• เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: Ubuntu 24.04.3 LTS มาแล้ว พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และอัปเดตความปลอดภัยแบบจัดเต็ม

    วันที่ 8 สิงหาคม 2025 Canonical ได้ปล่อย Ubuntu 24.04.3 LTS ซึ่งเป็น point release ล่าสุดของเวอร์ชัน Noble Numbat โดยมีจุดเด่นคือการ backport Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04 เพื่อให้ผู้ใช้ LTS ได้สัมผัสกับการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่โดยไม่ต้องเสียเสถียรภาพระยะยาว

    เวอร์ชันนี้รองรับทั้ง Desktop, Server และ Cloud รวมถึงรสชาติอื่น ๆ ของ Ubuntu เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu และ Ubuntu Studio โดย Ubuntu Studio มีการเปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel ที่ปรับแต่งให้บูตเร็วแต่ยังคงความสามารถด้าน real-time สำหรับงานมัลติมีเดีย

    การอัปเดตนี้ยังมาพร้อมกับสื่อการติดตั้งใหม่ที่ลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง และรวมแพตช์ความปลอดภัยที่สะสมมาตั้งแต่เวอร์ชัน 24.04.1 ทำให้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรแต่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่

    Ubuntu 24.04.3 LTS เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 สิงหาคม 2025
    เป็น point release ล่าสุดของ Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat)

    ใช้ Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04
    เพิ่มการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และประสิทธิภาพด้านกราฟิก

    รองรับ Desktop, Server, Cloud และ Ubuntu flavours ทั้งหมด
    เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu, Ubuntu Studio

    Ubuntu Studio เปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel
    พร้อม boot parameter ที่ยังคงความสามารถด้าน real-time

    สื่อการติดตั้งใหม่ช่วยลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ deploy ระบบจำนวนมาก

    Ubuntu 24.04.3 LTS จะได้รับการสนับสนุนถึงปี 2029
    เป็น LTS ที่มีระยะเวลาสนับสนุน 5 ปีเต็ม

    Kernel 6.14 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น GPU รุ่นล่าสุดและอุปกรณ์ PCIe Gen5
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ใช้โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่หรือเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง

    Mesa 25.0 ปรับปรุงการรองรับ Vulkan และ OpenGL
    เพิ่มประสิทธิภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก

    Ubuntu LTS เป็นตัวเลือกหลักขององค์กรและสถาบันการศึกษา
    เพราะมีรอบอัปเดตที่คาดการณ์ได้และความเสถียรสูง

    Ubuntu 24.04.4 LTS จะออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2026
    คาดว่าจะใช้ kernel และ Mesa จาก Ubuntu 25.10

    https://linuxconfig.org/ubuntu-24-04-3-lts-release-enhanced-hardware-support-and-security-updates
    🐧⚙️ เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: Ubuntu 24.04.3 LTS มาแล้ว พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และอัปเดตความปลอดภัยแบบจัดเต็ม วันที่ 8 สิงหาคม 2025 Canonical ได้ปล่อย Ubuntu 24.04.3 LTS ซึ่งเป็น point release ล่าสุดของเวอร์ชัน Noble Numbat โดยมีจุดเด่นคือการ backport Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04 เพื่อให้ผู้ใช้ LTS ได้สัมผัสกับการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่โดยไม่ต้องเสียเสถียรภาพระยะยาว เวอร์ชันนี้รองรับทั้ง Desktop, Server และ Cloud รวมถึงรสชาติอื่น ๆ ของ Ubuntu เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu และ Ubuntu Studio โดย Ubuntu Studio มีการเปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel ที่ปรับแต่งให้บูตเร็วแต่ยังคงความสามารถด้าน real-time สำหรับงานมัลติมีเดีย การอัปเดตนี้ยังมาพร้อมกับสื่อการติดตั้งใหม่ที่ลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง และรวมแพตช์ความปลอดภัยที่สะสมมาตั้งแต่เวอร์ชัน 24.04.1 ทำให้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรแต่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ✅ Ubuntu 24.04.3 LTS เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 สิงหาคม 2025 ➡️ เป็น point release ล่าสุดของ Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) ✅ ใช้ Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04 ➡️ เพิ่มการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และประสิทธิภาพด้านกราฟิก ✅ รองรับ Desktop, Server, Cloud และ Ubuntu flavours ทั้งหมด ➡️ เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu, Ubuntu Studio ✅ Ubuntu Studio เปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel ➡️ พร้อม boot parameter ที่ยังคงความสามารถด้าน real-time ✅ สื่อการติดตั้งใหม่ช่วยลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ deploy ระบบจำนวนมาก ✅ Ubuntu 24.04.3 LTS จะได้รับการสนับสนุนถึงปี 2029 ➡️ เป็น LTS ที่มีระยะเวลาสนับสนุน 5 ปีเต็ม ✅ Kernel 6.14 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น GPU รุ่นล่าสุดและอุปกรณ์ PCIe Gen5 ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ใช้โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่หรือเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง ✅ Mesa 25.0 ปรับปรุงการรองรับ Vulkan และ OpenGL ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก ✅ Ubuntu LTS เป็นตัวเลือกหลักขององค์กรและสถาบันการศึกษา ➡️ เพราะมีรอบอัปเดตที่คาดการณ์ได้และความเสถียรสูง ✅ Ubuntu 24.04.4 LTS จะออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ คาดว่าจะใช้ kernel และ Mesa จาก Ubuntu 25.10 https://linuxconfig.org/ubuntu-24-04-3-lts-release-enhanced-hardware-support-and-security-updates
    LINUXCONFIG.ORG
    Ubuntu 24.04.3 LTS Release: Enhanced Hardware Support and Security Updates
    Discover the new features and updates in the Ubuntu 24.04.3 LTS release, including improved hardware support, security updates, and performance optimizations. Ideal for users seeking long-term stability with modern hardware compatibility.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกซีพียู: Intel เตรียมคืนชีพ AVX-512 บน Nova Lake และ Xeon รุ่นใหม่

    หลังจากที่ Intel เคยถอดฟีเจอร์ AVX-512 ออกจากซีพียูรุ่นหลักหลายรุ่นในอดีต เช่น Alder Lake และ Raptor Lake เพราะปัญหาด้านความร้อนและการใช้พลังงาน รวมถึงความไม่เข้ากันระหว่าง P-Core กับ E-Core ตอนนี้ดูเหมือนว่า AVX-512 กำลังจะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่ชื่อว่า AVX 10.2

    จากแพตช์ล่าสุดของ oneDNN v3.9-rc มีการเปิดเผยว่า Intel เตรียมรองรับ AVX 10.2 “512-bit” บนซีพียู Core รุ่นใหม่ (คาดว่าเป็น Nova Lake) และ Xeon รุ่นใหม่ (คาดว่าเป็น Diamond Rapids) โดย AVX 10.2 จะทำให้ทั้ง P-Core และ E-Core รองรับชุดคำสั่งเวกเตอร์ขนาด 512 บิตได้อย่างเต็มรูปแบบ

    Nova Lake จะใช้สถาปัตยกรรม Coyote Cove สำหรับ P-Core และ Arctic Wolf สำหรับ E-Core ซึ่งถือเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อ AVX-512 ถูกนำกลับมาใช้งานร่วมกับ SMT (Simultaneous Multithreading) ที่เคยถูกถอดออกในบางรุ่น Xeon ก่อนหน้านี้

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านกราฟิก โดย Xe3 GPU จะได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพ และจะถูกนำมาใช้ในซีพียู Panther Lake รุ่นถัดไป รวมถึงอาจมีการเปิดตัว GPU แยกในชื่อ “Celestial” อีกด้วย

    Intel เตรียมรองรับ AVX 10.2 “512-bit” บนซีพียู Core และ Xeon รุ่นใหม่
    คาดว่าเป็น Nova Lake สำหรับ Core และ Diamond Rapids สำหรับ Xeon

    AVX 10.2 จะทำให้ทั้ง P-Core และ E-Core รองรับชุดคำสั่งเวกเตอร์ 512 บิต
    ถือเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่จาก AVX-512 เดิม

    สถาปัตยกรรมของ Nova Lake คือ Coyote Cove (P-Core) และ Arctic Wolf (E-Core)
    รองรับ AVX-512 แบบเต็มรูปแบบทุกคอร์

    Xe3 GPU ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพในแพตช์ล่าสุด
    จะถูกใช้ในซีพียู Panther Lake และอาจมีรุ่นแยกชื่อ Celestial

    Coral Rapids จะเป็น Xeon รุ่นแรกที่นำ SMT กลับมา
    ต่างจาก Diamond Rapids ที่ไม่มี SMT

    Nova Lake คาดว่าจะมีสูงสุด 16 P-Core และ 32 E-Core
    อาจให้ประสิทธิภาพสูงกว่า Arrow Lake ถึงสองเท่า

    AVX 10.2 จะรวมฟีเจอร์ AVX-512VL และรองรับ register 256 บิต
    พร้อม mask register 32 บิต และ rounding แบบฝังในคำสั่ง

    Intel เตรียมเปลี่ยน CPUID เป็น “Family 19” ใน Panther Cove
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรม x86

    APX จะเพิ่ม register จาก 16 เป็น 32 ตัว
    ลดข้อจำกัดเดิมของ x86 และเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล

    Intel ใช้ GPU กว่า 100,000 ตัวในการเทรนและทดสอบ AVX 10.2
    เพื่อรองรับการใช้งานในระดับเซิร์ฟเวอร์และ HPC

    https://wccftech.com/intel-adds-avx-10-2-512-bit-support-future-desktop-core-server-xeon-cpus-hinting-at-enablement-for-nova-lake/
    ⚙️🧠 เรื่องเล่าจากโลกซีพียู: Intel เตรียมคืนชีพ AVX-512 บน Nova Lake และ Xeon รุ่นใหม่ หลังจากที่ Intel เคยถอดฟีเจอร์ AVX-512 ออกจากซีพียูรุ่นหลักหลายรุ่นในอดีต เช่น Alder Lake และ Raptor Lake เพราะปัญหาด้านความร้อนและการใช้พลังงาน รวมถึงความไม่เข้ากันระหว่าง P-Core กับ E-Core ตอนนี้ดูเหมือนว่า AVX-512 กำลังจะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่ชื่อว่า AVX 10.2 จากแพตช์ล่าสุดของ oneDNN v3.9-rc มีการเปิดเผยว่า Intel เตรียมรองรับ AVX 10.2 “512-bit” บนซีพียู Core รุ่นใหม่ (คาดว่าเป็น Nova Lake) และ Xeon รุ่นใหม่ (คาดว่าเป็น Diamond Rapids) โดย AVX 10.2 จะทำให้ทั้ง P-Core และ E-Core รองรับชุดคำสั่งเวกเตอร์ขนาด 512 บิตได้อย่างเต็มรูปแบบ Nova Lake จะใช้สถาปัตยกรรม Coyote Cove สำหรับ P-Core และ Arctic Wolf สำหรับ E-Core ซึ่งถือเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อ AVX-512 ถูกนำกลับมาใช้งานร่วมกับ SMT (Simultaneous Multithreading) ที่เคยถูกถอดออกในบางรุ่น Xeon ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านกราฟิก โดย Xe3 GPU จะได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพ และจะถูกนำมาใช้ในซีพียู Panther Lake รุ่นถัดไป รวมถึงอาจมีการเปิดตัว GPU แยกในชื่อ “Celestial” อีกด้วย ✅ Intel เตรียมรองรับ AVX 10.2 “512-bit” บนซีพียู Core และ Xeon รุ่นใหม่ ➡️ คาดว่าเป็น Nova Lake สำหรับ Core และ Diamond Rapids สำหรับ Xeon ✅ AVX 10.2 จะทำให้ทั้ง P-Core และ E-Core รองรับชุดคำสั่งเวกเตอร์ 512 บิต ➡️ ถือเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่จาก AVX-512 เดิม ✅ สถาปัตยกรรมของ Nova Lake คือ Coyote Cove (P-Core) และ Arctic Wolf (E-Core) ➡️ รองรับ AVX-512 แบบเต็มรูปแบบทุกคอร์ ✅ Xe3 GPU ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพในแพตช์ล่าสุด ➡️ จะถูกใช้ในซีพียู Panther Lake และอาจมีรุ่นแยกชื่อ Celestial ✅ Coral Rapids จะเป็น Xeon รุ่นแรกที่นำ SMT กลับมา ➡️ ต่างจาก Diamond Rapids ที่ไม่มี SMT ✅ Nova Lake คาดว่าจะมีสูงสุด 16 P-Core และ 32 E-Core ➡️ อาจให้ประสิทธิภาพสูงกว่า Arrow Lake ถึงสองเท่า ✅ AVX 10.2 จะรวมฟีเจอร์ AVX-512VL และรองรับ register 256 บิต ➡️ พร้อม mask register 32 บิต และ rounding แบบฝังในคำสั่ง ✅ Intel เตรียมเปลี่ยน CPUID เป็น “Family 19” ใน Panther Cove ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรม x86 ✅ APX จะเพิ่ม register จาก 16 เป็น 32 ตัว ➡️ ลดข้อจำกัดเดิมของ x86 และเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล ✅ Intel ใช้ GPU กว่า 100,000 ตัวในการเทรนและทดสอบ AVX 10.2 ➡️ เพื่อรองรับการใช้งานในระดับเซิร์ฟเวอร์และ HPC https://wccftech.com/intel-adds-avx-10-2-512-bit-support-future-desktop-core-server-xeon-cpus-hinting-at-enablement-for-nova-lake/
    WCCFTECH.COM
    Intel Adds AVX 10.2 "512-bit" Support For Future Desktop "Core" & Server "Xeon" CPUs: Hinting at Enablement For Nova Lake
    Intel is seemingly adding early support for AVX 10.2 "512-bit" for its future Xeon "Diamond Rapids" & Core "Nova Lake" CPUs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกฟรีแลนซ์: เมื่อแบรนด์เบื่อ AI และหันกลับมาหามนุษย์ที่มีหัวใจ

    แม้ว่าเครื่องมือ AI จะยังครองพื้นที่ข่าวและถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่ในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 กลับมีแนวโน้มใหม่ที่น่าสนใจ: ความต้องการจ้างฟรีแลนซ์สายครีเอทีฟกลับมาแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะนักเขียน นักออกแบบ และนักตัดต่อวิดีโอ

    เหตุผลหลักคือ “AI slop fatigue” หรือความเบื่อหน่ายต่อคอนเทนต์ที่ดูเรียบๆ ซ้ำๆ และขาดอารมณ์ ซึ่งเกิดจากการใช้ AI สร้างเนื้อหาแบบอัตโนมัติจนเกินพอดี แบรนด์ต่างๆ เริ่มตระหนักว่าความคิดสร้างสรรค์ที่มีอารมณ์และความลึกซึ้งยังคงเป็นสิ่งที่เครื่องจักรเลียนแบบไม่ได้

    ข้อมูลจาก Freelancer Fast 50 Global Jobs Index พบว่า งานสายคอมมิวนิเคชันโตขึ้นถึง 25.2% โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความเข้าใจมนุษย์ เช่น การเขียนสัญญา การแก้ต้นฉบับ และการสร้างเนื้อหาที่ “รู้สึกได้” มากกว่าแค่ “อ่านได้”

    ความต้องการฟรีแลนซ์สายครีเอทีฟเพิ่มขึ้นใน Q2 ปี 2025
    โดยเฉพาะนักเขียน นักออกแบบ และนักตัดต่อวิดีโอ

    งานสายคอมมิวนิเคชันโตขึ้น 25.2%
    เช่น การเขียนสัญญา แก้ต้นฉบับ และสร้างเนื้อหาที่มีอารมณ์

    แบรนด์เริ่มหันกลับมาหาคอนเทนต์ที่มี “ความรู้สึก”
    เพราะ AI ยังไม่สามารถสร้างความลึกซึ้งทางอารมณ์ได้

    งานสายวิดีโอและภาพมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
    เช่น Adobe After Effects, Instagram content และ Unity 3D

    ฟรีแลนซ์ที่มี “สไตล์เฉพาะตัว” ได้รับความนิยมสูง
    เพราะสามารถสร้างการเชื่อมโยงกับผู้ชมได้ดีกว่า AI

    ฟรีแลนซ์คิดเป็น 46.6% ของแรงงานทั่วโลก
    มีมากกว่า 1.57 พันล้านคนทำงานอิสระ

    เศรษฐกิจฟรีแลนซ์โตเร็วกว่าแรงงานทั่วไปถึง 15 เท่า
    โดยเฉพาะในช่วงปี 2010–2020

    70% ของฟรีแลนซ์หางานผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
    เช่น Upwork, Fiverr และ Toptal

    ฟรีแลนซ์เต็มเวลาทำงานเฉลี่ย 43 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
    ใกล้เคียงกับงานประจำแต่มีความยืดหยุ่นมากกว่า

    แนวโน้มการทำงานแบบไฮบริดช่วยเปิดโอกาสให้ฟรีแลนซ์
    เพราะองค์กรต้องการความคล่องตัวและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

    https://www.techradar.com/pro/clients-are-increasingly-looking-for-unique-human-creativity-research-finds-demand-for-creative-freelancers-is-surging-despite-ai-going-mainstream
    🎨🧠 เรื่องเล่าจากโลกฟรีแลนซ์: เมื่อแบรนด์เบื่อ AI และหันกลับมาหามนุษย์ที่มีหัวใจ แม้ว่าเครื่องมือ AI จะยังครองพื้นที่ข่าวและถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่ในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 กลับมีแนวโน้มใหม่ที่น่าสนใจ: ความต้องการจ้างฟรีแลนซ์สายครีเอทีฟกลับมาแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะนักเขียน นักออกแบบ และนักตัดต่อวิดีโอ เหตุผลหลักคือ “AI slop fatigue” หรือความเบื่อหน่ายต่อคอนเทนต์ที่ดูเรียบๆ ซ้ำๆ และขาดอารมณ์ ซึ่งเกิดจากการใช้ AI สร้างเนื้อหาแบบอัตโนมัติจนเกินพอดี แบรนด์ต่างๆ เริ่มตระหนักว่าความคิดสร้างสรรค์ที่มีอารมณ์และความลึกซึ้งยังคงเป็นสิ่งที่เครื่องจักรเลียนแบบไม่ได้ ข้อมูลจาก Freelancer Fast 50 Global Jobs Index พบว่า งานสายคอมมิวนิเคชันโตขึ้นถึง 25.2% โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความเข้าใจมนุษย์ เช่น การเขียนสัญญา การแก้ต้นฉบับ และการสร้างเนื้อหาที่ “รู้สึกได้” มากกว่าแค่ “อ่านได้” ✅ ความต้องการฟรีแลนซ์สายครีเอทีฟเพิ่มขึ้นใน Q2 ปี 2025 ➡️ โดยเฉพาะนักเขียน นักออกแบบ และนักตัดต่อวิดีโอ ✅ งานสายคอมมิวนิเคชันโตขึ้น 25.2% ➡️ เช่น การเขียนสัญญา แก้ต้นฉบับ และสร้างเนื้อหาที่มีอารมณ์ ✅ แบรนด์เริ่มหันกลับมาหาคอนเทนต์ที่มี “ความรู้สึก” ➡️ เพราะ AI ยังไม่สามารถสร้างความลึกซึ้งทางอารมณ์ได้ ✅ งานสายวิดีโอและภาพมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ➡️ เช่น Adobe After Effects, Instagram content และ Unity 3D ✅ ฟรีแลนซ์ที่มี “สไตล์เฉพาะตัว” ได้รับความนิยมสูง ➡️ เพราะสามารถสร้างการเชื่อมโยงกับผู้ชมได้ดีกว่า AI ✅ ฟรีแลนซ์คิดเป็น 46.6% ของแรงงานทั่วโลก ➡️ มีมากกว่า 1.57 พันล้านคนทำงานอิสระ ✅ เศรษฐกิจฟรีแลนซ์โตเร็วกว่าแรงงานทั่วไปถึง 15 เท่า ➡️ โดยเฉพาะในช่วงปี 2010–2020 ✅ 70% ของฟรีแลนซ์หางานผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ➡️ เช่น Upwork, Fiverr และ Toptal ✅ ฟรีแลนซ์เต็มเวลาทำงานเฉลี่ย 43 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ➡️ ใกล้เคียงกับงานประจำแต่มีความยืดหยุ่นมากกว่า ✅ แนวโน้มการทำงานแบบไฮบริดช่วยเปิดโอกาสให้ฟรีแลนซ์ ➡️ เพราะองค์กรต้องการความคล่องตัวและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง https://www.techradar.com/pro/clients-are-increasingly-looking-for-unique-human-creativity-research-finds-demand-for-creative-freelancers-is-surging-despite-ai-going-mainstream
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก GPU มืออาชีพ: RTX Pro 5000 Blackwell Mobile ที่แรงเทียบเท่า RTX 5090

    Nvidia เปิดตัว RTX Pro 5000 Blackwell Mobile GPU สำหรับโน้ตบุ๊กสายเวิร์กสเตชัน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุดที่เน้นงานระดับมืออาชีพ เช่น AI, การจำลอง, การออกแบบ 3D และการเรนเดอร์ขั้นสูง

    แม้จะเป็นรุ่นสำหรับโน้ตบุ๊ก แต่ประสิทธิภาพกลับใกล้เคียงกับ RTX 5090 Laptop GPU ซึ่งเป็นรุ่นเกมมิ่งระดับสูง โดย RTX Pro 5000 Mobile มี 10,496 CUDA cores, 328 Tensor cores และ 82 RT cores พร้อมหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 24GB บนบัส 256-bit ให้แบนด์วิดธ์ 896 GB/s

    ผลการทดสอบ OpenCL พบว่า RTX Pro 5000 Mobile แรงกว่า RTX 5000 Ada Generation ถึง 14% และยังเหนือกว่า RTX 5090 เล็กน้อย แม้จะมีข้อจำกัดด้านพลังงานและอินเทอร์เฟซหน่วยความจำที่แคบกว่า

    Dell ได้เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่น Pro Max 18 Plus ที่ใช้ GPU ตัวนี้ร่วมกับ Core Ultra 9 285HX และ DDR5-6400 ขายที่ราคา $6,121.47 ซึ่งถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กระดับสูงสำหรับมืออาชีพโดยเฉพาะ

    RTX Pro 5000 Blackwell Mobile ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell
    มี 10,496 CUDA cores และ 24GB GDDR7 memory

    แบนด์วิดธ์หน่วยความจำอยู่ที่ 896 GB/s
    ใช้บัส 256-bit ซึ่งแคบกว่ารุ่นเดสก์ท็อป

    ผลทดสอบ OpenCL แรงกว่า RTX 5000 Ada Generation 14%
    และแรงกว่า RTX 5090 Laptop GPU ประมาณ 2%

    Dell Pro Max 18 Plus ใช้ GPU นี้ร่วมกับ Core Ultra 9 285HX
    ขายที่ราคา $6,121.47 สำหรับรุ่นสูงสุด

    GPU นี้รองรับฟีเจอร์ระดับมืออาชีพ เช่น ECC และ Tensor cores
    เหมาะสำหรับงาน AI, simulation และการออกแบบขั้นสูง

    GPU นี้มี 328 Tensor cores และ 82 RT cores
    รองรับการเร่งความเร็วงาน machine learning และ ray tracing

    ใช้เทคโนโลยีการผลิต 5nm จาก TSMC
    มีทรานซิสเตอร์มากถึง 45,600 ล้านตัว

    รองรับ PCIe 5.0 และ DisplayPort 2.1b
    แม้จะไม่มีพอร์ตแสดงผลโดยตรง แต่ใช้ผ่านระบบโน้ตบุ๊ก

    มีประสิทธิภาพ FP32 สูงถึง 49.8 TFLOPs และ AI TOPS ที่ 1824
    เหมาะกับงานที่ต้องการการคำนวณหนักและแม่นยำ

    มีรุ่นย่อย RTX Pro 1000–5000 สำหรับตลาดต่างระดับ
    รุ่นต่ำสุดมีเพียง 1,792 CUDA cores และบัสแค่ 96-bit

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-pro-5000-blackwell-laptop-gpu-beats-previous-gen-by-14-percent-in-opencl-benchmark-professional-mobile-chip-performs-like-a-laptop-rtx-5090
    🎮💼 เรื่องเล่าจากโลก GPU มืออาชีพ: RTX Pro 5000 Blackwell Mobile ที่แรงเทียบเท่า RTX 5090 Nvidia เปิดตัว RTX Pro 5000 Blackwell Mobile GPU สำหรับโน้ตบุ๊กสายเวิร์กสเตชัน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุดที่เน้นงานระดับมืออาชีพ เช่น AI, การจำลอง, การออกแบบ 3D และการเรนเดอร์ขั้นสูง แม้จะเป็นรุ่นสำหรับโน้ตบุ๊ก แต่ประสิทธิภาพกลับใกล้เคียงกับ RTX 5090 Laptop GPU ซึ่งเป็นรุ่นเกมมิ่งระดับสูง โดย RTX Pro 5000 Mobile มี 10,496 CUDA cores, 328 Tensor cores และ 82 RT cores พร้อมหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 24GB บนบัส 256-bit ให้แบนด์วิดธ์ 896 GB/s ผลการทดสอบ OpenCL พบว่า RTX Pro 5000 Mobile แรงกว่า RTX 5000 Ada Generation ถึง 14% และยังเหนือกว่า RTX 5090 เล็กน้อย แม้จะมีข้อจำกัดด้านพลังงานและอินเทอร์เฟซหน่วยความจำที่แคบกว่า Dell ได้เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่น Pro Max 18 Plus ที่ใช้ GPU ตัวนี้ร่วมกับ Core Ultra 9 285HX และ DDR5-6400 ขายที่ราคา $6,121.47 ซึ่งถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กระดับสูงสำหรับมืออาชีพโดยเฉพาะ ✅ RTX Pro 5000 Blackwell Mobile ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell ➡️ มี 10,496 CUDA cores และ 24GB GDDR7 memory ✅ แบนด์วิดธ์หน่วยความจำอยู่ที่ 896 GB/s ➡️ ใช้บัส 256-bit ซึ่งแคบกว่ารุ่นเดสก์ท็อป ✅ ผลทดสอบ OpenCL แรงกว่า RTX 5000 Ada Generation 14% ➡️ และแรงกว่า RTX 5090 Laptop GPU ประมาณ 2% ✅ Dell Pro Max 18 Plus ใช้ GPU นี้ร่วมกับ Core Ultra 9 285HX ➡️ ขายที่ราคา $6,121.47 สำหรับรุ่นสูงสุด ✅ GPU นี้รองรับฟีเจอร์ระดับมืออาชีพ เช่น ECC และ Tensor cores ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, simulation และการออกแบบขั้นสูง ✅ GPU นี้มี 328 Tensor cores และ 82 RT cores ➡️ รองรับการเร่งความเร็วงาน machine learning และ ray tracing ✅ ใช้เทคโนโลยีการผลิต 5nm จาก TSMC ➡️ มีทรานซิสเตอร์มากถึง 45,600 ล้านตัว ✅ รองรับ PCIe 5.0 และ DisplayPort 2.1b ➡️ แม้จะไม่มีพอร์ตแสดงผลโดยตรง แต่ใช้ผ่านระบบโน้ตบุ๊ก ✅ มีประสิทธิภาพ FP32 สูงถึง 49.8 TFLOPs และ AI TOPS ที่ 1824 ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการการคำนวณหนักและแม่นยำ ✅ มีรุ่นย่อย RTX Pro 1000–5000 สำหรับตลาดต่างระดับ ➡️ รุ่นต่ำสุดมีเพียง 1,792 CUDA cores และบัสแค่ 96-bit https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-pro-5000-blackwell-laptop-gpu-beats-previous-gen-by-14-percent-in-opencl-benchmark-professional-mobile-chip-performs-like-a-laptop-rtx-5090
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากนักพัฒนา: เมื่อ AI ที่เราให้แขนขา กลับหันหลังให้เรา

    Robin Grell นักพัฒนาไลบรารีชื่อ “enigo” ซึ่งใช้สำหรับควบคุมคอมพิวเตอร์ผ่านการจำลองการกดแป้นพิมพ์และเมาส์ ได้ค้นพบว่า Anthropic บริษัท AI มูลค่ากว่า 60 พันล้านดอลลาร์ ได้นำไลบรารีของเขาไปใช้ในแอป Claude Desktop โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า

    Claude Desktop เป็นแอปที่ให้ Claude AI ควบคุมคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง เช่น การคัดลอกข้อมูลจากเบราว์เซอร์ไปยังสเปรดชีต ซึ่งฟีเจอร์นี้เรียกว่า “Computer Use” และยังอยู่ในช่วงเบต้า โดย enigo ถูกใช้ทั้งในเวอร์ชัน macOS และ Windows

    Robin รู้สึกภูมิใจที่ไลบรารีของเขาได้รับเลือกจากบริษัทใหญ่ แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเขาถูกปฏิเสธจากการสมัครงานกับ Anthropic แม้จะเป็นผู้สร้างเครื่องมือที่พวกเขาใช้ก็ตาม

    ที่น่าสนใจคือ enigo เป็นไลบรารีโอเพ่นซอร์สภายใต้ MIT license ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถใช้ได้ฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ Robin ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ นอกจากดาวบน GitHub และยอดดาวน์โหลดบน crates.io

    Anthropic ใช้ไลบรารี “enigo” ใน Claude Desktop
    ใช้สำหรับควบคุมคอมพิวเตอร์ผ่านฟีเจอร์ “Computer Use”

    enigo รองรับทั้ง macOS และ Windows
    ยืนยันได้จากการตรวจสอบไฟล์ Claude Desktop

    enigo เป็นไลบรารีที่เขียนด้วยภาษา Rust
    รองรับหลายระบบปฏิบัติการโดยไม่ต้องใช้ root

    Claude Desktop เป็นแอป Electron ที่ให้ AI ควบคุมคอมพิวเตอร์
    ใช้สำหรับงานอัตโนมัติ เช่น คัดลอกข้อมูลหรือควบคุมแอป

    enigo มีดาวมากกว่า 1,200 บน GitHub และถูกดาวน์โหลดเกือบ 300,000 ครั้ง
    เป็นไลบรารียอดนิยมบน crates.io

    Claude Desktop รองรับการติดตั้ง extension เพื่อเชื่อมต่อกับแอปในเครื่อง
    เช่น ปฏิทิน, อีเมล, ไฟล์ระบบ และ iMessage

    ฟีเจอร์ “Computer Use” ยังอยู่ในช่วงเบต้า
    ต้องเปิดใช้งานด้วย header พิเศษ

    Claude สามารถควบคุมเมาส์, คีย์บอร์ด และจับภาพหน้าจอ
    ช่วยให้ AI ทำงานอัตโนมัติได้เหมือนมนุษย์

    Anthropic มีระบบ MCP สำหรับจัดการ extension บน Claude Desktop
    รองรับการอัปเดตอัตโนมัติและการตั้งค่าที่ง่าย

    นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สอาจไม่ได้รับผลตอบแทนจากการใช้งานเชิงพาณิชย์
    แม้จะมีบริษัทใหญ่ใช้ผลงาน แต่ก็ไม่มีข้อผูกพันทางการเงิน

    การใช้ไลบรารีโอเพ่นซอร์สในผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์อาจไม่แจ้งเจ้าของ
    ทำให้เกิดความรู้สึกถูกละเลยหรือไม่ให้เครดิต

    การสมัครงานในบริษัทที่ใช้ผลงานของคุณไม่รับประกันว่าจะได้รับการตอบรับ
    แม้จะมีคุณสมบัติเหมาะสม ก็อาจถูกปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน

    https://grell.dev/blog/ai_rejection
    🤖💔 เรื่องเล่าจากนักพัฒนา: เมื่อ AI ที่เราให้แขนขา กลับหันหลังให้เรา Robin Grell นักพัฒนาไลบรารีชื่อ “enigo” ซึ่งใช้สำหรับควบคุมคอมพิวเตอร์ผ่านการจำลองการกดแป้นพิมพ์และเมาส์ ได้ค้นพบว่า Anthropic บริษัท AI มูลค่ากว่า 60 พันล้านดอลลาร์ ได้นำไลบรารีของเขาไปใช้ในแอป Claude Desktop โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า Claude Desktop เป็นแอปที่ให้ Claude AI ควบคุมคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง เช่น การคัดลอกข้อมูลจากเบราว์เซอร์ไปยังสเปรดชีต ซึ่งฟีเจอร์นี้เรียกว่า “Computer Use” และยังอยู่ในช่วงเบต้า โดย enigo ถูกใช้ทั้งในเวอร์ชัน macOS และ Windows Robin รู้สึกภูมิใจที่ไลบรารีของเขาได้รับเลือกจากบริษัทใหญ่ แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเขาถูกปฏิเสธจากการสมัครงานกับ Anthropic แม้จะเป็นผู้สร้างเครื่องมือที่พวกเขาใช้ก็ตาม ที่น่าสนใจคือ enigo เป็นไลบรารีโอเพ่นซอร์สภายใต้ MIT license ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถใช้ได้ฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ Robin ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ นอกจากดาวบน GitHub และยอดดาวน์โหลดบน crates.io ✅ Anthropic ใช้ไลบรารี “enigo” ใน Claude Desktop ➡️ ใช้สำหรับควบคุมคอมพิวเตอร์ผ่านฟีเจอร์ “Computer Use” ✅ enigo รองรับทั้ง macOS และ Windows ➡️ ยืนยันได้จากการตรวจสอบไฟล์ Claude Desktop ✅ enigo เป็นไลบรารีที่เขียนด้วยภาษา Rust ➡️ รองรับหลายระบบปฏิบัติการโดยไม่ต้องใช้ root ✅ Claude Desktop เป็นแอป Electron ที่ให้ AI ควบคุมคอมพิวเตอร์ ➡️ ใช้สำหรับงานอัตโนมัติ เช่น คัดลอกข้อมูลหรือควบคุมแอป ✅ enigo มีดาวมากกว่า 1,200 บน GitHub และถูกดาวน์โหลดเกือบ 300,000 ครั้ง ➡️ เป็นไลบรารียอดนิยมบน crates.io ✅ Claude Desktop รองรับการติดตั้ง extension เพื่อเชื่อมต่อกับแอปในเครื่อง ➡️ เช่น ปฏิทิน, อีเมล, ไฟล์ระบบ และ iMessage ✅ ฟีเจอร์ “Computer Use” ยังอยู่ในช่วงเบต้า ➡️ ต้องเปิดใช้งานด้วย header พิเศษ ✅ Claude สามารถควบคุมเมาส์, คีย์บอร์ด และจับภาพหน้าจอ ➡️ ช่วยให้ AI ทำงานอัตโนมัติได้เหมือนมนุษย์ ✅ Anthropic มีระบบ MCP สำหรับจัดการ extension บน Claude Desktop ➡️ รองรับการอัปเดตอัตโนมัติและการตั้งค่าที่ง่าย ‼️ นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สอาจไม่ได้รับผลตอบแทนจากการใช้งานเชิงพาณิชย์ ⛔ แม้จะมีบริษัทใหญ่ใช้ผลงาน แต่ก็ไม่มีข้อผูกพันทางการเงิน ‼️ การใช้ไลบรารีโอเพ่นซอร์สในผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์อาจไม่แจ้งเจ้าของ ⛔ ทำให้เกิดความรู้สึกถูกละเลยหรือไม่ให้เครดิต ‼️ การสมัครงานในบริษัทที่ใช้ผลงานของคุณไม่รับประกันว่าจะได้รับการตอบรับ ⛔ แม้จะมีคุณสมบัติเหมาะสม ก็อาจถูกปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน https://grell.dev/blog/ai_rejection
    GRELL.DEV
    I gave the AI arms and legs – then it rejected me | Robin Grell
    How I helped Claude AI extend its capabilities only for the same AI to reject my job application.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อชิปความปลอดภัยกลายเป็นช่องโหว่ใน Dell กว่าร้อยรุ่น

    ใครจะคิดว่า “ชิปความปลอดภัย” ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญอย่างรหัสผ่านและลายนิ้วมือ จะกลายเป็นจุดอ่อนที่เปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่องได้แบบถาวร ล่าสุด Cisco Talos ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงใน Dell ControlVault3 และ ControlVault3+ ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ในโน้ตบุ๊ค Dell กว่า 100 รุ่น โดยเฉพาะในซีรีส์ Latitude และ Precision ที่นิยมใช้ในองค์กรและหน่วยงานรัฐบาล

    ช่องโหว่เหล่านี้ถูกตั้งชื่อว่า “ReVault” และมีทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ CVE-2025-24311, CVE-2025-25050, CVE-2025-25215, CVE-2025-24922 และ CVE-2025-24919 ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถ:

    - เข้าถึงเครื่องแบบถาวร แม้จะติดตั้ง Windows ใหม่ก็ยังไม่หาย
    - เจาะระบบผ่านการเข้าถึงทางกายภาพ เช่น เปิดเครื่องแล้วเชื่อมต่อผ่าน USB
    - ปลอมลายนิ้วมือให้ระบบยอมรับได้ทุกนิ้ว

    Dell ได้ออกอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อแก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที รวมถึงพิจารณาปิดการใช้งาน ControlVault หากไม่ได้ใช้ฟีเจอร์ลายนิ้วมือหรือ smart card

    นอกจากนี้ Cisco ยังร่วมมือกับ Hugging Face เพื่อสแกนมัลแวร์ในโมเดล AI ที่เผยแพร่สู่สาธารณะ โดยใช้ ClamAV รุ่นพิเศษ ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการป้องกันภัยในห่วงโซ่ซัพพลายของ AI

    Cisco Talos พบช่องโหว่ใน Dell ControlVault3 และ ControlVault3+
    ส่งผลกระทบต่อโน้ตบุ๊ค Dell กว่า 100 รุ่นทั่วโลก

    ช่องโหว่ถูกตั้งชื่อว่า “ReVault” และมีทั้งหมด 5 รายการ CVE
    รวมถึง CVE-2025-24311, 25050, 25215, 24922, 24919

    ช่องโหว่เปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงเครื่องแบบถาวร
    แม้จะติดตั้ง Windows ใหม่ก็ยังไม่สามารถลบมัลแวร์ได้

    การโจมตีสามารถทำได้ผ่านการเข้าถึงทางกายภาพ
    เช่น เชื่อมต่อผ่าน USB โดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านหรือปลดล็อก

    Dell ออกอัปเดตเฟิร์มแวร์และแจ้งลูกค้าเมื่อ 13 มิถุนายน 2025
    แนะนำให้รีบอัปเดตและตรวจสอบ Security Advisory DSA-2025-053

    Cisco ร่วมมือกับ Hugging Face สแกนมัลแวร์ในโมเดล AI
    ใช้ ClamAV รุ่นพิเศษ สแกนไฟล์สาธารณะทั้งหมดฟรี

    ช่องโหว่เกิดจาก Broadcom BCM5820X ที่ใช้ในชิป ControlVault
    พบในโน้ตบุ๊ค Dell รุ่นธุรกิจ เช่น Latitude และ Precision

    ช่องโหว่รวมถึง unsafe-deserialization และ stack overflow
    ทำให้ผู้ใช้ที่ไม่มีสิทธิ์ admin ก็สามารถรันโค้ดอันตรายได้

    ControlVault เป็น secure enclave สำหรับเก็บข้อมูลลับ
    เช่น รหัสผ่าน ลายนิ้วมือ และรหัสความปลอดภัย

    โน้ตบุ๊ครุ่น Rugged ของ Dell ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    ใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น รัฐบาล

    https://hackread.com/dell-laptop-models-vulnerabilities-impacting-millions/
    🧠💻 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อชิปความปลอดภัยกลายเป็นช่องโหว่ใน Dell กว่าร้อยรุ่น ใครจะคิดว่า “ชิปความปลอดภัย” ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญอย่างรหัสผ่านและลายนิ้วมือ จะกลายเป็นจุดอ่อนที่เปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่องได้แบบถาวร ล่าสุด Cisco Talos ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงใน Dell ControlVault3 และ ControlVault3+ ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ในโน้ตบุ๊ค Dell กว่า 100 รุ่น โดยเฉพาะในซีรีส์ Latitude และ Precision ที่นิยมใช้ในองค์กรและหน่วยงานรัฐบาล ช่องโหว่เหล่านี้ถูกตั้งชื่อว่า “ReVault” และมีทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ CVE-2025-24311, CVE-2025-25050, CVE-2025-25215, CVE-2025-24922 และ CVE-2025-24919 ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถ: - เข้าถึงเครื่องแบบถาวร แม้จะติดตั้ง Windows ใหม่ก็ยังไม่หาย - เจาะระบบผ่านการเข้าถึงทางกายภาพ เช่น เปิดเครื่องแล้วเชื่อมต่อผ่าน USB - ปลอมลายนิ้วมือให้ระบบยอมรับได้ทุกนิ้ว Dell ได้ออกอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อแก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที รวมถึงพิจารณาปิดการใช้งาน ControlVault หากไม่ได้ใช้ฟีเจอร์ลายนิ้วมือหรือ smart card นอกจากนี้ Cisco ยังร่วมมือกับ Hugging Face เพื่อสแกนมัลแวร์ในโมเดล AI ที่เผยแพร่สู่สาธารณะ โดยใช้ ClamAV รุ่นพิเศษ ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการป้องกันภัยในห่วงโซ่ซัพพลายของ AI ✅ Cisco Talos พบช่องโหว่ใน Dell ControlVault3 และ ControlVault3+ ➡️ ส่งผลกระทบต่อโน้ตบุ๊ค Dell กว่า 100 รุ่นทั่วโลก ✅ ช่องโหว่ถูกตั้งชื่อว่า “ReVault” และมีทั้งหมด 5 รายการ CVE ➡️ รวมถึง CVE-2025-24311, 25050, 25215, 24922, 24919 ✅ ช่องโหว่เปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงเครื่องแบบถาวร ➡️ แม้จะติดตั้ง Windows ใหม่ก็ยังไม่สามารถลบมัลแวร์ได้ ✅ การโจมตีสามารถทำได้ผ่านการเข้าถึงทางกายภาพ ➡️ เช่น เชื่อมต่อผ่าน USB โดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านหรือปลดล็อก ✅ Dell ออกอัปเดตเฟิร์มแวร์และแจ้งลูกค้าเมื่อ 13 มิถุนายน 2025 ➡️ แนะนำให้รีบอัปเดตและตรวจสอบ Security Advisory DSA-2025-053 ✅ Cisco ร่วมมือกับ Hugging Face สแกนมัลแวร์ในโมเดล AI ➡️ ใช้ ClamAV รุ่นพิเศษ สแกนไฟล์สาธารณะทั้งหมดฟรี ✅ ช่องโหว่เกิดจาก Broadcom BCM5820X ที่ใช้ในชิป ControlVault ➡️ พบในโน้ตบุ๊ค Dell รุ่นธุรกิจ เช่น Latitude และ Precision ✅ ช่องโหว่รวมถึง unsafe-deserialization และ stack overflow ➡️ ทำให้ผู้ใช้ที่ไม่มีสิทธิ์ admin ก็สามารถรันโค้ดอันตรายได้ ✅ ControlVault เป็น secure enclave สำหรับเก็บข้อมูลลับ ➡️ เช่น รหัสผ่าน ลายนิ้วมือ และรหัสความปลอดภัย ✅ โน้ตบุ๊ครุ่น Rugged ของ Dell ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ ใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น รัฐบาล https://hackread.com/dell-laptop-models-vulnerabilities-impacting-millions/
    HACKREAD.COM
    Over 100 Dell Laptop Models Plagued by Vulnerabilities Impacting Millions
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ Discord กลายเป็นประตูหลังให้แฮกเกอร์ผ่าน OneDrive ปลอม

    ในยุคที่ทุกคนคุ้นเคยกับการแชร์ไฟล์ผ่าน OneDrive และใช้ Discord เป็นช่องทางสื่อสารหลัก แฮกเกอร์ก็ใช้ความคุ้นเคยนี้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบแนบเนียน ล่าสุด Sublime Security พบแคมเปญฟิชชิ่งที่ใช้ลิงก์จาก Discord CDN ปลอมตัวเป็นไฟล์จาก OneDrive เพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดมัลแวร์

    แฮกเกอร์ส่งอีเมลจากบัญชีที่ถูกเจาะแล้ว โดยปลอมเป็นข้อความแจ้งเตือนจาก OneDrive พร้อมไอคอน Word และ footer ที่ดูเหมือนของจริง แต่ลิงก์ในอีเมลนั้นไม่ได้พาไปโหลดไฟล์ .docx อย่างที่อ้าง กลับเป็นไฟล์ .msi ที่ซ่อนมัลแวร์ไว้

    เมื่อเหยื่อคลิกและติดตั้งไฟล์นั้น จะมีโปรแกรมควบคุมระยะไกล (RMM) สองตัวถูกติดตั้งพร้อมกัน ได้แก่ Atera ที่ติดตั้งแบบเห็นได้ชัด และ Splashtop Streamer ที่ทำงานเงียบ ๆ เบื้องหลัง พร้อมกับ .NET Runtime 8 ทั้งหมดนี้ถูกโหลดจากแหล่งที่ดูน่าเชื่อถือ ทำให้ยากต่อการตรวจจับ

    การใช้ RMM แบบหลายตัวช่วยให้แฮกเกอร์รักษาการควบคุมเครื่องแม้จะมีการตรวจพบบางส่วน และสามารถใช้เครื่องเหยื่อในการขโมยข้อมูล เรียกค่าไถ่ หรือเป็นฐานส่งมัลแวร์ต่อไป

    นอกจากนี้ยังมีแคมเปญอื่นที่ใช้ Discord CDN เพื่อส่งไฟล์ลัดที่เรียก PowerShell ดาวน์โหลดมัลแวร์จากลิงก์ที่ถูกดัดแปลงให้หลบการตรวจจับได้ ทำให้ Discord ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ กลายเป็นช่องทางโจมตีที่อันตรายอย่างคาดไม่ถึง

    พบแคมเปญฟิชชิ่งปลอมเป็น OneDrive โดยใช้ Discord CDN เป็นที่เก็บไฟล์
    อีเมลปลอมมีไอคอน Word และ footer ที่ดูเหมือนของจริง

    ไฟล์ที่โหลดเป็น .msi แทนที่จะเป็น .docx ตามที่อ้าง
    ใช้เทคนิค file extension manipulation เพื่อหลอกเหยื่อ

    ติดตั้ง RMM สองตัวคือ Atera และ Splashtop Streamer
    Atera ติดตั้งแบบเห็นได้ชัด ส่วน Splashtop ทำงานเงียบ ๆ

    ใช้ .NET Runtime 8 เพื่อเสริมการทำงานของมัลแวร์
    ทั้งหมดโหลดจากแหล่งที่ดูปลอดภัย ทำให้ตรวจจับยาก

    Sublime Security ตรวจพบด้วยระบบ AI ที่วิเคราะห์พฤติกรรมอีเมล
    เช่น การส่งถึงผู้รับไม่เปิดเผย และการใช้ลิงก์จาก Discord CDN

    Discord CDN ถูกใช้ในหลายแคมเปญมัลแวร์ช่วงปี 2024–2025
    เช่นการฝัง PowerShell shortcut ในไฟล์ zip เพื่อโหลดมัลแวร์

    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค URL obfuscation เพื่อหลบการตรวจจับ
    เช่นการแทนที่บางส่วนของลิงก์เพื่อให้ระบบความปลอดภัยมองข้าม

    RMM เป็นเครื่องมือที่ถูกต้องตามกฎหมายแต่ถูกนำไปใช้ในทางร้าย
    ใช้ควบคุมเครื่องเหยื่อจากระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ backdoor

    การโจมตีแบบ multi-stage ช่วยให้แฮกเกอร์รักษาการควบคุมได้ยาวนาน
    แม้จะมีการลบโปรแกรมบางตัว ก็ยังมีอีกตัวทำงานอยู่

    https://hackread.com/discord-cdn-link-deliver-rat-disguised-onedrive-file/
    🕵️‍♂️📎 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ Discord กลายเป็นประตูหลังให้แฮกเกอร์ผ่าน OneDrive ปลอม ในยุคที่ทุกคนคุ้นเคยกับการแชร์ไฟล์ผ่าน OneDrive และใช้ Discord เป็นช่องทางสื่อสารหลัก แฮกเกอร์ก็ใช้ความคุ้นเคยนี้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบแนบเนียน ล่าสุด Sublime Security พบแคมเปญฟิชชิ่งที่ใช้ลิงก์จาก Discord CDN ปลอมตัวเป็นไฟล์จาก OneDrive เพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดมัลแวร์ แฮกเกอร์ส่งอีเมลจากบัญชีที่ถูกเจาะแล้ว โดยปลอมเป็นข้อความแจ้งเตือนจาก OneDrive พร้อมไอคอน Word และ footer ที่ดูเหมือนของจริง แต่ลิงก์ในอีเมลนั้นไม่ได้พาไปโหลดไฟล์ .docx อย่างที่อ้าง กลับเป็นไฟล์ .msi ที่ซ่อนมัลแวร์ไว้ เมื่อเหยื่อคลิกและติดตั้งไฟล์นั้น จะมีโปรแกรมควบคุมระยะไกล (RMM) สองตัวถูกติดตั้งพร้อมกัน ได้แก่ Atera ที่ติดตั้งแบบเห็นได้ชัด และ Splashtop Streamer ที่ทำงานเงียบ ๆ เบื้องหลัง พร้อมกับ .NET Runtime 8 ทั้งหมดนี้ถูกโหลดจากแหล่งที่ดูน่าเชื่อถือ ทำให้ยากต่อการตรวจจับ การใช้ RMM แบบหลายตัวช่วยให้แฮกเกอร์รักษาการควบคุมเครื่องแม้จะมีการตรวจพบบางส่วน และสามารถใช้เครื่องเหยื่อในการขโมยข้อมูล เรียกค่าไถ่ หรือเป็นฐานส่งมัลแวร์ต่อไป นอกจากนี้ยังมีแคมเปญอื่นที่ใช้ Discord CDN เพื่อส่งไฟล์ลัดที่เรียก PowerShell ดาวน์โหลดมัลแวร์จากลิงก์ที่ถูกดัดแปลงให้หลบการตรวจจับได้ ทำให้ Discord ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ กลายเป็นช่องทางโจมตีที่อันตรายอย่างคาดไม่ถึง ✅ พบแคมเปญฟิชชิ่งปลอมเป็น OneDrive โดยใช้ Discord CDN เป็นที่เก็บไฟล์ ➡️ อีเมลปลอมมีไอคอน Word และ footer ที่ดูเหมือนของจริง ✅ ไฟล์ที่โหลดเป็น .msi แทนที่จะเป็น .docx ตามที่อ้าง ➡️ ใช้เทคนิค file extension manipulation เพื่อหลอกเหยื่อ ✅ ติดตั้ง RMM สองตัวคือ Atera และ Splashtop Streamer ➡️ Atera ติดตั้งแบบเห็นได้ชัด ส่วน Splashtop ทำงานเงียบ ๆ ✅ ใช้ .NET Runtime 8 เพื่อเสริมการทำงานของมัลแวร์ ➡️ ทั้งหมดโหลดจากแหล่งที่ดูปลอดภัย ทำให้ตรวจจับยาก ✅ Sublime Security ตรวจพบด้วยระบบ AI ที่วิเคราะห์พฤติกรรมอีเมล ➡️ เช่น การส่งถึงผู้รับไม่เปิดเผย และการใช้ลิงก์จาก Discord CDN ✅ Discord CDN ถูกใช้ในหลายแคมเปญมัลแวร์ช่วงปี 2024–2025 ➡️ เช่นการฝัง PowerShell shortcut ในไฟล์ zip เพื่อโหลดมัลแวร์ ✅ แฮกเกอร์ใช้เทคนิค URL obfuscation เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ เช่นการแทนที่บางส่วนของลิงก์เพื่อให้ระบบความปลอดภัยมองข้าม ✅ RMM เป็นเครื่องมือที่ถูกต้องตามกฎหมายแต่ถูกนำไปใช้ในทางร้าย ➡️ ใช้ควบคุมเครื่องเหยื่อจากระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ backdoor ✅ การโจมตีแบบ multi-stage ช่วยให้แฮกเกอร์รักษาการควบคุมได้ยาวนาน ➡️ แม้จะมีการลบโปรแกรมบางตัว ก็ยังมีอีกตัวทำงานอยู่ https://hackread.com/discord-cdn-link-deliver-rat-disguised-onedrive-file/
    HACKREAD.COM
    Discord CDN Link Abused to Deliver RAT Disguised as OneDrive File
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Tesla ปิดบังหลักฐาน Autopilot เพื่อโยนความผิดให้คนขับ

    ย้อนกลับไปในปี 2019 เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในฟลอริดา รถ Tesla Model S ที่เปิดใช้งาน Autopilot พุ่งชนคนเดินถนนจนเสียชีวิตทันที และมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่งราย Tesla อ้างว่าคนขับเป็นฝ่ายผิด แต่หลักฐานจากการสืบสวนกลับเผยว่า Tesla มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการทำงานของ Autopilot ในช่วงเกิดเหตุ—แต่กลับปกปิดไว้

    ในเวลาเพียง 3 นาทีหลังชน ตัวรถได้อัปโหลด “collision snapshot” ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Tesla ซึ่งประกอบด้วยวิดีโอ, ข้อมูล CAN-bus, EDR และข้อมูลจาก Autopilot ECU จากนั้นลบข้อมูลในเครื่องทันที ทำให้ Tesla เป็นฝ่ายเดียวที่ถือครองหลักฐานนี้

    เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายโจทก์ขอข้อมูล Tesla กลับบอกว่า “ไม่มีข้อมูลดังกล่าว” และยังให้ทนายความช่วยเขียนจดหมายขอข้อมูลแบบหลอก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลจริง

    Tesla อัปโหลดข้อมูลการชนไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายใน 3 นาทีหลังเกิดเหตุ
    ข้อมูลประกอบด้วยวิดีโอ, CAN-bus, EDR และข้อมูลจาก Autopilot ECU
    ตัวรถลบข้อมูลในเครื่องทันทีหลังอัปโหลด ทำให้ Tesla เป็นฝ่ายเดียวที่มีข้อมูล

    ผู้เชี่ยวชาญสามารถกู้ข้อมูลจาก ECU และยืนยันว่า Tesla มีข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่แรก
    Alan Moore วิศวกรด้านการวิเคราะห์อุบัติเหตุ ยืนยันว่ามี “collision snapshot” อยู่จริง
    Tesla กลับบอกว่า “ไม่มีข้อมูล” ในเอกสารการตอบคำขอของศาล

    ตำรวจขอข้อมูลจาก Tesla แต่ถูกชี้นำให้เขียนจดหมายที่หลีกเลี่ยงการขอข้อมูลสำคัญ
    ทนายของ Tesla บอกว่าไม่ต้องใช้หมายศาล แค่เขียนจดหมายตามที่เขาบอก
    ผลคือ Tesla ส่งแค่ข้อมูล infotainment เช่น call logs และคู่มือรถ—not ข้อมูล Autopilot

    ศาลตัดสินให้ Tesla มีความผิดบางส่วนในคดีการเสียชีวิตจาก Autopilot
    เป็นครั้งแรกที่ Tesla ถูกตัดสินในคดีลักษณะนี้โดยคณะลูกขุน
    คดีนี้อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการฟ้องร้องเกี่ยวกับระบบขับขี่อัตโนมัติ

    https://electrek.co/2025/08/04/tesla-withheld-data-lied-misdirected-police-plaintiffs-avoid-blame-autopilot-crash/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Tesla ปิดบังหลักฐาน Autopilot เพื่อโยนความผิดให้คนขับ ย้อนกลับไปในปี 2019 เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในฟลอริดา รถ Tesla Model S ที่เปิดใช้งาน Autopilot พุ่งชนคนเดินถนนจนเสียชีวิตทันที และมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่งราย Tesla อ้างว่าคนขับเป็นฝ่ายผิด แต่หลักฐานจากการสืบสวนกลับเผยว่า Tesla มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการทำงานของ Autopilot ในช่วงเกิดเหตุ—แต่กลับปกปิดไว้ ในเวลาเพียง 3 นาทีหลังชน ตัวรถได้อัปโหลด “collision snapshot” ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Tesla ซึ่งประกอบด้วยวิดีโอ, ข้อมูล CAN-bus, EDR และข้อมูลจาก Autopilot ECU จากนั้นลบข้อมูลในเครื่องทันที ทำให้ Tesla เป็นฝ่ายเดียวที่ถือครองหลักฐานนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายโจทก์ขอข้อมูล Tesla กลับบอกว่า “ไม่มีข้อมูลดังกล่าว” และยังให้ทนายความช่วยเขียนจดหมายขอข้อมูลแบบหลอก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลจริง ✅ Tesla อัปโหลดข้อมูลการชนไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายใน 3 นาทีหลังเกิดเหตุ ➡️ ข้อมูลประกอบด้วยวิดีโอ, CAN-bus, EDR และข้อมูลจาก Autopilot ECU ➡️ ตัวรถลบข้อมูลในเครื่องทันทีหลังอัปโหลด ทำให้ Tesla เป็นฝ่ายเดียวที่มีข้อมูล ✅ ผู้เชี่ยวชาญสามารถกู้ข้อมูลจาก ECU และยืนยันว่า Tesla มีข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่แรก ➡️ Alan Moore วิศวกรด้านการวิเคราะห์อุบัติเหตุ ยืนยันว่ามี “collision snapshot” อยู่จริง ➡️ Tesla กลับบอกว่า “ไม่มีข้อมูล” ในเอกสารการตอบคำขอของศาล ✅ ตำรวจขอข้อมูลจาก Tesla แต่ถูกชี้นำให้เขียนจดหมายที่หลีกเลี่ยงการขอข้อมูลสำคัญ ➡️ ทนายของ Tesla บอกว่าไม่ต้องใช้หมายศาล แค่เขียนจดหมายตามที่เขาบอก ➡️ ผลคือ Tesla ส่งแค่ข้อมูล infotainment เช่น call logs และคู่มือรถ—not ข้อมูล Autopilot ✅ ศาลตัดสินให้ Tesla มีความผิดบางส่วนในคดีการเสียชีวิตจาก Autopilot ➡️ เป็นครั้งแรกที่ Tesla ถูกตัดสินในคดีลักษณะนี้โดยคณะลูกขุน ➡️ คดีนี้อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการฟ้องร้องเกี่ยวกับระบบขับขี่อัตโนมัติ https://electrek.co/2025/08/04/tesla-withheld-data-lied-misdirected-police-plaintiffs-avoid-blame-autopilot-crash/
    ELECTREK.CO
    Tesla withheld data, lied, and misdirected police and plaintiffs to avoid blame in Autopilot crash
    Tesla was caught withholding data, lying about it, and misdirecting authorities in the wrongful death case involving Autopilot that it...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: โน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่จับคู่ CPU-GPU แบบย้อนยุค—ประหยัดหรือพลาด?

    แบรนด์จีนชื่อ Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่สร้างความงุนงงให้กับวงการ:

    รุ่นแรกชื่อ “Inter Book” ใช้ชิปกราฟิก GeForce GTX 1060 ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 จับคู่กับซีพียู Intel N95 ระดับเริ่มต้นจากตระกูล Alder Lake-N ที่มีเพียง 4 คอร์

    รุ่นที่สองชื่อ “Rescue Series” ใช้ซีพียูระดับสูง Core i9-12900H แบบ 14 คอร์ แต่กลับจับคู่กับ GPU MX550 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060 เสียอีก

    ทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่ “เกินจริง” เช่น บอกว่า N95 เป็น “Core i9-class” และหน้าจอ 1080p เป็น “4K-class” ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค

    แม้จะดูแปลก แต่ก็มีเหตุผลเบื้องหลัง—อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุนหรือช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ต้องแลกกับประสิทธิภาพที่ไม่สมดุลและประสบการณ์เล่นเกมที่ไม่น่าประทับใจ

    Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่ใช้ชิ้นส่วนเก่า
    Inter Book ใช้ GTX 1060 + Intel N95
    Rescue Series ใช้ Core i9-12900H + MX550

    GTX 1060 เป็น GPU จากปี 2016 ที่ยังพอเล่นเกมระดับกลางได้
    มี VRAM 6 GB GDDR5
    เล่นเกม 1080p ได้ในระดับกลาง

    Intel N95 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นที่มีเพียง 4 คอร์
    ใช้พลังงานต่ำเพียง 15W
    ไม่เหมาะกับงานหนักหรือเกมที่ใช้ CPU สูง

    MX550 เป็น GPU ระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060
    มี 1024 shaders และ VRAM 4 GB
    เหมาะกับงานเบา เช่น ตัดต่อภาพหรือวิดีโอเบื้องต้น

    โน้ตบุ๊กทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่เกินจริง
    เรียก N95 ว่า “Core i9-class”
    หน้าจอ 1080p ถูกเรียกว่า “4K-class”

    อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุน
    ช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์
    อาจเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้เน้นเกมหนัก

    https://wccftech.com/chinese-manufacturer-uses-gtx-1060-by-releasing-an-entry-level-laptop-with-intel-n95/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: โน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่จับคู่ CPU-GPU แบบย้อนยุค—ประหยัดหรือพลาด? แบรนด์จีนชื่อ Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่สร้างความงุนงงให้กับวงการ: ▶️ รุ่นแรกชื่อ “Inter Book” ใช้ชิปกราฟิก GeForce GTX 1060 ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 จับคู่กับซีพียู Intel N95 ระดับเริ่มต้นจากตระกูล Alder Lake-N ที่มีเพียง 4 คอร์ ▶️ รุ่นที่สองชื่อ “Rescue Series” ใช้ซีพียูระดับสูง Core i9-12900H แบบ 14 คอร์ แต่กลับจับคู่กับ GPU MX550 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060 เสียอีก ทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่ “เกินจริง” เช่น บอกว่า N95 เป็น “Core i9-class” และหน้าจอ 1080p เป็น “4K-class” ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค แม้จะดูแปลก แต่ก็มีเหตุผลเบื้องหลัง—อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุนหรือช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ต้องแลกกับประสิทธิภาพที่ไม่สมดุลและประสบการณ์เล่นเกมที่ไม่น่าประทับใจ ✅ Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่ใช้ชิ้นส่วนเก่า ➡️ Inter Book ใช้ GTX 1060 + Intel N95 ➡️ Rescue Series ใช้ Core i9-12900H + MX550 ✅ GTX 1060 เป็น GPU จากปี 2016 ที่ยังพอเล่นเกมระดับกลางได้ ➡️ มี VRAM 6 GB GDDR5 ➡️ เล่นเกม 1080p ได้ในระดับกลาง ✅ Intel N95 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นที่มีเพียง 4 คอร์ ➡️ ใช้พลังงานต่ำเพียง 15W ➡️ ไม่เหมาะกับงานหนักหรือเกมที่ใช้ CPU สูง ✅ MX550 เป็น GPU ระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060 ➡️ มี 1024 shaders และ VRAM 4 GB ➡️ เหมาะกับงานเบา เช่น ตัดต่อภาพหรือวิดีโอเบื้องต้น ✅ โน้ตบุ๊กทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่เกินจริง ➡️ เรียก N95 ว่า “Core i9-class” ➡️ หน้าจอ 1080p ถูกเรียกว่า “4K-class” ✅ อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุน ➡️ ช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ อาจเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้เน้นเกมหนัก https://wccftech.com/chinese-manufacturer-uses-gtx-1060-by-releasing-an-entry-level-laptop-with-intel-n95/
    WCCFTECH.COM
    Chinese Manufacturer Pairs GTX 1060 With Intel N95 Processor For Its Gaming Laptop; Uses Even A Weirder Combo Of Core i9 12900H+MX550 In Another Model
    Sakuramoto has been producing gaming laptops with weird CPU-GPU combos as seen recently. One of its offerings included GTX 1060 and N95.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อแคลเซียมกลายเป็นกุญแจไขจักรวาล—แรงที่ห้าอาจซ่อนอยู่ในลอนของ King Plot

    ทีมนักฟิสิกส์จาก ETH Zurich ร่วมกับสถาบันในเยอรมนีและออสเตรเลีย ได้ทำการวัดความเปลี่ยนแปลงพลังงานในอะตอมของแคลเซียม (Ca) ด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz โดยใช้เทคนิค “isotope shift spectroscopy” ซึ่งเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงพลังงานระหว่างไอโซโทปต่าง ๆ ของแคลเซียมที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากันแต่ต่างกันที่จำนวนของนิวตรอน

    พวกเขาใช้ “King plot” ซึ่งเป็นกราฟที่ควรจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงหากทุกอย่างเป็นไปตามทฤษฎีฟิสิกส์มาตรฐาน (Standard Model) แต่ผลลัพธ์กลับแสดงความโค้งอย่างชัดเจน—nonlinearity ที่มีนัยสำคัญถึงระดับ 10³ σ ซึ่งเกินกว่าความผิดพลาดจากการสุ่ม

    แม้จะยังไม่สามารถยืนยันการมีอยู่ของแรงใหม่ได้ แต่ผลการทดลองนี้ได้ช่วยจำกัดขอบเขตของ “Yukawa interaction” ซึ่งเป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่ที่มีมวลระหว่าง 10 ถึง 10⁷ eV/c² และอาจเป็นตัวกลางของแรงที่ห้า

    นักวิจัยวัดการเปลี่ยนแปลงพลังงานในไอโซโทปของแคลเซียมด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz
    ใช้เทคนิค ion trapping และ quantum logic spectroscopy
    วัดการเปลี่ยนแปลงในสอง transition: ³P₀ → ³P₁ และ ²S₁/₂ → ²D₅/₂

    ใช้ King plot เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ isotope shifts
    หากทุกอย่างเป็นไปตาม Standard Model จุดจะเรียงเป็นเส้นตรง
    แต่พบความโค้ง (nonlinearity) ที่มีนัยสำคัญสูง

    ผลการทดลองช่วยจำกัดขอบเขตของ Yukawa interaction
    เป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่
    มวลของโบซอนอยู่ในช่วง 10 ถึง 10⁷ eV/c²

    การวัดร่วมกันของไอโซโทปใน ion trap ช่วยลด noise และเพิ่มความแม่นยำ
    วัดความต่างของความถี่ได้ถึงระดับ 100 millihertz
    ใช้การวัดแบบ differential เพื่อขจัดความผิดพลาดร่วม

    ผลการทดลองอาจอธิบาย nuclear polarization ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่เข้าใจดีนัก
    เป็นการบิดเบือนของนิวเคลียสจากอิเล็กตรอนรอบข้าง
    อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ King plot โค้ง

    King plot เป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาฟิสิกส์นอกเหนือจาก Standard Model
    ใช้เปรียบเทียบ isotope shifts จากหลาย transition
    ช่วยแยกสัญญาณที่อาจเกิดจากแรงใหม่

    Yukawa interaction เคยถูกเสนอในทฤษฎีแรงนิวเคลียร์ตั้งแต่ยุคแรกของฟิสิกส์ควอนตัม
    เป็นแรงที่มีระยะสั้นและเกิดจากโบซอน
    อาจเป็นกุญแจสู่การเข้าใจ dark matter และแรงที่ห้า

    การทดลองในแคลเซียมมีข้อได้เปรียบเพราะมีไอโซโทปเสถียรหลายชนิด
    Ca⁴⁰, Ca⁴², Ca⁴⁴, Ca⁴⁶, Ca⁴⁸
    ทำให้สามารถวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย

    https://www.neowin.net/news/fifth-force-of-nature-could-explain-universes-most-mysteriously-abundant-thing/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อแคลเซียมกลายเป็นกุญแจไขจักรวาล—แรงที่ห้าอาจซ่อนอยู่ในลอนของ King Plot ทีมนักฟิสิกส์จาก ETH Zurich ร่วมกับสถาบันในเยอรมนีและออสเตรเลีย ได้ทำการวัดความเปลี่ยนแปลงพลังงานในอะตอมของแคลเซียม (Ca) ด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz โดยใช้เทคนิค “isotope shift spectroscopy” ซึ่งเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงพลังงานระหว่างไอโซโทปต่าง ๆ ของแคลเซียมที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากันแต่ต่างกันที่จำนวนของนิวตรอน พวกเขาใช้ “King plot” ซึ่งเป็นกราฟที่ควรจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงหากทุกอย่างเป็นไปตามทฤษฎีฟิสิกส์มาตรฐาน (Standard Model) แต่ผลลัพธ์กลับแสดงความโค้งอย่างชัดเจน—nonlinearity ที่มีนัยสำคัญถึงระดับ 10³ σ ซึ่งเกินกว่าความผิดพลาดจากการสุ่ม แม้จะยังไม่สามารถยืนยันการมีอยู่ของแรงใหม่ได้ แต่ผลการทดลองนี้ได้ช่วยจำกัดขอบเขตของ “Yukawa interaction” ซึ่งเป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่ที่มีมวลระหว่าง 10 ถึง 10⁷ eV/c² และอาจเป็นตัวกลางของแรงที่ห้า ✅ นักวิจัยวัดการเปลี่ยนแปลงพลังงานในไอโซโทปของแคลเซียมด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz ➡️ ใช้เทคนิค ion trapping และ quantum logic spectroscopy ➡️ วัดการเปลี่ยนแปลงในสอง transition: ³P₀ → ³P₁ และ ²S₁/₂ → ²D₅/₂ ✅ ใช้ King plot เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ isotope shifts ➡️ หากทุกอย่างเป็นไปตาม Standard Model จุดจะเรียงเป็นเส้นตรง ➡️ แต่พบความโค้ง (nonlinearity) ที่มีนัยสำคัญสูง ✅ ผลการทดลองช่วยจำกัดขอบเขตของ Yukawa interaction ➡️ เป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่ ➡️ มวลของโบซอนอยู่ในช่วง 10 ถึง 10⁷ eV/c² ✅ การวัดร่วมกันของไอโซโทปใน ion trap ช่วยลด noise และเพิ่มความแม่นยำ ➡️ วัดความต่างของความถี่ได้ถึงระดับ 100 millihertz ➡️ ใช้การวัดแบบ differential เพื่อขจัดความผิดพลาดร่วม ✅ ผลการทดลองอาจอธิบาย nuclear polarization ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่เข้าใจดีนัก ➡️ เป็นการบิดเบือนของนิวเคลียสจากอิเล็กตรอนรอบข้าง ➡️ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ King plot โค้ง ✅ King plot เป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาฟิสิกส์นอกเหนือจาก Standard Model ➡️ ใช้เปรียบเทียบ isotope shifts จากหลาย transition ➡️ ช่วยแยกสัญญาณที่อาจเกิดจากแรงใหม่ ✅ Yukawa interaction เคยถูกเสนอในทฤษฎีแรงนิวเคลียร์ตั้งแต่ยุคแรกของฟิสิกส์ควอนตัม ➡️ เป็นแรงที่มีระยะสั้นและเกิดจากโบซอน ➡️ อาจเป็นกุญแจสู่การเข้าใจ dark matter และแรงที่ห้า ✅ การทดลองในแคลเซียมมีข้อได้เปรียบเพราะมีไอโซโทปเสถียรหลายชนิด ➡️ Ca⁴⁰, Ca⁴², Ca⁴⁴, Ca⁴⁶, Ca⁴⁸ ➡️ ทำให้สามารถวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย https://www.neowin.net/news/fifth-force-of-nature-could-explain-universes-most-mysteriously-abundant-thing/
    WWW.NEOWIN.NET
    Fifth force of nature could explain Universe's most mysteriously abundant thing
    Ultra-precise tests reveal subtle anomalies, leading to speculation about a hidden fifth force that could explain what we don't understand about the most abundant substance in the Universe.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝรั่งคนนี้ไม่ทน รำคาญ “ขะแมร์” แหลได้ทุกวัน! [4/8/68]
    This foreigner’s had enough — annoyed by the daily Khmer lies!

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ข่าวด่วนชายแดน
    #เสียงจากสมรภูมิ
    #Thaitimes #News1 #Shorts
    #StopKhmerPropaganda
    #FakeNarrativeExposed
    ฝรั่งคนนี้ไม่ทน รำคาญ “ขะแมร์” แหลได้ทุกวัน! [4/8/68] This foreigner’s had enough — annoyed by the daily Khmer lies! #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #ข่าวด่วนชายแดน #เสียงจากสมรภูมิ #Thaitimes #News1 #Shorts #StopKhmerPropaganda #FakeNarrativeExposed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า

    ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency

    นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก

    ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS
    ใช้ import/export แทน require/module.exports
    รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น

    ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages
    เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises'
    ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency

    รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function
    ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น
    เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์

    Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch
    รองรับการเรียก HTTP แบบ native
    มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว

    แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream
    เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs
    ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก

    Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive
    ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state
    ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ

    Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js
    ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น
    มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า

    Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025
    รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers
    เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น

    JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native
    คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง
    อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง

    https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก ✅ ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS ➡️ ใช้ import/export แทน require/module.exports ➡️ รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น ✅ ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages ➡️ เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises' ➡️ ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency ✅ รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function ➡️ ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น ➡️ เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์ ✅ Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch ➡️ รองรับการเรียก HTTP แบบ native ➡️ มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว ✅ แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream ➡️ เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs ➡️ ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก ✅ Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive ➡️ ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state ➡️ ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ ✅ Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js ➡️ ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น ➡️ มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า ✅ Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025 ➡️ รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers ➡️ เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น ✅ JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native ➡️ คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง ➡️ อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพจดังเปิดหลักฐานเขมร+พระ ใช้วัดเป็นโล่! (3/8/68)
    Top page exposes evidence: Cambodians and monks using temples as shields against Thai retaliation

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ใช้วัดเป็นโล่
    #อย่าเอาศาสนามาอ้าง
    #News1 #Shorts
    เพจดังเปิดหลักฐานเขมร+พระ ใช้วัดเป็นโล่! (3/8/68) Top page exposes evidence: Cambodians and monks using temples as shields against Thai retaliation #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #ใช้วัดเป็นโล่ #อย่าเอาศาสนามาอ้าง #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: SK hynix แซง Samsung ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลก—ชัยชนะจาก HBM ที่ขับเคลื่อน AI

    ในไตรมาส 2 ปี 2025 SK hynix สร้างประวัติศาสตร์ด้วยรายได้จากธุรกิจหน่วยความจำสูงถึง $9.66 พันล้าน แซงหน้า Samsung ที่ทำได้ $8.94 พันล้าน และครองส่วนแบ่งตลาด 36.2% เทียบกับ 33.5% ของคู่แข่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ SK hynix ขึ้นนำตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1983

    เบื้องหลังความสำเร็จคือการรุกเข้าสู่ตลาด High-Bandwidth Memory (HBM) อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ HBM3 และ HBM3E ที่กลายเป็นหัวใจของการประมวลผล AI บน GPU ของ Nvidia เช่น B300 และ L40S

    ในขณะที่ Samsung ยังครองตลาด NAND และ DRAM แบบดั้งเดิม แต่กลับล่าช้าในการส่งมอบ HBM3E ให้ลูกค้า ทำให้เสียโอกาสในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในยุค AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/sk-hynix-dethrones-samsung-to-become-worlds-top-selling-memory-maker-for-the-first-time-success-mostly-attributed-to-its-hbm3-dominance-for-nvidias-ai-gpus
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: SK hynix แซง Samsung ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลก—ชัยชนะจาก HBM ที่ขับเคลื่อน AI ในไตรมาส 2 ปี 2025 SK hynix สร้างประวัติศาสตร์ด้วยรายได้จากธุรกิจหน่วยความจำสูงถึง $9.66 พันล้าน แซงหน้า Samsung ที่ทำได้ $8.94 พันล้าน และครองส่วนแบ่งตลาด 36.2% เทียบกับ 33.5% ของคู่แข่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ SK hynix ขึ้นนำตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1983 เบื้องหลังความสำเร็จคือการรุกเข้าสู่ตลาด High-Bandwidth Memory (HBM) อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ HBM3 และ HBM3E ที่กลายเป็นหัวใจของการประมวลผล AI บน GPU ของ Nvidia เช่น B300 และ L40S ในขณะที่ Samsung ยังครองตลาด NAND และ DRAM แบบดั้งเดิม แต่กลับล่าช้าในการส่งมอบ HBM3E ให้ลูกค้า ทำให้เสียโอกาสในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในยุค AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/sk-hynix-dethrones-samsung-to-become-worlds-top-selling-memory-maker-for-the-first-time-success-mostly-attributed-to-its-hbm3-dominance-for-nvidias-ai-gpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Linus Torvalds กับ “เครื่องมือที่พอเพียง” เพื่อสร้างสิ่งยิ่งใหญ่

    แม้โลกจะหมุนไปด้วย AI และฮาร์ดแวร์สุดล้ำ แต่ Linus Torvalds ยังคงใช้ AMD Radeon RX 580 ซึ่งเป็นการ์ดจอรุ่นเก่ากว่า 8 ปีเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนา Linux kernel โดยจับคู่กับซีพียู AMD Threadripper เพื่อเร่งการคอมไพล์เคอร์เนลให้เร็วขึ้น

    เขาเผยข้อมูลนี้ผ่านการรายงานบั๊กเกี่ยวกับฟีเจอร์ Display Stream Compression (DSC) บน Linux 6.17 ซึ่งทำให้จอ ASUS ProArt 5K ของเขาขึ้นจอดำ Torvalds ลงมือแก้ไขเองโดยย้อนแพตช์ที่เป็นต้นเหตุ เพื่อให้การพัฒนาเคอร์เนลดำเนินต่อไปได้

    นอกจากนี้ เขายังเปลี่ยนจาก Apple M1 MacBook ที่เคยใช้สำหรับทดสอบ ARM64 มาเป็นแล็ปท็อป Intel ที่ใช้กราฟิก i915 แบบเปิดแทน โดยให้เหตุผลว่าไม่ชอบระบบที่ล็อกฮาร์ดแวร์และขัดขวางการพัฒนาเคอร์เนล

    Linus Torvalds ยังคงใช้ AMD RX 580 เป็นการ์ดจอหลักในปี 2025
    ใช้คู่กับจอ ASUS ProArt 5K ผ่านฟีเจอร์ DSC
    แม้จะเก่า แต่ยังรองรับงานพัฒนาเคอร์เนลได้ดี

    เขาใช้ AMD Threadripper เป็นซีพียูหลักเพื่อคอมไพล์เคอร์เนลอย่างรวดเร็ว
    เปลี่ยนจาก Intel มาใช้ Threadripper หลายปีก่อน
    แม้จะมีรุ่นใหม่ออกมา แต่เขายังใช้ระบบเดิมเพราะ “ดีพอแล้ว”

    Torvalds รายงานบั๊กเกี่ยวกับ DSC บน Linux 6.17 และแก้ไขด้วยตัวเอง
    ปัญหาทำให้จอขึ้นจอดำเมื่อบูตเคอร์เนลใหม่
    เขาย้อนแพตช์เพื่อให้การพัฒนาไม่สะดุด

    เขาเปลี่ยนจาก Apple M1 MacBook มาใช้แล็ปท็อป Intel ที่ใช้กราฟิก i915
    ไม่ระบุรุ่น แต่ยืนยันว่าเป็น Intel แบบเปิด
    เหตุผลคือไม่ชอบระบบที่ล็อกฮาร์ดแวร์และขัดขวางการพัฒนา

    Torvalds เคยใช้ Ampere Altra สำหรับทดสอบ ARM64 Linux kernel
    เป็นระบบที่มีคอร์จำนวนมาก เหมาะกับการคอมไพล์แบบขนาน
    ใช้ควบคู่กับระบบหลักเพื่อทดสอบหลายสถาปัตยกรรม

    AMD RX 580 ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหรือ AI สมัยใหม่
    ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับ GPU รุ่นใหม่
    ไม่รองรับฟีเจอร์อย่าง ray tracing หรือ DLSS

    การใช้ฮาร์ดแวร์เก่าอาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการรองรับฟีเจอร์ใหม่
    อาจไม่สามารถใช้งานกับซอฟต์แวร์หรือเกมรุ่นใหม่ได้
    ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากไดรเวอร์โอเพ่นซอร์สเท่านั้น

    การเปลี่ยนจาก Apple Silicon มาใช้ Intel อาจลดประสิทธิภาพในบางด้าน
    Apple M1/M2 มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
    แต่ไม่เหมาะกับการพัฒนาเคอร์เนลที่ต้องการระบบเปิด

    การพัฒนาเคอร์เนลบนระบบที่ไม่เสถียรอาจทำให้เกิดบั๊กหรือปัญหาไม่คาดคิด
    เช่นกรณี DSC ที่ทำให้จอขึ้นจอดำ
    ต้องมีความเข้าใจลึกในการแก้ไขปัญหาเอง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/linus-torvalds-still-uses-an-amd-rx-580-from-2017-also-ditches-apple-silicon-for-an-intel-laptop
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Linus Torvalds กับ “เครื่องมือที่พอเพียง” เพื่อสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ แม้โลกจะหมุนไปด้วย AI และฮาร์ดแวร์สุดล้ำ แต่ Linus Torvalds ยังคงใช้ AMD Radeon RX 580 ซึ่งเป็นการ์ดจอรุ่นเก่ากว่า 8 ปีเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนา Linux kernel โดยจับคู่กับซีพียู AMD Threadripper เพื่อเร่งการคอมไพล์เคอร์เนลให้เร็วขึ้น เขาเผยข้อมูลนี้ผ่านการรายงานบั๊กเกี่ยวกับฟีเจอร์ Display Stream Compression (DSC) บน Linux 6.17 ซึ่งทำให้จอ ASUS ProArt 5K ของเขาขึ้นจอดำ Torvalds ลงมือแก้ไขเองโดยย้อนแพตช์ที่เป็นต้นเหตุ เพื่อให้การพัฒนาเคอร์เนลดำเนินต่อไปได้ นอกจากนี้ เขายังเปลี่ยนจาก Apple M1 MacBook ที่เคยใช้สำหรับทดสอบ ARM64 มาเป็นแล็ปท็อป Intel ที่ใช้กราฟิก i915 แบบเปิดแทน โดยให้เหตุผลว่าไม่ชอบระบบที่ล็อกฮาร์ดแวร์และขัดขวางการพัฒนาเคอร์เนล ✅ Linus Torvalds ยังคงใช้ AMD RX 580 เป็นการ์ดจอหลักในปี 2025 ➡️ ใช้คู่กับจอ ASUS ProArt 5K ผ่านฟีเจอร์ DSC ➡️ แม้จะเก่า แต่ยังรองรับงานพัฒนาเคอร์เนลได้ดี ✅ เขาใช้ AMD Threadripper เป็นซีพียูหลักเพื่อคอมไพล์เคอร์เนลอย่างรวดเร็ว ➡️ เปลี่ยนจาก Intel มาใช้ Threadripper หลายปีก่อน ➡️ แม้จะมีรุ่นใหม่ออกมา แต่เขายังใช้ระบบเดิมเพราะ “ดีพอแล้ว” ✅ Torvalds รายงานบั๊กเกี่ยวกับ DSC บน Linux 6.17 และแก้ไขด้วยตัวเอง ➡️ ปัญหาทำให้จอขึ้นจอดำเมื่อบูตเคอร์เนลใหม่ ➡️ เขาย้อนแพตช์เพื่อให้การพัฒนาไม่สะดุด ✅ เขาเปลี่ยนจาก Apple M1 MacBook มาใช้แล็ปท็อป Intel ที่ใช้กราฟิก i915 ➡️ ไม่ระบุรุ่น แต่ยืนยันว่าเป็น Intel แบบเปิด ➡️ เหตุผลคือไม่ชอบระบบที่ล็อกฮาร์ดแวร์และขัดขวางการพัฒนา ✅ Torvalds เคยใช้ Ampere Altra สำหรับทดสอบ ARM64 Linux kernel ➡️ เป็นระบบที่มีคอร์จำนวนมาก เหมาะกับการคอมไพล์แบบขนาน ➡️ ใช้ควบคู่กับระบบหลักเพื่อทดสอบหลายสถาปัตยกรรม ‼️ AMD RX 580 ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหรือ AI สมัยใหม่ ⛔ ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับ GPU รุ่นใหม่ ⛔ ไม่รองรับฟีเจอร์อย่าง ray tracing หรือ DLSS ‼️ การใช้ฮาร์ดแวร์เก่าอาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการรองรับฟีเจอร์ใหม่ ⛔ อาจไม่สามารถใช้งานกับซอฟต์แวร์หรือเกมรุ่นใหม่ได้ ⛔ ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากไดรเวอร์โอเพ่นซอร์สเท่านั้น ‼️ การเปลี่ยนจาก Apple Silicon มาใช้ Intel อาจลดประสิทธิภาพในบางด้าน ⛔ Apple M1/M2 มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน ⛔ แต่ไม่เหมาะกับการพัฒนาเคอร์เนลที่ต้องการระบบเปิด ‼️ การพัฒนาเคอร์เนลบนระบบที่ไม่เสถียรอาจทำให้เกิดบั๊กหรือปัญหาไม่คาดคิด ⛔ เช่นกรณี DSC ที่ทำให้จอขึ้นจอดำ ⛔ ต้องมีความเข้าใจลึกในการแก้ไขปัญหาเอง https://www.tomshardware.com/tech-industry/linus-torvalds-still-uses-an-amd-rx-580-from-2017-also-ditches-apple-silicon-for-an-intel-laptop
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: AMD เตรียมเปิดตัวชิป NPU แบบแยก เพื่อท้าชน GPU ในยุค AI PC

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลบนพีซี ผู้ผลิตชิปต่างเร่งพัฒนา NPU (Neural Processing Unit) เพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่ง AMD ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ล่าสุดมีการเปิดเผยว่า AMD กำลังพิจารณาเปิดตัว “Discrete NPU” หรือชิป NPU แบบแยกชิ้น ไม่ฝังอยู่ใน CPU หรือ GPU เหมือนที่ผ่านมา

    Rahul Tikoo หัวหน้าฝ่าย CPU ของ AMD ระบุว่า บริษัทกำลังพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานและโอกาสของชิป NPU แบบแยก ซึ่งจะช่วยให้พีซีสามารถประมวลผล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง GPU ที่กินไฟและสร้างความร้อนสูง

    แนวคิดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Dell เปิดตัวแล็ปท็อป Pro Max Plus ที่ใช้การ์ด Qualcomm AI 100 ซึ่งเป็น NPU แบบแยกตัวแรกในระดับองค์กร และมีประสิทธิภาพสูงถึง 450 TOPS ในพลังงานเพียง 75 วัตต์

    AMD เองก็มีพื้นฐานจากเทคโนโลยี Xilinx ที่ใช้สร้าง NPU ฝังใน Ryzen รุ่นใหม่ และมีโครงการ Gaia ที่ช่วยให้สามารถรันโมเดล LLM ขนาดใหญ่บนเครื่องพีซีได้โดยตรง

    AMD เตรียมเปิดตัวชิป NPU แบบแยกสำหรับพีซีในอนาคต
    ไม่ใช่ GPU แต่เป็นตัวเร่ง AI โดยเฉพาะ
    อยู่ระหว่างการพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานและโอกาส

    ชิป NPU แบบแยกจะช่วยลดภาระของ CPU และ GPU ในการประมวลผล AI
    เหมาะสำหรับงาน inference และการรันโมเดล LLM บนเครื่อง
    ช่วยให้พีซีบางเบายังคงมีประสิทธิภาพสูงด้าน AI

    AMD มีพื้นฐานจากเทคโนโลยี Xilinx และโครงการ Gaia สำหรับการรันโมเดล AI บน Ryzen
    ใช้ NPU tile ที่สามารถสร้างได้ถึง 50 TOPS ต่อชิ้น
    สามารถรวมหลาย tile เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้

    Dell เปิดตัวแล็ปท็อปที่ใช้การ์ด Qualcomm AI 100 ซึ่งเป็น NPU แบบแยกตัวแรกในระดับองค์กร
    มี 16 AI cores และหน่วยความจำ 32GB ต่อการ์ด
    ประสิทธิภาพสูงถึง 450 TOPS ในพลังงานเพียง 75 วัตต์

    Discrete NPU จะช่วยลดความต้องการ GPU ระดับสูงในตลาด
    ทำให้ราคาการ์ดจอสำหรับเกมเมอร์ลดลง
    เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้งาน AI โดยเฉพาะ

    AMD XDNA 2 NPU มีประสิทธิภาพสูงถึง 50 TOPS และออกแบบให้ประหยัดพลังงาน
    ใช้ engine tile แบบแยกที่สามารถประมวลผลได้อย่างอิสระ
    รองรับการปรับแต่งโครงสร้างการประมวลผล AI ได้ตามต้องการ

    Intel Lunar Lake NPU 4 มีประสิทธิภาพสูงถึง 48 TOPS และออกแบบให้มีพลังงานต่ำ
    ใช้สถาปัตยกรรมแบบ parallel inference pipeline
    มี SHAVE DSP ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล

    Qualcomm Snapdragon X Elite มี NPU 45 TOPS และมีประสิทธิภาพสูงในพลังงานต่ำ
    เหมาะกับโน้ตบุ๊กบางเบาและใช้งาน AI แบบต่อเนื่อง
    เป็นผู้นำในด้านประสิทธิภาพต่อวัตต์

    Discrete NPU อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมใหม่ในพีซี เหมือนกับการ์ดจอในอดีต
    ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกอัปเกรดเฉพาะด้าน AI ได้
    อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในยุค AI PC

    Discrete NPU อาจกลายเป็นส่วนประกอบที่กินไฟและสร้างความร้อน หากออกแบบไม่ดี
    หากไม่ประหยัดพลังงาน จะไม่ต่างจาก GPU ที่มีปัญหาเรื่องความร้อน
    อาจไม่เหมาะกับพีซีบางเบาหรือโน้ตบุ๊ก

    ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะเปิดตัวเมื่อใด และจะมีประสิทธิภาพเท่าใด
    อยู่ภายใต้ NDA และยังไม่มีแผนเปิดเผย
    อาจใช้เวลานานกว่าจะเข้าสู่ตลาดจริง

    การพัฒนา NPU แบบแยกต้องมี ecosystem ซอฟต์แวร์ที่รองรับอย่างเต็มรูปแบบ
    หากไม่มีเครื่องมือพัฒนาและไลบรารีที่พร้อมใช้งาน จะไม่สามารถแข่งขันได้
    ต้องมีการร่วมมือกับนักพัฒนาและผู้ผลิตซอฟต์แวร์อย่างใกล้ชิด

    ผู้ใช้งานทั่วไปอาจยังไม่เห็นความจำเป็นของ NPU แบบแยกในชีวิตประจำวัน
    ฟีเจอร์ AI บน Windows ยังจำกัดและไม่ใช่จุดขายหลัก
    อาจเหมาะกับผู้ใช้ระดับมืออาชีพมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป

    https://www.techspot.com/news/108894-amd-signals-push-discrete-npus-rival-gpus-ai.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: AMD เตรียมเปิดตัวชิป NPU แบบแยก เพื่อท้าชน GPU ในยุค AI PC ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลบนพีซี ผู้ผลิตชิปต่างเร่งพัฒนา NPU (Neural Processing Unit) เพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่ง AMD ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ล่าสุดมีการเปิดเผยว่า AMD กำลังพิจารณาเปิดตัว “Discrete NPU” หรือชิป NPU แบบแยกชิ้น ไม่ฝังอยู่ใน CPU หรือ GPU เหมือนที่ผ่านมา Rahul Tikoo หัวหน้าฝ่าย CPU ของ AMD ระบุว่า บริษัทกำลังพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานและโอกาสของชิป NPU แบบแยก ซึ่งจะช่วยให้พีซีสามารถประมวลผล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง GPU ที่กินไฟและสร้างความร้อนสูง แนวคิดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Dell เปิดตัวแล็ปท็อป Pro Max Plus ที่ใช้การ์ด Qualcomm AI 100 ซึ่งเป็น NPU แบบแยกตัวแรกในระดับองค์กร และมีประสิทธิภาพสูงถึง 450 TOPS ในพลังงานเพียง 75 วัตต์ AMD เองก็มีพื้นฐานจากเทคโนโลยี Xilinx ที่ใช้สร้าง NPU ฝังใน Ryzen รุ่นใหม่ และมีโครงการ Gaia ที่ช่วยให้สามารถรันโมเดล LLM ขนาดใหญ่บนเครื่องพีซีได้โดยตรง ✅ AMD เตรียมเปิดตัวชิป NPU แบบแยกสำหรับพีซีในอนาคต ➡️ ไม่ใช่ GPU แต่เป็นตัวเร่ง AI โดยเฉพาะ ➡️ อยู่ระหว่างการพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานและโอกาส ✅ ชิป NPU แบบแยกจะช่วยลดภาระของ CPU และ GPU ในการประมวลผล AI ➡️ เหมาะสำหรับงาน inference และการรันโมเดล LLM บนเครื่อง ➡️ ช่วยให้พีซีบางเบายังคงมีประสิทธิภาพสูงด้าน AI ✅ AMD มีพื้นฐานจากเทคโนโลยี Xilinx และโครงการ Gaia สำหรับการรันโมเดล AI บน Ryzen ➡️ ใช้ NPU tile ที่สามารถสร้างได้ถึง 50 TOPS ต่อชิ้น ➡️ สามารถรวมหลาย tile เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้ ✅ Dell เปิดตัวแล็ปท็อปที่ใช้การ์ด Qualcomm AI 100 ซึ่งเป็น NPU แบบแยกตัวแรกในระดับองค์กร ➡️ มี 16 AI cores และหน่วยความจำ 32GB ต่อการ์ด ➡️ ประสิทธิภาพสูงถึง 450 TOPS ในพลังงานเพียง 75 วัตต์ ✅ Discrete NPU จะช่วยลดความต้องการ GPU ระดับสูงในตลาด ➡️ ทำให้ราคาการ์ดจอสำหรับเกมเมอร์ลดลง ➡️ เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้งาน AI โดยเฉพาะ ✅ AMD XDNA 2 NPU มีประสิทธิภาพสูงถึง 50 TOPS และออกแบบให้ประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้ engine tile แบบแยกที่สามารถประมวลผลได้อย่างอิสระ ➡️ รองรับการปรับแต่งโครงสร้างการประมวลผล AI ได้ตามต้องการ ✅ Intel Lunar Lake NPU 4 มีประสิทธิภาพสูงถึง 48 TOPS และออกแบบให้มีพลังงานต่ำ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมแบบ parallel inference pipeline ➡️ มี SHAVE DSP ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล ✅ Qualcomm Snapdragon X Elite มี NPU 45 TOPS และมีประสิทธิภาพสูงในพลังงานต่ำ ➡️ เหมาะกับโน้ตบุ๊กบางเบาและใช้งาน AI แบบต่อเนื่อง ➡️ เป็นผู้นำในด้านประสิทธิภาพต่อวัตต์ ✅ Discrete NPU อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมใหม่ในพีซี เหมือนกับการ์ดจอในอดีต ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกอัปเกรดเฉพาะด้าน AI ได้ ➡️ อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในยุค AI PC ‼️ Discrete NPU อาจกลายเป็นส่วนประกอบที่กินไฟและสร้างความร้อน หากออกแบบไม่ดี ⛔ หากไม่ประหยัดพลังงาน จะไม่ต่างจาก GPU ที่มีปัญหาเรื่องความร้อน ⛔ อาจไม่เหมาะกับพีซีบางเบาหรือโน้ตบุ๊ก ‼️ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะเปิดตัวเมื่อใด และจะมีประสิทธิภาพเท่าใด ⛔ อยู่ภายใต้ NDA และยังไม่มีแผนเปิดเผย ⛔ อาจใช้เวลานานกว่าจะเข้าสู่ตลาดจริง ‼️ การพัฒนา NPU แบบแยกต้องมี ecosystem ซอฟต์แวร์ที่รองรับอย่างเต็มรูปแบบ ⛔ หากไม่มีเครื่องมือพัฒนาและไลบรารีที่พร้อมใช้งาน จะไม่สามารถแข่งขันได้ ⛔ ต้องมีการร่วมมือกับนักพัฒนาและผู้ผลิตซอฟต์แวร์อย่างใกล้ชิด ‼️ ผู้ใช้งานทั่วไปอาจยังไม่เห็นความจำเป็นของ NPU แบบแยกในชีวิตประจำวัน ⛔ ฟีเจอร์ AI บน Windows ยังจำกัดและไม่ใช่จุดขายหลัก ⛔ อาจเหมาะกับผู้ใช้ระดับมืออาชีพมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป https://www.techspot.com/news/108894-amd-signals-push-discrete-npus-rival-gpus-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD signals push for discrete NPUs to rival GPUs in AI-powered PCs
    AMD is exploring whether PCs could benefit from a new kind of accelerator: a discrete neural processing unit. The company has long relied on GPUs for demanding...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “ดูว่าใครแชร์อะไร กับใคร เมื่อไหร่”—Microsoft Teams เปิดให้ตรวจสอบการแชร์หน้าจอแล้ว

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft Teams ที่ให้ผู้ดูแลระบบ (Teams admins) เข้าถึงข้อมูล telemetry และ audit logs สำหรับการแชร์หน้าจอ (screen sharing) และการควบคุมหน้าจอ (Take/Give/Request control) ได้โดยตรงผ่าน Microsoft Purview

    ข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ ได้แก่:
    - ใครเริ่มแชร์หน้าจอ และเมื่อไหร่
    - แชร์ให้ใครดู
    - ใครขอควบคุมหน้าจอ และใครอนุญาต
    - เวลาเริ่มและหยุดการแชร์
    - การยอมรับคำขอควบคุมหน้าจอ

    ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัย เช่น การแชร์ข้อมูลลับกับบุคคลภายนอก หรือการเข้าควบคุมหน้าจอโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การใช้งานทำได้ผ่าน Microsoft Purview โดยเลือกเมนู Audit → New Search แล้วกรอกคำค้น เช่น “screenShared” หรือ “MeetingParticipantDetail” เพื่อดูข้อมูลย้อนหลัง และสามารถ export เป็นไฟล์ CSV ได้

    Microsoft เปิดให้ Teams admins เข้าถึง audit logs สำหรับการแชร์หน้าจอผ่าน Microsoft Purview
    ตรวจสอบได้ว่าใครแชร์หน้าจอ, แชร์ให้ใคร, และเมื่อไหร่
    รองรับการตรวจสอบคำสั่ง Take, Give, Request control

    ข้อมูล telemetry ช่วยให้ตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัยได้แบบละเอียด
    เช่น การแชร์ข้อมูลลับกับบุคคลภายนอก
    หรือการควบคุมหน้าจอโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การใช้งานทำผ่าน Microsoft Purview โดยเลือก Audit → New Search
    ใช้คำค้น “screenShared” หรือ “MeetingParticipantDetail”
    สามารถ export ข้อมูลเป็น CSV ได้

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานแล้วสำหรับผู้ดูแลระบบทุกคน
    ไม่จำกัดเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่
    ใช้ได้ทั้งใน Teams เวอร์ชัน desktop, web และ mobile

    Microsoft Purview เป็นแพลตฟอร์มรวมสำหรับการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล
    รองรับการตรวจสอบ, ป้องกันการรั่วไหล, และการเข้ารหัสข้อมูล
    ใช้ร่วมกับ Microsoft 365, Edge, Windows/macOS และเครือข่าย HTTPS

    ฟีเจอร์ “Detect sensitive content during screen sharing” ช่วยแจ้งเตือนเมื่อมีข้อมูลลับปรากฏบนหน้าจอ
    เช่น หมายเลขบัตรเครดิต, เลขประจำตัวประชาชน, หรือข้อมูลภาษี
    ผู้ใช้จะได้รับแจ้งเตือนและสามารถหยุดการแชร์ได้ทันที

    Microsoft Purview รองรับการป้องกันข้อมูลด้วย sensitivity labels และ Double Key Encryption
    ช่วยให้ข้อมูลถูกเข้ารหัสและควบคุมการเข้าถึงได้ตามระดับความลับ
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและกฎหมาย

    การเปิดเผยข้อมูล telemetry อาจถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ได้ หากไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเหมาะสม
    ผู้ดูแลระบบที่ไม่มีจรรยาบรรณอาจใช้ข้อมูลเพื่อสอดแนมหรือกดดันพนักงาน
    ควรมีการกำหนดสิทธิ์และนโยบายการเข้าถึงอย่างชัดเจน

    การแชร์หน้าจอโดยไม่ระวังอาจทำให้ข้อมูลลับรั่วไหลได้ง่าย
    เช่น การเปิดเอกสารภายในหรือข้อมูลลูกค้าระหว่างประชุมกับบุคคลภายนอก
    ควรมีการแจ้งเตือนหรือระบบตรวจจับเนื้อหาลับระหว่างการแชร์

    การใช้ฟีเจอร์นี้ต้องเปิด auditing ใน Microsoft Purview ก่อน
    หากไม่ได้เปิด auditing จะไม่สามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้
    ข้อมูลจะถูกเก็บตั้งแต่วันที่เปิด auditing เท่านั้น

    การตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังมีข้อจำกัดตามระดับ license ของ Microsoft 365
    ระยะเวลาการเก็บข้อมูล audit log ขึ้นอยู่กับประเภท license
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังได้ครบถ้วน

    https://www.neowin.net/news/teams-admins-will-now-be-able-to-see-telemetry-for-screen-sharing/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “ดูว่าใครแชร์อะไร กับใคร เมื่อไหร่”—Microsoft Teams เปิดให้ตรวจสอบการแชร์หน้าจอแล้ว ในเดือนกรกฎาคม 2025 Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft Teams ที่ให้ผู้ดูแลระบบ (Teams admins) เข้าถึงข้อมูล telemetry และ audit logs สำหรับการแชร์หน้าจอ (screen sharing) และการควบคุมหน้าจอ (Take/Give/Request control) ได้โดยตรงผ่าน Microsoft Purview ข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ ได้แก่: - ใครเริ่มแชร์หน้าจอ และเมื่อไหร่ - แชร์ให้ใครดู - ใครขอควบคุมหน้าจอ และใครอนุญาต - เวลาเริ่มและหยุดการแชร์ - การยอมรับคำขอควบคุมหน้าจอ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัย เช่น การแชร์ข้อมูลลับกับบุคคลภายนอก หรือการเข้าควบคุมหน้าจอโดยไม่ได้รับอนุญาต การใช้งานทำได้ผ่าน Microsoft Purview โดยเลือกเมนู Audit → New Search แล้วกรอกคำค้น เช่น “screenShared” หรือ “MeetingParticipantDetail” เพื่อดูข้อมูลย้อนหลัง และสามารถ export เป็นไฟล์ CSV ได้ ✅ Microsoft เปิดให้ Teams admins เข้าถึง audit logs สำหรับการแชร์หน้าจอผ่าน Microsoft Purview ➡️ ตรวจสอบได้ว่าใครแชร์หน้าจอ, แชร์ให้ใคร, และเมื่อไหร่ ➡️ รองรับการตรวจสอบคำสั่ง Take, Give, Request control ✅ ข้อมูล telemetry ช่วยให้ตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัยได้แบบละเอียด ➡️ เช่น การแชร์ข้อมูลลับกับบุคคลภายนอก ➡️ หรือการควบคุมหน้าจอโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การใช้งานทำผ่าน Microsoft Purview โดยเลือก Audit → New Search ➡️ ใช้คำค้น “screenShared” หรือ “MeetingParticipantDetail” ➡️ สามารถ export ข้อมูลเป็น CSV ได้ ✅ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานแล้วสำหรับผู้ดูแลระบบทุกคน ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ ใช้ได้ทั้งใน Teams เวอร์ชัน desktop, web และ mobile ✅ Microsoft Purview เป็นแพลตฟอร์มรวมสำหรับการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ รองรับการตรวจสอบ, ป้องกันการรั่วไหล, และการเข้ารหัสข้อมูล ➡️ ใช้ร่วมกับ Microsoft 365, Edge, Windows/macOS และเครือข่าย HTTPS ✅ ฟีเจอร์ “Detect sensitive content during screen sharing” ช่วยแจ้งเตือนเมื่อมีข้อมูลลับปรากฏบนหน้าจอ ➡️ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต, เลขประจำตัวประชาชน, หรือข้อมูลภาษี ➡️ ผู้ใช้จะได้รับแจ้งเตือนและสามารถหยุดการแชร์ได้ทันที ✅ Microsoft Purview รองรับการป้องกันข้อมูลด้วย sensitivity labels และ Double Key Encryption ➡️ ช่วยให้ข้อมูลถูกเข้ารหัสและควบคุมการเข้าถึงได้ตามระดับความลับ ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและกฎหมาย ‼️ การเปิดเผยข้อมูล telemetry อาจถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ได้ หากไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเหมาะสม ⛔ ผู้ดูแลระบบที่ไม่มีจรรยาบรรณอาจใช้ข้อมูลเพื่อสอดแนมหรือกดดันพนักงาน ⛔ ควรมีการกำหนดสิทธิ์และนโยบายการเข้าถึงอย่างชัดเจน ‼️ การแชร์หน้าจอโดยไม่ระวังอาจทำให้ข้อมูลลับรั่วไหลได้ง่าย ⛔ เช่น การเปิดเอกสารภายในหรือข้อมูลลูกค้าระหว่างประชุมกับบุคคลภายนอก ⛔ ควรมีการแจ้งเตือนหรือระบบตรวจจับเนื้อหาลับระหว่างการแชร์ ‼️ การใช้ฟีเจอร์นี้ต้องเปิด auditing ใน Microsoft Purview ก่อน ⛔ หากไม่ได้เปิด auditing จะไม่สามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้ ⛔ ข้อมูลจะถูกเก็บตั้งแต่วันที่เปิด auditing เท่านั้น ‼️ การตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังมีข้อจำกัดตามระดับ license ของ Microsoft 365 ⛔ ระยะเวลาการเก็บข้อมูล audit log ขึ้นอยู่กับประเภท license ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังได้ครบถ้วน https://www.neowin.net/news/teams-admins-will-now-be-able-to-see-telemetry-for-screen-sharing/
    WWW.NEOWIN.NET
    Teams admins will now be able to see telemetry for screen sharing
    To improve the cybersecurity posture of an organization, Microsoft is introducing audit logs for screen sharing sessions, accessible through Purview.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • สาวไทยในเกาหลี ชี้แจงด้วยภาษาเกาหลี เขมรไม่หยุดยิง!
    (Thai woman in Korea explains in Korean — Cambodia hasn’t stopped firing!) [30/7/68]

    #สาวไทยในเกาหลี #คนไทยในต่างแดนพูดแล้ว #สื่อสารด้วยภาษาเกาหลี #เสียงจากเกาหลีถึงโลก #CambodiaStillAttacking #ThaiVoiceFromKorea #Scambodia #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง
    #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    สาวไทยในเกาหลี ชี้แจงด้วยภาษาเกาหลี เขมรไม่หยุดยิง! (Thai woman in Korea explains in Korean — Cambodia hasn’t stopped firing!) [30/7/68] #สาวไทยในเกาหลี #คนไทยในต่างแดนพูดแล้ว #สื่อสารด้วยภาษาเกาหลี #เสียงจากเกาหลีถึงโลก #CambodiaStillAttacking #ThaiVoiceFromKorea #Scambodia #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ผบ.สูงสุดมาเลเซียเยือนเขมร สังเกตการณ์เขมรไม่หยุดยิง 2 วันติด มาเลเซียว่าไง?
    (Malaysia’s top commander visits Cambodia, witnesses two days of ongoing fire — what is Malaysia’s stance?) [30/7/68]

    #มาเลเซียเยือนเขมร #ผบสูงสุดมาเลเซีย #สังเกตการณ์หยุดยิงลวง #2วันยังยิงไม่หยุด #MalaysiaObservesCambodia #CambodiaStillFiring #ท่าทีมาเลเซียสำคัญ #ASEANจับตา #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวความมั่นคง

    #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    ผบ.สูงสุดมาเลเซียเยือนเขมร สังเกตการณ์เขมรไม่หยุดยิง 2 วันติด มาเลเซียว่าไง? (Malaysia’s top commander visits Cambodia, witnesses two days of ongoing fire — what is Malaysia’s stance?) [30/7/68] #มาเลเซียเยือนเขมร #ผบสูงสุดมาเลเซีย #สังเกตการณ์หยุดยิงลวง #2วันยังยิงไม่หยุด #MalaysiaObservesCambodia #CambodiaStillFiring #ท่าทีมาเลเซียสำคัญ #ASEANจับตา #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวความมั่นคง #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Excel: ฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยนการทำงานให้ลื่นไหลและแม่นยำกว่าเดิม

    Microsoft ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน Excel ที่ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล, การทำงานร่วมกัน และการรักษาความถูกต้องของสูตรคำนวณในไฟล์เก่าและใหม่

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Compatibility Versions ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกเวอร์ชันของสูตรคำนวณได้ระหว่างแบบเก่า (Version 1) และแบบใหม่ (Version 2) โดย Version 2 จะกลายเป็นค่าเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2026 สำหรับไฟล์ใหม่ทั้งหมด

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่หลายคนรอคอยอย่าง Auto Refresh สำหรับ PivotTables การรีเฟรชข้อมูลจาก Power Query บน Excel เวอร์ชันเว็บ, การดูหลายชีตพร้อมกันบน Mac, และการขอสิทธิ์แก้ไขไฟล์บน Excel for the Web ได้โดยตรง

    Compatibility Versions: เลือกเวอร์ชันของสูตรคำนวณได้ตามต้องการ
    Version 1 ใช้พฤติกรรมการคำนวณแบบเดิมสำหรับไฟล์เก่า
    Version 2 มีการปรับปรุงสูตร เช่น รองรับอีโมจิ และจะเป็นค่าเริ่มต้นในไฟล์ใหม่ตั้งแต่ ม.ค. 2026

    Auto Refresh สำหรับ PivotTables (เฉพาะผู้ใช้ Insiders บน Windows และ Mac)
    PivotTables จะอัปเดตอัตโนมัติเมื่อข้อมูลต้นทางเปลี่ยน
    ไม่ต้องคลิก Refresh ด้วยตนเองอีกต่อไป

    Get Data Dialog ใหม่บน Windows พร้อมเชื่อมต่อ OneLake Catalog
    ช่วยให้ค้นหาและเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอกได้ง่ายขึ้น
    รองรับการเชื่อมต่อกับข้อมูลจาก Microsoft Fabric โดยตรง

    Excel for Mac รองรับการเปิดหลายชีตและหลายหน้าต่างพร้อมกัน
    มีฟีเจอร์ Synchronous Scrolling เพื่อเลื่อนดูข้อมูลพร้อมกัน
    เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างชีตหรือไฟล์

    Excel for the Web รองรับการรีเฟรชข้อมูลจาก Power Query โดยตรง
    ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์มาเปิดใน Excel Desktop เพื่อรีเฟรชอีกต่อไป
    รองรับการจัดการข้อมูลจากแหล่งที่ต้องยืนยันตัวตน เช่น SharePoint, SQL Server

    ผู้ใช้ Enterprise สามารถขอสิทธิ์แก้ไขไฟล์ได้โดยตรงใน Excel for the Web
    ไม่ต้องออกจากไฟล์เพื่อส่งอีเมลขอสิทธิ์อีกต่อไป
    เพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกันในองค์กร

    https://www.neowin.net/news/here-are-all-the-new-features-microsoft-added-to-excel-in-july-2025/
    📊 เรื่องเล่าจาก Excel: ฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยนการทำงานให้ลื่นไหลและแม่นยำกว่าเดิม Microsoft ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน Excel ที่ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล, การทำงานร่วมกัน และการรักษาความถูกต้องของสูตรคำนวณในไฟล์เก่าและใหม่ หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Compatibility Versions ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกเวอร์ชันของสูตรคำนวณได้ระหว่างแบบเก่า (Version 1) และแบบใหม่ (Version 2) โดย Version 2 จะกลายเป็นค่าเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2026 สำหรับไฟล์ใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่หลายคนรอคอยอย่าง Auto Refresh สำหรับ PivotTables การรีเฟรชข้อมูลจาก Power Query บน Excel เวอร์ชันเว็บ, การดูหลายชีตพร้อมกันบน Mac, และการขอสิทธิ์แก้ไขไฟล์บน Excel for the Web ได้โดยตรง ✅ Compatibility Versions: เลือกเวอร์ชันของสูตรคำนวณได้ตามต้องการ ➡️ Version 1 ใช้พฤติกรรมการคำนวณแบบเดิมสำหรับไฟล์เก่า ➡️ Version 2 มีการปรับปรุงสูตร เช่น รองรับอีโมจิ และจะเป็นค่าเริ่มต้นในไฟล์ใหม่ตั้งแต่ ม.ค. 2026 ✅ Auto Refresh สำหรับ PivotTables (เฉพาะผู้ใช้ Insiders บน Windows และ Mac) ➡️ PivotTables จะอัปเดตอัตโนมัติเมื่อข้อมูลต้นทางเปลี่ยน ➡️ ไม่ต้องคลิก Refresh ด้วยตนเองอีกต่อไป ✅ Get Data Dialog ใหม่บน Windows พร้อมเชื่อมต่อ OneLake Catalog ➡️ ช่วยให้ค้นหาและเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอกได้ง่ายขึ้น ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับข้อมูลจาก Microsoft Fabric โดยตรง ✅ Excel for Mac รองรับการเปิดหลายชีตและหลายหน้าต่างพร้อมกัน ➡️ มีฟีเจอร์ Synchronous Scrolling เพื่อเลื่อนดูข้อมูลพร้อมกัน ➡️ เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างชีตหรือไฟล์ ✅ Excel for the Web รองรับการรีเฟรชข้อมูลจาก Power Query โดยตรง ➡️ ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์มาเปิดใน Excel Desktop เพื่อรีเฟรชอีกต่อไป ➡️ รองรับการจัดการข้อมูลจากแหล่งที่ต้องยืนยันตัวตน เช่น SharePoint, SQL Server ✅ ผู้ใช้ Enterprise สามารถขอสิทธิ์แก้ไขไฟล์ได้โดยตรงใน Excel for the Web ➡️ ไม่ต้องออกจากไฟล์เพื่อส่งอีเมลขอสิทธิ์อีกต่อไป ➡️ เพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกันในองค์กร https://www.neowin.net/news/here-are-all-the-new-features-microsoft-added-to-excel-in-july-2025/
    WWW.NEOWIN.NET
    Here are all the new features Microsoft added to Excel in July 2025
    Microsoft Excel grabbed a lot of very useful features this month, such as the ability to auto refresh PivotTables.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ศักดิ์ศรีของชาติ บ้านเมืองอยู่ตรงไหน หนูรู้คุณอาสนธิ,อ.ปานเทพ คงเหนื่อยมากๆเพราะต่อสู้กีบอำนาจอะไรอยู่ แต่ก็หาคนกล้าชนอย่างคุณอาสนธิไม่มี ไทยมีคนเก่งคนดีเยอะแต่เขาไม่กล้าออกมาหรือไม่ก็เป็นตัวเล็กตัวน้อยพูดอะไรพวกมันก็คงไม่ฟังหรอก"เมื่อก่อนหนูตามเพจ อ.ดร.สมเกียรติ โอสถสภา ท่านเสียชีวิตแล้วหนูก็ไม่ตามแล้ว ชอบตามบทความของ อ.ปฐมพงษ์ แต่ท่านถูกบล็อกทุกช่องทางเลยตอนนี้เข้าไปเขียนในบล๊อกดิสก็เลยไม่ได้ตามเข้าไป สื่อไทยถูดควบคุมหมดแล้ว เมื่อก่อนชอบดูพี่ปองจัดกับคุณสันติสุขทางช่อง NEW18 พอเปลี่ยนค่ายก็ไม่ดูTOP NEW เลยไปจัดช่อง5ก็ชอบดูอ้าวจัดไม่กี่วันต้องหยุดอีก ตอนนี้หนูดูแต่ อ.สนธิ,อ.ปานเทพ นอกนั้นไม่ดูเลยคะ"ประเทศไทยถึงจุดตกต่ำที่สุด ยศตำแหน่งต้องซื้อแล้วจะเอาคนดีๆที่ไหนมา เข้าไปก็ถอนทุนทั้งนั้น "ยุคกาขาวบ้าบออะไร ต่อให้เป็นกาขาวก็เป็นกาอยู่ดี "หงส์กับกามันต่างกันนะคะ
    #ศักดิ์ศรีของชาติ🇹🇭 บ้านเมืองอยู่ตรงไหน หนูรู้คุณอาสนธิ,อ.ปานเทพ คงเหนื่อยมากๆเพราะต่อสู้กีบอำนาจอะไรอยู่ แต่ก็หาคนกล้าชนอย่างคุณอาสนธิไม่มี ไทยมีคนเก่งคนดีเยอะแต่เขาไม่กล้าออกมาหรือไม่ก็เป็นตัวเล็กตัวน้อยพูดอะไรพวกมันก็คงไม่ฟังหรอก"เมื่อก่อนหนูตามเพจ อ.ดร.สมเกียรติ โอสถสภา ท่านเสียชีวิตแล้วหนูก็ไม่ตามแล้ว ชอบตามบทความของ อ.ปฐมพงษ์ แต่ท่านถูกบล็อกทุกช่องทางเลยตอนนี้เข้าไปเขียนในบล๊อกดิสก็เลยไม่ได้ตามเข้าไป สื่อไทยถูดควบคุมหมดแล้ว เมื่อก่อนชอบดูพี่ปองจัดกับคุณสันติสุขทางช่อง NEW18 พอเปลี่ยนค่ายก็ไม่ดูTOP NEW เลยไปจัดช่อง5ก็ชอบดูอ้าวจัดไม่กี่วันต้องหยุดอีก ตอนนี้หนูดูแต่ อ.สนธิ,อ.ปานเทพ นอกนั้นไม่ดูเลยคะ"ประเทศไทยถึงจุดตกต่ำที่สุด ยศตำแหน่งต้องซื้อแล้วจะเอาคนดีๆที่ไหนมา เข้าไปก็ถอนทุนทั้งนั้น "ยุคกาขาวบ้าบออะไร ต่อให้เป็นกาขาวก็เป็นกาอยู่ดี "หงส์กับกามันต่างกันนะคะ
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • One Stop Service for เหมน
    One Stop Service for เหมน😂😂
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ไหน? ใครบอกหยุด
    กัมพูชา ยิงจรวด BM-21
    ใส่ปราสาทตาเมือนธม
    ทำลายโบราณสถาน
    ฮุนเซนคิด ฮุนมาเนตทำ
    (สั่งตรงจากห้องแอร์แหล่งบัญชาการ)
    Who said it stopped?
    Cambodia has launched BM-21 rockets targeting Ta Muen Thom Temple, causing damage to ancient cultural heritage.
    Hun Sen planned it. Hun Manet ordered it.
    (Issued straight from the comfort of an air-conditioned war room.)
    #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม
    #hunsenwarcriminal
    #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន
    #洪森戰爭罪犯
    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodiaOpenedFire
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #กองทัพบกทันกระแส
    ไหน? ใครบอกหยุด กัมพูชา ยิงจรวด BM-21 ใส่ปราสาทตาเมือนธม ทำลายโบราณสถาน ฮุนเซนคิด ฮุนมาเนตทำ (สั่งตรงจากห้องแอร์แหล่งบัญชาการ) Who said it stopped? Cambodia has launched BM-21 rockets targeting Ta Muen Thom Temple, causing damage to ancient cultural heritage. Hun Sen planned it. Hun Manet ordered it. (Issued straight from the comfort of an air-conditioned war room.) #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន #洪森戰爭罪犯 #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #กองทัพบกทันกระแส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • When the Aggressor Plays Victim – The Truth from Thailand [เมื่อผู้รุกรานแสร้งเป็นเหยื่อ – ความจริงจากประเทศไทย] [26/7/68]

    #AggressorPlaysVictim
    #ผู้รุกรานแสร้งเป็นเหยื่อ
    #ความจริงจากประเทศไทย
    #TruthFromThailand
    #StopPlayingVictim
    #สื่อสารเพื่อความจริง
    #อย่าบิดเบือน
    #เสียงจากแผ่นดินไทย
    #ThailandSpeaksOut
    #กัมพูชายิงก่อน
    #柬埔寨先开火 (จีน)
    #カンボジアが先に発砲 (ญี่ปุ่น)
    #캄보디아가먼저발포 (เกาหลี)
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #CambodiaOpenedFire
    #thaitimes
    #news1
    #shorts
    When the Aggressor Plays Victim – The Truth from Thailand [เมื่อผู้รุกรานแสร้งเป็นเหยื่อ – ความจริงจากประเทศไทย] [26/7/68] #AggressorPlaysVictim #ผู้รุกรานแสร้งเป็นเหยื่อ #ความจริงจากประเทศไทย #TruthFromThailand #StopPlayingVictim #สื่อสารเพื่อความจริง #อย่าบิดเบือน #เสียงจากแผ่นดินไทย #ThailandSpeaksOut #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 (จีน) #カンボジアが先に発砲 (ญี่ปุ่น) #캄보디아가먼저발포 (เกาหลี) #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้

    Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก

    จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน:
    - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ
    - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม
    - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา

    เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom

    แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่:
    - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล
    - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย

    แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที

    การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน
    เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ

    ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization
    เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน

    การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ
    เช่น AWS, Azure และ Google Cloud

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    🎙️ เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้ Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน: - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่: - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น 💡 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง ➡️ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที 💡 การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน ➡️ เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ 💡 ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization ➡️ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน 💡 การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ ➡️ เช่น AWS, Azure และ Google Cloud https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts