 2025 ลงไป 800 พันล้านวอน เพื่อสะท้อนต้นทุนที่ใช้ในการชดเชยและระบบป้องกันใหม่ ประธานกลุ่ม SK ยังออกมาขอโทษต่อสังคม และรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์เกาหลีก็ย้ำว่า “เหตุการณ์นี้คือ wake-up call ด้านความมั่นคงไซเบอร์ของทั้งอุตสาหกรรมโทรคมนาคม” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/south-korea-penalises-039negligent039-sk-telecom-over-major-data-leak
    WWW.THESTAR.COM.MY
    South Korea penalises 'negligent' SK Telecom over major data leak
    SEOUL (Reuters) -South Korean authorities ordered on Friday SK Telecom to strengthen data security and imposed a fine after the country's biggest mobile carrier was hit by a cyberattack that caused the leak of 26.96 million pieces of user data.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล!

    ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น

    รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค

    เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น

    Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป  
    • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก  
    • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี

    คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม  
    • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ

    ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง  
    • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม

    ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก  
    • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030  
    • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035

    Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI  
    • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล

    หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร  
    • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre

    การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน  
    • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น

    หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล  
    • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว

    ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์  
    • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล! ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น ✅ Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป   • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก   • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี ✅ คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม   • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ ✅ ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง   • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม ✅ ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก   • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030   • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035 ✅ Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI   • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล ‼️ หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร   • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre ‼️ การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน   • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น ‼️ หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล   • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว ‼️ ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์   • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Poor grid planning could shift Europe's data centre geography, report says
    PARIS (Reuters) -Europe's leading data centre hubs face a major shift as developers will go wherever connection times are shortest, unless there is more proactive electricity grid planning, a report on Thursday by energy think-tank Ember showed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนลับของเกาหลีเหนือ: แทรกซึมงานไอทีในสหรัฐฯ
    การสืบสวนล่าสุดเผยว่า เกาหลีเหนือใช้กลยุทธ์แทรกซึมงานไอทีในสหรัฐฯ ผ่าน TikTok influencer ชาวมินนิโซตา โดยอาศัยช่องโหว่ของ การทำงานระยะไกล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของตนสามารถเข้าถึงระบบของบริษัทอเมริกัน

    แผนนี้เกี่ยวข้องกับ Christina Chapman ผู้ใช้ TikTok ที่มีผู้ติดตามกว่า 100,000 คน ซึ่งไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือ โดยเธอได้รับข้อเสนอผ่าน LinkedIn ให้เป็นตัวแทนของบริษัทที่จัดหางานไอทีจากต่างประเทศ

    Chapman ทำหน้าที่ รับและตั้งค่าคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือสามารถเข้าถึงระบบของบริษัทอเมริกันได้จากระยะไกล นอกจากนี้ เธอยังช่วยจัดการเอกสารภาษีปลอมและส่งเงินเดือนให้กับบุคคลเหล่านี้

    ข้อมูลจากข่าว
    - เกาหลีเหนือใช้แผนแทรกซึมงานไอทีในสหรัฐฯ ผ่าน TikTok influencer
    - Christina Chapman ไม่รู้ตัวว่ากำลังช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือ
    - เธอรับและตั้งค่าคอมพิวเตอร์ให้เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือเข้าถึงระบบบริษัทอเมริกัน
    - แผนนี้เกี่ยวข้องกับกว่า 300 บริษัท และสร้างรายได้ให้เกาหลีเหนือกว่า 17.1 ล้านเหรียญ
    - FBI ระบุว่าแผนลักษณะนี้สร้างรายได้ให้เกาหลีเหนือหลายร้อยล้านเหรียญต่อปี

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - บริษัทอเมริกันอาจส่งอุปกรณ์และเงินให้กับเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือโดยไม่รู้ตัว
    - แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์พิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับและขโมยข้อมูล
    - มีการใช้ AI เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือในการสัมภาษณ์งานออนไลน์
    - บุคคลที่ถูกใช้เป็นตัวแทนอาจต้องรับผิดทางกฎหมาย แม้จะไม่รู้ตัวว่ากำลังช่วยเหลือแผนนี้

    ผลกระทบต่อความมั่นคงไซเบอร์
    แผนนี้แสดงให้เห็นถึง ความสามารถของเกาหลีเหนือในการใช้เทคโนโลยีเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร และสร้างรายได้ให้กับรัฐบาล นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้บริษัทต่าง ๆ เพิ่มมาตรการตรวจสอบความปลอดภัยของพนักงานระยะไกล เพื่อป้องกันการแทรกซึมจากต่างชาติ

    https://www.techspot.com/news/108104-how-north-korea-infiltrated-remote-us-jobs-through.html
    🕵️‍♂️ แผนลับของเกาหลีเหนือ: แทรกซึมงานไอทีในสหรัฐฯ การสืบสวนล่าสุดเผยว่า เกาหลีเหนือใช้กลยุทธ์แทรกซึมงานไอทีในสหรัฐฯ ผ่าน TikTok influencer ชาวมินนิโซตา โดยอาศัยช่องโหว่ของ การทำงานระยะไกล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของตนสามารถเข้าถึงระบบของบริษัทอเมริกัน แผนนี้เกี่ยวข้องกับ Christina Chapman ผู้ใช้ TikTok ที่มีผู้ติดตามกว่า 100,000 คน ซึ่งไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือ โดยเธอได้รับข้อเสนอผ่าน LinkedIn ให้เป็นตัวแทนของบริษัทที่จัดหางานไอทีจากต่างประเทศ Chapman ทำหน้าที่ รับและตั้งค่าคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือสามารถเข้าถึงระบบของบริษัทอเมริกันได้จากระยะไกล นอกจากนี้ เธอยังช่วยจัดการเอกสารภาษีปลอมและส่งเงินเดือนให้กับบุคคลเหล่านี้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - เกาหลีเหนือใช้แผนแทรกซึมงานไอทีในสหรัฐฯ ผ่าน TikTok influencer - Christina Chapman ไม่รู้ตัวว่ากำลังช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือ - เธอรับและตั้งค่าคอมพิวเตอร์ให้เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือเข้าถึงระบบบริษัทอเมริกัน - แผนนี้เกี่ยวข้องกับกว่า 300 บริษัท และสร้างรายได้ให้เกาหลีเหนือกว่า 17.1 ล้านเหรียญ - FBI ระบุว่าแผนลักษณะนี้สร้างรายได้ให้เกาหลีเหนือหลายร้อยล้านเหรียญต่อปี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - บริษัทอเมริกันอาจส่งอุปกรณ์และเงินให้กับเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือโดยไม่รู้ตัว - แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์พิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับและขโมยข้อมูล - มีการใช้ AI เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือในการสัมภาษณ์งานออนไลน์ - บุคคลที่ถูกใช้เป็นตัวแทนอาจต้องรับผิดทางกฎหมาย แม้จะไม่รู้ตัวว่ากำลังช่วยเหลือแผนนี้ 🌍 ผลกระทบต่อความมั่นคงไซเบอร์ แผนนี้แสดงให้เห็นถึง ความสามารถของเกาหลีเหนือในการใช้เทคโนโลยีเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร และสร้างรายได้ให้กับรัฐบาล นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้บริษัทต่าง ๆ เพิ่มมาตรการตรวจสอบความปลอดภัยของพนักงานระยะไกล เพื่อป้องกันการแทรกซึมจากต่างชาติ https://www.techspot.com/news/108104-how-north-korea-infiltrated-remote-us-jobs-through.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    How North Korea infiltrated remote US jobs through a TikTok user in Minnesota
    A recent Wall Street Journal investigation highlights the story of Christina Chapman, a Minnesota native and popular TikTok user, showing how ordinary Americans became entangled in a...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงโครงการ Secure by Design ของ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ชั้นนำถึง 68 ราย แต่ปัจจุบันโครงการกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในทีมงานและการลดงบประมาณ

    Secure by Design เป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งบริหารด้านความมั่นคงไซเบอร์ของประธานาธิบดีไบเดนในปี 2021 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดข้อบกพร่องในซอฟต์แวร์ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม การลาออกของผู้บริหารสำคัญในโครงการ เช่น Lauren Zabierek และ Bob Lord ทำให้เกิดคำถามว่าโครงการนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร

    แม้ว่า CISA อาจลดบทบาทในโครงการนี้ แต่แนวคิด Secure by Design ยังคงได้รับการสนับสนุนในภาคเอกชน โดยเฉพาะจากบริษัทที่ต้องการสร้างซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและตอบสนองความต้องการของลูกค้า

    เป้าหมายของโครงการ
    - ลดข้อบกพร่องในซอฟต์แวร์ก่อนเข้าสู่ตลาด
    - ส่งเสริมการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ

    การสนับสนุนจากภาคเอกชน
    - บริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำ 68 รายลงนามสนับสนุนโครงการ
    - แนวคิด Secure by Design ยังคงมีบทบาทในภาคเอกชน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
    - การปรับปรุงความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์
    - การใช้ OWASP Top 10 เป็นมาตรฐานช่วยเพิ่มความโปร่งใสในอุตสาหกรรม

    ความสำเร็จที่ผ่านมาของโครงการ
    - รายงานจาก Veracode แสดงให้เห็นว่าความปลอดภัยของซอฟต์แวร์มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

    https://www.csoonline.com/article/3971375/secure-by-design-is-likely-dead-at-cisa-will-the-private-sector-make-good-on-its-pledge.html
    บทความนี้กล่าวถึงโครงการ Secure by Design ของ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ชั้นนำถึง 68 ราย แต่ปัจจุบันโครงการกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในทีมงานและการลดงบประมาณ Secure by Design เป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งบริหารด้านความมั่นคงไซเบอร์ของประธานาธิบดีไบเดนในปี 2021 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดข้อบกพร่องในซอฟต์แวร์ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม การลาออกของผู้บริหารสำคัญในโครงการ เช่น Lauren Zabierek และ Bob Lord ทำให้เกิดคำถามว่าโครงการนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร แม้ว่า CISA อาจลดบทบาทในโครงการนี้ แต่แนวคิด Secure by Design ยังคงได้รับการสนับสนุนในภาคเอกชน โดยเฉพาะจากบริษัทที่ต้องการสร้างซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและตอบสนองความต้องการของลูกค้า ✅ เป้าหมายของโครงการ - ลดข้อบกพร่องในซอฟต์แวร์ก่อนเข้าสู่ตลาด - ส่งเสริมการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ✅ การสนับสนุนจากภาคเอกชน - บริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำ 68 รายลงนามสนับสนุนโครงการ - แนวคิด Secure by Design ยังคงมีบทบาทในภาคเอกชน ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ - การปรับปรุงความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ - การใช้ OWASP Top 10 เป็นมาตรฐานช่วยเพิ่มความโปร่งใสในอุตสาหกรรม ✅ ความสำเร็จที่ผ่านมาของโครงการ - รายงานจาก Veracode แสดงให้เห็นว่าความปลอดภัยของซอฟต์แวร์มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง https://www.csoonline.com/article/3971375/secure-by-design-is-likely-dead-at-cisa-will-the-private-sector-make-good-on-its-pledge.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Secure by Design is likely dead at CISA. Will the private sector make good on its pledge?
    CISA’s high-profile proselytizing of its Secure by Design program will likely end, but some experts think the idea still has momentum in the private sector, while others have become disillusioned altogether.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศนโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดี Donald Trump ส่งผลกระทบต่อวงการ Cybersecurity ของสหรัฐฯ อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและงบประมาณการดำเนินงานของบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์ ความท้าทายนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหาย รวมถึงการลดงบประมาณและการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจหยุดชะงัก

    == ประเด็นสำคัญจากผลกระทบของนโยบายภาษีใหม่ ==
    ตลาดหุ้นด้านความมั่นคงไซเบอร์ดิ่งลงอย่างรุนแรง
    - นโยบายภาษีใหม่ที่เพิ่มต้นทุนสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ สูงถึง 67% ทำให้บริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์สูญเสียมูลค่าทางตลาดไปหลายพันล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 2 วัน
    - นักลงทุนวิตกกังวลเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโอกาสที่อาจเกิดภาวะถดถอยและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    ลูกค้าต้องลดงบประมาณด้านความมั่นคงไซเบอร์
    - หลายบริษัทที่ใช้งานบริการหรือซอฟต์แวร์ไซเบอร์ต้องลดงบประมาณเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี การตัดงบนี้ส่งผลให้บริษัทไซเบอร์ขาดทุนและอาจต้องปลดพนักงาน

    ความเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีภูมิภาคเดียว
    - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้หลายประเทศพึ่งพาเทคโนโลยีในภูมิภาคของตนมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิด "monoculture" หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว ซึ่งมีข้อเสียในด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย

    ความท้าทายในโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT
    - อุตสาหกรรม IT ต้องปรับตัวเพราะอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานในระบบไซเบอร์กำลังเผชิญราคาที่พุ่งสูงขึ้น

    การปรับตัวของบริษัทในวงการ
    - บริษัทอย่าง Palo Alto Networks เน้นสร้างความยืดหยุ่นให้กับลูกค้า แม้ว่าจะมีอุปสรรคในการบริหารซัพพลายเชนและต้นทุนอุปกรณ์

    https://www.csoonline.com/article/3955013/how-trumps-tariffs-are-shaking-up-the-cybersecurity-sector.html
    ประกาศนโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดี Donald Trump ส่งผลกระทบต่อวงการ Cybersecurity ของสหรัฐฯ อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและงบประมาณการดำเนินงานของบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์ ความท้าทายนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหาย รวมถึงการลดงบประมาณและการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจหยุดชะงัก == ประเด็นสำคัญจากผลกระทบของนโยบายภาษีใหม่ == ✅ ตลาดหุ้นด้านความมั่นคงไซเบอร์ดิ่งลงอย่างรุนแรง - นโยบายภาษีใหม่ที่เพิ่มต้นทุนสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ สูงถึง 67% ทำให้บริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์สูญเสียมูลค่าทางตลาดไปหลายพันล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 2 วัน - นักลงทุนวิตกกังวลเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโอกาสที่อาจเกิดภาวะถดถอยและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ✅ ลูกค้าต้องลดงบประมาณด้านความมั่นคงไซเบอร์ - หลายบริษัทที่ใช้งานบริการหรือซอฟต์แวร์ไซเบอร์ต้องลดงบประมาณเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี การตัดงบนี้ส่งผลให้บริษัทไซเบอร์ขาดทุนและอาจต้องปลดพนักงาน ✅ ความเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีภูมิภาคเดียว - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้หลายประเทศพึ่งพาเทคโนโลยีในภูมิภาคของตนมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิด "monoculture" หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว ซึ่งมีข้อเสียในด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย ✅ ความท้าทายในโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT - อุตสาหกรรม IT ต้องปรับตัวเพราะอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานในระบบไซเบอร์กำลังเผชิญราคาที่พุ่งสูงขึ้น ✅ การปรับตัวของบริษัทในวงการ - บริษัทอย่าง Palo Alto Networks เน้นสร้างความยืดหยุ่นให้กับลูกค้า แม้ว่าจะมีอุปสรรคในการบริหารซัพพลายเชนและต้นทุนอุปกรณ์ https://www.csoonline.com/article/3955013/how-trumps-tariffs-are-shaking-up-the-cybersecurity-sector.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How Trump’s tariffs are shaking up the cybersecurity sector
    President Trump’s tariffs announcement sent US cybersecurity stocks into a precipitous spiral, fostering fears of cyber spending cuts and the possible rise of cyber ‘monocultures.’
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน่วยข่าวกรองระดับโลกที่ประกอบด้วย สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ออกคำเตือนถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคงไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Fast Flux DNS ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถซ่อนตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นอันตราย โดยเทคนิคนี้กำลังกลายเป็นช่องโหว่ในเครือข่ายขนาดใหญ่ และถูกระบุว่าเป็น ภัยคุกคามระดับความมั่นคงของชาติ

    Fast Flux DNS—เทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้ปกปิดตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์
    - Fast Flux ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ Command and Control (C2) เปลี่ยน DNS records อย่างรวดเร็ว
    - เทคนิคนี้ทำให้การติดตามตำแหน่งแหล่งมัลแวร์ทำได้ยาก และกลายเป็น ช่องว่างสำคัญในระบบเครือข่าย

    ความยากในการแยกแยะระหว่างการใช้งานจริงและภัยคุกคาม
    - พฤติกรรมบางอย่างใน Content Delivery Network (CDN) อาจมีลักษณะคล้าย Fast Flux
    - แนวทางป้องกันจำเป็นต้องใช้ Protective DNS services (PDNS) และการทำ Whitelist สำหรับบริการ CDN

    แนะนำมาตรการป้องกัน Fast Flux DNS
    - ใช้บริการ PDNS และระบบไซเบอร์ที่สามารถตรวจจับและบล็อกพฤติกรรม Fast Flux
    - วิเคราะห์ลักษณะ DNS query logs เพื่อค้นหาโดเมนที่มีความหลากหลายของ IP address หรือมี TTL (Time to Live) ต่ำผิดปกติ
    - ตรวจสอบ DNS resolution เพื่อค้นหาความไม่สอดคล้องในตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์

    การฝึกอบรมเพื่อป้องกันภัยฟิชชิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Fast Flux
    - เนื่องจากการโจมตี Fast Flux มักเชื่อมโยงกับฟิชชิ่ง การฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันฟิชชิ่ง และตรวจสอบอีเมลหรือลิงก์ที่น่าสงสัย เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกัน

    ความจำเป็นที่ต้องพัฒนาความร่วมมือระดับนานาชาติ
    - ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต, ผู้ผลิตอุปกรณ์ไซเบอร์ และองค์กรต่าง ๆ ควรร่วมมือกันพัฒนาโซลูชันที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้

    https://www.csoonline.com/article/3954873/cyber-agencies-urge-organizations-to-collaborate-to-stop-fast-flux-dns-attacks.html
    หน่วยข่าวกรองระดับโลกที่ประกอบด้วย สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ออกคำเตือนถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคงไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Fast Flux DNS ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถซ่อนตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นอันตราย โดยเทคนิคนี้กำลังกลายเป็นช่องโหว่ในเครือข่ายขนาดใหญ่ และถูกระบุว่าเป็น ภัยคุกคามระดับความมั่นคงของชาติ ✅ Fast Flux DNS—เทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้ปกปิดตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ - Fast Flux ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ Command and Control (C2) เปลี่ยน DNS records อย่างรวดเร็ว - เทคนิคนี้ทำให้การติดตามตำแหน่งแหล่งมัลแวร์ทำได้ยาก และกลายเป็น ช่องว่างสำคัญในระบบเครือข่าย ✅ ความยากในการแยกแยะระหว่างการใช้งานจริงและภัยคุกคาม - พฤติกรรมบางอย่างใน Content Delivery Network (CDN) อาจมีลักษณะคล้าย Fast Flux - แนวทางป้องกันจำเป็นต้องใช้ Protective DNS services (PDNS) และการทำ Whitelist สำหรับบริการ CDN ✅ แนะนำมาตรการป้องกัน Fast Flux DNS - ใช้บริการ PDNS และระบบไซเบอร์ที่สามารถตรวจจับและบล็อกพฤติกรรม Fast Flux - วิเคราะห์ลักษณะ DNS query logs เพื่อค้นหาโดเมนที่มีความหลากหลายของ IP address หรือมี TTL (Time to Live) ต่ำผิดปกติ - ตรวจสอบ DNS resolution เพื่อค้นหาความไม่สอดคล้องในตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ✅ การฝึกอบรมเพื่อป้องกันภัยฟิชชิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Fast Flux - เนื่องจากการโจมตี Fast Flux มักเชื่อมโยงกับฟิชชิ่ง การฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันฟิชชิ่ง และตรวจสอบอีเมลหรือลิงก์ที่น่าสงสัย เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกัน ✅ ความจำเป็นที่ต้องพัฒนาความร่วมมือระดับนานาชาติ - ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต, ผู้ผลิตอุปกรณ์ไซเบอร์ และองค์กรต่าง ๆ ควรร่วมมือกันพัฒนาโซลูชันที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ https://www.csoonline.com/article/3954873/cyber-agencies-urge-organizations-to-collaborate-to-stop-fast-flux-dns-attacks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Cyber agencies urge organizations to collaborate to stop fast flux DNS attacks
    They call the tactic a 'national security threat' and a 'defensive gap in many networks.'
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว