• #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (3)

    มาใช้จินตนาการกันต่อ...เมื่อคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการตัวต่อไปที่จะสร้างปัญหาให้กับชีวิตของคุณและส่งผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ก็คือ...
    Tyrosineหรือ 4-hydroxyphenylalanine
    กรดอะมิโนกึ่งจำเป็นที่ร่างกายต้องมีเพื่อต่อต้านฮอร์โมนแห่งความเครียด เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท มีหน้าที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทกับสมอง ร่างกายจะได้รับฟีนิลอะลานีนจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไก่ เนื้อ ถั่งลิสง อะโวคาโดเป็นต้น หลังจากรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ร่างกายจะนำไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) -> โดปา (Dopa) -> โดปามีน (Dopamine) -> นอร์อะดรีนาลิน (Noradrenaline) -> อะดรีนาลิน (adrenaline) ตามลำดับ
    ฮอร์โมนโดปามีน (Dopamine) และฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออาจเรียกว่าเอพิเนฟรีน (Epinephrine) ช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึกสนุกสนานกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน ช่วยสร้างเสริมความตื่นตัวและความกระฉับกระเฉง เพิ่มความจำ ช่วยให้รู้สึกมีความสุข การรับรู้ ความจำและการเรียนรู้
    นอกจากร่างกายจะใช้ไทโรซีนเพื่อการสร้างสารสื่อประสาทหลายชนิดแล้วพวกมันยังถูกใช้ในการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนอีกด้วย..นั่นอาจหมายถึงผู้ที่มีปัญหาของต่อมไทรอยด์..คุณอาจมีปัญหาในการย่อยโปรตีนด้วย...ใช่หรือไม่..!!
    ...!! ย้ำอีกครั้ง...!!
    จะเห็นได้ว่าทุกเรื่องราวมีลำดับ..เป็นขั้นเป็นตอน
    ฟีนิลอะลานีนต้องถูกเปลี่ยนเป็นไทโรซีนก่อนจึงจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากไม่มีการเปลี่ยนเป็นไทโรซีน ไม่ว่าจะเป็นเพราะขาดเอนไซม์หรือเพราะร่างกายส่วนอื่นต้องการใช้ฟีนิลอะลานีนก็ตาม จะทำให้สมองสร้างสารที่ชื่อว่า นอร์เอพิเนฟวินน้อยลงซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าขึ้นได้
    จะเห็นได้ว่า..ไทโรซีนส่งเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมองและต่อมไทรอยด์รวมถึงยังช่วยกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ช่วยแก้ไขอารมณ์ซึมเศร้า ช่วยคลายเครียด ช่วยฟื้นฟูความจำ ช่วยกระตุ้นความรู้สึก เพิ่มแรงขับทางเพศและการสร้างของนอร์เอพิเนฟวิน
    จากจุดเริ่มต้นที่ใครบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ มันเริ่มจะไม่เล็กอย่างที่คิดแล้วใช่ไหม..!!
    ดังนั้นถ้าคุณมีปัญหาที่ถูกวินิจฉัยว่าเกิดจากสมองของคุณ...ให้พิจารณาการย่อยของคุณเป็นลำดับแรก....ก่อนใช้ยาที่รักษาด้านสมองของคุณ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (3) มาใช้จินตนาการกันต่อ...เมื่อคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการตัวต่อไปที่จะสร้างปัญหาให้กับชีวิตของคุณและส่งผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ก็คือ... Tyrosineหรือ 4-hydroxyphenylalanine กรดอะมิโนกึ่งจำเป็นที่ร่างกายต้องมีเพื่อต่อต้านฮอร์โมนแห่งความเครียด เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท มีหน้าที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทกับสมอง ร่างกายจะได้รับฟีนิลอะลานีนจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไก่ เนื้อ ถั่งลิสง อะโวคาโดเป็นต้น หลังจากรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ร่างกายจะนำไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) -> โดปา (Dopa) -> โดปามีน (Dopamine) -> นอร์อะดรีนาลิน (Noradrenaline) -> อะดรีนาลิน (adrenaline) ตามลำดับ ฮอร์โมนโดปามีน (Dopamine) และฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออาจเรียกว่าเอพิเนฟรีน (Epinephrine) ช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึกสนุกสนานกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน ช่วยสร้างเสริมความตื่นตัวและความกระฉับกระเฉง เพิ่มความจำ ช่วยให้รู้สึกมีความสุข การรับรู้ ความจำและการเรียนรู้ นอกจากร่างกายจะใช้ไทโรซีนเพื่อการสร้างสารสื่อประสาทหลายชนิดแล้วพวกมันยังถูกใช้ในการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนอีกด้วย..นั่นอาจหมายถึงผู้ที่มีปัญหาของต่อมไทรอยด์..คุณอาจมีปัญหาในการย่อยโปรตีนด้วย...ใช่หรือไม่..!! ...!! ย้ำอีกครั้ง...!! จะเห็นได้ว่าทุกเรื่องราวมีลำดับ..เป็นขั้นเป็นตอน ฟีนิลอะลานีนต้องถูกเปลี่ยนเป็นไทโรซีนก่อนจึงจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากไม่มีการเปลี่ยนเป็นไทโรซีน ไม่ว่าจะเป็นเพราะขาดเอนไซม์หรือเพราะร่างกายส่วนอื่นต้องการใช้ฟีนิลอะลานีนก็ตาม จะทำให้สมองสร้างสารที่ชื่อว่า นอร์เอพิเนฟวินน้อยลงซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าขึ้นได้ จะเห็นได้ว่า..ไทโรซีนส่งเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมองและต่อมไทรอยด์รวมถึงยังช่วยกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ช่วยแก้ไขอารมณ์ซึมเศร้า ช่วยคลายเครียด ช่วยฟื้นฟูความจำ ช่วยกระตุ้นความรู้สึก เพิ่มแรงขับทางเพศและการสร้างของนอร์เอพิเนฟวิน จากจุดเริ่มต้นที่ใครบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ มันเริ่มจะไม่เล็กอย่างที่คิดแล้วใช่ไหม..!! ดังนั้นถ้าคุณมีปัญหาที่ถูกวินิจฉัยว่าเกิดจากสมองของคุณ...ให้พิจารณาการย่อยของคุณเป็นลำดับแรก....ก่อนใช้ยาที่รักษาด้านสมองของคุณ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์ BadBox แพร่กระจายโจมตีอุปกรณ์ Android กว่า 192,000 เครื่องทั่วโลก

    มัลแวร์ BadBox กำลังเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง โดยมีรายงานการแพร่กระจายไปยังอุปกรณ์ Android กว่า 192,000 เครื่องทั่วโลก แม้ว่าหน่วยงานความมั่นคงในเยอรมนีจะพยายามยับยั้งการแพร่ระบาดแล้ว แต่มัลแวร์นี้ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

    =ต้นกำเนิดและเป้าหมายของ BadBox=
    BadBox เริ่มต้นจากการโจมตีอุปกรณ์ที่ผลิตโดยแบรนด์ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ก่อนจะขยายเป้าหมายไปยังอุปกรณ์ที่มีชื่อเสียง เช่น โทรทัศน์ Yandex และสมาร์ทโฟน Hisense
    เป้าหมายหลักของ BadBox คือผลประโยชน์ทางการเงิน โดยมัลแวร์นี้จะเปลี่ยนอุปกรณ์ให้เป็น พร็อกซี สำหรับการโจมตีหรือฉ้อโกงโฆษณา นอกจากนี้ ยังสามารถติดตั้งมัลแวร์เพิ่มเติมในอุปกรณ์ Android เพื่อดำเนินกิจกรรมที่อันตรายยิ่งขึ้น

    =ความพยายามหยุดยั้งและสถานการณ์ปัจจุบัน=
    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานความมั่นคงในเยอรมนีสามารถปิดการทำงานบางส่วนของเซิร์ฟเวอร์ควบคุมมัลแวร์นี้ได้ แต่การแพร่กระจายยังคงดำเนินต่อไป

    นักวิจัยจาก BitSight พบว่ามัลแวร์ BadBox ติดตั้งในโทรทัศน์และสมาร์ทโฟนกว่า 192,000 เครื่อง โดยอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ได้แก่
    - โทรทัศน์ Yandex 4K QLED Smart TV ซึ่งได้รับความนิยมในรัสเซีย
    - สมาร์ทโฟน Hisense T9631

    =การป้องกันมัลแวร์ BadBox=
    เพื่อป้องกันอุปกรณ์จากการติดมัลแวร์ ผู้ใช้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:
    - อัปเดตเฟิร์มแวร์ ของอุปกรณ์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ
    - แยกอุปกรณ์สมาร์ท ออกจากเครือข่ายที่สำคัญ
    - ตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ต เมื่อไม่ใช้งาน
    - หากอุปกรณ์ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยหรือเฟิร์มแวร์ ผู้ใช้ควรพิจารณาตัดการเชื่อมต่อจากเครือข่ายหรือปิดเครื่อง

    =สัญญาณการติดมัลแวร์ BadBox=
    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้จากอาการดังต่อไปนี้:
    - อุปกรณ์ร้อนผิดปกติ
    - ประสิทธิภาพลดลงจากการใช้งานโปรเซสเซอร์ที่สูง
    - มีการใช้ bandwidth สูงผิดปกติ
    - การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าที่ไม่ได้ตั้งใจ
    การรับรู้และป้องกันภัยคุกคามเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อปกป้องอุปกรณ์และข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ.

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/badbox-malware-botnet-infects-192-000-android-devices-despite-disruption/
    มัลแวร์ BadBox แพร่กระจายโจมตีอุปกรณ์ Android กว่า 192,000 เครื่องทั่วโลก มัลแวร์ BadBox กำลังเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง โดยมีรายงานการแพร่กระจายไปยังอุปกรณ์ Android กว่า 192,000 เครื่องทั่วโลก แม้ว่าหน่วยงานความมั่นคงในเยอรมนีจะพยายามยับยั้งการแพร่ระบาดแล้ว แต่มัลแวร์นี้ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง =ต้นกำเนิดและเป้าหมายของ BadBox= BadBox เริ่มต้นจากการโจมตีอุปกรณ์ที่ผลิตโดยแบรนด์ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ก่อนจะขยายเป้าหมายไปยังอุปกรณ์ที่มีชื่อเสียง เช่น โทรทัศน์ Yandex และสมาร์ทโฟน Hisense เป้าหมายหลักของ BadBox คือผลประโยชน์ทางการเงิน โดยมัลแวร์นี้จะเปลี่ยนอุปกรณ์ให้เป็น พร็อกซี สำหรับการโจมตีหรือฉ้อโกงโฆษณา นอกจากนี้ ยังสามารถติดตั้งมัลแวร์เพิ่มเติมในอุปกรณ์ Android เพื่อดำเนินกิจกรรมที่อันตรายยิ่งขึ้น =ความพยายามหยุดยั้งและสถานการณ์ปัจจุบัน= เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานความมั่นคงในเยอรมนีสามารถปิดการทำงานบางส่วนของเซิร์ฟเวอร์ควบคุมมัลแวร์นี้ได้ แต่การแพร่กระจายยังคงดำเนินต่อไป นักวิจัยจาก BitSight พบว่ามัลแวร์ BadBox ติดตั้งในโทรทัศน์และสมาร์ทโฟนกว่า 192,000 เครื่อง โดยอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ได้แก่ - โทรทัศน์ Yandex 4K QLED Smart TV ซึ่งได้รับความนิยมในรัสเซีย - สมาร์ทโฟน Hisense T9631 =การป้องกันมัลแวร์ BadBox= เพื่อป้องกันอุปกรณ์จากการติดมัลแวร์ ผู้ใช้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้: - อัปเดตเฟิร์มแวร์ ของอุปกรณ์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ - แยกอุปกรณ์สมาร์ท ออกจากเครือข่ายที่สำคัญ - ตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ต เมื่อไม่ใช้งาน - หากอุปกรณ์ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยหรือเฟิร์มแวร์ ผู้ใช้ควรพิจารณาตัดการเชื่อมต่อจากเครือข่ายหรือปิดเครื่อง =สัญญาณการติดมัลแวร์ BadBox= ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้จากอาการดังต่อไปนี้: - อุปกรณ์ร้อนผิดปกติ - ประสิทธิภาพลดลงจากการใช้งานโปรเซสเซอร์ที่สูง - มีการใช้ bandwidth สูงผิดปกติ - การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าที่ไม่ได้ตั้งใจ การรับรู้และป้องกันภัยคุกคามเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อปกป้องอุปกรณ์และข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ. https://www.bleepingcomputer.com/news/security/badbox-malware-botnet-infects-192-000-android-devices-despite-disruption/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    BadBox malware botnet infects 192,000 Android devices despite disruption
    The BadBox Android malware botnet has grown to over 192,000 infected devices worldwide despite a recent sinkhole operation that attempted to disrupt the operation in Germany.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนไทยรุ่นๆ ที่ปิดหูปิดการรับรู้ทั้งหลาย ตื่นตัวได้แล้ว ดูกัมพูชาเค้าคิด ปี 2565 https://youtu.be/kAt_ZWMR6mw?si=1YlhDVJ-V1oDQ-MM
    คนไทยรุ่นๆ ที่ปิดหูปิดการรับรู้ทั้งหลาย ตื่นตัวได้แล้ว ดูกัมพูชาเค้าคิด ปี 2565 https://youtu.be/kAt_ZWMR6mw?si=1YlhDVJ-V1oDQ-MM
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ้วน เบาหวาน ความดันสูงบ้างต่ำบ้าง-ผันผวน (BP variability) แถมทอดหุ่ยขี้เกียจเนือยนิ่ง โปะยาสารพัด แล้วสมองเสื่อมถามหาอย่างแน่ความผันผวน ของความดันโลหิต -ภาวะสมองเสื่อม และบทบาทของยาลดความดันโลหิตในผู้สูงอายุวารสาร โรค อัลไซเมอร์ 19 ม.ค. 2023 ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างความแปรปรวนของความดันโลหิต (BPV) นานถึง 12 ปีกับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมตามมา และทดสอบการเปลี่ยนแปลงผลของยาลดความดันโลหิตศึกษาผู้เข้าร่วม 2,234 คนจากกลุ่มผู้สูงอายุสองกลุ่ม ที่มีการรับรู้ปกติหรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย ผู้เข้าร่วมได้รับการติดตามผ่านการประเมินประจำปีเป็นเวลานานถึง 27 ปี BPV ถูก ประเมิน ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปี ตามลำดับความดันโลหิตซิสโตลิก ตัวบน ที่ผันผวน (SBPV) มากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปีมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมตามมา และ SBPV และความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมยังพบมากขึ้นในกลุ่มผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้รับความดัน ชนิด แคลเซียมแชนเนลบล็อกเกอร์ (p-for ปฏิสัมพันธ์ < 0.05)สรุป ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปี ความดันโลหิตตัวบนยิ่งสูงบ้าง ต่ำบ้างในระยะยาวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมในภายหลังและ ยา calcium chain blocker อาจลดความเสี่ยงที่มา: Alzheimer's & Dementia : The Journal Of The Alzheimer's Association Blood pressure variability, dementia, and role of antihypertensive medications in older adults.ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    อ้วน เบาหวาน ความดันสูงบ้างต่ำบ้าง-ผันผวน (BP variability) แถมทอดหุ่ยขี้เกียจเนือยนิ่ง โปะยาสารพัด แล้วสมองเสื่อมถามหาอย่างแน่ความผันผวน ของความดันโลหิต -ภาวะสมองเสื่อม และบทบาทของยาลดความดันโลหิตในผู้สูงอายุวารสาร โรค อัลไซเมอร์ 19 ม.ค. 2023 ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างความแปรปรวนของความดันโลหิต (BPV) นานถึง 12 ปีกับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมตามมา และทดสอบการเปลี่ยนแปลงผลของยาลดความดันโลหิตศึกษาผู้เข้าร่วม 2,234 คนจากกลุ่มผู้สูงอายุสองกลุ่ม ที่มีการรับรู้ปกติหรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย ผู้เข้าร่วมได้รับการติดตามผ่านการประเมินประจำปีเป็นเวลานานถึง 27 ปี BPV ถูก ประเมิน ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปี ตามลำดับความดันโลหิตซิสโตลิก ตัวบน ที่ผันผวน (SBPV) มากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปีมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมตามมา และ SBPV และความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมยังพบมากขึ้นในกลุ่มผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้รับความดัน ชนิด แคลเซียมแชนเนลบล็อกเกอร์ (p-for ปฏิสัมพันธ์ < 0.05)สรุป ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปี ความดันโลหิตตัวบนยิ่งสูงบ้าง ต่ำบ้างในระยะยาวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมในภายหลังและ ยา calcium chain blocker อาจลดความเสี่ยงที่มา: Alzheimer's & Dementia : The Journal Of The Alzheimer's Association Blood pressure variability, dementia, and role of antihypertensive medications in older adults.ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดช่องยื่นผู้ตรวจฯ ส่งศาลฉีก MOU2544 ก่อนตัดสินใจลงถนน
    .
    ปมประเด็นปัญหาในเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาผ่านกรณีMOU 2544 นั้น ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ และมีนักวิชาการ รวมไปถึงผู้ทรงคุณวุฒิออกมาให้ความเห็นเป็นอย่างมาก โดยนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า "MOU 2544 มีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่? กรณีที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2567 ขอให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่กรณี MOU 2544 และ JC 2544 ซึ่งมีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ขัดต่อพระบรมราชโองการฯและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย อันเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียเอกราช อำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตยและบูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องและเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยนั้น ผมเห็นด้วยกับเหตุผลตามหนังสือดังกล่าวทุกประการ เพราะหากรัฐบาลยังดำเนินการใดๆต่อไปตาม MOU 2544 เท่ากับเป็นการเปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ”เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย กลายเป็น “การรับรู้” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลโดยปริยาย"
    .
    "ดังนั้นการที่รัฐบาลไทย “รับรู้” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล แม้ว่ารัฐบาลไทยจะอ้างว่ายังคงปฏิเสธการลากเส้นของกัมพูชาดังกล่าว ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดของเราคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว และกลายเป็นการยอมรับความไม่ชัดเจนของพื้นที่อาณาเขตทางทะเลว่ามีความเหลื่อมซ้อนกันอยู่ระหว่างสองประเทศ ตลอดทั้งการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีไทยในทำนองว่าหากตกลงกันไม่ได้ ก็แบ่งครึ่งกัน จึงอาจเข้าทำนองรอยเดิมกรณีปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายไทยต้องพ่ายแพ้ด้วยเหตุผลของ “กฎหมายปิดปาก” นั่นเอง"
    .
    นายธีรภัทร์ ให้ความเห็นอีกว่า ข้อเรียกร้องของคุณสนธิและคณะให้นายกรัฐมนตรีเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและมีมติให้ส่ง MOU 2544และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อนนั้น จึงเป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุมีผลที่รัฐบาลควรสนองตอบ และเป็นทางออกที่เป็นไปตามกติกาของบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สนองตอบข้อเรียกร้องของคุณสนธิและคณะ ผมก็ขอเสนอต่อไปว่าคุณสนธิและคณะควรจะเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 231 ของรัฐธรรมนูญฯเพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองแล้วแต่กรณีเพื่อพิจารณาให้ได้ข้อยุติต่อไปได้ หากกระบวนการโดยสันติตามรัฐธรรมนูญฯไม่บังเกิดผลแล้ว จึงค่อยใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฯกันต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    เปิดช่องยื่นผู้ตรวจฯ ส่งศาลฉีก MOU2544 ก่อนตัดสินใจลงถนน . ปมประเด็นปัญหาในเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาผ่านกรณีMOU 2544 นั้น ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ และมีนักวิชาการ รวมไปถึงผู้ทรงคุณวุฒิออกมาให้ความเห็นเป็นอย่างมาก โดยนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า "MOU 2544 มีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่? กรณีที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2567 ขอให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่กรณี MOU 2544 และ JC 2544 ซึ่งมีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ขัดต่อพระบรมราชโองการฯและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย อันเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียเอกราช อำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตยและบูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องและเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยนั้น ผมเห็นด้วยกับเหตุผลตามหนังสือดังกล่าวทุกประการ เพราะหากรัฐบาลยังดำเนินการใดๆต่อไปตาม MOU 2544 เท่ากับเป็นการเปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ”เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย กลายเป็น “การรับรู้” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลโดยปริยาย" . "ดังนั้นการที่รัฐบาลไทย “รับรู้” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล แม้ว่ารัฐบาลไทยจะอ้างว่ายังคงปฏิเสธการลากเส้นของกัมพูชาดังกล่าว ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดของเราคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว และกลายเป็นการยอมรับความไม่ชัดเจนของพื้นที่อาณาเขตทางทะเลว่ามีความเหลื่อมซ้อนกันอยู่ระหว่างสองประเทศ ตลอดทั้งการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีไทยในทำนองว่าหากตกลงกันไม่ได้ ก็แบ่งครึ่งกัน จึงอาจเข้าทำนองรอยเดิมกรณีปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายไทยต้องพ่ายแพ้ด้วยเหตุผลของ “กฎหมายปิดปาก” นั่นเอง" . นายธีรภัทร์ ให้ความเห็นอีกว่า ข้อเรียกร้องของคุณสนธิและคณะให้นายกรัฐมนตรีเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและมีมติให้ส่ง MOU 2544และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อนนั้น จึงเป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุมีผลที่รัฐบาลควรสนองตอบ และเป็นทางออกที่เป็นไปตามกติกาของบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สนองตอบข้อเรียกร้องของคุณสนธิและคณะ ผมก็ขอเสนอต่อไปว่าคุณสนธิและคณะควรจะเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 231 ของรัฐธรรมนูญฯเพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองแล้วแต่กรณีเพื่อพิจารณาให้ได้ข้อยุติต่อไปได้ หากกระบวนการโดยสันติตามรัฐธรรมนูญฯไม่บังเกิดผลแล้ว จึงค่อยใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฯกันต่อไป .............. Sondhi X
    Like
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 842 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัมพูชา วาดเส้นไล่ทวีป โดย อาศัยเพียง "โขดหิน" ที่มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
    .
    เช่น โขดหินกัสโลเวีย โขดหินคอนดอร์
    .
    แล้ว ลากเส้นฐานตรงออกมาเพื่อ กินพื้นที่ "น่านน้ำภายใน" "ทะเลอาณาเขต" "เขตทะเลต่อเนื่อง" ของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้...!!!
    .
    และ MOU44 ดันมีแผนที่ของ กัมพูชา ฉบับนี้ แนบท้าย ไว้
    .
    ซึ่งมีผลเป็น "การรับรู้" แผนที่ "ขี้โกง" นี้ของ กัมพูชา...!!!
    ...
    ...
    เพราะ MOU44 นี้ ในอนาคต เราจะเสียเหลี่ยมทางกฎหมาย ถ้าขึ้นสู่ ศาลโลก เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้น กรณี ปราสาทพระวิหาร และ เขาพระวิหาร...!!!
    กัมพูชา วาดเส้นไล่ทวีป โดย อาศัยเพียง "โขดหิน" ที่มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ . เช่น โขดหินกัสโลเวีย โขดหินคอนดอร์ . แล้ว ลากเส้นฐานตรงออกมาเพื่อ กินพื้นที่ "น่านน้ำภายใน" "ทะเลอาณาเขต" "เขตทะเลต่อเนื่อง" ของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้...!!! . และ MOU44 ดันมีแผนที่ของ กัมพูชา ฉบับนี้ แนบท้าย ไว้ . ซึ่งมีผลเป็น "การรับรู้" แผนที่ "ขี้โกง" นี้ของ กัมพูชา...!!! ... ... เพราะ MOU44 นี้ ในอนาคต เราจะเสียเหลี่ยมทางกฎหมาย ถ้าขึ้นสู่ ศาลโลก เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้น กรณี ปราสาทพระวิหาร และ เขาพระวิหาร...!!!
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณหมอ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เตือนบิด สะบัดคอ ระวังอัมพฤกษ์เรื่องใกล้ตัวที่เป็นท่าบริหารประจำหรือที่ทำ เวลาเมื่อย หรือเป็นกระบวนการในการนวดคลายเมื่อย ดัดเส้น รวมทั้ง เป็นกรรมวิธีในการบำบัดทางกายภาพและจัดกระดูก ซึ่งถ้าไม่ระวังจะ เพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อการที่ผนังเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง โดยเฉพาะคู่หลังเกิดการฉีกขาดและทำให้เกิดเนื้อสมองตายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ความจริงเรื่องเกี่ยวกับ “คอ” เป็นที่สังเกตระวังกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว จากการสำรวจข้อมูลจากหมอทางสมองในสหรัฐฯว่าในช่วงเวลา 2 ปี ว่ามีใคร เคยประสบพบคนไข้ที่มีอาการอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดสมองตีบภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากที่คนไข้ผ่านกรรมวิธีจับ ดัด ปรับกระดูกคอหรือไม่หมอสมอง 177 คน รายงานว่าเคยเจอผู้ป่วย 55 รายเข้าข่ายกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ โดยที่คนไข้มีอายุระหว่าง 21 ถึง 60 ปี หลังจากมีการบิดดัดคอ และเป็นผลต่อเส้นเลือดสมองโดยเฉพาะคู่หลัง เกิดตันตีบ ซึ่งตัวหมอเองก็มีคนไข้ที่หมุนคอเป็นประจำวันละ 3 เวลา ครั้งละ 30 รอบเป็นปี นัยว่าทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรง ฝึกการทรงตัว วันหนึ่งเกิดเรื่องขณะยืนข้างถนน หันหน้าจะไปเรียกรถแท็กซี่ปรากฏเป็นอัมพาตซีกซ้าย อีกสักพักค่อยๆดีขึ้น พอมีแรงลุกขึ้น หันหน้าไปอีกด้าน มีอ่อนแรงซีกขวา ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือน และการตรวจเส้นเลือดด้วยการฉีดสี ยืนยันมีผนังเส้นเลือดฉีกขาดจริงและเลือดไหลเซาะเข้าในผนังเส้นเลือด ทำให้รูเส้นเลือดตัน อีกทั้งยังทำให้ผนังเส้นเลือดขรุขระ เกิดการเกาะของตะกอนเลือด ซึ่งหลุดลอยไปอุดเส้นเลือดได้อีกต่อสมองของเรามีเส้นเลือดไปเลี้ยง 2 คู่ คู่หน้าสามารถคลำได้ตุบๆที่คอด้านหน้าซึ่งไปเลี้ยงสมองหน้าผากขมับ 2 ข้าง รวมทั้งสมองส่วนลึกลงไปทางด้านใน เส้นเลือดคู่หลังร้อยผ่านกระดูกก้านคอ และเลื้อยผ่านเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองท้ายทอยซึ่งเป็นจอรับภาพ สมองน้อยด้านหลัง คุมการทรงตัว ก้านสมองซึ่งควบคุมประสาทสมองรวมการเคลื่อนไหวลูกตา คุมการรับรู้สึกตัว การเคลื่อนไหวแขนขา การสะบัดคอแรงๆ การหมุนคอบิด บริหารประจำอาจทำให้เกิดผลร้ายอันตรายที่เกิดขึ้นจะแปรตามความรวดเร็ว รุนแรงของการบิดสะบัดเคลื่อนไหวคอและแม้หมุน สะบัดไม่รวดเร็ว แต่การทำซ้ำกันบ่อยๆเป็นระยะเวลานานก็เกิดเรื่องได้ ไม่เฉพาะแต่เส้นประสาทที่คอ ยังเกิดกับเส้นเลือด โดยเฉพาะผู้ที่เกิดมาขาดทุนคือมีเส้นเลือดคู่หลังเพียงเส้นเดียว และในคนที่มีเส้นเลือดตีบอยู่แล้วจากมีโรคประจำตัว คือ อ้วน ความดันสูง ไขมันเพียบ หรือมีกระดูกงอกที่คอที่พร้อมที่จะกดเบียดเส้นเลือดอยู่แล้วหรือคนที่มีโรคของผนังเส้นเลือดผิดปกติแต่กำเนิด (ซึ่งพบได้น้อยมาก)ข้อควรระวัง และกลไกในการเกิดอัมพฤกษ์จากการเคลื่อนของคอ อันเป็นผลจากการจับ ดัด เอียง สะบัด มีรายงานเป็นทางการจากสมาคมโรคหัวใจและโรคอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดผิดปกติของสหรัฐฯ ซึ่งรายงานข้อสรุปได้รับการสนับสนุนและรองรับโดยสมาคมศัลยแพทย์และคองเกรสทางระบบประสาทของสหรัฐฯ ตีพิมพ์ในวารสาร Stroke ฉบับเดือนตุลาคม 2014 ทั้งนี้ การนวดกดจุดก็น่าจะต้องระวังเช่นกัน เนื่องจากเส้นเลือดคู่หลังจะวิ่งเข้าสมองโดยผ่านรู 2 ข้างที่ฐานกะโหลกศีรษะ ซึ่งจากการนวด อาจจะมีวิธี “ปิด–เปิดประตู”ทั้งนี้ การเปิดปิดประตูคือการกดจุดที่รู 2 ข้างซึ่งจะตัดการไหลเวียนของเลือดเข้าสมองท้ายทอยซึ่งเป็นจอรับภาพในสมอง ทำให้ตามืดไปชั่วขณะ และเมื่อปล่อยการกดจุด เลือดจะไหลมาดังเดิมทำให้ตาสว่าง ซึ่งในคนที่เส้นเลือดผิดปกติอยู่แล้ว ตาอาจมืดไปเลยได้ กลายเป็นบอดทั้ง 2 ข้างสำหรับคนเมื่อยคอ วิธีแก้เมื่อย รวมทั้งยังสามารถทำกายภาพบำบัดด้วยตัวเองได้คือคอตรง หน้าตรง ดันศีรษะสู้กับฝ่ามือตนเอง 4 ทิศ ซ้ายขวา หน้าหลังเท่ากับ 1 รอบ ดันแรง ดันนานๆ ทำวันละ 10-20 รอบ ตอนไหนก็ได้ ยังช่วยเรื่องกระดูกกดทับเส้นประสาท ปรับโครงสร้างกระดูก เส้นเอ็นให้เข้าที่ ทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรง ไม่ต้องไปดึงคอที่โรงพยาบาลเสียเวลารถติด ข้อสำคัญไม่ต้องกินยาแก้ปวด ซึ่งเป็นการแก้ปลายเหตุ กระเพาะทะลุ ไตพัง และยาแก้ปวดยังทำให้เส้นเลือดหัวใจตันได้ถ้าเราทราบข้อห้าม ทราบโครงสร้างของเส้นเลือดและกระดูกเส้นเอ็นเราก็จะปฎิบัติได้ถูกวิธีไม่เกิดอันตราย นะครับศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตขอบคุณรูปจากวารสารดังกล่าวครับ
    คุณหมอ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เตือนบิด สะบัดคอ ระวังอัมพฤกษ์เรื่องใกล้ตัวที่เป็นท่าบริหารประจำหรือที่ทำ เวลาเมื่อย หรือเป็นกระบวนการในการนวดคลายเมื่อย ดัดเส้น รวมทั้ง เป็นกรรมวิธีในการบำบัดทางกายภาพและจัดกระดูก ซึ่งถ้าไม่ระวังจะ เพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อการที่ผนังเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง โดยเฉพาะคู่หลังเกิดการฉีกขาดและทำให้เกิดเนื้อสมองตายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ความจริงเรื่องเกี่ยวกับ “คอ” เป็นที่สังเกตระวังกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว จากการสำรวจข้อมูลจากหมอทางสมองในสหรัฐฯว่าในช่วงเวลา 2 ปี ว่ามีใคร เคยประสบพบคนไข้ที่มีอาการอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดสมองตีบภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากที่คนไข้ผ่านกรรมวิธีจับ ดัด ปรับกระดูกคอหรือไม่หมอสมอง 177 คน รายงานว่าเคยเจอผู้ป่วย 55 รายเข้าข่ายกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ โดยที่คนไข้มีอายุระหว่าง 21 ถึง 60 ปี หลังจากมีการบิดดัดคอ และเป็นผลต่อเส้นเลือดสมองโดยเฉพาะคู่หลัง เกิดตันตีบ ซึ่งตัวหมอเองก็มีคนไข้ที่หมุนคอเป็นประจำวันละ 3 เวลา ครั้งละ 30 รอบเป็นปี นัยว่าทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรง ฝึกการทรงตัว วันหนึ่งเกิดเรื่องขณะยืนข้างถนน หันหน้าจะไปเรียกรถแท็กซี่ปรากฏเป็นอัมพาตซีกซ้าย อีกสักพักค่อยๆดีขึ้น พอมีแรงลุกขึ้น หันหน้าไปอีกด้าน มีอ่อนแรงซีกขวา ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือน และการตรวจเส้นเลือดด้วยการฉีดสี ยืนยันมีผนังเส้นเลือดฉีกขาดจริงและเลือดไหลเซาะเข้าในผนังเส้นเลือด ทำให้รูเส้นเลือดตัน อีกทั้งยังทำให้ผนังเส้นเลือดขรุขระ เกิดการเกาะของตะกอนเลือด ซึ่งหลุดลอยไปอุดเส้นเลือดได้อีกต่อสมองของเรามีเส้นเลือดไปเลี้ยง 2 คู่ คู่หน้าสามารถคลำได้ตุบๆที่คอด้านหน้าซึ่งไปเลี้ยงสมองหน้าผากขมับ 2 ข้าง รวมทั้งสมองส่วนลึกลงไปทางด้านใน เส้นเลือดคู่หลังร้อยผ่านกระดูกก้านคอ และเลื้อยผ่านเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองท้ายทอยซึ่งเป็นจอรับภาพ สมองน้อยด้านหลัง คุมการทรงตัว ก้านสมองซึ่งควบคุมประสาทสมองรวมการเคลื่อนไหวลูกตา คุมการรับรู้สึกตัว การเคลื่อนไหวแขนขา การสะบัดคอแรงๆ การหมุนคอบิด บริหารประจำอาจทำให้เกิดผลร้ายอันตรายที่เกิดขึ้นจะแปรตามความรวดเร็ว รุนแรงของการบิดสะบัดเคลื่อนไหวคอและแม้หมุน สะบัดไม่รวดเร็ว แต่การทำซ้ำกันบ่อยๆเป็นระยะเวลานานก็เกิดเรื่องได้ ไม่เฉพาะแต่เส้นประสาทที่คอ ยังเกิดกับเส้นเลือด โดยเฉพาะผู้ที่เกิดมาขาดทุนคือมีเส้นเลือดคู่หลังเพียงเส้นเดียว และในคนที่มีเส้นเลือดตีบอยู่แล้วจากมีโรคประจำตัว คือ อ้วน ความดันสูง ไขมันเพียบ หรือมีกระดูกงอกที่คอที่พร้อมที่จะกดเบียดเส้นเลือดอยู่แล้วหรือคนที่มีโรคของผนังเส้นเลือดผิดปกติแต่กำเนิด (ซึ่งพบได้น้อยมาก)ข้อควรระวัง และกลไกในการเกิดอัมพฤกษ์จากการเคลื่อนของคอ อันเป็นผลจากการจับ ดัด เอียง สะบัด มีรายงานเป็นทางการจากสมาคมโรคหัวใจและโรคอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดผิดปกติของสหรัฐฯ ซึ่งรายงานข้อสรุปได้รับการสนับสนุนและรองรับโดยสมาคมศัลยแพทย์และคองเกรสทางระบบประสาทของสหรัฐฯ ตีพิมพ์ในวารสาร Stroke ฉบับเดือนตุลาคม 2014 ทั้งนี้ การนวดกดจุดก็น่าจะต้องระวังเช่นกัน เนื่องจากเส้นเลือดคู่หลังจะวิ่งเข้าสมองโดยผ่านรู 2 ข้างที่ฐานกะโหลกศีรษะ ซึ่งจากการนวด อาจจะมีวิธี “ปิด–เปิดประตู”ทั้งนี้ การเปิดปิดประตูคือการกดจุดที่รู 2 ข้างซึ่งจะตัดการไหลเวียนของเลือดเข้าสมองท้ายทอยซึ่งเป็นจอรับภาพในสมอง ทำให้ตามืดไปชั่วขณะ และเมื่อปล่อยการกดจุด เลือดจะไหลมาดังเดิมทำให้ตาสว่าง ซึ่งในคนที่เส้นเลือดผิดปกติอยู่แล้ว ตาอาจมืดไปเลยได้ กลายเป็นบอดทั้ง 2 ข้างสำหรับคนเมื่อยคอ วิธีแก้เมื่อย รวมทั้งยังสามารถทำกายภาพบำบัดด้วยตัวเองได้คือคอตรง หน้าตรง ดันศีรษะสู้กับฝ่ามือตนเอง 4 ทิศ ซ้ายขวา หน้าหลังเท่ากับ 1 รอบ ดันแรง ดันนานๆ ทำวันละ 10-20 รอบ ตอนไหนก็ได้ ยังช่วยเรื่องกระดูกกดทับเส้นประสาท ปรับโครงสร้างกระดูก เส้นเอ็นให้เข้าที่ ทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรง ไม่ต้องไปดึงคอที่โรงพยาบาลเสียเวลารถติด ข้อสำคัญไม่ต้องกินยาแก้ปวด ซึ่งเป็นการแก้ปลายเหตุ กระเพาะทะลุ ไตพัง และยาแก้ปวดยังทำให้เส้นเลือดหัวใจตันได้ถ้าเราทราบข้อห้าม ทราบโครงสร้างของเส้นเลือดและกระดูกเส้นเอ็นเราก็จะปฎิบัติได้ถูกวิธีไม่เกิดอันตราย นะครับศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตขอบคุณรูปจากวารสารดังกล่าวครับ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.MG ได้ออกสาย USB-C ใหม่ รุ่น O.MG Elite USB-C สายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการวิจัยด้านความปลอดภัยและการฝึกอบรมการรับรู้ถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์

    จากการใช้ CT SCAN เผยให้เห็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งรวมถึงเสาอากาศและชิปไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ซับซ้อน เพื่อให้สามารถใช้ในการควบคุมอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ เช่น การใส่คีย์สโตรกและการลากเมาส์จากแฮกเกอร์ทางไกล การติดตามตำแหน่ง และการบันทึกคีย์ที่กดแล้วส่งให้แฮกเกอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/o-mg-usb-c-cable-ct-scan-reveals-sinister-active-electronics-contains-a-hidden-antenna-and-another-die-embedded-in-the-microcontroller
    O.MG ได้ออกสาย USB-C ใหม่ รุ่น O.MG Elite USB-C สายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการวิจัยด้านความปลอดภัยและการฝึกอบรมการรับรู้ถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ จากการใช้ CT SCAN เผยให้เห็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งรวมถึงเสาอากาศและชิปไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ซับซ้อน เพื่อให้สามารถใช้ในการควบคุมอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้ เช่น การใส่คีย์สโตรกและการลากเมาส์จากแฮกเกอร์ทางไกล การติดตามตำแหน่ง และการบันทึกคีย์ที่กดแล้วส่งให้แฮกเกอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/o-mg-usb-c-cable-ct-scan-reveals-sinister-active-electronics-contains-a-hidden-antenna-and-another-die-embedded-in-the-microcontroller
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ยธ.-ราชทัณฑ์" แถลงพักโทษผู้ต้องขังคดีจำนำข้าว เผยกรรมการออกเสียง 8 ต่อ 0 ให้ "เสี่ยเปี๋ยง" เข้าเกณฑ์กรณีพิเศษ เพราะอายุ 70 ปี ป่วยร้ายแรง 7 โรค ไตวายเรื้อรังเสี่ยงเสียชีวิต เป็นผู้ต้องขังคนแรกที่ได้ผ่าตัดเปลี่ยนไต ส่วน "บุญทรง-ภูมิ สารผล" เข้าเกณฑ์ปกติ รับโทษมาแล้ว 2 ใน 3

    วันนี้ (6 ธ.ค.) เวลา 10.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 2 อาคารกระทรวงยุติธรรม ถ.แจ้งวัฒนะ หลักสี่ กรุงเทพฯ นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม พร้อม ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ร่วมแถลงประเด็นการปล่อยตัว พักการลงโทษของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ "เสี่ยเปี๋ยง" ซึ่งเป็นกระแสข่าวที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอยู่ในขณะนี้ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจร่วมกัน

    พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยว่า การพิจารณาการพักโทษของกรมราชทัณฑ์ มี 2 รูปแบบ โดยแบบปกติเป็นนักโทษชั้นกลาง ชั้นดีเยี่ยม การจำคุกมาแล้ว 2 ใน 3 ขอกำหนดโทษ ส่วนแบบพิเศษเป็นการจำคุกมาแล้ว 1 ใน 3 รวมทั้งมีอาการป่วยรุนแรงและเฉพาะกฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งจะมีการพิจารณาเสนอรายชื่อจากทางเรือนจำและคณะกรรมการ 8 ราย เข้าอนุกรรมการกรมราชทัณฑ์ 19 ราย ประกอบด้วย ตำรวจ อัยการ แพทย์ ศาล กรม ประพฤติ โดยมีปลัด ยธ. เป็นประธาน ทั้งนี้ ในปี 66 มีการพักโทษแบบปกติ 10,552 คน แบบพิเศษ 1,776 คน รวม 12,328 คน ส่วนปี 67 มีการพักโทษแบบปกติ 6,792 คน แบบพิเศษ 1,320 คน รวมทั้งสิ้น 8,112 คน ข้อมูล ณ วันที่ 5 ม.ค.67

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000117450

    #MGROnline #ราชทัณฑ์ #พักโทษ #ผู้ต้องขัง #คดีจำนำข้าว #เสี่ยเปี๋ยง
    "ยธ.-ราชทัณฑ์" แถลงพักโทษผู้ต้องขังคดีจำนำข้าว เผยกรรมการออกเสียง 8 ต่อ 0 ให้ "เสี่ยเปี๋ยง" เข้าเกณฑ์กรณีพิเศษ เพราะอายุ 70 ปี ป่วยร้ายแรง 7 โรค ไตวายเรื้อรังเสี่ยงเสียชีวิต เป็นผู้ต้องขังคนแรกที่ได้ผ่าตัดเปลี่ยนไต ส่วน "บุญทรง-ภูมิ สารผล" เข้าเกณฑ์ปกติ รับโทษมาแล้ว 2 ใน 3 • วันนี้ (6 ธ.ค.) เวลา 10.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 2 อาคารกระทรวงยุติธรรม ถ.แจ้งวัฒนะ หลักสี่ กรุงเทพฯ นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม พร้อม ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ร่วมแถลงประเด็นการปล่อยตัว พักการลงโทษของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ "เสี่ยเปี๋ยง" ซึ่งเป็นกระแสข่าวที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอยู่ในขณะนี้ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจร่วมกัน พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยว่า การพิจารณาการพักโทษของกรมราชทัณฑ์ มี 2 รูปแบบ โดยแบบปกติเป็นนักโทษชั้นกลาง ชั้นดีเยี่ยม การจำคุกมาแล้ว 2 ใน 3 ขอกำหนดโทษ ส่วนแบบพิเศษเป็นการจำคุกมาแล้ว 1 ใน 3 รวมทั้งมีอาการป่วยรุนแรงและเฉพาะกฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งจะมีการพิจารณาเสนอรายชื่อจากทางเรือนจำและคณะกรรมการ 8 ราย เข้าอนุกรรมการกรมราชทัณฑ์ 19 ราย ประกอบด้วย ตำรวจ อัยการ แพทย์ ศาล กรม ประพฤติ โดยมีปลัด ยธ. เป็นประธาน ทั้งนี้ ในปี 66 มีการพักโทษแบบปกติ 10,552 คน แบบพิเศษ 1,776 คน รวม 12,328 คน ส่วนปี 67 มีการพักโทษแบบปกติ 6,792 คน แบบพิเศษ 1,320 คน รวมทั้งสิ้น 8,112 คน ข้อมูล ณ วันที่ 5 ม.ค.67 • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000117450 • #MGROnline #ราชทัณฑ์ #พักโทษ #ผู้ต้องขัง #คดีจำนำข้าว #เสี่ยเปี๋ยง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสกฤษฎีกากัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนในทะเล มีสองฉบับ**หนึ่ง กฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK ที่กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีป**สอง กฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ที่กำหนดทะเลอาณาเขตปรากฏว่าทั้งสองฉบับรุกล้ำทะเลอาณาเขตของไทยโดยอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 ##กรณีเส้นเขตไหล่ทวีปรูป 1 จากเพจปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กัมพูชาประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปครั้งแรกปี 2513 ผ่านเกาะกูดเต็มที่รูป 2 ต่อมาเปลี่ยนเป็นกฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK เกาะกูดอยู่ที่ปลายลูกศรสีแดง กลับเขียนเกาะกูดมีเส้นขยุกขยิก ทำให้ไม่ชัดเจนว่าเส้นผ่านเกาะกูดหรือไม่รูป 3 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เขียนเอกสารวิชาการว่า เส้นไม่ได้ผ่านเกาะกูด แต่มาจรดชายฝั่งสองด้าน รูป 4 คือล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทย วงกลมสีเหลือง##กรณีทะเลอาณาเขตรูป 5 ดร.สุรเกียรติ์ แสดงแผนที่ในกฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ปรากฏว่ากัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขต จากหมุด 73 บนชายฝั่งมาจรดเกาะกูด แล้วหักลงใต้ผมค้นหากฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ในกูเกิ้ล ไม่พบเลย จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงต่างประเทศเอาเอกสารสำคัญทั้งหมดเผยแพร่ในเว็บไซต์รูป 6 เส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชาก็รุกล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทยอีกเช่นกัน วงกลมสีเหลืองรูป 7 จากเว็บไซต์ CIA สถานฑูตในกรุงพนมเปญรายงานว่า กัมพูชาตราเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลมาประชิดเกาะกูด ก็โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907ผมให้ข้อมูลดังนี้:-หนึ่ง เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น อ้างพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลที่กัมพูชาลากมาประชิดเกาะกูดนั่นเองสอง กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตมาประชิดเกาะกูด เป็นการรุกล้ำเขตอธิปไตยของประเทศไทย(เขตอธิปไตยของประเทศไทยซึ่งกองทัพไทยมีหน้าที่ต้องปกป้องทันทีถ้ามีการรุกราน ไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ คือผืนแผ่นดินไทยซึ่งบวกกับทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล)สาม MOU44 มีการแสดงเส้นเขตไหล่ทวีปที่มีพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขต จึงเป็นการรับรู้ว่า กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยพูดแบบชาวบ้าน เป็นการไปรับรู้ว่า อาณาเขตทางทะเลของกัมพูชา กินแดนเข้ามาในอาณาเขตทางทะเลของไทยสี่ กัมพูชาอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 บิดเบือน เพราะสนธิสัญญาฯพูดถึงการแบ่งเขตบนชายฝั่ง ไม่ใช่ในทะเลห้า เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น ไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เพราะอนุสัญญาใช้สำหรับเล็งเส้นในทะเล ไม่ใช่เล็งเส้นผ่านพื้นที่บนบกและอนุสัญญาฯไม่ได้ยอมให้อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์กล่าวโดยสรุป เหตุผลสนับสนุนยกเลิก MOU44 อีกประการหนึ่งคือ MOU44 ไปรับรู้ ทั้งเส้นเขตไหล่ทวีป และเส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชา รับรู้ว่าทั้งสองเส้นรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยวันที่ 6 ธันวาคม 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสกฤษฎีกากัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนในทะเล มีสองฉบับ**หนึ่ง กฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK ที่กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีป**สอง กฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ที่กำหนดทะเลอาณาเขตปรากฏว่าทั้งสองฉบับรุกล้ำทะเลอาณาเขตของไทยโดยอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 ##กรณีเส้นเขตไหล่ทวีปรูป 1 จากเพจปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กัมพูชาประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปครั้งแรกปี 2513 ผ่านเกาะกูดเต็มที่รูป 2 ต่อมาเปลี่ยนเป็นกฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK เกาะกูดอยู่ที่ปลายลูกศรสีแดง กลับเขียนเกาะกูดมีเส้นขยุกขยิก ทำให้ไม่ชัดเจนว่าเส้นผ่านเกาะกูดหรือไม่รูป 3 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เขียนเอกสารวิชาการว่า เส้นไม่ได้ผ่านเกาะกูด แต่มาจรดชายฝั่งสองด้าน รูป 4 คือล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทย วงกลมสีเหลือง##กรณีทะเลอาณาเขตรูป 5 ดร.สุรเกียรติ์ แสดงแผนที่ในกฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ปรากฏว่ากัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขต จากหมุด 73 บนชายฝั่งมาจรดเกาะกูด แล้วหักลงใต้ผมค้นหากฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ในกูเกิ้ล ไม่พบเลย จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงต่างประเทศเอาเอกสารสำคัญทั้งหมดเผยแพร่ในเว็บไซต์รูป 6 เส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชาก็รุกล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทยอีกเช่นกัน วงกลมสีเหลืองรูป 7 จากเว็บไซต์ CIA สถานฑูตในกรุงพนมเปญรายงานว่า กัมพูชาตราเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลมาประชิดเกาะกูด ก็โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907ผมให้ข้อมูลดังนี้:-หนึ่ง เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น อ้างพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลที่กัมพูชาลากมาประชิดเกาะกูดนั่นเองสอง กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตมาประชิดเกาะกูด เป็นการรุกล้ำเขตอธิปไตยของประเทศไทย(เขตอธิปไตยของประเทศไทยซึ่งกองทัพไทยมีหน้าที่ต้องปกป้องทันทีถ้ามีการรุกราน ไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ คือผืนแผ่นดินไทยซึ่งบวกกับทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล)สาม MOU44 มีการแสดงเส้นเขตไหล่ทวีปที่มีพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขต จึงเป็นการรับรู้ว่า กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยพูดแบบชาวบ้าน เป็นการไปรับรู้ว่า อาณาเขตทางทะเลของกัมพูชา กินแดนเข้ามาในอาณาเขตทางทะเลของไทยสี่ กัมพูชาอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 บิดเบือน เพราะสนธิสัญญาฯพูดถึงการแบ่งเขตบนชายฝั่ง ไม่ใช่ในทะเลห้า เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น ไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เพราะอนุสัญญาใช้สำหรับเล็งเส้นในทะเล ไม่ใช่เล็งเส้นผ่านพื้นที่บนบกและอนุสัญญาฯไม่ได้ยอมให้อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์กล่าวโดยสรุป เหตุผลสนับสนุนยกเลิก MOU44 อีกประการหนึ่งคือ MOU44 ไปรับรู้ ทั้งเส้นเขตไหล่ทวีป และเส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชา รับรู้ว่าทั้งสองเส้นรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยวันที่ 6 ธันวาคม 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณไม่รักพ่อแม่ แต่จงรู้คุณและคิดตอบแทนในชีวิตคนเรา ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้โดยตรง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ความรักระหว่างกันอาจเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่เหนือกว่าความรักคือ "การตอบแทนบุญคุณ" ที่พ่อแม่มีต่อเราความรู้สึกต่อพ่อแม่: เข้าใจ ไม่ใช่ฝืนใจรัก1. ความรู้สึกเป็นสิ่งบังคับไม่ได้หากเราตัดสถานะพ่อแม่ออกไป แล้วมองพวกท่านในฐานะบุคคลทั่วไป อารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันก็อาจเป็นทั้งความขัดเคือง ความไม่พอใจ หรือแม้กระทั่งความโกรธ แต่สิ่งสำคัญคือ การยอมรับว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กัน2. ไม่ต้องฝืนใจ แต่ให้ "เข้าใจ"แทนที่จะเค้นใจให้รักพ่อแม่ ให้เริ่มต้นด้วยความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของพวกท่าน พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีข้อดีและข้อเสีย มีความยึดติดและอารมณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับเรา หากมองเห็นความจริงนี้ได้ เราก็จะเริ่มปล่อยวาง และให้อภัยในสิ่งที่พวกท่านทำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในใจเราเอง---การตอบแทนบุญคุณ: หาค่าของพ่อแม่ให้เจอ1. ค่าของชีวิตเริ่มต้นจากพ่อแม่ชีวิตของเรามีขึ้นมาได้เพราะพ่อแม่ หากไม่มีพวกท่าน เราก็ไม่มีโอกาสได้หาค่าของชีวิตหรือสร้างบุญสร้างกุศลในโลกนี้ การตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่จึงเริ่มต้นจากการ "เห็นคุณค่า" ของพวกท่านในฐานะผู้ให้ชีวิต2. ความกตัญญู: รู้คุณคนความกตัญญูคือการรับรู้และนึกถึงบุญคุณที่พ่อแม่ทำไว้ การเข้าใจว่าท่านมีส่วนช่วยให้เรามีชีวิตและโอกาสในวันนี้ แม้การตอบแทนบุญคุณในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมอาจยังไม่ชัดเจน แต่ความกตัญญูคือจุดเริ่มต้นที่จะแปรเปลี่ยนเป็นการตอบแทนในภายหลัง3. กตเวที: การลงมือทำเมื่อมีความกตัญญูในใจแล้ว ความอยากตอบแทนจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องบังคับ เช่น การดูแลพ่อแม่ในยามเจ็บป่วย การแสดงความห่วงใย หรือการปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการตอบแทนบุญคุณ แต่ยังเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเราเอง---วางใจต่อบาปบุญ และมุ่งสู่การหลุดพ้น1. ถือสาเฉพาะสิ่งที่ควรถือสาสิ่งที่เราควรใส่ใจที่สุดคือบาปบุญของตัวเอง หากมองว่าพ่อแม่มีบุญคุณล้นพ้นต่อเรา การกระทบกระทั่งหรือความทุกข์ใจใดๆ ที่เกิดขึ้นจากพวกท่านก็เป็นเรื่องเล็กน้อย2. ความทุกข์จากพ่อแม่คือบทเรียนทุกข์ที่เกิดจากความสัมพันธ์กับพ่อแม่อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลดปล่อยเราออกจากความยึดติดและอยากเกิดในอนาคต การยอมรับและให้อภัยในเรื่องเหล่านี้คือหนทางหนึ่งที่ช่วยนำเราเข้าใกล้นิพพาน---สรุปอย่ารู้สึกผิดหากคุณไม่สามารถรักพ่อแม่ได้ในทันที เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกที่บังคับไม่ได้ แต่จงฝึก "ความเข้าใจ" และ "ความกตัญญู" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตอบแทนบุญคุณอย่างแท้จริง การตอบแทนไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่เพียงการปฏิบัติต่อพวกท่านด้วยความเคารพและใส่ใจก็เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของเราและพ่อแม่มีความหมายมากขึ้น.
    อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณไม่รักพ่อแม่ แต่จงรู้คุณและคิดตอบแทนในชีวิตคนเรา ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้โดยตรง เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ความรักระหว่างกันอาจเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แต่สิ่งสำคัญที่เหนือกว่าความรักคือ "การตอบแทนบุญคุณ" ที่พ่อแม่มีต่อเราความรู้สึกต่อพ่อแม่: เข้าใจ ไม่ใช่ฝืนใจรัก1. ความรู้สึกเป็นสิ่งบังคับไม่ได้หากเราตัดสถานะพ่อแม่ออกไป แล้วมองพวกท่านในฐานะบุคคลทั่วไป อารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันก็อาจเป็นทั้งความขัดเคือง ความไม่พอใจ หรือแม้กระทั่งความโกรธ แต่สิ่งสำคัญคือ การยอมรับว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กัน2. ไม่ต้องฝืนใจ แต่ให้ "เข้าใจ"แทนที่จะเค้นใจให้รักพ่อแม่ ให้เริ่มต้นด้วยความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของพวกท่าน พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีข้อดีและข้อเสีย มีความยึดติดและอารมณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับเรา หากมองเห็นความจริงนี้ได้ เราก็จะเริ่มปล่อยวาง และให้อภัยในสิ่งที่พวกท่านทำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในใจเราเอง---การตอบแทนบุญคุณ: หาค่าของพ่อแม่ให้เจอ1. ค่าของชีวิตเริ่มต้นจากพ่อแม่ชีวิตของเรามีขึ้นมาได้เพราะพ่อแม่ หากไม่มีพวกท่าน เราก็ไม่มีโอกาสได้หาค่าของชีวิตหรือสร้างบุญสร้างกุศลในโลกนี้ การตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่จึงเริ่มต้นจากการ "เห็นคุณค่า" ของพวกท่านในฐานะผู้ให้ชีวิต2. ความกตัญญู: รู้คุณคนความกตัญญูคือการรับรู้และนึกถึงบุญคุณที่พ่อแม่ทำไว้ การเข้าใจว่าท่านมีส่วนช่วยให้เรามีชีวิตและโอกาสในวันนี้ แม้การตอบแทนบุญคุณในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมอาจยังไม่ชัดเจน แต่ความกตัญญูคือจุดเริ่มต้นที่จะแปรเปลี่ยนเป็นการตอบแทนในภายหลัง3. กตเวที: การลงมือทำเมื่อมีความกตัญญูในใจแล้ว ความอยากตอบแทนจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องบังคับ เช่น การดูแลพ่อแม่ในยามเจ็บป่วย การแสดงความห่วงใย หรือการปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการตอบแทนบุญคุณ แต่ยังเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเราเอง---วางใจต่อบาปบุญ และมุ่งสู่การหลุดพ้น1. ถือสาเฉพาะสิ่งที่ควรถือสาสิ่งที่เราควรใส่ใจที่สุดคือบาปบุญของตัวเอง หากมองว่าพ่อแม่มีบุญคุณล้นพ้นต่อเรา การกระทบกระทั่งหรือความทุกข์ใจใดๆ ที่เกิดขึ้นจากพวกท่านก็เป็นเรื่องเล็กน้อย2. ความทุกข์จากพ่อแม่คือบทเรียนทุกข์ที่เกิดจากความสัมพันธ์กับพ่อแม่อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลดปล่อยเราออกจากความยึดติดและอยากเกิดในอนาคต การยอมรับและให้อภัยในเรื่องเหล่านี้คือหนทางหนึ่งที่ช่วยนำเราเข้าใกล้นิพพาน---สรุปอย่ารู้สึกผิดหากคุณไม่สามารถรักพ่อแม่ได้ในทันที เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกที่บังคับไม่ได้ แต่จงฝึก "ความเข้าใจ" และ "ความกตัญญู" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตอบแทนบุญคุณอย่างแท้จริง การตอบแทนไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่เพียงการปฏิบัติต่อพวกท่านด้วยความเคารพและใส่ใจก็เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของเราและพ่อแม่มีความหมายมากขึ้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 532 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติดตามคุณสนธิมาตั้งแต่ต้น (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) และเข้าร่วมเป็นคนหนึ่งของสมาชิก Thaitimes ด้วยใจที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และความจริงที่มีหนึ่งเดียว ไม่อาจเป็นอื่นได้ของคุณสนธิเพราะติดตามรายการ "สนธิทอล์ค" มาตลอด ทั้งนี้เพราะต้องการรับรู้ข่าวสารรวมทั้งข้อมูลในชีวิตแระจำวันที่แท้จริงและมีประโยชน์ต่อตนเองและสังคมไทย(ไม่แน่ใจว่าข้อมูลนี้จะตรงคอนเซปที่ต้องการหรือไม่?)
    ติดตามคุณสนธิมาตั้งแต่ต้น (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) และเข้าร่วมเป็นคนหนึ่งของสมาชิก Thaitimes ด้วยใจที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และความจริงที่มีหนึ่งเดียว ไม่อาจเป็นอื่นได้ของคุณสนธิเพราะติดตามรายการ "สนธิทอล์ค" มาตลอด ทั้งนี้เพราะต้องการรับรู้ข่าวสารรวมทั้งข้อมูลในชีวิตแระจำวันที่แท้จริงและมีประโยชน์ต่อตนเองและสังคมไทย(ไม่แน่ใจว่าข้อมูลนี้จะตรงคอนเซปที่ต้องการหรือไม่?)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา
    เมื่อไม่นานมานี้เกิดกรณีดราม่าที่มีละครซีรี่ย์เรื่อง “แม่หยัว” ของช่อง ONE 31 ได้ถ่ายทำฉากใน EP.5 ที่มี "แมวดำ" กินน้ำผสมยาพิษ หลังจากนั้นแมวตัวดังกล่าว มีอาการชักกระตุกหลายครั้ง ขย้อนอาหารออกจากปาก ตาเบิกโพลง มีลักษณะเกร็งตัวและนอนแน่นิ่งไป
    โดยการถ่ายทำฉากดังกล่าว เป็นการใช้แมวจริงที่ถูกวางยาสลบ โดยนาย สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับการแสดง ได้ออกมาชี้แจงใน Facebook ของตนในภายหลังว่า เป็นการถ่ายทำที่มีผู้เชี่ยวชาญควบคุมดูแลอย่างดีในทุกขั้นตอน แต่ทว่าภาพที่สื่อออกมากลับสะท้อนถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์ ซึ่งเข้าข่ายการทารุณกรรมสัตว์อย่างชัดเจน กรณีนี้ก่อให้เกิดกระแสในสังคมออนไลน์เรียกร้องให้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง รวมไปถึงสถานีโทรทัศน์แสดงความรับผิดชอบ และเกิดการเคลื่อนไหวให้ "แบน" ละครดังกล่าวในวงกว้าง
    การนำสัตว์เข้าฉากเพื่อแสดงความเจ็บปวดหรือการวางยาสลบจริง ๆ ไม่เพียงแต่แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบทางศีลธรรมและความเห็นใจต่อสัตว์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของสังคมในด้านการปฏิบัติต่อสัตว์ในวงการบันเทิง กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สะท้อนถึงความละเลยและขาดมาตรฐานด้านจริยธรรมและการดูแลสัตว์ในกระบวนการผลิตของสื่อบันเทิงไทย โดยเฉพาะเมื่อละครดังกล่าวออกอากาศในวงกว้างและมีผู้ชมหลายกลุ่มอายุรวมไปถึงเยาวชน ย่อมส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อวงการบันเทิงไทยโดยรวม และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบในหมู่เยาวชน
    ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งครอบคลุมถึงการกระทำที่ถือเป็นการทารุณสัตว์ทุกประเภท โดยเฉพาะกรณีการทำร้ายสัตว์จนเกิดความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ. นี้ ระบุว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร" การทำให้สัตว์ทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดจนเสียชีวิตหรือได้รับความเสียหาย “อย่างไม่จำเป็น” ถือว่าเข้าข่ายการทารุณกรรม กรณีของการวางยาสลบสัตว์จริงโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ จึงถือเป็นความไม่จำเป็นและอาจเข้าข่ายเป็นการการละเมิดกฎหมาย ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำของนายสันต์ ผู้กำกับการแสดง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญที่ว่าคือใคร ใช่สัตว์แพทย์หรือไม่ และเจ้าของที่ว่าคือเจ้าของจริงที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ผู้ควบคุมและเลี้ยงดูสัตว์เหล่านั้นไว้เพียงเพื่อประโยชน์ทางการค้า และแมวตัวที่นำมากล่าวอ้างว่าปัจจุบันสุขกายสบายดีนั้น แท้จริงแล้วใช่แมวตัวเดียวกันกับที่ถ่ายทำหรือไม่ จะพิสูจน์อย่างไร และกรณีแมวดำเป็นกรณีแรกหรือไม่ หรือว่ามีกรณีอื่นๆก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยถูกตรวจสอบ และจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมา มีการทารุณกรรมสัตว์ในการถ่ายทำ จนกลายเป็นปกติประเพณีไปแล้ว ประชาชนตั้งคำถามและประชาชน.......ต้องการคำตอบ
    แม้ตัวบทกฎหมายจะกล่าวเอาไว้ว่า “ผู้ใดกล่าวหา ผู้นั้นพิสูจน์” แต่ในกรณีนี้ คงไม่ใช่การเดินหมากที่ฉลาดนักของผู้บริหารช่องฯรวมไปถึงกลุ่มคนที่มีส่วนร่วม และควรต้องรีบชี้แจ้งข้อเท็จจริงโดยละเอียดให้เร็วที่สุด เพื่อแสดงความโปร่งใส และควรบอกแต่ความจริงเท่านั้น
    ดังนั้น การชี้แจ้งและกล่าวเพียงคำขอโทษผ่าน Instragram ของช่อง one31thailand เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา จึงไม่แสดงถึงความจริงใจ ไม่เพียงพอและไม่ได้สัดส่วนต่อสิ่งที่ได้กระทำขึ้น
    คำถามสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันคบคิดต่อไปก็คือ แม้เราจะมีกฎหมาย แต่กฎหมายกลับไม่ได้กำหนดมาตรการการควบคุมที่เฉพาะเจาะจงในกรณีที่มีการใช้สัตว์ในงานบันเทิง เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายและบทลงโทษในต่างประเทศ พบว่าในต่างประเทศมีกฎหมายที่คุ้มครองสัตว์เข้มงวดกว่าประเทศไทยมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ในสหรัฐอเมริกา มีกฎหมาย Animal Welfare Act (AWA) ที่มีการกำหนดมาตรฐานสูงในการใช้สัตว์ในงานบันเทิง โดยกำหนดให้ต้องมีการขอใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดทุกขั้นตอน รวมถึงการมีองค์กรอย่าง American Humane Association (AHA) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการใช้สัตว์ในวงการภาพยนตร์โดยเฉพาะ หากพบว่ามีการละเมิด อาจถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากและอาจถูกห้ามไม่ให้ใช้สัตว์ในสื่อบันเทิงอีกต่อไป
    หรืออย่างในประเทษอังกฤษ มี The Animal Welfare Act 2006 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมการดูแลสัตว์ในวงการบันเทิง โดยห้ามการใช้วิธีการที่ทำให้สัตว์เจ็บปวดโดยไม่จำเป็น และหากพบการกระทำที่เป็นการทารุณกรรมสัตว์ จะมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี รวมถึงปรับเงินตามความร้ายแรงของกรณี ดังนั้น เมื่อเทียบกับบทลงโทษของไทย ยังถือว่าเบากว่าต่างประเทศหลายเท่านัก
    สำหรับประเทศไทย กรมปศุสัตว์มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์และป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ ดังนั้น ในการแก้ปัญหาการใช้สัตว์อย่างไม่เหมาะสม กรมปศุสัตว์ควรพิจารณามาตรการ เช่น การจัดทำมาตรฐานแนวทางการใช้สัตว์ในสื่อบันเทิง ควรจัดทำคู่มือและข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับการใช้สัตว์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร และสื่อบันเทิงต่าง ๆ รวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดสวัสดิภาพสัตว์ การตรวจสอบสุขภาพสัตว์ก่อนและหลัง และการปฏิบัติต่อสัตว์ที่ปลอดภัยตลอดกระบวนการถ่ายทำ โดยอาจนำตัวอย่างแนวทางจากต่างประเทศ เช่น American Humane Association ของสหรัฐอเมริกามาปรับใช้
    กรมปศุสัตว์ควรเสนอให้เพิ่มบทลงโทษสำหรับการทารุณกรรมสัตว์ โดยเพิ่มค่าปรับหรือโทษจำคุกที่หนักขึ้น เพื่อให้ผู้ผลิตสื่อเกิดความยับยั้งชั่งใจและมีความรับผิดชอบในการใช้สัตว์ อีกทั้งควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและติดตามผลหลังจากที่มีการลงโทษเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำ และควรร่วมมือกับองค์กรที่มีประสบการณ์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ เช่น มูลนิธิต่างๆ และหน่วยงานอื่น ๆ ในการติดตามและตรวจสอบการใช้สัตว์ในวงการบันเทิง
    จากใจแม่ที่มีลูกเป็นหมาสองตัว อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้กรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง........ต้องไปให้สุดซอย ! ส่วนเราในฐานะภาคประชาชน ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบในแบบที่เราถนัดต่อไป คือ การค้นหาความจริง และ การจับโกหก
    เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น (อ.สนธิ และ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน กล่าวไว้)


    นักศึกษากฎหมายระบายทุกข์

    ที่มา :
    Thai PBS
    Instagram : one31thailand
    The Animal Welfare Act (AWA) 1966
    The Animal Welfare Act 2006
    The American Humane Association
    พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 มาตรา 20
    อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อไม่นานมานี้เกิดกรณีดราม่าที่มีละครซีรี่ย์เรื่อง “แม่หยัว” ของช่อง ONE 31 ได้ถ่ายทำฉากใน EP.5 ที่มี "แมวดำ" กินน้ำผสมยาพิษ หลังจากนั้นแมวตัวดังกล่าว มีอาการชักกระตุกหลายครั้ง ขย้อนอาหารออกจากปาก ตาเบิกโพลง มีลักษณะเกร็งตัวและนอนแน่นิ่งไป โดยการถ่ายทำฉากดังกล่าว เป็นการใช้แมวจริงที่ถูกวางยาสลบ โดยนาย สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับการแสดง ได้ออกมาชี้แจงใน Facebook ของตนในภายหลังว่า เป็นการถ่ายทำที่มีผู้เชี่ยวชาญควบคุมดูแลอย่างดีในทุกขั้นตอน แต่ทว่าภาพที่สื่อออกมากลับสะท้อนถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์ ซึ่งเข้าข่ายการทารุณกรรมสัตว์อย่างชัดเจน กรณีนี้ก่อให้เกิดกระแสในสังคมออนไลน์เรียกร้องให้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง รวมไปถึงสถานีโทรทัศน์แสดงความรับผิดชอบ และเกิดการเคลื่อนไหวให้ "แบน" ละครดังกล่าวในวงกว้าง การนำสัตว์เข้าฉากเพื่อแสดงความเจ็บปวดหรือการวางยาสลบจริง ๆ ไม่เพียงแต่แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบทางศีลธรรมและความเห็นใจต่อสัตว์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของสังคมในด้านการปฏิบัติต่อสัตว์ในวงการบันเทิง กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สะท้อนถึงความละเลยและขาดมาตรฐานด้านจริยธรรมและการดูแลสัตว์ในกระบวนการผลิตของสื่อบันเทิงไทย โดยเฉพาะเมื่อละครดังกล่าวออกอากาศในวงกว้างและมีผู้ชมหลายกลุ่มอายุรวมไปถึงเยาวชน ย่อมส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อวงการบันเทิงไทยโดยรวม และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบในหมู่เยาวชน ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งครอบคลุมถึงการกระทำที่ถือเป็นการทารุณสัตว์ทุกประเภท โดยเฉพาะกรณีการทำร้ายสัตว์จนเกิดความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ. นี้ ระบุว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร" การทำให้สัตว์ทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดจนเสียชีวิตหรือได้รับความเสียหาย “อย่างไม่จำเป็น” ถือว่าเข้าข่ายการทารุณกรรม กรณีของการวางยาสลบสัตว์จริงโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ จึงถือเป็นความไม่จำเป็นและอาจเข้าข่ายเป็นการการละเมิดกฎหมาย ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำของนายสันต์ ผู้กำกับการแสดง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญที่ว่าคือใคร ใช่สัตว์แพทย์หรือไม่ และเจ้าของที่ว่าคือเจ้าของจริงที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ผู้ควบคุมและเลี้ยงดูสัตว์เหล่านั้นไว้เพียงเพื่อประโยชน์ทางการค้า และแมวตัวที่นำมากล่าวอ้างว่าปัจจุบันสุขกายสบายดีนั้น แท้จริงแล้วใช่แมวตัวเดียวกันกับที่ถ่ายทำหรือไม่ จะพิสูจน์อย่างไร และกรณีแมวดำเป็นกรณีแรกหรือไม่ หรือว่ามีกรณีอื่นๆก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยถูกตรวจสอบ และจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมา มีการทารุณกรรมสัตว์ในการถ่ายทำ จนกลายเป็นปกติประเพณีไปแล้ว ประชาชนตั้งคำถามและประชาชน.......ต้องการคำตอบ แม้ตัวบทกฎหมายจะกล่าวเอาไว้ว่า “ผู้ใดกล่าวหา ผู้นั้นพิสูจน์” แต่ในกรณีนี้ คงไม่ใช่การเดินหมากที่ฉลาดนักของผู้บริหารช่องฯรวมไปถึงกลุ่มคนที่มีส่วนร่วม และควรต้องรีบชี้แจ้งข้อเท็จจริงโดยละเอียดให้เร็วที่สุด เพื่อแสดงความโปร่งใส และควรบอกแต่ความจริงเท่านั้น ดังนั้น การชี้แจ้งและกล่าวเพียงคำขอโทษผ่าน Instragram ของช่อง one31thailand เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา จึงไม่แสดงถึงความจริงใจ ไม่เพียงพอและไม่ได้สัดส่วนต่อสิ่งที่ได้กระทำขึ้น คำถามสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันคบคิดต่อไปก็คือ แม้เราจะมีกฎหมาย แต่กฎหมายกลับไม่ได้กำหนดมาตรการการควบคุมที่เฉพาะเจาะจงในกรณีที่มีการใช้สัตว์ในงานบันเทิง เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายและบทลงโทษในต่างประเทศ พบว่าในต่างประเทศมีกฎหมายที่คุ้มครองสัตว์เข้มงวดกว่าประเทศไทยมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ในสหรัฐอเมริกา มีกฎหมาย Animal Welfare Act (AWA) ที่มีการกำหนดมาตรฐานสูงในการใช้สัตว์ในงานบันเทิง โดยกำหนดให้ต้องมีการขอใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดทุกขั้นตอน รวมถึงการมีองค์กรอย่าง American Humane Association (AHA) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการใช้สัตว์ในวงการภาพยนตร์โดยเฉพาะ หากพบว่ามีการละเมิด อาจถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากและอาจถูกห้ามไม่ให้ใช้สัตว์ในสื่อบันเทิงอีกต่อไป หรืออย่างในประเทษอังกฤษ มี The Animal Welfare Act 2006 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมการดูแลสัตว์ในวงการบันเทิง โดยห้ามการใช้วิธีการที่ทำให้สัตว์เจ็บปวดโดยไม่จำเป็น และหากพบการกระทำที่เป็นการทารุณกรรมสัตว์ จะมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี รวมถึงปรับเงินตามความร้ายแรงของกรณี ดังนั้น เมื่อเทียบกับบทลงโทษของไทย ยังถือว่าเบากว่าต่างประเทศหลายเท่านัก สำหรับประเทศไทย กรมปศุสัตว์มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์และป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ ดังนั้น ในการแก้ปัญหาการใช้สัตว์อย่างไม่เหมาะสม กรมปศุสัตว์ควรพิจารณามาตรการ เช่น การจัดทำมาตรฐานแนวทางการใช้สัตว์ในสื่อบันเทิง ควรจัดทำคู่มือและข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับการใช้สัตว์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร และสื่อบันเทิงต่าง ๆ รวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดสวัสดิภาพสัตว์ การตรวจสอบสุขภาพสัตว์ก่อนและหลัง และการปฏิบัติต่อสัตว์ที่ปลอดภัยตลอดกระบวนการถ่ายทำ โดยอาจนำตัวอย่างแนวทางจากต่างประเทศ เช่น American Humane Association ของสหรัฐอเมริกามาปรับใช้ กรมปศุสัตว์ควรเสนอให้เพิ่มบทลงโทษสำหรับการทารุณกรรมสัตว์ โดยเพิ่มค่าปรับหรือโทษจำคุกที่หนักขึ้น เพื่อให้ผู้ผลิตสื่อเกิดความยับยั้งชั่งใจและมีความรับผิดชอบในการใช้สัตว์ อีกทั้งควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและติดตามผลหลังจากที่มีการลงโทษเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำ และควรร่วมมือกับองค์กรที่มีประสบการณ์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ เช่น มูลนิธิต่างๆ และหน่วยงานอื่น ๆ ในการติดตามและตรวจสอบการใช้สัตว์ในวงการบันเทิง จากใจแม่ที่มีลูกเป็นหมาสองตัว อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้กรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง........ต้องไปให้สุดซอย ! ส่วนเราในฐานะภาคประชาชน ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบในแบบที่เราถนัดต่อไป คือ การค้นหาความจริง และ การจับโกหก เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น (อ.สนธิ และ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน กล่าวไว้) นักศึกษากฎหมายระบายทุกข์ ที่มา : Thai PBS Instagram : one31thailand The Animal Welfare Act (AWA) 1966 The Animal Welfare Act 2006 The American Humane Association พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 มาตรา 20
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 861 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่ชอบ swab บ่อยๆ อดทนอ่านสักนิดนะ
    อันนี้เค้าแปลไทยมาให้แล้ว บรรทัดต่อบรรทัด
    ว่ามันอันตรายยังไง แบบไหน เพราะอะไร
    ⏩เหตุใดหน่วยงานภาครัฐจึงยังดึงดันที่จะบังคับใช้ TR-PCT test เป็น Gold Standard ในการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อโkวิdให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ในบุคคลเดิม
    ⏩ทั้งที่เทคนิคนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาตร์และบุคลากรทางการแพทย์กว่าห้าหมื่นคนทั่วโลกแล้วว่าเป็นวิธีที่เชื่อถือไม่ได้
    ⏩ให้ผลบวกลวง หรือ False Positive มหาศาลกว่า 90% และแม้แต่ Dr. Kary Mullis ผู้คิดค้นเทคนิคนี้เอง
    ยังยืนกรานออกสื่อหลายครั้งว่ามันไม่เที่ยงตรงและนำไปสู่การแปลผลผิดพลาดได้
    ❓เหตุใดจึงเลือกวิธีล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะของพวกเราอย่างมากทั้งที่สามารถทำได้ง่ายจากการตรวจวิเคราะห์น้ำลาย
    📌การสอดไม้ Swab เข้าไปกว้านลึกถึงเพดานจมูกสามารถสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้ม Olfactory Nerve
    📌ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและอายุขัยของมนุษย์ เนื่องจาก olfactory nerve เป็นปราการด่านหนึ่งในสองของกะโหลกศรีษะ
    ⏩ซึ่งเชื่อมระหว่างโพรงจมูกกับสมอง ที่ไวรัสและแบคทีเรียสามารถเดินทางข้าม blood-brain barrier เข้าสู่สมองได้
    📌นอกจากนี้ olfactory nerve ยังเป็นเซลล์ชนิดเดียวในกะโหลกศรีษะที่มี stem cells เรียกว่า olfactory ensheathing cells ที่ล้อมรอบเซลล์รับกลิ่น olfactory sensory axons ส่วนที่ยื่นออกมาจากเซลล์ประสาท neuron
    ⏩ทำหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาทจากเซลล์ร่างกาย พวกมันทำหน้าที่ปกป้อง olfactory nerve และช่วยการสร้างเซลล์ใหม่เมื่อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย (สเต็มเซลล์ชนิดนี้มีความพิเศษมากจนถูกนำไปใช้ในการซ่อมแซมไขสันหลังบาดเจ็บและรักษาโรคทางสมองหลายชนิดในการแพทย์ปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ)
    ⏩นอกจากนี้ olfactory ensheathing cells ยังช่วยเป็นภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด
    ✅เนื่องจากมันประพฤติตัวเป็น phagocytic กล่าวคือ จับกินและย่อยสลายเชื้อโรคได้
    📌ดังนั้น มันจึงเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันสมองโดยระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกาย โดยเซลล์ประสาท Olfactory และ neuron bulb มีอายุขัย 4-8 เดือน
    ก่อนจะถูกแทนที่อย่างต่อเนื่องด้วย neuron stem cell อย่าง olfactory ensheathing cells
    ⏩มันช่วยส่งเสริมการอยู่รอดของเซลล์ประสาทและช่วยในการขยายตัวของ axon
    📌จากงานวิจัยล่าสุด แสดงให้เห็นว่า หาก olfactory ensheathing cells สูญเสียความสามารถในการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมตัวเองไป
    ‼️จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตภายใน 5 ปี ในผู้ใหญ่วัย 57 – 85 ปี เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าตัว
    📌การทำงานของ olfactory จึงเสมือนเป็นเครื่องทำนายความสามารถในการดำรงชีวิตภายใน 5 ปี เป็นสัญญาณเตือนเมื่อการสร้างใหม่ของเซลล์ช้าลง และใช้เป็นเครื่องบ่งชี้เมื่อมีการสะสมสารพิษที่สัมผัสจากสิ่งแวดล้อม
    ‼️ Olfactory nerve ที่เสียหายเสมือนป้อมปราการสู่สมองถูกทำลาย ทำให้ง่ายต่อการถูกโจมตีด้วยสิ่งแปลกปลอมและส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิต
    📌การ swab PCR เป็นระยะ จนทำลายความสามารถในการสร้างใหม่ต่อ Olfactory nerve ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ใหญ่อายุ 57 – 85 ปี ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ
    ‼️การทดสอบ PCR test มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าต่อ Olfactory nerve
    📌ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    ⏩ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อนี้ได้ถูกนำไปสนับสนุนให้รัฐบาลยกระดับมาตรการต่อโรคระบาดยิ่งขึ้น
    📌เมื่อมีผู้ถูกทดสอบโดย PCR เพิ่มขึ้น เซลล์ป้องกันจึงถูกทำลายมากขึ้นและมีผู้ติดเชื้อหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในครั้งต่อมา
    😔โดยจะถูกตีความต่อไปว่า เกิดการติดเชื้อจากไวรัสโkวิdด้วยการเพิ่มจำนวน Cycle ใน thermal cycler จนกว่าเปอร์เซ็นต์จะเพิ่มจนให้ผลเป็นบวก
    ⏩เพื่อสรุปว่าเป็นโkวิdตามต้องการ
    📌อาจมีการโต้แย้งว่า การทดสอบ swab ช่องจมูกที่ถูกต้อง ควรกวาดเป็นมุมสูงไม่เกิน 30 องศา จากแนวระนาบเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นประสาทรับกลิ่น
    📌แต่ในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม้ Swab จะไปไปสัมผัสเส้นประสาท Trigeminal แทน ซึ่งเป็น blood-brain barrier เข้าสู่สมองปราการที่สอง
    ‼️ส่งผลต่อการรับรสและการมองเห็น
    📌นอกจากนี้ เพื่อเป็นการทำลายประสาทรับกลิ่นและรส ไม้ swab ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสโดนจนก่ออันตรายต่อเซลล์ประสาท Trigeminal หรือ Olfactory โดยตรงเลย
    ⁉️แค่ลำพังการสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อเมือกในโพรงจมูก ก็สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งระบบ Limbic
    📌เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก
    ‼️สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้ป่วยโควิดจึงสูญเสียการตอบสนองทางพฤติกรรมที่ควบคุมโดยระบบ Limbic เช่น การนอนหลับ ความเหนื่อยล้า การรับรู้ การปรับตัว การเคลื่อนไหว ความจำ เป็นต้น
    📌นอกจากปลายของไม้ swab มีเขี้ยวขรุขระ ประกอบกับวิธีการสอดที่ลึกและการหมุนที่กว้างอย่างรุนแรง
    ⏩ถูกออกแบบมาเพื่อขีดข่วนสร้างความเสียหายให้เยื่อยุผิวมากที่สุดแล้ว
    ‼️ยังพบว่ามีการใช้สารเคมี ethylene oxide ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง
    📌ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อใน PCR swab test ก่ออันตรายกับเยื่อเมือกโพรงจมูกซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความไวต่อการแพ้
    📌ร่วมกับมาตรการบังคับใช้ให้สวมหน้ากากอนามัยทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง
    📌จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียและไวรัสให้เข้าสู่สมองผ่าน Olfactory nerve และ Trigeminal neve ที่เสียหายให้มากยิ่งขึ้น
    📌จากผลการศึกษาหลายร้อยชิ้น แสดงให้เห็นว่าภายใต้หน้ากากอนามัยเป็นแหล่งปนเปื้อนแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมาก เมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน
    📌และหลายงานวิจัยยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบทางเดินหายใจสั้นลง และความเหนื่อยล้าอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05)
    ⏩ในหน้ากาก N95 ออกซิเจนลดลง 72%, คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 82%, อาการปวดหัว 60%, ความบกพร่องของการหายในอุณหภูมิและความชื้นที่เพิ่มขึ้น 100%.
    📌นอกจากนี้ หลายการศึกษาพบว่า
    การใส่หน้ากากอนามัย ไม่สามารถปิดกั้นการแพร่กระจายของละอองไวรัสได้อย่างสมบูรณ์แม้ขณะปิดสนิท จึงไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ
    📌ในปี 2020 เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่รอดพ้นการการทดสอบ PCR มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีอาการแสดงการติดเชื้อโควิดเลย
    📌กระทั่งปี 2021 เมื่อมีการทดสอบเชิงรุก พวกเขาก็เริ่มแสดงอาการ ที่เกิดจากโkวิdทันที
    📌ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการสร้างความเสียหายต่อสมองโดยจงใจ
    ‼️ความบกพร่องในการทำงานของศูนย์กลางการหายใจในสมอง Medula oblongata ก่อให้เกิดภาวะหายใจลำบาก Dyspnoea โดยที่ไม่มีการติดเชื้อหรือรอยโรคใดที่ปอด แต่เป็นความเสียหายทางสมองและระบบประสาท
    เราเรียบเรียงใหม่จากส่วนหนึ่งในบทความ PCR Tests and the Depopulation Program by Kevin Galalae, 10 October 2021
    Cr : Ramone Jira
    คนที่ชอบ swab บ่อยๆ อดทนอ่านสักนิดนะ อันนี้เค้าแปลไทยมาให้แล้ว บรรทัดต่อบรรทัด ว่ามันอันตรายยังไง แบบไหน เพราะอะไร ⏩เหตุใดหน่วยงานภาครัฐจึงยังดึงดันที่จะบังคับใช้ TR-PCT test เป็น Gold Standard ในการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อโkวิdให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ในบุคคลเดิม ⏩ทั้งที่เทคนิคนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาตร์และบุคลากรทางการแพทย์กว่าห้าหมื่นคนทั่วโลกแล้วว่าเป็นวิธีที่เชื่อถือไม่ได้ ⏩ให้ผลบวกลวง หรือ False Positive มหาศาลกว่า 90% และแม้แต่ Dr. Kary Mullis ผู้คิดค้นเทคนิคนี้เอง ยังยืนกรานออกสื่อหลายครั้งว่ามันไม่เที่ยงตรงและนำไปสู่การแปลผลผิดพลาดได้ ❓เหตุใดจึงเลือกวิธีล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะของพวกเราอย่างมากทั้งที่สามารถทำได้ง่ายจากการตรวจวิเคราะห์น้ำลาย 📌การสอดไม้ Swab เข้าไปกว้านลึกถึงเพดานจมูกสามารถสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้ม Olfactory Nerve 📌ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและอายุขัยของมนุษย์ เนื่องจาก olfactory nerve เป็นปราการด่านหนึ่งในสองของกะโหลกศรีษะ ⏩ซึ่งเชื่อมระหว่างโพรงจมูกกับสมอง ที่ไวรัสและแบคทีเรียสามารถเดินทางข้าม blood-brain barrier เข้าสู่สมองได้ 📌นอกจากนี้ olfactory nerve ยังเป็นเซลล์ชนิดเดียวในกะโหลกศรีษะที่มี stem cells เรียกว่า olfactory ensheathing cells ที่ล้อมรอบเซลล์รับกลิ่น olfactory sensory axons ส่วนที่ยื่นออกมาจากเซลล์ประสาท neuron ⏩ทำหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาทจากเซลล์ร่างกาย พวกมันทำหน้าที่ปกป้อง olfactory nerve และช่วยการสร้างเซลล์ใหม่เมื่อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย (สเต็มเซลล์ชนิดนี้มีความพิเศษมากจนถูกนำไปใช้ในการซ่อมแซมไขสันหลังบาดเจ็บและรักษาโรคทางสมองหลายชนิดในการแพทย์ปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ) ⏩นอกจากนี้ olfactory ensheathing cells ยังช่วยเป็นภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด ✅เนื่องจากมันประพฤติตัวเป็น phagocytic กล่าวคือ จับกินและย่อยสลายเชื้อโรคได้ 📌ดังนั้น มันจึงเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันสมองโดยระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกาย โดยเซลล์ประสาท Olfactory และ neuron bulb มีอายุขัย 4-8 เดือน ก่อนจะถูกแทนที่อย่างต่อเนื่องด้วย neuron stem cell อย่าง olfactory ensheathing cells ⏩มันช่วยส่งเสริมการอยู่รอดของเซลล์ประสาทและช่วยในการขยายตัวของ axon 📌จากงานวิจัยล่าสุด แสดงให้เห็นว่า หาก olfactory ensheathing cells สูญเสียความสามารถในการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมตัวเองไป ‼️จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตภายใน 5 ปี ในผู้ใหญ่วัย 57 – 85 ปี เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าตัว 📌การทำงานของ olfactory จึงเสมือนเป็นเครื่องทำนายความสามารถในการดำรงชีวิตภายใน 5 ปี เป็นสัญญาณเตือนเมื่อการสร้างใหม่ของเซลล์ช้าลง และใช้เป็นเครื่องบ่งชี้เมื่อมีการสะสมสารพิษที่สัมผัสจากสิ่งแวดล้อม ‼️ Olfactory nerve ที่เสียหายเสมือนป้อมปราการสู่สมองถูกทำลาย ทำให้ง่ายต่อการถูกโจมตีด้วยสิ่งแปลกปลอมและส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิต 📌การ swab PCR เป็นระยะ จนทำลายความสามารถในการสร้างใหม่ต่อ Olfactory nerve ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ใหญ่อายุ 57 – 85 ปี ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ ‼️การทดสอบ PCR test มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าต่อ Olfactory nerve 📌ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ⏩ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อนี้ได้ถูกนำไปสนับสนุนให้รัฐบาลยกระดับมาตรการต่อโรคระบาดยิ่งขึ้น 📌เมื่อมีผู้ถูกทดสอบโดย PCR เพิ่มขึ้น เซลล์ป้องกันจึงถูกทำลายมากขึ้นและมีผู้ติดเชื้อหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในครั้งต่อมา 😔โดยจะถูกตีความต่อไปว่า เกิดการติดเชื้อจากไวรัสโkวิdด้วยการเพิ่มจำนวน Cycle ใน thermal cycler จนกว่าเปอร์เซ็นต์จะเพิ่มจนให้ผลเป็นบวก ⏩เพื่อสรุปว่าเป็นโkวิdตามต้องการ 📌อาจมีการโต้แย้งว่า การทดสอบ swab ช่องจมูกที่ถูกต้อง ควรกวาดเป็นมุมสูงไม่เกิน 30 องศา จากแนวระนาบเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นประสาทรับกลิ่น 📌แต่ในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม้ Swab จะไปไปสัมผัสเส้นประสาท Trigeminal แทน ซึ่งเป็น blood-brain barrier เข้าสู่สมองปราการที่สอง ‼️ส่งผลต่อการรับรสและการมองเห็น 📌นอกจากนี้ เพื่อเป็นการทำลายประสาทรับกลิ่นและรส ไม้ swab ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสโดนจนก่ออันตรายต่อเซลล์ประสาท Trigeminal หรือ Olfactory โดยตรงเลย ⁉️แค่ลำพังการสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อเมือกในโพรงจมูก ก็สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งระบบ Limbic 📌เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก ‼️สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้ป่วยโควิดจึงสูญเสียการตอบสนองทางพฤติกรรมที่ควบคุมโดยระบบ Limbic เช่น การนอนหลับ ความเหนื่อยล้า การรับรู้ การปรับตัว การเคลื่อนไหว ความจำ เป็นต้น 📌นอกจากปลายของไม้ swab มีเขี้ยวขรุขระ ประกอบกับวิธีการสอดที่ลึกและการหมุนที่กว้างอย่างรุนแรง ⏩ถูกออกแบบมาเพื่อขีดข่วนสร้างความเสียหายให้เยื่อยุผิวมากที่สุดแล้ว ‼️ยังพบว่ามีการใช้สารเคมี ethylene oxide ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง 📌ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อใน PCR swab test ก่ออันตรายกับเยื่อเมือกโพรงจมูกซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความไวต่อการแพ้ 📌ร่วมกับมาตรการบังคับใช้ให้สวมหน้ากากอนามัยทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง 📌จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียและไวรัสให้เข้าสู่สมองผ่าน Olfactory nerve และ Trigeminal neve ที่เสียหายให้มากยิ่งขึ้น 📌จากผลการศึกษาหลายร้อยชิ้น แสดงให้เห็นว่าภายใต้หน้ากากอนามัยเป็นแหล่งปนเปื้อนแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมาก เมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน 📌และหลายงานวิจัยยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบทางเดินหายใจสั้นลง และความเหนื่อยล้าอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) ⏩ในหน้ากาก N95 ออกซิเจนลดลง 72%, คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 82%, อาการปวดหัว 60%, ความบกพร่องของการหายในอุณหภูมิและความชื้นที่เพิ่มขึ้น 100%. 📌นอกจากนี้ หลายการศึกษาพบว่า การใส่หน้ากากอนามัย ไม่สามารถปิดกั้นการแพร่กระจายของละอองไวรัสได้อย่างสมบูรณ์แม้ขณะปิดสนิท จึงไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ 📌ในปี 2020 เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่รอดพ้นการการทดสอบ PCR มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีอาการแสดงการติดเชื้อโควิดเลย 📌กระทั่งปี 2021 เมื่อมีการทดสอบเชิงรุก พวกเขาก็เริ่มแสดงอาการ ที่เกิดจากโkวิdทันที 📌ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการสร้างความเสียหายต่อสมองโดยจงใจ ‼️ความบกพร่องในการทำงานของศูนย์กลางการหายใจในสมอง Medula oblongata ก่อให้เกิดภาวะหายใจลำบาก Dyspnoea โดยที่ไม่มีการติดเชื้อหรือรอยโรคใดที่ปอด แต่เป็นความเสียหายทางสมองและระบบประสาท เราเรียบเรียงใหม่จากส่วนหนึ่งในบทความ PCR Tests and the Depopulation Program by Kevin Galalae, 10 October 2021 Cr : Ramone Jira
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 642 มุมมอง 0 รีวิว
  • Higher Self คืออะไร
    Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น

    การทำงานของ Higher Self
    การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่

    การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว

    การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย

    การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย

    การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น

    วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self
    การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น

    การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ

    การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น
    #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต
    #การเดินทางภายใน
    Higher Self คืออะไร Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น การทำงานของ Higher Self การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่ การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต #การเดินทางภายใน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตวุฒิสมาชิก นายคำนูณ สิทธิสมาน เขียนบทความสำคัญเรื่อง “เกาะกูดเป็นของไทย ทั้งตัวเกาะ-ทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้” เนื้อหาระบุว่า

    “ เกาะกูดเป็นของไทยมา 127 ปีแล้ว !

    ตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 ข้อ 2

    แต่ต้องเข้าใจให้ตรงกันว่าไม่ใช่เพียงแค่ตัวเกาะที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบเท่านั้น หากหมายรวมถึงผืนน้ำโดยรอบทั้งหมด ทั้งส่วนที่ไม่ว่าจะเป็น “ทะเลอาณาเขต”, “เขตต่อเนื่อง”, “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” หรือ “ไหล่ทวีป” ด้วย

    นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้

    เพราะเกาะกูดแม้จะเป็น “เกาะ” แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบันมีค่าเท่ากับ “แผ่นดิน(ของรัฐชายฝั่ง)” มีอาณาเขตทางทะเลของตนเหมือนกันทุกประการ

    ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ข้อ 121

    การที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) โดยลากเส้นเขตไหล่ทวีปด้านทิศเหนือผ่ากลางเกาะกูดตรงมายังจุดกึ่งกลางอ่าวไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเขียนแผนที่หรือแผนผังแบบไหนก็ตามใน 3 แบบนี้

    - แบบลากพาดผ่านตัวเกาะตรง ๆ (ก.ต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นประกอบการแถลงข่าวชี้แจงกฤษฎีกา 1972)

    - แบบลากมาหยุดอยู่ที่ตัวเกาะด้านทิศตะวันออก/เว้นตัวเกาะ/แล้วลากต่อออกจากตัวเกาะด้านทิศตะวันตกไปยังกลางอ่าวไทย (แผนที่เดินเรือของกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศสที่ใช้เป็นแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาฯ 1972)

    - หรือล่าสุด จะเขียนเส้นโค้งเว้าอ้อมประชิดตัวเกาะด้านทิศใต้เป็นรูปตัว U (แผนผังแนบท้าย MOU 2544)

    ล้วนมีค่าเสมอกันทั้งสิ้น

    ผิดทั้งหมด !

    เพราะเป็นการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย

    รวมทั้งอาจเป็นการแสดงออกทางกฎหมายถึงการรับรู้หรือยอมรับโดยปริยายซึ่งการมีอยู่และคงอยู่ของการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทยดังกล่าว

    การที่ประกาศกฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชาอ้างหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตร์แดนติดท้ายหนังสือสัญญา ค.ศ. 1907 ที่มีแผนที่หรือแผนผังต่อท้ายปรากฎเส้นประ (dotted line) จากเกาะกูดถึงแผ่นดินชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดเพื่อแสดงจุดเล็งหาหลักเขตที่ 73 อันเป็นหลักเขตสุดท้ายด้านทิศใต้ของการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับกัมพูขา (อินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 1907) โดยระบุเท็จว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแล้ว จากนั้นบนพื้นฐานเท็จดังกล่าวกฤษฎีกาก็กำหนดให้ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นจุด “S” เพื่อรับช่วงเชื่อมต่อเส้นจากหลักเขตที่ 73 ที่กำหนดไว้เป็นจุด “A” เจือสมให้รับกับความมุ่งหวังให้เขตไหล่ทวีปของประเทศเขามีเส้นฐานตรง (Straight baseline) ลากตรงไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่จุด ”P” ด้านหนึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเปลือยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลเพื่อนบ้านเราเมื่อ 52 ปีก่อน

    แท้จริงแล้ว เป็นการเสกสรรค์ปั้นแต่งเรื่องหาช่องเพื่อสนองเจตนาหวัง “ฮุบ” ทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทยเป็นสำคัญ !

    ถ้าไม่มีเส้นเขตไหล่ทวีปแนว “A-S-P” ที่ผ่ากลางเกาะกูดมาจบที่กึ่งกลางอ่าวไทยก่อนวกลงใต้ ก็ไม่สามารถสนองเจตนา ”ฮุบ“ ทรัพยากรกลางอ่าวไทยได้

    นายพลลอนนอล ประธานาธิบดีกัมพูชายุคนั้น เคยชี้แจงกับจอมพลประภาส จารุเสถียรเมื่อปี 2515-2516 ว่าเป็นการลากเส้นที่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคและบริษัทเอกชนตะวันตกที่ขอสัมปทานผลิตปิโตรเลี่ยมเสนอมา ทั้งนี้ จากการบอกเล่าของพล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ผู้เชี่ยวชาญด้านเขตแดนไทย-กัมพูชาที่อยู่ในคณะกรรมการพลายชุด (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ต่อสาธารณะ ณ สยามสมาคม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2554

    นี่คือกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิด !

    ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาโดยตลอดเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ตามด้วยการตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูดรวม 6 จุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2517 รวมทั้งการส่งกำลังทางทหารเข้าประจำการและลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งบนตัวเกาะและน่านน้ำโดยรอบ กำลังทหารยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยตรวจการพิเศษที่ 1 ขึ้นบนเกาะกูดเมื่อปี 2521 และเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” (อักษรย่อ “นปก.”) เมื่อปี 2529 เป็นกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ภายใต้หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ขึ้นตรงทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด

    “นปก.เกาะกูด” มีการซ้อมรบทางยุทธวิธีเป็นประจำทุกปี ล่าสุดก็เมื่อเดือนมีนาคม 2567 นี้

    อย่างไรก็ดี การที่ทั้งกัมพูชาและไทยต่างประกาศเขตพื้นที่ไหล่ทวีปของตนออกมาในปี 1972 และ 1973 โดยมีความแตกต่างกันจึงก่อให้เกิดผลโดยธรรมชาติในประการสำคัญ

    เกิดสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” หรือ OCA ขึ้นมา

    แต่แม้จะเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการที่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ว่ามีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย

    จาก “ฮุบ” กัมพูชาแปรมาเป็น “ฮั้ว” ในเวลาต่อมา !

    นั่นคือนับแต่มีความสงบในแผ่นดินตามสมควรในช่วงทศวรรษที่ 2530 กัมพูชาได้เริ่มกระบวนการเจรจาปัญหาเขตพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกับประเทศไทย

    โดยหลักคือขอแบ่งผลประโยชน์กัน ไม่ต้องพูดเรื่องเขตแดน

    ไม่ใช่แบ่งตัวเกาะกูดที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบ แต่เป็นการแบ่งทรัพยาการปิโตรเลี่ยมใต้ท้องทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปที่แตกต่างและทับซ้อนกันของ 2 ประเทศ ระหว่างเส้น 1972 ของกัมพูชา กับเส้น 1973 ของไทย เป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร

    ไทยตอบสนองยอมรับการเจรจาด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ ประการหนึ่ง เป็นประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนประชิดติดกันเมื่อมีปัญหาใดก็ต้องพูดคุยกัน ประการสอง ไทยเองทางฟากฝั่งหน่วยงานด้านพลังงานก็ต้องการนำทรัพยากรปิโตรเลี่ยมขึ้นมาใช้เช่นกัน และประการสุดท้ายที่สำคัญมากเช่นกัน คือ ไทยทางฟากฝั่งกระทรวงการต่างประเทศต้องการเคลียร์เรื่องเส้นกำหนดเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาที่ผ่ากลางเกาะกูดตรงไปกลางอ่าวไทย ภาษาของคนทำงานด้านการต่างประเทศคือ…

    “พยายามเอาเส้น 1972 ลงให้ได้”

    การเจรจาเกิดขึ้นหลายยก

    แต่ไม่คืบหน้า เพราะกัมพูชายืนยันจะพูดแต่เรื่องแบ่งผลประโยชน์ ไม่พูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ที่ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย

    โดนรุกหนัก ๆ ก็บอกว่าตามรัฐธรรมนูญกัมพูชา ค.ศ. 1993 ห้ามเปลี่ยนแปลงเขตแดน

    พอจะกล่าวได้ว่าคืบหน้ามากที่สุดคือเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ไทยกับกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราขอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ. 2544“ หรือ “MOU 2544” ที่มีแผนผังจำลองเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาเขียนแบบใหม่อ้อมประชิดเกาะกูดทางทิศใต้เป็นรูปตัว U

    วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก เพราะในมุมมองหนึ่งเสมือนเป็นครั้งแรกที่รัฐไทยยอมรับอย่างเป็นทางการถึงการมีอยู่ของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน รวมทั้งการมีอยู่ของเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชา

    MOU 2544 จะเป็นความคืบหน้าในทางบวกหรือลบกับประเทศไทย ถูกหรือผิด นี่เป็นประเด็นวิวาทะกันมายาวนานกว่า 20 ปี

    แม้แต่คณะรัฐมนตรีก็เคยมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ดำเนินการยกเลิกจริง ๆ ในที่สุด

    หมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่มีนัยสำคัญของปัญหานี้ผ่านมา 23 ปี ลูกสาวของนายกรัฐมนตรีคนที่ทำ MOU 2544 กับกัมพูชาได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย วิวาทะเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง

    ไม่ว่าจะอย่างไร MOU 2544 คือทางตัน ไม่ใช่ทางออกของปัญหาแน่ แต่อาจเป็นได้แค่ทางออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ

    หากถามแบรวบยอดขอข้อสรุปสั้น ๆ ว่าทางออกของปัญหาคืออะไร

    ขอฟันธงว่าต้องแก้ที่ต้นเหตุ !

    ทางแก้มีหนึ่งเดียวเป็นปฐมบท คือก่อนเดินหน้าเจรจาใด ๆ เกี่ยวกับทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทย ประเทศไทยต้องขอตรง ๆ ให้กัมพูชาปลดกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิดเมื่อปี 1972 ออกเสียก่อน

    ยกเลิกกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972 เสีย

    แล้วดำเนินการประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาด้านอ่าวไทยเสียใหม่ที่ไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของไทย โดยให้เป็นไปตามหลักการในบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982

    หากเขตไหล่ทวีปที่กำหนดใหม่นั้นยังคงมีความแตกต่างกับเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยที่มีประกาศพระบรมราชโองการไว้เมื่อปี 2516 และยังคงมีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหลืออยู่ หากไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปใหม่นั้นไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย จึงค่อยพิจารณาหาหนทางเจรจากัน ทั้งการปักปันเขตแดนทางทะเล รวมทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้ทะเลในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่ยังเหลืออยู่นั้น

    เอาเส้นฮุบปิโตรเลี่ยม 1972 ลงก่อน แล้วค่อยคุยกัน - ว่างั้นเถอะ !

    หากกัมพูชาไม่อาจแก้ไขการกระทำที่ผิดในอดีต ก็ไม่มีเหตุใดให้ประเทศไทยต้องไปเจรจาด้วยในเรื่องนี้

    ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-article/132953-thai-3.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0Y2pOmFG6gs__qtC3DLdEJhxo-f2CSzSda_vFloiUYKIrhaV-5FbhP3-k_aem_SPiVtR0CAy5ruurc2LQGTA

    #Thaitimes
    อดีตวุฒิสมาชิก นายคำนูณ สิทธิสมาน เขียนบทความสำคัญเรื่อง “เกาะกูดเป็นของไทย ทั้งตัวเกาะ-ทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้” เนื้อหาระบุว่า “ เกาะกูดเป็นของไทยมา 127 ปีแล้ว ! ตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 ข้อ 2 แต่ต้องเข้าใจให้ตรงกันว่าไม่ใช่เพียงแค่ตัวเกาะที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบเท่านั้น หากหมายรวมถึงผืนน้ำโดยรอบทั้งหมด ทั้งส่วนที่ไม่ว่าจะเป็น “ทะเลอาณาเขต”, “เขตต่อเนื่อง”, “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ” หรือ “ไหล่ทวีป” ด้วย นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ เพราะเกาะกูดแม้จะเป็น “เกาะ” แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบันมีค่าเท่ากับ “แผ่นดิน(ของรัฐชายฝั่ง)” มีอาณาเขตทางทะเลของตนเหมือนกันทุกประการ ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ข้อ 121 การที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) โดยลากเส้นเขตไหล่ทวีปด้านทิศเหนือผ่ากลางเกาะกูดตรงมายังจุดกึ่งกลางอ่าวไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเขียนแผนที่หรือแผนผังแบบไหนก็ตามใน 3 แบบนี้ - แบบลากพาดผ่านตัวเกาะตรง ๆ (ก.ต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นประกอบการแถลงข่าวชี้แจงกฤษฎีกา 1972) - แบบลากมาหยุดอยู่ที่ตัวเกาะด้านทิศตะวันออก/เว้นตัวเกาะ/แล้วลากต่อออกจากตัวเกาะด้านทิศตะวันตกไปยังกลางอ่าวไทย (แผนที่เดินเรือของกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศสที่ใช้เป็นแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาฯ 1972) - หรือล่าสุด จะเขียนเส้นโค้งเว้าอ้อมประชิดตัวเกาะด้านทิศใต้เป็นรูปตัว U (แผนผังแนบท้าย MOU 2544) ล้วนมีค่าเสมอกันทั้งสิ้น ผิดทั้งหมด ! เพราะเป็นการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย รวมทั้งอาจเป็นการแสดงออกทางกฎหมายถึงการรับรู้หรือยอมรับโดยปริยายซึ่งการมีอยู่และคงอยู่ของการจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทยดังกล่าว การที่ประกาศกฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชาอ้างหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตร์แดนติดท้ายหนังสือสัญญา ค.ศ. 1907 ที่มีแผนที่หรือแผนผังต่อท้ายปรากฎเส้นประ (dotted line) จากเกาะกูดถึงแผ่นดินชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดเพื่อแสดงจุดเล็งหาหลักเขตที่ 73 อันเป็นหลักเขตสุดท้ายด้านทิศใต้ของการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับกัมพูขา (อินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 1907) โดยระบุเท็จว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแล้ว จากนั้นบนพื้นฐานเท็จดังกล่าวกฤษฎีกาก็กำหนดให้ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นจุด “S” เพื่อรับช่วงเชื่อมต่อเส้นจากหลักเขตที่ 73 ที่กำหนดไว้เป็นจุด “A” เจือสมให้รับกับความมุ่งหวังให้เขตไหล่ทวีปของประเทศเขามีเส้นฐานตรง (Straight baseline) ลากตรงไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่จุด ”P” ด้านหนึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเปลือยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลเพื่อนบ้านเราเมื่อ 52 ปีก่อน แท้จริงแล้ว เป็นการเสกสรรค์ปั้นแต่งเรื่องหาช่องเพื่อสนองเจตนาหวัง “ฮุบ” ทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทยเป็นสำคัญ ! ถ้าไม่มีเส้นเขตไหล่ทวีปแนว “A-S-P” ที่ผ่ากลางเกาะกูดมาจบที่กึ่งกลางอ่าวไทยก่อนวกลงใต้ ก็ไม่สามารถสนองเจตนา ”ฮุบ“ ทรัพยากรกลางอ่าวไทยได้ นายพลลอนนอล ประธานาธิบดีกัมพูชายุคนั้น เคยชี้แจงกับจอมพลประภาส จารุเสถียรเมื่อปี 2515-2516 ว่าเป็นการลากเส้นที่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคและบริษัทเอกชนตะวันตกที่ขอสัมปทานผลิตปิโตรเลี่ยมเสนอมา ทั้งนี้ จากการบอกเล่าของพล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ผู้เชี่ยวชาญด้านเขตแดนไทย-กัมพูชาที่อยู่ในคณะกรรมการพลายชุด (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ต่อสาธารณะ ณ สยามสมาคม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2554 นี่คือกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิด ! ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาโดยตลอดเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ตามด้วยการตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูดรวม 6 จุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2517 รวมทั้งการส่งกำลังทางทหารเข้าประจำการและลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งบนตัวเกาะและน่านน้ำโดยรอบ กำลังทหารยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยตรวจการพิเศษที่ 1 ขึ้นบนเกาะกูดเมื่อปี 2521 และเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” (อักษรย่อ “นปก.”) เมื่อปี 2529 เป็นกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ภายใต้หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ขึ้นตรงทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด “นปก.เกาะกูด” มีการซ้อมรบทางยุทธวิธีเป็นประจำทุกปี ล่าสุดก็เมื่อเดือนมีนาคม 2567 นี้ อย่างไรก็ดี การที่ทั้งกัมพูชาและไทยต่างประกาศเขตพื้นที่ไหล่ทวีปของตนออกมาในปี 1972 และ 1973 โดยมีความแตกต่างกันจึงก่อให้เกิดผลโดยธรรมชาติในประการสำคัญ เกิดสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” หรือ OCA ขึ้นมา แต่แม้จะเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการที่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ว่ามีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย จาก “ฮุบ” กัมพูชาแปรมาเป็น “ฮั้ว” ในเวลาต่อมา ! นั่นคือนับแต่มีความสงบในแผ่นดินตามสมควรในช่วงทศวรรษที่ 2530 กัมพูชาได้เริ่มกระบวนการเจรจาปัญหาเขตพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกับประเทศไทย โดยหลักคือขอแบ่งผลประโยชน์กัน ไม่ต้องพูดเรื่องเขตแดน ไม่ใช่แบ่งตัวเกาะกูดที่เป็นแผ่นดินโผล่พ้นน้ำและมีน้ำล้อมรอบ แต่เป็นการแบ่งทรัพยาการปิโตรเลี่ยมใต้ท้องทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปที่แตกต่างและทับซ้อนกันของ 2 ประเทศ ระหว่างเส้น 1972 ของกัมพูชา กับเส้น 1973 ของไทย เป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ไทยตอบสนองยอมรับการเจรจาด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ ประการหนึ่ง เป็นประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนประชิดติดกันเมื่อมีปัญหาใดก็ต้องพูดคุยกัน ประการสอง ไทยเองทางฟากฝั่งหน่วยงานด้านพลังงานก็ต้องการนำทรัพยากรปิโตรเลี่ยมขึ้นมาใช้เช่นกัน และประการสุดท้ายที่สำคัญมากเช่นกัน คือ ไทยทางฟากฝั่งกระทรวงการต่างประเทศต้องการเคลียร์เรื่องเส้นกำหนดเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาที่ผ่ากลางเกาะกูดตรงไปกลางอ่าวไทย ภาษาของคนทำงานด้านการต่างประเทศคือ… “พยายามเอาเส้น 1972 ลงให้ได้” การเจรจาเกิดขึ้นหลายยก แต่ไม่คืบหน้า เพราะกัมพูชายืนยันจะพูดแต่เรื่องแบ่งผลประโยชน์ ไม่พูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ที่ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของประเทศไทย โดนรุกหนัก ๆ ก็บอกว่าตามรัฐธรรมนูญกัมพูชา ค.ศ. 1993 ห้ามเปลี่ยนแปลงเขตแดน พอจะกล่าวได้ว่าคืบหน้ามากที่สุดคือเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ไทยกับกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราขอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ. 2544“ หรือ “MOU 2544” ที่มีแผนผังจำลองเส้นเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชาเขียนแบบใหม่อ้อมประชิดเกาะกูดทางทิศใต้เป็นรูปตัว U วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก เพราะในมุมมองหนึ่งเสมือนเป็นครั้งแรกที่รัฐไทยยอมรับอย่างเป็นทางการถึงการมีอยู่ของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน รวมทั้งการมีอยู่ของเขตไหล่ทวีป 1972 ของกัมพูชา MOU 2544 จะเป็นความคืบหน้าในทางบวกหรือลบกับประเทศไทย ถูกหรือผิด นี่เป็นประเด็นวิวาทะกันมายาวนานกว่า 20 ปี แม้แต่คณะรัฐมนตรีก็เคยมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ดำเนินการยกเลิกจริง ๆ ในที่สุด หมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่มีนัยสำคัญของปัญหานี้ผ่านมา 23 ปี ลูกสาวของนายกรัฐมนตรีคนที่ทำ MOU 2544 กับกัมพูชาได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย วิวาทะเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างไร MOU 2544 คือทางตัน ไม่ใช่ทางออกของปัญหาแน่ แต่อาจเป็นได้แค่ทางออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ หากถามแบรวบยอดขอข้อสรุปสั้น ๆ ว่าทางออกของปัญหาคืออะไร ขอฟันธงว่าต้องแก้ที่ต้นเหตุ ! ทางแก้มีหนึ่งเดียวเป็นปฐมบท คือก่อนเดินหน้าเจรจาใด ๆ เกี่ยวกับทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้อ่าวไทย ประเทศไทยต้องขอตรง ๆ ให้กัมพูชาปลดกระดุมเม็ดแรกที่จงใจกลัดผิดเมื่อปี 1972 ออกเสียก่อน ยกเลิกกฤษฎีกา 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972 เสีย แล้วดำเนินการประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาด้านอ่าวไทยเสียใหม่ที่ไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของไทย โดยให้เป็นไปตามหลักการในบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หากเขตไหล่ทวีปที่กำหนดใหม่นั้นยังคงมีความแตกต่างกับเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยที่มีประกาศพระบรมราชโองการไว้เมื่อปี 2516 และยังคงมีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหลืออยู่ หากไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปใหม่นั้นไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย จึงค่อยพิจารณาหาหนทางเจรจากัน ทั้งการปักปันเขตแดนทางทะเล รวมทั้งการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลี่ยมใต้ทะเลในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่ยังเหลืออยู่นั้น เอาเส้นฮุบปิโตรเลี่ยม 1972 ลงก่อน แล้วค่อยคุยกัน - ว่างั้นเถอะ ! หากกัมพูชาไม่อาจแก้ไขการกระทำที่ผิดในอดีต ก็ไม่มีเหตุใดให้ประเทศไทยต้องไปเจรจาด้วยในเรื่องนี้ ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-article/132953-thai-3.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR0Y2pOmFG6gs__qtC3DLdEJhxo-f2CSzSda_vFloiUYKIrhaV-5FbhP3-k_aem_SPiVtR0CAy5ruurc2LQGTA #Thaitimes
    WWW.ISRANEWS.ORG
    เกาะกูดเป็นของไทย ทั้งตัวเกาะ-ทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้
    ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาโดยตลอดเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ตามด้วยการตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูดรวม 6 จุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2517 รวมทั้งการส่งกำลังทางทหารเข้าประจำการและลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งบนตัวเกาะและน่านน้ำโดยรอบ กำลังทหารยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยตรวจการพิเศษที่ 1 ขึ้นบนเกาะกูดเมื่อปี 2521 และเปลี่ยนชื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด” (อักษรย่อ “นปก.”) เมื่อปี 2529 เป็นกองกำลังเฉพาะกิจอยู่ภายใต้หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ขึ้นตรงทางยุทธการกับกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด
    Love
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 736 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ!!

    ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด”

    Washington Post ไม่กลัวสูญเสียประชาชนที่สนับสนุนจะเลิกติดตาม ประกาศยกเลิกสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดี และเลิกเสนอข่าวเอนเอียงทางการเมือง

    เรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นหลังจาก "เจฟฟ์ เบโซส์" ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Washington Post ตัดสินใจไม่ให้บรรณาธิการรายงานข่าวที่มีเนื้อหาสนับสนุน คามาลา แฮร์ริส เป็นประธานาธิบดี จนเป็นเหตุให้ subscribers กว่า 200,000 คน หรือประมาณ 8% ของจำนวน subscribers ทั้งหมด ได้ยกเลิกการสมัครรับข่าวสารของ นสพ. Washington Post รวมถึงคอลัมนิสต์จำนวนหนึ่งได้ลาออกด้วยเช่นกัน

    เมื่อวันที่ 25 ต.ค. วิล ลูอิส หนึ่งในผู้บริหารออกมาประกาศว่า ต่อไปนี้ Washington Post จะไม่ให้การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อๆ ไปด้วย
    “เรากำลังย้อนกลับไปสู่ประเพณีอันกีงามของสื่อที่มีมาตั้งแต่ในอดีต นั่นคือการไม่สนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใด” ลูอิส กล่าว

    ทางด้าน เจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าของ Amazon นิตยสาร Forbes รวมทั้ง หนังสือพิมพ์ Washington Post ชี้แจงเหตุผลของเขาผ่านทาง Washington Post หลังจากต้องเผชิญกับปฏิกิริยาตอบโต้ด้านลบจากพนักงานในปัจจุบันและอดีต รวมทั้งประชาชนที่สนับสนุน "นางคามาลา" โดยระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด”

    “การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กลับสร้างความรู้สึกที่ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ได้ถึงอคติทางการเมือง การรับรู้ถึงความไม่เป็นอิสระของสื่อ ดังนั้นการยุติการสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจึงเป็นการตัดสินใจที่มีหลักการ และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”

    ชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ!! ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด” Washington Post ไม่กลัวสูญเสียประชาชนที่สนับสนุนจะเลิกติดตาม ประกาศยกเลิกสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดี และเลิกเสนอข่าวเอนเอียงทางการเมือง เรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นหลังจาก "เจฟฟ์ เบโซส์" ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Washington Post ตัดสินใจไม่ให้บรรณาธิการรายงานข่าวที่มีเนื้อหาสนับสนุน คามาลา แฮร์ริส เป็นประธานาธิบดี จนเป็นเหตุให้ subscribers กว่า 200,000 คน หรือประมาณ 8% ของจำนวน subscribers ทั้งหมด ได้ยกเลิกการสมัครรับข่าวสารของ นสพ. Washington Post รวมถึงคอลัมนิสต์จำนวนหนึ่งได้ลาออกด้วยเช่นกัน เมื่อวันที่ 25 ต.ค. วิล ลูอิส หนึ่งในผู้บริหารออกมาประกาศว่า ต่อไปนี้ Washington Post จะไม่ให้การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อๆ ไปด้วย “เรากำลังย้อนกลับไปสู่ประเพณีอันกีงามของสื่อที่มีมาตั้งแต่ในอดีต นั่นคือการไม่สนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใด” ลูอิส กล่าว ทางด้าน เจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าของ Amazon นิตยสาร Forbes รวมทั้ง หนังสือพิมพ์ Washington Post ชี้แจงเหตุผลของเขาผ่านทาง Washington Post หลังจากต้องเผชิญกับปฏิกิริยาตอบโต้ด้านลบจากพนักงานในปัจจุบันและอดีต รวมทั้งประชาชนที่สนับสนุน "นางคามาลา" โดยระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด” “การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กลับสร้างความรู้สึกที่ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ได้ถึงอคติทางการเมือง การรับรู้ถึงความไม่เป็นอิสระของสื่อ ดังนั้นการยุติการสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจึงเป็นการตัดสินใจที่มีหลักการ และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เราถูกวางยาตลอดเวลา แม้แต่อากาศหายใจ มันยังขึ้นเครื่องบินพ่นพิษใส่เราอาจเสรี,แบบนาซ่าที่มาเยือนไทยเราล่าสุด.

    ..ทำไมจึงมีโลหะหนักอยู่ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเรา แม้กระทั่งในผลิตภัณฑ์ที่ควรจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติก็ตาม

    โลหะหนักมักพบในผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่คุณใช้ อากาศที่คุณหายใจ และอาหารที่คุณกิน โลหะเหล่านี้เป็นพิษ และสามารถสะสมขึ้นตามกาลเวลาและทำให้คุณป่วยได้

    การสะสมของโลหะหนักอาจทำให้การทำงานและการพัฒนาของสมองลดลง ความสามารถในการรับรู้ และส่งผลต่อความจำ นอกจากนี้ หากคุณมีอาการอ่อนล้า ปัญหาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน หรือปัญหาต่อมไทรอยด์ อาจเป็นเพราะพิษของโลหะหนัก

    ข่าวดีก็คือ โปรโตคอลการดีท็อกซ์โลหะหนักบางวิธีได้ผลจริง และสามารถช่วยให้คุณรู้สึกมีพลัง มีสมาธิ และยอดเยี่ยมมากขึ้น

    หากคุณไม่เคยดีท็อกซ์แบบจริงจังมาก่อน และรู้สึกเฉื่อยชาและเชื่องช้า การล้างระบบของคุณจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น มีสมาธิ และเฉียบแหลมขึ้นอย่างแน่นอน
    ..เราถูกวางยาตลอดเวลา แม้แต่อากาศหายใจ มันยังขึ้นเครื่องบินพ่นพิษใส่เราอาจเสรี,แบบนาซ่าที่มาเยือนไทยเราล่าสุด. ..ทำไมจึงมีโลหะหนักอยู่ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเรา แม้กระทั่งในผลิตภัณฑ์ที่ควรจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติก็ตาม โลหะหนักมักพบในผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่คุณใช้ อากาศที่คุณหายใจ และอาหารที่คุณกิน โลหะเหล่านี้เป็นพิษ และสามารถสะสมขึ้นตามกาลเวลาและทำให้คุณป่วยได้ การสะสมของโลหะหนักอาจทำให้การทำงานและการพัฒนาของสมองลดลง ความสามารถในการรับรู้ และส่งผลต่อความจำ นอกจากนี้ หากคุณมีอาการอ่อนล้า ปัญหาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน หรือปัญหาต่อมไทรอยด์ อาจเป็นเพราะพิษของโลหะหนัก ข่าวดีก็คือ โปรโตคอลการดีท็อกซ์โลหะหนักบางวิธีได้ผลจริง และสามารถช่วยให้คุณรู้สึกมีพลัง มีสมาธิ และยอดเยี่ยมมากขึ้น หากคุณไม่เคยดีท็อกซ์แบบจริงจังมาก่อน และรู้สึกเฉื่อยชาและเชื่องช้า การล้างระบบของคุณจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น มีสมาธิ และเฉียบแหลมขึ้นอย่างแน่นอน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • การใช้ความคิดเพื่อล้างความฟุ้งซ่าน เป็นเทคนิคที่ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง โดยใช้ความคิดนั้นๆ เป็นอุบายเพื่อดึงสติของเราให้กลับมาที่ปัจจุบัน วิธีนี้เหมาะกับช่วงที่จิตใจเราฟุ้งซ่าน จนไม่สามารถหยุดคิดได้ ด้วยการฝึกคิดอย่างมีทิศทาง:

    1. การคิดเพื่อเห็นความไม่เที่ยง:

    ขั้นแรกให้ตั้งสติรู้ตัวว่าเรากำลังคิดถึงเรื่องอะไร

    ทบทวนและเห็นว่าความคิดนี้ไม่ได้คงอยู่ตลอดเวลา

    การรับรู้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องนั้น คล้ายกับตื่นจากฝัน เห็นความคิดเป็นเพียงสภาวะชั่วคราว

    2. การคิดเพื่อเห็นความไม่ใช่ตัวตน:

    ให้สังเกตว่าสิ่งที่เรามองเห็น กระตุ้นให้คิดหรือรู้สึกถึงอะไร

    เมื่อเรารับรู้ว่าสิ่งรอบตัวล้วนเชื่อมโยงกับความคิดความรู้สึก และไม่ได้มีตัวตนที่แน่นอน เราจะเริ่มลดการยึดติดในความคิดและอารมณ์ได้

    การฝึกใช้ความคิดในแนวทางนี้จะช่วยให้เราเห็นความไม่เที่ยงและความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งจะทำให้จิตใจสงบขึ้น คลายการยึดติดในอารมณ์ฟุ้งซ่าน และนำเราไปสู่การตื่นรู้จากความคิดที่เป็นเพียงความฝัน
    การใช้ความคิดเพื่อล้างความฟุ้งซ่าน เป็นเทคนิคที่ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง โดยใช้ความคิดนั้นๆ เป็นอุบายเพื่อดึงสติของเราให้กลับมาที่ปัจจุบัน วิธีนี้เหมาะกับช่วงที่จิตใจเราฟุ้งซ่าน จนไม่สามารถหยุดคิดได้ ด้วยการฝึกคิดอย่างมีทิศทาง: 1. การคิดเพื่อเห็นความไม่เที่ยง: ขั้นแรกให้ตั้งสติรู้ตัวว่าเรากำลังคิดถึงเรื่องอะไร ทบทวนและเห็นว่าความคิดนี้ไม่ได้คงอยู่ตลอดเวลา การรับรู้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องนั้น คล้ายกับตื่นจากฝัน เห็นความคิดเป็นเพียงสภาวะชั่วคราว 2. การคิดเพื่อเห็นความไม่ใช่ตัวตน: ให้สังเกตว่าสิ่งที่เรามองเห็น กระตุ้นให้คิดหรือรู้สึกถึงอะไร เมื่อเรารับรู้ว่าสิ่งรอบตัวล้วนเชื่อมโยงกับความคิดความรู้สึก และไม่ได้มีตัวตนที่แน่นอน เราจะเริ่มลดการยึดติดในความคิดและอารมณ์ได้ การฝึกใช้ความคิดในแนวทางนี้จะช่วยให้เราเห็นความไม่เที่ยงและความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งจะทำให้จิตใจสงบขึ้น คลายการยึดติดในอารมณ์ฟุ้งซ่าน และนำเราไปสู่การตื่นรู้จากความคิดที่เป็นเพียงความฝัน
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'กลุ่มตะวันตกรวมตัว ได้แยกตัวและประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง' - นักวิเคราะห์

    นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กิลเบิร์ต ด็อกโตโรว์, ให้สัมภาษณ์กับสปุตนิก, ชื่นชมจุดยืนที่แน่วแน่ของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในการประชุมสุดยอด BRICS ล่าสุด, โดยเน้นย้ำถึงอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของรัสเซียบนเวทีโลก แม้ฝ่ายตะวันตกจะพยายามแยกประเทศออกไป

    “เนื่องจากมีแขกคนสำคัญ, จำนวนมากกว่า ๒๕ คนจากหัวหน้ารัฐบาล, สื่อหลักในโลกตะวันตกจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อกลุ่ม BRICS และรัสเซียได้,” Doctorow กล่าว, พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ทำให้เรื่องราวที่รัสเซียถูกมองว่าโดดเดี่ยวลดความน่าเชื่อถือลง

    นักวิเคราะห์ยังคาดเดาต่อไปว่า รัสเซียใช้ประโยชน์จากตำแหน่งประธานกลุ่ม BRICS เพื่อบรรลุเป้าหมายที่สร้างสรรค์, เช่นการจัดตั้งตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มประกันภัยต่อ, การวางตำแหน่งประเทศให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล Doctorow เน้นย้ำว่าความสำเร็จเหล่านี้ส่งสารที่ชัดเจนว่า “รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยว; ตรงกันข้าม, กลุ่มตะวันตกได้โดดเดี่ยวตัวเอง และประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง”

    “ข้อความของกลุ่ม BRICS เกี่ยวกับโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ, การเคารพในอำนาจอธิปไตยและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ จะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของชาวยุโรปที่มีต่อรัสเซียและต่อตนเองอย่างแน่นอน,” Doctorow กล่าวเสริม, โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในระยะยาวของกลุ่ม BRICS ในการกำหนดทิศทางการเมืองระดับโลก

    นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าวิกฤตยูเครนจะสิ้นสุดลงในปี ๒๐๒๕, ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเป็นอย่างไร

    “ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากขึ้น เมื่อสหรัฐฯยุติสงครามยูเครนโดยถอนความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารให้กับเคียฟ วันนั้นจะมาถึงเร็วมากในปี ๒๐๒๕ หากทรัมป์ชนะในวันที่ ๕ พฤศจิกายน; จะมาถึงช้ากว่าเล็กน้อยในปี ๒๐๒๕ หากแฮร์ริสชนะ เนื่องจากรัฐสภาจะต่อต้านการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมใดๆให้กับเคียฟ,” Doctorow คาดเดา

    #BRICS2024
    .
    ‘COLLECTIVE WEST HAS SELF-ISOLATED AND CONDEMNED ITSELF TO IRRELEVANCE’ – ANALYST

    International relations analyst Gilbert Doctorow, in an interview with Sputnik, praised Russian President Vladimir Putin's firm stance at the recent BRICS summit, highlighting Russia's growing influence on the global stage despite Western efforts to isolate the country.

    “Because of the important guests, numbering more than 25 heads of government, it has been impossible for major media in the West to ignore BRICS and Russia," Doctorow said, noting how this undermines the narrative of Russia's supposed isolation.

    The analyst further speculated how Russia leveraged its BRICS presidency to advance innovative goals, such as establishing commodity exchanges and a reinsurance pool, positioning the country as a constructive leader. Doctorow emphasized that these achievements send a clear message: “Russia is not isolated; on the contrary, the Collective West has self-isolated and condemned itself to irrelevance.”

    "The BRICS message of a multipolar world, of respect for the sovereignty and unique cultures of each nation will surely have an impact on Europeans' perception of Russia and of themselves," Doctorow added, stressing the long-term significance of BRICS in shaping global politics.

    The analyst also predicted the Ukraine crisis will conclude in 2025, regardless of the outcome of the US presidential election.

    “This will be all the more the case when the United States puts an end to the Ukraine war by withdrawing its financial and military assistance to Kiev. That day will come very early in 2025 if Trump wins on 5 November; it will come with a slight delay in 2025 if Harris wins because Congress will resist any further appropriations to Kiev,” Doctorow speculated.

    #BRICS2024
    .
    11:03 AM · Oct 25, 2024 · 3,132 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1849663060518068497
    'กลุ่มตะวันตกรวมตัว ได้แยกตัวและประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง' - นักวิเคราะห์ นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กิลเบิร์ต ด็อกโตโรว์, ให้สัมภาษณ์กับสปุตนิก, ชื่นชมจุดยืนที่แน่วแน่ของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในการประชุมสุดยอด BRICS ล่าสุด, โดยเน้นย้ำถึงอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของรัสเซียบนเวทีโลก แม้ฝ่ายตะวันตกจะพยายามแยกประเทศออกไป “เนื่องจากมีแขกคนสำคัญ, จำนวนมากกว่า ๒๕ คนจากหัวหน้ารัฐบาล, สื่อหลักในโลกตะวันตกจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อกลุ่ม BRICS และรัสเซียได้,” Doctorow กล่าว, พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ทำให้เรื่องราวที่รัสเซียถูกมองว่าโดดเดี่ยวลดความน่าเชื่อถือลง นักวิเคราะห์ยังคาดเดาต่อไปว่า รัสเซียใช้ประโยชน์จากตำแหน่งประธานกลุ่ม BRICS เพื่อบรรลุเป้าหมายที่สร้างสรรค์, เช่นการจัดตั้งตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มประกันภัยต่อ, การวางตำแหน่งประเทศให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล Doctorow เน้นย้ำว่าความสำเร็จเหล่านี้ส่งสารที่ชัดเจนว่า “รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยว; ตรงกันข้าม, กลุ่มตะวันตกได้โดดเดี่ยวตัวเอง และประณามตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้อง” “ข้อความของกลุ่ม BRICS เกี่ยวกับโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ, การเคารพในอำนาจอธิปไตยและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ จะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของชาวยุโรปที่มีต่อรัสเซียและต่อตนเองอย่างแน่นอน,” Doctorow กล่าวเสริม, โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในระยะยาวของกลุ่ม BRICS ในการกำหนดทิศทางการเมืองระดับโลก นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าวิกฤตยูเครนจะสิ้นสุดลงในปี ๒๐๒๕, ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเป็นอย่างไร “ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากขึ้น เมื่อสหรัฐฯยุติสงครามยูเครนโดยถอนความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารให้กับเคียฟ วันนั้นจะมาถึงเร็วมากในปี ๒๐๒๕ หากทรัมป์ชนะในวันที่ ๕ พฤศจิกายน; จะมาถึงช้ากว่าเล็กน้อยในปี ๒๐๒๕ หากแฮร์ริสชนะ เนื่องจากรัฐสภาจะต่อต้านการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมใดๆให้กับเคียฟ,” Doctorow คาดเดา #BRICS2024 . ‘COLLECTIVE WEST HAS SELF-ISOLATED AND CONDEMNED ITSELF TO IRRELEVANCE’ – ANALYST International relations analyst Gilbert Doctorow, in an interview with Sputnik, praised Russian President Vladimir Putin's firm stance at the recent BRICS summit, highlighting Russia's growing influence on the global stage despite Western efforts to isolate the country. “Because of the important guests, numbering more than 25 heads of government, it has been impossible for major media in the West to ignore BRICS and Russia," Doctorow said, noting how this undermines the narrative of Russia's supposed isolation. The analyst further speculated how Russia leveraged its BRICS presidency to advance innovative goals, such as establishing commodity exchanges and a reinsurance pool, positioning the country as a constructive leader. Doctorow emphasized that these achievements send a clear message: “Russia is not isolated; on the contrary, the Collective West has self-isolated and condemned itself to irrelevance.” "The BRICS message of a multipolar world, of respect for the sovereignty and unique cultures of each nation will surely have an impact on Europeans' perception of Russia and of themselves," Doctorow added, stressing the long-term significance of BRICS in shaping global politics. The analyst also predicted the Ukraine crisis will conclude in 2025, regardless of the outcome of the US presidential election. “This will be all the more the case when the United States puts an end to the Ukraine war by withdrawing its financial and military assistance to Kiev. That day will come very early in 2025 if Trump wins on 5 November; it will come with a slight delay in 2025 if Harris wins because Congress will resist any further appropriations to Kiev,” Doctorow speculated. #BRICS2024 . 11:03 AM · Oct 25, 2024 · 3,132 Views https://x.com/SputnikInt/status/1849663060518068497
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..อนาคตใครที่กลับใจสมควรทรยศท่านลอร์ดมากๆ ออกมาแฉ มาเปิดโปงไส้ในมากๆต่อคนไทยให้ตื่นรู้เยอะๆจะดีมากๆ.คนทรยศฝ่ายชั่วเองมันดีต่อคนดีแน่ๆ.คนไทยต้องปกป้องคนไทยกันเอง,รู้ทันดีกว่าแห่ไปฉีดตายแบบนั้น.,การรับรู้เหตุจะก่อเหตุล่วงหน้าก็เตรียมตัวตายก่อนก็ยังดี.เมื่อหนีไปได้.ออกจากโลกบินไปไม่เป็น.
    ..อนาคตใครที่กลับใจสมควรทรยศท่านลอร์ดมากๆ ออกมาแฉ มาเปิดโปงไส้ในมากๆต่อคนไทยให้ตื่นรู้เยอะๆจะดีมากๆ.คนทรยศฝ่ายชั่วเองมันดีต่อคนดีแน่ๆ.คนไทยต้องปกป้องคนไทยกันเอง,รู้ทันดีกว่าแห่ไปฉีดตายแบบนั้น.,การรับรู้เหตุจะก่อเหตุล่วงหน้าก็เตรียมตัวตายก่อนก็ยังดี.เมื่อหนีไปได้.ออกจากโลกบินไปไม่เป็น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 38 0 รีวิว
  • ..ประเทศไทยเราน่าจะถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะผู้ไปฉีดวัคซีนโควิด19กับบรรดาหมอทัังหมดที่เกี่ยวข้องไปร่วมกันหรือยื่นฟ้องหมอทั้งหมดโดยเฉพาะระดับชาติ สภาฯหมอๆทั้งหมดสมควรโดนถูกถอดถอนใบอนุญาตวิชาชีพหมอ&พยาบาล ที่ผิดจรรญาบรรณในวิชาชีพอย่างร้ายแรง จนถึงปัจจุบันหัวหอกชนชั้นนำพวกหมอระดับต้นๆของไทยยังไม่ออกมายอมรับความจริงว่าคนไทยเจ็บป่วยจริงและตายจริงมากมายจากผลของวัคซีนที่ฉีดกันไป,หมอพวกนีัรับคำสั่งจากส่วนกลางสภาฯหมอ และสมควรรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดโดยเฉพาะระดับผอ.โรงพยาบาลทุกๆจังหวัดทั้งระดับอำเภอที่มีโรงพยาบาลด้วย,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนไข้ต่อวิชาชีพตนเองอย่างร้ายแรงขาดปัญญาความสามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วอย่างผิดคุณธรรม&จริยธรรมร้ายแรงซึ่งด้วยระดับสมองมีมันสมองเล่าเรียนสูงๆย่อมไม่สมควรกระจอก&กากในการรับรู้ข่าวข้อมูลทั้งทางในประเทศตนเองและข่าวสารมากมายจากต่างประเทศที่มีความจริงรอบโลกที่เปิดกว้างทางเสรีข้อมูลข่าวสารในยุคล้ำขนาดนี้แต่กาก&กระจอกด้อยทางปัญญารับรู้อัพเดททางวงการโรคมาก,ถูกว่าไม่สมควรมาทำอาชีพแพทย์&พยาบาลนี้อีกเลย,ไร้จริยธรรมความเป็นหมอเป็นพยายาลอย่างร้ายแรง ไม่สนใจการตายของชีวิตคนไทย,เมื่อโง่ไม่แสวงหามูลต้นเหตุของโรค หมอก็ย่อมไร้ความสามารถรักษาโรคอย่างตรงจุดชัดเจนเพราะไม่มีปัญญาหาสาเหตุที่แท้จริงได้เสมือนหาปมเงื่อนแก้ไม่เจอจะแก้เงื่อนเชือกเป็นก็ผีบ้ามากๆ,คือโง่ที่หาปมเงื่อนไม่เจอยังแสดงความฉลาดโง่รักษาแบบผีๆบ้าๆไปทั่วนั้นเอง,ไม่สมควรเป็นหมอเป็นพยาบาลอีกต่อไป,ทั้งไม่ยอมรับค่าความจริง ไม่ประกาศความจริงอีก ปกปิดชัดเจนอย่างเจตนาทางชั่วเลวร้ายแรงเสมือนฆาตกรซ่อนเร่นอำพรางศพมิให้ตำรวจดำเนินคดีตนได้,นี้คือการก่ออาชญากรรม&ฆาตกรรมหมู่คนไทยชัดเจน,เบื้องต้นต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมอและพยาบาลถูกต้องที่สุดจากชนชั้นหมอหัวหอกระดับบนทั้งหมดก่อน,เพราะอาจารย์หมอมากมายหลายท่านทำไมจึงเข้าถึงค่าจริงได้ในช่วงเวลาเสมอเดียวกัน,เช่นนั้นพวกนี้ที่ชั่วเลวทั้งหมดต้องออกจากวงการชีวิตคนไข้ไปทั้งหมด,ให้คนดีๆมาทำหน้าที่แทนเพื่อดำรงวิชาชีพที่ดีงามนี้ต่อไป.
    ..ประเทศไทยเราน่าจะถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะผู้ไปฉีดวัคซีนโควิด19กับบรรดาหมอทัังหมดที่เกี่ยวข้องไปร่วมกันหรือยื่นฟ้องหมอทั้งหมดโดยเฉพาะระดับชาติ สภาฯหมอๆทั้งหมดสมควรโดนถูกถอดถอนใบอนุญาตวิชาชีพหมอ&พยาบาล ที่ผิดจรรญาบรรณในวิชาชีพอย่างร้ายแรง จนถึงปัจจุบันหัวหอกชนชั้นนำพวกหมอระดับต้นๆของไทยยังไม่ออกมายอมรับความจริงว่าคนไทยเจ็บป่วยจริงและตายจริงมากมายจากผลของวัคซีนที่ฉีดกันไป,หมอพวกนีัรับคำสั่งจากส่วนกลางสภาฯหมอ และสมควรรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดโดยเฉพาะระดับผอ.โรงพยาบาลทุกๆจังหวัดทั้งระดับอำเภอที่มีโรงพยาบาลด้วย,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนไข้ต่อวิชาชีพตนเองอย่างร้ายแรงขาดปัญญาความสามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วอย่างผิดคุณธรรม&จริยธรรมร้ายแรงซึ่งด้วยระดับสมองมีมันสมองเล่าเรียนสูงๆย่อมไม่สมควรกระจอก&กากในการรับรู้ข่าวข้อมูลทั้งทางในประเทศตนเองและข่าวสารมากมายจากต่างประเทศที่มีความจริงรอบโลกที่เปิดกว้างทางเสรีข้อมูลข่าวสารในยุคล้ำขนาดนี้แต่กาก&กระจอกด้อยทางปัญญารับรู้อัพเดททางวงการโรคมาก,ถูกว่าไม่สมควรมาทำอาชีพแพทย์&พยาบาลนี้อีกเลย,ไร้จริยธรรมความเป็นหมอเป็นพยายาลอย่างร้ายแรง ไม่สนใจการตายของชีวิตคนไทย,เมื่อโง่ไม่แสวงหามูลต้นเหตุของโรค หมอก็ย่อมไร้ความสามารถรักษาโรคอย่างตรงจุดชัดเจนเพราะไม่มีปัญญาหาสาเหตุที่แท้จริงได้เสมือนหาปมเงื่อนแก้ไม่เจอจะแก้เงื่อนเชือกเป็นก็ผีบ้ามากๆ,คือโง่ที่หาปมเงื่อนไม่เจอยังแสดงความฉลาดโง่รักษาแบบผีๆบ้าๆไปทั่วนั้นเอง,ไม่สมควรเป็นหมอเป็นพยาบาลอีกต่อไป,ทั้งไม่ยอมรับค่าความจริง ไม่ประกาศความจริงอีก ปกปิดชัดเจนอย่างเจตนาทางชั่วเลวร้ายแรงเสมือนฆาตกรซ่อนเร่นอำพรางศพมิให้ตำรวจดำเนินคดีตนได้,นี้คือการก่ออาชญากรรม&ฆาตกรรมหมู่คนไทยชัดเจน,เบื้องต้นต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมอและพยาบาลถูกต้องที่สุดจากชนชั้นหมอหัวหอกระดับบนทั้งหมดก่อน,เพราะอาจารย์หมอมากมายหลายท่านทำไมจึงเข้าถึงค่าจริงได้ในช่วงเวลาเสมอเดียวกัน,เช่นนั้นพวกนี้ที่ชั่วเลวทั้งหมดต้องออกจากวงการชีวิตคนไข้ไปทั้งหมด,ให้คนดีๆมาทำหน้าที่แทนเพื่อดำรงวิชาชีพที่ดีงามนี้ต่อไป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจ Main Stand
    เปิดแผนธุรกิจสนามใหม่ของสโมสรฟุตบอลแมนฯยูไนเต็ด กระตุ้นเศรษฐกิจ 7.3 พันล้านปอนด์ต่อปี

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สโมสรฟุตบอลชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้ทำการปรับปรุงรังเหย้าของพวกเขาใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและเพิ่มมูลค่าสโมสร

    และตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ มีแผนสร้างสนามใหม่ความจุ 100,000 ที่นั่ง มูลค่า 2 พันล้านปอนด์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2030

    โดยสื่อธุรกิจอย่าง SSBM วิเคราะห์ว่าสนามใหม่ของ "ปีศาจแดง" ยุคที่ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ มาคุมงานบริหารฟุตบอล จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10-15 ปี หรือเร็วกว่านั้น ซึ่งอาศัยรายได้จากวันแข่งขันที่เพิ่มขึ้น กิจกรรมที่ไม่ใช่ฟุตบอล สปอนเซอร์เชิงพาณิชย์ และการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในระดับโลก แถมในระยะยาวสนามกีฬาแห่งใหม่และการพัฒนาโดยรอบคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ประจำปีของสโมสรได้ 100-150 ล้านปอนด์

    ข้อดีที่เพิ่มขึ้นหากการสร้างสนามใหม่ของ แมนสเตอร์ ยูไนเต็ด เสร็จสิ้นและพร้อมใช้งาน มีดังนี้

    - เพิ่มความจุจาก 74,000 เป็น 100,000 ที่นั่ง
    - เก็บค่าตั๋วเกมในบ้านได้มากขึ้นเป็น 90-130 ล้านปอนด์/ปี (ราคาตั๋วอยู่ที่ราว 50-70 ปอนด์/ใบ)
    - พัฒนาเขตการค้ารอบสนาม
    - มีโรงแรม, อสังหาริมทรัพย์ และระบบขนส่งมวลชน
    - สร้างงานเพิ่มขึ้น 92,000 ตำแหน่ง
    - สร้างบ้านใหม่ 17,000 หลัง
    - ดึงดูดนักท่องเที่ยว 1.8 ล้านคน/ปี

    ทั้งนี้ โครงการสนามกีฬามูลค่า 2,000 ล้านปอนด์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เกี่ยวกับฟุตบอลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างรากฐานทางการเงินที่ยั่งยืนสำหรับสโมสร ขยายการเข้าถึงทั่วโลก และฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น โดยการคาดการณ์เบื้องต้นจากสโมสรระบุว่าสนามใหม่แห่งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 7.3 พันล้านปอนด์ต่อปี ในประเทศอังกฤษ”

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/V3z3xY6oeka7uimz/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเพจ Main Stand เปิดแผนธุรกิจสนามใหม่ของสโมสรฟุตบอลแมนฯยูไนเต็ด กระตุ้นเศรษฐกิจ 7.3 พันล้านปอนด์ต่อปี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สโมสรฟุตบอลชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้ทำการปรับปรุงรังเหย้าของพวกเขาใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและเพิ่มมูลค่าสโมสร และตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ มีแผนสร้างสนามใหม่ความจุ 100,000 ที่นั่ง มูลค่า 2 พันล้านปอนด์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2030 โดยสื่อธุรกิจอย่าง SSBM วิเคราะห์ว่าสนามใหม่ของ "ปีศาจแดง" ยุคที่ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ มาคุมงานบริหารฟุตบอล จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10-15 ปี หรือเร็วกว่านั้น ซึ่งอาศัยรายได้จากวันแข่งขันที่เพิ่มขึ้น กิจกรรมที่ไม่ใช่ฟุตบอล สปอนเซอร์เชิงพาณิชย์ และการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในระดับโลก แถมในระยะยาวสนามกีฬาแห่งใหม่และการพัฒนาโดยรอบคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ประจำปีของสโมสรได้ 100-150 ล้านปอนด์ ข้อดีที่เพิ่มขึ้นหากการสร้างสนามใหม่ของ แมนสเตอร์ ยูไนเต็ด เสร็จสิ้นและพร้อมใช้งาน มีดังนี้ - เพิ่มความจุจาก 74,000 เป็น 100,000 ที่นั่ง - เก็บค่าตั๋วเกมในบ้านได้มากขึ้นเป็น 90-130 ล้านปอนด์/ปี (ราคาตั๋วอยู่ที่ราว 50-70 ปอนด์/ใบ) - พัฒนาเขตการค้ารอบสนาม - มีโรงแรม, อสังหาริมทรัพย์ และระบบขนส่งมวลชน - สร้างงานเพิ่มขึ้น 92,000 ตำแหน่ง - สร้างบ้านใหม่ 17,000 หลัง - ดึงดูดนักท่องเที่ยว 1.8 ล้านคน/ปี ทั้งนี้ โครงการสนามกีฬามูลค่า 2,000 ล้านปอนด์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เกี่ยวกับฟุตบอลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างรากฐานทางการเงินที่ยั่งยืนสำหรับสโมสร ขยายการเข้าถึงทั่วโลก และฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น โดยการคาดการณ์เบื้องต้นจากสโมสรระบุว่าสนามใหม่แห่งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 7.3 พันล้านปอนด์ต่อปี ในประเทศอังกฤษ” ที่มา https://www.facebook.com/share/p/V3z3xY6oeka7uimz/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 493 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราคาทองคำที่พุ่งสูงสะท้อนทางเลือกใหม่ ที่ตะวันตกต้องตื่นรับรู้

    ประเทศตะวันตกควรให้ความสำคัญกับราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากการขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องของโลหะมีค่าสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในทางเลือกอื่นนอกเหนือจากระบบการเงินที่ใช้เงินดอลลาร์ ตามที่ Mohamed El-Erian อดีต CEO ของ PIMCO และประธานคนปัจจุบันของ Queens' College แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้เขียนในบทความ

    “มีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้นกับราคาทองคำในปีที่ผ่านมา” El-Erian เขียนใน Financial Times เมื่อวันจันทร์ “ทองคำการสร้างระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดูเหมือนว่าทองคำจะแยกตัวออกจากปัจจัยที่มีอิทธิพลทางประวัติศาสตร์แบบดั้งเดิม เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และเงินดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้น ความสม่ำเสมอของการเพิ่มขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับความผันผวนในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ”

    เขากล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ 'ทุกสภาพบรรยากาศ' บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่นอกเหนือไปจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเลือกตั้ง และภูมิรัฐศาสตร์ในระยะสั้น “มันสะท้อนแนวโน้มพฤติกรรมที่ต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนและประเทศ “มหาอำนาจกลาง” รวมถึงประเทศอื่นๆ และเป็นกระแสที่ชาติตะวันตกควรให้ความสนใจให้มากขึ้น”

    El-Erian ตั้งข้อสังเกตว่าราคาทองคำหนึ่งออนซ์เพิ่มขึ้นจาก 1,947 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นมากกว่า 2,700 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา “สิ่งที่น่าสนใจคือ ราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ค่อนข้างเป็นเส้นตรง โดยแม้ราคาจะมีการดึงกลับแต่ก็เพื่อดึงดูดผู้ซื้อมากขึ้น” เขากล่าว “มันเกิดขึ้นแม้ว่าอัตรานโยบายที่คาดหวังจะผันผวนอย่างมาก มีความผันผวนอย่างกว้างขวางสำหรับอัตราผลตอบแทนของสหรัฐ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง และความผันผวนของค่าเงิน”

    “บางคนอาจมองข้ามผลการดำเนินงานของทองคำ โดยมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นโดยทั่วไป ซึ่งดัชนี S&P ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง” เขากล่าว “แต่ความสัมพันธ์นั้นก็ไม่ธรรมดา คนอื่นๆ อาจมองว่าเป็นเพราะความเสี่ยงของความขัดแย้งทางทหารที่ทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเสียชีวิตและความเป็นอยู่ของตน ร่วมกับการทำลายโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ การเดินทางของราคาทองคำยังชี้ให้เห็นว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นอีกมากมาย”

    El-Erian ชี้ว่าการซื้อทองคำแท่งอย่างต่อเนื่องโดยธนาคารกลางเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนความแข็งแกร่งของทองคำ “การซื้อดังกล่าวดูเหมือนจะไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาของคนจำนวนมากที่จะค่อยๆ กระจายการถือครองทุนสำรองของตนออกจากการครอบงำเงินดอลลาร์ที่มีนัยสำคัญ แม้ว่าอเมริกาจะมี ‘ความพิเศษทางเศรษฐกิจ’ ของอเมริกาก็ตาม” เขาเขียน “ยังมีความสนใจในการสำรวจทางเลือกที่เป็นไปได้นอกเหนือจากระบบการชำระเงินแบบดอลลาร์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสถาปัตยกรรมระหว่างประเทศมาเป็นเวลา 80 ปี”

    “ถามว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และโดยปกติแล้วคุณจะได้รับคำตอบที่กล่าวถึงการสูญเสียความมั่นใจในการจัดการระเบียบโลกของอเมริกาและการพัฒนาเฉพาะสองประการ” เขากล่าว “คุณจะได้ฟังเกี่ยวกับการใช้ภาษีการค้าและการคว่ำบาตรการลงทุนของอเมริกา ควบคู่ไปกับความสนใจที่ลดลงในระบบพหุภาคีที่ยึดหลักกฎเกณฑ์ซึ่งอเมริกามีบทบาทสำคัญในการออกแบบเมื่อ 80 ปีที่แล้ว”
    อีกปัจจัยหนึ่งเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยที่เอล-เอเรียนเชื่อว่าสหรัฐฯ ถูกมองว่ามีนโยบายไม่สอดคล้องกันในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ “การรับรู้นี้ขยายวงกว้างขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ปกป้องพันธมิตรหลักของตนจากการตอบสนองต่อการกระทำที่ถูกประณามอย่างกว้างขวางในประชาคมระหว่างประเทศ” เขาเขียน

    “สิ่งที่เป็นเดิมพันที่นี่ไม่ใช่แค่การพังทลายของบทบาทที่โดดเด่นของดอลลาร์ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการดำเนินงานของระบบโลกด้วย” เขาเขียน “ไม่มีสกุลเงินหรือระบบการชำระเงินอื่นใดที่สามารถและเต็มใจที่จะแทนที่ดอลลาร์ที่เป็นแกนหลักของระบบ และมีข้อ จำกัด ในทางปฏิบัติในการสำรองการกระจายความเสี่ยง แต่มีการสร้างท่อเล็กๆ จำนวนมากขึ้นเพื่อพันรอบแกนกลางนี้ และประเทศต่างๆ ก็มีความสนใจและมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

    El-Erian กล่าวว่าการขึ้นราคาทองคำในปัจจุบัน “ไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดาในแง่ของอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเงินแบบดั้งเดิม” แต่ยังเหนือกว่าอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มงวดเพื่อจับปรากฏการณ์ในวงกว้างซึ่งกำลังสร้างโมเมนตัมทางโลก”

    เนื่องจากเส้นทางทางเลือกสำหรับการเงินระหว่างประเทศพัฒนาและเติบโต สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของระบบโลก และการพังทลายของอำนาจของเงินดอลลาร์และระบบการเงินของสหรัฐอเมริกา “นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ และบ่อนทำลายความมั่นคงของสหรัฐเอง” เขากล่าว

    “นี่เป็นปรากฏการณ์ที่รัฐบาลตะวันตกควรให้ความสำคัญมากขึ้น” เอล-เอเรียนสรุป “และเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังมีเวลาแก้ไข แม้ว่าจะไม่ได้มากเท่าที่บางคนคาดหวังก็ตาม”
    ที่มา Kitco
    ราคาทองคำที่พุ่งสูงสะท้อนทางเลือกใหม่ ที่ตะวันตกต้องตื่นรับรู้ ประเทศตะวันตกควรให้ความสำคัญกับราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากการขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องของโลหะมีค่าสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในทางเลือกอื่นนอกเหนือจากระบบการเงินที่ใช้เงินดอลลาร์ ตามที่ Mohamed El-Erian อดีต CEO ของ PIMCO และประธานคนปัจจุบันของ Queens' College แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้เขียนในบทความ “มีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้นกับราคาทองคำในปีที่ผ่านมา” El-Erian เขียนใน Financial Times เมื่อวันจันทร์ “ทองคำการสร้างระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดูเหมือนว่าทองคำจะแยกตัวออกจากปัจจัยที่มีอิทธิพลทางประวัติศาสตร์แบบดั้งเดิม เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และเงินดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้น ความสม่ำเสมอของการเพิ่มขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับความผันผวนในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ” เขากล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ 'ทุกสภาพบรรยากาศ' บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของบางสิ่งที่นอกเหนือไปจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเลือกตั้ง และภูมิรัฐศาสตร์ในระยะสั้น “มันสะท้อนแนวโน้มพฤติกรรมที่ต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนและประเทศ “มหาอำนาจกลาง” รวมถึงประเทศอื่นๆ และเป็นกระแสที่ชาติตะวันตกควรให้ความสนใจให้มากขึ้น” El-Erian ตั้งข้อสังเกตว่าราคาทองคำหนึ่งออนซ์เพิ่มขึ้นจาก 1,947 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นมากกว่า 2,700 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา “สิ่งที่น่าสนใจคือ ราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ค่อนข้างเป็นเส้นตรง โดยแม้ราคาจะมีการดึงกลับแต่ก็เพื่อดึงดูดผู้ซื้อมากขึ้น” เขากล่าว “มันเกิดขึ้นแม้ว่าอัตรานโยบายที่คาดหวังจะผันผวนอย่างมาก มีความผันผวนอย่างกว้างขวางสำหรับอัตราผลตอบแทนของสหรัฐ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง และความผันผวนของค่าเงิน” “บางคนอาจมองข้ามผลการดำเนินงานของทองคำ โดยมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นโดยทั่วไป ซึ่งดัชนี S&P ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง” เขากล่าว “แต่ความสัมพันธ์นั้นก็ไม่ธรรมดา คนอื่นๆ อาจมองว่าเป็นเพราะความเสี่ยงของความขัดแย้งทางทหารที่ทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเสียชีวิตและความเป็นอยู่ของตน ร่วมกับการทำลายโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ การเดินทางของราคาทองคำยังชี้ให้เห็นว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นอีกมากมาย” El-Erian ชี้ว่าการซื้อทองคำแท่งอย่างต่อเนื่องโดยธนาคารกลางเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนความแข็งแกร่งของทองคำ “การซื้อดังกล่าวดูเหมือนจะไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาของคนจำนวนมากที่จะค่อยๆ กระจายการถือครองทุนสำรองของตนออกจากการครอบงำเงินดอลลาร์ที่มีนัยสำคัญ แม้ว่าอเมริกาจะมี ‘ความพิเศษทางเศรษฐกิจ’ ของอเมริกาก็ตาม” เขาเขียน “ยังมีความสนใจในการสำรวจทางเลือกที่เป็นไปได้นอกเหนือจากระบบการชำระเงินแบบดอลลาร์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสถาปัตยกรรมระหว่างประเทศมาเป็นเวลา 80 ปี” “ถามว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และโดยปกติแล้วคุณจะได้รับคำตอบที่กล่าวถึงการสูญเสียความมั่นใจในการจัดการระเบียบโลกของอเมริกาและการพัฒนาเฉพาะสองประการ” เขากล่าว “คุณจะได้ฟังเกี่ยวกับการใช้ภาษีการค้าและการคว่ำบาตรการลงทุนของอเมริกา ควบคู่ไปกับความสนใจที่ลดลงในระบบพหุภาคีที่ยึดหลักกฎเกณฑ์ซึ่งอเมริกามีบทบาทสำคัญในการออกแบบเมื่อ 80 ปีที่แล้ว” อีกปัจจัยหนึ่งเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยที่เอล-เอเรียนเชื่อว่าสหรัฐฯ ถูกมองว่ามีนโยบายไม่สอดคล้องกันในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ “การรับรู้นี้ขยายวงกว้างขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ปกป้องพันธมิตรหลักของตนจากการตอบสนองต่อการกระทำที่ถูกประณามอย่างกว้างขวางในประชาคมระหว่างประเทศ” เขาเขียน “สิ่งที่เป็นเดิมพันที่นี่ไม่ใช่แค่การพังทลายของบทบาทที่โดดเด่นของดอลลาร์ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการดำเนินงานของระบบโลกด้วย” เขาเขียน “ไม่มีสกุลเงินหรือระบบการชำระเงินอื่นใดที่สามารถและเต็มใจที่จะแทนที่ดอลลาร์ที่เป็นแกนหลักของระบบ และมีข้อ จำกัด ในทางปฏิบัติในการสำรองการกระจายความเสี่ยง แต่มีการสร้างท่อเล็กๆ จำนวนมากขึ้นเพื่อพันรอบแกนกลางนี้ และประเทศต่างๆ ก็มีความสนใจและมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” El-Erian กล่าวว่าการขึ้นราคาทองคำในปัจจุบัน “ไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดาในแง่ของอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเงินแบบดั้งเดิม” แต่ยังเหนือกว่าอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มงวดเพื่อจับปรากฏการณ์ในวงกว้างซึ่งกำลังสร้างโมเมนตัมทางโลก” เนื่องจากเส้นทางทางเลือกสำหรับการเงินระหว่างประเทศพัฒนาและเติบโต สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของระบบโลก และการพังทลายของอำนาจของเงินดอลลาร์และระบบการเงินของสหรัฐอเมริกา “นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ และบ่อนทำลายความมั่นคงของสหรัฐเอง” เขากล่าว “นี่เป็นปรากฏการณ์ที่รัฐบาลตะวันตกควรให้ความสำคัญมากขึ้น” เอล-เอเรียนสรุป “และเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังมีเวลาแก้ไข แม้ว่าจะไม่ได้มากเท่าที่บางคนคาดหวังก็ตาม” ที่มา Kitco
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    16
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1228 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts