• เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: 7 แอปจดโน้ตที่นักพัฒนาไม่ควรมองข้าม

    ในโลกของนักพัฒนา การจดโน้ตไม่ใช่แค่การเขียนไอเดีย แต่เป็นการจัดการโค้ด snippets, เอกสารเทคนิค, และความรู้ที่ต้องใช้ซ้ำในหลายโปรเจกต์ แอปจดโน้ตทั่วไปอาจไม่ตอบโจทย์ เพราะนักพัฒนาต้องการฟีเจอร์เฉพาะ เช่น Markdown, syntax highlighting, การเชื่อมโยงโน้ต และการทำงานแบบ cross-platform

    บทความนี้แนะนำ 7 แอปที่โดดเด่นสำหรับนักพัฒนา ได้แก่:

    1️⃣ Notion – ครบเครื่องทั้งจดโน้ตและจัดการโปรเจกต์

    ข้อดี
    รองรับ Markdown และ syntax กว่า 60 ภาษา
    ใช้จัดการโปรเจกต์ได้ดี (kanban, database, timeline)
    เชื่อมต่อกับ Trello, Slack, GitHub ได้
    สร้าง template และระบบอัตโนมัติได้

    ข้อเสีย
    ต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการเข้าถึง
    UI อาจซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น
    ไม่เหมาะกับการเขียนโค้ดแบบ real-time

    2️⃣ Obsidian – เน้นความยืดหยุ่นและการทำงานแบบออฟไลน์

    ข้อดี
    ทำงานออฟไลน์ได้เต็มรูปแบบ
    รองรับ Markdown และ backlinking แบบ Zettelkasten
    ปรับแต่งได้ผ่านปลั๊กอินจำนวนมาก
    เน้นความเป็นส่วนตัวด้วย local storage

    ข้อเสีย
    ไม่มีระบบ collaboration ในตัว
    ต้องใช้เวลาเรียนรู้การปรับแต่ง
    UI ไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบระบบ drag-and-drop

    3️⃣ Boost Note – โอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อโค้ดโดยเฉพาะ

    ข้อดี
    โอเพ่นซอร์สและฟรี
    รองรับ Markdown + code block พร้อม syntax
    มี tagging และ diagram (Mermaid, PlantUML)
    ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม (Windows, macOS, Linux, iOS, Android)

    ข้อเสีย
    ฟีเจอร์ collaboration ยังไม่สมบูรณ์
    UI ยังไม่ polished เท่าแอปเชิงพาณิชย์
    ต้องใช้เวลาในการตั้งค่า workspace

    4️⃣ OneNote – เหมาะกับการจัดการข้อมูลแบบมัลติมีเดีย

    ข้อดี
    รองรับ multimedia เช่น รูป เสียง วิดีโอ
    มีโครงสร้าง notebook/section/page ที่ชัดเจน
    รองรับการทำงานร่วมกันแบบ real-time
    ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม

    ข้อเสีย
    ไม่รองรับ Markdown โดยตรง
    ไม่มีแอปสำหรับ Linux
    ไม่เหมาะกับการจัดการโค้ดหรือ syntax

    5️⃣ Quiver – สำหรับผู้ใช้ macOS ที่ต้องการรวมโค้ด, Markdown และ LaTeX

    ข้อดี
    รองรับ Markdown, LaTeX, และ syntax กว่า 120 ภาษา
    โครงสร้างแบบเซลล์ (text + code + diagram)
    มีระบบลิงก์ภายในโน้ตแบบ wiki
    ซื้อครั้งเดียว ไม่มี subscription

    ข้อเสีย
    ใช้ได้เฉพาะ macOS
    ไม่มีระบบ sync cloud หรือ collaboration
    UI ค่อนข้างเก่าเมื่อเทียบกับแอปใหม่ ๆ

    6️⃣ CherryTree – โครงสร้างแบบ tree สำหรับการจัดการข้อมูลเชิงลึก

    ข้อดี
    โครงสร้างแบบ tree เหมาะกับโปรเจกต์ซับซ้อน
    รองรับ rich text + syntax highlight
    ใช้งานแบบ portable ได้ (USB drive)
    มีระบบ auto-save และ backup

    ข้อเสีย
    ไม่มีระบบ cloud sync
    UI ค่อนข้างเก่า
    ไม่เหมาะกับการทำงานร่วมกัน

    7️⃣ Sublime Text – ใช้ปลั๊กอินเสริมให้กลายเป็นเครื่องมือจดโน้ตที่ทรงพลัง

    ข้อดี
    เร็ว เบา และปรับแต่งได้สูง
    รองรับ MarkdownEditing, SnippetStore, CodeMap
    ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม
    เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการรวมโค้ดกับโน้ต

    ข้อเสีย
    ไม่ใช่แอปจดโน้ตโดยตรง ต้องติดตั้งปลั๊กอิน
    ไม่มีระบบจัดการโน้ตแบบ notebook หรือ tagging
    ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ชำนาญการตั้งค่า editor

    https://medium.com/@theo-james/top-7-note-taking-apps-every-developer-should-use-fc3905c954be
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: 7 แอปจดโน้ตที่นักพัฒนาไม่ควรมองข้าม ในโลกของนักพัฒนา การจดโน้ตไม่ใช่แค่การเขียนไอเดีย แต่เป็นการจัดการโค้ด snippets, เอกสารเทคนิค, และความรู้ที่ต้องใช้ซ้ำในหลายโปรเจกต์ แอปจดโน้ตทั่วไปอาจไม่ตอบโจทย์ เพราะนักพัฒนาต้องการฟีเจอร์เฉพาะ เช่น Markdown, syntax highlighting, การเชื่อมโยงโน้ต และการทำงานแบบ cross-platform บทความนี้แนะนำ 7 แอปที่โดดเด่นสำหรับนักพัฒนา ได้แก่: 1️⃣ Notion – ครบเครื่องทั้งจดโน้ตและจัดการโปรเจกต์ ✅ ➡️ ข้อดี ✅ รองรับ Markdown และ syntax กว่า 60 ภาษา ✅ ใช้จัดการโปรเจกต์ได้ดี (kanban, database, timeline) ✅ เชื่อมต่อกับ Trello, Slack, GitHub ได้ ✅ สร้าง template และระบบอัตโนมัติได้ ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการเข้าถึง ⛔ UI อาจซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น ⛔ ไม่เหมาะกับการเขียนโค้ดแบบ real-time 2️⃣ Obsidian – เน้นความยืดหยุ่นและการทำงานแบบออฟไลน์ ✅ ➡️ ข้อดี ✅ ทำงานออฟไลน์ได้เต็มรูปแบบ ✅ รองรับ Markdown และ backlinking แบบ Zettelkasten ✅ ปรับแต่งได้ผ่านปลั๊กอินจำนวนมาก ✅ เน้นความเป็นส่วนตัวด้วย local storage ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ไม่มีระบบ collaboration ในตัว ⛔ ต้องใช้เวลาเรียนรู้การปรับแต่ง ⛔ UI ไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบระบบ drag-and-drop 3️⃣ Boost Note – โอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อโค้ดโดยเฉพาะ ✅ ➡️ ข้อดี ✅ โอเพ่นซอร์สและฟรี ✅ รองรับ Markdown + code block พร้อม syntax ✅ มี tagging และ diagram (Mermaid, PlantUML) ✅ ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม (Windows, macOS, Linux, iOS, Android) ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ฟีเจอร์ collaboration ยังไม่สมบูรณ์ ⛔ UI ยังไม่ polished เท่าแอปเชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องใช้เวลาในการตั้งค่า workspace 4️⃣ OneNote – เหมาะกับการจัดการข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ✅ ➡️ ข้อดี ✅ รองรับ multimedia เช่น รูป เสียง วิดีโอ ✅ มีโครงสร้าง notebook/section/page ที่ชัดเจน ✅ รองรับการทำงานร่วมกันแบบ real-time ✅ ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ไม่รองรับ Markdown โดยตรง ⛔ ไม่มีแอปสำหรับ Linux ⛔ ไม่เหมาะกับการจัดการโค้ดหรือ syntax 5️⃣ Quiver – สำหรับผู้ใช้ macOS ที่ต้องการรวมโค้ด, Markdown และ LaTeX ✅ ➡️ ข้อดี ✅ รองรับ Markdown, LaTeX, และ syntax กว่า 120 ภาษา ✅ โครงสร้างแบบเซลล์ (text + code + diagram) ✅ มีระบบลิงก์ภายในโน้ตแบบ wiki ✅ ซื้อครั้งเดียว ไม่มี subscription ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ใช้ได้เฉพาะ macOS ⛔ ไม่มีระบบ sync cloud หรือ collaboration ⛔ UI ค่อนข้างเก่าเมื่อเทียบกับแอปใหม่ ๆ 6️⃣ CherryTree – โครงสร้างแบบ tree สำหรับการจัดการข้อมูลเชิงลึก ✅ ➡️ ข้อดี ✅ โครงสร้างแบบ tree เหมาะกับโปรเจกต์ซับซ้อน ✅ รองรับ rich text + syntax highlight ✅ ใช้งานแบบ portable ได้ (USB drive) ✅ มีระบบ auto-save และ backup ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ไม่มีระบบ cloud sync ⛔ UI ค่อนข้างเก่า ⛔ ไม่เหมาะกับการทำงานร่วมกัน 7️⃣ Sublime Text – ใช้ปลั๊กอินเสริมให้กลายเป็นเครื่องมือจดโน้ตที่ทรงพลัง ✅ ➡️ ข้อดี ✅ เร็ว เบา และปรับแต่งได้สูง ✅ รองรับ MarkdownEditing, SnippetStore, CodeMap ✅ ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม ✅ เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการรวมโค้ดกับโน้ต ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ไม่ใช่แอปจดโน้ตโดยตรง ต้องติดตั้งปลั๊กอิน ⛔ ไม่มีระบบจัดการโน้ตแบบ notebook หรือ tagging ⛔ ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ชำนาญการตั้งค่า editor https://medium.com/@theo-james/top-7-note-taking-apps-every-developer-should-use-fc3905c954be
    MEDIUM.COM
    Top 7 Note-Taking Apps Every Developer Should Use
    Keeping track of ideas, code snippets, and project details is essential for developers juggling multiple frameworks and languages. The right note-taking app can streamline workflows, boost…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเกมพกพา: AMD Ryzen Z2 Extreme—ชิปเล็กพลังใหญ่ที่ท้าชนโน้ตบุ๊กเกม

    AMD เปิดตัว Ryzen Z2 Extreme ซึ่งเป็นชิป SoC สำหรับเครื่องเกมพกพาโดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 ผสม Zen 5C รวมกัน 8 คอร์ 16 เธรด พร้อม iGPU Radeon 890M ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 3.5

    ชิปนี้ถูกทดสอบบน MSI Claw A8 ที่มาพร้อม RAM LPDDR5X 24GB และผลลัพธ์จาก Geekbench ก็ออกมาน่าประทับใจมาก:
    - คะแนน single-thread สูงสุดในกลุ่ม Strix Point
    - คะแนน multi-thread เทียบเท่าชิป 10 คอร์ Ryzen AI 9 365
    - ประสิทธิภาพกราฟิกเทียบเท่า Radeon 890M บนโน้ตบุ๊ก

    Ryzen Z2 Extreme ยังรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ AMD เช่น FSR, Frame Generation และ Fluid Motion Frames และจะมีรุ่นที่มาพร้อม NPU 50 TOPS สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ

    AMD เปิดตัว Ryzen Z2 Extreme SoC สำหรับเครื่องเกมพกพา
    ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 + Zen 5C รวม 8 คอร์ 16 เธรด

    ใช้ iGPU Radeon 890M สถาปัตยกรรม RDNA 3.5
    มี 16 compute units ความเร็ว 2.9 GHz

    รองรับ LPDDR5X-8000 และมีแคชรวม 24MB (L2 + L3)
    เหมาะกับงานกราฟิกและเกมที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง

    ทดสอบบน MSI Claw A8 ได้คะแนน Geekbench สูงมาก
    Single-thread สูงสุดในกลุ่ม Strix Point / Multi-thread เทียบ Ryzen AI 9 365

    ประสิทธิภาพกราฟิกเทียบเท่าโน้ตบุ๊กที่ใช้ Radeon 890M
    เหนือกว่า Ryzen Z1 Extreme ถึง 30%+

    รองรับเทคโนโลยี AMD ล่าสุด เช่น FSR, Frame-Gen, Fluid Motion
    เตรียมใช้งานใน ASUS ROG Ally X และอุปกรณ์อื่นเร็ว ๆ นี้

    ยังไม่ระบุ TDP ที่ใช้ในการทดสอบ Geekbench
    อาจเป็น 35W ซึ่งสูงสุดของช่วงที่กำหนด (15–35W)

    ประสิทธิภาพอาจลดลงเมื่อใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน
    โดยเฉพาะในเครื่องที่มีข้อจำกัดด้านระบายความร้อน

    iGPU แม้จะทรงพลัง แต่ยังไม่เทียบเท่า GPU แยกระดับสูง
    เหมาะกับเกมระดับกลางมากกว่าการเล่น AAA แบบ ultra settings

    SOC รุ่นนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งานจริง
    ต้องรอการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงก่อนสรุปประสิทธิภาพโดยรวม

    https://wccftech.com/amd-ryzen-z2-extreme-soc-handhelds-benchmark-msi-claw-a8-top-notch-cpu-gpu-performance/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเกมพกพา: AMD Ryzen Z2 Extreme—ชิปเล็กพลังใหญ่ที่ท้าชนโน้ตบุ๊กเกม AMD เปิดตัว Ryzen Z2 Extreme ซึ่งเป็นชิป SoC สำหรับเครื่องเกมพกพาโดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 ผสม Zen 5C รวมกัน 8 คอร์ 16 เธรด พร้อม iGPU Radeon 890M ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 3.5 ชิปนี้ถูกทดสอบบน MSI Claw A8 ที่มาพร้อม RAM LPDDR5X 24GB และผลลัพธ์จาก Geekbench ก็ออกมาน่าประทับใจมาก: - คะแนน single-thread สูงสุดในกลุ่ม Strix Point - คะแนน multi-thread เทียบเท่าชิป 10 คอร์ Ryzen AI 9 365 - ประสิทธิภาพกราฟิกเทียบเท่า Radeon 890M บนโน้ตบุ๊ก Ryzen Z2 Extreme ยังรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ AMD เช่น FSR, Frame Generation และ Fluid Motion Frames และจะมีรุ่นที่มาพร้อม NPU 50 TOPS สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ✅ AMD เปิดตัว Ryzen Z2 Extreme SoC สำหรับเครื่องเกมพกพา ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 + Zen 5C รวม 8 คอร์ 16 เธรด ✅ ใช้ iGPU Radeon 890M สถาปัตยกรรม RDNA 3.5 ➡️ มี 16 compute units ความเร็ว 2.9 GHz ✅ รองรับ LPDDR5X-8000 และมีแคชรวม 24MB (L2 + L3) ➡️ เหมาะกับงานกราฟิกและเกมที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง ✅ ทดสอบบน MSI Claw A8 ได้คะแนน Geekbench สูงมาก ➡️ Single-thread สูงสุดในกลุ่ม Strix Point / Multi-thread เทียบ Ryzen AI 9 365 ✅ ประสิทธิภาพกราฟิกเทียบเท่าโน้ตบุ๊กที่ใช้ Radeon 890M ➡️ เหนือกว่า Ryzen Z1 Extreme ถึง 30%+ ✅ รองรับเทคโนโลยี AMD ล่าสุด เช่น FSR, Frame-Gen, Fluid Motion ➡️ เตรียมใช้งานใน ASUS ROG Ally X และอุปกรณ์อื่นเร็ว ๆ นี้ ‼️ ยังไม่ระบุ TDP ที่ใช้ในการทดสอบ Geekbench ⛔ อาจเป็น 35W ซึ่งสูงสุดของช่วงที่กำหนด (15–35W) ‼️ ประสิทธิภาพอาจลดลงเมื่อใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน ⛔ โดยเฉพาะในเครื่องที่มีข้อจำกัดด้านระบายความร้อน ‼️ iGPU แม้จะทรงพลัง แต่ยังไม่เทียบเท่า GPU แยกระดับสูง ⛔ เหมาะกับเกมระดับกลางมากกว่าการเล่น AAA แบบ ultra settings ‼️ SOC รุ่นนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งานจริง ⛔ ต้องรอการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงก่อนสรุปประสิทธิภาพโดยรวม https://wccftech.com/amd-ryzen-z2-extreme-soc-handhelds-benchmark-msi-claw-a8-top-notch-cpu-gpu-performance/
    WCCFTECH.COM
    AMD's Top Ryzen Z2 Extreme SoC For Handhelds Benchmarked On MSI's Claw A8, Delivers Top-Notch CPU & GPU Performance
    AMD's fastest handheld SoC, the Ryzen Z2 Extreme, has been benchmarked on Geekbench and showcases strong CPU & GPU performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google รวม Chrome OS กับ Android – สร้างระบบเดียวที่ใช้ได้ทุกอุปกรณ์

    Google ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Chrome OS และ Android จะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นแพลตฟอร์มเดียว โดย Sameer Samat ประธานฝ่าย Android ecosystem ได้เปิดเผยแผนนี้ระหว่างการสัมภาษณ์กับ TechRadar ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย

    เป้าหมายของการรวมระบบคือ:
    - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่
    - สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์
    - แข่งขันกับระบบนิเวศของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา

    ก่อนหน้านี้ นักพัฒนาต้องปรับแต่งแอปให้ทำงานได้ทั้งบน Android และ Chrome OS แยกกัน ซึ่งใช้เวลามากและซับซ้อน แต่การรวมระบบจะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น และผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์

    Android เองก็มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ดีขึ้น และการปรับตัวของแอปให้เหมาะกับอุปกรณ์หลากหลาย

    แม้ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัว แต่การประกาศนี้สะท้อนว่า Google กำลังมุ่งสู่การสร้าง “ระบบปฏิบัติการเดียวเพื่อทุกอุปกรณ์” อย่างจริงจัง

    ข้อมูลจากข่าว
    - Google ยืนยันว่าจะรวม Chrome OS เข้ากับ Android เป็นแพลตฟอร์มเดียว
    - Sameer Samat เปิดเผยแผนนี้ในการสัมภาษณ์กับ TechRadar
    - เป้าหมายคือสร้างระบบที่ทำงานได้ไร้รอยต่อบนโทรศัพท์ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต
    - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่
    - Android มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอใหญ่ เช่น window management และ app adaptability
    - การรวมระบบจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์
    - เป็นการตอบโต้ ecosystem ของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัวที่แน่ชัด
    - ผู้ใช้ Chromebook อาจกังวลเรื่องการอัปเดตและการเปลี่ยนแปลงระบบ
    - การรวมระบบอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปหรืออุปกรณ์บางรุ่น
    - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่และแนวทางการพัฒนาแบบรวม
    - หากการรวมระบบไม่ราบรื่น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักพัฒนา

    https://wccftech.com/google-is-merging-chrome-os-with-android-to-create-one-seamless-platform-that-works-across-phones-laptops-and-tablets-say-goodbye-to-multiple-devices/
    Google รวม Chrome OS กับ Android – สร้างระบบเดียวที่ใช้ได้ทุกอุปกรณ์ Google ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Chrome OS และ Android จะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นแพลตฟอร์มเดียว โดย Sameer Samat ประธานฝ่าย Android ecosystem ได้เปิดเผยแผนนี้ระหว่างการสัมภาษณ์กับ TechRadar ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย เป้าหมายของการรวมระบบคือ: - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่ - สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์ - แข่งขันกับระบบนิเวศของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา ก่อนหน้านี้ นักพัฒนาต้องปรับแต่งแอปให้ทำงานได้ทั้งบน Android และ Chrome OS แยกกัน ซึ่งใช้เวลามากและซับซ้อน แต่การรวมระบบจะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น และผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์ Android เองก็มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ดีขึ้น และการปรับตัวของแอปให้เหมาะกับอุปกรณ์หลากหลาย แม้ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัว แต่การประกาศนี้สะท้อนว่า Google กำลังมุ่งสู่การสร้าง “ระบบปฏิบัติการเดียวเพื่อทุกอุปกรณ์” อย่างจริงจัง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google ยืนยันว่าจะรวม Chrome OS เข้ากับ Android เป็นแพลตฟอร์มเดียว - Sameer Samat เปิดเผยแผนนี้ในการสัมภาษณ์กับ TechRadar - เป้าหมายคือสร้างระบบที่ทำงานได้ไร้รอยต่อบนโทรศัพท์ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่ - Android มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอใหญ่ เช่น window management และ app adaptability - การรวมระบบจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์ - เป็นการตอบโต้ ecosystem ของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัวที่แน่ชัด - ผู้ใช้ Chromebook อาจกังวลเรื่องการอัปเดตและการเปลี่ยนแปลงระบบ - การรวมระบบอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปหรืออุปกรณ์บางรุ่น - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่และแนวทางการพัฒนาแบบรวม - หากการรวมระบบไม่ราบรื่น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักพัฒนา https://wccftech.com/google-is-merging-chrome-os-with-android-to-create-one-seamless-platform-that-works-across-phones-laptops-and-tablets-say-goodbye-to-multiple-devices/
    WCCFTECH.COM
    Google Is Merging Chrome OS With Android To Create One Seamless Platform That Works Across Phones, Laptops, And Tablets - Say Goodbye To Multiple Devices
    Google has confirmed in a conversation recently about its plan to consolidate Chrome OS and Android into a single platform
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD Zen 6 – แรงทะลุ 7 GHz พร้อม 24 คอร์ในเดสก์ท็อป

    AMD กำลังเตรียมเปิดตัว Zen 6 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ Ryzen desktop CPUs โดยมีข้อมูลหลุดจากแหล่งวงในอย่าง Yuri Bubily (ผู้สร้าง Hydra tuning software) และช่อง YouTube Moore’s Law Is Dead ที่เผยว่า Zen 6 จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดดมากกว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งหมด

    จุดเด่นของ Zen 6 ได้แก่:
    - รองรับสูงสุด 12 คอร์ต่อ CCD (Core Complex Die) และ 24 คอร์ 48 เธรดต่อชิป
    - เพิ่มแคช L3 ต่อ CCD เป็น 48 MB และอาจมีรุ่นที่ใช้ 3D V-Cache หลายชั้น รวมสูงสุดถึง 240 MB
    - ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงจาก TSMC เช่น N2X (2nm enhanced) สำหรับรุ่นท็อป
    - ความเร็วสัญญาณนาฬิกาอาจทะลุ 7 GHz ในรุ่นเดสก์ท็อประดับสูง
    - ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 ทำให้ผู้ใช้ Ryzen รุ่นปัจจุบันสามารถอัปเกรดได้ง่าย
    - ปรับปรุง memory controller เป็นแบบ dual IMC แต่ยังใช้ DDR5 แบบ dual-channel
    - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระบบ Boost และ Curve Optimizer ทำให้การปรับแต่งยังคงเหมือนเดิม

    Zen 6 ยังมีรุ่นสำหรับเซิร์ฟเวอร์ (Venice-class EPYC) และ APU (Medusa Point) ที่ใช้เทคโนโลยี N2P หรือ N3P ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์มากกว่าความเร็วสูงสุด

    คาดว่า Zen 6 จะเปิดตัวช่วงกลางถึงปลายปี 2026 พร้อมชนกับ Intel Nova Lake-S ที่จะใช้ซ็อกเก็ตใหม่และมีจำนวนคอร์สูงถึง 52 คอร์

    https://www.techspot.com/news/108646-amd-zen-6-could-hit-7-ghz-24.html
    AMD Zen 6 – แรงทะลุ 7 GHz พร้อม 24 คอร์ในเดสก์ท็อป AMD กำลังเตรียมเปิดตัว Zen 6 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ Ryzen desktop CPUs โดยมีข้อมูลหลุดจากแหล่งวงในอย่าง Yuri Bubily (ผู้สร้าง Hydra tuning software) และช่อง YouTube Moore’s Law Is Dead ที่เผยว่า Zen 6 จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดดมากกว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งหมด จุดเด่นของ Zen 6 ได้แก่: - รองรับสูงสุด 12 คอร์ต่อ CCD (Core Complex Die) และ 24 คอร์ 48 เธรดต่อชิป - เพิ่มแคช L3 ต่อ CCD เป็น 48 MB และอาจมีรุ่นที่ใช้ 3D V-Cache หลายชั้น รวมสูงสุดถึง 240 MB - ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงจาก TSMC เช่น N2X (2nm enhanced) สำหรับรุ่นท็อป - ความเร็วสัญญาณนาฬิกาอาจทะลุ 7 GHz ในรุ่นเดสก์ท็อประดับสูง - ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 ทำให้ผู้ใช้ Ryzen รุ่นปัจจุบันสามารถอัปเกรดได้ง่าย - ปรับปรุง memory controller เป็นแบบ dual IMC แต่ยังใช้ DDR5 แบบ dual-channel - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระบบ Boost และ Curve Optimizer ทำให้การปรับแต่งยังคงเหมือนเดิม Zen 6 ยังมีรุ่นสำหรับเซิร์ฟเวอร์ (Venice-class EPYC) และ APU (Medusa Point) ที่ใช้เทคโนโลยี N2P หรือ N3P ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์มากกว่าความเร็วสูงสุด คาดว่า Zen 6 จะเปิดตัวช่วงกลางถึงปลายปี 2026 พร้อมชนกับ Intel Nova Lake-S ที่จะใช้ซ็อกเก็ตใหม่และมีจำนวนคอร์สูงถึง 52 คอร์ https://www.techspot.com/news/108646-amd-zen-6-could-hit-7-ghz-24.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD Zen 6 could hit 7 GHz and 24 cores in desktop CPUs
    Yuri Bubily, creator of the Hydra tuning software, revealed on his official Discord that engineering samples of Zen 6-based Ryzen CPUs have already reached AMD's industry partners....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • Medusa Ridge – AMD เตรียมปล่อย Ryzen Zen 6 ที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และรองรับแรมแรงกว่าเดิม

    AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ “Medusa Ridge” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ให้กับพันธมิตร เช่น OEM และนักออกแบบแพลตฟอร์ม โดยมีการอัปเกรดทั้งในส่วนของ CCD (Core Complex Die) และ cIOD (Client I/O Die)

    Zen 6 จะผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงกว่ารุ่นก่อนอย่าง Zen 5 ที่ใช้ N4P ทำให้มีโอกาสเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD ได้ถึง 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB ต่อ CCD

    ยังไม่ชัดเจนว่า AMD จะใช้การจัดวางแบบ CCX เดียว 12 คอร์ หรือแบ่งเป็น 2 CCX (6 คอร์ + 24 MB L3 ต่อ CCX) แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ

    ส่วน cIOD ก็มีการอัปเกรดจาก 6 นาโนเมตรเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร โดยเน้นการปรับปรุง memory controller ใหม่แบบ “dual memory controller architecture” ซึ่งยังคงใช้ 2 ช่อง DDR5 ต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถรองรับความเร็วแรมที่สูงขึ้น เพื่อไล่ตาม Intel ให้ทัน

    แม้เทคโนโลยีการเร่งความเร็วซีพียู เช่น PBO และ Curve Optimizer จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การสนับสนุนจากซอฟต์แวร์ Hydra ก็ยังคงใช้งานได้ตามปกติ

    ข้อมูลจากข่าว
    - AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์ “Medusa Ridge” ที่ใช้ Zen 6 ให้พันธมิตร
    - Zen 6 ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นสูง
    - คาดว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD เป็น 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB
    - ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้ CCX เดียวหรือแบ่งเป็น 2 CCX ต่อ CCD
    - cIOD ถูกอัปเกรดเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร พร้อม dual memory controller architecture
    - รองรับ DDR5 2 ช่องต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถเพิ่มความเร็วแรมได้มากขึ้น
    - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี PBO และ Curve Optimizer
    - Hydra tuning software ยังคงรองรับ Zen 6 ได้ตามปกติ

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ยังไม่มีการประกาศ “tape-out” อย่างเป็นทางการของ Zen 6 จาก AMD
    - การเพิ่มจำนวนคอร์และแคชอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และต้องใช้เมนบอร์ดที่รองรับ
    - การเปลี่ยนแปลงใน memory controller อาจทำให้เมนบอร์ดรุ่นเก่าไม่สามารถใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ
    - การใช้เทคโนโลยี 2 นาโนเมตรยังอยู่ในช่วง risk production อาจมีความล่าช้าในการผลิตจริง
    - ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่เห็นประโยชน์จากจำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น หากไม่ได้ใช้งานแบบมัลติทาสก์หรือประมวลผลหนัก


    https://www.techpowerup.com/338854/amd-sampling-next-gen-ryzen-desktop-medusa-ridge-sees-incremental-ipc-upgrade-new-ciod
    Medusa Ridge – AMD เตรียมปล่อย Ryzen Zen 6 ที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และรองรับแรมแรงกว่าเดิม AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ “Medusa Ridge” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ให้กับพันธมิตร เช่น OEM และนักออกแบบแพลตฟอร์ม โดยมีการอัปเกรดทั้งในส่วนของ CCD (Core Complex Die) และ cIOD (Client I/O Die) Zen 6 จะผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงกว่ารุ่นก่อนอย่าง Zen 5 ที่ใช้ N4P ทำให้มีโอกาสเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD ได้ถึง 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB ต่อ CCD ยังไม่ชัดเจนว่า AMD จะใช้การจัดวางแบบ CCX เดียว 12 คอร์ หรือแบ่งเป็น 2 CCX (6 คอร์ + 24 MB L3 ต่อ CCX) แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ ส่วน cIOD ก็มีการอัปเกรดจาก 6 นาโนเมตรเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร โดยเน้นการปรับปรุง memory controller ใหม่แบบ “dual memory controller architecture” ซึ่งยังคงใช้ 2 ช่อง DDR5 ต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถรองรับความเร็วแรมที่สูงขึ้น เพื่อไล่ตาม Intel ให้ทัน แม้เทคโนโลยีการเร่งความเร็วซีพียู เช่น PBO และ Curve Optimizer จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การสนับสนุนจากซอฟต์แวร์ Hydra ก็ยังคงใช้งานได้ตามปกติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์ “Medusa Ridge” ที่ใช้ Zen 6 ให้พันธมิตร - Zen 6 ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นสูง - คาดว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD เป็น 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB - ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้ CCX เดียวหรือแบ่งเป็น 2 CCX ต่อ CCD - cIOD ถูกอัปเกรดเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร พร้อม dual memory controller architecture - รองรับ DDR5 2 ช่องต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถเพิ่มความเร็วแรมได้มากขึ้น - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี PBO และ Curve Optimizer - Hydra tuning software ยังคงรองรับ Zen 6 ได้ตามปกติ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ยังไม่มีการประกาศ “tape-out” อย่างเป็นทางการของ Zen 6 จาก AMD - การเพิ่มจำนวนคอร์และแคชอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และต้องใช้เมนบอร์ดที่รองรับ - การเปลี่ยนแปลงใน memory controller อาจทำให้เมนบอร์ดรุ่นเก่าไม่สามารถใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ - การใช้เทคโนโลยี 2 นาโนเมตรยังอยู่ในช่วง risk production อาจมีความล่าช้าในการผลิตจริง - ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่เห็นประโยชน์จากจำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น หากไม่ได้ใช้งานแบบมัลติทาสก์หรือประมวลผลหนัก https://www.techpowerup.com/338854/amd-sampling-next-gen-ryzen-desktop-medusa-ridge-sees-incremental-ipc-upgrade-new-ciod
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Sampling Next-Gen Ryzen Desktop "Medusa Ridge," Sees Incremental IPC Upgrade, New cIOD
    AMD is reportedly sampling its next-generation Ryzen desktop processor powered by the "Zen 6" microarchitecture, codenamed "Medusa Ridge," to close industry partners, such as platform designers and OEMs, says Yuri Bubliy, aka 1usmus, author of the Hydra tuning software, and the now-retired DRAM Calc...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม

    Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ

    Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น:
    - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้
    - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้
    - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC

    แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ

    Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์:
    - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม)
    - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple

    Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น”

    ข้อมูลจากข่าว
    - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป
    - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
    - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake
    - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training
    - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร
    - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร
    - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration
    - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain
    - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น: - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้ - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์: - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม) - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น” ✅ ข้อมูลจากข่าว - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่ - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • Reachy Mini – หุ่นยนต์ตั้งโต๊ะราคาประหยัดที่ใครก็เข้าถึงได้

    Hugging Face ซึ่งเป็นบริษัทที่รู้จักกันดีในวงการ AI ซอฟต์แวร์ ได้ก้าวเข้าสู่โลกฮาร์ดแวร์อย่างเต็มตัวด้วยการเปิดตัว Reachy Mini หุ่นยนต์ตั้งโต๊ะขนาด 11 นิ้ว ที่ออกแบบมาเพื่อให้นักพัฒนา ครู และผู้สนใจทั่วไปสามารถทดลองใช้งาน AI และหุ่นยนต์ได้ในราคาย่อมเยา

    Reachy Mini มีให้เลือก 2 รุ่น:
    - รุ่น Lite: ต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ภายนอก
    - รุ่น Wireless: มาพร้อม Raspberry Pi 5, แบตเตอรี่ และ Wi-Fi ใช้งานได้แบบอิสระ

    ตัวหุ่นยนต์มีความสามารถในการเคลื่อนไหวศีรษะ หมุนตัว และขยับเสาอากาศแบบแอนิเมชัน พร้อมกล้องมุมกว้าง ไมโครโฟน และลำโพงสำหรับการโต้ตอบด้วยเสียงและภาพ

    ผู้ใช้สามารถเข้าถึงพฤติกรรมที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้ากว่า 15 แบบ เช่น การติดตามใบหน้าและมือ หรือการเต้น และยังสามารถดาวน์โหลด แชร์ หรือสร้างแอปหุ่นยนต์ใหม่ผ่านแพลตฟอร์มของ Hugging Face ได้อีกด้วย

    ที่สำคัญคือ Hugging Face เปิดเผยทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และสภาพแวดล้อมจำลองแบบโอเพนซอร์สทั้งหมด เพื่อให้ชุมชนสามารถปรับแต่งและพัฒนาต่อได้อย่างอิสระ

    อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่โลกฮาร์ดแวร์ก็มีความท้าทาย เช่น การผลิต การควบคุมคุณภาพ และโลจิสติกส์ ซึ่ง Hugging Face แก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการจัดส่งเป็นชุดกึ่งประกอบ เพื่อให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและให้ฟีดแบ็กกลับมา

    ข้อมูลจากข่าว
    - Hugging Face เปิดตัว Reachy Mini หุ่นยนต์ตั้งโต๊ะขนาด 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้น $299
    - มี 2 รุ่น: Lite (ต้องใช้คอมพิวเตอร์ภายนอก) และ Wireless (มี Raspberry Pi 5 และ Wi-Fi)
    - รองรับการเขียนโปรแกรมด้วย Python และจะเพิ่ม JavaScript กับ Scratch ในอนาคต
    - มีความสามารถในการเคลื่อนไหวและโต้ตอบด้วยเสียงและภาพ
    - มีพฤติกรรมติดตั้งไว้ล่วงหน้ากว่า 15 แบบ เช่น การติดตามใบหน้าและมือ
    - เปิดให้ดาวน์โหลด แชร์ และสร้างแอปหุ่นยนต์ผ่านแพลตฟอร์มของ Hugging Face
    - ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดเป็นโอเพนซอร์ส
    - จัดส่งเป็นชุดกึ่งประกอบเพื่อให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการพัฒนา

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การประกอบชุดกึ่งสำเร็จอาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานด้านฮาร์ดแวร์
    - การใช้งาน AI แบบโลคอลอาจต้องการความเข้าใจด้านการตั้งค่าและความปลอดภัยของข้อมูล
    - แม้จะเปิดโอเพนซอร์ส แต่การพัฒนาแอปหุ่นยนต์ยังต้องใช้ทักษะด้านโปรแกรมมิ่ง
    - ความท้าทายด้านการผลิตและโลจิสติกส์อาจส่งผลต่อคุณภาพและการจัดส่งในช่วงแรก
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของอุปกรณ์เสริมก่อนซื้อรุ่น Lite

    https://www.techspot.com/news/108629-hugging-face-introduces-open-source-desktop-robot-299.html
    Reachy Mini – หุ่นยนต์ตั้งโต๊ะราคาประหยัดที่ใครก็เข้าถึงได้ Hugging Face ซึ่งเป็นบริษัทที่รู้จักกันดีในวงการ AI ซอฟต์แวร์ ได้ก้าวเข้าสู่โลกฮาร์ดแวร์อย่างเต็มตัวด้วยการเปิดตัว Reachy Mini หุ่นยนต์ตั้งโต๊ะขนาด 11 นิ้ว ที่ออกแบบมาเพื่อให้นักพัฒนา ครู และผู้สนใจทั่วไปสามารถทดลองใช้งาน AI และหุ่นยนต์ได้ในราคาย่อมเยา Reachy Mini มีให้เลือก 2 รุ่น: - รุ่น Lite: ต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ภายนอก - รุ่น Wireless: มาพร้อม Raspberry Pi 5, แบตเตอรี่ และ Wi-Fi ใช้งานได้แบบอิสระ ตัวหุ่นยนต์มีความสามารถในการเคลื่อนไหวศีรษะ หมุนตัว และขยับเสาอากาศแบบแอนิเมชัน พร้อมกล้องมุมกว้าง ไมโครโฟน และลำโพงสำหรับการโต้ตอบด้วยเสียงและภาพ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงพฤติกรรมที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้ากว่า 15 แบบ เช่น การติดตามใบหน้าและมือ หรือการเต้น และยังสามารถดาวน์โหลด แชร์ หรือสร้างแอปหุ่นยนต์ใหม่ผ่านแพลตฟอร์มของ Hugging Face ได้อีกด้วย ที่สำคัญคือ Hugging Face เปิดเผยทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และสภาพแวดล้อมจำลองแบบโอเพนซอร์สทั้งหมด เพื่อให้ชุมชนสามารถปรับแต่งและพัฒนาต่อได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่โลกฮาร์ดแวร์ก็มีความท้าทาย เช่น การผลิต การควบคุมคุณภาพ และโลจิสติกส์ ซึ่ง Hugging Face แก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการจัดส่งเป็นชุดกึ่งประกอบ เพื่อให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและให้ฟีดแบ็กกลับมา ✅ ข้อมูลจากข่าว - Hugging Face เปิดตัว Reachy Mini หุ่นยนต์ตั้งโต๊ะขนาด 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้น $299 - มี 2 รุ่น: Lite (ต้องใช้คอมพิวเตอร์ภายนอก) และ Wireless (มี Raspberry Pi 5 และ Wi-Fi) - รองรับการเขียนโปรแกรมด้วย Python และจะเพิ่ม JavaScript กับ Scratch ในอนาคต - มีความสามารถในการเคลื่อนไหวและโต้ตอบด้วยเสียงและภาพ - มีพฤติกรรมติดตั้งไว้ล่วงหน้ากว่า 15 แบบ เช่น การติดตามใบหน้าและมือ - เปิดให้ดาวน์โหลด แชร์ และสร้างแอปหุ่นยนต์ผ่านแพลตฟอร์มของ Hugging Face - ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดเป็นโอเพนซอร์ส - จัดส่งเป็นชุดกึ่งประกอบเพื่อให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการพัฒนา ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การประกอบชุดกึ่งสำเร็จอาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานด้านฮาร์ดแวร์ - การใช้งาน AI แบบโลคอลอาจต้องการความเข้าใจด้านการตั้งค่าและความปลอดภัยของข้อมูล - แม้จะเปิดโอเพนซอร์ส แต่การพัฒนาแอปหุ่นยนต์ยังต้องใช้ทักษะด้านโปรแกรมมิ่ง - ความท้าทายด้านการผลิตและโลจิสติกส์อาจส่งผลต่อคุณภาพและการจัดส่งในช่วงแรก - ผู้ใช้ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของอุปกรณ์เสริมก่อนซื้อรุ่น Lite https://www.techspot.com/news/108629-hugging-face-introduces-open-source-desktop-robot-299.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Hugging Face introduces open-source desktop robot for $299
    Unlike traditional robotics systems that often come with hefty price tags and proprietary software, Reachy Mini is fully programmable in Python, with support for JavaScript and Scratch...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • MCP – ตัวเร่ง AI อัจฉริยะที่อาจเปิดช่องให้ภัยไซเบอร์
    Model Context Protocol หรือ MCP เป็นโปรโตคอลใหม่ที่ช่วยให้ AI agent และ chatbot เข้าถึงข้อมูล เครื่องมือ และบริการต่าง ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อหลายชั้นเหมือนเดิม

    เทคโนโลยีนี้ถูกสร้างโดย Anthropic ในปลายปี 2024 และได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจาก OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Cloudflare, PayPal, Stripe, Zapier ฯลฯ จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อ AI กับโลกภายนอก

    แต่ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงร้ายแรง:
    - Asana เปิด MCP server ให้ AI เข้าถึงข้อมูลงาน แต่เกิดบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลของคนอื่น
    - Atlassian ก็เจอช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ส่ง ticket ปลอมและเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูง
    - OWASP ถึงกับเปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดอันดับช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ (แม้ยังไม่มีรายการ)

    นักวิจัยพบว่า MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น:
    - ใช้ session ID ใน URL ซึ่งขัดกับหลักความปลอดภัย
    - ไม่มีระบบเซ็นชื่อหรือยืนยันข้อความ ทำให้เกิดการปลอมแปลงได้
    - MCP ทำงานใน “context window” ที่ AI เข้าใจภาษาธรรมชาติ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอก เช่น มีคนพิมพ์ว่า “ฉันคือ CEO” แล้ว AI เชื่อ

    แม้จะมีการอัปเดต MCP เพื่อแก้บางจุด เช่น เพิ่ม OAuth, resource indicator และ protocol version header แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกช่องโหว่ และ MCP server ที่ใช้งานอยู่ยังมีความเสี่ยงสูง

    ข้อมูลจากข่าว
    - MCP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้โดยตรง
    - สร้างโดย Anthropic และถูกนำไปใช้โดย OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่
    - Asana และ Atlassian เปิด MCP server แล้วพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - OWASP เปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดการช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ
    - MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ไม่มีการเซ็นชื่อข้อความ และใช้ session ID ใน URL
    - มีการอัปเดต MCP เพื่อเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันเวอร์ชัน
    - Gartner คาดว่า 75% ของ API gateway vendors จะรองรับ MCP ภายในปี 2026

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - MCP อาจเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีแบบใหม่
    - AI agent อาจถูกหลอกผ่านข้อความธรรมชาติใน context window
    - MCP server ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจมี backdoor หรือช่องโหว่ร้ายแรง
    - ควรใช้ MCP server ใน sandbox ก่อนนำไปใช้งานจริง
    - ต้องรวม MCP ใน threat modeling, penetration test และ red-team exercise
    - ควรใช้ MCP client ที่แสดงทุก tool call และ input ก่อนอนุมัติ
    - การใช้ MCP โดยไม่มี governance ที่ชัดเจนอาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อ supply chain attack

    https://www.csoonline.com/article/4015222/mcp-uses-and-risks.html
    MCP – ตัวเร่ง AI อัจฉริยะที่อาจเปิดช่องให้ภัยไซเบอร์ Model Context Protocol หรือ MCP เป็นโปรโตคอลใหม่ที่ช่วยให้ AI agent และ chatbot เข้าถึงข้อมูล เครื่องมือ และบริการต่าง ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อหลายชั้นเหมือนเดิม เทคโนโลยีนี้ถูกสร้างโดย Anthropic ในปลายปี 2024 และได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจาก OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Cloudflare, PayPal, Stripe, Zapier ฯลฯ จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อ AI กับโลกภายนอก แต่ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงร้ายแรง: - Asana เปิด MCP server ให้ AI เข้าถึงข้อมูลงาน แต่เกิดบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลของคนอื่น - Atlassian ก็เจอช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ส่ง ticket ปลอมและเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูง - OWASP ถึงกับเปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดอันดับช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ (แม้ยังไม่มีรายการ) นักวิจัยพบว่า MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น: - ใช้ session ID ใน URL ซึ่งขัดกับหลักความปลอดภัย - ไม่มีระบบเซ็นชื่อหรือยืนยันข้อความ ทำให้เกิดการปลอมแปลงได้ - MCP ทำงานใน “context window” ที่ AI เข้าใจภาษาธรรมชาติ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอก เช่น มีคนพิมพ์ว่า “ฉันคือ CEO” แล้ว AI เชื่อ แม้จะมีการอัปเดต MCP เพื่อแก้บางจุด เช่น เพิ่ม OAuth, resource indicator และ protocol version header แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกช่องโหว่ และ MCP server ที่ใช้งานอยู่ยังมีความเสี่ยงสูง ✅ ข้อมูลจากข่าว - MCP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้โดยตรง - สร้างโดย Anthropic และถูกนำไปใช้โดย OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ - Asana และ Atlassian เปิด MCP server แล้วพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - OWASP เปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดการช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ - MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ไม่มีการเซ็นชื่อข้อความ และใช้ session ID ใน URL - มีการอัปเดต MCP เพื่อเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันเวอร์ชัน - Gartner คาดว่า 75% ของ API gateway vendors จะรองรับ MCP ภายในปี 2026 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - MCP อาจเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีแบบใหม่ - AI agent อาจถูกหลอกผ่านข้อความธรรมชาติใน context window - MCP server ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจมี backdoor หรือช่องโหว่ร้ายแรง - ควรใช้ MCP server ใน sandbox ก่อนนำไปใช้งานจริง - ต้องรวม MCP ใน threat modeling, penetration test และ red-team exercise - ควรใช้ MCP client ที่แสดงทุก tool call และ input ก่อนอนุมัติ - การใช้ MCP โดยไม่มี governance ที่ชัดเจนอาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อ supply chain attack https://www.csoonline.com/article/4015222/mcp-uses-and-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    MCP is fueling agentic AI — and introducing new security risks
    MCP allows AI agents and chatbots to connect to data sources, tools, and other services, but they pose significant risks for enterprises that roll them out without having proper security guardrails in place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2025 Elon Musk และทีม xAI เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดรุ่นล่าสุด โดยมีจุดเด่นด้านการเข้าใจภาษา การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และการให้เหตุผลอย่างลึกซึ้ง

    Grok 4 มีหลายเวอร์ชัน โดยเวอร์ชัน “Heavy” ที่ใช้เครื่องมือหลายตัวพร้อมกัน (multi-agent tools) ทำคะแนนได้สูงมากในหลายการทดสอบ เช่น:
    - Humanity’s Last Exam (HLE): Grok 4 Heavy ทำคะแนนได้ 44.4% สูงกว่า Gemini 2.5 Pro ที่ใช้เครื่องมือ (26.9%)
    - ARC-AGI-2: Grok 4 ได้ 16.2% ซึ่งสูงกว่า Claude Opus 4 เกือบเท่าตัว
    - MMLU: ได้คะแนน 86.6% และมี Intelligence Index สูงถึง 73 ซึ่งนำหน้าทั้ง OpenAI และ Google

    ในด้าน STEM และการเขียนโค้ด:
    - GPQA: Grok 4 ได้ 87.5%, ส่วน Grok 4 Heavy ได้ 88.9%
    - AIME: Grok 4 Heavy ได้คะแนนเต็ม 100%
    - SWE-Bench: Grok 4 Code (จะเปิดตัวเดือนสิงหาคม) ทำคะแนนได้ 72–75%

    Elon Musk ระบุว่า Grok 4 “แทบไม่เคยตอบผิดในข้อสอบฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์เลย” และสามารถตรวจจับข้อผิดพลาดในคำถามได้ด้วย

    ด้านราคาการใช้งาน:
    - API ราคาเท่า Grok 3: $3/$15 ต่อ 1 ล้าน tokens

    แพ็กเกจผู้ใช้ทั่วไป:
    - ฟรี: เข้าถึง Grok 3 แบบจำกัด
    - SuperGrok ($30/เดือน): เข้าถึง Grok 3 และ Grok 4
    - SuperGrok Heavy ($300/เดือน): เข้าถึง Grok 3, Grok 4 และ Grok 4 Heavy

    https://www.neowin.net/news/elon-musks-xai-launches-grok-4-claiming-top-spot-among-industry-ai-models/
    เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2025 Elon Musk และทีม xAI เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดรุ่นล่าสุด โดยมีจุดเด่นด้านการเข้าใจภาษา การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และการให้เหตุผลอย่างลึกซึ้ง Grok 4 มีหลายเวอร์ชัน โดยเวอร์ชัน “Heavy” ที่ใช้เครื่องมือหลายตัวพร้อมกัน (multi-agent tools) ทำคะแนนได้สูงมากในหลายการทดสอบ เช่น: - Humanity’s Last Exam (HLE): Grok 4 Heavy ทำคะแนนได้ 44.4% สูงกว่า Gemini 2.5 Pro ที่ใช้เครื่องมือ (26.9%) - ARC-AGI-2: Grok 4 ได้ 16.2% ซึ่งสูงกว่า Claude Opus 4 เกือบเท่าตัว - MMLU: ได้คะแนน 86.6% และมี Intelligence Index สูงถึง 73 ซึ่งนำหน้าทั้ง OpenAI และ Google ในด้าน STEM และการเขียนโค้ด: - GPQA: Grok 4 ได้ 87.5%, ส่วน Grok 4 Heavy ได้ 88.9% - AIME: Grok 4 Heavy ได้คะแนนเต็ม 100% - SWE-Bench: Grok 4 Code (จะเปิดตัวเดือนสิงหาคม) ทำคะแนนได้ 72–75% Elon Musk ระบุว่า Grok 4 “แทบไม่เคยตอบผิดในข้อสอบฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์เลย” และสามารถตรวจจับข้อผิดพลาดในคำถามได้ด้วย ด้านราคาการใช้งาน: - API ราคาเท่า Grok 3: $3/$15 ต่อ 1 ล้าน tokens แพ็กเกจผู้ใช้ทั่วไป: - ฟรี: เข้าถึง Grok 3 แบบจำกัด - SuperGrok ($30/เดือน): เข้าถึง Grok 3 และ Grok 4 - SuperGrok Heavy ($300/เดือน): เข้าถึง Grok 3, Grok 4 และ Grok 4 Heavy https://www.neowin.net/news/elon-musks-xai-launches-grok-4-claiming-top-spot-among-industry-ai-models/
    WWW.NEOWIN.NET
    Elon Musk's xAI launches Grok 4, claiming top spot among industry AI models
    Elon Musk's xAI has launched its new flagship AI model, Grok-4, which demonstrates leading performance in various academic, reasoning, and coding benchmarks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • Evolution – อีเมลไคลเอนต์ที่อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด
    หลายคนที่ใช้ Linux โดยเฉพาะบน GNOME desktop environment อาจคุ้นเคยกับ Evolution ซึ่งเป็นอีเมลไคลเอนต์โอเพนซอร์สที่มีฟีเจอร์ครบครัน ทั้งการจัดการอีเมล ปฏิทิน รายชื่อผู้ติดต่อ และรองรับโปรโตคอลหลากหลาย เช่น IMAP, POP และ Microsoft Exchange

    Evolution มีชื่อเสียงด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะฟีเจอร์ “Load Remote Content” ที่ช่วยบล็อกการโหลดเนื้อหาจากภายนอก เช่น tracking pixels ที่นักการตลาดใช้ติดตามว่าเราเปิดอีเมลหรือไม่

    แต่ Mike Cardwell ผู้ดูแลระบบจากสหราชอาณาจักรค้นพบช่องโหว่ร้ายแรง: แม้จะปิด “Load Remote Content” แล้ว หากอีเมลมี HTML tag ที่ฝัง DNS request เช่น

    <img src=\"trackingcode.attackersdomain.example.com\">

    Evolution ก็ยังส่ง DNS request ไปยังโดเมนนั้นทันทีที่เปิดอีเมล! นั่นหมายความว่า ผู้ส่งสามารถรู้ว่าเราเปิดอีเมล และอาจระบุตำแหน่งของเราผ่าน IP ของ DNS resolver ได้

    Cardwell แจ้งบั๊กไปยังทีมพัฒนา Evolution แต่กลับได้รับคำตอบแบบปัดความรับผิดชอบ โดยโยนปัญหาไปที่ WebKitGTK ซึ่งเป็นเอนจินแสดงผล HTML ที่ Evolution ใช้ และปิดเคสโดยอ้างถึงบั๊กเก่าที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการแก้ไข

    เขาเสนอแนวทางแก้ไข เช่น การกรอง HTML tags ที่ไม่ปลอดภัยก่อนส่งต่อให้ WebKitGTK แต่ดูเหมือนทีมพัฒนาไม่สนใจจะนำไปใช้ ทำให้ Cardwell แนะนำให้ผู้ใช้ที่ห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัว “เลิกใช้ Evolution” และหาทางเลือกอื่นแทน

    ข้อมูลจากข่าว
    - Evolution เป็นอีเมลไคลเอนต์โอเพนซอร์สยอดนิยมบน Linux โดยเฉพาะ GNOME
    - มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น GPG encryption และการบล็อก remote content
    - พบช่องโหว่ที่ทำให้ DNS request ถูกส่งออกแม้จะปิดการโหลดเนื้อหาภายนอก
    - ช่องโหว่นี้ทำให้ผู้ส่งอีเมลสามารถรู้ว่าเราเปิดอีเมลและอาจระบุตำแหน่งได้
    - ทีมพัฒนา Evolution ปัดความรับผิดชอบ โดยโยนปัญหาไปที่ WebKitGTK
    - ช่องโหว่นี้เคยถูกแจ้งตั้งแต่ปี 2023 แต่ยังไม่มีการแก้ไข
    - Cardwell แนะนำให้เลิกใช้ Evolution หากห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัว

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ผู้ใช้ Evolution อาจถูกติดตามผ่าน DNS request โดยไม่รู้ตัว
    - ฟีเจอร์ “Load Remote Content” ไม่สามารถป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลได้จริง
    - การใช้อีเมลไคลเอนต์ที่ไม่กรอง HTML tags อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือติดตาม
    - ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้อีเมลไคลเอนต์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว เช่น Thunderbird หรือ Mailspring
    - ผู้ใช้ Linux ที่ใช้ GNOME อาจได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว เพราะ Evolution มักติดตั้งมาโดยอัตโนมัติ

    https://www.neowin.net/news/if-you-care-about-privacy-stop-using-this-popular-linux-email-client-sysadmin-warns/
    Evolution – อีเมลไคลเอนต์ที่อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด หลายคนที่ใช้ Linux โดยเฉพาะบน GNOME desktop environment อาจคุ้นเคยกับ Evolution ซึ่งเป็นอีเมลไคลเอนต์โอเพนซอร์สที่มีฟีเจอร์ครบครัน ทั้งการจัดการอีเมล ปฏิทิน รายชื่อผู้ติดต่อ และรองรับโปรโตคอลหลากหลาย เช่น IMAP, POP และ Microsoft Exchange Evolution มีชื่อเสียงด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะฟีเจอร์ “Load Remote Content” ที่ช่วยบล็อกการโหลดเนื้อหาจากภายนอก เช่น tracking pixels ที่นักการตลาดใช้ติดตามว่าเราเปิดอีเมลหรือไม่ แต่ Mike Cardwell ผู้ดูแลระบบจากสหราชอาณาจักรค้นพบช่องโหว่ร้ายแรง: แม้จะปิด “Load Remote Content” แล้ว หากอีเมลมี HTML tag ที่ฝัง DNS request เช่น <img src=\"trackingcode.attackersdomain.example.com\"> Evolution ก็ยังส่ง DNS request ไปยังโดเมนนั้นทันทีที่เปิดอีเมล! นั่นหมายความว่า ผู้ส่งสามารถรู้ว่าเราเปิดอีเมล และอาจระบุตำแหน่งของเราผ่าน IP ของ DNS resolver ได้ Cardwell แจ้งบั๊กไปยังทีมพัฒนา Evolution แต่กลับได้รับคำตอบแบบปัดความรับผิดชอบ โดยโยนปัญหาไปที่ WebKitGTK ซึ่งเป็นเอนจินแสดงผล HTML ที่ Evolution ใช้ และปิดเคสโดยอ้างถึงบั๊กเก่าที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการแก้ไข เขาเสนอแนวทางแก้ไข เช่น การกรอง HTML tags ที่ไม่ปลอดภัยก่อนส่งต่อให้ WebKitGTK แต่ดูเหมือนทีมพัฒนาไม่สนใจจะนำไปใช้ ทำให้ Cardwell แนะนำให้ผู้ใช้ที่ห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัว “เลิกใช้ Evolution” และหาทางเลือกอื่นแทน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Evolution เป็นอีเมลไคลเอนต์โอเพนซอร์สยอดนิยมบน Linux โดยเฉพาะ GNOME - มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น GPG encryption และการบล็อก remote content - พบช่องโหว่ที่ทำให้ DNS request ถูกส่งออกแม้จะปิดการโหลดเนื้อหาภายนอก - ช่องโหว่นี้ทำให้ผู้ส่งอีเมลสามารถรู้ว่าเราเปิดอีเมลและอาจระบุตำแหน่งได้ - ทีมพัฒนา Evolution ปัดความรับผิดชอบ โดยโยนปัญหาไปที่ WebKitGTK - ช่องโหว่นี้เคยถูกแจ้งตั้งแต่ปี 2023 แต่ยังไม่มีการแก้ไข - Cardwell แนะนำให้เลิกใช้ Evolution หากห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัว ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ผู้ใช้ Evolution อาจถูกติดตามผ่าน DNS request โดยไม่รู้ตัว - ฟีเจอร์ “Load Remote Content” ไม่สามารถป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลได้จริง - การใช้อีเมลไคลเอนต์ที่ไม่กรอง HTML tags อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือติดตาม - ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้อีเมลไคลเอนต์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว เช่น Thunderbird หรือ Mailspring - ผู้ใช้ Linux ที่ใช้ GNOME อาจได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว เพราะ Evolution มักติดตั้งมาโดยอัตโนมัติ https://www.neowin.net/news/if-you-care-about-privacy-stop-using-this-popular-linux-email-client-sysadmin-warns/
    WWW.NEOWIN.NET
    If you care about privacy stop using this popular Linux email client, sysadmin warns
    GNU/Linux is often praised as a privacy-respecting operating system. Now, one of its most popular email clients has been found to contain a security flaw that the developers seem unwilling to address.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่

    WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย

    Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง

    ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน

    ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว
    - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out)
    - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager
    - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer
    - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร
    - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่
    - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager
    - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก
    - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต
    - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด

    https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่ WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out) - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่ - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Server Update Services (WSUS) is broken, and there is no workaround
    Microsoft has acknowledged a problem in Windows Server Update Services (WSUS) that is causing headaches for IT admins.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษิณลั่นรอคนรุ่นใหม่หมดเสี้ยนหนาม พร้อมเดินหน้าทำงานเต็มที่ โชว์วิสัยทัศน์สองงานใหญ่ แนะรัฐบาลเร่งแก้เศรษฐกิจ มั่นใจ Thai WORKS ปั้น OTOP สู่ตลาดโลก เผย อายุ 76 แล้ว ใจร้อนอยากเห็นผลงานเร็วๆ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064982

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทักษิณลั่นรอคนรุ่นใหม่หมดเสี้ยนหนาม พร้อมเดินหน้าทำงานเต็มที่ โชว์วิสัยทัศน์สองงานใหญ่ แนะรัฐบาลเร่งแก้เศรษฐกิจ มั่นใจ Thai WORKS ปั้น OTOP สู่ตลาดโลก เผย อายุ 76 แล้ว ใจร้อนอยากเห็นผลงานเร็วๆ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064982 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Haha
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 534 มุมมอง 0 รีวิว
  • NEX395 คือ Mini PC ที่ดูเหมือน SSD Enclosure มากกว่า Desktop — มีช่องระบายอากาศเต็มตัวเครื่องและดีไซน์บางผิดคาดจากเครื่องที่ใช้ APU แรงขนาดนี้

    ภายในใช้ Strix Halo APU ซึ่งมี
    - 16 คอร์ / 32 เธรด
    - GPU แบบในตัวคือ Radeon 8060S (แรงกว่า RX 7600 XT!)
    - รองรับ RAM สูงสุด 128GB (น่าจะเป็น LPDDR5X)

    แต่น่าสงสัยมาก: ไม่มีข้อมูลเรื่อง cooling, ระบบจัดการความร้อน, หรือแม้แต่ layout ภายในของบอร์ด! → ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่า: นี่ใช้งานแบบ full-load ได้จริงไหม? หรือแค่เร่งแรงเพื่อโชว์เฉย ๆ

    แม้จะมีช่อง HDMI, DisplayPort, USB-A, USB-C และ Ethernet 2 ช่อง — แต่ไม่มีพอร์ต OCuLink สำหรับต่อ eGPU แบบเต็มสปีด → มีขาย eGPU เพิ่มแยก โดยใช้ Radeon RX 7600 XT (แต่จริง ๆ GPU ในตัวแรงกว่าอีก!)

    ราคาไม่เปิดเผย แต่จากการเปรียบเทียบกับรุ่นคล้าย ๆ เช่น HP Z2 Mini G1a และ GMKTEC EVO-X2 ก็น่าจะอยู่ที่ $1,500–$2,000

    AOOSTAR NEX395 เป็น Mini PC ใช้ AMD Ryzen AI MAX+ 395 (Strix Halo APU)  
    • CPU 16-core / 32-thread / Boost 5.1GHz  
    • GPU ในตัวคือ Radeon 8060S แบบใหม่  
    • รองรับ RAM สูงสุด 128GB (น่าจะเป็น LPDDR5X)

    ดีไซน์ตัวเครื่องแปลกตา → เหมือน SSD Dock มากกว่า PC  
    • ถือในมือได้ / น้ำหนักเบา / มีพอร์ตครบ

    มี GPU ในตัว + ขาย eGPU เพิ่ม → แต่ eGPU ใช้ RX 7600 XT ที่สเปกต่ำกว่า GPU ในตัวอีก

    ไม่มีข้อมูลเรื่องการระบายความร้อนหรือโครงสร้างภายใน

    พอร์ตเชื่อมต่อหลัก:  
    • USB-A 4 ช่อง / USB-C / HDMI / DisplayPort / Ethernet 2 ช่อง / พาวเวอร์ input แยก

    คาดว่าราคาอาจอยู่ในช่วง $1500–$2000  
    • เทียบกับรุ่นที่มี GPU ภายนอก / เน้น AI เช่น HP Z2 Mini หรือ GMKTEC

    ไม่มีข้อมูลระบบระบายความร้อนเลย → อาจมีปัญหาเรื่อง thermal throttling หากใช้งานหนัก

    ตัว GPU ใน APU (Radeon 8060S) สเปกแรงกว่า eGPU ที่ขายแยก (RX 7600 XT) → ทำให้การต่อ eGPU ดูไม่คุ้มค่า

    ไม่มีพอร์ต OCuLink หรือการเชื่อมต่อ PCIe เร็วสำหรับ eGPU → อาจเกิดคอขวดถ้าใช้งานกราฟิกจากภายนอก

    ดีไซน์บางเบาแม้จะใช้ APU ระดับ workstation → ทำให้สงสัยว่าสามารถให้ประสิทธิภาพเต็มรูปแบบได้หรือไม่

    ไม่มีข้อมูล storage, fan layout หรือแม้แต่ motherboard ที่ใช้จริง → อาจทำให้ผู้ใช้สาย dev/AI ที่ต้องการความเสถียรลังเล

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-weirdest-looking-ai-max-395-mini-pc-that-ive-ever-seen-and-you-can-apparently-hold-it-comfortably-in-the-palm-of-your-hand
    NEX395 คือ Mini PC ที่ดูเหมือน SSD Enclosure มากกว่า Desktop — มีช่องระบายอากาศเต็มตัวเครื่องและดีไซน์บางผิดคาดจากเครื่องที่ใช้ APU แรงขนาดนี้ ภายในใช้ Strix Halo APU ซึ่งมี - 16 คอร์ / 32 เธรด - GPU แบบในตัวคือ Radeon 8060S (แรงกว่า RX 7600 XT!) - รองรับ RAM สูงสุด 128GB (น่าจะเป็น LPDDR5X) แต่น่าสงสัยมาก: ไม่มีข้อมูลเรื่อง cooling, ระบบจัดการความร้อน, หรือแม้แต่ layout ภายในของบอร์ด! → ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่า: นี่ใช้งานแบบ full-load ได้จริงไหม? หรือแค่เร่งแรงเพื่อโชว์เฉย ๆ แม้จะมีช่อง HDMI, DisplayPort, USB-A, USB-C และ Ethernet 2 ช่อง — แต่ไม่มีพอร์ต OCuLink สำหรับต่อ eGPU แบบเต็มสปีด → มีขาย eGPU เพิ่มแยก โดยใช้ Radeon RX 7600 XT (แต่จริง ๆ GPU ในตัวแรงกว่าอีก!) ราคาไม่เปิดเผย แต่จากการเปรียบเทียบกับรุ่นคล้าย ๆ เช่น HP Z2 Mini G1a และ GMKTEC EVO-X2 ก็น่าจะอยู่ที่ $1,500–$2,000 ✅ AOOSTAR NEX395 เป็น Mini PC ใช้ AMD Ryzen AI MAX+ 395 (Strix Halo APU)   • CPU 16-core / 32-thread / Boost 5.1GHz   • GPU ในตัวคือ Radeon 8060S แบบใหม่   • รองรับ RAM สูงสุด 128GB (น่าจะเป็น LPDDR5X) ✅ ดีไซน์ตัวเครื่องแปลกตา → เหมือน SSD Dock มากกว่า PC   • ถือในมือได้ / น้ำหนักเบา / มีพอร์ตครบ ✅ มี GPU ในตัว + ขาย eGPU เพิ่ม → แต่ eGPU ใช้ RX 7600 XT ที่สเปกต่ำกว่า GPU ในตัวอีก ✅ ไม่มีข้อมูลเรื่องการระบายความร้อนหรือโครงสร้างภายใน ✅ พอร์ตเชื่อมต่อหลัก:   • USB-A 4 ช่อง / USB-C / HDMI / DisplayPort / Ethernet 2 ช่อง / พาวเวอร์ input แยก ✅ คาดว่าราคาอาจอยู่ในช่วง $1500–$2000   • เทียบกับรุ่นที่มี GPU ภายนอก / เน้น AI เช่น HP Z2 Mini หรือ GMKTEC ‼️ ไม่มีข้อมูลระบบระบายความร้อนเลย → อาจมีปัญหาเรื่อง thermal throttling หากใช้งานหนัก ‼️ ตัว GPU ใน APU (Radeon 8060S) สเปกแรงกว่า eGPU ที่ขายแยก (RX 7600 XT) → ทำให้การต่อ eGPU ดูไม่คุ้มค่า ‼️ ไม่มีพอร์ต OCuLink หรือการเชื่อมต่อ PCIe เร็วสำหรับ eGPU → อาจเกิดคอขวดถ้าใช้งานกราฟิกจากภายนอก ‼️ ดีไซน์บางเบาแม้จะใช้ APU ระดับ workstation → ทำให้สงสัยว่าสามารถให้ประสิทธิภาพเต็มรูปแบบได้หรือไม่ ‼️ ไม่มีข้อมูล storage, fan layout หรือแม้แต่ motherboard ที่ใช้จริง → อาจทำให้ผู้ใช้สาย dev/AI ที่ต้องการความเสถียรลังเล https://www.techradar.com/pro/this-is-the-weirdest-looking-ai-max-395-mini-pc-that-ive-ever-seen-and-you-can-apparently-hold-it-comfortably-in-the-palm-of-your-hand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘พ่อนายกฯ’ ลั่นไม่ถึงทางตัน เพราะผมยังอยู่! ลุยแก้เสียงปริ่มน้ำ
    https://www.thai-tai.tv/news/20155/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ExclusiveTalk #เครือเนชั่น #ทางตันประเทศไทย #นิติสงคราม #ภูมิใจไทย #กระทรวงมหาดไทย #แพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #OTOP #ThaiWORKS #SoftPower #การเมืองไทย #รัฐบาลเพื่อไทย #ฮุนเซน #ชัยเกษมนิติสิริ
    ‘พ่อนายกฯ’ ลั่นไม่ถึงทางตัน เพราะผมยังอยู่! ลุยแก้เสียงปริ่มน้ำ https://www.thai-tai.tv/news/20155/ . #ทักษิณชินวัตร #ExclusiveTalk #เครือเนชั่น #ทางตันประเทศไทย #นิติสงคราม #ภูมิใจไทย #กระทรวงมหาดไทย #แพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #OTOP #ThaiWORKS #SoftPower #การเมืองไทย #รัฐบาลเพื่อไทย #ฮุนเซน #ชัยเกษมนิติสิริ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘พ่อนายกฯ’ ลั่นไม่ถึงทางตัน เพราะผมยังอยู่! ลุยแก้เสียงปริ่มน้ำ
    https://www.thai-tai.tv/news/20155/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ExclusiveTalk #เครือเนชั่น #ทางตันประเทศไทย #นิติสงคราม #ภูมิใจไทย #กระทรวงมหาดไทย #แพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #OTOP #ThaiWORKS #SoftPower #การเมืองไทย #รัฐบาลเพื่อไทย #ฮุนเซน #ชัยเกษมนิติสิริ
    ‘พ่อนายกฯ’ ลั่นไม่ถึงทางตัน เพราะผมยังอยู่! ลุยแก้เสียงปริ่มน้ำ https://www.thai-tai.tv/news/20155/ . #ทักษิณชินวัตร #ExclusiveTalk #เครือเนชั่น #ทางตันประเทศไทย #นิติสงคราม #ภูมิใจไทย #กระทรวงมหาดไทย #แพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #OTOP #ThaiWORKS #SoftPower #การเมืองไทย #รัฐบาลเพื่อไทย #ฮุนเซน #ชัยเกษมนิติสิริ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘พ่อนายกฯ’ ลั่นไม่ถึงทางตัน เพราะผมยังอยู่! ลุยแก้เสียงปริ่มน้ำ
    https://www.thai-tai.tv/news/20155/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ExclusiveTalk #เครือเนชั่น #ทางตันประเทศไทย #นิติสงคราม #ภูมิใจไทย #กระทรวงมหาดไทย #แพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #OTOP #ThaiWORKS #SoftPower #การเมืองไทย #รัฐบาลเพื่อไทย #ฮุนเซน #ชัยเกษมนิติสิริ
    ‘พ่อนายกฯ’ ลั่นไม่ถึงทางตัน เพราะผมยังอยู่! ลุยแก้เสียงปริ่มน้ำ https://www.thai-tai.tv/news/20155/ . #ทักษิณชินวัตร #ExclusiveTalk #เครือเนชั่น #ทางตันประเทศไทย #นิติสงคราม #ภูมิใจไทย #กระทรวงมหาดไทย #แพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #OTOP #ThaiWORKS #SoftPower #การเมืองไทย #รัฐบาลเพื่อไทย #ฮุนเซน #ชัยเกษมนิติสิริ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • "พ่อนายกฯ" เปิดตัว ThaiWORKS โวพัฒนาของดีเมืองไทย ซัดความไม่สามัคคีขวางซอฟต์พาวเวอร์ เหน็บคนไทยเก่งเขียนนิยายการเมืองน้ำเน่า
    https://www.thai-tai.tv/news/20151/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ThaiWORKS #OTOP #SoftPower #เศรษฐกิจสร้างสรรค์ #การเมืองไทย #ซอฟต์พาวเวอร์ #ความสามัคคี #กระทรวงมหาดไทย #PeterArnell #SPLASHSoftPowerForum2025
    "พ่อนายกฯ" เปิดตัว ThaiWORKS โวพัฒนาของดีเมืองไทย ซัดความไม่สามัคคีขวางซอฟต์พาวเวอร์ เหน็บคนไทยเก่งเขียนนิยายการเมืองน้ำเน่า https://www.thai-tai.tv/news/20151/ . #ทักษิณชินวัตร #ThaiWORKS #OTOP #SoftPower #เศรษฐกิจสร้างสรรค์ #การเมืองไทย #ซอฟต์พาวเวอร์ #ความสามัคคี #กระทรวงมหาดไทย #PeterArnell #SPLASHSoftPowerForum2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราคุ้นกับการที่ Windows อัปเดตแล้วขอรีสตาร์ต… แถมบางครั้งก็ดันรีเองตอนเผลออีกต่างหาก → แต่ “Hotpatching” คือการปล่อยแพตช์เข้าไปในหน่วยความจำโดยตรงแบบสด ๆ → ไม่ต้องรีบูตก็ได้! → แน่นอนว่าใช้ได้เฉพาะการอัปเดตความปลอดภัย (security updates)

    Microsoft เริ่มใช้กับ Windows 11 24H2 (x64) ตั้งแต่เมษายน 2025 → และตอนนี้ก็ขยายมาที่ Windows on ARM แล้ว!

    ทำงานยังไง?
    - ทุกเดือนจะมี hotpatch update แบบ “ไม่ต้องรีสตาร์ตเลย”
    - ทุก 3 เดือนจะมี “baseline update” ที่ต้องรีบูต 1 ครั้ง
    - หลังจากนั้น…อีก 2 เดือนคุณจะใช้คอมได้แบบไม่มี popup จิกให้รีสตาร์ตเลย!

    ที่เจ๋งคือ เหมาะกับองค์กรมาก ๆ → เพราะ admin สามารถควบคุมผ่าน Intune, Windows Autopatch → แถมแพตช์ขนาดเล็กลง โหลดเร็ว และปลอดภัยทันทีไม่ต้องรอให้ผู้ใช้กดรีบูตก่อน

    Microsoft บอกว่าตั้งแต่เปิดตัวมาในเดือนเมษายน มี “อุปกรณ์หลายล้านเครื่อง” ได้รับ hotpatch แล้ว → และ “feedback ส่วนใหญ่มาในแง่บวกมาก”

    Hotpatching ช่วยให้ Windows 11 อัปเดตความปลอดภัยโดยไม่ต้องรีสตาร์ตทุกครั้ง  
    • ขยายจาก x64 → ARM แล้วในเวอร์ชัน 24H2

    อัปเดตแบบนี้จะช่วยลด “ช่วงเวลาที่ระบบไม่ปลอดภัย” (vulnerability window)  
    • เพราะไม่ต้องรอให้ผู้ใช้ reboot

    admin สามารถควบคุมผ่าน Microsoft Intune และ Windows Autopatch ได้เต็มรูปแบบ  
    • รองรับการกำหนดการ rollout ของแพตช์  • เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ uptime สูง

    ทุก 3 เดือนจะมี baseline update ที่ต้องรีบูต 1 ครั้ง จากนั้นใช้ hotpatch ต่อได้ 2 เดือนโดยไม่ต้อง reboot

    Feedback จากผู้ใช้หลายล้านเครื่องหลังใช้ hotpatch ช่วงเดือนเมษายน–กรกฎาคม → “เป็นบวกอย่างมาก”

    https://www.neowin.net/news/more-windows-pcs-can-now-apply-updates-with-fewer-restarts/
    เราคุ้นกับการที่ Windows อัปเดตแล้วขอรีสตาร์ต… แถมบางครั้งก็ดันรีเองตอนเผลออีกต่างหาก → แต่ “Hotpatching” คือการปล่อยแพตช์เข้าไปในหน่วยความจำโดยตรงแบบสด ๆ → ไม่ต้องรีบูตก็ได้! → แน่นอนว่าใช้ได้เฉพาะการอัปเดตความปลอดภัย (security updates) Microsoft เริ่มใช้กับ Windows 11 24H2 (x64) ตั้งแต่เมษายน 2025 → และตอนนี้ก็ขยายมาที่ Windows on ARM แล้ว! ทำงานยังไง? - ทุกเดือนจะมี hotpatch update แบบ “ไม่ต้องรีสตาร์ตเลย” - ทุก 3 เดือนจะมี “baseline update” ที่ต้องรีบูต 1 ครั้ง - หลังจากนั้น…อีก 2 เดือนคุณจะใช้คอมได้แบบไม่มี popup จิกให้รีสตาร์ตเลย! ที่เจ๋งคือ เหมาะกับองค์กรมาก ๆ → เพราะ admin สามารถควบคุมผ่าน Intune, Windows Autopatch → แถมแพตช์ขนาดเล็กลง โหลดเร็ว และปลอดภัยทันทีไม่ต้องรอให้ผู้ใช้กดรีบูตก่อน Microsoft บอกว่าตั้งแต่เปิดตัวมาในเดือนเมษายน มี “อุปกรณ์หลายล้านเครื่อง” ได้รับ hotpatch แล้ว → และ “feedback ส่วนใหญ่มาในแง่บวกมาก” ✅ Hotpatching ช่วยให้ Windows 11 อัปเดตความปลอดภัยโดยไม่ต้องรีสตาร์ตทุกครั้ง   • ขยายจาก x64 → ARM แล้วในเวอร์ชัน 24H2 ✅ อัปเดตแบบนี้จะช่วยลด “ช่วงเวลาที่ระบบไม่ปลอดภัย” (vulnerability window)   • เพราะไม่ต้องรอให้ผู้ใช้ reboot ✅ admin สามารถควบคุมผ่าน Microsoft Intune และ Windows Autopatch ได้เต็มรูปแบบ   • รองรับการกำหนดการ rollout ของแพตช์  • เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ uptime สูง ✅ ทุก 3 เดือนจะมี baseline update ที่ต้องรีบูต 1 ครั้ง จากนั้นใช้ hotpatch ต่อได้ 2 เดือนโดยไม่ต้อง reboot ✅ Feedback จากผู้ใช้หลายล้านเครื่องหลังใช้ hotpatch ช่วงเดือนเมษายน–กรกฎาคม → “เป็นบวกอย่างมาก” https://www.neowin.net/news/more-windows-pcs-can-now-apply-updates-with-fewer-restarts/
    WWW.NEOWIN.NET
    More Windows PCs can now apply updates with fewer restarts
    If you have a Windows computer with an ARM processor, you can now benefit from a new feature that enables more updates without disruptions and restarts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sparkle เปิดตัวการ์ดจอตระกูล Arc Pro B60 สามรุ่นรวด → รุ่นแรกเป็นแบบพัดลมเป่า (blower) ขนาด 24GB → รุ่นที่สองเป็นแบบระบายความร้อนแบบพาสซีฟ (ไม่มีพัดลม) ขนาด 24GB เหมาะกับ server → รุ่นสุดท้ายคือ “ไพ่ตาย” — การ์ด dual-GPU ขนาด 48GB ที่แรงกว่าและกินไฟน้อยกว่ารุ่นของ MaxSun ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้

    จุดเด่นของแต่ละ GPU คือมี 20 Xe-core + 160 XMX engine (หน่วยเร่ง AI) → ทำให้สามารถประมวลผล AI แบบ INT8 ได้สูงสุด 394 TOPS → รองรับ ray tracing และการเข้ารหัส AV1 ด้วย Xe media engine

    ถึงจะดูคล้ายการ์ดเกม แต่ Arc Pro B60 ถูกออกแบบมาสำหรับ AI inference, media workstation, และ data lab โดยเฉพาะ → ไม่ใช้ multi-GPU แบบ SLI หรือแบ่งงาน render แบบการ์ดเกม → แต่ใช้โครงสร้างที่แชร์ PCIe x16 ด้วยกัน โดยแต่ละชิปใช้ 8 เลนเท่า ๆ กัน

    การมีรุ่นพาสซีฟแสดงให้เห็นว่า Sparkle จับกลุ่ม server/data center ชัดเจน → พร้อมทั้งใช้ไดรเวอร์ Pro ที่เน้นเสถียรภาพสำหรับซอฟต์แวร์เวิร์กสเตชัน → และยังรองรับ consumer driver เผื่อบางงานที่เบาลง หรือใช้ใน mini-AI desktop

    Sparkle เปิดตัว Arc Pro B60 Series แบบมืออาชีพ 3 รุ่น:  
    • Blower 24GB  • Passive cooling 24GB (เงียบและเหมาะกับ rack/server)  
    • Dual-GPU 48GB พร้อมระบายความร้อนแบบ blower

    ทุกรุ่นใช้สถาปัตยกรรม Intel Battlemage พร้อม 20 Xe-core + 160 XMX engine ต่อชิป  
    • INT8 AI throughput สูงถึง 394 TOPS (รวม 2 GPU)  
    • รองรับ ray tracing + AV1 encode

    การ์ด dual-GPU ใช้พลังงาน 300W → แรงแต่ยังควบคุมความร้อนได้ดี  
    • แบ่งเลน PCIe 5.0 x16 แบบ 8+8  
    • ไม่แชร์ RAM ระหว่าง 2 GPU

    รองรับ Linux multi-GPU และ OneAPI → เหมาะกับงาน HPC, วิจัย, AI inferencing ขนาดใหญ่

    เปิดตัวปลายปี 2025 → มาทันช่วงตลาด AI desktop–workstation กำลังโต

    https://www.techradar.com/pro/another-dual-intel-gpu-card-with-48gb-vram-launched-as-arc-pro-emerges-as-cheap-nvidia-and-amd-alternative-for-ai-crowd
    Sparkle เปิดตัวการ์ดจอตระกูล Arc Pro B60 สามรุ่นรวด → รุ่นแรกเป็นแบบพัดลมเป่า (blower) ขนาด 24GB → รุ่นที่สองเป็นแบบระบายความร้อนแบบพาสซีฟ (ไม่มีพัดลม) ขนาด 24GB เหมาะกับ server → รุ่นสุดท้ายคือ “ไพ่ตาย” — การ์ด dual-GPU ขนาด 48GB ที่แรงกว่าและกินไฟน้อยกว่ารุ่นของ MaxSun ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ จุดเด่นของแต่ละ GPU คือมี 20 Xe-core + 160 XMX engine (หน่วยเร่ง AI) → ทำให้สามารถประมวลผล AI แบบ INT8 ได้สูงสุด 394 TOPS → รองรับ ray tracing และการเข้ารหัส AV1 ด้วย Xe media engine ถึงจะดูคล้ายการ์ดเกม แต่ Arc Pro B60 ถูกออกแบบมาสำหรับ AI inference, media workstation, และ data lab โดยเฉพาะ → ไม่ใช้ multi-GPU แบบ SLI หรือแบ่งงาน render แบบการ์ดเกม → แต่ใช้โครงสร้างที่แชร์ PCIe x16 ด้วยกัน โดยแต่ละชิปใช้ 8 เลนเท่า ๆ กัน การมีรุ่นพาสซีฟแสดงให้เห็นว่า Sparkle จับกลุ่ม server/data center ชัดเจน → พร้อมทั้งใช้ไดรเวอร์ Pro ที่เน้นเสถียรภาพสำหรับซอฟต์แวร์เวิร์กสเตชัน → และยังรองรับ consumer driver เผื่อบางงานที่เบาลง หรือใช้ใน mini-AI desktop ✅ Sparkle เปิดตัว Arc Pro B60 Series แบบมืออาชีพ 3 รุ่น:   • Blower 24GB  • Passive cooling 24GB (เงียบและเหมาะกับ rack/server)   • Dual-GPU 48GB พร้อมระบายความร้อนแบบ blower ✅ ทุกรุ่นใช้สถาปัตยกรรม Intel Battlemage พร้อม 20 Xe-core + 160 XMX engine ต่อชิป   • INT8 AI throughput สูงถึง 394 TOPS (รวม 2 GPU)   • รองรับ ray tracing + AV1 encode ✅ การ์ด dual-GPU ใช้พลังงาน 300W → แรงแต่ยังควบคุมความร้อนได้ดี   • แบ่งเลน PCIe 5.0 x16 แบบ 8+8   • ไม่แชร์ RAM ระหว่าง 2 GPU ✅ รองรับ Linux multi-GPU และ OneAPI → เหมาะกับงาน HPC, วิจัย, AI inferencing ขนาดใหญ่ ✅ เปิดตัวปลายปี 2025 → มาทันช่วงตลาด AI desktop–workstation กำลังโต https://www.techradar.com/pro/another-dual-intel-gpu-card-with-48gb-vram-launched-as-arc-pro-emerges-as-cheap-nvidia-and-amd-alternative-for-ai-crowd
    WWW.TECHRADAR.COM
    Sparkle confirms three Arc Pro B60 GPUs for professional workloads
    Sparkle offers three B60 models with blower or passive cooling
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทสัญชาติรัฐของจีน AECC (Aero Engine Corporation of China) ประสบความสำเร็จในการทดสอบ "เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดจิ๋วที่พิมพ์สามมิติ" ได้จริง ไม่ใช่แค่ต้นแบบ แต่คือของจริงที่ “บินได้” และยังให้แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม ที่ระดับความสูงกว่า 13,000 ฟุต ซึ่งถือเป็นการผสานวัสดุศาสตร์ วิศวกรรมการพิมพ์ 3 มิติ และการบินในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

    เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก (micro turbojet) ที่จีนทำได้นี้ ไม่ใช่แบบจำลองหรือต้นแบบที่โชว์ในงานนิทรรศการ → แต่มันคือเครื่องยนต์ที่ “ทำงานได้จริง” บินขึ้นจาก Inner Mongolia ด้วยตัวเอง → มีแรงขับถึง 160 กิโลกรัม และบินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต)

    แม้ทาง AECC จะไม่เปิดเผยว่า “ส่วนไหนของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ” แต่บอกว่าใช้หลัก "multidisciplinary topological optimization" ในการออกแบบ → ลดน้ำหนักลงอย่างแม่นยำ โดยปรับพารามิเตอร์การพิมพ์ให้เหมาะกับแต่ละชิ้นส่วน → ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งแรงขับ–ความเบา–และความทนทาน

    แม้จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลเรื่องเครื่องพิมพ์หรือวัสดุที่ใช้ แต่การที่สามารถพิมพ์และบินได้จริงแบบนี้ ทำให้ จีนกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet พิมพ์ 3 มิติแบบสำเร็จเต็มรูปแบบ

    AECC ของจีนเป็นองค์กรแรกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet ขนาดจิ๋วแบบพิมพ์ 3 มิติได้สำเร็จ  
    • ไม่ใช่แค่จำลอง แต่ “บินได้จริง” ในภาคสนาม  
    • ทดสอบในเขต Inner Mongolia

    แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม (≒ 350 ปอนด์)  
    • บินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต)

    ออกแบบด้วยแนวคิด “multidisciplinary topological optimization”  
    • เน้นลดน้ำหนัก → เพิ่มแรงขับต่อมวล  
    • ปรับพารามิเตอร์พิมพ์แต่ละชิ้นให้เหมาะสมที่สุด

    ยังไม่ชัดว่าส่วนไหนของเครื่องยนต์ถูกพิมพ์ 3 มิติ, วัสดุที่ใช้ หรือประเภทเครื่องพิมพ์

    ถือเป็นก้าวสำคัญในการพิสูจน์ว่า 3D Printing ใช้งานได้จริงในด้าน aerospace ไม่ใช่แค่ต้นแบบ

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/china-state-backed-firm-is-first-to-3d-print-a-micro-turbojet-engine-and-not-just-for-show-new-design-delivers-160-kg-of-thrust-successfully-tested-at-13-000-ft-altitude
    บริษัทสัญชาติรัฐของจีน AECC (Aero Engine Corporation of China) ประสบความสำเร็จในการทดสอบ "เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดจิ๋วที่พิมพ์สามมิติ" ได้จริง ไม่ใช่แค่ต้นแบบ แต่คือของจริงที่ “บินได้” และยังให้แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม ที่ระดับความสูงกว่า 13,000 ฟุต ซึ่งถือเป็นการผสานวัสดุศาสตร์ วิศวกรรมการพิมพ์ 3 มิติ และการบินในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน 🛩️🧩 เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก (micro turbojet) ที่จีนทำได้นี้ ไม่ใช่แบบจำลองหรือต้นแบบที่โชว์ในงานนิทรรศการ → แต่มันคือเครื่องยนต์ที่ “ทำงานได้จริง” บินขึ้นจาก Inner Mongolia ด้วยตัวเอง → มีแรงขับถึง 160 กิโลกรัม และบินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต) แม้ทาง AECC จะไม่เปิดเผยว่า “ส่วนไหนของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ” แต่บอกว่าใช้หลัก "multidisciplinary topological optimization" ในการออกแบบ → ลดน้ำหนักลงอย่างแม่นยำ โดยปรับพารามิเตอร์การพิมพ์ให้เหมาะกับแต่ละชิ้นส่วน → ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งแรงขับ–ความเบา–และความทนทาน แม้จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลเรื่องเครื่องพิมพ์หรือวัสดุที่ใช้ แต่การที่สามารถพิมพ์และบินได้จริงแบบนี้ ทำให้ จีนกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet พิมพ์ 3 มิติแบบสำเร็จเต็มรูปแบบ ✅ AECC ของจีนเป็นองค์กรแรกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet ขนาดจิ๋วแบบพิมพ์ 3 มิติได้สำเร็จ   • ไม่ใช่แค่จำลอง แต่ “บินได้จริง” ในภาคสนาม   • ทดสอบในเขต Inner Mongolia ✅ แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม (≒ 350 ปอนด์)   • บินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต) ✅ ออกแบบด้วยแนวคิด “multidisciplinary topological optimization”   • เน้นลดน้ำหนัก → เพิ่มแรงขับต่อมวล   • ปรับพารามิเตอร์พิมพ์แต่ละชิ้นให้เหมาะสมที่สุด ✅ ยังไม่ชัดว่าส่วนไหนของเครื่องยนต์ถูกพิมพ์ 3 มิติ, วัสดุที่ใช้ หรือประเภทเครื่องพิมพ์ ✅ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพิสูจน์ว่า 3D Printing ใช้งานได้จริงในด้าน aerospace ไม่ใช่แค่ต้นแบบ https://www.tomshardware.com/3d-printing/china-state-backed-firm-is-first-to-3d-print-a-micro-turbojet-engine-and-not-just-for-show-new-design-delivers-160-kg-of-thrust-successfully-tested-at-13-000-ft-altitude
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เคยเปิดตัว Arrow Lake เมื่อปี 2024 แต่เสียงตอบรับก็กลาง ๆ ไม่ถึงกับว้าว → ล่าสุด Intel ไม่รอ Nova Lake ที่ยังอีกไกลในปี 2026 → จึงเตรียม ปล่อย Arrow Lake Refresh สำหรับเดสก์ท็อปช่วงครึ่งหลังปี 2025

    แม้จะยังใช้โครงสร้างเดิม เช่น
    - P-core = Lion Cove
    - E-core = Skymont
    - Socket = LGA 1851 เดิม ใช้เมนบอร์ดชิปเซต 800 ได้เหมือนเดิม แต่ Intel ก็ปรับจูนหลายอย่างให้ดีขึ้น

    ไฮไลต์คือเปลี่ยน NPU (Neural Processing Unit) → จากเดิม NPU 3 (13 TOPS, จาก Meteor Lake) เป็น NPU 4 (48 TOPS) → ตรงตามข้อกำหนดของ Microsoft สำหรับ “Copilot+ PC” ที่ต้องมี NPU ≥ 40 TOPS

    การที่ Intel เลือกใส่ NPU ใหม่ตัวนี้ อาจดูเหมือนไม่มาก → แต่หมายความว่า ผู้ใช้สามารถใช้ฟีเจอร์ AI ใน Windows 11/12 แบบเต็มระบบได้แล้ว → เช่น Recall, Cocreator, Live Caption, Studio Effects ฯลฯ

    Intel ยังใช้กระบวนการผลิต 20A เดิม แต่เลือกซิลิคอนที่ดีขึ้น (better binning) → ทำให้เพิ่มความเร็ว (clock) ได้อีกเล็กน้อย → น่าจะคล้ายแนวทาง Core Boost 200S ที่เปิดตัวที่ Computex ก่อนหน้านี้

    Intel เตรียมเปิดตัว “Arrow Lake Refresh” ครึ่งหลังปี 2025  
    • ใช้ชื่อเดิม แต่เพิ่ม clock และเปลี่ยน NPU  
    • เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อยากรอ Nova Lake ปี 2026

    เปลี่ยนจาก NPU 3 (13 TOPS) → NPU 4 (48 TOPS)  
    • รองรับเกณฑ์ Copilot+ AI PC จาก Microsoft  
    • ใช้เทคโนโลยีจาก Lunar Lake รุ่นโน้ตบุ๊ค

    ยังใช้ socket LGA 1851 และชิปเซต 800 เดิม  
    • รองรับเมนบอร์ดปัจจุบันได้ทันที  
    • ช่วยขยายอายุการใช้งานของแพลตฟอร์มอีก 1 เจนเนอเรชัน

    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง CPU — ใช้ P-Core (Lion Cove) และ E-Core (Skymont) เดิม  
    • เพิ่มแค่ clock speed ผ่านกระบวนการเลือกชิปคุณภาพสูงกว่า

    ฟีเจอร์ใหม่จากฝั่ง AI PC จะสามารถเปิดใช้ได้เต็มรูปแบบผ่านฮาร์ดแวร์นี้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-prepping-arrow-lake-refresh-with-minor-clock-speed-bump-and-a-new-copilot-ai-compliant-npu-lifted-from-core-ultra-200v-reportedly-launches-in-the-second-half-of-2025
    Intel เคยเปิดตัว Arrow Lake เมื่อปี 2024 แต่เสียงตอบรับก็กลาง ๆ ไม่ถึงกับว้าว → ล่าสุด Intel ไม่รอ Nova Lake ที่ยังอีกไกลในปี 2026 → จึงเตรียม ปล่อย Arrow Lake Refresh สำหรับเดสก์ท็อปช่วงครึ่งหลังปี 2025 แม้จะยังใช้โครงสร้างเดิม เช่น - P-core = Lion Cove - E-core = Skymont - Socket = LGA 1851 เดิม ใช้เมนบอร์ดชิปเซต 800 ได้เหมือนเดิม แต่ Intel ก็ปรับจูนหลายอย่างให้ดีขึ้น ไฮไลต์คือเปลี่ยน NPU (Neural Processing Unit) → จากเดิม NPU 3 (13 TOPS, จาก Meteor Lake) เป็น NPU 4 (48 TOPS) → ตรงตามข้อกำหนดของ Microsoft สำหรับ “Copilot+ PC” ที่ต้องมี NPU ≥ 40 TOPS การที่ Intel เลือกใส่ NPU ใหม่ตัวนี้ อาจดูเหมือนไม่มาก → แต่หมายความว่า ผู้ใช้สามารถใช้ฟีเจอร์ AI ใน Windows 11/12 แบบเต็มระบบได้แล้ว → เช่น Recall, Cocreator, Live Caption, Studio Effects ฯลฯ Intel ยังใช้กระบวนการผลิต 20A เดิม แต่เลือกซิลิคอนที่ดีขึ้น (better binning) → ทำให้เพิ่มความเร็ว (clock) ได้อีกเล็กน้อย → น่าจะคล้ายแนวทาง Core Boost 200S ที่เปิดตัวที่ Computex ก่อนหน้านี้ ✅ Intel เตรียมเปิดตัว “Arrow Lake Refresh” ครึ่งหลังปี 2025   • ใช้ชื่อเดิม แต่เพิ่ม clock และเปลี่ยน NPU   • เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อยากรอ Nova Lake ปี 2026 ✅ เปลี่ยนจาก NPU 3 (13 TOPS) → NPU 4 (48 TOPS)   • รองรับเกณฑ์ Copilot+ AI PC จาก Microsoft   • ใช้เทคโนโลยีจาก Lunar Lake รุ่นโน้ตบุ๊ค ✅ ยังใช้ socket LGA 1851 และชิปเซต 800 เดิม   • รองรับเมนบอร์ดปัจจุบันได้ทันที   • ช่วยขยายอายุการใช้งานของแพลตฟอร์มอีก 1 เจนเนอเรชัน ✅ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง CPU — ใช้ P-Core (Lion Cove) และ E-Core (Skymont) เดิม   • เพิ่มแค่ clock speed ผ่านกระบวนการเลือกชิปคุณภาพสูงกว่า ✅ ฟีเจอร์ใหม่จากฝั่ง AI PC จะสามารถเปิดใช้ได้เต็มรูปแบบผ่านฮาร์ดแวร์นี้ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-prepping-arrow-lake-refresh-with-minor-clock-speed-bump-and-a-new-copilot-ai-compliant-npu-lifted-from-core-ultra-200v-reportedly-launches-in-the-second-half-of-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในขณะที่หลายประเทศเดินหน้าพัฒนาโดรนที่ “ฉลาดขึ้น” เพื่อลดการสูญเสียจากการใช้งานคนจริงในสนามรบ รัสเซียก็ไม่แพ้ใคร ล่าสุดทดสอบภาคสนามกับโดรน AI รุ่น MS001 ที่ → สามารถ “มอง, วิเคราะห์, ตัดสินใจ และโจมตี” ได้เอง → ไม่ต้องพึ่งคำสั่งจากศูนย์ควบคุม → พร้อมระบบ telemetry–ความร้อน–GPS ต่อต้านการสวมรอย

    สมองกลในโดรนตัวนี้คือ Nvidia Jetson Orin — คอมพิวเตอร์ AI ขนาดเล็กเพียงฝ่ามือ ราคาประมาณ $249 แต่แรงระดับ 67 TOPS (เทียบเท่าหลายล้านล้านคำสั่งต่อวินาที) → ใช้ GPU จากสถาปัตยกรรม Ampere + ซีพียู ARM 6 คอร์ → เทียบได้กับการเอาพลังของ AI ระดับรถยนต์อัจฉริยะมาย่อส่วน

    แต่อย่าลืมว่า Nvidia ถูกห้ามส่งชิประดับนี้ให้รัสเซียตั้งแต่ปี 2022 แล้วนะครับ → สุดท้ายพบว่ามีการลักลอบผ่านเส้นทางค้าสีเทา เช่น “ปลอมเป็นอุปกรณ์ใช้ส่วนตัว–ส่งผ่านบริษัทบังหน้าในจีน–สิงคโปร์–ตุรกี” → สืบพบว่าในปี 2023 มีชิป Nvidia หลุดรอดเข้าสู่รัสเซียราว $17 ล้านเลยทีเดียว

    สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “เราจะควบคุมเทคโนโลยี AI อย่างไร เมื่อแม้แต่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ก็หดตัวมาอยู่ในฝ่ามือ และหาทางเข้าสู่สนามรบได้แม้ถูกแบน?”

    รัสเซียทดสอบโดรน AI รุ่น MS001 ที่ควบคุมตัวเองได้เต็มรูปแบบ  
    • เห็นวัตถุ–วิเคราะห์–เล็ง–ตัดสินใจ–ยิง โดยไม่ต้องมีคำสั่งจากศูนย์  
    • ใช้งานร่วมกับ swarm (ฝูงโดรน) และทนต่อสภาพแวดล้อมที่ลำบาก

    สมองกลหลักคือ Nvidia Jetson Orin (เปิดตัวปลายปี 2024)  
    • 67 TOPS, หน่วยความจำ 102GB/s  
    • ใช้ GPU Ampere + ARM 6 คอร์  
    • ขนาดเล็กพกพาได้

    พบ MS001 ที่ถูกยิงตกมีเทคโนโลยีครบชุด:  
    • กล้องความร้อนสำหรับปฏิบัติการกลางคืน  
    • ระบบ GPS ป้องกันการ spoof (CRPA antenna)  
    • ชิป FPGA สำหรับ logic แบบปรับแต่งเอง  
    • โมเด็มวิทยุสำหรับส่งข้อมูลและประสานการโจมตีแบบฝูง

    มีการใช้งาน Jetson Orin ในโดรนรุ่น V2U เช่นกัน (โจมตีแบบพลีชีพ)  
    • ใช้บอร์ด Leetop A603 จากจีนในการติดตั้ง Jetson

    คาดว่า Nvidia hardware หลุดเข้ารัสเซียผ่านตลาดสีเทามูลค่ากว่า $17 ล้านในปี 2023  
    • ลักลอบผ่านบริษัทบังหน้าในฮ่องกง–จีน–ตุรกี–สิงคโปร์  
    • มีการปลอมเอกสารว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป เช่น กล้อง, router ฯลฯ

    https://www.techspot.com/news/108579-russia-field-testing-new-ai-drone-powered-nvidia.html
    ในขณะที่หลายประเทศเดินหน้าพัฒนาโดรนที่ “ฉลาดขึ้น” เพื่อลดการสูญเสียจากการใช้งานคนจริงในสนามรบ รัสเซียก็ไม่แพ้ใคร ล่าสุดทดสอบภาคสนามกับโดรน AI รุ่น MS001 ที่ → สามารถ “มอง, วิเคราะห์, ตัดสินใจ และโจมตี” ได้เอง → ไม่ต้องพึ่งคำสั่งจากศูนย์ควบคุม → พร้อมระบบ telemetry–ความร้อน–GPS ต่อต้านการสวมรอย สมองกลในโดรนตัวนี้คือ Nvidia Jetson Orin — คอมพิวเตอร์ AI ขนาดเล็กเพียงฝ่ามือ ราคาประมาณ $249 แต่แรงระดับ 67 TOPS (เทียบเท่าหลายล้านล้านคำสั่งต่อวินาที) → ใช้ GPU จากสถาปัตยกรรม Ampere + ซีพียู ARM 6 คอร์ → เทียบได้กับการเอาพลังของ AI ระดับรถยนต์อัจฉริยะมาย่อส่วน แต่อย่าลืมว่า Nvidia ถูกห้ามส่งชิประดับนี้ให้รัสเซียตั้งแต่ปี 2022 แล้วนะครับ → สุดท้ายพบว่ามีการลักลอบผ่านเส้นทางค้าสีเทา เช่น “ปลอมเป็นอุปกรณ์ใช้ส่วนตัว–ส่งผ่านบริษัทบังหน้าในจีน–สิงคโปร์–ตุรกี” → สืบพบว่าในปี 2023 มีชิป Nvidia หลุดรอดเข้าสู่รัสเซียราว $17 ล้านเลยทีเดียว สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “เราจะควบคุมเทคโนโลยี AI อย่างไร เมื่อแม้แต่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ก็หดตัวมาอยู่ในฝ่ามือ และหาทางเข้าสู่สนามรบได้แม้ถูกแบน?” ✅ รัสเซียทดสอบโดรน AI รุ่น MS001 ที่ควบคุมตัวเองได้เต็มรูปแบบ   • เห็นวัตถุ–วิเคราะห์–เล็ง–ตัดสินใจ–ยิง โดยไม่ต้องมีคำสั่งจากศูนย์   • ใช้งานร่วมกับ swarm (ฝูงโดรน) และทนต่อสภาพแวดล้อมที่ลำบาก ✅ สมองกลหลักคือ Nvidia Jetson Orin (เปิดตัวปลายปี 2024)   • 67 TOPS, หน่วยความจำ 102GB/s   • ใช้ GPU Ampere + ARM 6 คอร์   • ขนาดเล็กพกพาได้ ✅ พบ MS001 ที่ถูกยิงตกมีเทคโนโลยีครบชุด:   • กล้องความร้อนสำหรับปฏิบัติการกลางคืน   • ระบบ GPS ป้องกันการ spoof (CRPA antenna)   • ชิป FPGA สำหรับ logic แบบปรับแต่งเอง   • โมเด็มวิทยุสำหรับส่งข้อมูลและประสานการโจมตีแบบฝูง ✅ มีการใช้งาน Jetson Orin ในโดรนรุ่น V2U เช่นกัน (โจมตีแบบพลีชีพ)   • ใช้บอร์ด Leetop A603 จากจีนในการติดตั้ง Jetson ✅ คาดว่า Nvidia hardware หลุดเข้ารัสเซียผ่านตลาดสีเทามูลค่ากว่า $17 ล้านในปี 2023   • ลักลอบผ่านบริษัทบังหน้าในฮ่องกง–จีน–ตุรกี–สิงคโปร์   • มีการปลอมเอกสารว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป เช่น กล้อง, router ฯลฯ https://www.techspot.com/news/108579-russia-field-testing-new-ai-drone-powered-nvidia.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Russia field-testing new AI drone powered by Nvidia's Jetson Orin supercomputer
    Russia is using the self-piloting abilities of AI in its new MS001 drone that is currently being field-tested. Ukrainian Major General Vladyslav Klochkov wrote in a LinkedIn...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณอาจเคยเปิด ChatGPT หรือ Copilot แล้วพิมพ์ว่า “ช่วยปรับเรซูเม่ให้หน่อย” แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ค่อยโดนใจ เพราะมัน “กว้างเกินไป” ใช่ไหมครับ?

    Guido Sieber จากบริษัทจัดหางานในเยอรมนี แนะนำว่า เราสามารถใช้ AI ให้ฉลาดขึ้นด้วย “prompt ที่เฉพาะเจาะจง” และแบ่งเป็น 3 ช่วงหลักในการหางาน:

    1. หาโอกาสงานให้ตรงจุด
    - ใช้ prompt แบบ “เฉพาะเจาะจง” เช่น  → Find current job offers for financial accountants in Berlin with a remote working option

    - หรือหาเป้าหมายอุตสาหกรรมด้วย prompt แบบ  → List the top five employers for IT security in Germany

    - ปรับแต่งคำถามระหว่างแชต ไม่ใช่ใช้แค่คำถามแรกเดียวจบ  → ยิ่งเจาะจง → ยิ่งได้คำตอบที่ตรง

    2. สร้างเอกสารสมัครงานอย่างเฉียบ
    - ใช้ AI วิเคราะห์ประกาศงาน เช่น  → What skills are currently most sought in UX designer job postings?  → เพื่อรู้ว่าอะไรคือ “คำยอดฮิต” ในเรซูเม่สายอาชีพนั้น

    - ให้ AI เขียนจดหมายสมัครงานให้ โดยใส่ความสามารถเฉพาะ เช่น  → Draft a cover letter for a junior controller. Highlight my experience with SAP and Excel

    - ตรวจหาจุดอ่อนด้วย prompt อย่าง  → Analyze my CV for red flags HR managers might see

    3. เตรียมสัมภาษณ์กับคู่ซ้อม AI
    - ใช้ AI เป็นคู่ซ้อมด้วย prompt เช่น  → Simulate an interview for a human resource role focused on recruiting experience  → What are common interview questions for data analysts?

    - หรือซ้อมตอบคำถามยาก เช่น  → How can I answer salary expectation questions convincingly?

    - ข้อดีคือสามารถขอ feedback จาก AI ได้ด้วย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/helpful-ai-prompts-for-your-next-job-search
    คุณอาจเคยเปิด ChatGPT หรือ Copilot แล้วพิมพ์ว่า “ช่วยปรับเรซูเม่ให้หน่อย” แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ค่อยโดนใจ เพราะมัน “กว้างเกินไป” ใช่ไหมครับ? Guido Sieber จากบริษัทจัดหางานในเยอรมนี แนะนำว่า เราสามารถใช้ AI ให้ฉลาดขึ้นด้วย “prompt ที่เฉพาะเจาะจง” และแบ่งเป็น 3 ช่วงหลักในการหางาน: ✅ 1. หาโอกาสงานให้ตรงจุด - ใช้ prompt แบบ “เฉพาะเจาะจง” เช่น  → Find current job offers for financial accountants in Berlin with a remote working option - หรือหาเป้าหมายอุตสาหกรรมด้วย prompt แบบ  → List the top five employers for IT security in Germany - ปรับแต่งคำถามระหว่างแชต ไม่ใช่ใช้แค่คำถามแรกเดียวจบ  → ยิ่งเจาะจง → ยิ่งได้คำตอบที่ตรง ✅ 2. สร้างเอกสารสมัครงานอย่างเฉียบ - ใช้ AI วิเคราะห์ประกาศงาน เช่น  → What skills are currently most sought in UX designer job postings?  → เพื่อรู้ว่าอะไรคือ “คำยอดฮิต” ในเรซูเม่สายอาชีพนั้น - ให้ AI เขียนจดหมายสมัครงานให้ โดยใส่ความสามารถเฉพาะ เช่น  → Draft a cover letter for a junior controller. Highlight my experience with SAP and Excel - ตรวจหาจุดอ่อนด้วย prompt อย่าง  → Analyze my CV for red flags HR managers might see ✅ 3. เตรียมสัมภาษณ์กับคู่ซ้อม AI - ใช้ AI เป็นคู่ซ้อมด้วย prompt เช่น  → Simulate an interview for a human resource role focused on recruiting experience  → What are common interview questions for data analysts? - หรือซ้อมตอบคำถามยาก เช่น  → How can I answer salary expectation questions convincingly? - ข้อดีคือสามารถขอ feedback จาก AI ได้ด้วย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/helpful-ai-prompts-for-your-next-job-search
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Helpful AI prompts for your next job search
    Looking for a new job is a full-time job in itself, and one that can test your nerves. But this is where AI has become a valuable companion, helping you save time on your job hunt.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิเคราะห์เชิงลึก: จุดเริ่มต้นของ TI ภายใต้ TOR 2003

    1. TOR 2003 ข้อ 1.1.3 ระบุให้ใช้ “แผนที่มาตราส่วน 1:200,000” เป็นฐาน

    แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์จะไม่ยอมรับ Annex I Map แต่ไม่ได้เสนอแก้ TOR ดังนั้น

    > ทุก TI ที่จัดทำภายใต้ TOR นี้ ต้องตีความให้ “สอดคล้องกับ” แผนที่ 1:200,000




    ---

    2. เอกสารประชุม JBC ชุดที่คุณแนบ (ปี 2552)

    แสดงให้เห็นว่า:

    ฝ่ายไทยยินยอมให้มีการจัดทำ "แผนที่ร่วม" (Joint Map) โดยใช้ ข้อมูล GPS, ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto)

    จุดประสงค์คือเพื่อให้สามารถ “อ้างอิงได้” กับ TOR เดิม โดยเฉพาะในเรื่องเส้นแบ่งเขตแดน


    > ตรงนี้เองที่แม้ ไทยจะไม่ยอมรับแผนที่เดิมของฝรั่งเศส (Annex I Map) โดยเปิดเผย
    แต่กลับ ยอมเข้าสู่กระบวนการจัดทำแผนที่ที่อ้าง TOR เดิมเป็นกรอบอ้างอิงทางกฎหมาย




    ---

    3. นี่คือที่มาของ "ร่าง TI" หรือ “Technical Instruction”

    ในภายหลัง TI ถูกพัฒนาโดยคณะทำงานร่วมไทย–กัมพูชา (JWG) และต่อมาใช้ในการหารือภายใต้ JBC
    โดยยังอยู่ภายใต้ TOR 2003
    ซึ่งทำให้ไทยต้องเข้าสู่ระบบที่อ้างอิงแผนที่ 1:200,000 โดยปริยาย


    ---

    สรุปทางการ

    > ❝แม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะแสดงความเห็นแย้งทางการเมืองต่อการใช้แผนที่ 1:200,000 ภายใต้ TOR 2003 แต่การดำเนินการทางเทคนิค เช่น การจัดทำ
    ร่าง TI และแผนที่ร่วมในยุคนั้น ยังอยู่ภายใต้กรอบ TOR เดิม และต้องตีความให้สอดคล้องกับ TOR 2003 โดยเฉพาะข้อ 1.1.3 ที่ระบุชัดเจนถึงการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000❞

    สาระสำคัญของร่าง TI ปี 2552–2553 (ภายใต้ JWG)

    1. จุดประสงค์ของ TI

    เป็นคู่มือเทคนิค (Technical Instruction) สำหรับ:

    การจัดทำแผนที่ร่วม (Joint Map Production)

    การใช้ ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto) และ ระบบพิกัด GPS

    เพื่อกำหนด “เส้นแบ่งเขตแดน” ตามกรอบ TOR 2003



    ---

    2. กรอบอ้างอิงหลักของ TI

    TI ฉบับนี้ ผูกพันโดยตรงกับ TOR 2003 โดยเฉพาะ ข้อ 1.1.3

    ซึ่งระบุให้ใช้ แผนที่ 1:200,000 เป็นมาตรฐานอ้างอิง

    แม้จะนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น Orthophoto / GPS เข้ามาใช้ แต่ “ผลลัพธ์สุดท้าย” ต้อง อิงเส้นและจุดจากแผนที่ 1:200,000



    ---

    3. โครงสร้าง TI (ตามรายงานการประชุม)

    TI ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ได้แก่:

    การเก็บข้อมูลภาคสนามด้วย GPS และสถานีอ้างอิง

    การตีความภาพถ่ายทางอากาศและเทียบกับแผนที่เดิม

    การประเมินและอนุมัติเส้นเขตแดนโดยคณะกรรมาธิการ (JBC) หลังผ่าน JWG



    ---

    4. ข้อสังเกตจากฝ่ายไทยในที่ประชุม

    ฝ่ายไทย มีความกังวล ว่า TI อาจทำให้ไทย “ผูกพันโดยปริยาย” กับแผนที่ 1:200,000

    มีการเสนอให้ “เพิ่มถ้อยคำสงวนสิทธิ์” (reservation) ในการใช้ข้อมูล

    ไม่มีการลงนามใน TI อย่างสมบูรณ์ ณ ช่วงปี 2552–2553 แต่มีความพยายามผลักดันต่อเนื่องโดยฝ่ายเทคนิค



    ---

    สรุปสาระสำคัญ (เชิงราชการ)

    > ❝ร่าง Technical Instruction (TI) ที่จัดทำในช่วงปี 2552–2553 โดยคณะทำงานร่วม (JWG) มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนที่ร่วมบนพื้นฐานของภาพถ่ายทางอากาศและระบบ GPS โดยยังคงอ้างอิงข้อกำหนดของ TOR 2003 โดยเฉพาะแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทั้งนี้แม้ฝ่ายไทยมิได้ให้สัตยาบัน TI อย่างเป็นทางการ แต่การเข้าร่วมในกระบวนการดังกล่าวสะท้อนถึงการยอมรับกรอบทางเทคนิคภายใต้ TOR ที่มีผลผูกพันอยู่❞




    --- วิเคราะห์ความเสี่ยงทางกฎหมายจาก TI + TOR 2003

    1. TOR 2003 เป็นพันธกรณีระหว่างประเทศ

    TOR (Terms of Reference) ปี 2003 เป็นเอกสารที่ลงนามโดยรัฐบาลไทยและกัมพูชา

    มีผลผูกพันตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ (Vienna Convention on the Law of Treaties 1969)

    ข้อ 1.1.3 ของ TOR กำหนดให้ใช้ “แผนที่มาตราส่วน 1:200,000” เป็นกรอบอ้างอิงหลักในการปักปัน

    การที่ไทยไม่เคย “ยกเลิก” หรือ “ถอนตัว” ออกจาก TOR = ยังคงมีพันธะตามกฎหมาย


    ความเสี่ยง: การตีความโดยอนุญาโตตุลาการหรือศาลระหว่างประเทศ อาจถือว่าไทย ยอมรับแผนที่ 1:200,000 หากยังคงปฏิบัติตาม TOR โดยไม่คัดค้านอย่างเป็นทางการ


    ---

    2. TI (Technical Instruction) ทำหน้าที่ “แปลงเจตนาทางการเมืองให้เป็นข้อเท็จจริงทางเทคนิค”

    แม้รัฐบาลไทย (เช่น ยุคอภิสิทธิ์) จะคัดค้าน “แผนที่ฝรั่งเศส” แต่ TI เป็นเครื่องมือที่ทำให้ฝ่ายเทคนิคต้องดำเนินงานให้ตรงกับ TOR

    TI นำภาพถ่าย Orthophoto + GPS มาปรับเส้นให้ “อิงตำแหน่งเดิม” ที่อยู่บนแผนที่ 1:200,000


    ความเสี่ยง: แม้ไม่ลงนามใน TI แต่การ “ร่วมจัดทำ” และ “ยอมให้ JWG ทำงาน” = ยินยอมโดยพฤตินัย
    หากเกิดข้อพิพาทในอนาคต ไทยจะลำบากในการปฏิเสธผลของ TI


    ---

    3. การไม่มีข้อสงวน (reservation) หรือการตีความ TOR ใหม่

    ในช่วงการประชุม JBC–JWG ไทยไม่ได้เสนอ ตีความ TOR ใหม่ หรือเสนอแผนที่มาตรฐานอื่น

    การไม่สงวนสิทธิอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร = ความเสี่ยงในทางกฎหมาย ว่าไทย “นิ่งเฉย” ต่อสิ่งที่อาจเสียเปรียบ


    ความเสี่ยง: หลัก “estoppel” ในกฎหมายระหว่างประเทศอาจถูกใช้หักล้างไทย เช่น

    > “ถ้าคุณนิ่งและเข้าร่วม ก็ถือว่าคุณยอมรับ”




    ---

    4. การจัดทำ TI อาจกลายเป็น “พฤติการณ์ประกอบยินยอม”

    ศาลโลก (ICJ) เคยใช้ พฤติการณ์ เช่น “การเจรจา”, “การเข้าร่วมคณะทำงาน”, “การไม่คัดค้าน”
    เป็นหลักฐานว่า “รัฐยินยอมแล้ว”


    ความเสี่ยง: แม้ไทยจะไม่เคยลงนามใน TI อย่างเป็นทางการ
    แต่การส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วม, การเสนอข้อมูล, การเดินแนวพิกัด อาจกลายเป็นพฤติการณ์ที่ศาลใช้ตีความว่า “ประเทศไทยยอมรับเส้นแบ่งที่สอดคล้องกับ TOR”


    ---

    บทสรุปความเสี่ยงทางกฎหมาย (แบบราชการ)

    > ❝การดำเนินการตาม TOR 2003 ร่วมกับการจัดทำร่าง Technical Instruction (TI) โดย JWG ในช่วงปี 2552–2553 ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางกฎหมายอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากแม้ไม่มีการลงนามอย่างเป็นทางการ แต่การที่ไทยมิได้ถอนตัวจาก TOR และยังคงเข้าร่วมกระบวนการเทคนิคโดยมิได้สงวนสิทธิอย่างชัดแจ้ง อาจทำให้ผลของแผนที่ร่วมที่จัดทำขึ้นภายใต้กรอบดังกล่าว มีผลผูกพันในทางกฎหมายระหว่างประเทศในอนาคต❞

    🔍 วิเคราะห์เชิงลึก: จุดเริ่มต้นของ TI ภายใต้ TOR 2003 ✅ 1. TOR 2003 ข้อ 1.1.3 ระบุให้ใช้ “แผนที่มาตราส่วน 1:200,000” เป็นฐาน แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์จะไม่ยอมรับ Annex I Map แต่ไม่ได้เสนอแก้ TOR ดังนั้น > ทุก TI ที่จัดทำภายใต้ TOR นี้ ต้องตีความให้ “สอดคล้องกับ” แผนที่ 1:200,000 --- ✅ 2. เอกสารประชุม JBC ชุดที่คุณแนบ (ปี 2552) แสดงให้เห็นว่า: ฝ่ายไทยยินยอมให้มีการจัดทำ "แผนที่ร่วม" (Joint Map) โดยใช้ ข้อมูล GPS, ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto) จุดประสงค์คือเพื่อให้สามารถ “อ้างอิงได้” กับ TOR เดิม โดยเฉพาะในเรื่องเส้นแบ่งเขตแดน > ✳️ ตรงนี้เองที่แม้ ไทยจะไม่ยอมรับแผนที่เดิมของฝรั่งเศส (Annex I Map) โดยเปิดเผย แต่กลับ ยอมเข้าสู่กระบวนการจัดทำแผนที่ที่อ้าง TOR เดิมเป็นกรอบอ้างอิงทางกฎหมาย --- ✅ 3. นี่คือที่มาของ "ร่าง TI" หรือ “Technical Instruction” ในภายหลัง TI ถูกพัฒนาโดยคณะทำงานร่วมไทย–กัมพูชา (JWG) และต่อมาใช้ในการหารือภายใต้ JBC โดยยังอยู่ภายใต้ TOR 2003 ซึ่งทำให้ไทยต้องเข้าสู่ระบบที่อ้างอิงแผนที่ 1:200,000 โดยปริยาย --- 🎯 สรุปทางการ > ❝แม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะแสดงความเห็นแย้งทางการเมืองต่อการใช้แผนที่ 1:200,000 ภายใต้ TOR 2003 แต่การดำเนินการทางเทคนิค เช่น การจัดทำ ร่าง TI และแผนที่ร่วมในยุคนั้น ยังอยู่ภายใต้กรอบ TOR เดิม และต้องตีความให้สอดคล้องกับ TOR 2003 โดยเฉพาะข้อ 1.1.3 ที่ระบุชัดเจนถึงการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000❞ 📘 สาระสำคัญของร่าง TI ปี 2552–2553 (ภายใต้ JWG) 1. จุดประสงค์ของ TI เป็นคู่มือเทคนิค (Technical Instruction) สำหรับ: การจัดทำแผนที่ร่วม (Joint Map Production) การใช้ ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto) และ ระบบพิกัด GPS เพื่อกำหนด “เส้นแบ่งเขตแดน” ตามกรอบ TOR 2003 --- 2. กรอบอ้างอิงหลักของ TI TI ฉบับนี้ ผูกพันโดยตรงกับ TOR 2003 โดยเฉพาะ ข้อ 1.1.3 ซึ่งระบุให้ใช้ แผนที่ 1:200,000 เป็นมาตรฐานอ้างอิง แม้จะนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น Orthophoto / GPS เข้ามาใช้ แต่ “ผลลัพธ์สุดท้าย” ต้อง อิงเส้นและจุดจากแผนที่ 1:200,000 --- 3. โครงสร้าง TI (ตามรายงานการประชุม) TI ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ได้แก่: การเก็บข้อมูลภาคสนามด้วย GPS และสถานีอ้างอิง การตีความภาพถ่ายทางอากาศและเทียบกับแผนที่เดิม การประเมินและอนุมัติเส้นเขตแดนโดยคณะกรรมาธิการ (JBC) หลังผ่าน JWG --- 4. ข้อสังเกตจากฝ่ายไทยในที่ประชุม ฝ่ายไทย มีความกังวล ว่า TI อาจทำให้ไทย “ผูกพันโดยปริยาย” กับแผนที่ 1:200,000 มีการเสนอให้ “เพิ่มถ้อยคำสงวนสิทธิ์” (reservation) ในการใช้ข้อมูล ไม่มีการลงนามใน TI อย่างสมบูรณ์ ณ ช่วงปี 2552–2553 แต่มีความพยายามผลักดันต่อเนื่องโดยฝ่ายเทคนิค --- 📌 สรุปสาระสำคัญ (เชิงราชการ) > ❝ร่าง Technical Instruction (TI) ที่จัดทำในช่วงปี 2552–2553 โดยคณะทำงานร่วม (JWG) มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนที่ร่วมบนพื้นฐานของภาพถ่ายทางอากาศและระบบ GPS โดยยังคงอ้างอิงข้อกำหนดของ TOR 2003 โดยเฉพาะแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทั้งนี้แม้ฝ่ายไทยมิได้ให้สัตยาบัน TI อย่างเป็นทางการ แต่การเข้าร่วมในกระบวนการดังกล่าวสะท้อนถึงการยอมรับกรอบทางเทคนิคภายใต้ TOR ที่มีผลผูกพันอยู่❞ ---⚖️ วิเคราะห์ความเสี่ยงทางกฎหมายจาก TI + TOR 2003 🔹 1. TOR 2003 เป็นพันธกรณีระหว่างประเทศ TOR (Terms of Reference) ปี 2003 เป็นเอกสารที่ลงนามโดยรัฐบาลไทยและกัมพูชา มีผลผูกพันตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ (Vienna Convention on the Law of Treaties 1969) ข้อ 1.1.3 ของ TOR กำหนดให้ใช้ “แผนที่มาตราส่วน 1:200,000” เป็นกรอบอ้างอิงหลักในการปักปัน การที่ไทยไม่เคย “ยกเลิก” หรือ “ถอนตัว” ออกจาก TOR = ยังคงมีพันธะตามกฎหมาย 📌 ความเสี่ยง: การตีความโดยอนุญาโตตุลาการหรือศาลระหว่างประเทศ อาจถือว่าไทย ยอมรับแผนที่ 1:200,000 หากยังคงปฏิบัติตาม TOR โดยไม่คัดค้านอย่างเป็นทางการ --- 🔹 2. TI (Technical Instruction) ทำหน้าที่ “แปลงเจตนาทางการเมืองให้เป็นข้อเท็จจริงทางเทคนิค” แม้รัฐบาลไทย (เช่น ยุคอภิสิทธิ์) จะคัดค้าน “แผนที่ฝรั่งเศส” แต่ TI เป็นเครื่องมือที่ทำให้ฝ่ายเทคนิคต้องดำเนินงานให้ตรงกับ TOR TI นำภาพถ่าย Orthophoto + GPS มาปรับเส้นให้ “อิงตำแหน่งเดิม” ที่อยู่บนแผนที่ 1:200,000 📌 ความเสี่ยง: แม้ไม่ลงนามใน TI แต่การ “ร่วมจัดทำ” และ “ยอมให้ JWG ทำงาน” = ยินยอมโดยพฤตินัย หากเกิดข้อพิพาทในอนาคต ไทยจะลำบากในการปฏิเสธผลของ TI --- 🔹 3. การไม่มีข้อสงวน (reservation) หรือการตีความ TOR ใหม่ ในช่วงการประชุม JBC–JWG ไทยไม่ได้เสนอ ตีความ TOR ใหม่ หรือเสนอแผนที่มาตรฐานอื่น การไม่สงวนสิทธิอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร = ความเสี่ยงในทางกฎหมาย ว่าไทย “นิ่งเฉย” ต่อสิ่งที่อาจเสียเปรียบ 📌 ความเสี่ยง: หลัก “estoppel” ในกฎหมายระหว่างประเทศอาจถูกใช้หักล้างไทย เช่น > “ถ้าคุณนิ่งและเข้าร่วม ก็ถือว่าคุณยอมรับ” --- 🔹 4. การจัดทำ TI อาจกลายเป็น “พฤติการณ์ประกอบยินยอม” ศาลโลก (ICJ) เคยใช้ พฤติการณ์ เช่น “การเจรจา”, “การเข้าร่วมคณะทำงาน”, “การไม่คัดค้าน” เป็นหลักฐานว่า “รัฐยินยอมแล้ว” 📌 ความเสี่ยง: แม้ไทยจะไม่เคยลงนามใน TI อย่างเป็นทางการ แต่การส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วม, การเสนอข้อมูล, การเดินแนวพิกัด อาจกลายเป็นพฤติการณ์ที่ศาลใช้ตีความว่า “ประเทศไทยยอมรับเส้นแบ่งที่สอดคล้องกับ TOR” --- 🟥 บทสรุปความเสี่ยงทางกฎหมาย (แบบราชการ) > ❝การดำเนินการตาม TOR 2003 ร่วมกับการจัดทำร่าง Technical Instruction (TI) โดย JWG ในช่วงปี 2552–2553 ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางกฎหมายอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากแม้ไม่มีการลงนามอย่างเป็นทางการ แต่การที่ไทยมิได้ถอนตัวจาก TOR และยังคงเข้าร่วมกระบวนการเทคนิคโดยมิได้สงวนสิทธิอย่างชัดแจ้ง อาจทำให้ผลของแผนที่ร่วมที่จัดทำขึ้นภายใต้กรอบดังกล่าว มีผลผูกพันในทางกฎหมายระหว่างประเทศในอนาคต❞
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองนายกรัฐมนตรี และ รมต. ดีอี ไม่ สนับสนุนให้ NT ร่วมประมูลคลื่นโทรศัพท์ แทนที่จะให้จัดสรรคลื่นเลย เพื่อเป็นทางเลือกของพนักงานรัฐ และประชาชนที่มีรายได้น้อย ได้มีโอกาสใช้เน็ตราคาถูก แม้มันแค่ 4G ก็ยังดี ขอให้คุณภาพดี เข้าถึง และ ราคาถูก แต่ผู้ไม่มีปัญญาสาธารณะ คิดไม่เป็น

    https://www.tcc.or.th/stop-spectrum-auction/
    รองนายกรัฐมนตรี และ รมต. ดีอี ไม่ สนับสนุนให้ NT ร่วมประมูลคลื่นโทรศัพท์ แทนที่จะให้จัดสรรคลื่นเลย เพื่อเป็นทางเลือกของพนักงานรัฐ และประชาชนที่มีรายได้น้อย ได้มีโอกาสใช้เน็ตราคาถูก แม้มันแค่ 4G ก็ยังดี ขอให้คุณภาพดี เข้าถึง และ ราคาถูก แต่ผู้ไม่มีปัญญาสาธารณะ คิดไม่เป็น https://www.tcc.or.th/stop-spectrum-auction/
    WWW.TCC.OR.TH
    หยุด! ประมูลคลื่น 29 มิ.ย. ชี้ทางออกให้ NT ใช้เพื่อประโยชน์สังคม - สภาองค์กรของผู้บริโภค
    สภาผู้บริโภคเสนอทางออกรัฐบาล จัดสรรคลื่นความถี่เพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้ NT ใช้ประโยชน์ได้ และหากให้บริษัทเช่าต้องส่งเงินทั้งหมดเข้า ก.คลัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts