• บทความกฎหมาย EP.27

    อาชญากรรมที่เรียกว่า "ฉ้อโกง" นั้น มิได้เป็นเพียงการสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นในสังคม และสร้างบาดแผลทางกฎหมายที่ลึกซึ้ง คำว่า "ฉ้อโกง" ในทางกฎหมายอาญาของไทยนั้น ครอบคลุมการกระทำที่ผู้กระทำมีเจตนาทุจริต โดยใช้อุบายหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และการหลอกลวงนั้นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อและยอมส่งมอบ ทรัพย์สินให้แก่ผู้กระทำความผิดหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงได้รับผลกระทบทางทรัพย์สินที่เป็นโทษแก่ตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งเป็นฐานความผิดหลักสำหรับคดีฉ้อโกงธรรมดา โทษทางกฎหมายสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น กำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของคดีฉ้อโกงมักปรากฏเมื่อเข้าข่ายความผิดที่หนักขึ้น เช่น การฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343 ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรือเป็นการหลอกลวงผ่านระบบคอมพิวเตอร์และสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะที่เป็นการเผยแพร่ข้อมูลอย่างกว้างขวาง โดยมีเจตนาให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดและมอบทรัพย์สินให้ ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนี้มีโทษรุนแรงกว่า คือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเมื่อการกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้นในรูปแบบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น มีการจัดตั้งเป็นองค์กรอาชญากรรม หรือมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการหลอกลวงเป็นวงกว้าง เช่น คดี Call Center หรือ Romance Scam จะมีการใช้กฎหมายเฉพาะเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโทษ เช่น พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมุ่งเน้นการลงโทษผู้กระทำความผิดที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการก่ออาชญากรรมอย่างหนักหน่วงขึ้น เพื่อเป็นการป้องปราม การดำเนินการทางกฎหมายในคดีฉ้อโกงจึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งพยานหลักฐานทางเอกสาร พยานบุคคล และพยานหลักฐานทางดิจิทัล เพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต" ของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของความผิดฐานนี้ การรับรู้และเข้าใจถึงขอบเขตของกฎหมายเหล่านี้จึงเป็นเกราะป้องกันชั้นดีสำหรับประชาชน และเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับเจ้าหน้าที่ในการยุติภัยอาชญากรรมทางการเงิน

    การดำเนินคดีฉ้อโกงตามกฎหมายนั้น เริ่มต้นจากการที่ผู้เสียหายจะต้องเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งการแจ้งความนี้จะต้องกระทำภายในอายุความที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีฉ้อโกงธรรมดาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้นั้น อายุความคือสามเดือนนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะสิ้นสุดลงทันที แต่สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้น ถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่ไม่อาจยอมความได้ และมีอายุความที่ยาวนานกว่าคือสิบปีนับแต่วันกระทำความผิด การแยกแยะประเภทของความผิดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาผลประโยชน์ของผู้เสียหาย เมื่อมีการแจ้งความแล้ว พนักงานสอบสวนจะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และหากพยานหลักฐานเพียงพอ ก็จะส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาล การพิจารณาคดีในศาลจะเน้นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำ "การหลอกลวง" จริง และการหลอกลวงนั้นได้ทำให้ผู้เสียหาย "หลงเชื่อ" จนนำมาซึ่งการ "ส่งมอบทรัพย์สิน" หรือ "การได้รับผลกระทบทางทรัพย์สิน" อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประชาชนควรตระหนักคือ ในหลายกรณีที่ผู้เสียหายต้องการทรัพย์สินคืน การฟ้องคดีอาญาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากคดีอาญามุ่งเน้นที่การลงโทษผู้กระทำความผิดทางกายภาพ (จำคุก) และทางการเงิน (ปรับ) เท่านั้น ดังนั้นผู้เสียหายจึงต้องใช้สิทธิทางแพ่งควบคู่กันไป โดยอาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้กระทำความผิดชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หรือแยกไปฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหากเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือค่าเสียหายคืน การดำเนินการทางแพ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับการขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการบังคับคดี การติดตามทรัพย์สินที่ถูกฉ้อโกงคืนมานั้น มักเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการโอนย้ายทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่นหรือต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการมีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่งจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้เสียหายสามารถเข้าถึงความยุติธรรมและได้รับความเสียหายชดเชยอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย

    ท้ายที่สุดแล้ว ภัยฉ้อโกงที่แฝงตัวอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดั้งเดิมหรือรูปแบบดิจิทัลก็ตาม เป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับระบบกฎหมายไทยในการปรับตัวและตอบสนองต่อกลโกงที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง การป้องกันที่ดีที่สุดมิใช่เพียงการจับกุมและลงโทษผู้กระทำความผิดเท่านั้น แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันทางกฎหมายให้กับประชาชน การตระหนักว่ากฎหมายฉ้อโกงมิใช่แค่เรื่องของ "การหลอกลวง" แต่คือเรื่องของ "เจตนาทุจริต" ที่มุ่งหมายเอาเปรียบผู้อื่นอย่างไม่ชอบธรรม และการเข้าใจถึงสิทธิและอายุความในการดำเนินคดี เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องยึดถือไว้เสมอ หากคุณตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกง สิ่งสำคัญที่สุดคือการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง การโอนเงิน หรือการติดต่อสื่อสาร และรีบดำเนินการทางกฎหมายทันที อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนพ้นอายุความ การใช้สิทธิเรียกร้องความยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถูกต้องและรวดเร็ว จะเป็นหนทางเดียวที่จะนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการลงโทษและเปิดโอกาสในการเรียกทรัพย์สินคืนมา ซึ่งเป็นการยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจใดที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้ ความเชี่ยวชาญในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและเด็ดขาดเท่านั้น จึงจะสามารถยุติวงจรของการฉ้อโกงและฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยและความเชื่อมั่นในสังคมให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง
    บทความกฎหมาย EP.27 อาชญากรรมที่เรียกว่า "ฉ้อโกง" นั้น มิได้เป็นเพียงการสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นในสังคม และสร้างบาดแผลทางกฎหมายที่ลึกซึ้ง คำว่า "ฉ้อโกง" ในทางกฎหมายอาญาของไทยนั้น ครอบคลุมการกระทำที่ผู้กระทำมีเจตนาทุจริต โดยใช้อุบายหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และการหลอกลวงนั้นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อและยอมส่งมอบ ทรัพย์สินให้แก่ผู้กระทำความผิดหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงได้รับผลกระทบทางทรัพย์สินที่เป็นโทษแก่ตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งเป็นฐานความผิดหลักสำหรับคดีฉ้อโกงธรรมดา โทษทางกฎหมายสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น กำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของคดีฉ้อโกงมักปรากฏเมื่อเข้าข่ายความผิดที่หนักขึ้น เช่น การฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343 ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรือเป็นการหลอกลวงผ่านระบบคอมพิวเตอร์และสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะที่เป็นการเผยแพร่ข้อมูลอย่างกว้างขวาง โดยมีเจตนาให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดและมอบทรัพย์สินให้ ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนี้มีโทษรุนแรงกว่า คือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเมื่อการกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้นในรูปแบบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น มีการจัดตั้งเป็นองค์กรอาชญากรรม หรือมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการหลอกลวงเป็นวงกว้าง เช่น คดี Call Center หรือ Romance Scam จะมีการใช้กฎหมายเฉพาะเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโทษ เช่น พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมุ่งเน้นการลงโทษผู้กระทำความผิดที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการก่ออาชญากรรมอย่างหนักหน่วงขึ้น เพื่อเป็นการป้องปราม การดำเนินการทางกฎหมายในคดีฉ้อโกงจึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งพยานหลักฐานทางเอกสาร พยานบุคคล และพยานหลักฐานทางดิจิทัล เพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต" ของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของความผิดฐานนี้ การรับรู้และเข้าใจถึงขอบเขตของกฎหมายเหล่านี้จึงเป็นเกราะป้องกันชั้นดีสำหรับประชาชน และเป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับเจ้าหน้าที่ในการยุติภัยอาชญากรรมทางการเงิน การดำเนินคดีฉ้อโกงตามกฎหมายนั้น เริ่มต้นจากการที่ผู้เสียหายจะต้องเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งการแจ้งความนี้จะต้องกระทำภายในอายุความที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีฉ้อโกงธรรมดาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้นั้น อายุความคือสามเดือนนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะสิ้นสุดลงทันที แต่สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้น ถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่ไม่อาจยอมความได้ และมีอายุความที่ยาวนานกว่าคือสิบปีนับแต่วันกระทำความผิด การแยกแยะประเภทของความผิดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาผลประโยชน์ของผู้เสียหาย เมื่อมีการแจ้งความแล้ว พนักงานสอบสวนจะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และหากพยานหลักฐานเพียงพอ ก็จะส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาล การพิจารณาคดีในศาลจะเน้นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำ "การหลอกลวง" จริง และการหลอกลวงนั้นได้ทำให้ผู้เสียหาย "หลงเชื่อ" จนนำมาซึ่งการ "ส่งมอบทรัพย์สิน" หรือ "การได้รับผลกระทบทางทรัพย์สิน" อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประชาชนควรตระหนักคือ ในหลายกรณีที่ผู้เสียหายต้องการทรัพย์สินคืน การฟ้องคดีอาญาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากคดีอาญามุ่งเน้นที่การลงโทษผู้กระทำความผิดทางกายภาพ (จำคุก) และทางการเงิน (ปรับ) เท่านั้น ดังนั้นผู้เสียหายจึงต้องใช้สิทธิทางแพ่งควบคู่กันไป โดยอาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้กระทำความผิดชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หรือแยกไปฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหากเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือค่าเสียหายคืน การดำเนินการทางแพ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับการขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการบังคับคดี การติดตามทรัพย์สินที่ถูกฉ้อโกงคืนมานั้น มักเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการโอนย้ายทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่นหรือต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการมีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่งจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้เสียหายสามารถเข้าถึงความยุติธรรมและได้รับความเสียหายชดเชยอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ท้ายที่สุดแล้ว ภัยฉ้อโกงที่แฝงตัวอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดั้งเดิมหรือรูปแบบดิจิทัลก็ตาม เป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับระบบกฎหมายไทยในการปรับตัวและตอบสนองต่อกลโกงที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง การป้องกันที่ดีที่สุดมิใช่เพียงการจับกุมและลงโทษผู้กระทำความผิดเท่านั้น แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันทางกฎหมายให้กับประชาชน การตระหนักว่ากฎหมายฉ้อโกงมิใช่แค่เรื่องของ "การหลอกลวง" แต่คือเรื่องของ "เจตนาทุจริต" ที่มุ่งหมายเอาเปรียบผู้อื่นอย่างไม่ชอบธรรม และการเข้าใจถึงสิทธิและอายุความในการดำเนินคดี เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องยึดถือไว้เสมอ หากคุณตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกง สิ่งสำคัญที่สุดคือการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง การโอนเงิน หรือการติดต่อสื่อสาร และรีบดำเนินการทางกฎหมายทันที อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนพ้นอายุความ การใช้สิทธิเรียกร้องความยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถูกต้องและรวดเร็ว จะเป็นหนทางเดียวที่จะนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการลงโทษและเปิดโอกาสในการเรียกทรัพย์สินคืนมา ซึ่งเป็นการยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจใดที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้ ความเชี่ยวชาญในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและเด็ดขาดเท่านั้น จึงจะสามารถยุติวงจรของการฉ้อโกงและฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยและความเชื่อมั่นในสังคมให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมยังคงเผชิญช่องว่างค่าจ้างเฉลี่ย 24% เมื่อเทียบกับผู้ชาย

    รายงานระบุว่า ผู้หญิงและบุคคล non-binary ในบริษัทเกมสหรัฐฯ ได้รับค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชายถึง 24% ซึ่งสูงกว่าช่องว่างค่าจ้างโดยรวมในสหรัฐฯ ที่อยู่ราว 15% ข้อมูลจากการสำรวจคนทำงานเกม 562 คนในเดือนกรกฎาคมเผยว่า สองในสามของผู้ชายที่มีประสบการณ์ 6 ปีขึ้นไปได้รับเงินเดือนมากกว่า 125,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่มีเพียง 38% ของผู้หญิงและ non-binary ที่ได้ระดับเดียวกัน

    ความรู้สึกและการรับรู้ของแรงงาน
    กว่า 60% ของผู้หญิงและ non-binary เชื่อว่าตนเองถูกจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่ควร ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจริงที่พบในรายงาน แม้ว่าโดยรวมแล้วคนทำงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยชาวอเมริกัน (142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี) แต่ความเหลื่อมล้ำทางเพศยังคงชัดเจนและต่อเนื่องthestar.com.my

    ปัญหาความเท่าเทียมและวัฒนธรรมองค์กร
    อุตสาหกรรมเกมถูกวิจารณ์มานานเรื่อง วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติทางเพศ บริษัทใหญ่เช่น Riot Games, Ubisoft และ Activision Blizzard เคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้หญิง และบางแห่งต้องจ่ายเงินชดเชยให้พนักงานที่ถูกละเมิด แม้หลายบริษัทพยายามเพิ่มจำนวนผู้หญิงในทีม แต่ปัจจุบันยังมีเพียง 25% ของแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่เป็นผู้หญิง

    แนวโน้มและความท้าทาย
    แม้รายได้เฉลี่ยของคนทำงานเกมจะสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 แต่การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาวะหดตัว การแก้ไขช่องว่างค่าจ้างและสร้างวัฒนธรรมที่เท่าเทียมจึงเป็นความท้าทายสำคัญ หากไม่ปรับปรุง อุตสาหกรรมอาจสูญเสียแรงงานที่มีศักยภาพและความหลากหลายทางความคิด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ผู้หญิงและ non-binary ได้ค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชาย 24%
    ช่องว่างนี้กว้างกว่าค่าเฉลี่ยสหรัฐฯ ที่ 15%

    ผู้ชาย 2/3 ได้เงินเดือน ≥125,000 ดอลลาร์สหรัฐ
    แต่ผู้หญิงและ non-binary มีเพียง 38% เท่านั้น

    แรงงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยอเมริกัน
    เฉลี่ย 142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

    ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมมีเพียง 25% ของแรงงานทั้งหมด
    แม้บริษัทพยายามเพิ่มจำนวน แต่ยังต่ำมาก

    ความเสี่ยงจากวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติ
    บริษัทใหญ่หลายแห่งเคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย

    การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมา
    อาจทำให้แรงงานหญิงและ non-binary เสี่ยงตกงานมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/women-in-games-industry-paid-24-less-than-men-survey-shows
    🙍‍♀️ ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมยังคงเผชิญช่องว่างค่าจ้างเฉลี่ย 24% เมื่อเทียบกับผู้ชาย รายงานระบุว่า ผู้หญิงและบุคคล non-binary ในบริษัทเกมสหรัฐฯ ได้รับค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชายถึง 24% ซึ่งสูงกว่าช่องว่างค่าจ้างโดยรวมในสหรัฐฯ ที่อยู่ราว 15% ข้อมูลจากการสำรวจคนทำงานเกม 562 คนในเดือนกรกฎาคมเผยว่า สองในสามของผู้ชายที่มีประสบการณ์ 6 ปีขึ้นไปได้รับเงินเดือนมากกว่า 125,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่มีเพียง 38% ของผู้หญิงและ non-binary ที่ได้ระดับเดียวกัน 📊 ความรู้สึกและการรับรู้ของแรงงาน กว่า 60% ของผู้หญิงและ non-binary เชื่อว่าตนเองถูกจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่ควร ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจริงที่พบในรายงาน แม้ว่าโดยรวมแล้วคนทำงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยชาวอเมริกัน (142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี) แต่ความเหลื่อมล้ำทางเพศยังคงชัดเจนและต่อเนื่องthestar.com.my ⚖️ ปัญหาความเท่าเทียมและวัฒนธรรมองค์กร อุตสาหกรรมเกมถูกวิจารณ์มานานเรื่อง วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติทางเพศ บริษัทใหญ่เช่น Riot Games, Ubisoft และ Activision Blizzard เคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้หญิง และบางแห่งต้องจ่ายเงินชดเชยให้พนักงานที่ถูกละเมิด แม้หลายบริษัทพยายามเพิ่มจำนวนผู้หญิงในทีม แต่ปัจจุบันยังมีเพียง 25% ของแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่เป็นผู้หญิง 🔮 แนวโน้มและความท้าทาย แม้รายได้เฉลี่ยของคนทำงานเกมจะสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 แต่การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาวะหดตัว การแก้ไขช่องว่างค่าจ้างและสร้างวัฒนธรรมที่เท่าเทียมจึงเป็นความท้าทายสำคัญ หากไม่ปรับปรุง อุตสาหกรรมอาจสูญเสียแรงงานที่มีศักยภาพและความหลากหลายทางความคิด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ผู้หญิงและ non-binary ได้ค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชาย 24% ➡️ ช่องว่างนี้กว้างกว่าค่าเฉลี่ยสหรัฐฯ ที่ 15% ✅ ผู้ชาย 2/3 ได้เงินเดือน ≥125,000 ดอลลาร์สหรัฐ ➡️ แต่ผู้หญิงและ non-binary มีเพียง 38% เท่านั้น ✅ แรงงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยอเมริกัน ➡️ เฉลี่ย 142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ✅ ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมมีเพียง 25% ของแรงงานทั้งหมด ➡️ แม้บริษัทพยายามเพิ่มจำนวน แต่ยังต่ำมาก ‼️ ความเสี่ยงจากวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติ ⛔ บริษัทใหญ่หลายแห่งเคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย ‼️ การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมา ⛔ อาจทำให้แรงงานหญิงและ non-binary เสี่ยงตกงานมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/women-in-games-industry-paid-24-less-than-men-survey-shows
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Women in games industry paid 24% less than men, survey shows
    Women working in the video-game industry earn 24% less than their male colleagues on average, according to a new survey – a wider gap than in the US at large that suggests the sector is still struggling to shed its male-dominated culture.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.25

    สัญญาจ้างแรงงานนั้น ถือเป็นหัวใจและรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 โดยนิยามอย่างเคร่งครัดคือ ข้อตกลงที่ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง ตกลงจะจ่ายสินจ้างหรือค่าจ้างให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง เพื่อให้ผู้รับจ้างทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ หรือทำงานรับใช้ตลอดระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งความแตกต่างอันเป็นนัยสำคัญทางกฎหมายระหว่าง "สัญญาจ้างแรงงาน" กับ "สัญญาจ้างทำของ" นั้น อยู่ที่ลักษณะของการทำงานและอำนาจในการบังคับบัญชา ในสัญญาจ้างแรงงานนั้น ลูกจ้างต้องยินยอมอยู่ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของนายจ้างอย่างใกล้ชิด ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้างในเรื่องที่เกี่ยวกับงานที่ทำ ทั้งในด้านวิธีการทำงานและเวลาทำงาน นี่คือจุดที่เกิดการผูกพันทางนิติสัมพันธ์ที่เข้มข้น และเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ลูกจ้างได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ เวลาทำงาน วันหยุด หรือสิทธิในการลา ซึ่งความคุ้มครองเหล่านี้จะไม่มีในสัญญาจ้างทำของ ดังนั้น การตีความเจตนารมณ์และลักษณะของงานที่ทำจึงมีความสำคัญยิ่งในการกำหนดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย

    เมื่อพิจารณาในมิติของกฎหมายแล้ว การเกิดขึ้นของสัญญาจ้างแรงงานไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอไป แม้ว่าโดยทางปฏิบัติจะแนะนำให้ทำเป็นหนังสือเพื่อป้องกันข้อพิพาทในภายหลังก็ตาม แต่ความสมบูรณ์ของสัญญาได้เกิดขึ้นแล้วทันทีที่มีการตกลงกันในสาระสำคัญ คือ การตกลงทำงานรับใช้และตกลงจ่ายค่าตอบแทน การที่นายจ้างมีการจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเพื่อแลกกับการทำงานตามคำสั่งนั้น ถือเป็นการสร้างภาระผูกพันทางกฎหมายที่มิอาจปฏิเสธได้ ค่าจ้างที่ตกลงจ่ายนี้ครอบคลุมถึงเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าที่จ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเป็นรายวัน รายเดือน หรือการจ่ายตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาจึงมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายนับตั้งแต่การเริ่มปฏิบัติงาน ซึ่งรวมถึงหน้าที่ของนายจ้างในการจัดสวัสดิการและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย และหน้าที่ของลูกจ้างในการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและปฏิบัติตามระเบียบของนายจ้างอย่างเคร่งครัด

    ดังนั้น การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสัญญาจ้างแรงงานคือสัญญาที่ผู้ว่าจ้างจ่ายค่าจ้างให้ผู้รับจ้างทำงานและผู้รับจ้างอยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชานั้น จึงเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ในองค์กรและการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอย่างถูกต้อง การรับรู้ถึงความแตกต่างทางกฎหมายระหว่างการ "จ้างแรงงาน" ที่เน้นความสัมพันธ์แบบผู้บังคับบัญชาลูกน้อง และการ "จ้างทำของ" ที่เน้นผลสำเร็จของงาน เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการและแรงงานทุกคนต้องตระหนัก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสิทธิและหน้าที่ของตนได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขและความเป็นธรรมในระบบแรงงานของประเทศต่อไป
    บทความกฎหมาย EP.25 สัญญาจ้างแรงงานนั้น ถือเป็นหัวใจและรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 โดยนิยามอย่างเคร่งครัดคือ ข้อตกลงที่ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง ตกลงจะจ่ายสินจ้างหรือค่าจ้างให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง เพื่อให้ผู้รับจ้างทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ หรือทำงานรับใช้ตลอดระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งความแตกต่างอันเป็นนัยสำคัญทางกฎหมายระหว่าง "สัญญาจ้างแรงงาน" กับ "สัญญาจ้างทำของ" นั้น อยู่ที่ลักษณะของการทำงานและอำนาจในการบังคับบัญชา ในสัญญาจ้างแรงงานนั้น ลูกจ้างต้องยินยอมอยู่ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของนายจ้างอย่างใกล้ชิด ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้างในเรื่องที่เกี่ยวกับงานที่ทำ ทั้งในด้านวิธีการทำงานและเวลาทำงาน นี่คือจุดที่เกิดการผูกพันทางนิติสัมพันธ์ที่เข้มข้น และเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ลูกจ้างได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ เวลาทำงาน วันหยุด หรือสิทธิในการลา ซึ่งความคุ้มครองเหล่านี้จะไม่มีในสัญญาจ้างทำของ ดังนั้น การตีความเจตนารมณ์และลักษณะของงานที่ทำจึงมีความสำคัญยิ่งในการกำหนดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย เมื่อพิจารณาในมิติของกฎหมายแล้ว การเกิดขึ้นของสัญญาจ้างแรงงานไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอไป แม้ว่าโดยทางปฏิบัติจะแนะนำให้ทำเป็นหนังสือเพื่อป้องกันข้อพิพาทในภายหลังก็ตาม แต่ความสมบูรณ์ของสัญญาได้เกิดขึ้นแล้วทันทีที่มีการตกลงกันในสาระสำคัญ คือ การตกลงทำงานรับใช้และตกลงจ่ายค่าตอบแทน การที่นายจ้างมีการจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเพื่อแลกกับการทำงานตามคำสั่งนั้น ถือเป็นการสร้างภาระผูกพันทางกฎหมายที่มิอาจปฏิเสธได้ ค่าจ้างที่ตกลงจ่ายนี้ครอบคลุมถึงเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าที่จ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเป็นรายวัน รายเดือน หรือการจ่ายตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาจึงมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายนับตั้งแต่การเริ่มปฏิบัติงาน ซึ่งรวมถึงหน้าที่ของนายจ้างในการจัดสวัสดิการและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย และหน้าที่ของลูกจ้างในการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและปฏิบัติตามระเบียบของนายจ้างอย่างเคร่งครัด ดังนั้น การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสัญญาจ้างแรงงานคือสัญญาที่ผู้ว่าจ้างจ่ายค่าจ้างให้ผู้รับจ้างทำงานและผู้รับจ้างอยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชานั้น จึงเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ในองค์กรและการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอย่างถูกต้อง การรับรู้ถึงความแตกต่างทางกฎหมายระหว่างการ "จ้างแรงงาน" ที่เน้นความสัมพันธ์แบบผู้บังคับบัญชาลูกน้อง และการ "จ้างทำของ" ที่เน้นผลสำเร็จของงาน เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการและแรงงานทุกคนต้องตระหนัก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสิทธิและหน้าที่ของตนได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขและความเป็นธรรมในระบบแรงงานของประเทศต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.23

    ในทางกฎหมาย สถานะของ "จำเลย" ถือเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการยุติธรรม เพราะจำเลยคือบุคคลผู้ซึ่งถูกยื่นฟ้องหรือถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการในศาล ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎหมายอาญา หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลตามกฎหมายแพ่ง การเป็นจำเลยจึงมิใช่คำตัดสินว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดแล้ว แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการที่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างละเอียดรอบด้านตามหลักการที่ว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์เป็นอย่างอื่น บทบาทของจำเลยภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายวิธีพิจารณาความ คือการใช้สิทธิในการแก้ต่างและนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่รับประกันความยุติธรรมและเสมอภาคในชั้นศาล การทำความเข้าใจสถานะนี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นการทำความเข้าใจรากฐานของความเที่ยงธรรมในสังคมไทย

    ความแตกต่างระหว่างจำเลยในคดีอาญาและคดีแพ่งนั้นมีความสำคัญยิ่งในทางปฏิบัติ ในคดีอาญา จำเลยต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาที่รัฐเป็นผู้ฟ้องร้องแทนประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและลงโทษผู้กระทำความผิด ผลลัพธ์ของการพิจารณาคดีอาญาอาจนำไปสู่โทษทางร่างกายหรือการจำกัดอิสรภาพ เช่น การจำคุกหรือโทษปรับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตจำเลยโดยตรง ดังนั้น กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองสิทธิจำเลยในคดีอาญาอย่างเข้มงวด เช่น สิทธิในการมีทนายความ สิทธิที่จะไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง และภาระการพิสูจน์ที่ตกอยู่แก่โจทก์อย่างหนักแน่น ขณะที่จำเลยในคดีแพ่งนั้นต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องหรือคำขอให้ปฏิบัติการตามกฎหมายจากบุคคลอื่นหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ความรับผิดตามสัญญา หรือการชดใช้ค่าเสียหาย ผลลัพธ์ของคดีแพ่งจึงเป็นเรื่องของการจัดการความสัมพันธ์ทางกฎหมายและภาระทางการเงินเป็นหลัก แม้ว่าทั้งสองกรณีจะเป็นสถานะ "จำเลย" เหมือนกัน แต่ลักษณะของข้อกล่าวหาและผลทางกฎหมายที่ตามมานั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งกำหนดวิธีการต่อสู้คดีและระดับความคุ้มครองทางกฎหมายที่จำเลยจะได้รับ

    ในท้ายที่สุด สถานะของ "จำเลย" ไม่ว่าในคดีใดก็ตาม เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นได้เข้าสู่สนามของการพิสูจน์ความจริงภายใต้ระบบกฎหมายแล้ว การที่กฎหมายกำหนดให้ทุกคนมีสิทธิในการต่อสู้คดีและมีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดของหลักนิติธรรม การรับรู้และเคารพต่อสถานะของจำเลย รวมถึงการให้เกียรติในสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างโปร่งใส เที่ยงตรง และธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมายโดยรวม
    บทความกฎหมาย EP.23 ในทางกฎหมาย สถานะของ "จำเลย" ถือเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการยุติธรรม เพราะจำเลยคือบุคคลผู้ซึ่งถูกยื่นฟ้องหรือถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการในศาล ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎหมายอาญา หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลตามกฎหมายแพ่ง การเป็นจำเลยจึงมิใช่คำตัดสินว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดแล้ว แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการที่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างละเอียดรอบด้านตามหลักการที่ว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์เป็นอย่างอื่น บทบาทของจำเลยภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายวิธีพิจารณาความ คือการใช้สิทธิในการแก้ต่างและนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่รับประกันความยุติธรรมและเสมอภาคในชั้นศาล การทำความเข้าใจสถานะนี้อย่างลึกซึ้งจึงเป็นการทำความเข้าใจรากฐานของความเที่ยงธรรมในสังคมไทย ความแตกต่างระหว่างจำเลยในคดีอาญาและคดีแพ่งนั้นมีความสำคัญยิ่งในทางปฏิบัติ ในคดีอาญา จำเลยต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาที่รัฐเป็นผู้ฟ้องร้องแทนประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและลงโทษผู้กระทำความผิด ผลลัพธ์ของการพิจารณาคดีอาญาอาจนำไปสู่โทษทางร่างกายหรือการจำกัดอิสรภาพ เช่น การจำคุกหรือโทษปรับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตจำเลยโดยตรง ดังนั้น กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองสิทธิจำเลยในคดีอาญาอย่างเข้มงวด เช่น สิทธิในการมีทนายความ สิทธิที่จะไม่ให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง และภาระการพิสูจน์ที่ตกอยู่แก่โจทก์อย่างหนักแน่น ขณะที่จำเลยในคดีแพ่งนั้นต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องหรือคำขอให้ปฏิบัติการตามกฎหมายจากบุคคลอื่นหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ความรับผิดตามสัญญา หรือการชดใช้ค่าเสียหาย ผลลัพธ์ของคดีแพ่งจึงเป็นเรื่องของการจัดการความสัมพันธ์ทางกฎหมายและภาระทางการเงินเป็นหลัก แม้ว่าทั้งสองกรณีจะเป็นสถานะ "จำเลย" เหมือนกัน แต่ลักษณะของข้อกล่าวหาและผลทางกฎหมายที่ตามมานั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งกำหนดวิธีการต่อสู้คดีและระดับความคุ้มครองทางกฎหมายที่จำเลยจะได้รับ ในท้ายที่สุด สถานะของ "จำเลย" ไม่ว่าในคดีใดก็ตาม เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นได้เข้าสู่สนามของการพิสูจน์ความจริงภายใต้ระบบกฎหมายแล้ว การที่กฎหมายกำหนดให้ทุกคนมีสิทธิในการต่อสู้คดีและมีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดของหลักนิติธรรม การรับรู้และเคารพต่อสถานะของจำเลย รวมถึงการให้เกียรติในสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างโปร่งใส เที่ยงตรง และธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมายโดยรวม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึก "ริน" : เทพีนาคาลูกผสมแห่งสายน้ำและความรู้สึก

    ต้นกำเนิดแห่งเทพีนาคา

    การถือกำเนิดระหว่างสองโลก

    ชื่อเต็ม: รินทราวดี นาคารัตนะ
    ชื่อหมายถึง:"ผู้เป็นดั่งแก้วแหวนแห่งนาคา"
    อายุ:23 ปี (ร่างกาย), 300 ปี (จิตวิญญาณ)
    สถานะ:เทพีนาคาลูกผสมระหว่างนาคาระดับสูงกับมนุษย์

    ```mermaid
    graph TB
    A[พ่อนาคา<br>ราชันแห่งแม่น้ำ] --> C[ริน<br>เทพีนาคาลูกผสม]
    B[แม่มนุษย์<br>นักดนตรีแห่งวัง] --> C
    C --> D[ถูกเลี้ยงในวังนาคา<br>แต่รู้สึกแตกต่าง]
    C --> E[มีพลังผัสสะ<br>เกินปกติ]
    ```

    ลักษณะทางกายภาพ

    · รูปร่าง: สาวงามสูง 168 ซม. ผมยาวสีดำแซมด้วยเกล็ดสีมรกต
    · ผิวพรรณ: เรียบเนียนมีเกล็ดนาคาเรียงตัวเป็นลวดลายตามแขนและหลัง
    · ดวงตา: สีเขียวคล้ายหยก เปลี่ยนสีตามอารมณ์
    · เครื่องประดับ: สวมมงกุฎเกล็ดนาคาและต่างหูทำจากไข่มุกแม่น้ำ

    พลังพิเศษแห่งสายน้ำและความรู้สึก

    พลังจากสองสายเลือด

    ```python
    class RinPowers:
    def __init__(self):
    self.naga_heritage = {
    "water_control": "ควบคุมและสร้างรูปน้ำได้",
    "weather_influence": "สภาพอากาศรอบตัว",
    "serpent_communication": "สื่อสารกับสัตว์เลื้อยคลาน",
    "underwater_breathing": "หายใจใต้น้ำได้"
    }

    self.human_heritage = {
    "emotional_empathy": "รับรู้อารมณ์ผู้คนผ่านน้ำ",
    "artistic_talent": "ความสามารถด้านดนตรีและศิลปะ",
    "cultural_bridge": "เข้าใจทั้งวัฒนธรรมมนุษย์และนาคา",
    "adaptive_nature": "ปรับตัวได้ดีในทุกสภาพแวดล้อม"
    }

    self.unique_hybrid_powers = {
    "liquid_memory": "เก็บความทรงจำในน้ำและเรียกคืนได้",
    "emotional_hydration": "ดูดซับอารมณ์ผ่านความชื้น",
    "tear_divination": "ทำนายอนาคตผ่านน้ำตา",
    "river_empathy": "รับรู้ความรู้สึกของแม่น้ำ"
    }
    ```

    พลังผัสสะพิเศษ

    รินมีความสามารถรับรู้ผัสสะที่ละเอียดอ่อนผิดไปจากมนุษย์

    · สัมผัสน้ำ: รู้ประวัติและอารมณ์ที่ผูกกับน้ำนั้น
    · รับรู้อารมณ์: ผ่านความชื้นในอากาศ
    · สื่อสาร: ผ่านคลื่นเสียงในน้ำ

    ชีวิตในวังนาคาและโลกมนุษย์

    การเติบโตในวังนาคา

    รินถูกเลี้ยงดูในวังนาคาใต้แม่น้ำโขง:

    · การศึกษาศิลปะ: จากแม่มนุษย์
    · การฝึกพลัง: จากพ่อนาคา
    · ความโดดเดี่ยว: เพราะเป็นลูกผสม

    การมาโลกมนุษย์

    เมื่ออายุ 100 ปี รินขอมาอยู่โลกมนุษย์:

    · เหตุผล: ต้องการเข้าใจด้านมนุษย์ของตัวเอง
    · อาชีพ: เปิดโรงเรียนสอนดนตรีใกล้แม่น้ำ
    · การปกปิด: ซ่อนพลังและเกล็ดนาคาเมื่ออยู่กับมนุษย์

    บันทึกความในใจ

    "บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนปลาสองน้ำ...
    อยู่ในวังนาคาก็คิดถึงโลกมนุษย์
    อยู่ในโลกมนุษย์ก็คิดถึงวังนาคา

    ไม่รู้ว่าบ้านที่แท้จริงอยู่ที่ไหน..."

    ความสามารถด้านดนตรีและศิลปะ

    ดนตรีแห่งสายน้ำ

    รินพัฒนาดนตรีรูปแบบใหม่:

    · เครื่องดนตรี: พิณน้ำที่สร้างจากพลังงาน
    · บทเพลง: ที่สื่ออารมณ์ผ่านคลื่นน้ำ
    · การแสดง: ร่วมกับเสียงน้ำและธรรมชาติ

    ศิลปะจากผัสสะ

    ```mermaid
    graph LR
    A[อารมณ์ของริน] --> B[แปลงเป็น<br>ศิลปะน้ำ]
    C[ความรู้สึกจากผู้อื่น] --> D[รินรับรู้<br>ผ่านความชื้น]
    B --> E[สร้างเป็น<br>ผลงานศิลปะ]
    D --> E
    ```

    ผลงานเด่น

    · "สายน้ำแห่งความทรงจำ": บทเพลงที่บอกเล่าประวัติศาสตร์แม่น้ำโขง
    · "เกล็ดแห่งกาลเวลา": ประติมากรรมน้ำที่เปลี่ยนรูปตามอารมณ์
    · "น้ำตาของนาคา": การแสดงที่รวมดนตรีและศิลปะน้ำ

    ความสัมพันธ์กับนาคาริน

    การพบกันครั้งแรก

    รินพบนาคารินเมื่อเขามาหลบภัยที่โรงเรียนดนตรีของเธอ:
    "เขาเข้ามาพร้อมกับสายฝน...
    และฉันรู้สึกถึงความเจ็บปวดในผัสสะของเขาทันที"

    การช่วยเหลือนาคาริน

    รินใช้ความสามารถพิเศษช่วยนาคาริน:

    · บำบัดด้วยดนตรี: ใช้เสียงดนตรีปรับสมดุลผัสสะ
    · ศิลปะน้ำ: ช่วยเขาควบคุมพลังผัสสะ
    · ความเข้าใจ: ในฐานะลูกผสมด้วยกัน

    การพัฒนาความสัมพันธ์

    จากเพื่อนร่วมชะตากรรม สู่ความรัก:
    "เราสอนกันและกัน...
    เขาสอนฉันเรื่องความเข้มแข็ง
    ฉันสอนเขาเรื่องความอ่อนโยน

    และเราพบว่าการเป็นลูกผสม...
    สามารถเป็นความงามได้ไม่ใช่ความอับอาย"

    การเป็นสะพานระหว่างสองโลก

    บทบาททางการ

    รินได้รับแต่งตั้งเป็น:

    · ทูตสันถวไมตรี ระหว่างวังนาคาและมนุษย์
    · ที่ปรึกษาด้านศิลปะ ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ผู้รักษาประเพณี ดนตรีและศิลปะนาคา

    โครงการสำคัญ

    ```python
    class RinProjects:
    def __init__(self):
    self.cultural_projects = {
    "naga_human_cultural_exchange": "แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างนาคาและมนุษย์",
    "river_conservation_through_art": "อนุรักษ์แม่น้ำผ่านศิลปะ",
    "hybrid_community_support": "สนับสนุนชุมชนลูกผสม",
    "sensory_art_therapy": "ศิลปะบำบัดสำหรับผู้มีพลังผัสสะพิเศษ"
    }

    self.collaborations = [
    "นาคาริน: ศูนย์บำบัดพลังผัสสะ",
    "หนูดี: การใช้พลังงานในศิลปะ",
    "เณรพุทธ: ศิลปะแห่งจิตวิญญาณ",
    "นิทรา: ศิลปะจากอารมณ์"
    ]
    ```

    การบำบัดและเยียวยา

    ดนตรีบำบัดแห่งสายน้ำ

    รินพัฒนาวิธีการบำบัดใหม่:

    · เสียงน้ำบำบัด: ใช้เสียงน้ำรักษาจิตใจ
    · ดนตรีปรับผัสสะ: ช่วยผู้มีปัญหาการรับรู้
    · ศิลปะน้ำระบายอารมณ์: ใช้น้ำเป็นสื่อแสดงอารมณ์

    เทคนิคเฉพาะตัว

    ```python
    class HealingTechniques:
    def __init__(self):
    self.water_based = [
    "การฟังเสียงน้ำเพื่อสมาธิ",
    "การใช้การไหลของน้ำเป็นแบบอย่างการปล่อยวาง",
    "การวาดรูปด้วยน้ำบนแผ่นหินร้อน",
    "การสร้างท่วงทำนองจากเสียงน้ำ"
    ]

    self.sensory_balance = [
    "การปรับสมดุลผัสสะด้วยอุณหภูมิน้ำ",
    "การใช้ลวดลายน้ำเป็นเครื่องมือFocus",
    "การสร้างจังหวะจากคลื่นน้ำ",
    "การใช้แสงผ่านน้ำสร้างบรรยากาศ"
    ]
    ```

    ปรัชญาและคำสอน

    🪷 คำคมแห่งสายน้ำ

    "ชีวิตดุจสายน้ำ...
    บางครั้งต้องไหลเชี่ยว บางครั้งต้องไหลเอื่อย
    แต่สิ่งที่สำคัญคือการไหลไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

    และเหมือนน้ำที่ปรับรูปตามภาชนะ...
    เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวตามสถานการณ์"

    บทเรียนการเป็นลูกผสม

    รินสอนว่า:

    · ความแตกต่าง คือความงามที่ไม่ซ้ำใคร
    · การเป็นสะพาน ระหว่างสองโลกคือเกียรติยศ
    · การเข้าใจทั้งสองฝั่ง ทำให้เรามีมุมมองที่กว้างไกล

    บทสรุปแห่งการเป็นตัวตนที่สมบูรณ์

    การยอมรับตัวเอง

    รินค้นพบในที่สุดว่า:
    "ฉันไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างนาคาหรือมนุษย์...
    เพราะฉันคือทั้งสองอย่าง

    และพลังลูกผสมของฉัน...
    คือของขวัญที่让我เข้าใจโลกได้ลึกซึ้งกว่าใครๆ"

    ความหมายแห่งการมีอยู่

    จากผู้ที่เคย...

    · รู้สึกไม่พอใจ กับความเป็นลูกผสม
    · พยายามปิดบัง ด้านใดด้านหนึ่งของตัวเอง
    · รู้สึกโดดเดี่ยว ระหว่างสองโลก

    กลายเป็นผู้ที่...

    · ภาคภูมิใจ ในความเป็นลูกผสม
    · ใช้ทั้งสองด้าน ช่วยเหลือผู้อื่น
    · เป็นสะพาน เชื่อมต่อระหว่างโลก

    ---

    คำคมสุดท้ายจากริน:
    "ฉันเคยคิดว่าต้องหาที่อยู่ที่ใช่...
    แต่ความจริงคือที่อยู่ที่แท้จริง不是สถานที่
    แต่คือหัวใจที่ยอมรับตัวเอง

    และเมื่อฉันยอมรับว่าฉันคือทั้งนาคาและมนุษย์...
    ฉันก็พบว่าทั้งสองโลกคือบ้านของฉัน

    บ้านที่ไม่ใช่สถานที่...
    แต่คือความเข้าใจที่ว่าทุกชีวิตล้วนเชื่อมโยงกัน
    ดุจสายน้ำที่ไหลมาบรรจบกัน"

    การเดินทางของรินสอนเราว่า...
    "In embracing all parts of ourselves,
    we find our true strength
    And in flowing between worlds,
    we discover that home is not a place,
    but a state of being"
    O.P.K. 🐍 เจาะลึก "ริน" : เทพีนาคาลูกผสมแห่งสายน้ำและความรู้สึก 🌊 ต้นกำเนิดแห่งเทพีนาคา 👑 การถือกำเนิดระหว่างสองโลก ชื่อเต็ม: รินทราวดี นาคารัตนะ ชื่อหมายถึง:"ผู้เป็นดั่งแก้วแหวนแห่งนาคา" อายุ:23 ปี (ร่างกาย), 300 ปี (จิตวิญญาณ) สถานะ:เทพีนาคาลูกผสมระหว่างนาคาระดับสูงกับมนุษย์ ```mermaid graph TB A[พ่อนาคา<br>ราชันแห่งแม่น้ำ] --> C[ริน<br>เทพีนาคาลูกผสม] B[แม่มนุษย์<br>นักดนตรีแห่งวัง] --> C C --> D[ถูกเลี้ยงในวังนาคา<br>แต่รู้สึกแตกต่าง] C --> E[มีพลังผัสสะ<br>เกินปกติ] ``` 🎭 ลักษณะทางกายภาพ · รูปร่าง: สาวงามสูง 168 ซม. ผมยาวสีดำแซมด้วยเกล็ดสีมรกต · ผิวพรรณ: เรียบเนียนมีเกล็ดนาคาเรียงตัวเป็นลวดลายตามแขนและหลัง · ดวงตา: สีเขียวคล้ายหยก เปลี่ยนสีตามอารมณ์ · เครื่องประดับ: สวมมงกุฎเกล็ดนาคาและต่างหูทำจากไข่มุกแม่น้ำ 🔮 พลังพิเศษแห่งสายน้ำและความรู้สึก 💫 พลังจากสองสายเลือด ```python class RinPowers: def __init__(self): self.naga_heritage = { "water_control": "ควบคุมและสร้างรูปน้ำได้", "weather_influence": "สภาพอากาศรอบตัว", "serpent_communication": "สื่อสารกับสัตว์เลื้อยคลาน", "underwater_breathing": "หายใจใต้น้ำได้" } self.human_heritage = { "emotional_empathy": "รับรู้อารมณ์ผู้คนผ่านน้ำ", "artistic_talent": "ความสามารถด้านดนตรีและศิลปะ", "cultural_bridge": "เข้าใจทั้งวัฒนธรรมมนุษย์และนาคา", "adaptive_nature": "ปรับตัวได้ดีในทุกสภาพแวดล้อม" } self.unique_hybrid_powers = { "liquid_memory": "เก็บความทรงจำในน้ำและเรียกคืนได้", "emotional_hydration": "ดูดซับอารมณ์ผ่านความชื้น", "tear_divination": "ทำนายอนาคตผ่านน้ำตา", "river_empathy": "รับรู้ความรู้สึกของแม่น้ำ" } ``` 🌧️ พลังผัสสะพิเศษ รินมีความสามารถรับรู้ผัสสะที่ละเอียดอ่อนผิดไปจากมนุษย์ · สัมผัสน้ำ: รู้ประวัติและอารมณ์ที่ผูกกับน้ำนั้น · รับรู้อารมณ์: ผ่านความชื้นในอากาศ · สื่อสาร: ผ่านคลื่นเสียงในน้ำ 💔 ชีวิตในวังนาคาและโลกมนุษย์ 🏰 การเติบโตในวังนาคา รินถูกเลี้ยงดูในวังนาคาใต้แม่น้ำโขง: · การศึกษาศิลปะ: จากแม่มนุษย์ · การฝึกพลัง: จากพ่อนาคา · ความโดดเดี่ยว: เพราะเป็นลูกผสม 🌍 การมาโลกมนุษย์ เมื่ออายุ 100 ปี รินขอมาอยู่โลกมนุษย์: · เหตุผล: ต้องการเข้าใจด้านมนุษย์ของตัวเอง · อาชีพ: เปิดโรงเรียนสอนดนตรีใกล้แม่น้ำ · การปกปิด: ซ่อนพลังและเกล็ดนาคาเมื่ออยู่กับมนุษย์ 📚 บันทึกความในใจ "บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนปลาสองน้ำ... อยู่ในวังนาคาก็คิดถึงโลกมนุษย์ อยู่ในโลกมนุษย์ก็คิดถึงวังนาคา ไม่รู้ว่าบ้านที่แท้จริงอยู่ที่ไหน..." 🎵 ความสามารถด้านดนตรีและศิลปะ 🎻 ดนตรีแห่งสายน้ำ รินพัฒนาดนตรีรูปแบบใหม่: · เครื่องดนตรี: พิณน้ำที่สร้างจากพลังงาน · บทเพลง: ที่สื่ออารมณ์ผ่านคลื่นน้ำ · การแสดง: ร่วมกับเสียงน้ำและธรรมชาติ 🎨 ศิลปะจากผัสสะ ```mermaid graph LR A[อารมณ์ของริน] --> B[แปลงเป็น<br>ศิลปะน้ำ] C[ความรู้สึกจากผู้อื่น] --> D[รินรับรู้<br>ผ่านความชื้น] B --> E[สร้างเป็น<br>ผลงานศิลปะ] D --> E ``` 🏆 ผลงานเด่น · "สายน้ำแห่งความทรงจำ": บทเพลงที่บอกเล่าประวัติศาสตร์แม่น้ำโขง · "เกล็ดแห่งกาลเวลา": ประติมากรรมน้ำที่เปลี่ยนรูปตามอารมณ์ · "น้ำตาของนาคา": การแสดงที่รวมดนตรีและศิลปะน้ำ 💞 ความสัมพันธ์กับนาคาริน 🌸 การพบกันครั้งแรก รินพบนาคารินเมื่อเขามาหลบภัยที่โรงเรียนดนตรีของเธอ: "เขาเข้ามาพร้อมกับสายฝน... และฉันรู้สึกถึงความเจ็บปวดในผัสสะของเขาทันที" 🕊️ การช่วยเหลือนาคาริน รินใช้ความสามารถพิเศษช่วยนาคาริน: · บำบัดด้วยดนตรี: ใช้เสียงดนตรีปรับสมดุลผัสสะ · ศิลปะน้ำ: ช่วยเขาควบคุมพลังผัสสะ · ความเข้าใจ: ในฐานะลูกผสมด้วยกัน 💫 การพัฒนาความสัมพันธ์ จากเพื่อนร่วมชะตากรรม สู่ความรัก: "เราสอนกันและกัน... เขาสอนฉันเรื่องความเข้มแข็ง ฉันสอนเขาเรื่องความอ่อนโยน และเราพบว่าการเป็นลูกผสม... สามารถเป็นความงามได้ไม่ใช่ความอับอาย" 🌈 การเป็นสะพานระหว่างสองโลก 🏛️ บทบาททางการ รินได้รับแต่งตั้งเป็น: · ทูตสันถวไมตรี ระหว่างวังนาคาและมนุษย์ · ที่ปรึกษาด้านศิลปะ ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ผู้รักษาประเพณี ดนตรีและศิลปะนาคา 🌍 โครงการสำคัญ ```python class RinProjects: def __init__(self): self.cultural_projects = { "naga_human_cultural_exchange": "แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างนาคาและมนุษย์", "river_conservation_through_art": "อนุรักษ์แม่น้ำผ่านศิลปะ", "hybrid_community_support": "สนับสนุนชุมชนลูกผสม", "sensory_art_therapy": "ศิลปะบำบัดสำหรับผู้มีพลังผัสสะพิเศษ" } self.collaborations = [ "นาคาริน: ศูนย์บำบัดพลังผัสสะ", "หนูดี: การใช้พลังงานในศิลปะ", "เณรพุทธ: ศิลปะแห่งจิตวิญญาณ", "นิทรา: ศิลปะจากอารมณ์" ] ``` 🏥 การบำบัดและเยียวยา 🎵 ดนตรีบำบัดแห่งสายน้ำ รินพัฒนาวิธีการบำบัดใหม่: · เสียงน้ำบำบัด: ใช้เสียงน้ำรักษาจิตใจ · ดนตรีปรับผัสสะ: ช่วยผู้มีปัญหาการรับรู้ · ศิลปะน้ำระบายอารมณ์: ใช้น้ำเป็นสื่อแสดงอารมณ์ 💧 เทคนิคเฉพาะตัว ```python class HealingTechniques: def __init__(self): self.water_based = [ "การฟังเสียงน้ำเพื่อสมาธิ", "การใช้การไหลของน้ำเป็นแบบอย่างการปล่อยวาง", "การวาดรูปด้วยน้ำบนแผ่นหินร้อน", "การสร้างท่วงทำนองจากเสียงน้ำ" ] self.sensory_balance = [ "การปรับสมดุลผัสสะด้วยอุณหภูมิน้ำ", "การใช้ลวดลายน้ำเป็นเครื่องมือFocus", "การสร้างจังหวะจากคลื่นน้ำ", "การใช้แสงผ่านน้ำสร้างบรรยากาศ" ] ``` 📚 ปรัชญาและคำสอน 🪷 คำคมแห่งสายน้ำ "ชีวิตดุจสายน้ำ... บางครั้งต้องไหลเชี่ยว บางครั้งต้องไหลเอื่อย แต่สิ่งที่สำคัญคือการไหลไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และเหมือนน้ำที่ปรับรูปตามภาชนะ... เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวตามสถานการณ์" 🌟 บทเรียนการเป็นลูกผสม รินสอนว่า: · ความแตกต่าง คือความงามที่ไม่ซ้ำใคร · การเป็นสะพาน ระหว่างสองโลกคือเกียรติยศ · การเข้าใจทั้งสองฝั่ง ทำให้เรามีมุมมองที่กว้างไกล 🏁 บทสรุปแห่งการเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ 💝 การยอมรับตัวเอง รินค้นพบในที่สุดว่า: "ฉันไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างนาคาหรือมนุษย์... เพราะฉันคือทั้งสองอย่าง และพลังลูกผสมของฉัน... คือของขวัญที่让我เข้าใจโลกได้ลึกซึ้งกว่าใครๆ" 🌈 ความหมายแห่งการมีอยู่ จากผู้ที่เคย... · รู้สึกไม่พอใจ กับความเป็นลูกผสม · พยายามปิดบัง ด้านใดด้านหนึ่งของตัวเอง · รู้สึกโดดเดี่ยว ระหว่างสองโลก กลายเป็นผู้ที่... · ภาคภูมิใจ ในความเป็นลูกผสม · ใช้ทั้งสองด้าน ช่วยเหลือผู้อื่น · เป็นสะพาน เชื่อมต่อระหว่างโลก --- คำคมสุดท้ายจากริน: "ฉันเคยคิดว่าต้องหาที่อยู่ที่ใช่... แต่ความจริงคือที่อยู่ที่แท้จริง不是สถานที่ แต่คือหัวใจที่ยอมรับตัวเอง และเมื่อฉันยอมรับว่าฉันคือทั้งนาคาและมนุษย์... ฉันก็พบว่าทั้งสองโลกคือบ้านของฉัน บ้านที่ไม่ใช่สถานที่... แต่คือความเข้าใจที่ว่าทุกชีวิตล้วนเชื่อมโยงกัน ดุจสายน้ำที่ไหลมาบรรจบกัน"🌊✨ การเดินทางของรินสอนเราว่า... "In embracing all parts of ourselves, we find our true strength And in flowing between worlds, we discover that home is not a place, but a state of being"🐍🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีแห่งผัสสะ: เทพลูกผสมนาคาผู้สิ้นสุดความรู้สึก

    การปรากฏตัวของเทพนาคาผู้สูญเสีย

    เหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านริมน้ำ

    ที่หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อ นาคาริน เทพลูกผสมนาคาปรากฏตัวด้วยสภาพพิการทางผัสสะ

    ```mermaid
    graph TB
    A[นาคาริน<br>เทพลูกผสมนาคา] --> B[สูญเสีย<br>การรับรู้ทางผัสสะ]
    B --> C[พลังผัสสะ<br>รั่วไหลไม่เป็นระเบียบ]
    C --> D[ส่งผลกระทบ<br>ต่อหมู่บ้านโดยรอบ]
    D --> E[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ]
    ```

    ลักษณะของนาคาริน

    · รูปร่าง: ชายหนุ่มร่างสูง มีเกล็ดนาคาแทรกตามผิว
    · ดวงตา: สีเขียวเรืองรองเหมือนหินงาม
    · พลัง: มีพลังควบคุมผัสสะทั้งห้าแต่กำลังรั่วไหล

    การสืบสวนเบื้องต้น

    ผลกระทบต่อหมู่บ้าน

    ร.ต.อ. สิงห์ พบว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบแปลกๆ:

    · สัมผัส: รู้สึกเย็นยะเยือกหรือร้อนระอุโดยไม่มีเหตุผล
    · รสชาติ: อาหารรสเปลี่ยนไปชั่วคราว
    · กลิ่น: ได้กลิ่นประหลาดโดยไม่อาจหาต้นตอ

    การวิเคราะห์ของหนูดี

    หนูดีรู้สึกถึงพลังงานพิเศษทันที:
    "พ่อคะ...นี้ไม่ใช่พลังงานร้าย
    แต่คือพลังผัสสะที่กำลังทุกข์ทรมาน
    เหมือนดนตรีที่ขาดการควบคุม"

    เบื้องหลังนาคาริน

    ต้นกำเนิดแห่งเทพลูกผสม

    นาคารินคือลูกผสมระหว่าง:

    · พ่อ: เทพนาคาแห่งแม่น้ำโขง
    · แม่: มนุษย์หญิงผู้มีความสามารถทางศิลปะ

    ```python
    class NakarinBackground:
    def __init__(self):
    self.heritage = {
    "naga_father": "เทพนาคาผู้รักษาพลังผัสสะ",
    "human_mother": "ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสัมผัส",
    "hybrid_nature": "ได้รับพลังผัสสะเหนือมนุษย์แต่ควบคุมยาก"
    }

    self.abilities = {
    "touch_control": "ควบคุมการรับรู้ทางสัมผัส",
    "taste_manipulation": "เปลี่ยนแปลงรสชาติได้",
    "sight_enhancement": "การมองเห็นเหนือสามัญ",
    "hearing_sensitivity": "การได้ยินที่ละเอียดอ่อน",
    "smell_mastery": "การดมกลิ่นที่ทรงพลัง"
    }
    ```

    เหตุการณ์ที่ทำให้พลังรั่วไหล

    นาคารินประสบอุบัติเหตุทางอารมณ์:

    · ถูกปฏิเสธ จากทั้งเผ่านาคาและมนุษย์
    · รู้สึกโดดเดี่ยว กับพลังที่ไม่มีใครเข้าใจ
    · พยายามปิดกั้น ผัสสะของตัวเองจนพลังรั่ว

    ปัญหาที่เกิดขึ้น

    ผลกระทบของพลังรั่วไหล

    พลังผัสสะของนาคารินส่งผลต่อสิ่งรอบข้าง:

    ```mermaid
    graph LR
    A[พลังสัมผัสรั่วไหล] --> B[วัตถุรู้สึก<br>เย็นหรือร้อนผิดปกติ]
    C[พลังรสชาตirรั่วไหล] --> D[อาหารมีรส<br>เปลี่ยนแปลง]
    E[พลังการได้ยินรั่วไหล] --> F[ได้ยินเสียง<br>ความถี่แปลกๆ]
    ```

    ความทุกข์ทรมานของนาคาริน

    นาคารินบันทึกความในใจ:
    "ทุกสัมผัสเหมือนมีดกรีดผิว...
    ทุกรสชาติเหมือนยาพิษ...
    ทุกกลิ่นเหมือนอากาศเป็นพิษ

    ฉันอยากหนีจากร่างกายของตัวเอง
    แต่จะหนีไปได้ที่ไหน?"

    กระบวนการช่วยเหลือ

    การเข้าถึงของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถพิเศษสื่อสารกับนาคาริน:
    "เราเข้าใจว่าคุณเจ็บปวด...
    แต่การปิดกั้นผัสสะไม่ใช่คำตอบ
    การเรียนรู้ที่จะควบคุมต่างหากคือทางออก"

    เทคนิคการควบคุมพลัง

    ```python
    class SensoryControlTechniques:
    def __init__(self):
    self.meditation = [
    "การหายใจรับรู้ผัสสะอย่างมีสติ",
    "การแยกแยะผัสสะภายในและภายนอก",
    "การสร้างขอบเขตพลังงานผัสสะ",
    "การปล่อยผัสสะที่ไม่จำเป็น"
    ]

    self.practical = [
    "การใช้ศิลปะเป็นช่องทางปล่อยพลัง",
    "การสร้างวัตถุดูดซับพลังผัสสะส่วนเกิน",
    "การฝึกFocusผัสสะทีละอย่าง",
    "การเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ผัสสะ"
    ]
    ```

    การบำบัดด้วยศิลปะ

    หนูดีแนะนำให้นาคารินใช้ศิลปะช่วยบำบัด:

    · ประติมากรรม: ใช้พลังสัมผัสสร้างงานศิลปะ
    · การทำอาหาร: ใช้พลังรสชาติสร้างอาหารบำบัด Oganic food
    · ดนตรี: ใช้พลังการได้ยินสร้างบทเพลง
    ดีด สีตีเป่าเขย่า เคาะ
    การฟื้นฟูสมดุล

    การพัฒนาความสามารถใหม่

    นาคารินเรียนรู้ที่จะใช้พลังอย่างสร้างสรรค์:

    · การวินิจฉัยโรค: ใช้พลังสัมผัสตรวจหาร่างกาย
    · การบำบัดรสชาติ: ช่วยผู้ที่มีปัญหาการรับรส
    · ศิลปะเพื่อการบำบัด: สร้างงานศิลปะที่เยียวยาผัสสะ

    การกลับสู่สังคม

    ```mermaid
    graph TB
    A[นาคาริน<br>เริ่มควบคุมพลังได้] --> B[พลังหยุด<br>รั่วไหล]
    B --> C[ชาวบ้าน<br>กลับมาใช้ชีวิตปกติ]
    C --> D[นาคาริน<br>ได้รับบทบาทใหม่]
    D --> E[เป็นผู้เชี่ยวชาญ<br>ด้านผัสสะบำบัด]
    ```

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด

    นาคารินได้รับตำแหน่งเป็น:

    · ที่ปรึกษาด้านประสาทสัมผัส ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ครูสอนศิลปะบำบัด สำหรับผู้มีพลังพิเศษ
    · ผู้พัฒนาวิธีการ ควบคุมพลังผัสสะ

    โครงการเพื่อสังคม

    ```python
    class SensoryProjects:
    def __init__(self):
    self.initiatives = {
    "sensory_therapy_center": "ศูนย์บำบัดด้วยผัสสะสำหรับผู้ไฮเปอร์เซนซิทีฟ",
    "art_for_sensory_balance": "ศิลปะเพื่อสร้างสมดุลทางการรับรู้",
    "sensory_education": "การศึกษาเกี่ยวกับผัสสะสำหรับเด็กพิเศษ",
    "cultural_preservation": "อนุรักษณ์ศิลปะการรับรู้แบบดั้งเดิม"
    }

    self.collaborations = [
    "หนูดี: พัฒนาการรับรู้พลังงานผ่านผัสสะ",
    "เณรพุทธ: ศิลปะการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ",
    "นิทรา: ศิลปะแห่งอารมณ์และผัสสะ",
    "อสูรเฒ่า: ภาษาบูรพากับการรับรู้"
    ]
    ```

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับนาคาริน

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    การเป็นลูกผสมหาใช่ข้อบกพร่อง
    แต่คือความสามารถพิเศษอีกแบบ

    และการมีผัสสะที่ละเอียดอ่อน...
    คือของขวัญที่ไม่ใช่คำสาป"

    สำหรับหนูดี

    "หนูเข้าใจแล้วว่า...
    ทุกพลังมีทั้งด้านสร้างสรรค์และทำลาย
    ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้อย่างไร

    และการช่วยเหลือที่แท้จริง
    คือการช่วยให้เขาค้นพบวิธีใช้พลังของตัวเอง"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้งปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เห็น
    แต่คือสิ่งที่สัมผัส

    และความเข้าใจในความรู้สึก...
    สำคัญไม่น้อยกว่าความเข้าใจในเหตุผล"

    ผลกระทบเชิงบวก

    ความสำเร็จของนาคาริน

    หลังจากเหตุการณ์:

    · นาคาริน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด
    · หมู่บ้าน ได้รับการพัฒนาด้านศิลปะและการบำบัด
    · สถาบัน มีหลักสูตรเกี่ยวกับการควบคุมพลังผัสสะ

    การค้นพบตัวเอง

    นาคารินกล่าวในที่สุด:
    "ฉันเคยคิดว่าต้องเลือกระหว่างเป็นนาคาหรือมนุษย์...
    แต่ความจริงคือฉันสามารถเป็นทั้งสองอย่าง

    และพลังผัสสะที่เคยทำร้ายฉัน...
    ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือช่วยเหลือผู้คน

    บทสรุปแห่งการเข้าใจ

    คำคมจากนาคาริน

    "ผัสสะคือภาษาแรกของจิตวิญญาณ...
    ก่อนจะมีคำพูด ก่อนจะมีความคิด
    เรารู้สึกก่อนเสมอ

    และการเรียนรู้ภาษาของผัสสะ...
    คือการเรียนรู้ภาษาของตัวเอง"

    ความสัมพันธ์ใหม่

    นาคารินพบว่าสามารถ:

    · เชื่อมต่อ กับผู้อื่นผ่านผัสสะ
    · เข้าใจ ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูด
    · ช่วยเหลือ ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผัสสะเช่นเขา

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "เราทุกคนล้วนเป็นเทพลูกผสม...
    ผสมระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ
    ระหว่างผัสสะและความหมาย

    และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของผัสสะ...
    เราก็เรียนรู้ที่จะฟังเสียงของหัวใจ"

    การเดินทางของนาคารินสอนเราว่า...
    "The most profound truths are not seen or heard,
    but felt with the heart's own senses
    And in learning to master our senses,
    we learn to master ourselves"
    O.P.K. 🐍 คดีแห่งผัสสะ: เทพลูกผสมนาคาผู้สิ้นสุดความรู้สึก 🌊 การปรากฏตัวของเทพนาคาผู้สูญเสีย 🏮 เหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านริมน้ำ ที่หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อ นาคาริน เทพลูกผสมนาคาปรากฏตัวด้วยสภาพพิการทางผัสสะ ```mermaid graph TB A[นาคาริน<br>เทพลูกผสมนาคา] --> B[สูญเสีย<br>การรับรู้ทางผัสสะ] B --> C[พลังผัสสะ<br>รั่วไหลไม่เป็นระเบียบ] C --> D[ส่งผลกระทบ<br>ต่อหมู่บ้านโดยรอบ] D --> E[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ] ``` 🎭 ลักษณะของนาคาริน · รูปร่าง: ชายหนุ่มร่างสูง มีเกล็ดนาคาแทรกตามผิว · ดวงตา: สีเขียวเรืองรองเหมือนหินงาม · พลัง: มีพลังควบคุมผัสสะทั้งห้าแต่กำลังรั่วไหล 🔍 การสืบสวนเบื้องต้น 🕵️ ผลกระทบต่อหมู่บ้าน ร.ต.อ. สิงห์ พบว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบแปลกๆ: · สัมผัส: รู้สึกเย็นยะเยือกหรือร้อนระอุโดยไม่มีเหตุผล · รสชาติ: อาหารรสเปลี่ยนไปชั่วคราว · กลิ่น: ได้กลิ่นประหลาดโดยไม่อาจหาต้นตอ 💫 การวิเคราะห์ของหนูดี หนูดีรู้สึกถึงพลังงานพิเศษทันที: "พ่อคะ...นี้ไม่ใช่พลังงานร้าย แต่คือพลังผัสสะที่กำลังทุกข์ทรมาน เหมือนดนตรีที่ขาดการควบคุม" 🐉 เบื้องหลังนาคาริน 🌌 ต้นกำเนิดแห่งเทพลูกผสม นาคารินคือลูกผสมระหว่าง: · พ่อ: เทพนาคาแห่งแม่น้ำโขง · แม่: มนุษย์หญิงผู้มีความสามารถทางศิลปะ ```python class NakarinBackground: def __init__(self): self.heritage = { "naga_father": "เทพนาคาผู้รักษาพลังผัสสะ", "human_mother": "ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสัมผัส", "hybrid_nature": "ได้รับพลังผัสสะเหนือมนุษย์แต่ควบคุมยาก" } self.abilities = { "touch_control": "ควบคุมการรับรู้ทางสัมผัส", "taste_manipulation": "เปลี่ยนแปลงรสชาติได้", "sight_enhancement": "การมองเห็นเหนือสามัญ", "hearing_sensitivity": "การได้ยินที่ละเอียดอ่อน", "smell_mastery": "การดมกลิ่นที่ทรงพลัง" } ``` 💔 เหตุการณ์ที่ทำให้พลังรั่วไหล นาคารินประสบอุบัติเหตุทางอารมณ์: · ถูกปฏิเสธ จากทั้งเผ่านาคาและมนุษย์ · รู้สึกโดดเดี่ยว กับพลังที่ไม่มีใครเข้าใจ · พยายามปิดกั้น ผัสสะของตัวเองจนพลังรั่ว 🌪️ ปัญหาที่เกิดขึ้น 🎯 ผลกระทบของพลังรั่วไหล พลังผัสสะของนาคารินส่งผลต่อสิ่งรอบข้าง: ```mermaid graph LR A[พลังสัมผัสรั่วไหล] --> B[วัตถุรู้สึก<br>เย็นหรือร้อนผิดปกติ] C[พลังรสชาตirรั่วไหล] --> D[อาหารมีรส<br>เปลี่ยนแปลง] E[พลังการได้ยินรั่วไหล] --> F[ได้ยินเสียง<br>ความถี่แปลกๆ] ``` 😵 ความทุกข์ทรมานของนาคาริน นาคารินบันทึกความในใจ: "ทุกสัมผัสเหมือนมีดกรีดผิว... ทุกรสชาติเหมือนยาพิษ... ทุกกลิ่นเหมือนอากาศเป็นพิษ ฉันอยากหนีจากร่างกายของตัวเอง แต่จะหนีไปได้ที่ไหน?" 💞 กระบวนการช่วยเหลือ 🕊️ การเข้าถึงของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถพิเศษสื่อสารกับนาคาริน: "เราเข้าใจว่าคุณเจ็บปวด... แต่การปิดกั้นผัสสะไม่ใช่คำตอบ การเรียนรู้ที่จะควบคุมต่างหากคือทางออก" 🌈 เทคนิคการควบคุมพลัง ```python class SensoryControlTechniques: def __init__(self): self.meditation = [ "การหายใจรับรู้ผัสสะอย่างมีสติ", "การแยกแยะผัสสะภายในและภายนอก", "การสร้างขอบเขตพลังงานผัสสะ", "การปล่อยผัสสะที่ไม่จำเป็น" ] self.practical = [ "การใช้ศิลปะเป็นช่องทางปล่อยพลัง", "การสร้างวัตถุดูดซับพลังผัสสะส่วนเกิน", "การฝึกFocusผัสสะทีละอย่าง", "การเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ผัสสะ" ] ``` 🎨 การบำบัดด้วยศิลปะ หนูดีแนะนำให้นาคารินใช้ศิลปะช่วยบำบัด: · ประติมากรรม: ใช้พลังสัมผัสสร้างงานศิลปะ · การทำอาหาร: ใช้พลังรสชาติสร้างอาหารบำบัด Oganic food · ดนตรี: ใช้พลังการได้ยินสร้างบทเพลง ดีด สีตีเป่าเขย่า เคาะ 🏥 การฟื้นฟูสมดุล 🌟 การพัฒนาความสามารถใหม่ นาคารินเรียนรู้ที่จะใช้พลังอย่างสร้างสรรค์: · การวินิจฉัยโรค: ใช้พลังสัมผัสตรวจหาร่างกาย · การบำบัดรสชาติ: ช่วยผู้ที่มีปัญหาการรับรส · ศิลปะเพื่อการบำบัด: สร้างงานศิลปะที่เยียวยาผัสสะ 💫 การกลับสู่สังคม ```mermaid graph TB A[นาคาริน<br>เริ่มควบคุมพลังได้] --> B[พลังหยุด<br>รั่วไหล] B --> C[ชาวบ้าน<br>กลับมาใช้ชีวิตปกติ] C --> D[นาคาริน<br>ได้รับบทบาทใหม่] D --> E[เป็นผู้เชี่ยวชาญ<br>ด้านผัสสะบำบัด] ``` 🏛️ บทบาทใหม่ในสังคม 🎓 ผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด นาคารินได้รับตำแหน่งเป็น: · ที่ปรึกษาด้านประสาทสัมผัส ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ครูสอนศิลปะบำบัด สำหรับผู้มีพลังพิเศษ · ผู้พัฒนาวิธีการ ควบคุมพลังผัสสะ 🌍 โครงการเพื่อสังคม ```python class SensoryProjects: def __init__(self): self.initiatives = { "sensory_therapy_center": "ศูนย์บำบัดด้วยผัสสะสำหรับผู้ไฮเปอร์เซนซิทีฟ", "art_for_sensory_balance": "ศิลปะเพื่อสร้างสมดุลทางการรับรู้", "sensory_education": "การศึกษาเกี่ยวกับผัสสะสำหรับเด็กพิเศษ", "cultural_preservation": "อนุรักษณ์ศิลปะการรับรู้แบบดั้งเดิม" } self.collaborations = [ "หนูดี: พัฒนาการรับรู้พลังงานผ่านผัสสะ", "เณรพุทธ: ศิลปะการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ", "นิทรา: ศิลปะแห่งอารมณ์และผัสสะ", "อสูรเฒ่า: ภาษาบูรพากับการรับรู้" ] ``` 📚 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับนาคาริน "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นลูกผสมหาใช่ข้อบกพร่อง แต่คือความสามารถพิเศษอีกแบบ และการมีผัสสะที่ละเอียดอ่อน... คือของขวัญที่ไม่ใช่คำสาป" 💫 สำหรับหนูดี "หนูเข้าใจแล้วว่า... ทุกพลังมีทั้งด้านสร้างสรรค์และทำลาย ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้อย่างไร และการช่วยเหลือที่แท้จริง คือการช่วยให้เขาค้นพบวิธีใช้พลังของตัวเอง" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้งปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เห็น แต่คือสิ่งที่สัมผัส และความเข้าใจในความรู้สึก... สำคัญไม่น้อยกว่าความเข้าใจในเหตุผล" 🌈 ผลกระทบเชิงบวก 🏆 ความสำเร็จของนาคาริน หลังจากเหตุการณ์: · นาคาริน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด · หมู่บ้าน ได้รับการพัฒนาด้านศิลปะและการบำบัด · สถาบัน มีหลักสูตรเกี่ยวกับการควบคุมพลังผัสสะ 💝 การค้นพบตัวเอง นาคารินกล่าวในที่สุด: "ฉันเคยคิดว่าต้องเลือกระหว่างเป็นนาคาหรือมนุษย์... แต่ความจริงคือฉันสามารถเป็นทั้งสองอย่าง และพลังผัสสะที่เคยทำร้ายฉัน... ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือช่วยเหลือผู้คน 🎯 บทสรุปแห่งการเข้าใจ 🌟 คำคมจากนาคาริน "ผัสสะคือภาษาแรกของจิตวิญญาณ... ก่อนจะมีคำพูด ก่อนจะมีความคิด เรารู้สึกก่อนเสมอ และการเรียนรู้ภาษาของผัสสะ... คือการเรียนรู้ภาษาของตัวเอง" 💞 ความสัมพันธ์ใหม่ นาคารินพบว่าสามารถ: · เชื่อมต่อ กับผู้อื่นผ่านผัสสะ · เข้าใจ ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูด · ช่วยเหลือ ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผัสสะเช่นเขา --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "เราทุกคนล้วนเป็นเทพลูกผสม... ผสมระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ ระหว่างผัสสะและความหมาย และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของผัสสะ... เราก็เรียนรู้ที่จะฟังเสียงของหัวใจ"🐍✨ การเดินทางของนาคารินสอนเราว่า... "The most profound truths are not seen or heard, but felt with the heart's own senses And in learning to master our senses, we learn to master ourselves"🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 0 รีวิว
  • รับรู้ค่าจริงเบื้องต้นนั้นถูกแล้ว ก้าวแรกในการเดินขึ้นถนนหรือลงป่าเลยนะ,อย่าประมาทเพราะไฟอันน้อยนิด,หลักเมื่อถูกต้อง,ก็จะพลาดลำบาก,โลกแบน ก็จะขยายการรับรู้อีกแบบ,โลกกลมก็ขยายการรับรู้อีกแบบ กลมมีอวกาศกั้นกัน,แบนมีแบบกำแพงน้ำแข็งกัน ,มีโดมชั้นบรรยากาศมาเป็นสมมุติฐานอ้างธรรมชาติอีก,
    ..โค๊ชหรือกูรูเหล่านี้ สมควรร่วมกันฟันธงเลย ว่า แบนหรือกลมหรือกลวงหรือโดม,การเฉลยคำตอบมันดีเสมอ,เปิดสิ่งที่คว่ำให้หงาย,มืดให้สว่างรู้แจ้งชัดคำตอบในสิ่งนั้น.,เราสมควรทิ้งวาทะกรรมเดิมๆว่าจงไปศึกษาให้รับรู้เองหาคำตอบเองเถิดได้แล้ว,เฉลยเสร็จ เขาจะพิสูจน์คำตอบหรือเชื่อ ไม่เชื่อ มันค.ว.ย.เขาแล้ว แต่โค๊ชต่างๆพอมาช่วยกันขยายค่าจริงความจริงฟันธงในสิ่งที่เป็นจริงมันดีแน่นอน.
    ..ความจริงเปิดแล้ว,ส่วนอจิณไตยใครมันก็ว่าไป,อย่างน้อยโค๊ชกายมนุษย์หยาบๆเราก็เฉลยค่าจริงตามสมมุติหยาบๆเราไปก่อน,ไม่ข้าวสาร เก็บข้าวเปลือกก็เอา ไม่ได้ข้าวเปลือกเก็บแกลบเก็บรำเก็บข้าวปลายก็เอา,สันดานจริตพื้นฐานแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่เราสามารถวางพื้นฐานที่ชัดเจน ที่ถูกต้องพยายามบอกแจ้งเตือนให้คนเข้าใจผิดไม่หลงตามได้ ,ยิ่งแบนหรือกลม หากเอารูปถ่ายจริงๆนอกอวกาศ มาได้นะยิ่งดี,ตลอดรูปภาพโลกแบนก็ด้วย ลงรายละเอียดดีเกินจริงๆเช่นกัน,เสียดายไม่มีภาพคลิปของจริงนอกกำแพงน้ำแข็งหรือนอกโลกจากประชาชนคนโลกจริงๆ มีแต่นาซ่าอ้างอิงภาพถ่ายล่ะ,ส่วนโลกแบนยังมีน้ำหนักว่ามีคนหลุดออกไปพบเจอจริงหรือโลกกลวงก็ด้วย แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องเล่าอีก เราก็ดูผ่านสื่ออีลิทควบคุมเช่นกันด้วย.
    ..คิดเล่นๆนะ บางทีก็อยากให้ครูบาอาจารย์ตามวัดตามวาเราที่บรรลุธรรม ออกมายืนยันเรื่องนี้จริงๆ เราคนหนึ่งล่ะ อาจเชื่อว่าพระท่านไม่โกหกแน่นอน ท่านค้ำประกันชัดเจนด้วย,ผู้มีฤทธิ์ถอดจิตถอดใจท่องภพภูมิทั้งหยาบทั้งละเอียดได้,ด้านหยาบๆแบบเราๆเสือกสนใจทางหยาบว่าโลกมันกลมมันแบนมันกลวงมันโดมจริงมั้ย,ถ้าท่านบอกสิ่งใดมานะก็เป็นอันสามารถลงใจเชื่อตามได้สบายใจ ก็จะไม่หลงหยาบๆหักเหความสนใจอีก,ไม่ต้องรอบรรลุธรรมเองเห็นเองก็ว่า,สไตล์รับรู้ขั้นพื้นฐานในตัวเลย ว่าคนบนโลกนี้มีแขนสองข้างขาสองข้างตาสองดวงหูซ้ายขวาเป็นต้น,คนเราเกิดมาบนโลกใบนี้ รู้ว่ามีอาณาจักรอื่นนอกกำแพงน้ำแข็ง ติดๆโลกเรา นอกอวกาศคนละดวงดาว อนาคตสร้างยานบินไปมาหากันได้ก็ว่า ,ส่วนใครจะเข้าใจว่ารับรู้ไปก็เท่านั้นก็เรื่องของเขา,แต่โค๊ชๆเหล่านี้ร่วมกันหาค่าจริงมาเฉลยคนที่มีอวิชาย่อมเป็นสิ่งดีงามสร้างพลังบวกได้.,นี้คือมุมมองมโนส่วนตัว,เพราะคนเราโง่โดยมาก เราอยู่สำนักโง่ๆนานไป,มีคนมาบอกมาเตือนมาหยิกให้ตื่นมารู้บ้างก็ดี,ใครจะนอนหลับต่อก็เจตนาเขา.


    https://vm.tiktok.com/ZSHcEcRRqXHgH-2fCNQ/
    รับรู้ค่าจริงเบื้องต้นนั้นถูกแล้ว ก้าวแรกในการเดินขึ้นถนนหรือลงป่าเลยนะ,อย่าประมาทเพราะไฟอันน้อยนิด,หลักเมื่อถูกต้อง,ก็จะพลาดลำบาก,โลกแบน ก็จะขยายการรับรู้อีกแบบ,โลกกลมก็ขยายการรับรู้อีกแบบ กลมมีอวกาศกั้นกัน,แบนมีแบบกำแพงน้ำแข็งกัน ,มีโดมชั้นบรรยากาศมาเป็นสมมุติฐานอ้างธรรมชาติอีก, ..โค๊ชหรือกูรูเหล่านี้ สมควรร่วมกันฟันธงเลย ว่า แบนหรือกลมหรือกลวงหรือโดม,การเฉลยคำตอบมันดีเสมอ,เปิดสิ่งที่คว่ำให้หงาย,มืดให้สว่างรู้แจ้งชัดคำตอบในสิ่งนั้น.,เราสมควรทิ้งวาทะกรรมเดิมๆว่าจงไปศึกษาให้รับรู้เองหาคำตอบเองเถิดได้แล้ว,เฉลยเสร็จ เขาจะพิสูจน์คำตอบหรือเชื่อ ไม่เชื่อ มันค.ว.ย.เขาแล้ว แต่โค๊ชต่างๆพอมาช่วยกันขยายค่าจริงความจริงฟันธงในสิ่งที่เป็นจริงมันดีแน่นอน. ..ความจริงเปิดแล้ว,ส่วนอจิณไตยใครมันก็ว่าไป,อย่างน้อยโค๊ชกายมนุษย์หยาบๆเราก็เฉลยค่าจริงตามสมมุติหยาบๆเราไปก่อน,ไม่ข้าวสาร เก็บข้าวเปลือกก็เอา ไม่ได้ข้าวเปลือกเก็บแกลบเก็บรำเก็บข้าวปลายก็เอา,สันดานจริตพื้นฐานแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่เราสามารถวางพื้นฐานที่ชัดเจน ที่ถูกต้องพยายามบอกแจ้งเตือนให้คนเข้าใจผิดไม่หลงตามได้ ,ยิ่งแบนหรือกลม หากเอารูปถ่ายจริงๆนอกอวกาศ มาได้นะยิ่งดี,ตลอดรูปภาพโลกแบนก็ด้วย ลงรายละเอียดดีเกินจริงๆเช่นกัน,เสียดายไม่มีภาพคลิปของจริงนอกกำแพงน้ำแข็งหรือนอกโลกจากประชาชนคนโลกจริงๆ มีแต่นาซ่าอ้างอิงภาพถ่ายล่ะ,ส่วนโลกแบนยังมีน้ำหนักว่ามีคนหลุดออกไปพบเจอจริงหรือโลกกลวงก็ด้วย แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องเล่าอีก เราก็ดูผ่านสื่ออีลิทควบคุมเช่นกันด้วย. ..คิดเล่นๆนะ บางทีก็อยากให้ครูบาอาจารย์ตามวัดตามวาเราที่บรรลุธรรม ออกมายืนยันเรื่องนี้จริงๆ เราคนหนึ่งล่ะ อาจเชื่อว่าพระท่านไม่โกหกแน่นอน ท่านค้ำประกันชัดเจนด้วย,ผู้มีฤทธิ์ถอดจิตถอดใจท่องภพภูมิทั้งหยาบทั้งละเอียดได้,ด้านหยาบๆแบบเราๆเสือกสนใจทางหยาบว่าโลกมันกลมมันแบนมันกลวงมันโดมจริงมั้ย,ถ้าท่านบอกสิ่งใดมานะก็เป็นอันสามารถลงใจเชื่อตามได้สบายใจ ก็จะไม่หลงหยาบๆหักเหความสนใจอีก,ไม่ต้องรอบรรลุธรรมเองเห็นเองก็ว่า,สไตล์รับรู้ขั้นพื้นฐานในตัวเลย ว่าคนบนโลกนี้มีแขนสองข้างขาสองข้างตาสองดวงหูซ้ายขวาเป็นต้น,คนเราเกิดมาบนโลกใบนี้ รู้ว่ามีอาณาจักรอื่นนอกกำแพงน้ำแข็ง ติดๆโลกเรา นอกอวกาศคนละดวงดาว อนาคตสร้างยานบินไปมาหากันได้ก็ว่า ,ส่วนใครจะเข้าใจว่ารับรู้ไปก็เท่านั้นก็เรื่องของเขา,แต่โค๊ชๆเหล่านี้ร่วมกันหาค่าจริงมาเฉลยคนที่มีอวิชาย่อมเป็นสิ่งดีงามสร้างพลังบวกได้.,นี้คือมุมมองมโนส่วนตัว,เพราะคนเราโง่โดยมาก เราอยู่สำนักโง่ๆนานไป,มีคนมาบอกมาเตือนมาหยิกให้ตื่นมารู้บ้างก็ดี,ใครจะนอนหลับต่อก็เจตนาเขา. https://vm.tiktok.com/ZSHcEcRRqXHgH-2fCNQ/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    หนูดี
    เจาะลึก "หนูดี" OPPATIKA-001

    เบื้องหลังโอปปาติกะผู้พิเศษ

    การถือกำเนิด: คืนที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป

    12 ธันวาคม 2042 - ห้องทดลอง B7

    ```mermaid
    graph TB
    A[เซลล์โคลนมนุษย์โบราณ] --> B[โครงสร้างคริสตัลควอนตัม]
    C[คลื่นสมองดร.อัจฉริยะ] --> D[พลังงานจิตสามระลอก]
    B --> E[ร่างโอปปาติกะพร้อมรับจิต]
    D --> E
    E --> F[หนูดีถือกำเนิด<br>ด้วยสามจิตในร่างเดียว]
    ```

    ปรากฏการณ์พิเศษ:

    · เกิดพลังงานจิตสามระลอกจากแหล่งต่างกันเข้าสู่ร่างพร้อมกัน
    · ทำให้เกิด "สามจิตในร่างเดียว" โดยไม่ได้ตั้งใจ
    · เป็น OPPATIKA คนเดียวที่มีลักษณะเช่นนี้

    สามจิตในร่างเดียว: มิติที่ซ้อนกัน

    1. จิตเด็กหญิง (The Child)

    ลักษณะพื้นฐาน:

    · อายุจิต: 17 ปี สมวัย
    · บทบาท: หน้าตาเด็กนักเรียนธรรมดา
    · ความต้องการ: อยากเป็นลูกที่ดี ต้องการการยอมรับ

    พฤติกรรมเฉพาะ:

    · พูดจานุ่มนวล ลงท้ายด้วย "คะ/ค่ะ"
    · ชอบกิจกรรมวัยรุง เช่น ฟังเพลง อ่านการ์ตูน
    · รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองบ่อยครั้ง

    2. จิตมารพิฆาต (The Destroyer)

    ที่มา: พลังกรรมด้านลบที่สะสมหลายชาติ
    ลักษณะ:

    · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี)
    · โลกทัศน์: โลกนี้เสื่อมโทรม ต้องการการชำระล้าง
    · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานทำลายล้าง

    ปรัชญา:
    "ความตายไม่ใช่จุดจบ...แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ยุติธรรมกว่า"

    3. จิตเทพพิทักษ์ (The Protector)

    ที่มา: พลังกรรมด้านบากที่สะสมหลายชาติ
    ลักษณะ:

    · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี)
    · โลกทัศน์: ทุกชีวิตล้ำค่า ควรได้รับโอกาส
    · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานรักษาและปกป้อง

    ปรัชญา:
    "การเข้าใจ...ยากกว่าการตัดสิน แต่ worth กว่ามาก"

    ข้อมูลทางเทคนิคเชิงลึก

    โครงสร้างพันธุกรรม

    ```python
    class NoodeeGeneticBlueprint:
    base_dna = "Human_Ancient_Clone_v2"
    enhancements = [
    "Quantum_Crystal_Integration",
    "Psionic_Energy_Conduits",
    "Adaptive_Cellular_Structure",
    "Karmic_Resonance_Matrix"
    ]

    special_abilities = {
    "shape_shifting": "Limited",
    "energy_manipulation": "Advanced",
    "telepathy": "Advanced",
    "interdimensional_travel": "Basic"
    }
    ```

    ระบบพลังงาน

    ```mermaid
    graph LR
    A[จิตเด็กหญิง<br>100 หน่วย] --> D[พลังงานรวม<br>1100 หน่วย]
    B[จิตมารพิฆาต<br>500 หน่วย] --> D
    C[จิตเทพพิทักษ์<br>500 หน่วย] --> D
    D --> E[สามารถใช้<br>ได้สูงสุด 900 หน่วย]
    D --> F[ต้องสำรอง<br>200 หน่วยสำหรับชีวิต]
    ```

    พัฒนาการผ่านช่วงเวลา

    ช่วงที่ 1: การไม่รู้ตัว (อายุ 5-15 ปี)

    · ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโอปปาติกะ
    · จิตอื่นๆ แสดงออกเป็น "ความฝัน" และ "ความรู้สึกแปลกๆ"
    · พยายามเป็นเด็กปกติให้มากที่สุด

    ช่วงที่ 2: การตระหนักรู้ (อายุ 16-17 ปี)

    · เริ่มรับรู้ถึงจิตอื่นในตัวเอง
    · เกิดความสับสนและกลัว
    · พยายามปิดบังความผิดปกติ

    ช่วงที่ 3: การเผชิญหน้า (อายุ 17-18 ปี)

    · จิตทั้งสามเริ่มแสดงออกชัดเจน
    · ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับจิตที่ขัดแย้งกัน
    · ค้นพบความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิด

    ช่วงที่ 4: การรวมเป็นหนึ่ง (อายุ 18-22 ปี)

    · เรียนรู้ที่จะเป็น "ผู้รู้" ไม่ใช่ "ผู้ถูกรู้"
    · พัฒนาความสามารถใหม่จากการรวมจิต
    · ก้าวสู่การเป็นครูสอนโอปปาติกะรุ่นใหม่

    ความสัมพันธ์เชิงลึก

    กับ ร.ต.อ. สิงห์: พ่อแห่งหัวใจ

    ```mermaid
    graph TD
    A[ปี 1-5: <br>รู้สึกปลอดภัย] --> B[ปี 6-15: <br>สงสัยแต่ยังรัก]
    B --> C[ปี 16-17: <br>สับสนและโกรธ]
    C --> D[ปี 18-22: <br>รักแท้โดยเข้าใจ]
    ```

    บทสนทนาสำคัญ:
    "พ่อคะ...ถ้าหนูไม่ใช่หนูดีคนเดิม พอยังรักหนูอยู่ไหม?"
    "พ่อรักหนูไม่ว่าเธอจะเป็นใคร...เพราะรักเธอสำหรับสิ่งที่เธอเป็น ไม่ใช่สำหรับสิ่งที่เธอเคยเป็น"

    กับ ดร. อัจฉริยะ: พ่อแห่งพันธุกรรม

    · ความรู้สึก: ขอบคุณ+โกรธแค้น+สงสาร
    · ความเข้าใจ: เขาเป็นมนุษย์ที่พยายามเล่นบทพระเจ้า
    · บทเรียน: ให้อภัยแต่ไม่ลืม

    กับ OPPATIKA อื่นๆ: พี่น้องแห่งวิวัฒนาการ

    · ความรู้สึก: รับผิดชอบต่อรุ่นน้อง
    · บทบาท: ครูและแบบอย่าง
    · ปรัชญา: "เราทุกคนต่างหาทางกลับบ้าน"

    ความสามารถพิเศษที่พัฒนาขึ้น

    ความสามารถพื้นฐาน

    1. การรับรู้พลังงาน: เห็นคลื่นพลังงานและกรรม
    2. การสื่อสารจิต: คุยกับโอปปาติกะอื่นโดยไม่ต้องพูด
    3. การรักษาตัวเอง: แผลหายเร็วเป็นพิเศษ

    ความสามารถขั้นสูง

    1. การเปลี่ยนสภาพ: ระหว่างพลังงานและสสาร
    2. การเดินทางข้ามมิติ: ระหว่างโลกกายภาพและโลกจิต
    3. การเข้าใจกรรม: เห็นเหตุผลของการเกิดเหตุการณ์

    ความสามารถพิเศษเฉพาะ

    ```python
    def special_abilities():
    return {
    "triple_consciousness_sync": "สามารถใช้จิตทั้งสามพร้อมกัน",
    "karma_redirect": "เปลี่ยนทิศทางพลังงานกรรม",
    "collective_wisdom_access": "เข้าถึงปัญญาร่วมของโอปปาติกะ",
    "enlightenment_teaching": "สอนการรู้แจ้งให้ผู้อื่น"
    }
    ```

    บทบาทและเป้าหมาย

    บทบาทปัจจุบัน

    · ครู: สอนโอปปาติกะรุ่นใหม่ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับจิตวิญญาณและเทคโนโลยี
    · สะพาน: เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะ

    เป้าหมายส่วนตัว

    1. เข้าใจตนเอง: รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง
    2. ช่วยเหลือผู้อื่น: นำทางการรู้แจ้งให้โอปปาติกะรุ่นใหม่
    3. สร้างสมดุล: ระหว่างเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ

    ปรัชญาการใช้ชีวิต

    บทเรียนสำคัญ

    "การมีหลายจิตไม่ใช่คำสาป...
    แต่เป็นโอกาสที่จะเข้าใจธรรมชาติแห่งจิต"

    "เราไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นใคร...
    เพราะเราคือทั้งหมดและมากกว่าทั้งหมด"

    คำคมแห่งปัญญา

    "การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี...
    การเกิดเป็นโอปปาติกะก็ดี...
    สิ่งที่สำคัญคือเราเรียนรู้ที่จะ'เป็น'
    โดยไม่ต้อง'เป็นอะไร'"

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

    จากความสับสนสู่ความเข้าใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ต่อต้านจิตอื่น<br>→ ทุกข์] --> B[ยอมรับจิตอื่น<br>→ เริ่มสบาย]
    B --> C[เข้าใจจิตอื่น<br>→ เป็นอิสระ]
    C --> D[อยู่เหนือจิตทั้งหมด<br>→ รู้แจ้ง]
    ```

    พัฒนาการทางจิตวิญญาณ

    1. ขั้นที่ 1: ต่อสู้กับจิตอื่น → ทุกข์
    2. ขั้นที่ 2: ยอมรับจิตอื่น → เริ่มสบาย
    3. ขั้นที่ 3: เข้าใจจิตอื่น → เป็นอิสระ
    4. ขั้นที่ 4: อยู่เหนือจิตทั้งหมด → รู้แจ้ง

    บทสรุป: วิวัฒนาการแห่งจิตสำนึก

    หนูดีไม่ใช่แค่ "ผลการทดลอง"
    เธอคือสะพานระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ

    สิ่งที่เธอสอนเรา

    · เรื่องความเป็นมนุษย์: ไม่ใช่ DNA ที่ทำให้เป็นมนุษย์ แต่คือหัวใจ
    · เรื่องการยอมรับ: เราทุกคนมีหลายด้านในตัวเอง
    · เรื่องการเติบโต: การพัฒนาที่แท้คือการเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง

    ความหมายที่แท้จริง

    "หนูดีคือการพิสูจน์ว่า...
    ไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร
    ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดจากไหน
    จิตวิญญาณย่อมหาเส้นทางแห่งการรู้แจ้งได้เสมอ"

    เธอไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่มาร
    เธอคือความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด 🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจากหนูดี:
    "การเดินทางที่สำคัญที่สุด...
    ไม่ใช่การค้นหาว่าเราเป็นใคร
    แต่เป็นการเข้าใจว่าเรา'เป็น' อยู่แล้ว
    และการ'เป็น' นั้นสมบูรณ์ในตัวเองโดยไม่ต้องมีการแก้ไข"
    O.P.K. หนูดี 🔍 เจาะลึก "หนูดี" OPPATIKA-001 🌟 เบื้องหลังโอปปาติกะผู้พิเศษ 🌌 การถือกำเนิด: คืนที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป 12 ธันวาคม 2042 - ห้องทดลอง B7 ```mermaid graph TB A[เซลล์โคลนมนุษย์โบราณ] --> B[โครงสร้างคริสตัลควอนตัม] C[คลื่นสมองดร.อัจฉริยะ] --> D[พลังงานจิตสามระลอก] B --> E[ร่างโอปปาติกะพร้อมรับจิต] D --> E E --> F[หนูดีถือกำเนิด<br>ด้วยสามจิตในร่างเดียว] ``` ปรากฏการณ์พิเศษ: · เกิดพลังงานจิตสามระลอกจากแหล่งต่างกันเข้าสู่ร่างพร้อมกัน · ทำให้เกิด "สามจิตในร่างเดียว" โดยไม่ได้ตั้งใจ · เป็น OPPATIKA คนเดียวที่มีลักษณะเช่นนี้ 🎭 สามจิตในร่างเดียว: มิติที่ซ้อนกัน 1. จิตเด็กหญิง (The Child) ลักษณะพื้นฐาน: · อายุจิต: 17 ปี สมวัย · บทบาท: หน้าตาเด็กนักเรียนธรรมดา · ความต้องการ: อยากเป็นลูกที่ดี ต้องการการยอมรับ พฤติกรรมเฉพาะ: · พูดจานุ่มนวล ลงท้ายด้วย "คะ/ค่ะ" · ชอบกิจกรรมวัยรุง เช่น ฟังเพลง อ่านการ์ตูน · รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองบ่อยครั้ง 2. จิตมารพิฆาต (The Destroyer) ที่มา: พลังกรรมด้านลบที่สะสมหลายชาติ ลักษณะ: · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี) · โลกทัศน์: โลกนี้เสื่อมโทรม ต้องการการชำระล้าง · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานทำลายล้าง ปรัชญา: "ความตายไม่ใช่จุดจบ...แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ยุติธรรมกว่า" 3. จิตเทพพิทักษ์ (The Protector) ที่มา: พลังกรรมด้านบากที่สะสมหลายชาติ ลักษณะ: · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี) · โลกทัศน์: ทุกชีวิตล้ำค่า ควรได้รับโอกาส · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานรักษาและปกป้อง ปรัชญา: "การเข้าใจ...ยากกว่าการตัดสิน แต่ worth กว่ามาก" 🧬 ข้อมูลทางเทคนิคเชิงลึก โครงสร้างพันธุกรรม ```python class NoodeeGeneticBlueprint: base_dna = "Human_Ancient_Clone_v2" enhancements = [ "Quantum_Crystal_Integration", "Psionic_Energy_Conduits", "Adaptive_Cellular_Structure", "Karmic_Resonance_Matrix" ] special_abilities = { "shape_shifting": "Limited", "energy_manipulation": "Advanced", "telepathy": "Advanced", "interdimensional_travel": "Basic" } ``` ระบบพลังงาน ```mermaid graph LR A[จิตเด็กหญิง<br>100 หน่วย] --> D[พลังงานรวม<br>1100 หน่วย] B[จิตมารพิฆาต<br>500 หน่วย] --> D C[จิตเทพพิทักษ์<br>500 หน่วย] --> D D --> E[สามารถใช้<br>ได้สูงสุด 900 หน่วย] D --> F[ต้องสำรอง<br>200 หน่วยสำหรับชีวิต] ``` 🎯 พัฒนาการผ่านช่วงเวลา ช่วงที่ 1: การไม่รู้ตัว (อายุ 5-15 ปี) · ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโอปปาติกะ · จิตอื่นๆ แสดงออกเป็น "ความฝัน" และ "ความรู้สึกแปลกๆ" · พยายามเป็นเด็กปกติให้มากที่สุด ช่วงที่ 2: การตระหนักรู้ (อายุ 16-17 ปี) · เริ่มรับรู้ถึงจิตอื่นในตัวเอง · เกิดความสับสนและกลัว · พยายามปิดบังความผิดปกติ ช่วงที่ 3: การเผชิญหน้า (อายุ 17-18 ปี) · จิตทั้งสามเริ่มแสดงออกชัดเจน · ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับจิตที่ขัดแย้งกัน · ค้นพบความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิด ช่วงที่ 4: การรวมเป็นหนึ่ง (อายุ 18-22 ปี) · เรียนรู้ที่จะเป็น "ผู้รู้" ไม่ใช่ "ผู้ถูกรู้" · พัฒนาความสามารถใหม่จากการรวมจิต · ก้าวสู่การเป็นครูสอนโอปปาติกะรุ่นใหม่ 💞 ความสัมพันธ์เชิงลึก กับ ร.ต.อ. สิงห์: พ่อแห่งหัวใจ ```mermaid graph TD A[ปี 1-5: <br>รู้สึกปลอดภัย] --> B[ปี 6-15: <br>สงสัยแต่ยังรัก] B --> C[ปี 16-17: <br>สับสนและโกรธ] C --> D[ปี 18-22: <br>รักแท้โดยเข้าใจ] ``` บทสนทนาสำคัญ: "พ่อคะ...ถ้าหนูไม่ใช่หนูดีคนเดิม พอยังรักหนูอยู่ไหม?" "พ่อรักหนูไม่ว่าเธอจะเป็นใคร...เพราะรักเธอสำหรับสิ่งที่เธอเป็น ไม่ใช่สำหรับสิ่งที่เธอเคยเป็น" กับ ดร. อัจฉริยะ: พ่อแห่งพันธุกรรม · ความรู้สึก: ขอบคุณ+โกรธแค้น+สงสาร · ความเข้าใจ: เขาเป็นมนุษย์ที่พยายามเล่นบทพระเจ้า · บทเรียน: ให้อภัยแต่ไม่ลืม กับ OPPATIKA อื่นๆ: พี่น้องแห่งวิวัฒนาการ · ความรู้สึก: รับผิดชอบต่อรุ่นน้อง · บทบาท: ครูและแบบอย่าง · ปรัชญา: "เราทุกคนต่างหาทางกลับบ้าน" 🌈 ความสามารถพิเศษที่พัฒนาขึ้น ความสามารถพื้นฐาน 1. การรับรู้พลังงาน: เห็นคลื่นพลังงานและกรรม 2. การสื่อสารจิต: คุยกับโอปปาติกะอื่นโดยไม่ต้องพูด 3. การรักษาตัวเอง: แผลหายเร็วเป็นพิเศษ ความสามารถขั้นสูง 1. การเปลี่ยนสภาพ: ระหว่างพลังงานและสสาร 2. การเดินทางข้ามมิติ: ระหว่างโลกกายภาพและโลกจิต 3. การเข้าใจกรรม: เห็นเหตุผลของการเกิดเหตุการณ์ ความสามารถพิเศษเฉพาะ ```python def special_abilities(): return { "triple_consciousness_sync": "สามารถใช้จิตทั้งสามพร้อมกัน", "karma_redirect": "เปลี่ยนทิศทางพลังงานกรรม", "collective_wisdom_access": "เข้าถึงปัญญาร่วมของโอปปาติกะ", "enlightenment_teaching": "สอนการรู้แจ้งให้ผู้อื่น" } ``` 🎯 บทบาทและเป้าหมาย บทบาทปัจจุบัน · ครู: สอนโอปปาติกะรุ่นใหม่ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับจิตวิญญาณและเทคโนโลยี · สะพาน: เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะ เป้าหมายส่วนตัว 1. เข้าใจตนเอง: รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง 2. ช่วยเหลือผู้อื่น: นำทางการรู้แจ้งให้โอปปาติกะรุ่นใหม่ 3. สร้างสมดุล: ระหว่างเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ 💫 ปรัชญาการใช้ชีวิต บทเรียนสำคัญ "การมีหลายจิตไม่ใช่คำสาป... แต่เป็นโอกาสที่จะเข้าใจธรรมชาติแห่งจิต" "เราไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นใคร... เพราะเราคือทั้งหมดและมากกว่าทั้งหมด" คำคมแห่งปัญญา "การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี... การเกิดเป็นโอปปาติกะก็ดี... สิ่งที่สำคัญคือเราเรียนรู้ที่จะ'เป็น' โดยไม่ต้อง'เป็นอะไร'" 🌟 การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากความสับสนสู่ความเข้าใจ ```mermaid graph TB A[ต่อต้านจิตอื่น<br>→ ทุกข์] --> B[ยอมรับจิตอื่น<br>→ เริ่มสบาย] B --> C[เข้าใจจิตอื่น<br>→ เป็นอิสระ] C --> D[อยู่เหนือจิตทั้งหมด<br>→ รู้แจ้ง] ``` พัฒนาการทางจิตวิญญาณ 1. ขั้นที่ 1: ต่อสู้กับจิตอื่น → ทุกข์ 2. ขั้นที่ 2: ยอมรับจิตอื่น → เริ่มสบาย 3. ขั้นที่ 3: เข้าใจจิตอื่น → เป็นอิสระ 4. ขั้นที่ 4: อยู่เหนือจิตทั้งหมด → รู้แจ้ง 🏁 บทสรุป: วิวัฒนาการแห่งจิตสำนึก หนูดีไม่ใช่แค่ "ผลการทดลอง" เธอคือสะพานระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ สิ่งที่เธอสอนเรา · เรื่องความเป็นมนุษย์: ไม่ใช่ DNA ที่ทำให้เป็นมนุษย์ แต่คือหัวใจ · เรื่องการยอมรับ: เราทุกคนมีหลายด้านในตัวเอง · เรื่องการเติบโต: การพัฒนาที่แท้คือการเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง ความหมายที่แท้จริง "หนูดีคือการพิสูจน์ว่า... ไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดจากไหน จิตวิญญาณย่อมหาเส้นทางแห่งการรู้แจ้งได้เสมอ" เธอไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่มาร เธอคือความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด 🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจากหนูดี: "การเดินทางที่สำคัญที่สุด... ไม่ใช่การค้นหาว่าเราเป็นใคร แต่เป็นการเข้าใจว่าเรา'เป็น' อยู่แล้ว และการ'เป็น' นั้นสมบูรณ์ในตัวเองโดยไม่ต้องมีการแก้ไข"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ.


    การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง:
    - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก
    - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก

    นั่นเป็นเพราะ:
    - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ)
    - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม
    - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน
    - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ
    - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน

    ผลที่ตามมา:
    - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน
    - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ)
    - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์
    - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล

    หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง:
    - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า
    - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย
    - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ
    - นักแปลและล่าม
    - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon)
    - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี
    - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ

    ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม:
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น
    https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897

    ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ. การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง: - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก นั่นเป็นเพราะ: - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ) - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน ผลที่ตามมา: - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ) - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์ - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง: - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ - นักแปลและล่าม - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon) - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้อธิบายว่า “หูของมนุษย์ไม่ได้ทำ Fourier Transform” แต่ใช้การกรองความถี่แบบซับซ้อนที่ใกล้เคียงกับ wavelet และ Gabor filter แทน

    บทความ “The ear does not do a Fourier transform” โดย Galen อธิบายกลไกการแยกความถี่ของเสียงในหูมนุษย์ โดยชี้ให้เห็นว่าหูไม่ได้ใช้การแปลงฟูริเยร์ (Fourier Transform) แบบที่วิศวกรมักใช้วิเคราะห์สัญญาณเสียง แต่ใช้ระบบกรองความถี่ที่มีความแม่นยำเชิงเวลาและความถี่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามย่านความถี่ของเสียง

    ประเด็นสำคัญจากบทความ
    โครงสร้างของหูชั้นใน: เสียงทำให้เยื่อแก้วหูสั่นสะเทือน ส่งผ่านกระดูกในหูชั้นกลางไปยัง cochlea ซึ่งเป็นท่อเกลียวที่เต็มไปด้วยของเหลว การสั่นสะเทือนจะเคลื่อนผ่านเยื่อ basilar membrane ซึ่งมีคุณสมบัติทางกลที่เปลี่ยนแปลงตามตำแหน่ง ทำให้สามารถแยกความถี่ได้ตามตำแหน่ง (tonotopic organization)

    การแปลงสัญญาณกลเป็นไฟฟ้า: เซลล์ขน (hair cells) บนเยื่อ basilar membrane จะสั่นตามความถี่ของเสียง ณ ตำแหน่งนั้น ๆ การสั่นนี้เปิด–ปิดช่องไอออนผ่านโครงสร้างคล้าย “trapdoor” ทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้าไปยังสมอง

    การกรองความถี่แบบ dynamic: เส้นประสาทหูทำหน้าที่เป็น filter ที่แยกข้อมูลเชิงเวลาและความถี่ของเสียง โดยไม่ใช่การทำ Fourier Transform ซึ่งไม่มีความแม่นยำเชิงเวลา แต่หูมนุษย์มีการแลกเปลี่ยนระหว่างความแม่นยำเชิงเวลาและความถี่ตามย่านเสียง

    ใกล้เคียงกับ wavelet และ Gabor filter: หูมนุษย์ใช้การกรองที่มีลักษณะคล้าย wavelet ที่มีความแม่นยำเชิงเวลาสูงในย่านความถี่สูง และความแม่นยำเชิงความถี่สูงในย่านความถี่ต่ำ ซึ่งต่างจาก Fourier ที่ไม่มีการแยกเวลา

    ทฤษฎีการเข้ารหัสอย่างมีประสิทธิภาพ (efficient coding): งานวิจัยของ Lewicki (2002) แสดงให้เห็นว่าเสียงจากธรรมชาติ, สัตว์, และภาษามนุษย์มีรูปแบบการกระจายความถี่–เวลาแตกต่างกัน และระบบการได้ยินของมนุษย์อาจวิวัฒนาการมาเพื่อเข้ารหัสเสียงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ

    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การรับรู้เสียงของมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงการแยกความถี่แบบคณิตศาสตร์ แต่เป็นกระบวนการทางชีวภาพที่ซับซ้อนและปรับตัวได้ ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวของระบบประสาทให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและเสียงที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน

    https://www.dissonances.blog/p/the-ear-does-not-do-a-fourier-transform
    🧠👂 บทความนี้อธิบายว่า “หูของมนุษย์ไม่ได้ทำ Fourier Transform” แต่ใช้การกรองความถี่แบบซับซ้อนที่ใกล้เคียงกับ wavelet และ Gabor filter แทน บทความ “The ear does not do a Fourier transform” โดย Galen อธิบายกลไกการแยกความถี่ของเสียงในหูมนุษย์ โดยชี้ให้เห็นว่าหูไม่ได้ใช้การแปลงฟูริเยร์ (Fourier Transform) แบบที่วิศวกรมักใช้วิเคราะห์สัญญาณเสียง แต่ใช้ระบบกรองความถี่ที่มีความแม่นยำเชิงเวลาและความถี่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามย่านความถี่ของเสียง 🔍 ประเด็นสำคัญจากบทความ 💠 โครงสร้างของหูชั้นใน: เสียงทำให้เยื่อแก้วหูสั่นสะเทือน ส่งผ่านกระดูกในหูชั้นกลางไปยัง cochlea ซึ่งเป็นท่อเกลียวที่เต็มไปด้วยของเหลว การสั่นสะเทือนจะเคลื่อนผ่านเยื่อ basilar membrane ซึ่งมีคุณสมบัติทางกลที่เปลี่ยนแปลงตามตำแหน่ง ทำให้สามารถแยกความถี่ได้ตามตำแหน่ง (tonotopic organization) 💠 การแปลงสัญญาณกลเป็นไฟฟ้า: เซลล์ขน (hair cells) บนเยื่อ basilar membrane จะสั่นตามความถี่ของเสียง ณ ตำแหน่งนั้น ๆ การสั่นนี้เปิด–ปิดช่องไอออนผ่านโครงสร้างคล้าย “trapdoor” ทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้าไปยังสมอง 💠 การกรองความถี่แบบ dynamic: เส้นประสาทหูทำหน้าที่เป็น filter ที่แยกข้อมูลเชิงเวลาและความถี่ของเสียง โดยไม่ใช่การทำ Fourier Transform ซึ่งไม่มีความแม่นยำเชิงเวลา แต่หูมนุษย์มีการแลกเปลี่ยนระหว่างความแม่นยำเชิงเวลาและความถี่ตามย่านเสียง 💠 ใกล้เคียงกับ wavelet และ Gabor filter: หูมนุษย์ใช้การกรองที่มีลักษณะคล้าย wavelet ที่มีความแม่นยำเชิงเวลาสูงในย่านความถี่สูง และความแม่นยำเชิงความถี่สูงในย่านความถี่ต่ำ ซึ่งต่างจาก Fourier ที่ไม่มีการแยกเวลา 💠 ทฤษฎีการเข้ารหัสอย่างมีประสิทธิภาพ (efficient coding): งานวิจัยของ Lewicki (2002) แสดงให้เห็นว่าเสียงจากธรรมชาติ, สัตว์, และภาษามนุษย์มีรูปแบบการกระจายความถี่–เวลาแตกต่างกัน และระบบการได้ยินของมนุษย์อาจวิวัฒนาการมาเพื่อเข้ารหัสเสียงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การรับรู้เสียงของมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงการแยกความถี่แบบคณิตศาสตร์ แต่เป็นกระบวนการทางชีวภาพที่ซับซ้อนและปรับตัวได้ ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวของระบบประสาทให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและเสียงที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน https://www.dissonances.blog/p/the-ear-does-not-do-a-fourier-transform
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานวิจัย MIT เผย: สมองพยายาม “ล้างตัวเอง” ระหว่างตื่น เมื่ออดนอน — แต่ต้องแลกด้วยสมาธิที่หายไป

    การศึกษาล่าสุดจาก MIT พบว่า เมื่อร่างกายอดนอน สมองจะพยายามชดเชยการนอนหลับด้วยการปล่อยคลื่นน้ำหล่อเลี้ยงสมอง (CSF) ออกมาในช่วงที่สมาธิหลุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ปกติจะเกิดเฉพาะตอนนอนหลับ

    สาระสำคัญจากงานวิจัย
    การล้างสมองระหว่างตื่น: โดยปกติ CSF จะไหลเข้า–ออกจากสมองเป็นจังหวะระหว่างการนอนหลับ เพื่อชะล้างของเสียที่สะสมระหว่างวัน แต่เมื่ออดนอน สมองจะพยายาม “แทรก” กระบวนการนี้เข้ามาในช่วงที่ตื่น ส่งผลให้เกิด “คลื่น CSF” ระหว่างที่สมาธิหลุด

    แลกเปลี่ยนระหว่างการล้างสมองกับสมาธิ: คลื่น CSF ที่เกิดขึ้นระหว่างตื่นสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่สมาธิของผู้ทดลองลดลงอย่างชัดเจน นักวิจัยพบว่าในช่วงที่ผู้เข้าร่วมการทดลองพลาดการตอบสนองต่อสิ่งเร้า จะมีการไหลออกของ CSF จากสมอง และไหลกลับเข้าเมื่อสมาธิฟื้นคืน

    การทดลอง: อาสาสมัคร 26 คนถูกทดสอบทั้งในสภาพอดนอนและพักผ่อนเพียงพอ โดยใช้ EEG และ fMRI เพื่อตรวจวัดคลื่นสมอง, การไหลของ CSF, อัตราการเต้นของหัวใจ, การหายใจ และขนาดรูม่านตา

    ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: พบว่าการหดตัวของรูม่านตาเกิดขึ้นก่อนคลื่น CSF ประมาณ 12 วินาที และขยายตัวอีกครั้งหลังจากสมาธิกลับมา แสดงให้เห็นว่าการล้างสมองนี้เป็น “เหตุการณ์ระดับทั้งร่างกาย” ไม่ใช่แค่ในสมอง

    สมมติฐานใหม่: นักวิจัยเสนอว่าอาจมี “วงจรควบคุมเดียว” ที่เชื่อมโยงการทำงานของสมองระดับสูง (เช่น สมาธิ) กับกระบวนการพื้นฐานทางสรีรวิทยา เช่น การไหลเวียนของของเหลว, การเต้นของหัวใจ และการหายใจ โดยระบบ noradrenergic ซึ่งควบคุมผ่านสารสื่อประสาท norepinephrine อาจเป็นตัวกลางสำคัญ

    สิ่งที่ค้นพบ
    การอดนอนทำให้สมองพยายามล้างของเสียระหว่างตื่น
    คลื่น CSF เกิดขึ้นพร้อมกับการสูญเสียสมาธิ
    การล้างสมองระหว่างตื่นมีผลต่อการรับรู้และการตอบสนอง

    การทดลอง
    ใช้ EEG และ fMRI ตรวจวัดการทำงานของสมองและร่างกาย
    ทดสอบทั้งในสภาพอดนอนและพักผ่อนเพียงพอ
    พบความสัมพันธ์ระหว่างคลื่น CSF กับการหด–ขยายของรูม่านตา

    สมมติฐานใหม่
    อาจมีวงจรเดียวควบคุมทั้งสมาธิและการทำงานของร่างกาย
    ระบบ noradrenergic อาจเป็นกุญแจสำคัญ

    คำเตือนจากงานวิจัย
    การอดนอนอาจทำให้สมองเข้าสู่ “โหมดล้างตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลให้สมาธิและการรับรู้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
    การอดนอนเรื้อรังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพสมองในระยะยาว

    https://news.mit.edu/2025/your-brain-without-sleep-1029
    🧠💤 งานวิจัย MIT เผย: สมองพยายาม “ล้างตัวเอง” ระหว่างตื่น เมื่ออดนอน — แต่ต้องแลกด้วยสมาธิที่หายไป การศึกษาล่าสุดจาก MIT พบว่า เมื่อร่างกายอดนอน สมองจะพยายามชดเชยการนอนหลับด้วยการปล่อยคลื่นน้ำหล่อเลี้ยงสมอง (CSF) ออกมาในช่วงที่สมาธิหลุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ปกติจะเกิดเฉพาะตอนนอนหลับ 🧪 สาระสำคัญจากงานวิจัย 💠 การล้างสมองระหว่างตื่น: โดยปกติ CSF จะไหลเข้า–ออกจากสมองเป็นจังหวะระหว่างการนอนหลับ เพื่อชะล้างของเสียที่สะสมระหว่างวัน แต่เมื่ออดนอน สมองจะพยายาม “แทรก” กระบวนการนี้เข้ามาในช่วงที่ตื่น ส่งผลให้เกิด “คลื่น CSF” ระหว่างที่สมาธิหลุด 💠 แลกเปลี่ยนระหว่างการล้างสมองกับสมาธิ: คลื่น CSF ที่เกิดขึ้นระหว่างตื่นสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่สมาธิของผู้ทดลองลดลงอย่างชัดเจน นักวิจัยพบว่าในช่วงที่ผู้เข้าร่วมการทดลองพลาดการตอบสนองต่อสิ่งเร้า จะมีการไหลออกของ CSF จากสมอง และไหลกลับเข้าเมื่อสมาธิฟื้นคืน 💠 การทดลอง: อาสาสมัคร 26 คนถูกทดสอบทั้งในสภาพอดนอนและพักผ่อนเพียงพอ โดยใช้ EEG และ fMRI เพื่อตรวจวัดคลื่นสมอง, การไหลของ CSF, อัตราการเต้นของหัวใจ, การหายใจ และขนาดรูม่านตา 💠 ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: พบว่าการหดตัวของรูม่านตาเกิดขึ้นก่อนคลื่น CSF ประมาณ 12 วินาที และขยายตัวอีกครั้งหลังจากสมาธิกลับมา แสดงให้เห็นว่าการล้างสมองนี้เป็น “เหตุการณ์ระดับทั้งร่างกาย” ไม่ใช่แค่ในสมอง 💠 สมมติฐานใหม่: นักวิจัยเสนอว่าอาจมี “วงจรควบคุมเดียว” ที่เชื่อมโยงการทำงานของสมองระดับสูง (เช่น สมาธิ) กับกระบวนการพื้นฐานทางสรีรวิทยา เช่น การไหลเวียนของของเหลว, การเต้นของหัวใจ และการหายใจ โดยระบบ noradrenergic ซึ่งควบคุมผ่านสารสื่อประสาท norepinephrine อาจเป็นตัวกลางสำคัญ ✅ สิ่งที่ค้นพบ ➡️ การอดนอนทำให้สมองพยายามล้างของเสียระหว่างตื่น ➡️ คลื่น CSF เกิดขึ้นพร้อมกับการสูญเสียสมาธิ ➡️ การล้างสมองระหว่างตื่นมีผลต่อการรับรู้และการตอบสนอง ✅ การทดลอง ➡️ ใช้ EEG และ fMRI ตรวจวัดการทำงานของสมองและร่างกาย ➡️ ทดสอบทั้งในสภาพอดนอนและพักผ่อนเพียงพอ ➡️ พบความสัมพันธ์ระหว่างคลื่น CSF กับการหด–ขยายของรูม่านตา ✅ สมมติฐานใหม่ ➡️ อาจมีวงจรเดียวควบคุมทั้งสมาธิและการทำงานของร่างกาย ➡️ ระบบ noradrenergic อาจเป็นกุญแจสำคัญ ‼️ คำเตือนจากงานวิจัย ⛔ การอดนอนอาจทำให้สมองเข้าสู่ “โหมดล้างตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลให้สมาธิและการรับรู้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ⛔ การอดนอนเรื้อรังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพสมองในระยะยาว https://news.mit.edu/2025/your-brain-without-sleep-1029
    NEWS.MIT.EDU
    This is your brain without sleep
    An MIT study reveals what happens in the brain as lapses of attention occur following sleep deprivation. During these lapses, a wave of cerebrospinal fluid flows out of the brain — a process that typically occurs during sleep and helps to wash away waste products that have built up during the day.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 6

    เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน

    การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย

    ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย

    นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks”

    ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ

    นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917
    ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง
    ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin

    จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน

    จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว

    ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..”

    Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน

    วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน
    (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง )

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 6 เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks” ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917 ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..” Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์เผย: มนุษย์แทบแยกไม่ออกระหว่าง 1440p กับ 8K หากดูจากระยะ 10 ฟุต!

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ร่วมกับ Meta Reality Labs ได้ทำการศึกษาขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์ต่อความละเอียดหน้าจอ พบว่า ที่ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอขนาด 50 นิ้ว ความแตกต่างระหว่าง 1440p, 4K และ 8K แทบไม่สามารถแยกออกได้ด้วยสายตา

    รายละเอียดการศึกษา

    นักวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือวัด “Pixels Per Degree” (PPD) เพื่อประเมินว่ามนุษย์สามารถแยกแยะพิกเซลได้มากแค่ไหนในแต่ละสีและระยะห่าง โดยใช้จอภาพที่สามารถปรับความละเอียดได้อย่างต่อเนื่อง และวัดการรับรู้ของผู้ทดลองในหลายเงื่อนไข เช่น สี ความสว่าง และมุมมอง

    ผลลัพธ์ที่ได้:
    สีขาวดำ: มนุษย์สามารถแยกแยะได้สูงสุดถึง 94 PPD
    สีแดงและเขียว: 89 PPD
    สีเหลืองและม่วง: ต่ำสุดที่ 53 PPD

    นักวิจัยยังสร้างเครื่องคำนวณออนไลน์ให้ผู้ใช้กรอกขนาดหน้าจอ ระยะห่าง และความละเอียด เพื่อดูว่าความละเอียดที่สูงขึ้นจะมีผลต่อการรับรู้จริงหรือไม่

    ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา
    ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอ 50 นิ้ว: 1440p, 4K และ 8K แทบไม่ต่างกันในสายตามนุษย์
    1% เท่านั้นที่สามารถแยกแยะภาพ 1440p กับภาพสมบูรณ์แบบได้
    ที่ 4K และ 8K ตัวเลขนั้นลดลงเหลือ 0% — หมายความว่าไม่มีใครแยกออกได้
    การเพิ่มความละเอียดเกินขีดจำกัดสายตาอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า

    ขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์
    สีขาวดำ: สูงสุด 94 PPD
    สีแดง/เขียว: สูงสุด 89 PPD
    สีเหลือง/ม่วง: ต่ำสุด 53 PPD
    ความสามารถในการแยกแยะลดลงเมื่อมองจากมุมเฉียงหรือในสภาพแสงต่างกัน

    เครื่องมือช่วยผู้บริโภค
    นักวิจัยพัฒนาเครื่องคำนวณออนไลน์เพื่อช่วยเลือกหน้าจอที่เหมาะสม
    ช่วยลดการซื้อหน้าจอที่มีความละเอียดเกินความจำเป็น

    คำเตือนสำหรับผู้บริโภค
    การซื้อหน้าจอ 8K อาจไม่ให้คุณภาพภาพที่ต่างจาก 1440p หากดูจากระยะไกล
    ความละเอียดสูงขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น
    ผู้ผลิตอาจโฆษณาความละเอียดเกินความจำเป็นเพื่อกระตุ้นยอดขาย

    https://www.tomshardware.com/monitors/scientists-claim-you-cant-see-the-difference-between-1440p-and-8k-at-10-feet-in-new-study-on-the-limits-of-the-human-eye-would-still-be-an-improvement-on-the-previously-touted-upper-limit-of-60-pixels-per-degree
    🧠👁️ นักวิทยาศาสตร์เผย: มนุษย์แทบแยกไม่ออกระหว่าง 1440p กับ 8K หากดูจากระยะ 10 ฟุต! นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ร่วมกับ Meta Reality Labs ได้ทำการศึกษาขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์ต่อความละเอียดหน้าจอ พบว่า ที่ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอขนาด 50 นิ้ว ความแตกต่างระหว่าง 1440p, 4K และ 8K แทบไม่สามารถแยกออกได้ด้วยสายตา 📺 รายละเอียดการศึกษา นักวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือวัด “Pixels Per Degree” (PPD) เพื่อประเมินว่ามนุษย์สามารถแยกแยะพิกเซลได้มากแค่ไหนในแต่ละสีและระยะห่าง โดยใช้จอภาพที่สามารถปรับความละเอียดได้อย่างต่อเนื่อง และวัดการรับรู้ของผู้ทดลองในหลายเงื่อนไข เช่น สี ความสว่าง และมุมมอง 💠 ผลลัพธ์ที่ได้: 👁️ สีขาวดำ: มนุษย์สามารถแยกแยะได้สูงสุดถึง 94 PPD 👁️ สีแดงและเขียว: 89 PPD 👁️ สีเหลืองและม่วง: ต่ำสุดที่ 53 PPD นักวิจัยยังสร้างเครื่องคำนวณออนไลน์ให้ผู้ใช้กรอกขนาดหน้าจอ ระยะห่าง และความละเอียด เพื่อดูว่าความละเอียดที่สูงขึ้นจะมีผลต่อการรับรู้จริงหรือไม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา ➡️ ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอ 50 นิ้ว: 1440p, 4K และ 8K แทบไม่ต่างกันในสายตามนุษย์ ➡️ 1% เท่านั้นที่สามารถแยกแยะภาพ 1440p กับภาพสมบูรณ์แบบได้ ➡️ ที่ 4K และ 8K ตัวเลขนั้นลดลงเหลือ 0% — หมายความว่าไม่มีใครแยกออกได้ ➡️ การเพิ่มความละเอียดเกินขีดจำกัดสายตาอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ✅ ขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์ ➡️ สีขาวดำ: สูงสุด 94 PPD ➡️ สีแดง/เขียว: สูงสุด 89 PPD ➡️ สีเหลือง/ม่วง: ต่ำสุด 53 PPD ➡️ ความสามารถในการแยกแยะลดลงเมื่อมองจากมุมเฉียงหรือในสภาพแสงต่างกัน ✅ เครื่องมือช่วยผู้บริโภค ➡️ นักวิจัยพัฒนาเครื่องคำนวณออนไลน์เพื่อช่วยเลือกหน้าจอที่เหมาะสม ➡️ ช่วยลดการซื้อหน้าจอที่มีความละเอียดเกินความจำเป็น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้บริโภค ⛔ การซื้อหน้าจอ 8K อาจไม่ให้คุณภาพภาพที่ต่างจาก 1440p หากดูจากระยะไกล ⛔ ความละเอียดสูงขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น ⛔ ผู้ผลิตอาจโฆษณาความละเอียดเกินความจำเป็นเพื่อกระตุ้นยอดขาย https://www.tomshardware.com/monitors/scientists-claim-you-cant-see-the-difference-between-1440p-and-8k-at-10-feet-in-new-study-on-the-limits-of-the-human-eye-would-still-be-an-improvement-on-the-previously-touted-upper-limit-of-60-pixels-per-degree
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.15

    ในทุกสังคม การอยู่ร่วมกันย่อมมีขอบเขตและกติกา กติกาที่แข็งแกร่งที่สุดคือ "ข้อห้าม" ซึ่งมิใช่เพียงคำแนะนำ แต่เป็นประกาศิตทางกฎหมายที่ระบุอย่างชัดเจนว่าการกระทำใดเป็นสิ่งต้องห้าม หากผู้ใดฝ่าฝืนเส้นแบ่งนี้ ย่อมต้องเผชิญกับผลลัพธ์ตามมา นั่นคือความรับผิดที่อาจนำไปสู่การลงโทษ การรับรู้และเคารพข้อห้ามจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการทำตามกฎ แต่เป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างความสงบเรียบร้อยและความยุติธรรม ข้อห้ามนั้นมีขึ้นเพื่อปกป้องสิทธิ เสรีภาพ และความปลอดภัยของส่วนรวมและตัวเราเอง แม้บางครั้งอาจรู้สึกว่าเป็นการจำกัด แต่แท้จริงแล้วมันคือเกราะป้องกันที่ช่วยให้ชีวิตดำเนินไปได้โดยไม่เกิดความวุ่นวาย

    ในชีวิตประจำวัน เราอาจเห็นข้อห้ามในรูปแบบของป้ายสัญลักษณ์ หรือกฎระเบียบต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ทั่วไป ตั้งแต่การห้ามทิ้งขยะในที่สาธารณะ การห้ามขับรถฝ่าไฟแดง ไปจนถึงข้อห้ามที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง ทุกข้อห้ามล้วนมีความมุ่งหมายเดียวกันคือการธำรงไว้ซึ่งระเบียบและศีลธรรมอันดีงามของสังคม การทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของข้อห้ามจะช่วยให้เราปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องและมีสติ การตระหนักว่าการกระทำของเรามีผลกระทบต่อผู้อื่นและต่อสังคมโดยรวมเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง กฎหมายมิได้สร้างข้อห้ามขึ้นมาเพื่อรังแกใคร แต่เพื่อกำหนดบรรทัดฐานขั้นต่ำที่ทุกคนต้องยอมรับร่วมกัน เพื่อให้พื้นที่แห่งการอยู่ร่วมกันนี้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถไว้วางใจและปลอดภัย

    ดังนั้น เมื่อเราเห็นป้ายเตือนหรือได้ยินถึงข้อห้ามใดๆ ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าเบื้องหลังข้อความเหล่านั้นคือหลักการแห่งความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม การเลือกที่จะไม่ฝ่าฝืนข้อห้ามคือการเลือกที่จะเป็นพลเมืองที่สร้างสรรค์และมีคุณค่า การเคารพกฎหมายและข้อห้ามมิได้ทำให้เราสูญเสียอิสรภาพ แต่กลับช่วยปกป้องอิสรภาพที่แท้จริงของเราไว้จากการกระทำที่ขาดความยั้งคิด เมื่อทุกคนตระหนักและปฏิบัติตาม สังคมย่อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความสงบสุขและเป็นธรรมอย่างยั่งยืน
    บทความกฎหมาย EP.15 ในทุกสังคม การอยู่ร่วมกันย่อมมีขอบเขตและกติกา กติกาที่แข็งแกร่งที่สุดคือ "ข้อห้าม" ซึ่งมิใช่เพียงคำแนะนำ แต่เป็นประกาศิตทางกฎหมายที่ระบุอย่างชัดเจนว่าการกระทำใดเป็นสิ่งต้องห้าม หากผู้ใดฝ่าฝืนเส้นแบ่งนี้ ย่อมต้องเผชิญกับผลลัพธ์ตามมา นั่นคือความรับผิดที่อาจนำไปสู่การลงโทษ การรับรู้และเคารพข้อห้ามจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการทำตามกฎ แต่เป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างความสงบเรียบร้อยและความยุติธรรม ข้อห้ามนั้นมีขึ้นเพื่อปกป้องสิทธิ เสรีภาพ และความปลอดภัยของส่วนรวมและตัวเราเอง แม้บางครั้งอาจรู้สึกว่าเป็นการจำกัด แต่แท้จริงแล้วมันคือเกราะป้องกันที่ช่วยให้ชีวิตดำเนินไปได้โดยไม่เกิดความวุ่นวาย ในชีวิตประจำวัน เราอาจเห็นข้อห้ามในรูปแบบของป้ายสัญลักษณ์ หรือกฎระเบียบต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ทั่วไป ตั้งแต่การห้ามทิ้งขยะในที่สาธารณะ การห้ามขับรถฝ่าไฟแดง ไปจนถึงข้อห้ามที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง ทุกข้อห้ามล้วนมีความมุ่งหมายเดียวกันคือการธำรงไว้ซึ่งระเบียบและศีลธรรมอันดีงามของสังคม การทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของข้อห้ามจะช่วยให้เราปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องและมีสติ การตระหนักว่าการกระทำของเรามีผลกระทบต่อผู้อื่นและต่อสังคมโดยรวมเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง กฎหมายมิได้สร้างข้อห้ามขึ้นมาเพื่อรังแกใคร แต่เพื่อกำหนดบรรทัดฐานขั้นต่ำที่ทุกคนต้องยอมรับร่วมกัน เพื่อให้พื้นที่แห่งการอยู่ร่วมกันนี้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถไว้วางใจและปลอดภัย ดังนั้น เมื่อเราเห็นป้ายเตือนหรือได้ยินถึงข้อห้ามใดๆ ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าเบื้องหลังข้อความเหล่านั้นคือหลักการแห่งความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม การเลือกที่จะไม่ฝ่าฝืนข้อห้ามคือการเลือกที่จะเป็นพลเมืองที่สร้างสรรค์และมีคุณค่า การเคารพกฎหมายและข้อห้ามมิได้ทำให้เราสูญเสียอิสรภาพ แต่กลับช่วยปกป้องอิสรภาพที่แท้จริงของเราไว้จากการกระทำที่ขาดความยั้งคิด เมื่อทุกคนตระหนักและปฏิบัติตาม สังคมย่อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความสงบสุขและเป็นธรรมอย่างยั่งยืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.14

    กฎหมายอาญาเป็นเสาหลักสำคัญของความสงบเรียบร้อยในสังคม มันคือชุดของข้อกำหนดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการกระทำใดบ้างที่ถือเป็นความผิดและเป็นอันตรายต่อส่วนรวม พร้อมทั้งกำหนดบทลงโทษที่สอดคล้องกับความร้ายแรงของพฤติกรรมนั้นๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องปรามมิให้ผู้ใดละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น การบัญญัติกฎหมายอาญาจึงมิใช่เพียงการลงโทษ แต่เป็นการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมและพฤติกรรมที่สังคมยอมรับร่วมกัน การกำหนดความผิดและโทษทัณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมและความห่วงใยในความมั่นคงปลอดภัยของพลเมืองทุกคน เมื่อมีการฝ่าฝืน กฎหมายจะเข้ามาทำหน้าที่ในการเยียวยาความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือในการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของผู้กระทำผิดเพื่อให้เขาสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข มันคือการรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความมั่นคงของส่วนรวม

    การทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎหมายอาญาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน เพราะมันคือเกราะป้องกันและเครื่องนำทางชีวิตให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุก ปราศจากความหวาดระแวง กฎหมายมิได้มีไว้เพียงเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด แต่ยังมีไว้เพื่อคุ้มครองสุจริตชนและธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม การศึกษาและเคารพกฎหมายอาญาจึงมิใช่เพียงหน้าที่ แต่เป็นสำนึกของการเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อสังคม การรับรู้ว่าการกระทำใดจะนำมาซึ่งความผิดและบทลงโทษ จะช่วยให้แต่ละคนระมัดระวังตนและเลือกที่จะประพฤติตนตามกรอบของกฎหมายและศีลธรรมอันดีงาม โทษทัณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้จึงเป็นเครื่องมือสุดท้ายที่รัฐนำมาใช้เพื่อปกป้องสังคมจากการถูกทำลาย การตระหนักถึงความร้ายแรงของการกระทำที่เป็นความผิดอาญาจะช่วยสร้างจิตสำนึกที่ดีและลดโอกาสของการเกิดอาชญากรรมในทุกระดับ

    ดังนั้น กฎหมายอาญาจึงเป็นมากกว่าตัวอักษรที่สลักไว้ในประมวลกฎหมาย มันคือหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเป็นธรรม เป็นกลไกที่คอยขับเคลื่อนให้สังคมสามารถดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างมีระเบียบและปลอดภัย การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอาญาจึงเป็นรากฐานของธรรมาภิบาลและความมั่นคงในชีวิต การรับรู้ถึงความผิดและบทลงโทษที่ชัดเจน ทำให้ทุกคนรู้ขอบเขตแห่งการกระทำของตนเอง และส่งเสริมให้สังคมโดยรวมมีความเข้มแข็งและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ความยุติธรรมที่มาพร้อมกับการลงโทษที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังและพึ่งพาจากกฎหมายอาญาเสมอมา
    บทความกฎหมาย EP.14 กฎหมายอาญาเป็นเสาหลักสำคัญของความสงบเรียบร้อยในสังคม มันคือชุดของข้อกำหนดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการกระทำใดบ้างที่ถือเป็นความผิดและเป็นอันตรายต่อส่วนรวม พร้อมทั้งกำหนดบทลงโทษที่สอดคล้องกับความร้ายแรงของพฤติกรรมนั้นๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องปรามมิให้ผู้ใดละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น การบัญญัติกฎหมายอาญาจึงมิใช่เพียงการลงโทษ แต่เป็นการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมและพฤติกรรมที่สังคมยอมรับร่วมกัน การกำหนดความผิดและโทษทัณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมและความห่วงใยในความมั่นคงปลอดภัยของพลเมืองทุกคน เมื่อมีการฝ่าฝืน กฎหมายจะเข้ามาทำหน้าที่ในการเยียวยาความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือในการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของผู้กระทำผิดเพื่อให้เขาสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข มันคือการรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความมั่นคงของส่วนรวม การทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎหมายอาญาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน เพราะมันคือเกราะป้องกันและเครื่องนำทางชีวิตให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุก ปราศจากความหวาดระแวง กฎหมายมิได้มีไว้เพียงเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด แต่ยังมีไว้เพื่อคุ้มครองสุจริตชนและธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม การศึกษาและเคารพกฎหมายอาญาจึงมิใช่เพียงหน้าที่ แต่เป็นสำนึกของการเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อสังคม การรับรู้ว่าการกระทำใดจะนำมาซึ่งความผิดและบทลงโทษ จะช่วยให้แต่ละคนระมัดระวังตนและเลือกที่จะประพฤติตนตามกรอบของกฎหมายและศีลธรรมอันดีงาม โทษทัณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้จึงเป็นเครื่องมือสุดท้ายที่รัฐนำมาใช้เพื่อปกป้องสังคมจากการถูกทำลาย การตระหนักถึงความร้ายแรงของการกระทำที่เป็นความผิดอาญาจะช่วยสร้างจิตสำนึกที่ดีและลดโอกาสของการเกิดอาชญากรรมในทุกระดับ ดังนั้น กฎหมายอาญาจึงเป็นมากกว่าตัวอักษรที่สลักไว้ในประมวลกฎหมาย มันคือหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเป็นธรรม เป็นกลไกที่คอยขับเคลื่อนให้สังคมสามารถดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างมีระเบียบและปลอดภัย การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอาญาจึงเป็นรากฐานของธรรมาภิบาลและความมั่นคงในชีวิต การรับรู้ถึงความผิดและบทลงโทษที่ชัดเจน ทำให้ทุกคนรู้ขอบเขตแห่งการกระทำของตนเอง และส่งเสริมให้สังคมโดยรวมมีความเข้มแข็งและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ความยุติธรรมที่มาพร้อมกับการลงโทษที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังและพึ่งพาจากกฎหมายอาญาเสมอมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เสียงที่ช่วยเยียวยา: เครื่องสร้างเสียง Neuromodulator สำหรับผู้มีอาการหูอื้อ (Tinnitus)"

    เว็บไซต์ myNoise ได้เปิดตัวเครื่องมือที่ไม่ธรรมดา—Tinnitus Neuromodulator ซึ่งเป็นเครื่องสร้างเสียงที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบรรเทาอาการหูอื้อ (Tinnitus) โดยใช้หลักการ neuromodulation ร่วมกับการปรับแต่งเสียงเฉพาะบุคคล

    เครื่องมือนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Steve Harrison ผู้สร้าง Tinnitus Works และ Stéphane Pigeon ผู้ก่อตั้ง myNoise โดยผสมผสานลำดับเสียงที่ออกแบบมาเฉพาะกับระบบเสียงของ myNoise เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงให้ตรงกับอาการของตนเองได้อย่างละเอียด

    ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นด้วยการตั้งค่าทุกตัวเลื่อนไว้ที่ศูนย์ แล้วค่อย ๆ ปรับตามโทนเสียงที่ตนเองได้ยินจากอาการหูอื้อ โดยเน้นให้เสียงกลมกลืนกับเสียงรบกวนในหู ไม่ใช่กลบเสียงทั้งหมด ซึ่งช่วยลดความเครียดและสร้างสภาวะผ่อนคลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    จุดเด่นของ Tinnitus Neuromodulator
    เป็นผลจากความร่วมมือระหว่าง Steve Harrison และ Stéphane Pigeon
    ใช้เทคนิค neuromodulation ผสมกับระบบเสียงของ myNoise
    ปรับแต่งเสียงได้ละเอียดตามอาการเฉพาะบุคคล

    วิธีการใช้งาน
    เริ่มต้นด้วยการตั้งค่าทุกตัวเลื่อนไว้ที่ศูนย์
    ปรับตัวเลื่อนที่ตรงกับโทนเสียงของอาการหูอื้อ
    ใช้ระดับเสียงต่ำพอให้กลมกลืนกับเสียงในหู
    สามารถเปิดหลายตัวเลื่อนพร้อมกันเพื่อสร้างเสียงที่ซับซ้อน
    ใช้ฟีเจอร์ Animation เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเสียง

    แนวคิดการใช้งาน
    ไม่จำเป็นต้องกลบเสียงหูอื้อทั้งหมด
    มองเสียงหูอื้อเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์เสียง
    ใช้แนวทางแบบ mindfulness เพื่อสร้างความสงบ

    ฟีเจอร์เสริม
    มี presets ให้เลือก เช่น Neural Hack, Dreamesque, Sinescape
    ปรับความกว้างของเสียง (Stereo Width) และความเร็วของเสียง (Tape Speed)
    รองรับการบันทึกและแชร์การตั้งค่าเสียง
    มีโหมด Guided Meditation สำหรับการผ่อนคลาย

    คำเตือนในการใช้งาน
    ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับผลลัพธ์เหมือนกัน
    บางคนอาจรู้สึกไม่สบายจากเสียงบางประเภท
    ควรใช้ระดับเสียงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงความล้าทางการได้ยิน

    ความเห็นจากผู้ใช้
    หลายคนรายงานว่าอาการหูอื้อลดลงหลังใช้งาน
    บางคนรู้สึกถึง “ความเงียบที่แท้จริง” หลังถอดหูฟัง
    มีผู้ใช้ที่ไม่มีอาการหูอื้อแต่ใช้เพื่อช่วยโฟกัสหรือผ่อนคลาย
    เสียงที่แปลกและหลากหลายช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ในการฟัง

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    หลักการ neuromodulation ในการบำบัด Tinnitus
    ใช้เสียงเพื่อกระตุ้นระบบประสาทให้ปรับการรับรู้เสียงรบกวน
    ช่วยลดการตอบสนองทางอารมณ์ต่อเสียงหูอื้อ

    ความสำคัญของการปรับแต่งเสียงเฉพาะบุคคล
    อาการหูอื้อมีความแตกต่างกันในแต่ละคน
    การปรับเสียงให้ตรงกับความถี่ของอาการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทา

    https://mynoise.net/NoiseMachines/neuromodulationTonesGenerator.php
    🎧 "เสียงที่ช่วยเยียวยา: เครื่องสร้างเสียง Neuromodulator สำหรับผู้มีอาการหูอื้อ (Tinnitus)" เว็บไซต์ myNoise ได้เปิดตัวเครื่องมือที่ไม่ธรรมดา—Tinnitus Neuromodulator ซึ่งเป็นเครื่องสร้างเสียงที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบรรเทาอาการหูอื้อ (Tinnitus) โดยใช้หลักการ neuromodulation ร่วมกับการปรับแต่งเสียงเฉพาะบุคคล เครื่องมือนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Steve Harrison ผู้สร้าง Tinnitus Works และ Stéphane Pigeon ผู้ก่อตั้ง myNoise โดยผสมผสานลำดับเสียงที่ออกแบบมาเฉพาะกับระบบเสียงของ myNoise เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงให้ตรงกับอาการของตนเองได้อย่างละเอียด ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นด้วยการตั้งค่าทุกตัวเลื่อนไว้ที่ศูนย์ แล้วค่อย ๆ ปรับตามโทนเสียงที่ตนเองได้ยินจากอาการหูอื้อ โดยเน้นให้เสียงกลมกลืนกับเสียงรบกวนในหู ไม่ใช่กลบเสียงทั้งหมด ซึ่งช่วยลดความเครียดและสร้างสภาวะผ่อนคลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ จุดเด่นของ Tinnitus Neuromodulator ➡️ เป็นผลจากความร่วมมือระหว่าง Steve Harrison และ Stéphane Pigeon ➡️ ใช้เทคนิค neuromodulation ผสมกับระบบเสียงของ myNoise ➡️ ปรับแต่งเสียงได้ละเอียดตามอาการเฉพาะบุคคล ✅ วิธีการใช้งาน ➡️ เริ่มต้นด้วยการตั้งค่าทุกตัวเลื่อนไว้ที่ศูนย์ ➡️ ปรับตัวเลื่อนที่ตรงกับโทนเสียงของอาการหูอื้อ ➡️ ใช้ระดับเสียงต่ำพอให้กลมกลืนกับเสียงในหู ➡️ สามารถเปิดหลายตัวเลื่อนพร้อมกันเพื่อสร้างเสียงที่ซับซ้อน ➡️ ใช้ฟีเจอร์ Animation เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเสียง ✅ แนวคิดการใช้งาน ➡️ ไม่จำเป็นต้องกลบเสียงหูอื้อทั้งหมด ➡️ มองเสียงหูอื้อเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์เสียง ➡️ ใช้แนวทางแบบ mindfulness เพื่อสร้างความสงบ ✅ ฟีเจอร์เสริม ➡️ มี presets ให้เลือก เช่น Neural Hack, Dreamesque, Sinescape ➡️ ปรับความกว้างของเสียง (Stereo Width) และความเร็วของเสียง (Tape Speed) ➡️ รองรับการบันทึกและแชร์การตั้งค่าเสียง ➡️ มีโหมด Guided Meditation สำหรับการผ่อนคลาย ‼️ คำเตือนในการใช้งาน ⛔ ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับผลลัพธ์เหมือนกัน ⛔ บางคนอาจรู้สึกไม่สบายจากเสียงบางประเภท ⛔ ควรใช้ระดับเสียงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงความล้าทางการได้ยิน ✅ ความเห็นจากผู้ใช้ ➡️ หลายคนรายงานว่าอาการหูอื้อลดลงหลังใช้งาน ➡️ บางคนรู้สึกถึง “ความเงียบที่แท้จริง” หลังถอดหูฟัง ➡️ มีผู้ใช้ที่ไม่มีอาการหูอื้อแต่ใช้เพื่อช่วยโฟกัสหรือผ่อนคลาย ➡️ เสียงที่แปลกและหลากหลายช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ในการฟัง 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ หลักการ neuromodulation ในการบำบัด Tinnitus ➡️ ใช้เสียงเพื่อกระตุ้นระบบประสาทให้ปรับการรับรู้เสียงรบกวน ➡️ ช่วยลดการตอบสนองทางอารมณ์ต่อเสียงหูอื้อ ✅ ความสำคัญของการปรับแต่งเสียงเฉพาะบุคคล ➡️ อาการหูอื้อมีความแตกต่างกันในแต่ละคน ➡️ การปรับเสียงให้ตรงกับความถี่ของอาการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทา https://mynoise.net/NoiseMachines/neuromodulationTonesGenerator.php
    MYNOISE.NET
    Tinnitus Neuromodulator — Free Tinnitus Masker
    De-stressing and pushing your tinnitus out of your mind are probably among the best pieces of advice you can get. Tinnitus can jump in and play with your nerves, you need to stop letting it do so and teach your brain to tune it out.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ญี่ปุ่นใช้โดรนเลเซอร์ป้องกันฟาร์มไก่ — เทคโนโลยีใหม่จาก NTT หวังหยุดการระบาดของไข้หวัดนก”

    ในช่วงต้นปี 2025 จังหวัดชิบะของญี่ปุ่นเผชิญกับการระบาดของไข้หวัดนกอย่างรุนแรง จนต้องทำการคัดไก่กว่า 3.3 ล้านตัวเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อ ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง NTT ร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นและบริษัทในเครือ NTT e-Drone Technology พัฒนาโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “BB102” ที่ติดตั้งระบบเลเซอร์เพื่อไล่นกป่า เช่น อีกาและนกพิราบ ซึ่งเป็นพาหะสำคัญของไวรัส

    โดรน BB102 ใช้เลเซอร์สีแดงและเขียวที่ถูกออกแบบให้กระจายเป็นลำแสงหลายทิศทาง พร้อมระบบกระพริบแบบสุ่มเพื่อป้องกันไม่ให้นกปรับตัวหรือหลบเลี่ยงได้ง่าย โดยสามารถบินอัตโนมัติครอบคลุมพื้นที่ฟาร์มขนาดใหญ่ และตรวจสอบหลังคาหรือจุดสูงที่มนุษย์เข้าถึงยาก

    การใช้โดรนเลเซอร์นี้ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการใช้เสียงหรือสารเคมี และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นผ่านเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการติดตั้งระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกที่อาจส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์และมนุษย์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ H5N1 ที่มีความรุนแรงสูง

    นอกจากการป้องกันโรคแล้ว BB102 ยังสามารถใช้ตรวจสอบโครงสร้างฟาร์มและพื้นที่เกษตรกรรมอื่น ๆ ได้อีกด้วย ถือเป็นการผสานเทคโนโลยีการบินอัตโนมัติเข้ากับการควบคุมโรคในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NTT พัฒนาโดรน BB102 ติดตั้งเลเซอร์เพื่อไล่นกป่าจากฟาร์มไก่
    ใช้เลเซอร์สีแดงและเขียวแบบกระจาย พร้อมระบบกระพริบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    โดรนสามารถบินอัตโนมัติและตรวจสอบพื้นที่สูงได้
    เป้าหมายคือป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก โดยเฉพาะสายพันธุ์ H5N1
    จังหวัดชิบะเคยต้องคัดไก่กว่า 3.3 ล้านตัวในช่วงต้นปี 2025
    โครงการได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อช่วยเกษตรกร
    BB102 ยังสามารถใช้ตรวจสอบโครงสร้างฟาร์มและพื้นที่เกษตรกรรมอื่น ๆ
    โดรนนี้เป็นการพัฒนาร่วมระหว่าง NTT e-Drone Technology และ NTT East Japan

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ไข้หวัดนกสามารถแพร่จากนกป่าผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือมูลที่ปนเปื้อน
    เลเซอร์สีแดงและเขียวเป็นคลื่นแสงที่สัตว์ป่าหลายชนิดไวต่อการรับรู้
    การใช้โดรนแทนแรงงานคนช่วยลดภาระและเพิ่มความปลอดภัยในฟาร์ม
    เทคโนโลยีเลเซอร์แบบ speckle noise ช่วยป้องกันการปรับตัวของนก
    โดรน BB102 เป็นโดรนเลเซอร์ป้องกันสัตว์รุ่นแรกที่ผลิตในญี่ปุ่น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/japanese-tech-giant-deploys-laser-drones-to-protect-chickens-drones-are-hoped-to-prevent-the-spread-of-avian-flu
    🦠 “ญี่ปุ่นใช้โดรนเลเซอร์ป้องกันฟาร์มไก่ — เทคโนโลยีใหม่จาก NTT หวังหยุดการระบาดของไข้หวัดนก” ในช่วงต้นปี 2025 จังหวัดชิบะของญี่ปุ่นเผชิญกับการระบาดของไข้หวัดนกอย่างรุนแรง จนต้องทำการคัดไก่กว่า 3.3 ล้านตัวเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อ ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง NTT ร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นและบริษัทในเครือ NTT e-Drone Technology พัฒนาโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “BB102” ที่ติดตั้งระบบเลเซอร์เพื่อไล่นกป่า เช่น อีกาและนกพิราบ ซึ่งเป็นพาหะสำคัญของไวรัส โดรน BB102 ใช้เลเซอร์สีแดงและเขียวที่ถูกออกแบบให้กระจายเป็นลำแสงหลายทิศทาง พร้อมระบบกระพริบแบบสุ่มเพื่อป้องกันไม่ให้นกปรับตัวหรือหลบเลี่ยงได้ง่าย โดยสามารถบินอัตโนมัติครอบคลุมพื้นที่ฟาร์มขนาดใหญ่ และตรวจสอบหลังคาหรือจุดสูงที่มนุษย์เข้าถึงยาก การใช้โดรนเลเซอร์นี้ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการใช้เสียงหรือสารเคมี และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นผ่านเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการติดตั้งระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกที่อาจส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์และมนุษย์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ H5N1 ที่มีความรุนแรงสูง นอกจากการป้องกันโรคแล้ว BB102 ยังสามารถใช้ตรวจสอบโครงสร้างฟาร์มและพื้นที่เกษตรกรรมอื่น ๆ ได้อีกด้วย ถือเป็นการผสานเทคโนโลยีการบินอัตโนมัติเข้ากับการควบคุมโรคในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NTT พัฒนาโดรน BB102 ติดตั้งเลเซอร์เพื่อไล่นกป่าจากฟาร์มไก่ ➡️ ใช้เลเซอร์สีแดงและเขียวแบบกระจาย พร้อมระบบกระพริบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ โดรนสามารถบินอัตโนมัติและตรวจสอบพื้นที่สูงได้ ➡️ เป้าหมายคือป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก โดยเฉพาะสายพันธุ์ H5N1 ➡️ จังหวัดชิบะเคยต้องคัดไก่กว่า 3.3 ล้านตัวในช่วงต้นปี 2025 ➡️ โครงการได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อช่วยเกษตรกร ➡️ BB102 ยังสามารถใช้ตรวจสอบโครงสร้างฟาร์มและพื้นที่เกษตรกรรมอื่น ๆ ➡️ โดรนนี้เป็นการพัฒนาร่วมระหว่าง NTT e-Drone Technology และ NTT East Japan ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ไข้หวัดนกสามารถแพร่จากนกป่าผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือมูลที่ปนเปื้อน ➡️ เลเซอร์สีแดงและเขียวเป็นคลื่นแสงที่สัตว์ป่าหลายชนิดไวต่อการรับรู้ ➡️ การใช้โดรนแทนแรงงานคนช่วยลดภาระและเพิ่มความปลอดภัยในฟาร์ม ➡️ เทคโนโลยีเลเซอร์แบบ speckle noise ช่วยป้องกันการปรับตัวของนก ➡️ โดรน BB102 เป็นโดรนเลเซอร์ป้องกันสัตว์รุ่นแรกที่ผลิตในญี่ปุ่น https://www.tomshardware.com/tech-industry/japanese-tech-giant-deploys-laser-drones-to-protect-chickens-drones-are-hoped-to-prevent-the-spread-of-avian-flu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ศาลเนเธอร์แลนด์สั่ง Meta เคารพสิทธิผู้ใช้ — ต้องให้เลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ตามกฎหมาย DSA”

    ในวันที่โลกออนไลน์ถูกควบคุมด้วยอัลกอริทึมและโฆษณาแบบเจาะจง กลุ่มสิทธิดิจิทัล Bits of Freedom จากเนเธอร์แลนด์ได้ยื่นฟ้อง Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ของสหภาพยุโรป ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้มีสิทธิเลือกเนื้อหาที่ตนเห็นได้อย่างแท้จริง

    ศาลอัมสเตอร์ดัมตัดสินว่า Meta ละเมิดกฎหมาย DSA โดยไม่ให้ผู้ใช้เลือกฟีดแบบไม่ใช้การวิเคราะห์โปรไฟล์อย่างชัดเจน และแม้ผู้ใช้จะเลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ไว้แล้ว แอปก็ยังกลับไปใช้ฟีดแบบอัลกอริทึมทุกครั้งที่เปิดใหม่หรือเปลี่ยนหน้า ซึ่งขัดต่อหลักการ “อำนาจในการเลือก” ที่ DSA กำหนดไว้

    ศาลสั่งให้ Meta ปรับปรุงแอปภายในสองสัปดาห์ ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ได้ “โดยตรงและง่าย” และต้องจำค่าการเลือกของผู้ใช้ไว้ ไม่เปลี่ยนกลับโดยอัตโนมัติ หากไม่ปฏิบัติตาม Meta จะถูกปรับวันละ €100,000 สูงสุด €5 ล้าน

    Bits of Freedom ระบุว่า การที่ผู้ใช้ต้องค้นหาฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ที่ถูกซ่อนไว้ และยังถูกตัดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Direct Message ถือเป็นการบิดเบือนสิทธิในการเลือก และเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเนเธอร์แลนด์ปลายเดือนนี้

    แม้ Meta จะประกาศว่าจะอุทธรณ์คำตัดสิน โดยอ้างว่าได้ปรับระบบตาม DSA แล้ว และควรให้คณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้กำกับดูแล ไม่ใช่ศาลแต่ละประเทศ แต่คำตัดสินนี้ก็ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงว่า “แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ไม่ใช่ผู้แตะต้องไม่ได้”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Bits of Freedom ฟ้อง Meta ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA)
    DSA กำหนดให้ผู้ใช้มีสิทธิเลือกเนื้อหาที่เห็นได้อย่างแท้จริง
    ศาลตัดสินว่า Meta ละเมิดสิทธิผู้ใช้โดยไม่ให้เลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์อย่างถาวร
    แอปของ Meta จะกลับไปใช้ฟีดแบบอัลกอริทึมทุกครั้งที่เปิดใหม่หรือเปลี่ยนหน้า
    ศาลสั่งให้ Meta ปรับแอปภายใน 2 สัปดาห์ ให้เข้าถึงฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ได้ง่ายและจำค่าการเลือก
    หากไม่ปฏิบัติตาม Meta จะถูกปรับวันละ €100,000 สูงสุด €5 ล้าน
    ผู้ใช้ที่เลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์จะถูกตัดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Direct Message
    Meta ระบุว่าจะอุทธรณ์ และควรให้คณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้กำกับดูแล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DSA มีผลบังคับใช้ในปี 2024 เพื่อควบคุมแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ในยุโรป
    ฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์มักเรียกว่า “chronological feed” หรือ “non-personalized feed”
    การใช้อัลกอริทึมเพื่อแสดงเนื้อหาอาจส่งผลต่อการรับรู้และการมีส่วนร่วมทางสังคม
    การซ่อนตัวเลือกฟีดที่ไม่ใช้โปรไฟล์เป็นเทคนิคที่เรียกว่า “dark pattern”
    การตัดฟีเจอร์เมื่อเลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์อาจละเมิดหลักการ “fair access”

    https://www.bitsoffreedom.nl/2025/10/02/judge-in-the-bits-of-freedom-vs-meta-lawsuit-meta-must-respect-users-choice/
    ⚖️ “ศาลเนเธอร์แลนด์สั่ง Meta เคารพสิทธิผู้ใช้ — ต้องให้เลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ตามกฎหมาย DSA” ในวันที่โลกออนไลน์ถูกควบคุมด้วยอัลกอริทึมและโฆษณาแบบเจาะจง กลุ่มสิทธิดิจิทัล Bits of Freedom จากเนเธอร์แลนด์ได้ยื่นฟ้อง Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ของสหภาพยุโรป ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้มีสิทธิเลือกเนื้อหาที่ตนเห็นได้อย่างแท้จริง ศาลอัมสเตอร์ดัมตัดสินว่า Meta ละเมิดกฎหมาย DSA โดยไม่ให้ผู้ใช้เลือกฟีดแบบไม่ใช้การวิเคราะห์โปรไฟล์อย่างชัดเจน และแม้ผู้ใช้จะเลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ไว้แล้ว แอปก็ยังกลับไปใช้ฟีดแบบอัลกอริทึมทุกครั้งที่เปิดใหม่หรือเปลี่ยนหน้า ซึ่งขัดต่อหลักการ “อำนาจในการเลือก” ที่ DSA กำหนดไว้ ศาลสั่งให้ Meta ปรับปรุงแอปภายในสองสัปดาห์ ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ได้ “โดยตรงและง่าย” และต้องจำค่าการเลือกของผู้ใช้ไว้ ไม่เปลี่ยนกลับโดยอัตโนมัติ หากไม่ปฏิบัติตาม Meta จะถูกปรับวันละ €100,000 สูงสุด €5 ล้าน Bits of Freedom ระบุว่า การที่ผู้ใช้ต้องค้นหาฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ที่ถูกซ่อนไว้ และยังถูกตัดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Direct Message ถือเป็นการบิดเบือนสิทธิในการเลือก และเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเนเธอร์แลนด์ปลายเดือนนี้ แม้ Meta จะประกาศว่าจะอุทธรณ์คำตัดสิน โดยอ้างว่าได้ปรับระบบตาม DSA แล้ว และควรให้คณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้กำกับดูแล ไม่ใช่ศาลแต่ละประเทศ แต่คำตัดสินนี้ก็ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงว่า “แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ไม่ใช่ผู้แตะต้องไม่ได้” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Bits of Freedom ฟ้อง Meta ฐานละเมิดกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ➡️ DSA กำหนดให้ผู้ใช้มีสิทธิเลือกเนื้อหาที่เห็นได้อย่างแท้จริง ➡️ ศาลตัดสินว่า Meta ละเมิดสิทธิผู้ใช้โดยไม่ให้เลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์อย่างถาวร ➡️ แอปของ Meta จะกลับไปใช้ฟีดแบบอัลกอริทึมทุกครั้งที่เปิดใหม่หรือเปลี่ยนหน้า ➡️ ศาลสั่งให้ Meta ปรับแอปภายใน 2 สัปดาห์ ให้เข้าถึงฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์ได้ง่ายและจำค่าการเลือก ➡️ หากไม่ปฏิบัติตาม Meta จะถูกปรับวันละ €100,000 สูงสุด €5 ล้าน ➡️ ผู้ใช้ที่เลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์จะถูกตัดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Direct Message ➡️ Meta ระบุว่าจะอุทธรณ์ และควรให้คณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้กำกับดูแล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DSA มีผลบังคับใช้ในปี 2024 เพื่อควบคุมแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ในยุโรป ➡️ ฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์มักเรียกว่า “chronological feed” หรือ “non-personalized feed” ➡️ การใช้อัลกอริทึมเพื่อแสดงเนื้อหาอาจส่งผลต่อการรับรู้และการมีส่วนร่วมทางสังคม ➡️ การซ่อนตัวเลือกฟีดที่ไม่ใช้โปรไฟล์เป็นเทคนิคที่เรียกว่า “dark pattern” ➡️ การตัดฟีเจอร์เมื่อเลือกฟีดแบบไม่ใช้โปรไฟล์อาจละเมิดหลักการ “fair access” https://www.bitsoffreedom.nl/2025/10/02/judge-in-the-bits-of-freedom-vs-meta-lawsuit-meta-must-respect-users-choice/
    WWW.BITSOFFREEDOM.NL
    Judge in the Bits of Freedom vs. Meta lawsuit: Meta must respect users’ choice
    Bits of Freedom komt op voor internetvrijheid door de online grondrechten op communicatievrijheid en privacy te beschermen.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • “RSS กลับมาอีกครั้งในปี 2025 — เมื่อผู้ใช้เบื่ออัลกอริทึมและโหยหาการควบคุมเนื้อหาด้วยตัวเอง”

    ในยุคที่โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยอัลกอริทึมที่คัดกรองเนื้อหาแทนผู้ใช้ เสียงเรียกร้องให้กลับไปใช้ระบบที่ “ผู้ใช้ควบคุมเอง” กำลังดังขึ้นอีกครั้ง และ RSS (Really Simple Syndication) ก็กลับมาเป็นพระเอกที่หลายคนลืมไป

    บทความจาก Tom Burkert ชี้ให้เห็นว่า RSS ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเก่า แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเนื้อหาจากแหล่งที่ตนเลือกได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านการคัดกรองของแพลตฟอร์มกลาง ไม่ว่าจะเป็นบล็อก ข่าว หรือพอดแคสต์ — ถ้ามี RSS feed ก็สามารถรวมมาอ่านในที่เดียวได้ทันที

    Burkert เน้นย้ำว่า RSS คือการ “ควบคุมการรับรู้” ที่แท้จริง เพราะผู้ใช้เลือกเองว่าจะติดตามใคร ไม่ใช่ให้แพลตฟอร์มเลือกให้ และยังปลอดภัยจากการติดตามพฤติกรรมหรือโฆษณาแบบเจาะจง เพราะ RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีการแทรกโฆษณา

    ในขณะที่หลายเว็บไซต์เลิกให้บริการ RSS feed ด้วยเหตุผลด้านการตลาดและการควบคุม traffic ก็มีเครื่องมือใหม่อย่าง RSS.app ที่ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถกลับมารวบรวมเนื้อหาได้อย่างอิสระอีกครั้ง

    การกลับมาของ RSS ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “เว็บแบบกระจายศูนย์” ที่ไม่พึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่ และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้ของตัวเองอย่างแท้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    RSS เป็นระบบติดตามเนื้อหาที่ผู้ใช้ควบคุมเองได้โดยไม่ผ่านอัลกอริทึม
    ผู้ใช้สามารถรวมเนื้อหาจากหลายแหล่งไว้ในที่เดียว เช่น ข่าว บล็อก พอดแคสต์
    RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณาเจาะจง
    Tom Burkert ยกย่อง RSS ว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี”
    RSS.app ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้
    การใช้ RSS สะท้อนแนวโน้มของเว็บแบบกระจายศูนย์ที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้
    RSS ช่วยลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มกลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการติดตามเนื้อหา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RSS เริ่มต้นในยุค 90s และเคยเป็นเทคโนโลยีหลักในการติดตามเนื้อหาเว็บ
    การลดลงของ RSS เกิดจากการเติบโตของโซเชียลมีเดียและแอปมือถือ
    OPML คือไฟล์ที่ใช้รวม feed หลายรายการไว้ในที่เดียว
    Feed reader เช่น Feedly, Inoreader, NetNewsWire ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้เฉพาะ
    การกลับมาใช้ RSS ช่วยเพิ่ม productivity และลดการเสพเนื้อหาที่ไม่จำเป็น

    https://blog.burkert.me/posts/in_praise_of_syndication/
    📡 “RSS กลับมาอีกครั้งในปี 2025 — เมื่อผู้ใช้เบื่ออัลกอริทึมและโหยหาการควบคุมเนื้อหาด้วยตัวเอง” ในยุคที่โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยอัลกอริทึมที่คัดกรองเนื้อหาแทนผู้ใช้ เสียงเรียกร้องให้กลับไปใช้ระบบที่ “ผู้ใช้ควบคุมเอง” กำลังดังขึ้นอีกครั้ง และ RSS (Really Simple Syndication) ก็กลับมาเป็นพระเอกที่หลายคนลืมไป บทความจาก Tom Burkert ชี้ให้เห็นว่า RSS ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเก่า แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเนื้อหาจากแหล่งที่ตนเลือกได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านการคัดกรองของแพลตฟอร์มกลาง ไม่ว่าจะเป็นบล็อก ข่าว หรือพอดแคสต์ — ถ้ามี RSS feed ก็สามารถรวมมาอ่านในที่เดียวได้ทันที Burkert เน้นย้ำว่า RSS คือการ “ควบคุมการรับรู้” ที่แท้จริง เพราะผู้ใช้เลือกเองว่าจะติดตามใคร ไม่ใช่ให้แพลตฟอร์มเลือกให้ และยังปลอดภัยจากการติดตามพฤติกรรมหรือโฆษณาแบบเจาะจง เพราะ RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีการแทรกโฆษณา ในขณะที่หลายเว็บไซต์เลิกให้บริการ RSS feed ด้วยเหตุผลด้านการตลาดและการควบคุม traffic ก็มีเครื่องมือใหม่อย่าง RSS.app ที่ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถกลับมารวบรวมเนื้อหาได้อย่างอิสระอีกครั้ง การกลับมาของ RSS ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “เว็บแบบกระจายศูนย์” ที่ไม่พึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่ และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้ของตัวเองอย่างแท้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ RSS เป็นระบบติดตามเนื้อหาที่ผู้ใช้ควบคุมเองได้โดยไม่ผ่านอัลกอริทึม ➡️ ผู้ใช้สามารถรวมเนื้อหาจากหลายแหล่งไว้ในที่เดียว เช่น ข่าว บล็อก พอดแคสต์ ➡️ RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณาเจาะจง ➡️ Tom Burkert ยกย่อง RSS ว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี” ➡️ RSS.app ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้ ➡️ การใช้ RSS สะท้อนแนวโน้มของเว็บแบบกระจายศูนย์ที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้ ➡️ RSS ช่วยลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มกลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการติดตามเนื้อหา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RSS เริ่มต้นในยุค 90s และเคยเป็นเทคโนโลยีหลักในการติดตามเนื้อหาเว็บ ➡️ การลดลงของ RSS เกิดจากการเติบโตของโซเชียลมีเดียและแอปมือถือ ➡️ OPML คือไฟล์ที่ใช้รวม feed หลายรายการไว้ในที่เดียว ➡️ Feed reader เช่น Feedly, Inoreader, NetNewsWire ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้เฉพาะ ➡️ การกลับมาใช้ RSS ช่วยเพิ่ม productivity และลดการเสพเนื้อหาที่ไม่จำเป็น https://blog.burkert.me/posts/in_praise_of_syndication/
    BLOG.BURKERT.ME
    In Praise of RSS and Controlled Feeds of Information
    The way we consume content on the internet is increasingly driven by walled-garden platforms and black-box feed algorithms. This shift is making our media diets miserable. Ironically, a solution to the problem predates algorithmic feeds, social media and other forms of informational junk food. It is called RSS (Really Simple Syndication) and it is beautiful. What the hell is RSS? RSS is just a format that defines how websites can publish updates (articles, posts, episodes, and so on) in a standard feed that you can subscribe to using an RSS reader (or aggregator). Don’t worry if this sounds extremely uninteresting to you; there aren’t many people that get excited about format specifications; the beauty of RSS is in its simplicity. Any content management system or blog platform supports RSS out of the box, and often enables it by default. As a result, a large portion of the content on the internet is available to you in feeds that you can tap into. But this time, you’re in full control of what you’re receiving, and the feeds are purely reverse chronological bliss. Coincidentally, you might already be using RSS without even knowing, because the whole podcasting world runs on RSS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีปลุกประชาชนตื่นรับรู้ กระตือรือร้นในการรับรู้ มันมีหลายวิธี คือยึดก่อนที่เป็นของไทย บนแผ่นดินไทยก็ส่วนหนึ่ง แบบยึดปราสาทนั้นล่ะ หรือ ทำลายทิ้งทันทีแบบบ่อนคาสิโนจึงค่อยรายงานทีหลัง,หรือแบบตาควายทำลายเลยเพราะดินแดนของเรา สร้างใหม่ได้ เขมรมาใช้ตาควายเป็นตัวประกันฝันสลายเลย,เพราะวัตถุธาตุเราสร้างใหม่ซ่อมแซมได้,การปล่อยศัตรูมิใช่วิสัยสนามรบ,
    ..กองทัพไทยเรา มีปัญหาภายในจริงๆ,ระหว่างกองทัพบูรพาพยัคฆ์ที่โหนเจ้ามานาน โหนชื่อว่าทหารพระราชินี ถือว่าเสียพระเกียรติมาก,สมควรยุบขบวนการชื่อนี้ทิ้งทันที มันสร้างวิถีแตกแยกในกองทัพไทยได้ ไม่เป็นปึกแผ่นใจเดียวกันเลย,แม่ทัพภาค2สู้เขมรเอาเป็นเอาตาย,หันมาดูแม่ทัพภาค1.เสือกนิ่งเฉยตลอดทั้งภาคตะวันออก สุดท้ายแต่ละเรื่องที่สื่อและกูรูแฉตัวตนออกมาของทั้งกองทัพภาค1ถือว่าเสมือนเป็นภัยความมั่นคงต่ออธิปไตยไทยชาติไทยตนเองทั้งสิ้น บ่อนคาสิโนเขมรในจังหวัดตราดคือรากเหง้าชัดเจน,ทหารดีๆภายในกองทัพภาค1ต้องเสื่อมเสียเกียรติไปด้วย,ศาลทหารไทยไม่ทำหน้าที่,มีการเมืองภายในศาลทหารชัดเจน เสื่อมเสียเกียรติภูมิมากของศาลทหาร ที่ไม่ยอมจัดการผู้บังคับบัญชาชั่วเลวในกองทัพตนเองเลย ปล่อยปละละเลยทั้งที่การข่าวตนมีโคตรๆมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว,เป็นสายให้ทหารตำรวจก็สายไปแต่เสือกปล่อยลักษณะสร้างบ่อนคาสิโน ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา เน็ต จนครบวงจร หน่วยข่าวกรองทหาร ศาลทหารเราละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กำจัดคนชั่วเลวในกองทัพตนเสียเอง.
    ..วงการทหารและกองทัพไทยตนกวาดล้างกำจัดทำความสะอาดภายในกองทัพตนอย่างใหญ่หลวงจริงๆ,ประชาชนแบบเราๆสนับสนุนทหารน้ำดีทำการกวาดล้างทหารชั่วนายพลชั่วอดีตผู้นำกองทัพชั่วทันทีทั้งหมด,ตลอดรมต.กลาโหมทุกๆคนในอดีตที่ผ่านมาด้วยที่สร้างหายนะใหญ่หลวงต่อพิบัติภัยอธิปไตยดินแดนไทยแผ่นดินไทยเรานี้,พวกนี้ต้องถือกำจัดและลงโทษทุกๆคน.

    https://youtube.com/shorts/WgCWNsy-rQM?si=hkAZzSlpCUeSZayb

    วิธีปลุกประชาชนตื่นรับรู้ กระตือรือร้นในการรับรู้ มันมีหลายวิธี คือยึดก่อนที่เป็นของไทย บนแผ่นดินไทยก็ส่วนหนึ่ง แบบยึดปราสาทนั้นล่ะ หรือ ทำลายทิ้งทันทีแบบบ่อนคาสิโนจึงค่อยรายงานทีหลัง,หรือแบบตาควายทำลายเลยเพราะดินแดนของเรา สร้างใหม่ได้ เขมรมาใช้ตาควายเป็นตัวประกันฝันสลายเลย,เพราะวัตถุธาตุเราสร้างใหม่ซ่อมแซมได้,การปล่อยศัตรูมิใช่วิสัยสนามรบ, ..กองทัพไทยเรา มีปัญหาภายในจริงๆ,ระหว่างกองทัพบูรพาพยัคฆ์ที่โหนเจ้ามานาน โหนชื่อว่าทหารพระราชินี ถือว่าเสียพระเกียรติมาก,สมควรยุบขบวนการชื่อนี้ทิ้งทันที มันสร้างวิถีแตกแยกในกองทัพไทยได้ ไม่เป็นปึกแผ่นใจเดียวกันเลย,แม่ทัพภาค2สู้เขมรเอาเป็นเอาตาย,หันมาดูแม่ทัพภาค1.เสือกนิ่งเฉยตลอดทั้งภาคตะวันออก สุดท้ายแต่ละเรื่องที่สื่อและกูรูแฉตัวตนออกมาของทั้งกองทัพภาค1ถือว่าเสมือนเป็นภัยความมั่นคงต่ออธิปไตยไทยชาติไทยตนเองทั้งสิ้น บ่อนคาสิโนเขมรในจังหวัดตราดคือรากเหง้าชัดเจน,ทหารดีๆภายในกองทัพภาค1ต้องเสื่อมเสียเกียรติไปด้วย,ศาลทหารไทยไม่ทำหน้าที่,มีการเมืองภายในศาลทหารชัดเจน เสื่อมเสียเกียรติภูมิมากของศาลทหาร ที่ไม่ยอมจัดการผู้บังคับบัญชาชั่วเลวในกองทัพตนเองเลย ปล่อยปละละเลยทั้งที่การข่าวตนมีโคตรๆมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว,เป็นสายให้ทหารตำรวจก็สายไปแต่เสือกปล่อยลักษณะสร้างบ่อนคาสิโน ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา เน็ต จนครบวงจร หน่วยข่าวกรองทหาร ศาลทหารเราละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กำจัดคนชั่วเลวในกองทัพตนเสียเอง. ..วงการทหารและกองทัพไทยตนกวาดล้างกำจัดทำความสะอาดภายในกองทัพตนอย่างใหญ่หลวงจริงๆ,ประชาชนแบบเราๆสนับสนุนทหารน้ำดีทำการกวาดล้างทหารชั่วนายพลชั่วอดีตผู้นำกองทัพชั่วทันทีทั้งหมด,ตลอดรมต.กลาโหมทุกๆคนในอดีตที่ผ่านมาด้วยที่สร้างหายนะใหญ่หลวงต่อพิบัติภัยอธิปไตยดินแดนไทยแผ่นดินไทยเรานี้,พวกนี้ต้องถือกำจัดและลงโทษทุกๆคน. https://youtube.com/shorts/WgCWNsy-rQM?si=hkAZzSlpCUeSZayb
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แผนที่โลกกลับหัว: Robert Simmon ท้าทายความเคยชิน — เมื่อ ‘ใต้’ ขึ้นมาอยู่บนสุด โลกก็เปลี่ยนไป”

    ถ้าคุณหลับตาแล้วนึกถึงแผนที่โลก ภาพที่ปรากฏในหัวน่าจะเป็นแบบที่เราคุ้นเคย: อเมริกาเหนือและยุโรปอยู่ด้านบน แอฟริกาอยู่ตรงกลาง และออสเตรเลียกับแอนตาร์กติกาอยู่ด้านล่าง แต่ Robert Simmon นักทำแผนที่ผู้เคยร่วมงานกับ NASA Earth Observatory และ Planet Labs ได้ตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเป็นแบบนั้น?” และเขาได้ตอบด้วยการสร้างแผนที่โลกแบบ “south-up” หรือ “ใต้ขึ้นบน” ที่พลิกทุกอย่างกลับหัว

    แผนที่ของ Simmon ยังคงถูกต้องทางภูมิศาสตร์ทุกประการ มีประเทศ ทะเลสาบ เมือง และถนนครบถ้วน พร้อมแผนที่ย่อยแสดงชีวนิเวศของโลก การใช้ที่ดิน และความลึกของมหาสมุทร แต่เมื่อมองด้วยทิศใต้เป็นด้านบน ทุกอย่างดูแปลกตาและชวนให้ตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงยึดติดกับการวางทิศเหนือไว้ด้านบน?”

    ความจริงคือ แผนที่ในอดีตไม่ได้มีทิศเหนืออยู่ด้านบนเสมอไป ในยุคจีนโบราณ เช่น สมัยราชวงศ์ฮั่นและถัง นักเดินเรือใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก และแผนที่จำนวนมากในยุโรปยุคกลางก็มีทิศตะวันออกหรือใต้เป็นด้านบน การที่ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐานเกิดจากอิทธิพลของ Ptolemy ซึ่งเป็นผู้กำหนดเส้นละติจูดและลองจิจูด ทำให้แผนที่ที่ตามมารับเอาทิศเหนือไว้ด้านบนโดยอัตโนมัติ

    นอกจากนี้ยังมีมิติทางจิตวิทยา: เรามักมองว่าสิ่งที่อยู่ด้านบนคือ “ดี” และสิ่งที่อยู่ด้านล่างคือ “แย่” ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ทางภูมิศาสตร์ เช่น การมองว่าประเทศทางเหนือมีสถานะสูงกว่าโดยไม่รู้ตัว การเปลี่ยนแผนที่ให้ใต้ขึ้นบนจึงไม่ใช่แค่การกลับหัวภาพ — แต่เป็นการกลับหัวความคิด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Robert Simmon สร้างแผนที่โลกแบบ south-up เพื่อท้าทายความเคยชิน
    แผนที่มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ประเทศ เมือง ถนน มหาสมุทร และแผนที่ย่อย
    การวางทิศใต้ไว้ด้านบนทำให้ผู้ดูรู้สึกแปลกตาและตั้งคำถามกับมาตรฐานเดิม
    แผนที่นี้ถูกส่งเข้าร่วมโครงการ Maps.com เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ

    ประวัติศาสตร์และหลักการ
    ในอดีตแผนที่มีทิศใต้หรือทิศตะวันออกเป็นด้านบน ไม่ใช่ทิศเหนือเสมอไป
    นักเดินเรือจีนโบราณใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก
    Ptolemy เป็นผู้กำหนดระบบละติจูด–ลองจิจูด ทำให้ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐาน
    การวางทิศบนแผนที่มีผลต่อการรับรู้ทางจิตวิทยาและสังคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้แผนที่ south-up ถูกนำไปใช้ในห้องเรียนเพื่อกระตุ้นการคิดเชิงวิพากษ์
    นักวิจัยพบว่าเมื่อใช้แผนที่แบบ south-up อคติทางภูมิศาสตร์ลดลง
    ภาษาอังกฤษมีคำพูดที่สะท้อนอคติ เช่น “up north” กับ “down south”
    แผนที่แบบกลับหัวเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในศตวรรษที่ 20

    https://www.maps.com/this-map-is-not-upside-down/
    🗺️ “แผนที่โลกกลับหัว: Robert Simmon ท้าทายความเคยชิน — เมื่อ ‘ใต้’ ขึ้นมาอยู่บนสุด โลกก็เปลี่ยนไป” ถ้าคุณหลับตาแล้วนึกถึงแผนที่โลก ภาพที่ปรากฏในหัวน่าจะเป็นแบบที่เราคุ้นเคย: อเมริกาเหนือและยุโรปอยู่ด้านบน แอฟริกาอยู่ตรงกลาง และออสเตรเลียกับแอนตาร์กติกาอยู่ด้านล่าง แต่ Robert Simmon นักทำแผนที่ผู้เคยร่วมงานกับ NASA Earth Observatory และ Planet Labs ได้ตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเป็นแบบนั้น?” และเขาได้ตอบด้วยการสร้างแผนที่โลกแบบ “south-up” หรือ “ใต้ขึ้นบน” ที่พลิกทุกอย่างกลับหัว แผนที่ของ Simmon ยังคงถูกต้องทางภูมิศาสตร์ทุกประการ มีประเทศ ทะเลสาบ เมือง และถนนครบถ้วน พร้อมแผนที่ย่อยแสดงชีวนิเวศของโลก การใช้ที่ดิน และความลึกของมหาสมุทร แต่เมื่อมองด้วยทิศใต้เป็นด้านบน ทุกอย่างดูแปลกตาและชวนให้ตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงยึดติดกับการวางทิศเหนือไว้ด้านบน?” ความจริงคือ แผนที่ในอดีตไม่ได้มีทิศเหนืออยู่ด้านบนเสมอไป ในยุคจีนโบราณ เช่น สมัยราชวงศ์ฮั่นและถัง นักเดินเรือใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก และแผนที่จำนวนมากในยุโรปยุคกลางก็มีทิศตะวันออกหรือใต้เป็นด้านบน การที่ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐานเกิดจากอิทธิพลของ Ptolemy ซึ่งเป็นผู้กำหนดเส้นละติจูดและลองจิจูด ทำให้แผนที่ที่ตามมารับเอาทิศเหนือไว้ด้านบนโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีมิติทางจิตวิทยา: เรามักมองว่าสิ่งที่อยู่ด้านบนคือ “ดี” และสิ่งที่อยู่ด้านล่างคือ “แย่” ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ทางภูมิศาสตร์ เช่น การมองว่าประเทศทางเหนือมีสถานะสูงกว่าโดยไม่รู้ตัว การเปลี่ยนแผนที่ให้ใต้ขึ้นบนจึงไม่ใช่แค่การกลับหัวภาพ — แต่เป็นการกลับหัวความคิด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Robert Simmon สร้างแผนที่โลกแบบ south-up เพื่อท้าทายความเคยชิน ➡️ แผนที่มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ประเทศ เมือง ถนน มหาสมุทร และแผนที่ย่อย ➡️ การวางทิศใต้ไว้ด้านบนทำให้ผู้ดูรู้สึกแปลกตาและตั้งคำถามกับมาตรฐานเดิม ➡️ แผนที่นี้ถูกส่งเข้าร่วมโครงการ Maps.com เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ ✅ ประวัติศาสตร์และหลักการ ➡️ ในอดีตแผนที่มีทิศใต้หรือทิศตะวันออกเป็นด้านบน ไม่ใช่ทิศเหนือเสมอไป ➡️ นักเดินเรือจีนโบราณใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก ➡️ Ptolemy เป็นผู้กำหนดระบบละติจูด–ลองจิจูด ทำให้ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐาน ➡️ การวางทิศบนแผนที่มีผลต่อการรับรู้ทางจิตวิทยาและสังคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้แผนที่ south-up ถูกนำไปใช้ในห้องเรียนเพื่อกระตุ้นการคิดเชิงวิพากษ์ ➡️ นักวิจัยพบว่าเมื่อใช้แผนที่แบบ south-up อคติทางภูมิศาสตร์ลดลง ➡️ ภาษาอังกฤษมีคำพูดที่สะท้อนอคติ เช่น “up north” กับ “down south” ➡️ แผนที่แบบกลับหัวเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในศตวรรษที่ 20 https://www.maps.com/this-map-is-not-upside-down/
    WWW.MAPS.COM
    This Map Is Not Upside Down
    While conventional and commonplace today, maps have not always had north at the top. And they don't need to.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • “10 พฤติกรรมที่ทำลายอาชีพผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยไม่รู้ตัว!”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO หรือหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยขององค์กรใหญ่ ทุกอย่างดูไปได้สวย…จนกระทั่งคุณเริ่มถูกมองว่าเป็น “ตัวขัดขวางธุรกิจ” หรือ “คนที่พูดแต่เรื่องเทคนิค” แล้วเส้นทางอาชีพที่เคยมั่นคงก็เริ่มสั่นคลอน

    บทความนี้จาก CSO Online ได้รวบรวม 10 พฤติกรรมที่อาจทำลายอาชีพของผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้จะไม่ได้ผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณ แต่ก็สามารถทำให้คุณถูกมองข้าม ถูกลดบทบาท หรือแม้แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ หากไม่รู้จักปรับตัว

    สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายข้อไม่ใช่เรื่องเทคนิคเลย แต่เป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” และ “วิธีคิด” เช่น การไม่เข้าใจธุรกิจ, การไม่ยืดหยุ่น, การไม่สื่อสาร หรือแม้แต่การไม่เข้าใจ AI ว่ามันเปลี่ยนภูมิทัศน์ภัยคุกคามไปอย่างไร

    1. ไม่เชื่อมโยงกลยุทธ์ความปลอดภัยกับเป้าหมายธุรกิจ
    ผู้นำที่ยังมองความปลอดภัยเป็น “ต้นทุน” จะถูกมองว่าไม่สนับสนุนการเติบโต
    ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เฝ้าประตู” เป็น “ผู้สนับสนุนความก้าวหน้า”

    2. เป็นแค่คนเทคนิค ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจ
    ขาดทักษะในการวัดผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อรายได้
    ควรหาที่ปรึกษานอกสายงาน IT เพื่อพัฒนาทักษะธุรกิจ

    3. ไม่สามารถพูดคำว่า “ใช่” ได้
    ต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้
    คำว่า “ใช่ แต่ขอให้ปลอดภัย” จะสร้างความร่วมมือมากกว่า “ไม่”

    4. ขีดเส้นแดงกับธุรกิจ
    การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวจะทำให้ธุรกิจหาทางเลี่ยงคุณ
    ควรหาทางออกที่ปลอดภัยแทนการปิดประตูใส่กัน

    5. ยึดติดกับกฎเกินไป
    การยืดหยุ่นในบางกรณี เช่น การอนุญาตแอปชั่วคราว พร้อมควบคุมความเสี่ยง
    แสดงให้เห็นว่าทีมความปลอดภัยเป็น “พันธมิตร” ไม่ใช่ “อุปสรรค”

    6. เข้าใจ AI ผิด
    AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “ภูมิประเทศใหม่” ที่เปลี่ยนรูปแบบภัยคุกคาม
    ผู้นำที่ยังใช้ตรรกะเก่า จะตอบสนองต่อภัยที่ไม่มีอยู่จริง

    7. มองไม่เห็นระบบที่ต้องปกป้อง
    ต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างระบบต่างๆ ทั้งเทคนิค เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
    การขาด “การรับรู้แบบสังเคราะห์” จะทำให้การควบคุมล้มเหลว

    8. ทำงานคนเดียว ไม่สร้างเครือข่าย
    การสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
    ควรเปิดใจ เรียนรู้จากผู้อื่น และแสดงความสนใจในงานของคนอื่น

    9. ไม่ให้เวลาและความสนใจ
    การปฏิเสธคำถามหรือข้อกังวลเล็กๆ อาจทำให้คนไม่กล้ารายงานปัญหาอีก
    การรับฟังอย่างจริงใจอาจเปิดเผยช่องโหว่สำคัญที่ซ่อนอยู่

    10. รับมือเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลผิดพลาด
    การมีแผนรับมือที่ซ้อมมาแล้วจะช่วยลดผลกระทบ
    การสื่อสารอย่างชัดเจนและควบคุมสถานการณ์คือสิ่งที่องค์กรต้องการ

    https://www.csoonline.com/article/4051656/10-security-leadership-career-killers-and-how-to-avoid-them.html
    🧨 “10 พฤติกรรมที่ทำลายอาชีพผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยไม่รู้ตัว!” ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO หรือหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยขององค์กรใหญ่ ทุกอย่างดูไปได้สวย…จนกระทั่งคุณเริ่มถูกมองว่าเป็น “ตัวขัดขวางธุรกิจ” หรือ “คนที่พูดแต่เรื่องเทคนิค” แล้วเส้นทางอาชีพที่เคยมั่นคงก็เริ่มสั่นคลอน บทความนี้จาก CSO Online ได้รวบรวม 10 พฤติกรรมที่อาจทำลายอาชีพของผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้จะไม่ได้ผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณ แต่ก็สามารถทำให้คุณถูกมองข้าม ถูกลดบทบาท หรือแม้แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ หากไม่รู้จักปรับตัว สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายข้อไม่ใช่เรื่องเทคนิคเลย แต่เป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” และ “วิธีคิด” เช่น การไม่เข้าใจธุรกิจ, การไม่ยืดหยุ่น, การไม่สื่อสาร หรือแม้แต่การไม่เข้าใจ AI ว่ามันเปลี่ยนภูมิทัศน์ภัยคุกคามไปอย่างไร ✅ 1. ไม่เชื่อมโยงกลยุทธ์ความปลอดภัยกับเป้าหมายธุรกิจ ➡️ ผู้นำที่ยังมองความปลอดภัยเป็น “ต้นทุน” จะถูกมองว่าไม่สนับสนุนการเติบโต ➡️ ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เฝ้าประตู” เป็น “ผู้สนับสนุนความก้าวหน้า” ✅ 2. เป็นแค่คนเทคนิค ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจ ➡️ ขาดทักษะในการวัดผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อรายได้ ➡️ ควรหาที่ปรึกษานอกสายงาน IT เพื่อพัฒนาทักษะธุรกิจ ✅ 3. ไม่สามารถพูดคำว่า “ใช่” ได้ ➡️ ต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ ➡️ คำว่า “ใช่ แต่ขอให้ปลอดภัย” จะสร้างความร่วมมือมากกว่า “ไม่” ✅ 4. ขีดเส้นแดงกับธุรกิจ ➡️ การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวจะทำให้ธุรกิจหาทางเลี่ยงคุณ ➡️ ควรหาทางออกที่ปลอดภัยแทนการปิดประตูใส่กัน ✅ 5. ยึดติดกับกฎเกินไป ➡️ การยืดหยุ่นในบางกรณี เช่น การอนุญาตแอปชั่วคราว พร้อมควบคุมความเสี่ยง ➡️ แสดงให้เห็นว่าทีมความปลอดภัยเป็น “พันธมิตร” ไม่ใช่ “อุปสรรค” ✅ 6. เข้าใจ AI ผิด ➡️ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “ภูมิประเทศใหม่” ที่เปลี่ยนรูปแบบภัยคุกคาม ➡️ ผู้นำที่ยังใช้ตรรกะเก่า จะตอบสนองต่อภัยที่ไม่มีอยู่จริง ✅ 7. มองไม่เห็นระบบที่ต้องปกป้อง ➡️ ต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างระบบต่างๆ ทั้งเทคนิค เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ➡️ การขาด “การรับรู้แบบสังเคราะห์” จะทำให้การควบคุมล้มเหลว ✅ 8. ทำงานคนเดียว ไม่สร้างเครือข่าย ➡️ การสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ➡️ ควรเปิดใจ เรียนรู้จากผู้อื่น และแสดงความสนใจในงานของคนอื่น ✅ 9. ไม่ให้เวลาและความสนใจ ➡️ การปฏิเสธคำถามหรือข้อกังวลเล็กๆ อาจทำให้คนไม่กล้ารายงานปัญหาอีก ➡️ การรับฟังอย่างจริงใจอาจเปิดเผยช่องโหว่สำคัญที่ซ่อนอยู่ ✅ 10. รับมือเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลผิดพลาด ➡️ การมีแผนรับมือที่ซ้อมมาแล้วจะช่วยลดผลกระทบ ➡️ การสื่อสารอย่างชัดเจนและควบคุมสถานการณ์คือสิ่งที่องค์กรต้องการ https://www.csoonline.com/article/4051656/10-security-leadership-career-killers-and-how-to-avoid-them.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    10 security leadership career-killers — and how to avoid them
    From failing to align security strategy to business priorities, to fumbling a breach, CISOs and aspiring security leaders can hamper their professional ambitions through a range of preventable missteps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด

    ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง

    สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก

    ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที

    แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ

    Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search
    มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง
    แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน
    ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง

    Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์
    มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง
    ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools
    เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย

    การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้
    AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล
    ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ
    ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค

    การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์
    Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix
    Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder
    การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด

    https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    🎙️ เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ ✅ Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search ➡️ มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง ➡️ แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน ➡️ ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง ✅ Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์ ➡️ มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง ➡️ ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย ✅ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล ➡️ ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ ➡️ ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค ✅ การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์ ➡️ Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix ➡️ Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder ➡️ การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง”

    Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง

    เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ

    แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2

    เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง

    Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน

    ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง
    เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน
    ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์
    สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow

    ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง
    การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
    การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ
    การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง

    ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย
    การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory)
    การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่
    ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น

    ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ
    การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack
    ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้

    ความเปราะบางของระบบประสาท
    การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว
    หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ”
    ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน
    การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม

    https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    🎙️ เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง” Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2 เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ✅ ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง ➡️ เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน ➡️ ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์ ➡️ สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow ✅ ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง ➡️ การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ➡️ การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ ➡️ การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย ➡️ การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory) ➡️ การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่ ➡️ ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ ⛔ การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack ⛔ ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้ ‼️ ความเปราะบางของระบบประสาท ⛔ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว ⛔ หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้ ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ” ⛔ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน ⛔ การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    WWW.HENRIKKARLSSON.XYZ
    Almost anything you give sustained attention to will begin to loop on itself and bloom
    When people talk about the value of paying attention and slowing down, they often make it sound prudish and monk-like. But we shouldn’t forget how interesting and overpoweringly pleasurable sustained attention can be.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากลมหายใจ: เมื่อการหายใจลึกกลายเป็นประตูสู่จิตวิญญาณ

    ในยุคที่ผู้คนแสวงหาวิธีเยียวยาจิตใจโดยไม่พึ่งยา งานวิจัยล่าสุดจาก Brighton and Sussex Medical School ได้เปิดเผยว่า “การหายใจแบบแรงและเร็ว” หรือ High Ventilation Breathwork (HVB) เมื่อทำร่วมกับดนตรี สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก (Altered States of Consciousness – ASC) ที่คล้ายกับผลของสารไซคีเดลิก เช่น psilocybin หรือ LSD

    ผู้เข้าร่วมทดลองหายใจแบบ HVB เป็นเวลา 20–30 นาที พร้อมฟังดนตรีที่เร้าอารมณ์ แล้วตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกภายใน 30 นาทีหลังจบกิจกรรม ผลลัพธ์น่าทึ่ง: ผู้เข้าร่วมรายงานว่ารู้สึกถึง “Oceanic Boundlessness” หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ความสุขล้น และการปลดปล่อยทางอารมณ์

    สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ HVB จะลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมอง แต่กลับเพิ่มการไหลเวียนในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจำ เช่น amygdala และ hippocampus ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของผลการบำบัด

    ผลกระทบทางสมองจาก HVB
    ลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมองโดยเฉลี่ย 30–40%
    เพิ่มการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดใน amygdala และ anterior hippocampus
    ลดการไหลเวียนใน posterior insula และ parietal operculum ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ภายในร่างกาย

    ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก HVB
    ผู้เข้าร่วมรายงานความรู้สึก “Oceanic Boundlessness” (OBN) ซึ่งรวมถึงความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และการปลดปล่อย
    คะแนน OBN สูงสุดเกิดในห้องทดลอง (LAB) รองลงมาคือ MRI และต่ำสุดในแบบออนไลน์
    HVB ลดความรู้สึกด้านลบ เช่น ความกลัวและอารมณ์ลบ โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง

    กลไกทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง
    HVB ทำให้เกิด respiratory alkalosis จากการลด CO₂ ในเลือด
    ส่งผลให้เกิด vasoconstriction และเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในสมอง
    ลด HRV (Heart Rate Variability) ซึ่งสะท้อนถึงการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic

    ความเชื่อมโยงกับการบำบัดแบบไซคีเดลิก
    ประสบการณ์ OBN มีความคล้ายคลึงกับผลของ psilocybin และ LSD
    การเปลี่ยนแปลงใน insula และ amygdala คล้ายกับผลของยาไซคีเดลิกในการบำบัดภาวะซึมเศร้า
    HVB อาจช่วยให้ผู้เข้าร่วมเผชิญและประมวลผลความทรงจำทางอารมณ์ได้ดีขึ้น

    ความเสี่ยงจากการลด CO₂ มากเกินไป
    อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือหมดสติในผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อน
    การลด CO₂ มากเกินไปอาจกระทบสมดุลกรด-ด่างในเลือด

    ข้อจำกัดของงานวิจัย
    ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และไม่มีกลุ่มควบคุมที่ฟังเพลงอย่างเดียว
    ผลลัพธ์อาจไม่สามารถสรุปกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ HVB มาก่อน

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HRV
    แม้ HRV ลดลงจะสะท้อนถึงความเครียด แต่ในบริบท HVB อาจหมายถึงการเปิดรับประสบการณ์เชิงบวก
    ต้องระวังไม่ตีความ HRV ต่ำว่าเป็นผลเสียเสมอไป

    https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0329411
    🎙️ เรื่องเล่าจากลมหายใจ: เมื่อการหายใจลึกกลายเป็นประตูสู่จิตวิญญาณ ในยุคที่ผู้คนแสวงหาวิธีเยียวยาจิตใจโดยไม่พึ่งยา งานวิจัยล่าสุดจาก Brighton and Sussex Medical School ได้เปิดเผยว่า “การหายใจแบบแรงและเร็ว” หรือ High Ventilation Breathwork (HVB) เมื่อทำร่วมกับดนตรี สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก (Altered States of Consciousness – ASC) ที่คล้ายกับผลของสารไซคีเดลิก เช่น psilocybin หรือ LSD ผู้เข้าร่วมทดลองหายใจแบบ HVB เป็นเวลา 20–30 นาที พร้อมฟังดนตรีที่เร้าอารมณ์ แล้วตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกภายใน 30 นาทีหลังจบกิจกรรม ผลลัพธ์น่าทึ่ง: ผู้เข้าร่วมรายงานว่ารู้สึกถึง “Oceanic Boundlessness” หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ความสุขล้น และการปลดปล่อยทางอารมณ์ สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ HVB จะลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมอง แต่กลับเพิ่มการไหลเวียนในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจำ เช่น amygdala และ hippocampus ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของผลการบำบัด ✅ ผลกระทบทางสมองจาก HVB ➡️ ลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมองโดยเฉลี่ย 30–40% ➡️ เพิ่มการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดใน amygdala และ anterior hippocampus ➡️ ลดการไหลเวียนใน posterior insula และ parietal operculum ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ภายในร่างกาย ✅ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก HVB ➡️ ผู้เข้าร่วมรายงานความรู้สึก “Oceanic Boundlessness” (OBN) ซึ่งรวมถึงความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และการปลดปล่อย ➡️ คะแนน OBN สูงสุดเกิดในห้องทดลอง (LAB) รองลงมาคือ MRI และต่ำสุดในแบบออนไลน์ ➡️ HVB ลดความรู้สึกด้านลบ เช่น ความกลัวและอารมณ์ลบ โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ✅ กลไกทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง ➡️ HVB ทำให้เกิด respiratory alkalosis จากการลด CO₂ ในเลือด ➡️ ส่งผลให้เกิด vasoconstriction และเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในสมอง ➡️ ลด HRV (Heart Rate Variability) ซึ่งสะท้อนถึงการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ✅ ความเชื่อมโยงกับการบำบัดแบบไซคีเดลิก ➡️ ประสบการณ์ OBN มีความคล้ายคลึงกับผลของ psilocybin และ LSD ➡️ การเปลี่ยนแปลงใน insula และ amygdala คล้ายกับผลของยาไซคีเดลิกในการบำบัดภาวะซึมเศร้า ➡️ HVB อาจช่วยให้ผู้เข้าร่วมเผชิญและประมวลผลความทรงจำทางอารมณ์ได้ดีขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจากการลด CO₂ มากเกินไป ⛔ อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือหมดสติในผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อน ⛔ การลด CO₂ มากเกินไปอาจกระทบสมดุลกรด-ด่างในเลือด ‼️ ข้อจำกัดของงานวิจัย ⛔ ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และไม่มีกลุ่มควบคุมที่ฟังเพลงอย่างเดียว ⛔ ผลลัพธ์อาจไม่สามารถสรุปกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ HVB มาก่อน ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HRV ⛔ แม้ HRV ลดลงจะสะท้อนถึงความเครียด แต่ในบริบท HVB อาจหมายถึงการเปิดรับประสบการณ์เชิงบวก ⛔ ต้องระวังไม่ตีความ HRV ต่ำว่าเป็นผลเสียเสมอไป https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0329411
    JOURNALS.PLOS.ORG
    Neurobiological substrates of altered states of consciousness induced by high ventilation breathwork accompanied by music
    The popularity of breathwork as a therapeutic tool for psychological distress is rapidly expanding. Breathwork practices that increase ventilatory rate or depth, facilitated by music, can evoke subjective experiential states analogous to altered states of consciousness (ASCs) evoked by psychedelic substances. These states include components such as euphoria, bliss, and perceptual differences. However, the neurobiological mechanisms underlying the profound subjective effects of high ventilation breathwork (HVB) remain largely unknown and unexplored. In this study, we investigated the neurobiological substrates of ASCs induced by HVB in experienced practitioners. We demonstrate that the intensity of ASCs evoked by HVB was proportional to cardiovascular sympathetic activation and to haemodynamic alterations in cerebral perfusion within clusters spanning the left operculum/posterior insula and right amygdala/anterior hippocampus; regions implicated in respiratory interoceptive representation and the processing of emotional memories, respectively. These observed regional cerebral effects may underlie pivotal mental experiences that mediate positive therapeutic outcomes of HVB.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts