• ข่าววิทยาศาสตร์: “เชื้อราจากเชอร์โนบิลอาจใช้รังสีเป็นพลังงานได้”

    นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเชื้อราสีดำชนิดหนึ่งชื่อ Cladosporium sphaerospermum ที่เติบโตได้ดีภายในเขตเชอร์โนบิล ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีรังสีสูงที่สุดในโลก เชื้อรานี้มีเม็ดสีเมลานินเข้มที่อาจทำหน้าที่คล้ายคลอโรฟิลล์ในพืช โดยมีสมมติฐานว่าเมลานินสามารถ “เก็บเกี่ยว” พลังงานจากรังสีไอออไนซ์ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า radiosynthesis ซึ่งเปรียบเสมือนการสังเคราะห์แสง แต่ใช้รังสีแทนแสงอาทิตย์

    การค้นพบเริ่มต้นตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทีมนักวิจัยยูเครนพบชุมชนเชื้อรามากถึง 37 สายพันธุ์ในบริเวณรอบเตาปฏิกรณ์ที่เสียหาย โดย C. sphaerospermum เป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นที่สุดและทนต่อการปนเปื้อนรังสีสูงอย่างน่าประหลาดใจ ต่อมาในปี 2008 นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐฯ พบว่าเชื้อรานี้ไม่เพียงทนต่อรังสี แต่ยังเจริญเติบโตได้ดีกว่าเมื่อสัมผัสรังสีไอออไนซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปกติจะทำลาย DNA ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

    การทดลองล่าสุดในปี 2022 ที่นำเชื้อรานี้ไปติดตั้งบนผิวด้านนอกของสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) พบว่าเชื้อราสามารถลดปริมาณรังสีที่ทะลุผ่านได้จริง ทำให้เกิดแนวคิดว่าอาจใช้เชื้อรานี้เป็น เกราะชีวภาพป้องกันรังสีในภารกิจอวกาศ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าเชื้อรานี้เปลี่ยนรังสีเป็นพลังงานทางชีวภาพจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่ใช้เมลานินเป็นเกราะป้องกัน

    แม้ยังเป็นปริศนา แต่การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า ชีวิตสามารถหาทางอยู่รอดแม้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายที่สุดต่อมนุษย์ และอาจเปิดประตูสู่การใช้สิ่งมีชีวิตเป็นเครื่องมือใหม่ในการป้องกันรังสีทั้งบนโลกและในอวกาศ

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบเชื้อราที่เชอร์โนบิล
    พบเชื้อรา Cladosporium sphaerospermum เจริญเติบโตในพื้นที่รังสีสูง
    มีเม็ดสีเมลานินที่อาจใช้รังสีเป็นพลังงาน

    หลักฐานการทดลอง
    เชื้อรานี้เติบโตได้ดีกว่าเมื่อสัมผัสรังสีไอออไนซ์
    การทดลองบน ISS พบว่าสามารถลดปริมาณรังสีที่ทะลุผ่านได้

    ความเป็นไปได้ในอนาคต
    อาจใช้เป็นเกราะชีวภาพป้องกันรังสีในภารกิจอวกาศ
    เป็นตัวอย่างของการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเชื้อรานี้เปลี่ยนรังสีเป็นพลังงานจริง
    พฤติกรรมนี้ไม่พบในเชื้อรามีเมลานินทุกชนิด จึงไม่ใช่คุณสมบัติทั่วไป

    https://www.sciencealert.com/chernobyl-fungus-appears-to-have-evolved-an-incredible-ability
    ☢️ ข่าววิทยาศาสตร์: “เชื้อราจากเชอร์โนบิลอาจใช้รังสีเป็นพลังงานได้” นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเชื้อราสีดำชนิดหนึ่งชื่อ Cladosporium sphaerospermum ที่เติบโตได้ดีภายในเขตเชอร์โนบิล ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีรังสีสูงที่สุดในโลก เชื้อรานี้มีเม็ดสีเมลานินเข้มที่อาจทำหน้าที่คล้ายคลอโรฟิลล์ในพืช โดยมีสมมติฐานว่าเมลานินสามารถ “เก็บเกี่ยว” พลังงานจากรังสีไอออไนซ์ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า radiosynthesis ซึ่งเปรียบเสมือนการสังเคราะห์แสง แต่ใช้รังสีแทนแสงอาทิตย์ การค้นพบเริ่มต้นตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทีมนักวิจัยยูเครนพบชุมชนเชื้อรามากถึง 37 สายพันธุ์ในบริเวณรอบเตาปฏิกรณ์ที่เสียหาย โดย C. sphaerospermum เป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นที่สุดและทนต่อการปนเปื้อนรังสีสูงอย่างน่าประหลาดใจ ต่อมาในปี 2008 นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐฯ พบว่าเชื้อรานี้ไม่เพียงทนต่อรังสี แต่ยังเจริญเติบโตได้ดีกว่าเมื่อสัมผัสรังสีไอออไนซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปกติจะทำลาย DNA ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ การทดลองล่าสุดในปี 2022 ที่นำเชื้อรานี้ไปติดตั้งบนผิวด้านนอกของสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) พบว่าเชื้อราสามารถลดปริมาณรังสีที่ทะลุผ่านได้จริง ทำให้เกิดแนวคิดว่าอาจใช้เชื้อรานี้เป็น เกราะชีวภาพป้องกันรังสีในภารกิจอวกาศ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าเชื้อรานี้เปลี่ยนรังสีเป็นพลังงานทางชีวภาพจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่ใช้เมลานินเป็นเกราะป้องกัน แม้ยังเป็นปริศนา แต่การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า ชีวิตสามารถหาทางอยู่รอดแม้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายที่สุดต่อมนุษย์ และอาจเปิดประตูสู่การใช้สิ่งมีชีวิตเป็นเครื่องมือใหม่ในการป้องกันรังสีทั้งบนโลกและในอวกาศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบเชื้อราที่เชอร์โนบิล ➡️ พบเชื้อรา Cladosporium sphaerospermum เจริญเติบโตในพื้นที่รังสีสูง ➡️ มีเม็ดสีเมลานินที่อาจใช้รังสีเป็นพลังงาน ✅ หลักฐานการทดลอง ➡️ เชื้อรานี้เติบโตได้ดีกว่าเมื่อสัมผัสรังสีไอออไนซ์ ➡️ การทดลองบน ISS พบว่าสามารถลดปริมาณรังสีที่ทะลุผ่านได้ ✅ ความเป็นไปได้ในอนาคต ➡️ อาจใช้เป็นเกราะชีวภาพป้องกันรังสีในภารกิจอวกาศ ➡️ เป็นตัวอย่างของการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเชื้อรานี้เปลี่ยนรังสีเป็นพลังงานจริง ⛔ พฤติกรรมนี้ไม่พบในเชื้อรามีเมลานินทุกชนิด จึงไม่ใช่คุณสมบัติทั่วไป https://www.sciencealert.com/chernobyl-fungus-appears-to-have-evolved-an-incredible-ability
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Chernobyl Fungus Appears to Have Evolved an Incredible Ability
    The Chernobyl exclusion zone may be off-limits to humans, but ever since the Unit Four reactor at the Chernobyl Nuclear Power Plant exploded nearly 40 years ago, other forms of life have not only moved in but survived, adapted, and appeared to thrive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าววิทยาศาสตร์: “ปลาหมึกแวมไพร์เผยรากเหง้าโบราณของหมึกและปลาหมึกยักษ์”

    นักวิทยาศาสตร์เพิ่งเปิดเผยความลับจาก Vampyroteuthis infernalis หรือที่รู้จักกันว่า “ปลาหมึกแวมไพร์จากนรก” สิ่งมีชีวิตหายากในทะเลลึกที่ไม่ใช่ทั้งปลาหมึกหรือหมึกยักษ์ แต่เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ การวิเคราะห์จีโนมของมันพบว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์กลุ่มเซฟาโลพอดที่เคยถูกถอดรหัส โดยมีมากกว่า 11 พันล้านเบสเพียร์ ซึ่งใหญ่กว่าหมึกและหมึกยักษ์หลายเท่า

    สิ่งที่น่าทึ่งคือแม้ปลาหมึกแวมไพร์จะเป็นสัตว์แปดหนวด แต่ยังคงรักษาโครงสร้างโครโมโซมที่คล้ายกับสัตว์สิบหนวดอย่างปลาหมึกและหมึกกระดองไว้ได้ นักวิจัยเชื่อว่านี่คือหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่า หมึกและหมึกยักษ์มีบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อราว 300 ล้านปีก่อน และการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมในหมึกยักษ์อาจช่วยให้พวกมันพัฒนาความสามารถพิเศษเฉพาะตัว เช่น ความฉลาดและการปรับตัวที่ซับซ้อน

    ปลาหมึกแวมไพร์ถูกจัดว่าเป็น “ฟอสซิลมีชีวิต” เพราะยังคงรักษาลักษณะดั้งเดิมจากบรรพบุรุษเมื่อกว่า 183 ล้านปีก่อน พร้อมทั้งปรับตัวให้สามารถอยู่รอดในทะเลลึกที่มืดและขาดออกซิเจนได้ การค้นพบนี้จึงเปรียบเสมือน “Rosetta Stone” ที่ช่วยไขความลับวิวัฒนาการของสัตว์กลุ่มเซฟาโลพอดทั้งหมด

    นักวิจัยยังพบว่า 62% ของจีโนมปลาหมึกแวมไพร์เป็นดีเอ็นเอซ้ำๆ ที่ไม่ได้สร้างโปรตีนใหม่ แต่ทำให้จีโนมมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมหาศาล การศึกษาเปรียบเทียบกับหมึกและหมึกยักษ์ชนิดอื่นๆ ยืนยันว่าโครงสร้างโครโมโซมของปลาหมึกแวมไพร์ยังคงใกล้เคียงกับบรรพบุรุษดั้งเดิมมากที่สุด ทำให้มันเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจวิวัฒนาการของสัตว์ทะเลลึกลับเหล่านี้

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบจีโนมปลาหมึกแวมไพร์
    มีจีโนมใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์เซฟาโลพอดกว่า 11 พันล้านเบสเพียร์
    62% ของจีโนมเป็นดีเอ็นเอซ้ำๆ

    ความสำคัญทางวิวัฒนาการ
    รักษาโครงสร้างโครโมโซมคล้ายสัตว์สิบหนวด
    บ่งชี้ว่าหมึกและหมึกยักษ์มีบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อ 300 ล้านปีก่อน

    สถานะฟอสซิลมีชีวิต
    มีอายุทางสายวิวัฒนาการกว่า 183 ล้านปี
    ปรับตัวให้อยู่รอดในทะเลลึกที่มืดและขาดออกซิเจน

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การศึกษาอาศัยตัวอย่างที่หายากและได้จากการจับโดยบังเอิญ
    ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันบทบาทของโครโมโซมต่อการปรับตัวของหมึกยักษ์

    https://www.sciencealert.com/vampire-squid-from-hell-reveals-the-ancient-origins-of-octopuses
    🦑 ข่าววิทยาศาสตร์: “ปลาหมึกแวมไพร์เผยรากเหง้าโบราณของหมึกและปลาหมึกยักษ์” นักวิทยาศาสตร์เพิ่งเปิดเผยความลับจาก Vampyroteuthis infernalis หรือที่รู้จักกันว่า “ปลาหมึกแวมไพร์จากนรก” สิ่งมีชีวิตหายากในทะเลลึกที่ไม่ใช่ทั้งปลาหมึกหรือหมึกยักษ์ แต่เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ การวิเคราะห์จีโนมของมันพบว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์กลุ่มเซฟาโลพอดที่เคยถูกถอดรหัส โดยมีมากกว่า 11 พันล้านเบสเพียร์ ซึ่งใหญ่กว่าหมึกและหมึกยักษ์หลายเท่า สิ่งที่น่าทึ่งคือแม้ปลาหมึกแวมไพร์จะเป็นสัตว์แปดหนวด แต่ยังคงรักษาโครงสร้างโครโมโซมที่คล้ายกับสัตว์สิบหนวดอย่างปลาหมึกและหมึกกระดองไว้ได้ นักวิจัยเชื่อว่านี่คือหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่า หมึกและหมึกยักษ์มีบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อราว 300 ล้านปีก่อน และการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมในหมึกยักษ์อาจช่วยให้พวกมันพัฒนาความสามารถพิเศษเฉพาะตัว เช่น ความฉลาดและการปรับตัวที่ซับซ้อน ปลาหมึกแวมไพร์ถูกจัดว่าเป็น “ฟอสซิลมีชีวิต” เพราะยังคงรักษาลักษณะดั้งเดิมจากบรรพบุรุษเมื่อกว่า 183 ล้านปีก่อน พร้อมทั้งปรับตัวให้สามารถอยู่รอดในทะเลลึกที่มืดและขาดออกซิเจนได้ การค้นพบนี้จึงเปรียบเสมือน “Rosetta Stone” ที่ช่วยไขความลับวิวัฒนาการของสัตว์กลุ่มเซฟาโลพอดทั้งหมด นักวิจัยยังพบว่า 62% ของจีโนมปลาหมึกแวมไพร์เป็นดีเอ็นเอซ้ำๆ ที่ไม่ได้สร้างโปรตีนใหม่ แต่ทำให้จีโนมมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมหาศาล การศึกษาเปรียบเทียบกับหมึกและหมึกยักษ์ชนิดอื่นๆ ยืนยันว่าโครงสร้างโครโมโซมของปลาหมึกแวมไพร์ยังคงใกล้เคียงกับบรรพบุรุษดั้งเดิมมากที่สุด ทำให้มันเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจวิวัฒนาการของสัตว์ทะเลลึกลับเหล่านี้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบจีโนมปลาหมึกแวมไพร์ ➡️ มีจีโนมใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์เซฟาโลพอดกว่า 11 พันล้านเบสเพียร์ ➡️ 62% ของจีโนมเป็นดีเอ็นเอซ้ำๆ ✅ ความสำคัญทางวิวัฒนาการ ➡️ รักษาโครงสร้างโครโมโซมคล้ายสัตว์สิบหนวด ➡️ บ่งชี้ว่าหมึกและหมึกยักษ์มีบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อ 300 ล้านปีก่อน ✅ สถานะฟอสซิลมีชีวิต ➡️ มีอายุทางสายวิวัฒนาการกว่า 183 ล้านปี ➡️ ปรับตัวให้อยู่รอดในทะเลลึกที่มืดและขาดออกซิเจน ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การศึกษาอาศัยตัวอย่างที่หายากและได้จากการจับโดยบังเอิญ ⛔ ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันบทบาทของโครโมโซมต่อการปรับตัวของหมึกยักษ์ https://www.sciencealert.com/vampire-squid-from-hell-reveals-the-ancient-origins-of-octopuses
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    'Vampire Squid From Hell' Reveals The Ancient Origins of Octopuses
    The elusive 'vampire squid from hell' has just yielded the largest cephalopod genome ever sequenced, a monster clocking in at more than 11 billion base pairs – more than twice as large as the biggest squid genomes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าววิทยาศาสตร์สุขภาพ: “ไมโครเกลียเปิดโหมดป้องกันสมอง สู้โรคอัลไซเมอร์”

    ทีมนักวิจัยนานาชาติค้นพบว่าเซลล์ภูมิคุ้มกันในสมองที่เรียกว่า ไมโครเกลีย สามารถเปลี่ยนบทบาทจากผู้ทำลายไปเป็นผู้ปกป้องสมองได้ เมื่อเข้าใกล้ก้อนโปรตีน อะไมลอยด์-เบต้า ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ เซลล์ชนิดนี้เข้าสู่ “โหมดป้องกัน” ที่ช่วยลดการอักเสบและชะลอการสะสมของโปรตีนที่เป็นพิษต่อสมอง

    งานวิจัยล่าสุดชี้ว่าไมโครเกลียที่มีระดับโปรตีน PU.1 ต่ำ และมีการแสดงออกของโปรตีน CD28 สูง จะมีประสิทธิภาพในการลดการก่อตัวของคราบโปรตีนและการรวมตัวของ tau ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวการทำลายเซลล์สมอง การทดลองในหนูพบว่าเมื่อหยุดการผลิต CD28 ไมโครเกลียที่ก่อการอักเสบกลับเพิ่มจำนวน และคราบโปรตีนก็สะสมมากขึ้นอย่างชัดเจน

    นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางพันธุกรรมที่สนับสนุนว่า คนที่มีพันธุกรรมซึ่งทำให้ระดับ PU.1 ต่ำกว่าปกติ มักมีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์น้อยกว่า การค้นพบนี้จึงอาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาวิธีรักษาใหม่ โดยมุ่งเปลี่ยนไมโครเกลียให้เข้าสู่โหมดป้องกันมากขึ้น เพื่อช่วยชะลอหรือป้องกันโรคในมนุษย์

    ในภาพรวม นักวิทยาศาสตร์มองว่านี่คือการเปิดประตูสู่การรักษาแบบ ภูมิคุ้มกันบำบัด สำหรับโรคอัลไซเมอร์ เพราะไมโครเกลียทำงานคล้ายกับเซลล์ T ที่ควบคุมภูมิคุ้มกันในร่างกาย หากสามารถกระตุ้นให้เซลล์เหล่านี้ทำงานในโหมดป้องกันได้อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นแนวทางใหม่ที่ช่วยให้สมองมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่แข็งแรงขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบใหม่เกี่ยวกับไมโครเกลีย
    ไมโครเกลียสามารถเปลี่ยนจากโหมดทำลายไปเป็นโหมดป้องกันสมอง
    การลดระดับโปรตีน PU.1 และเพิ่ม CD28 ทำให้สมองทนต่อการสะสมโปรตีนผิดปกติได้ดีขึ้น

    หลักฐานจากการทดลองและพันธุกรรม
    หนูทดลองที่มี CD28 สูงสามารถลดการสะสมของอะไมลอยด์-เบต้าและ tau ได้
    คนที่มีพันธุกรรมทำให้ PU.1 ต่ำ มีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์น้อยลง

    แนวทางการรักษาในอนาคต
    การกระตุ้นไมโครเกลียเข้าสู่โหมดป้องกันอาจเป็นแนวทางภูมิคุ้มกันบำบัด
    อาจช่วยชะลอหรือป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในมนุษย์

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การค้นพบยังอยู่ในขั้นทดลองกับหนู ต้องตรวจสอบในมนุษย์ก่อน
    โรคอัลไซเมอร์มีหลายปัจจัยร่วม การรักษาอาจต้องใช้หลายวิธีควบคู่กัน

    https://www.sciencealert.com/switch-turns-brains-defenses-into-protectors-against-alzheimers
    🧠 ข่าววิทยาศาสตร์สุขภาพ: “ไมโครเกลียเปิดโหมดป้องกันสมอง สู้โรคอัลไซเมอร์” ทีมนักวิจัยนานาชาติค้นพบว่าเซลล์ภูมิคุ้มกันในสมองที่เรียกว่า ไมโครเกลีย สามารถเปลี่ยนบทบาทจากผู้ทำลายไปเป็นผู้ปกป้องสมองได้ เมื่อเข้าใกล้ก้อนโปรตีน อะไมลอยด์-เบต้า ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ เซลล์ชนิดนี้เข้าสู่ “โหมดป้องกัน” ที่ช่วยลดการอักเสบและชะลอการสะสมของโปรตีนที่เป็นพิษต่อสมอง งานวิจัยล่าสุดชี้ว่าไมโครเกลียที่มีระดับโปรตีน PU.1 ต่ำ และมีการแสดงออกของโปรตีน CD28 สูง จะมีประสิทธิภาพในการลดการก่อตัวของคราบโปรตีนและการรวมตัวของ tau ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวการทำลายเซลล์สมอง การทดลองในหนูพบว่าเมื่อหยุดการผลิต CD28 ไมโครเกลียที่ก่อการอักเสบกลับเพิ่มจำนวน และคราบโปรตีนก็สะสมมากขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางพันธุกรรมที่สนับสนุนว่า คนที่มีพันธุกรรมซึ่งทำให้ระดับ PU.1 ต่ำกว่าปกติ มักมีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์น้อยกว่า การค้นพบนี้จึงอาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาวิธีรักษาใหม่ โดยมุ่งเปลี่ยนไมโครเกลียให้เข้าสู่โหมดป้องกันมากขึ้น เพื่อช่วยชะลอหรือป้องกันโรคในมนุษย์ ในภาพรวม นักวิทยาศาสตร์มองว่านี่คือการเปิดประตูสู่การรักษาแบบ ภูมิคุ้มกันบำบัด สำหรับโรคอัลไซเมอร์ เพราะไมโครเกลียทำงานคล้ายกับเซลล์ T ที่ควบคุมภูมิคุ้มกันในร่างกาย หากสามารถกระตุ้นให้เซลล์เหล่านี้ทำงานในโหมดป้องกันได้อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นแนวทางใหม่ที่ช่วยให้สมองมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่แข็งแรงขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่เกี่ยวกับไมโครเกลีย ➡️ ไมโครเกลียสามารถเปลี่ยนจากโหมดทำลายไปเป็นโหมดป้องกันสมอง ➡️ การลดระดับโปรตีน PU.1 และเพิ่ม CD28 ทำให้สมองทนต่อการสะสมโปรตีนผิดปกติได้ดีขึ้น ✅ หลักฐานจากการทดลองและพันธุกรรม ➡️ หนูทดลองที่มี CD28 สูงสามารถลดการสะสมของอะไมลอยด์-เบต้าและ tau ได้ ➡️ คนที่มีพันธุกรรมทำให้ PU.1 ต่ำ มีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์น้อยลง ✅ แนวทางการรักษาในอนาคต ➡️ การกระตุ้นไมโครเกลียเข้าสู่โหมดป้องกันอาจเป็นแนวทางภูมิคุ้มกันบำบัด ➡️ อาจช่วยชะลอหรือป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในมนุษย์ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การค้นพบยังอยู่ในขั้นทดลองกับหนู ต้องตรวจสอบในมนุษย์ก่อน ⛔ โรคอัลไซเมอร์มีหลายปัจจัยร่วม การรักษาอาจต้องใช้หลายวิธีควบคู่กัน https://www.sciencealert.com/switch-turns-brains-defenses-into-protectors-against-alzheimers
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Switch Turns Brain's Defenses Into Protectors Against Alzheimer's
    Specific immune cells in the brain may play a crucial role in preventing the onset of Alzheimer's disease, according to a new study – a discovery that could lead to new therapies that try to coax cells into this protective state.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าววิทยาศาสตร์: คอมพิวเตอร์ควอนตัมเทเลพอร์ตข้อมูลได้จริงแล้ว!

    ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทีมวิจัยจาก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการ เทเลพอร์ตข้อมูลควอนตัมจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ผ่านปรากฏการณ์ Quantum Entanglement ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำได้ในระดับคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่อนุภาคเดี่ยวๆ.

    Quantum Entanglement คืออะไร
    คอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้ บิต (0 หรือ 1)
    คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้ คิวบิต (Qubit) ที่สามารถเป็นทั้ง 0 และ 1 พร้อมกัน (Superposition)
    เมื่อคิวบิตสองตัว Entangled กัน สถานะของหนึ่งตัวจะสัมพันธ์กับอีกตัวทันที แม้จะอยู่ห่างกันมาก

    การทดลองที่ออกซ์ฟอร์ด
    ทีมวิจัยวัดสถานะของคิวบิตในเครื่องแรก
    ส่งสัญญาณคลาสสิกไปยังเครื่องที่สอง
    เครื่องที่สองสามารถสร้างสถานะเดียวกันขึ้นใหม่ได้ทันที
    ผลลัพธ์คือ ข้อมูลหายไปจากเครื่องแรกและปรากฏขึ้นในเครื่องที่สอง — นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า Teleportation

    ความสำคัญของการค้นพบ
    ความเร็วสูงสุด: คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจเร็วกว่าเครื่องทั่วไปถึง 20,000 เท่า
    ความปลอดภัย: หากมีใครพยายามดักฟัง จะทำให้สถานะควอนตัมถูกรบกวนและถูกตรวจจับได้ทันที
    อนาคตอินเทอร์เน็ตควอนตัม: เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ทั่วโลกให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ

    การทดลองเทเลพอร์ตข้อมูลควอนตัม
    ทำสำเร็จระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
    เป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่แค่อนุภาคเดี่ยว แต่เป็นคอมพิวเตอร์เต็มระบบ

    หลักการทำงานของคิวบิตและ Entanglement
    คิวบิตสามารถอยู่ในสถานะ 0 และ 1 พร้อมกัน
    เมื่อ Entangled สถานะของหนึ่งตัวจะกำหนดอีกตัวทันที

    ผลลัพธ์และความสำคัญ
    สร้างรากฐานสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตควอนตัม
    เพิ่มความเร็วและความปลอดภัยในการสื่อสารข้อมูล

    https://www.slashgear.com/2019543/quantum-computer-teleportation-explained/
    🧑‍🔬 ข่าววิทยาศาสตร์: คอมพิวเตอร์ควอนตัมเทเลพอร์ตข้อมูลได้จริงแล้ว! ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทีมวิจัยจาก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการ เทเลพอร์ตข้อมูลควอนตัมจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ผ่านปรากฏการณ์ Quantum Entanglement ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำได้ในระดับคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่อนุภาคเดี่ยวๆ. 🔮 Quantum Entanglement คืออะไร 🔰 คอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้ บิต (0 หรือ 1) 🔰 คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้ คิวบิต (Qubit) ที่สามารถเป็นทั้ง 0 และ 1 พร้อมกัน (Superposition) 🔰 เมื่อคิวบิตสองตัว Entangled กัน สถานะของหนึ่งตัวจะสัมพันธ์กับอีกตัวทันที แม้จะอยู่ห่างกันมาก 🚀 การทดลองที่ออกซ์ฟอร์ด 🔰 ทีมวิจัยวัดสถานะของคิวบิตในเครื่องแรก 🔰 ส่งสัญญาณคลาสสิกไปยังเครื่องที่สอง 🔰 เครื่องที่สองสามารถสร้างสถานะเดียวกันขึ้นใหม่ได้ทันที 🔰 ผลลัพธ์คือ ข้อมูลหายไปจากเครื่องแรกและปรากฏขึ้นในเครื่องที่สอง — นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า Teleportation 🔐 ความสำคัญของการค้นพบ 🔰 ความเร็วสูงสุด: คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจเร็วกว่าเครื่องทั่วไปถึง 20,000 เท่า 🔰 ความปลอดภัย: หากมีใครพยายามดักฟัง จะทำให้สถานะควอนตัมถูกรบกวนและถูกตรวจจับได้ทันที 🔰 อนาคตอินเทอร์เน็ตควอนตัม: เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ทั่วโลกให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ✅ การทดลองเทเลพอร์ตข้อมูลควอนตัม ➡️ ทำสำเร็จระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ➡️ เป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่แค่อนุภาคเดี่ยว แต่เป็นคอมพิวเตอร์เต็มระบบ ✅ หลักการทำงานของคิวบิตและ Entanglement ➡️ คิวบิตสามารถอยู่ในสถานะ 0 และ 1 พร้อมกัน ➡️ เมื่อ Entangled สถานะของหนึ่งตัวจะกำหนดอีกตัวทันที ✅ ผลลัพธ์และความสำคัญ ➡️ สร้างรากฐานสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตควอนตัม ➡️ เพิ่มความเร็วและความปลอดภัยในการสื่อสารข้อมูล https://www.slashgear.com/2019543/quantum-computer-teleportation-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Quantum Computer Just Made Teleportation A Reality - SlashGear
    In February 2025, scientists successfully teleported quantum information between two quantum computers six feet apart.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าววิทยาศาสตร์: ร่องรอยโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ อาจบอกใบ้ถึงกำเนิดชีวิตบนโลก

    ลองจินตนาการว่าโลกของเราไม่ได้เริ่มต้นจากเพียงแค่ทะเลโบราณและภูเขาไฟ แต่มี "วัตถุดิบแห่งชีวิต" เดินทางมาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาอวกาศกำลังค้นพบหลักฐานที่น่าสนใจว่า โมเลกุลอินทรีย์—ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต—มีอยู่ทั่วไปในฝุ่นดาวหาง เศษอุกกาบาต และแม้แต่ในก๊าซจากดาวที่กำลังดับ

    การค้นพบเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ชีวิตบนโลกอาจเริ่มต้นจากอวกาศหรือไม่ โดยโมเลกุลอินทรีย์เหล่านี้อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต ก่อนจะเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมบนโลกจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตจริง

    นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบสัญญาณก๊าซบางชนิดบนดาวเคราะห์ K2-18b ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 124 ปีแสง ซึ่งก๊าซเหล่านี้ปกติจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ไมโครออร์แกนิซึมในมหาสมุทรบนโลก แม้จะยังเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ก็เป็นหลักฐานที่ทำให้การค้นหาชีวิตนอกโลกยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้น

    การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ
    พบในฝุ่นดาวหาง อุกกาบาต และก๊าซจากดาวที่กำลังดับ
    โมเลกุลเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์บอนและกรดอะมิโน

    ทฤษฎีกำเนิดชีวิตจากอวกาศ (Panspermia)
    โมเลกุลอินทรีย์อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต
    โลกมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิต

    หลักฐานจากดาวเคราะห์ K2-18b
    ตรวจพบก๊าซที่ปกติผลิตโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
    เป็นการคาดการณ์ที่ยังต้องการการยืนยันเพิ่มเติม

    โครงการค้นหาชีวิตนอกโลก
    SETI และ Galileo Project ใช้เทคโนโลยี AI และกล้องโทรทรรศน์
    มุ่งหาสัญญาณหรือหลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลก

    ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชีวิตบนโลกเริ่มจากอวกาศจริง
    การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์เป็นเพียง "วัตถุดิบ" ไม่ใช่การพิสูจน์ว่ามีชีวิต

    ข้อมูลจากดาวเคราะห์ K2-18b ยังเป็นการตีความเบื้องต้น
    นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถตรวจสอบโดยตรงว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริง

    การค้นหาชีวิตนอกโลกยังคงเป็นการวิจัยระยะยาว
    ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่านี้เพื่อยืนยันการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต

    https://www.slashgear.com/2014873/origins-of-life-deep-space-organic-molecules/
    🪐 ข่าววิทยาศาสตร์: ร่องรอยโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ อาจบอกใบ้ถึงกำเนิดชีวิตบนโลก ลองจินตนาการว่าโลกของเราไม่ได้เริ่มต้นจากเพียงแค่ทะเลโบราณและภูเขาไฟ แต่มี "วัตถุดิบแห่งชีวิต" เดินทางมาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น 🌌 นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาอวกาศกำลังค้นพบหลักฐานที่น่าสนใจว่า โมเลกุลอินทรีย์—ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต—มีอยู่ทั่วไปในฝุ่นดาวหาง เศษอุกกาบาต และแม้แต่ในก๊าซจากดาวที่กำลังดับ การค้นพบเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ชีวิตบนโลกอาจเริ่มต้นจากอวกาศหรือไม่ โดยโมเลกุลอินทรีย์เหล่านี้อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต ก่อนจะเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมบนโลกจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตจริง นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบสัญญาณก๊าซบางชนิดบนดาวเคราะห์ K2-18b ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 124 ปีแสง ซึ่งก๊าซเหล่านี้ปกติจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ไมโครออร์แกนิซึมในมหาสมุทรบนโลก 🌍 แม้จะยังเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ก็เป็นหลักฐานที่ทำให้การค้นหาชีวิตนอกโลกยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้น ✅ การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ ➡️ พบในฝุ่นดาวหาง อุกกาบาต และก๊าซจากดาวที่กำลังดับ ➡️ โมเลกุลเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์บอนและกรดอะมิโน ✅ ทฤษฎีกำเนิดชีวิตจากอวกาศ (Panspermia) ➡️ โมเลกุลอินทรีย์อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต ➡️ โลกมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิต ✅ หลักฐานจากดาวเคราะห์ K2-18b ➡️ ตรวจพบก๊าซที่ปกติผลิตโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ➡️ เป็นการคาดการณ์ที่ยังต้องการการยืนยันเพิ่มเติม ✅ โครงการค้นหาชีวิตนอกโลก ➡️ SETI และ Galileo Project ใช้เทคโนโลยี AI และกล้องโทรทรรศน์ ➡️ มุ่งหาสัญญาณหรือหลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ‼️ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชีวิตบนโลกเริ่มจากอวกาศจริง ⛔ การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์เป็นเพียง "วัตถุดิบ" ไม่ใช่การพิสูจน์ว่ามีชีวิต ‼️ ข้อมูลจากดาวเคราะห์ K2-18b ยังเป็นการตีความเบื้องต้น ⛔ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถตรวจสอบโดยตรงว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริง ‼️ การค้นหาชีวิตนอกโลกยังคงเป็นการวิจัยระยะยาว ⛔ ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่านี้เพื่อยืนยันการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต https://www.slashgear.com/2014873/origins-of-life-deep-space-organic-molecules/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Astronomers Keep Finding The Same Thing – And It Points To Life Starting In Space - SlashGear
    Researchers and astronomers have consistently detected the presence of organic molecules in space, hinting at life's extraterrestrial origins.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘ปรมาณูเพื่อสันติ’ โดดเด่นบนเวทีโลก 30 ชาติพร้อมใจโหวต! ยกไทยเป็นสมาชิก ‘CCRI(I)’ ยกระดับมาตรฐานห้องปฏิบัติการสู่สากล
    https://www.thai-tai.tv/news/21605/
    .
    #ไทยไท #ปรมาณูเพื่อสันติ #MedicalHub #ข่าววันนี้ #ข่าววิทยาศาสตร์
    ‘ปรมาณูเพื่อสันติ’ โดดเด่นบนเวทีโลก 30 ชาติพร้อมใจโหวต! ยกไทยเป็นสมาชิก ‘CCRI(I)’ ยกระดับมาตรฐานห้องปฏิบัติการสู่สากล https://www.thai-tai.tv/news/21605/ . #ไทยไท #ปรมาณูเพื่อสันติ #MedicalHub #ข่าววันนี้ #ข่าววิทยาศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว