• https://youtu.be/ABASSD-thwE?si=R43je3_tWZ4PGQRA
    https://youtu.be/ABASSD-thwE?si=R43je3_tWZ4PGQRA
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อพญามังกรเต้นแทงโก้กับพญาคชสารในงานประชุมSCO : คนเคาะข่าว 04-09-68

    อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

    https://www.youtube.com/watch?v=slusD1GdRdw
    เมื่อพญามังกรเต้นแทงโก้กับพญาคชสารในงานประชุมSCO : คนเคาะข่าว 04-09-68 อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร https://www.youtube.com/watch?v=slusD1GdRdw
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก OceanDisk: เมื่อ SSD กลายเป็นอาวุธใหม่ในสงครามเทคโนโลยี AI

    ในงานเปิดตัวล่าสุด Huawei ได้เผยโฉม OceanDisk EX 560, SP 560 และ LC 560 ซึ่งเป็น SSD สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ลดการพึ่งพา HBM (High Bandwidth Memory) ที่จีนถูกจำกัดการนำเข้าอย่างหนักจากสหรัฐฯ

    OceanDisk LC 560 คือไฮไลต์ของงาน ด้วยความจุ 245TB ซึ่งถือเป็น SSD ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ และมี read bandwidth สูงถึง 14.7GB/s เหมาะสำหรับงานฝึกโมเดลขนาดใหญ่แบบ multimodal ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล

    OceanDisk EX 560 เน้นประสิทธิภาพสูงสุด ด้วย write speed 1,500K IOPS, latency ต่ำกว่า 7µs และ endurance สูงถึง 60 DWPD เหมาะสำหรับงาน fine-tuning LLM ที่ต้องการความเร็วและความทนทาน ส่วน SP 560 เป็นรุ่นประหยัดที่เน้น inference โดยลด latency ของ token แรกได้ถึง 75% และเพิ่ม throughput เป็นสองเท่า

    แต่สิ่งที่ทำให้ OceanDisk น่าสนใจไม่ใช่แค่ฮาร์ดแวร์—Huawei ยังเปิดตัว DiskBooster ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยรวมหน่วยความจำจาก SSD, HBM และ DDR ให้เป็น memory pool เดียวกัน เพิ่มความจุได้ถึง 20 เท่า และลด write amplification ด้วยเทคโนโลยี multi-stream

    ทั้งหมดนี้คือความพยายามของ Huawei ในการสร้างระบบ AI ที่ไม่ต้องพึ่ง HBM เพียงอย่างเดียว โดยใช้ SSD ความจุสูงและซอฟต์แวร์อัจฉริยะเป็นตัวเสริม เพื่อให้สามารถฝึกและใช้งานโมเดล AI ได้แม้จะถูกจำกัดด้านฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศ

    การเปิดตัว OceanDisk SSD สำหรับ AI
    OceanDisk LC 560 มีความจุ 245TB และ read bandwidth 14.7GB/s
    OceanDisk EX 560 มี write speed 1,500K IOPS และ latency ต่ำกว่า 7µs
    OceanDisk SP 560 ลด latency ของ token แรกได้ 75% และเพิ่ม throughput 2 เท่า

    ความสามารถของ DiskBooster
    รวมหน่วยความจำจาก SSD, HBM และ DDR เป็น memory pool เดียว
    เพิ่มความจุได้ถึง 20 เท่าเมื่อเทียบกับระบบเดิม
    ใช้ multi-stream เพื่อลด write amplification และเพิ่มอายุการใช้งาน SSD

    บริบทของการพัฒนา
    Huawei พัฒนา OceanDisk เพื่อลดการพึ่งพา HBM ซึ่งถูกจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ
    เน้นใช้ NAND flash ภายในประเทศเพื่อสร้างระบบที่พึ่งพาตัวเอง
    ตอบโจทย์ปัญหา “memory wall” และ “capacity wall” ในงาน AI ขนาดใหญ่

    ผลกระทบต่อวงการ AI
    อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฝึกโมเดลจาก HBM-centric เป็น SSD-centric
    เปิดทางให้ประเทศที่เข้าถึง HBM ได้จำกัดสามารถสร้างระบบ AI ได้ด้วยต้นทุนต่ำ
    เป็นตัวอย่างของการใช้ “ระบบเสริมหลายชั้น” แทนการพึ่งพาหน่วยความจำจุดเดียว

    https://www.techradar.com/pro/huawei-released-an-ai-ssd-that-uses-a-secret-sauce-to-reduce-the-need-for-large-amounts-of-expensive-hbm
    🎙️ เรื่องเล่าจาก OceanDisk: เมื่อ SSD กลายเป็นอาวุธใหม่ในสงครามเทคโนโลยี AI ในงานเปิดตัวล่าสุด Huawei ได้เผยโฉม OceanDisk EX 560, SP 560 และ LC 560 ซึ่งเป็น SSD สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ลดการพึ่งพา HBM (High Bandwidth Memory) ที่จีนถูกจำกัดการนำเข้าอย่างหนักจากสหรัฐฯ OceanDisk LC 560 คือไฮไลต์ของงาน ด้วยความจุ 245TB ซึ่งถือเป็น SSD ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ และมี read bandwidth สูงถึง 14.7GB/s เหมาะสำหรับงานฝึกโมเดลขนาดใหญ่แบบ multimodal ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล OceanDisk EX 560 เน้นประสิทธิภาพสูงสุด ด้วย write speed 1,500K IOPS, latency ต่ำกว่า 7µs และ endurance สูงถึง 60 DWPD เหมาะสำหรับงาน fine-tuning LLM ที่ต้องการความเร็วและความทนทาน ส่วน SP 560 เป็นรุ่นประหยัดที่เน้น inference โดยลด latency ของ token แรกได้ถึง 75% และเพิ่ม throughput เป็นสองเท่า แต่สิ่งที่ทำให้ OceanDisk น่าสนใจไม่ใช่แค่ฮาร์ดแวร์—Huawei ยังเปิดตัว DiskBooster ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยรวมหน่วยความจำจาก SSD, HBM และ DDR ให้เป็น memory pool เดียวกัน เพิ่มความจุได้ถึง 20 เท่า และลด write amplification ด้วยเทคโนโลยี multi-stream ทั้งหมดนี้คือความพยายามของ Huawei ในการสร้างระบบ AI ที่ไม่ต้องพึ่ง HBM เพียงอย่างเดียว โดยใช้ SSD ความจุสูงและซอฟต์แวร์อัจฉริยะเป็นตัวเสริม เพื่อให้สามารถฝึกและใช้งานโมเดล AI ได้แม้จะถูกจำกัดด้านฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศ ✅ การเปิดตัว OceanDisk SSD สำหรับ AI ➡️ OceanDisk LC 560 มีความจุ 245TB และ read bandwidth 14.7GB/s ➡️ OceanDisk EX 560 มี write speed 1,500K IOPS และ latency ต่ำกว่า 7µs ➡️ OceanDisk SP 560 ลด latency ของ token แรกได้ 75% และเพิ่ม throughput 2 เท่า ✅ ความสามารถของ DiskBooster ➡️ รวมหน่วยความจำจาก SSD, HBM และ DDR เป็น memory pool เดียว ➡️ เพิ่มความจุได้ถึง 20 เท่าเมื่อเทียบกับระบบเดิม ➡️ ใช้ multi-stream เพื่อลด write amplification และเพิ่มอายุการใช้งาน SSD ✅ บริบทของการพัฒนา ➡️ Huawei พัฒนา OceanDisk เพื่อลดการพึ่งพา HBM ซึ่งถูกจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ ➡️ เน้นใช้ NAND flash ภายในประเทศเพื่อสร้างระบบที่พึ่งพาตัวเอง ➡️ ตอบโจทย์ปัญหา “memory wall” และ “capacity wall” ในงาน AI ขนาดใหญ่ ✅ ผลกระทบต่อวงการ AI ➡️ อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฝึกโมเดลจาก HBM-centric เป็น SSD-centric ➡️ เปิดทางให้ประเทศที่เข้าถึง HBM ได้จำกัดสามารถสร้างระบบ AI ได้ด้วยต้นทุนต่ำ ➡️ เป็นตัวอย่างของการใช้ “ระบบเสริมหลายชั้น” แทนการพึ่งพาหน่วยความจำจุดเดียว https://www.techradar.com/pro/huawei-released-an-ai-ssd-that-uses-a-secret-sauce-to-reduce-the-need-for-large-amounts-of-expensive-hbm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก ACP: เมื่อ Claude Code หลุดจากเทอร์มินัลและกลายเป็นเพื่อนร่วมงานใน Zed

    หลังจากเสียงเรียกร้องจากนักพัฒนาทั่วโลก ทีมงาน Zed ได้เปิดตัวการเชื่อมต่อ Claude Code แบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องพึ่งการผูกติดแบบเฉพาะเจาะจง

    Claude Code ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือที่ต้องรันผ่าน CLI ตอนนี้สามารถทำงานใน Zed ได้แบบเต็มรูปแบบ: แก้โค้ดหลายไฟล์พร้อมกัน, แสดง syntax highlight, ใช้ language server, และให้ผู้ใช้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแบบ granular ผ่าน multibuffer—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk

    ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง workflow ของตัวเองผ่าน slash command และดู task list ของ Claude Code ได้จาก sidebar แบบ real-time ซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกับ agent เป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

    การเชื่อมต่อนี้ไม่ได้เกิดจากการ hardcode แต่ใช้ ACP ซึ่งเป็นมาตรฐาน JSON-RPC ที่ Zed พัฒนาและเปิดซอร์สไว้ ทำให้ Claude Code สามารถทำงานใน Zed ได้แบบ process อิสระ และสามารถนำไปใช้ใน editor อื่นที่รองรับ ACP เช่น Neovim ผ่าน community adapter

    แม้ตอนนี้ยังอยู่ในช่วง beta และบางฟีเจอร์ของ Claude Code ยังไม่รองรับผ่าน SDK เช่น Plan mode หรือ slash command บางตัว แต่ทีมงาน Zed ยืนยันว่าจะเพิ่มความสามารถต่อเนื่องตามการอัปเดตจาก Anthropic

    https://zed.dev/blog/claude-code-via-acp
    🎙️ เรื่องเล่าจาก ACP: เมื่อ Claude Code หลุดจากเทอร์มินัลและกลายเป็นเพื่อนร่วมงานใน Zed หลังจากเสียงเรียกร้องจากนักพัฒนาทั่วโลก ทีมงาน Zed ได้เปิดตัวการเชื่อมต่อ Claude Code แบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องพึ่งการผูกติดแบบเฉพาะเจาะจง Claude Code ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือที่ต้องรันผ่าน CLI ตอนนี้สามารถทำงานใน Zed ได้แบบเต็มรูปแบบ: แก้โค้ดหลายไฟล์พร้อมกัน, แสดง syntax highlight, ใช้ language server, และให้ผู้ใช้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแบบ granular ผ่าน multibuffer—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง workflow ของตัวเองผ่าน slash command และดู task list ของ Claude Code ได้จาก sidebar แบบ real-time ซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกับ agent เป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ การเชื่อมต่อนี้ไม่ได้เกิดจากการ hardcode แต่ใช้ ACP ซึ่งเป็นมาตรฐาน JSON-RPC ที่ Zed พัฒนาและเปิดซอร์สไว้ ทำให้ Claude Code สามารถทำงานใน Zed ได้แบบ process อิสระ และสามารถนำไปใช้ใน editor อื่นที่รองรับ ACP เช่น Neovim ผ่าน community adapter แม้ตอนนี้ยังอยู่ในช่วง beta และบางฟีเจอร์ของ Claude Code ยังไม่รองรับผ่าน SDK เช่น Plan mode หรือ slash command บางตัว แต่ทีมงาน Zed ยืนยันว่าจะเพิ่มความสามารถต่อเนื่องตามการอัปเดตจาก Anthropic https://zed.dev/blog/claude-code-via-acp
    ZED.DEV
    Claude Code: Now in Beta in Zed - Zed Blog
    From the Zed Blog: You asked, and here it is. Use Claude Code in public beta directly in Zed, built on the new Agent Client Protocol.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/XcDCV_RiE_U?si=F6ZeMQaKhdDRaSDV
    https://youtu.be/XcDCV_RiE_U?si=F6ZeMQaKhdDRaSDV
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Project Digits: เมื่อพลังระดับเซิร์ฟเวอร์ถูกย่อส่วนให้พกพาได้

    ในงาน IFA 2025 Acer เปิดตัว Veriton GN100 ซึ่งเป็นเวอร์ชันของ Project Digits ที่ใช้ชิป Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip โดยออกแบบมาเพื่อเป็น “AI mini workstation” สำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, มหาวิทยาลัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. แต่ภายในบรรจุพลังระดับเซิร์ฟเวอร์: CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725), GPU Blackwell ที่ให้พลัง FP4 สูงถึง 1 PFLOP, RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB พร้อมระบบเข้ารหัสในตัว

    ที่โดดเด่นคือการรองรับ NVFP4 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Nvidia สำหรับการประมวลผล AI แบบ FP4 ที่มีประสิทธิภาพสูงและความแม่นยำใกล้เคียงกับ BF16 แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า ทำให้สามารถเทรนโมเดลขนาดใหญ่ได้ในเครื่องเดียว

    GN100 ยังมาพร้อมกับ Nvidia AI software stack เต็มรูปแบบ เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT และรองรับ framework ยอดนิยมอย่าง PyTorch, TensorFlow, JAX และ Ollama โดยสามารถเชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดสูงสุดถึง 405 พันล้านพารามิเตอร์

    สเปกของ Acer Veriton GN100
    ใช้ Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip
    CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725)
    GPU Blackwell รองรับ FP4 ได้ถึง 1 PFLOP
    RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB

    ความสามารถด้าน AI
    รองรับ NVFP4 สำหรับการประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง
    ใช้ Nvidia AI software stack เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT
    รองรับ framework ยอดนิยม เช่น PyTorch, TensorFlow, JAX, Ollama

    การเชื่อมต่อและการขยาย
    มี USB-C 4 ช่อง, HDMI 2.1b, Ethernet, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.1
    เชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่
    รองรับการทำงานร่วมกับระบบคลาวด์หรือศูนย์ข้อมูล

    การออกแบบและการใช้งาน
    ขนาดเล็กเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. เหมาะกับโต๊ะทำงานหรือห้องวิจัย
    มี Kensington lock สำหรับความปลอดภัย
    ราคาเริ่มต้นที่ $3,999 ในอเมริกาเหนือ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/acer-unveils-project-digits-supercomputer-featuring-nvidias-gb10-superchip-with-128gb-of-lpddr5x
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Project Digits: เมื่อพลังระดับเซิร์ฟเวอร์ถูกย่อส่วนให้พกพาได้ ในงาน IFA 2025 Acer เปิดตัว Veriton GN100 ซึ่งเป็นเวอร์ชันของ Project Digits ที่ใช้ชิป Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip โดยออกแบบมาเพื่อเป็น “AI mini workstation” สำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, มหาวิทยาลัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. แต่ภายในบรรจุพลังระดับเซิร์ฟเวอร์: CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725), GPU Blackwell ที่ให้พลัง FP4 สูงถึง 1 PFLOP, RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB พร้อมระบบเข้ารหัสในตัว ที่โดดเด่นคือการรองรับ NVFP4 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Nvidia สำหรับการประมวลผล AI แบบ FP4 ที่มีประสิทธิภาพสูงและความแม่นยำใกล้เคียงกับ BF16 แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า ทำให้สามารถเทรนโมเดลขนาดใหญ่ได้ในเครื่องเดียว GN100 ยังมาพร้อมกับ Nvidia AI software stack เต็มรูปแบบ เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT และรองรับ framework ยอดนิยมอย่าง PyTorch, TensorFlow, JAX และ Ollama โดยสามารถเชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดสูงสุดถึง 405 พันล้านพารามิเตอร์ ✅ สเปกของ Acer Veriton GN100 ➡️ ใช้ Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip ➡️ CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725) ➡️ GPU Blackwell รองรับ FP4 ได้ถึง 1 PFLOP ➡️ RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB ✅ ความสามารถด้าน AI ➡️ รองรับ NVFP4 สำหรับการประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ ใช้ Nvidia AI software stack เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT ➡️ รองรับ framework ยอดนิยม เช่น PyTorch, TensorFlow, JAX, Ollama ✅ การเชื่อมต่อและการขยาย ➡️ มี USB-C 4 ช่อง, HDMI 2.1b, Ethernet, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.1 ➡️ เชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่ ➡️ รองรับการทำงานร่วมกับระบบคลาวด์หรือศูนย์ข้อมูล ✅ การออกแบบและการใช้งาน ➡️ ขนาดเล็กเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. เหมาะกับโต๊ะทำงานหรือห้องวิจัย ➡️ มี Kensington lock สำหรับความปลอดภัย ➡️ ราคาเริ่มต้นที่ $3,999 ในอเมริกาเหนือ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/acer-unveils-project-digits-supercomputer-featuring-nvidias-gb10-superchip-with-128gb-of-lpddr5x
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Acer unveils Project Digits supercomputer featuring Nvidia's GB10 superchip with 128GB of LPDDR5x
    Acer joins Asus, Lenovo, and Dell with its third-party Project Digits variation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Helios 18P AI: เมื่อแล็ปท็อปเกมมิ่งกลายเป็นเครื่องมือของนักวิจัยและนักสร้างสรรค์

    ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Predator Helios 18P AI ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนเกมมิ่งแล็ปท็อปทั่วไป—มีโลโก้ Predator, ไฟ RGB, และดีไซน์ดุดัน แต่เมื่อดูสเปกแล้ว มันคือ “AI workstation แบบพกพา” ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่นเกม

    หัวใจของเครื่องคือ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro ซึ่งให้ความสามารถด้านการจัดการระดับองค์กร และความเสถียรแบบ workstation ส่วน RAM ก็ไม่ธรรมดา เพราะรองรับ ECC (Error-Correcting Code) สูงสุดถึง 192GB—เทคโนโลยีที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายระหว่างการประมวลผล

    GPU ใช้ NVIDIA GeForce RTX 5090 Laptop ที่มีพลัง AI TOPS สูงถึง 1824 พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ซึ่งเหมาะกับทั้งการเล่นเกมระดับสูงและการประมวลผล AI เช่นการเทรนโมเดล, การเรนเดอร์ภาพ 3D, หรือการจำลองทางวิทยาศาสตร์

    หน้าจอ Mini LED ขนาด 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400 รองรับ HDR 1000 nits และ DCI-P3 เต็มช่วงสี พร้อม refresh rate 120Hz ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำด้านสี เช่นการตัดต่อวิดีโอหรือการทำงานด้านภาพยนตร์

    ระบบระบายความร้อนใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 ที่บางเพียง 0.05 มม. พร้อม liquid metal และ heat pipe แบบ vector เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป

    สเปกระดับ workstation ที่ใส่ในแล็ปท็อปเกมมิ่ง
    ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro สำหรับการจัดการระดับองค์กร
    รองรับ ECC RAM สูงสุด 192GB เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย
    GPU เป็น RTX 5090 Laptop พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5

    ความสามารถด้าน AI และการประมวลผลหนัก
    รองรับ AI workload ด้วย NPU และ GPU ที่มี AI TOPS สูง
    เหมาะกับงานเทรนโมเดล, simulation, และการเรนเดอร์ระดับสูง
    ใช้ PCIe Gen 5 SSD สูงสุด 6TB สำหรับการเข้าถึงข้อมูลเร็ว

    หน้าจอและการเชื่อมต่อสำหรับ creator
    Mini LED 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400, HDR 1000 nits, DCI-P3 เต็มช่วงสี
    มี Thunderbolt 5, HDMI 2.1, SD card reader, Wi-Fi 7 และ Killer Ethernet
    เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ, color grading, และการทำงานแบบมืออาชีพ

    ระบบระบายความร้อนระดับสูง
    ใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 บางเพียง 0.05 มม.
    มี liquid metal thermal grease และ vector heat pipe
    ช่วยให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่เกิด thermal throttling

    https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/acer-hedges-its-hardware-bets-puts-vpro-and-ecc-memory-in-new-high-end-gaming-laptop
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Helios 18P AI: เมื่อแล็ปท็อปเกมมิ่งกลายเป็นเครื่องมือของนักวิจัยและนักสร้างสรรค์ ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Predator Helios 18P AI ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนเกมมิ่งแล็ปท็อปทั่วไป—มีโลโก้ Predator, ไฟ RGB, และดีไซน์ดุดัน แต่เมื่อดูสเปกแล้ว มันคือ “AI workstation แบบพกพา” ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่นเกม หัวใจของเครื่องคือ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro ซึ่งให้ความสามารถด้านการจัดการระดับองค์กร และความเสถียรแบบ workstation ส่วน RAM ก็ไม่ธรรมดา เพราะรองรับ ECC (Error-Correcting Code) สูงสุดถึง 192GB—เทคโนโลยีที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายระหว่างการประมวลผล GPU ใช้ NVIDIA GeForce RTX 5090 Laptop ที่มีพลัง AI TOPS สูงถึง 1824 พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ซึ่งเหมาะกับทั้งการเล่นเกมระดับสูงและการประมวลผล AI เช่นการเทรนโมเดล, การเรนเดอร์ภาพ 3D, หรือการจำลองทางวิทยาศาสตร์ หน้าจอ Mini LED ขนาด 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400 รองรับ HDR 1000 nits และ DCI-P3 เต็มช่วงสี พร้อม refresh rate 120Hz ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำด้านสี เช่นการตัดต่อวิดีโอหรือการทำงานด้านภาพยนตร์ ระบบระบายความร้อนใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 ที่บางเพียง 0.05 มม. พร้อม liquid metal และ heat pipe แบบ vector เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป ✅ สเปกระดับ workstation ที่ใส่ในแล็ปท็อปเกมมิ่ง ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro สำหรับการจัดการระดับองค์กร ➡️ รองรับ ECC RAM สูงสุด 192GB เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย ➡️ GPU เป็น RTX 5090 Laptop พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ✅ ความสามารถด้าน AI และการประมวลผลหนัก ➡️ รองรับ AI workload ด้วย NPU และ GPU ที่มี AI TOPS สูง ➡️ เหมาะกับงานเทรนโมเดล, simulation, และการเรนเดอร์ระดับสูง ➡️ ใช้ PCIe Gen 5 SSD สูงสุด 6TB สำหรับการเข้าถึงข้อมูลเร็ว ✅ หน้าจอและการเชื่อมต่อสำหรับ creator ➡️ Mini LED 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400, HDR 1000 nits, DCI-P3 เต็มช่วงสี ➡️ มี Thunderbolt 5, HDMI 2.1, SD card reader, Wi-Fi 7 และ Killer Ethernet ➡️ เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ, color grading, และการทำงานแบบมืออาชีพ ✅ ระบบระบายความร้อนระดับสูง ➡️ ใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 บางเพียง 0.05 มม. ➡️ มี liquid metal thermal grease และ vector heat pipe ➡️ ช่วยให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่เกิด thermal throttling https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/acer-hedges-its-hardware-bets-puts-vpro-and-ecc-memory-in-new-high-end-gaming-laptop
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Acer hedges its hardware bets, puts vPro and ECC memory in new high-end gaming laptop
    The company says the Predator Helios 18P AI is also a local AI workstation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการแลกเปลี่ยนในเงา: เมื่อคริปโตกลายเป็นสกุลเงินหลักในประเทศที่ถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก

    ในปี 2025 เวเนซุเอลายังคงเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการจำกัดการส่งออกน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐขาดแคลนอย่างหนัก และธุรกิจเอกชนไม่สามารถซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศได้ตามปกติ

    รัฐบาลเวเนซุเอลาจึงเริ่ม “เปิดช่องทางใหม่” โดยอนุญาตให้ใช้คริปโตเคอร์เรนซีที่ผูกกับดอลลาร์ เช่น USDT (Tether) ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน โดยมีธนาคารบางแห่งที่ได้รับอนุญาตให้ขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐ

    บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA ก็เริ่มเปลี่ยนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศมาเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการชำระเงินผ่านระบบธนาคาร ซึ่งถูกควบคุมโดยสหรัฐฯ

    แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง แต่รองประธานาธิบดี Delcy Rodriguez ได้กล่าวในที่ประชุมกับภาคธุรกิจว่า “เรากำลังใช้กลไกที่ไม่เป็นทางการในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน” ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของการใช้คริปโตในภาคเอกชน

    ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ในประเทศระบุว่า มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของคริปโตในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

    การเปลี่ยนผ่านจากดอลลาร์สู่คริปโต
    รัฐบาลเวเนซุเอลาอนุญาตให้ใช้ USDT ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน
    ธนาคารบางแห่งสามารถขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับอนุมัติ
    เป็นการตอบสนองต่อการขาดแคลนดอลลาร์จากการคว่ำบาตรด้านน้ำมัน

    บทบาทของ PDVSA และภาคธุรกิจ
    บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA เริ่มรับชำระเงินเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว
    ธุรกิจเอกชนใช้ USDT เพื่อซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ
    การใช้คริปโตช่วยให้เศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อได้แม้ถูกตัดขาดจากระบบธนาคาร

    การยอมรับเชิงนโยบายโดยรัฐบาล
    รองประธานาธิบดีกล่าวถึง “กลไกที่ไม่เป็นทางการ” ในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน
    ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง
    การใช้คริปโตยังจำกัดเฉพาะธุรกิจที่ได้รับอนุญาตและมี wallet ที่ผ่านการตรวจสอบ

    ข้อมูลจากภาควิเคราะห์
    มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม
    แสดงถึงการขยายตัวของคริปโตในระบบเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา
    เป็นการปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากต่างประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/with-dollars-scarce-venezuela-currency-exchanges-turn-to-crypto
    🎙️ เรื่องเล่าจากการแลกเปลี่ยนในเงา: เมื่อคริปโตกลายเป็นสกุลเงินหลักในประเทศที่ถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก ในปี 2025 เวเนซุเอลายังคงเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการจำกัดการส่งออกน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐขาดแคลนอย่างหนัก และธุรกิจเอกชนไม่สามารถซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศได้ตามปกติ รัฐบาลเวเนซุเอลาจึงเริ่ม “เปิดช่องทางใหม่” โดยอนุญาตให้ใช้คริปโตเคอร์เรนซีที่ผูกกับดอลลาร์ เช่น USDT (Tether) ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน โดยมีธนาคารบางแห่งที่ได้รับอนุญาตให้ขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐ บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA ก็เริ่มเปลี่ยนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศมาเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการชำระเงินผ่านระบบธนาคาร ซึ่งถูกควบคุมโดยสหรัฐฯ แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง แต่รองประธานาธิบดี Delcy Rodriguez ได้กล่าวในที่ประชุมกับภาคธุรกิจว่า “เรากำลังใช้กลไกที่ไม่เป็นทางการในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน” ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของการใช้คริปโตในภาคเอกชน ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ในประเทศระบุว่า มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของคริปโตในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ✅ การเปลี่ยนผ่านจากดอลลาร์สู่คริปโต ➡️ รัฐบาลเวเนซุเอลาอนุญาตให้ใช้ USDT ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน ➡️ ธนาคารบางแห่งสามารถขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับอนุมัติ ➡️ เป็นการตอบสนองต่อการขาดแคลนดอลลาร์จากการคว่ำบาตรด้านน้ำมัน ✅ บทบาทของ PDVSA และภาคธุรกิจ ➡️ บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA เริ่มรับชำระเงินเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว ➡️ ธุรกิจเอกชนใช้ USDT เพื่อซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ ➡️ การใช้คริปโตช่วยให้เศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อได้แม้ถูกตัดขาดจากระบบธนาคาร ✅ การยอมรับเชิงนโยบายโดยรัฐบาล ➡️ รองประธานาธิบดีกล่าวถึง “กลไกที่ไม่เป็นทางการ” ในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน ➡️ ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง ➡️ การใช้คริปโตยังจำกัดเฉพาะธุรกิจที่ได้รับอนุญาตและมี wallet ที่ผ่านการตรวจสอบ ✅ ข้อมูลจากภาควิเคราะห์ ➡️ มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม ➡️ แสดงถึงการขยายตัวของคริปโตในระบบเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา ➡️ เป็นการปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากต่างประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/with-dollars-scarce-venezuela-currency-exchanges-turn-to-crypto
    WWW.THESTAR.COM.MY
    With dollars scarce, Venezuela currency exchanges turn to crypto
    (Reuters) -Venezuela's government is slowly allowing the use of dollar-tied cryptocurrencies in currency exchanges for the private sector, a dozen sources said, as U.S. restrictions on oil exports reduce available foreign currency.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก

    ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain

    USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด

    สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์

    แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin

    ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT
    มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1
    โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร
    ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด

    การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ
    อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ
    ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน
    ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด

    เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT
    TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ
    ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง
    BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน

    การใช้งานในฝั่งบริษัท
    ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ
    จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น
    ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย

    https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์ แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin ✅ ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT ➡️ มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 ➡️ โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร ➡️ ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด ✅ การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ➡️ อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ ➡️ ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน ➡️ ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด ✅ เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT ➡️ TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ ➡️ ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง ➡️ BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน ✅ การใช้งานในฝั่งบริษัท ➡️ ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ ➡️ จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น ➡️ ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    HACKREAD.COM
    Why Users and Businesses Are Choosing to Get Paid in USDT Instead of Local Currency
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • Newskit, an online news service that feels like a Thai newspaper, is currently testing an English version (translated by ChatGPT). Stay tuned for more details in the comments on the Newskit Facebook page and Thaitimes until further notice.

    See you every Monday to Thursday morning.

    Newskit ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ กำลังทดลองการแปลเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ ผ่าน ChatGPT ท่านสามารถอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ในช่องแสดงความคิดเห็น บนเพจ Newskit ในเฟซบุ๊กและ Thaitimes จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

    พบกันทุกเช้าวันจันทร์ ถึงพฤหัสบดี (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
    Newskit, an online news service that feels like a Thai newspaper, is currently testing an English version (translated by ChatGPT). Stay tuned for more details in the comments on the Newskit Facebook page and Thaitimes until further notice. See you every Monday to Thursday morning. Newskit ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ กำลังทดลองการแปลเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ ผ่าน ChatGPT ท่านสามารถอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ในช่องแสดงความคิดเห็น บนเพจ Newskit ในเฟซบุ๊กและ Thaitimes จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง พบกันทุกเช้าวันจันทร์ ถึงพฤหัสบดี (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความจริงที่ประชาชนคนไทยดีๆช่วยกันตีแผ่,แต่นักการเมืองและข้าราชการไทยในพื้นที่พยายามฝังกลบ,เรามีทหารและตำรวจในภาคตะวันออกนี้ไว้ทำไม?,คนทำอาชีพสุจริตโดยรังแกชัดเจนจากคนทำอาชีพไม่สุจริต,บ้านเมืองเสื่อมมาก,คนบ้านหนองจานและลักษณะแบบจ.สระแก้วเป็นโซนต้องรักษาหนักสุด คนไข้icuสุดๆติดหาตังจากวิถีเถื่อนๆเต็มพื้นที่ไปหมด,ขาดคือลงแดงทันที,วันไหนไม่ได้ทำกิจกรรมลักษณะนี้จะลงแดงตายแน่นอน,ไม่สามารถกลับไปทำสัมมาอาชีพใดๆได้อีก ปลูกข้าวปลูกยางปลูกมันฯปลูกอ้อย ไม่สามารถทำรายได้และเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำได้ขนาดนี้และใช้ระยะเวลาอันสั้นด้วย,ไม่แปลกใจคนแถวนี้มีตังมีเงินทองมากมายโดยรอบเสียเหลือเกิน,ธนาคารแถวนี้รับฝากเงินสกปรกนี้เป็นอันมากจากนั้นจึงโอนตังกันได้,ฟอกตังสาระพัดอีก,นอกจากฟอกตังมุกอื่นๆ นอกจากขนตังสดๆข้ามชายแดนไปมาด้วย ขนให้ลูกน้องนายใหญ่เพื่อเก็บซ่อนให้นายใหญ่ใช้ในวัยชราใกล้ตายหรือออกจากราชการไทยไปแล้วนั้นเอง.,ใครๆจึงอยากเป็นใหญ่เป็นราชการชั้นปกครองกันมันสามารถอยู่ในอำนาจและเหนืออำนาจควบคุมคนใต้อำนาจได้ ทั้งทำการใดๆผิดบ้างชั่วบ้างก็จะเป็นที่ยอมรับเหมือนเดิมตราบที่ตนยังมีอำนาจในราชการไทยและมีโอกาสทำลักษณะนี้แบบในบ้านหนองจานทั่วไทยได้โล่งทางด้วย,สั่งเก็บใครก็ได้ที่ขัดขวางในสาระพัดวิธีการ ทั้งเก็บสั่งฆ่าตรงๆหรือเล่นทางข้อบทกฎหมาย,เพราะตนใหญ่สุดสั่งทั่วไทยได้มีความสัมพันธ์รอบไทยทั่ว,ชาวบ้านแบบหนองจานจึงน่าสงสารมากๆ,ยุคสมัยใดๆกฎหมายว่าล้ำขนาดไหนก็เอาพวกนี้ไม่ลง จบไม่ได้ ยืนหนึ่งสร้างการค้าขายการตลาดนี้ล่ำไป,การปกครองเราเสื่อมค่าจริงๆ ทหารแม่ทัพภาค1เจ้าของพื้นที่แท้ๆยังปล่อยปละละเลยเป็นอันมากจริงๆตำรวจพื้นที่ก็ด้วย อบต.อบจ. นายอำเภอ ผู้ว่า เป็นไปด้วยกันหมด, สรรพากร พานิชย์จังหวัด กรมที่ดิน หอการค้า สมาคมนักธุรกิจ รวมความเป็นไปด้วยกันหมด,และจริงๆตำรวจกับทหารชายแดนทหารภาคคือหน้าที่ตรงของตนเต็มๆต้องจัดการแต่ก็ไม่ทำ ,บ้านเมืองเราเน่าจริงๆเน่าหลายพื้นที่ เน่าเต็มๆฝั่งภาค1อีกและตำรวจภาคพื้นที่นี้ด้วย,อ.วีระ และทนายแผ่นดินสมควรรวมตัวกันทำเพื่อประเทศ อัยการศาลจังหวัดสระแก้วต้องยื่นฟ้องข้าราชการรัฐในพื้นที่นี้ทั้งหมด.ข้อหา ม.157เลย,ตลอด ม.119ด้วยที่ทำให้อธิปไตยถูกยึดครองสูญเสียไปและบนส่วนในแผ่นดินไทย เขตแดนเข้ามาฝั่งไทยด้วย,และที่น่าเสียใจคือแม่ทัพภาค1ยังติดโผทหารรอขึ้น ผบ.ทบ.อีก,ตลอด มทภ.1รุ่นก่อนๆที่ปกครองพื้นที่ดูแลสระแก้วตลอดแนวพรมแดนก่อนมทภ1.ปัจจุบันรับตำแหน่งก็ต้องโดน ม.157 ม.119ด้วยที่สามารถส่งไม้ต่อจนไม่ปราบปรามถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยอะไรเลย,แถมส่งให้มทภ.1อีก,มทภ1.ก็นิ่งเฉยไม่ถีบเขมรอะไรแม้เคสกรณีอีสานใต้บังเกิดขึ้นเป็นจังหวะอันดีงามแต่ก็นำพาดำเนินการ,ใครที่เกี่ยวข้องสั่งมทภ.1ไม่ออกปฏิบัติการถีบเขมร ยับยั้งมทภ.1ไว้ก็เข้าข่าย ม.119,ไม่ต่างจากคลิปเสียงนายกฯอดีตนายกฯไม่ซื่อสัตย์ผิดจรรยธรรมร้านแรงนั้นด้วยเลย.,ต้องเอามาลงโทษให้ได้ แฉสิ่งที่คุยกัน มีคลิปเสียงคุยกันยิ่งดี,กสทช.ต้องมีบันทึกแน่ ทหารสายลับสามารถดักเสียงได้แน่นอน.,อย่าพากันเก็บทหารเลวไว้หนักกองทัพไทยเลย,สมควรกำจัดเถอะ.

    https://youtube.com/watch?v=ai3k6kgSSDo&si=S_-95UU8YWerUPcZ
    ความจริงที่ประชาชนคนไทยดีๆช่วยกันตีแผ่,แต่นักการเมืองและข้าราชการไทยในพื้นที่พยายามฝังกลบ,เรามีทหารและตำรวจในภาคตะวันออกนี้ไว้ทำไม?,คนทำอาชีพสุจริตโดยรังแกชัดเจนจากคนทำอาชีพไม่สุจริต,บ้านเมืองเสื่อมมาก,คนบ้านหนองจานและลักษณะแบบจ.สระแก้วเป็นโซนต้องรักษาหนักสุด คนไข้icuสุดๆติดหาตังจากวิถีเถื่อนๆเต็มพื้นที่ไปหมด,ขาดคือลงแดงทันที,วันไหนไม่ได้ทำกิจกรรมลักษณะนี้จะลงแดงตายแน่นอน,ไม่สามารถกลับไปทำสัมมาอาชีพใดๆได้อีก ปลูกข้าวปลูกยางปลูกมันฯปลูกอ้อย ไม่สามารถทำรายได้และเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำได้ขนาดนี้และใช้ระยะเวลาอันสั้นด้วย,ไม่แปลกใจคนแถวนี้มีตังมีเงินทองมากมายโดยรอบเสียเหลือเกิน,ธนาคารแถวนี้รับฝากเงินสกปรกนี้เป็นอันมากจากนั้นจึงโอนตังกันได้,ฟอกตังสาระพัดอีก,นอกจากฟอกตังมุกอื่นๆ นอกจากขนตังสดๆข้ามชายแดนไปมาด้วย ขนให้ลูกน้องนายใหญ่เพื่อเก็บซ่อนให้นายใหญ่ใช้ในวัยชราใกล้ตายหรือออกจากราชการไทยไปแล้วนั้นเอง.,ใครๆจึงอยากเป็นใหญ่เป็นราชการชั้นปกครองกันมันสามารถอยู่ในอำนาจและเหนืออำนาจควบคุมคนใต้อำนาจได้ ทั้งทำการใดๆผิดบ้างชั่วบ้างก็จะเป็นที่ยอมรับเหมือนเดิมตราบที่ตนยังมีอำนาจในราชการไทยและมีโอกาสทำลักษณะนี้แบบในบ้านหนองจานทั่วไทยได้โล่งทางด้วย,สั่งเก็บใครก็ได้ที่ขัดขวางในสาระพัดวิธีการ ทั้งเก็บสั่งฆ่าตรงๆหรือเล่นทางข้อบทกฎหมาย,เพราะตนใหญ่สุดสั่งทั่วไทยได้มีความสัมพันธ์รอบไทยทั่ว,ชาวบ้านแบบหนองจานจึงน่าสงสารมากๆ,ยุคสมัยใดๆกฎหมายว่าล้ำขนาดไหนก็เอาพวกนี้ไม่ลง จบไม่ได้ ยืนหนึ่งสร้างการค้าขายการตลาดนี้ล่ำไป,การปกครองเราเสื่อมค่าจริงๆ ทหารแม่ทัพภาค1เจ้าของพื้นที่แท้ๆยังปล่อยปละละเลยเป็นอันมากจริงๆตำรวจพื้นที่ก็ด้วย อบต.อบจ. นายอำเภอ ผู้ว่า เป็นไปด้วยกันหมด, สรรพากร พานิชย์จังหวัด กรมที่ดิน หอการค้า สมาคมนักธุรกิจ รวมความเป็นไปด้วยกันหมด,และจริงๆตำรวจกับทหารชายแดนทหารภาคคือหน้าที่ตรงของตนเต็มๆต้องจัดการแต่ก็ไม่ทำ ,บ้านเมืองเราเน่าจริงๆเน่าหลายพื้นที่ เน่าเต็มๆฝั่งภาค1อีกและตำรวจภาคพื้นที่นี้ด้วย,อ.วีระ และทนายแผ่นดินสมควรรวมตัวกันทำเพื่อประเทศ อัยการศาลจังหวัดสระแก้วต้องยื่นฟ้องข้าราชการรัฐในพื้นที่นี้ทั้งหมด.ข้อหา ม.157เลย,ตลอด ม.119ด้วยที่ทำให้อธิปไตยถูกยึดครองสูญเสียไปและบนส่วนในแผ่นดินไทย เขตแดนเข้ามาฝั่งไทยด้วย,และที่น่าเสียใจคือแม่ทัพภาค1ยังติดโผทหารรอขึ้น ผบ.ทบ.อีก,ตลอด มทภ.1รุ่นก่อนๆที่ปกครองพื้นที่ดูแลสระแก้วตลอดแนวพรมแดนก่อนมทภ1.ปัจจุบันรับตำแหน่งก็ต้องโดน ม.157 ม.119ด้วยที่สามารถส่งไม้ต่อจนไม่ปราบปรามถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยอะไรเลย,แถมส่งให้มทภ.1อีก,มทภ1.ก็นิ่งเฉยไม่ถีบเขมรอะไรแม้เคสกรณีอีสานใต้บังเกิดขึ้นเป็นจังหวะอันดีงามแต่ก็นำพาดำเนินการ,ใครที่เกี่ยวข้องสั่งมทภ.1ไม่ออกปฏิบัติการถีบเขมร ยับยั้งมทภ.1ไว้ก็เข้าข่าย ม.119,ไม่ต่างจากคลิปเสียงนายกฯอดีตนายกฯไม่ซื่อสัตย์ผิดจรรยธรรมร้านแรงนั้นด้วยเลย.,ต้องเอามาลงโทษให้ได้ แฉสิ่งที่คุยกัน มีคลิปเสียงคุยกันยิ่งดี,กสทช.ต้องมีบันทึกแน่ ทหารสายลับสามารถดักเสียงได้แน่นอน.,อย่าพากันเก็บทหารเลวไว้หนักกองทัพไทยเลย,สมควรกำจัดเถอะ. https://youtube.com/watch?v=ai3k6kgSSDo&si=S_-95UU8YWerUPcZ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก USB สีฟ้า: เมื่อสีของพอร์ตกลายเป็นภาษาลับของความเร็วและฟังก์ชัน

    ย้อนกลับไปก่อนปี 2008 ช่อง USB บนคอมพิวเตอร์มีแต่สีดำ—รองรับ USB 2.0 ที่มีความเร็วสูงสุดแค่ 480 Mbps ใช้สำหรับเมาส์ คีย์บอร์ด หรือแฟลชไดรฟ์เล็ก ๆ แต่เมื่อ USB 3.0 เปิดตัว สีฟ้าก็ถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่า “ช่องนี้เร็วกว่า” โดยสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 5 Gbps และรองรับการสื่อสารแบบ full-duplex คือส่งและรับข้อมูลพร้อมกันได้

    พอร์ตสีฟ้าจึงกลายเป็นจุดเด่นบนเมนบอร์ดและแล็ปท็อปที่เน้นประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับการโอนข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น external SSD, backup drive หรืออุปกรณ์วิดีโอความละเอียดสูง

    แต่ความจริงคือ “สีฟ้า” ไม่ใช่มาตรฐานที่บังคับ—USB-IF ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐาน USB ไม่ได้กำหนดสีไว้ ทำให้แต่ละแบรนด์ใช้สีต่างกันไป เช่น Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ แต่ HP บางรุ่นใช้สีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS (SuperSpeed) แทน

    ในอุปกรณ์เกมหรือเมนบอร์ดระดับสูง พอร์ตสีฟ้าอาจหมายถึง USB 3.2 Gen 1 แต่บางครั้งก็มีฟีเจอร์พิเศษแฝงอยู่ เช่น BIOS flashback หรือการปรับแต่งอุปกรณ์เฉพาะทาง ส่วนใน PlayStation พอร์ตสีฟ้ามักใช้สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง

    หากไม่แน่ใจว่าพอร์ตสีฟ้าทำอะไรได้บ้าง วิธีที่ดีที่สุดคือดูคู่มือหรือสเปกของอุปกรณ์ หรือสังเกตสัญลักษณ์ข้างพอร์ต เช่น SS, ตัวเลข 5/10/20 (Gbps), หรือไอคอนสายฟ้า ซึ่งบอกถึงความสามารถในการชาร์จเร็ว

    ความหมายของพอร์ต USB สีฟ้า
    มักหมายถึง USB 3.x (เช่น 3.0, 3.1, 3.2 Gen 1) ที่มีความเร็วสูง
    รองรับ full-duplex communication ส่งและรับข้อมูลพร้อมกัน
    เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ bandwidth สูง เช่น external SSD หรือกล้อง

    ความแตกต่างระหว่างแบรนด์
    Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ
    HP ใช้ทั้งสีฟ้าและสีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS
    Apple ไม่ใช้สี แต่ระบุในคู่มือหรือสเปกแทน

    สัญลักษณ์ที่ควรสังเกต
    SS = SuperSpeed (USB 3.x)
    ตัวเลข 5/10/20 = ความเร็วในการส่งข้อมูล (Gbps)
    ไอคอนสายฟ้า = รองรับการชาร์จเร็วหรือ Power Delivery

    การใช้งานในอุปกรณ์เฉพาะ
    เมนบอร์ดเกมมิ่งอาจใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับ BIOS flashback หรือการปรับแต่ง
    PlayStation ใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก
    Docking station และฮับมักใช้สีฟ้าเพื่อแยก USB 3.x จาก USB 2.0

    https://www.slashgear.com/1953890/blue-usb-port-what-means-uses-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก USB สีฟ้า: เมื่อสีของพอร์ตกลายเป็นภาษาลับของความเร็วและฟังก์ชัน ย้อนกลับไปก่อนปี 2008 ช่อง USB บนคอมพิวเตอร์มีแต่สีดำ—รองรับ USB 2.0 ที่มีความเร็วสูงสุดแค่ 480 Mbps ใช้สำหรับเมาส์ คีย์บอร์ด หรือแฟลชไดรฟ์เล็ก ๆ แต่เมื่อ USB 3.0 เปิดตัว สีฟ้าก็ถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่า “ช่องนี้เร็วกว่า” โดยสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 5 Gbps และรองรับการสื่อสารแบบ full-duplex คือส่งและรับข้อมูลพร้อมกันได้ พอร์ตสีฟ้าจึงกลายเป็นจุดเด่นบนเมนบอร์ดและแล็ปท็อปที่เน้นประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับการโอนข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น external SSD, backup drive หรืออุปกรณ์วิดีโอความละเอียดสูง แต่ความจริงคือ “สีฟ้า” ไม่ใช่มาตรฐานที่บังคับ—USB-IF ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐาน USB ไม่ได้กำหนดสีไว้ ทำให้แต่ละแบรนด์ใช้สีต่างกันไป เช่น Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ แต่ HP บางรุ่นใช้สีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS (SuperSpeed) แทน ในอุปกรณ์เกมหรือเมนบอร์ดระดับสูง พอร์ตสีฟ้าอาจหมายถึง USB 3.2 Gen 1 แต่บางครั้งก็มีฟีเจอร์พิเศษแฝงอยู่ เช่น BIOS flashback หรือการปรับแต่งอุปกรณ์เฉพาะทาง ส่วนใน PlayStation พอร์ตสีฟ้ามักใช้สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง หากไม่แน่ใจว่าพอร์ตสีฟ้าทำอะไรได้บ้าง วิธีที่ดีที่สุดคือดูคู่มือหรือสเปกของอุปกรณ์ หรือสังเกตสัญลักษณ์ข้างพอร์ต เช่น SS, ตัวเลข 5/10/20 (Gbps), หรือไอคอนสายฟ้า ซึ่งบอกถึงความสามารถในการชาร์จเร็ว ✅ ความหมายของพอร์ต USB สีฟ้า ➡️ มักหมายถึง USB 3.x (เช่น 3.0, 3.1, 3.2 Gen 1) ที่มีความเร็วสูง ➡️ รองรับ full-duplex communication ส่งและรับข้อมูลพร้อมกัน ➡️ เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ bandwidth สูง เช่น external SSD หรือกล้อง ✅ ความแตกต่างระหว่างแบรนด์ ➡️ Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ➡️ HP ใช้ทั้งสีฟ้าและสีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS ➡️ Apple ไม่ใช้สี แต่ระบุในคู่มือหรือสเปกแทน ✅ สัญลักษณ์ที่ควรสังเกต ➡️ SS = SuperSpeed (USB 3.x) ➡️ ตัวเลข 5/10/20 = ความเร็วในการส่งข้อมูล (Gbps) ➡️ ไอคอนสายฟ้า = รองรับการชาร์จเร็วหรือ Power Delivery ✅ การใช้งานในอุปกรณ์เฉพาะ ➡️ เมนบอร์ดเกมมิ่งอาจใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับ BIOS flashback หรือการปรับแต่ง ➡️ PlayStation ใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก ➡️ Docking station และฮับมักใช้สีฟ้าเพื่อแยก USB 3.x จาก USB 2.0 https://www.slashgear.com/1953890/blue-usb-port-what-means-uses-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does It Mean When A USB Port Is Blue? - SlashGear
    The color of your USB port can tell you everything you need to know about what the port is capable of, so what does it mean if you have a blue USB port?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Linux Kernel: เมื่อการอัปเดตไดรเวอร์ฟลอปปี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมลืมอดีต

    ในยุคที่ SSD ความจุหลายเทราไบต์และ cloud storage ครองโลก การพูดถึงแผ่นฟลอปปี้ขนาด 1.44MB อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก แต่ในเดือนกันยายน 2025 นักพัฒนา Linux อย่าง Andy Shevchenko ได้ส่ง patch ใหม่เข้า kernel เพื่อ “ทำความสะอาด” โค้ดของไดรเวอร์ฟลอปปี้—เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี

    การอัปเดตนี้ไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ แต่เป็นการลบ macro ที่ไม่ได้ใช้, แก้ constant ที่ล้าสมัย และจัดเรียง header ใหม่ให้โค้ดอ่านง่ายขึ้น จุดประสงค์คือเพื่อให้โค้ดสะอาดและดูแลรักษาได้ง่าย แม้ว่าไดรเวอร์นี้จะถูกมองว่า “ถูกทอดทิ้ง” มานานแล้ว

    แต่การที่ Linux ยังเก็บไดรเวอร์ฟลอปปี้ไว้ใน kernel ก็สะท้อนถึงความยืดหยุ่นและความเคารพต่อ legacy system ที่ยังมีอยู่จริงในบางกรณี เช่น ในเรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์ นักโทษยังใช้แผ่นฟลอปปี้ในการเก็บข้อมูลคดี เพราะอุปกรณ์อื่นถูกห้ามใช้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

    แม้ Sony จะหยุดผลิตแผ่นฟลอปปี้ตั้งแต่ปี 2010 และผู้ขายรายสุดท้ายอย่าง Tom Persky ก็เคยกล่าวว่า “อุตสาหกรรมนี้น่าจะอยู่ได้อีกแค่ 4 ปี” แต่การที่ Linux ยังรองรับฟลอปปี้ก็เหมือนการบอกว่า “เรายังไม่ลืมคุณ”

    การอัปเดตไดรเวอร์ฟลอปปี้ใน Linux
    นำโดย Andy Shevchenko เพื่อทำความสะอาดโค้ด
    ลบ macro ที่ไม่ได้ใช้, แก้ constant ที่ล้าสมัย, จัดเรียง header ใหม่
    ไม่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หรือปรับปรุงการทำงาน

    เหตุผลที่ยังคงรองรับฟลอปปี้
    ยังมีการใช้งานในบางกรณี เช่น เรือนจำที่ห้ามใช้อุปกรณ์อื่น
    Linux มีแนวทางที่เคารพ legacy system และความเข้ากันได้ย้อนหลัง
    การลบไดรเวอร์อาจกระทบผู้ใช้เฉพาะกลุ่มที่ยังพึ่งพาระบบนี้

    สถานะของอุตสาหกรรมฟลอปปี้
    Sony หยุดผลิตตั้งแต่ปี 2010
    ผู้ขายรายสุดท้ายอย่าง floppydisk.com ดำเนินการจาก stock เดิม
    คาดว่า supply จะหมดภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

    บริบทของเทคโนโลยีปัจจุบัน
    SSD มีความจุหลายเทราไบต์และราคาถูกลงเรื่อย ๆ
    Cloud storage ทำให้การใช้ physical media ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ฟลอปปี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิกมากกว่าการใช้งานจริง

    https://www.techradar.com/pro/floppy-disks-live-on-linux-drivers-get-first-update-for-years-perhaps-signalling-a-comeback-for-the-much-loved-system
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Linux Kernel: เมื่อการอัปเดตไดรเวอร์ฟลอปปี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมลืมอดีต ในยุคที่ SSD ความจุหลายเทราไบต์และ cloud storage ครองโลก การพูดถึงแผ่นฟลอปปี้ขนาด 1.44MB อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก แต่ในเดือนกันยายน 2025 นักพัฒนา Linux อย่าง Andy Shevchenko ได้ส่ง patch ใหม่เข้า kernel เพื่อ “ทำความสะอาด” โค้ดของไดรเวอร์ฟลอปปี้—เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี การอัปเดตนี้ไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ แต่เป็นการลบ macro ที่ไม่ได้ใช้, แก้ constant ที่ล้าสมัย และจัดเรียง header ใหม่ให้โค้ดอ่านง่ายขึ้น จุดประสงค์คือเพื่อให้โค้ดสะอาดและดูแลรักษาได้ง่าย แม้ว่าไดรเวอร์นี้จะถูกมองว่า “ถูกทอดทิ้ง” มานานแล้ว แต่การที่ Linux ยังเก็บไดรเวอร์ฟลอปปี้ไว้ใน kernel ก็สะท้อนถึงความยืดหยุ่นและความเคารพต่อ legacy system ที่ยังมีอยู่จริงในบางกรณี เช่น ในเรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์ นักโทษยังใช้แผ่นฟลอปปี้ในการเก็บข้อมูลคดี เพราะอุปกรณ์อื่นถูกห้ามใช้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย แม้ Sony จะหยุดผลิตแผ่นฟลอปปี้ตั้งแต่ปี 2010 และผู้ขายรายสุดท้ายอย่าง Tom Persky ก็เคยกล่าวว่า “อุตสาหกรรมนี้น่าจะอยู่ได้อีกแค่ 4 ปี” แต่การที่ Linux ยังรองรับฟลอปปี้ก็เหมือนการบอกว่า “เรายังไม่ลืมคุณ” ✅ การอัปเดตไดรเวอร์ฟลอปปี้ใน Linux ➡️ นำโดย Andy Shevchenko เพื่อทำความสะอาดโค้ด ➡️ ลบ macro ที่ไม่ได้ใช้, แก้ constant ที่ล้าสมัย, จัดเรียง header ใหม่ ➡️ ไม่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หรือปรับปรุงการทำงาน ✅ เหตุผลที่ยังคงรองรับฟลอปปี้ ➡️ ยังมีการใช้งานในบางกรณี เช่น เรือนจำที่ห้ามใช้อุปกรณ์อื่น ➡️ Linux มีแนวทางที่เคารพ legacy system และความเข้ากันได้ย้อนหลัง ➡️ การลบไดรเวอร์อาจกระทบผู้ใช้เฉพาะกลุ่มที่ยังพึ่งพาระบบนี้ ✅ สถานะของอุตสาหกรรมฟลอปปี้ ➡️ Sony หยุดผลิตตั้งแต่ปี 2010 ➡️ ผู้ขายรายสุดท้ายอย่าง floppydisk.com ดำเนินการจาก stock เดิม ➡️ คาดว่า supply จะหมดภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ บริบทของเทคโนโลยีปัจจุบัน ➡️ SSD มีความจุหลายเทราไบต์และราคาถูกลงเรื่อย ๆ ➡️ Cloud storage ทำให้การใช้ physical media ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ฟลอปปี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิกมากกว่าการใช้งานจริง https://www.techradar.com/pro/floppy-disks-live-on-linux-drivers-get-first-update-for-years-perhaps-signalling-a-comeback-for-the-much-loved-system
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ”

    ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้

    UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น

    แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน

    Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที

    ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น

    โครงสร้างของ UB-Mesh
    ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack
    รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น
    ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่

    เป้าหมายของ UB-Mesh
    เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center
    ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น
    ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล

    ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม
    Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์
    Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที
    ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว

    การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน
    Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า
    หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน
    ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น

    การทดสอบและการใช้งานจริง
    Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด
    UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน
    เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง

    https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    🎙️ เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ” ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้ UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น ✅ โครงสร้างของ UB-Mesh ➡️ ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack ➡️ รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น ➡️ ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่ ✅ เป้าหมายของ UB-Mesh ➡️ เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center ➡️ ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น ➡️ ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล ✅ ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม ➡️ Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ ➡️ Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ➡️ ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว ✅ การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน ➡️ Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า ➡️ หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน ➡️ ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น ✅ การทดสอบและการใช้งานจริง ➡️ Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด ➡️ UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน ➡️ เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Kazeta: เมื่อ Linux กลายเป็นคอนโซลยุค 90 ที่ไม่ต้องต่อเน็ต ไม่ต้องล็อกอิน แค่เสียบแล้วเล่น

    ในยุคที่เกมพีซีเต็มไปด้วย launcher, DRM, cloud save, subscription และ UI ที่ซับซ้อน Kazeta OS กลับเลือกเดินทางย้อนยุค—พัฒนา Linux OS ที่ให้ประสบการณ์แบบ “เสียบตลับ กดเปิด แล้วเล่น” เหมือนเครื่องเกมในยุค 1990s โดยไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องอัปเดตอะไรทั้งสิ้น

    Kazeta พัฒนาโดย Alesh Slovak ผู้สร้าง ChimeraOS มาก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อผู้เล่นที่เบื่อความซับซ้อนของ SteamOS หรือ digital storefronts และอยากเก็บเกมแบบ physical media ที่จับต้องได้ Kazeta จึงอนุญาตให้ผู้ใช้แปลงเกม DRM-free เช่นจาก GOG หรือ itch.io ให้กลายเป็น “ตลับเกม” บน SD card ที่เสียบแล้วเล่นได้ทันที

    เมื่อไม่มีตลับเสียบ เครื่องจะบูตเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรที่ให้ผู้เล่นจัดการเซฟเกมได้อย่างง่ายดาย โดยเซฟจะเก็บไว้ในเครื่อง ส่วนตลับเกมจะเป็น read-only เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของไฟล์เกม

    แม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่ Kazeta รองรับทั้งเกมใหม่และเกมเก่าผ่าน emulator และสามารถใช้กับพีซีทั่วไปที่มี GPU ระดับกลางขึ้นไป โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไม่รองรับ dual boot, VM, hybrid graphics หรือ Bluetooth controller (แต่จะรองรับในอนาคต)

    แนวคิดหลักของ Kazeta OS
    สร้างประสบการณ์ “เสียบตลับแล้วเล่น” แบบคอนโซลยุค 90
    ไม่ต้องล็อกอิน, ไม่ต้องต่อเน็ต, ไม่มี launcher หรือ subscription
    รองรับเกม DRM-free จาก GOG, itch.io และ emulator

    วิธีใช้งาน
    ติดตั้ง Kazeta OS บนพีซีที่มีสเปกพอประมาณ
    เตรียม SD card เป็น “ตลับเกม” โดยใส่เกม DRM-free ทีละเกม
    เสียบ SD card แล้วเปิดเครื่องเพื่อเข้าเกมทันที
    หากไม่มีตลับ จะเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรเพื่อจัดการเซฟเกม

    จุดเด่นด้านการเก็บเกม
    ตลับเกมเป็น read-only เพื่อรักษาไฟล์เกม
    เซฟเกมเก็บไว้ในเครื่อง และสามารถแบ็กอัปออกไปได้
    เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเกมแบบ physical media

    ความเข้ากันได้ของระบบ
    รองรับ GPU: AMD RX 400+, NVIDIA GTX 1600+, Intel Gen 9+ (แต่ไม่แนะนำ)
    รองรับ controller: 8Bitdo Ultimate 2C (ผ่าน dongle หรือสาย)
    ไม่รองรับ VM, dual boot, hybrid graphics, Bluetooth controller (ยังไม่พร้อม)

    https://www.tomshardware.com/software/linux/linux-gaming-os-kazeta-promises-console-gaming-experience-of-the-1990s-for-pc-users-supports-almost-any-drm-free-game-past-or-present
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Kazeta: เมื่อ Linux กลายเป็นคอนโซลยุค 90 ที่ไม่ต้องต่อเน็ต ไม่ต้องล็อกอิน แค่เสียบแล้วเล่น ในยุคที่เกมพีซีเต็มไปด้วย launcher, DRM, cloud save, subscription และ UI ที่ซับซ้อน Kazeta OS กลับเลือกเดินทางย้อนยุค—พัฒนา Linux OS ที่ให้ประสบการณ์แบบ “เสียบตลับ กดเปิด แล้วเล่น” เหมือนเครื่องเกมในยุค 1990s โดยไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องอัปเดตอะไรทั้งสิ้น Kazeta พัฒนาโดย Alesh Slovak ผู้สร้าง ChimeraOS มาก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อผู้เล่นที่เบื่อความซับซ้อนของ SteamOS หรือ digital storefronts และอยากเก็บเกมแบบ physical media ที่จับต้องได้ Kazeta จึงอนุญาตให้ผู้ใช้แปลงเกม DRM-free เช่นจาก GOG หรือ itch.io ให้กลายเป็น “ตลับเกม” บน SD card ที่เสียบแล้วเล่นได้ทันที เมื่อไม่มีตลับเสียบ เครื่องจะบูตเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรที่ให้ผู้เล่นจัดการเซฟเกมได้อย่างง่ายดาย โดยเซฟจะเก็บไว้ในเครื่อง ส่วนตลับเกมจะเป็น read-only เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของไฟล์เกม แม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่ Kazeta รองรับทั้งเกมใหม่และเกมเก่าผ่าน emulator และสามารถใช้กับพีซีทั่วไปที่มี GPU ระดับกลางขึ้นไป โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไม่รองรับ dual boot, VM, hybrid graphics หรือ Bluetooth controller (แต่จะรองรับในอนาคต) ✅ แนวคิดหลักของ Kazeta OS ➡️ สร้างประสบการณ์ “เสียบตลับแล้วเล่น” แบบคอนโซลยุค 90 ➡️ ไม่ต้องล็อกอิน, ไม่ต้องต่อเน็ต, ไม่มี launcher หรือ subscription ➡️ รองรับเกม DRM-free จาก GOG, itch.io และ emulator ✅ วิธีใช้งาน ➡️ ติดตั้ง Kazeta OS บนพีซีที่มีสเปกพอประมาณ ➡️ เตรียม SD card เป็น “ตลับเกม” โดยใส่เกม DRM-free ทีละเกม ➡️ เสียบ SD card แล้วเปิดเครื่องเพื่อเข้าเกมทันที ➡️ หากไม่มีตลับ จะเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรเพื่อจัดการเซฟเกม ✅ จุดเด่นด้านการเก็บเกม ➡️ ตลับเกมเป็น read-only เพื่อรักษาไฟล์เกม ➡️ เซฟเกมเก็บไว้ในเครื่อง และสามารถแบ็กอัปออกไปได้ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเกมแบบ physical media ✅ ความเข้ากันได้ของระบบ ➡️ รองรับ GPU: AMD RX 400+, NVIDIA GTX 1600+, Intel Gen 9+ (แต่ไม่แนะนำ) ➡️ รองรับ controller: 8Bitdo Ultimate 2C (ผ่าน dongle หรือสาย) ➡️ ไม่รองรับ VM, dual boot, hybrid graphics, Bluetooth controller (ยังไม่พร้อม) https://www.tomshardware.com/software/linux/linux-gaming-os-kazeta-promises-console-gaming-experience-of-the-1990s-for-pc-users-supports-almost-any-drm-free-game-past-or-present
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Intel: เมื่อหลายคอร์รวมพลังกลายเป็น “ซูเปอร์คอร์” เพื่องานเดี่ยว

    ในโลกของ CPU เรามักคิดว่า “คอร์เยอะ” เหมาะกับงานหลายเธรด แต่ถ้าเราต้องการประสิทธิภาพสูงสุดจากงานเดี่ยวล่ะ? Intel กำลังทดลองแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Software Defined Supercore (SDC) ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์รวมหลายคอร์ให้ทำงานร่วมกันเป็น “คอร์เสมือน” ที่กว้างขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องสร้างคอร์ขนาดใหญ่ที่กินพลังงานมหาศาล

    แนวคิดนี้คล้ายกับการสร้าง pipeline เสมือนที่กว้างขึ้น โดยแบ่งคำสั่งของเธรดเดียวออกเป็นบล็อก แล้วให้แต่ละคอร์ประมวลผลพร้อมกัน พร้อมมีระบบซิงก์และการจัดการลำดับคำสั่งเพื่อให้ผลลัพธ์ยังถูกต้องตามลำดับเดิม

    Intel ใช้เทคนิคทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เช่น wormhole address space สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างคอร์, JIT หรือ static compiler สำหรับแบ่งโค้ด, และ OS-level scheduling เพื่อควบคุมว่าเมื่อใดควรเปิดหรือปิดโหมด supercore

    แม้จะยังเป็นแค่สิทธิบัตร แต่แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนวิธีคิดเรื่อง IPC (Instructions per Clock) ไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้อจำกัดของ x86 ที่ไม่สามารถสร้างคอร์แบบ 8-way superscalar ได้จริงเพราะติด bottleneck ด้าน front-end

    แนวคิด Software Defined Supercore (SDC)
    รวมหลาย physical core ให้ทำงานเป็น virtual supercore สำหรับงาน single-thread
    แบ่งคำสั่งออกเป็นบล็อก แล้วให้แต่ละคอร์ประมวลผลพร้อมกัน
    ใช้ระบบซิงก์และการจัดลำดับเพื่อรักษาความถูกต้องของโปรแกรม

    เทคนิคที่ใช้ใน SDC
    wormhole address space สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างคอร์
    ใช้ JIT compiler, static compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด
    inject คำสั่งพิเศษสำหรับ flow control และ register passing

    การจัดการโดย OS
    OS เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดหรือปิดโหมด supercore ตาม runtime condition
    ช่วยบาลานซ์ระหว่าง performance และ core availability

    เปรียบเทียบกับแนวทางเดิม
    x86 core ปัจจุบัน decode ได้ 4–6 คำสั่ง และ execute ได้ 8–9 micro-ops ต่อ cycle
    Apple Arm core เช่น Firestorm สามารถ decode ได้ถึง 8 และ execute ได้มากกว่า 10
    SDC อาจช่วยให้ x86 เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ Arm โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์

    ความเชื่อมโยงกับแนวคิดเก่า
    คล้ายกับ inverse hyper-threading และแนวคิด Bulldozer ของ AMD
    อาจมีรากฐานจากโครงการ Royal Core ที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-patents-software-defined-supercore-mimicking-ultra-wide-execution-using-multiple-cores
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Intel: เมื่อหลายคอร์รวมพลังกลายเป็น “ซูเปอร์คอร์” เพื่องานเดี่ยว ในโลกของ CPU เรามักคิดว่า “คอร์เยอะ” เหมาะกับงานหลายเธรด แต่ถ้าเราต้องการประสิทธิภาพสูงสุดจากงานเดี่ยวล่ะ? Intel กำลังทดลองแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Software Defined Supercore (SDC) ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์รวมหลายคอร์ให้ทำงานร่วมกันเป็น “คอร์เสมือน” ที่กว้างขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องสร้างคอร์ขนาดใหญ่ที่กินพลังงานมหาศาล แนวคิดนี้คล้ายกับการสร้าง pipeline เสมือนที่กว้างขึ้น โดยแบ่งคำสั่งของเธรดเดียวออกเป็นบล็อก แล้วให้แต่ละคอร์ประมวลผลพร้อมกัน พร้อมมีระบบซิงก์และการจัดการลำดับคำสั่งเพื่อให้ผลลัพธ์ยังถูกต้องตามลำดับเดิม Intel ใช้เทคนิคทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เช่น wormhole address space สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างคอร์, JIT หรือ static compiler สำหรับแบ่งโค้ด, และ OS-level scheduling เพื่อควบคุมว่าเมื่อใดควรเปิดหรือปิดโหมด supercore แม้จะยังเป็นแค่สิทธิบัตร แต่แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนวิธีคิดเรื่อง IPC (Instructions per Clock) ไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้อจำกัดของ x86 ที่ไม่สามารถสร้างคอร์แบบ 8-way superscalar ได้จริงเพราะติด bottleneck ด้าน front-end ✅ แนวคิด Software Defined Supercore (SDC) ➡️ รวมหลาย physical core ให้ทำงานเป็น virtual supercore สำหรับงาน single-thread ➡️ แบ่งคำสั่งออกเป็นบล็อก แล้วให้แต่ละคอร์ประมวลผลพร้อมกัน ➡️ ใช้ระบบซิงก์และการจัดลำดับเพื่อรักษาความถูกต้องของโปรแกรม ✅ เทคนิคที่ใช้ใน SDC ➡️ wormhole address space สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างคอร์ ➡️ ใช้ JIT compiler, static compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด ➡️ inject คำสั่งพิเศษสำหรับ flow control และ register passing ✅ การจัดการโดย OS ➡️ OS เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดหรือปิดโหมด supercore ตาม runtime condition ➡️ ช่วยบาลานซ์ระหว่าง performance และ core availability ✅ เปรียบเทียบกับแนวทางเดิม ➡️ x86 core ปัจจุบัน decode ได้ 4–6 คำสั่ง และ execute ได้ 8–9 micro-ops ต่อ cycle ➡️ Apple Arm core เช่น Firestorm สามารถ decode ได้ถึง 8 และ execute ได้มากกว่า 10 ➡️ SDC อาจช่วยให้ x86 เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ Arm โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์ ✅ ความเชื่อมโยงกับแนวคิดเก่า ➡️ คล้ายกับ inverse hyper-threading และแนวคิด Bulldozer ของ AMD ➡️ อาจมีรากฐานจากโครงการ Royal Core ที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-patents-software-defined-supercore-mimicking-ultra-wide-execution-using-multiple-cores
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก KB5063878: เมื่ออัปเดตเพื่อป้องกัน กลับกลายเป็นข้อกล่าวหาเรื่องทำลาย

    ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ Windows หลายคนเริ่มรายงานว่า SSD ของตน “หายไป” หรือ “พัง” หลังจากติดตั้งอัปเดต KB5063878 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพตช์ความปลอดภัย Windows 11 24H2 โดยเฉพาะเมื่อมีการเขียนไฟล์ต่อเนื่องเกิน 50GB บนไดรฟ์ที่มีข้อมูลเกิน 60% ขึ้นไป

    บางรายงานชี้ว่า SSD ที่ไม่มี DRAM และใช้คอนโทรลเลอร์ Phison ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เมื่อมีการทดสอบ SSD 21 รุ่น กลับพบว่าแบรนด์อื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Microsoft และ Phison ต่างก็ออกมายืนยันว่าไม่สามารถ “ทำให้เกิดปัญหา” ได้ในการทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง และ 2,200 รอบการเขียน

    แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอัปเดตเป็นสาเหตุ แต่เอกสารลับที่อ้างว่าเป็นรายชื่อคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบก็ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ทำให้ Phison ต้องออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ปล่อยข้อมูลเท็จ

    Microsoft เองก็ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลจาก telemetry หรือการแจ้งจากลูกค้าโดยตรงที่ชี้ว่าอัปเดตนี้ทำให้ SSD พัง และแนะนำให้ผู้ใช้ที่พบปัญหาแจ้งกลับเพื่อสร้าง “paper trail” ที่จะช่วยให้ตรวจสอบได้ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-swats-down-reports-of-ssd-failures-in-windows-company-says-recent-update-didnt-cause-storage-failures
    🎙️ เรื่องเล่าจาก KB5063878: เมื่ออัปเดตเพื่อป้องกัน กลับกลายเป็นข้อกล่าวหาเรื่องทำลาย ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ Windows หลายคนเริ่มรายงานว่า SSD ของตน “หายไป” หรือ “พัง” หลังจากติดตั้งอัปเดต KB5063878 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพตช์ความปลอดภัย Windows 11 24H2 โดยเฉพาะเมื่อมีการเขียนไฟล์ต่อเนื่องเกิน 50GB บนไดรฟ์ที่มีข้อมูลเกิน 60% ขึ้นไป บางรายงานชี้ว่า SSD ที่ไม่มี DRAM และใช้คอนโทรลเลอร์ Phison ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เมื่อมีการทดสอบ SSD 21 รุ่น กลับพบว่าแบรนด์อื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Microsoft และ Phison ต่างก็ออกมายืนยันว่าไม่สามารถ “ทำให้เกิดปัญหา” ได้ในการทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง และ 2,200 รอบการเขียน แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอัปเดตเป็นสาเหตุ แต่เอกสารลับที่อ้างว่าเป็นรายชื่อคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบก็ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ทำให้ Phison ต้องออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ปล่อยข้อมูลเท็จ Microsoft เองก็ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลจาก telemetry หรือการแจ้งจากลูกค้าโดยตรงที่ชี้ว่าอัปเดตนี้ทำให้ SSD พัง และแนะนำให้ผู้ใช้ที่พบปัญหาแจ้งกลับเพื่อสร้าง “paper trail” ที่จะช่วยให้ตรวจสอบได้ในอนาคต https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-swats-down-reports-of-ssd-failures-in-windows-company-says-recent-update-didnt-cause-storage-failures
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Silver Fox: เมื่อ “ไดรเวอร์ที่เซ็นแล้ว” กลายเป็นอาวุธของ APT

    กลุ่มแฮกเกอร์ระดับชาติที่ชื่อว่า Silver Fox APT ได้เปิดแคมเปญโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค BYOVD (Bring Your Own Vulnerable Driver) โดยอาศัยไดรเวอร์ที่เซ็นโดย Microsoft อย่างถูกต้อง แต่มีช่องโหว่ร้ายแรง เพื่อปิดระบบป้องกันของ Windows แล้วติดตั้งมัลแวร์ ValleyRAT

    ไดรเวอร์ที่ถูกใช้คือ WatchDog Antimalware (amsdk.sys v1.0.600) ซึ่งแม้จะเซ็นโดย Microsoft แต่ไม่เคยถูกขึ้นบัญชีบล็อกของ Microsoft หรือชุมชนอย่าง LOLDrivers มาก่อน Silver Fox ยังใช้ไดรเวอร์เก่าของ Zemana (zam.exe) เพื่อให้แคมเปญทำงานได้ทั้งบน Windows 7, 10 และ 11

    Loader ที่ใช้ในแคมเปญนี้เป็นแพ็กเกจแบบ all-in-one ที่รวม anti-analysis, driver ฝังตัว, logic สำหรับฆ่า process และ ValleyRAT downloader ไว้ในไฟล์เดียว เมื่อรันแล้วจะเลือกไดรเวอร์ให้เหมาะกับระบบ ติดตั้งตัวเองแบบ persistent และเริ่มฆ่า process ของโปรแกรมป้องกันทันที

    ที่น่าตกใจคือ แม้ WatchDog จะออก patch ใหม่ (v1.1.100) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ privilege escalation แต่ Silver Fox กลับ “พลิกเกม” โดยเปลี่ยนแค่ 1 byte ใน timestamp ของลายเซ็น ทำให้ได้ hash ใหม่ที่หลบ blocklist ได้ โดยไม่ทำให้ลายเซ็นเสีย—Windows ยังเชื่อว่าเป็นไฟล์ที่ปลอดภัย

    เทคนิค BYOVD ที่ใช้ในแคมเปญ Silver Fox
    ใช้ไดรเวอร์ที่เซ็นโดย Microsoft แต่มีช่องโหว่จริง
    WatchDog (amsdk.sys v1.0.600) และ Zemana (zam.exe) ถูกใช้ร่วมกัน
    Loader แบบ all-in-one รวมทุกฟีเจอร์ไว้ในไฟล์เดียว

    จุดอ่อนของ WatchDog driver
    สามารถฆ่า process ได้โดยไม่ตรวจสอบสิทธิ์ (PP/PPL bypass)
    มีช่องโหว่ privilege escalation และ raw disk access
    ไม่มีการควบคุม access บน device namespace ทำให้ user ธรรมดาใช้ได้

    การหลบการตรวจจับด้วยการเปลี่ยน hash
    เปลี่ยนแค่ 1 byte ใน timestamp ของลายเซ็น
    ได้ hash ใหม่ที่ไม่อยู่ใน blocklist แต่ยังคงลายเซ็นที่ถูกต้อง
    Windows ยังมองว่าเป็นไฟล์ที่เชื่อถือได้

    ValleyRAT: Payload สุดท้าย
    เป็น modular backdoor ที่มีฟีเจอร์ spying, command execution และ data exfiltration
    โครงสร้าง C2 ถูก trace ไปยังเซิร์ฟเวอร์ในจีน
    เป้าหมายหลักคือองค์กรในเอเชีย โดยเฉพาะจีน

    การตอบสนองจาก WatchDog และ Microsoft
    WatchDog ออก patch v1.1.100 เพื่อแก้ LPE ด้วยการเพิ่ม DACL
    แต่ยังไม่แก้ปัญหา process termination
    Microsoft blocklist อัปเดตช้า ทำให้มีช่องว่างให้โจมตี

    ความเสี่ยงจากการเชื่อมั่นลายเซ็นมากเกินไป
    ลายเซ็นที่ถูกต้องไม่เท่ากับความปลอดภัย หาก hash ถูกเปลี่ยน
    ระบบที่ใช้ hash-based blocklist อาจถูกหลอกได้ง่าย

    ความล่าช้าในการอัปเดต blocklist
    Microsoft อัปเดต blocklist ปีละไม่กี่ครั้ง ทำให้มีช่องว่างหลายเดือน
    ไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่แต่ยังไม่ถูกบล็อกสามารถใช้โจมตีได้ทันที

    ความเสี่ยงจากการใช้ driver ที่ไม่ได้ตรวจสอบ
    ระบบ endpoint protection อาจถูกปิดก่อนที่ detection engine จะทำงาน
    การใช้ driver ที่มีสิทธิ์ระดับ kernel ทำให้มัลแวร์ฝังตัวได้ลึกและยากต่อการลบ

    https://hackread.com/silver-fox-apt-exploit-signed-windows-driver-valleyrat/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Silver Fox: เมื่อ “ไดรเวอร์ที่เซ็นแล้ว” กลายเป็นอาวุธของ APT กลุ่มแฮกเกอร์ระดับชาติที่ชื่อว่า Silver Fox APT ได้เปิดแคมเปญโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค BYOVD (Bring Your Own Vulnerable Driver) โดยอาศัยไดรเวอร์ที่เซ็นโดย Microsoft อย่างถูกต้อง แต่มีช่องโหว่ร้ายแรง เพื่อปิดระบบป้องกันของ Windows แล้วติดตั้งมัลแวร์ ValleyRAT ไดรเวอร์ที่ถูกใช้คือ WatchDog Antimalware (amsdk.sys v1.0.600) ซึ่งแม้จะเซ็นโดย Microsoft แต่ไม่เคยถูกขึ้นบัญชีบล็อกของ Microsoft หรือชุมชนอย่าง LOLDrivers มาก่อน Silver Fox ยังใช้ไดรเวอร์เก่าของ Zemana (zam.exe) เพื่อให้แคมเปญทำงานได้ทั้งบน Windows 7, 10 และ 11 Loader ที่ใช้ในแคมเปญนี้เป็นแพ็กเกจแบบ all-in-one ที่รวม anti-analysis, driver ฝังตัว, logic สำหรับฆ่า process และ ValleyRAT downloader ไว้ในไฟล์เดียว เมื่อรันแล้วจะเลือกไดรเวอร์ให้เหมาะกับระบบ ติดตั้งตัวเองแบบ persistent และเริ่มฆ่า process ของโปรแกรมป้องกันทันที ที่น่าตกใจคือ แม้ WatchDog จะออก patch ใหม่ (v1.1.100) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ privilege escalation แต่ Silver Fox กลับ “พลิกเกม” โดยเปลี่ยนแค่ 1 byte ใน timestamp ของลายเซ็น ทำให้ได้ hash ใหม่ที่หลบ blocklist ได้ โดยไม่ทำให้ลายเซ็นเสีย—Windows ยังเชื่อว่าเป็นไฟล์ที่ปลอดภัย ✅ เทคนิค BYOVD ที่ใช้ในแคมเปญ Silver Fox ➡️ ใช้ไดรเวอร์ที่เซ็นโดย Microsoft แต่มีช่องโหว่จริง ➡️ WatchDog (amsdk.sys v1.0.600) และ Zemana (zam.exe) ถูกใช้ร่วมกัน ➡️ Loader แบบ all-in-one รวมทุกฟีเจอร์ไว้ในไฟล์เดียว ✅ จุดอ่อนของ WatchDog driver ➡️ สามารถฆ่า process ได้โดยไม่ตรวจสอบสิทธิ์ (PP/PPL bypass) ➡️ มีช่องโหว่ privilege escalation และ raw disk access ➡️ ไม่มีการควบคุม access บน device namespace ทำให้ user ธรรมดาใช้ได้ ✅ การหลบการตรวจจับด้วยการเปลี่ยน hash ➡️ เปลี่ยนแค่ 1 byte ใน timestamp ของลายเซ็น ➡️ ได้ hash ใหม่ที่ไม่อยู่ใน blocklist แต่ยังคงลายเซ็นที่ถูกต้อง ➡️ Windows ยังมองว่าเป็นไฟล์ที่เชื่อถือได้ ✅ ValleyRAT: Payload สุดท้าย ➡️ เป็น modular backdoor ที่มีฟีเจอร์ spying, command execution และ data exfiltration ➡️ โครงสร้าง C2 ถูก trace ไปยังเซิร์ฟเวอร์ในจีน ➡️ เป้าหมายหลักคือองค์กรในเอเชีย โดยเฉพาะจีน ✅ การตอบสนองจาก WatchDog และ Microsoft ➡️ WatchDog ออก patch v1.1.100 เพื่อแก้ LPE ด้วยการเพิ่ม DACL ➡️ แต่ยังไม่แก้ปัญหา process termination ➡️ Microsoft blocklist อัปเดตช้า ทำให้มีช่องว่างให้โจมตี ‼️ ความเสี่ยงจากการเชื่อมั่นลายเซ็นมากเกินไป ⛔ ลายเซ็นที่ถูกต้องไม่เท่ากับความปลอดภัย หาก hash ถูกเปลี่ยน ⛔ ระบบที่ใช้ hash-based blocklist อาจถูกหลอกได้ง่าย ‼️ ความล่าช้าในการอัปเดต blocklist ⛔ Microsoft อัปเดต blocklist ปีละไม่กี่ครั้ง ทำให้มีช่องว่างหลายเดือน ⛔ ไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่แต่ยังไม่ถูกบล็อกสามารถใช้โจมตีได้ทันที ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ driver ที่ไม่ได้ตรวจสอบ ⛔ ระบบ endpoint protection อาจถูกปิดก่อนที่ detection engine จะทำงาน ⛔ การใช้ driver ที่มีสิทธิ์ระดับ kernel ทำให้มัลแวร์ฝังตัวได้ลึกและยากต่อการลบ https://hackread.com/silver-fox-apt-exploit-signed-windows-driver-valleyrat/
    HACKREAD.COM
    Silver Fox APT Exploits Signed Windows Driver to Deliver ValleyRAT
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาเซียนฮีลใจ สั่งแกร็บเลี้ยงไรเดอร์อินโดฯ

    แม้การชุมนุมในอินโดนีเซียจะนำมาซึ่งความสูญเสีย แต่ก็เกิดธารน้ำใจหลั่งไหลสู่ไรเดอร์ ที่ชาวอินโดนีเซียเรียกว่าโอโจล (Ojol) ในภาวะที่ยากลำบาก พร้อมกับช่วยเหลือร้านอาหารขนาดเล็กในอินโดนีเซีย ที่ยอดขายหายไปจากสภาวะเศรษฐกิจ และผลจากการบริหารประเทศของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต เมื่อผู้ใช้แพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ แกร็บ (Grab) และโกเจ็ก (Gojek) ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศอื่นๆ สั่งอาหารจากร้านอาหารขนาดเล็กในอินโดนีเซียเพื่อเลี้ยงไรเดอร์

    ที่ผ่านมาพบว่ามีผู้ใช้งานแกร็บและโกเจ็กในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ต่างช่วยเหลือไรเดอร์ และร้านอาหารในอินโดนีเซีย รวมทั้งบางคนซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคให้ไรเดอร์ผ่านบริการ Grabmart ของแกร็บ หรือ GoMart ของโกเจ็ก โดยไรเดอร์ที่ได้รับอาหารต่างขอบคุณและอวยพรกลับมา ทั้งส่งข้อความส่วนตัวในแพลตฟอร์ม หรือโพสต์คลิปลงในแพลตฟอร์มโซเชียลฯ เช่น เอ็กซ์ ติ๊กต็อก เธรด อินสตาแกรม ฯลฯ เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้รับอาหารแล้ว และขอบคุณในน้ำใจที่มีให้ แสดงให้เห็นว่าน้ำใจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีพรมแดน และกระชับความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมชาติสมาชิกประชาคมอาเซียน

    ผู้ใช้งานแกร็บในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไทย เมียนมา และกัมพูชา สามารถเลือกประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสั่งอาหารช่วยเหลือไรเดอร์ข้ามประเทศได้ โดยชำระผ่านบัตรเครดิต ระบุข้อความถึงร้านอาหาร และข้อความถึงคนขับ เป็นภาษาอินโดนีเซียว่า "Pak/Bu, makanannya untuk abang/kakak driver & teman-teman" (คุณครับ อาหารนี้สำหรับคนขับและเพื่อนๆ ครับ) เพื่อให้ทราบว่าอาหารดังกล่าวสำหรับคนขับไรเดอร์และเพื่อนๆ

    อีกด้านหนึ่ง เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นายแอนโทนี ตัน (Anthony Tan) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งแกร็บ เดินทางจากสิงคโปร์มายังเมืองมากัสซาร์ จังหวัดซูลาเวซีใต้ เพื่อเยี่ยมครอบครัวของนายรุสดัมเดียนสยาห์ (Rusdamdiansyah) หรือ ดันดี (Dandi) ชายวัย 26 ปี ไรเดอร์แกร็บซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 ส.ค. โดยจะให้การช่วยเหลือทางการเงินและอื่นๆ ในระยะยาว พร้อมกันนี้ยังได้เปิดสายด่วนฉุกเฉินเกอร์เซป (GERCEP หรือ Grab Respon Cepat) และโครงการตรักเตียร์ ไดร์ฟเวอร์ (Traktir Driver) ให้ผู้ใช้งานสามารถซื้ออาหารให้กับไรเดอร์โดยตรงได้อีกด้วย

    สำหรับผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมอย่างน้อย 6 คน นอกจากนายรุสดัมเดียนสยาห์แล้ว ยังมีนายอัฟฟาน คูรเนียวัน (Affan Kurniawan) วัย 21 ปี ผู้ขับขี่แพลตฟอร์มโกเจ็ก ถูกรถหุ้มเกราะควบคุมฝูงชน (Brimob) พุ่งชนเสียชีวิตเมื่อค่ำวันที่ 28 ส.ค.ที่ที่กรุงจาการ์ตา

    #Newskit
    อาเซียนฮีลใจ สั่งแกร็บเลี้ยงไรเดอร์อินโดฯ แม้การชุมนุมในอินโดนีเซียจะนำมาซึ่งความสูญเสีย แต่ก็เกิดธารน้ำใจหลั่งไหลสู่ไรเดอร์ ที่ชาวอินโดนีเซียเรียกว่าโอโจล (Ojol) ในภาวะที่ยากลำบาก พร้อมกับช่วยเหลือร้านอาหารขนาดเล็กในอินโดนีเซีย ที่ยอดขายหายไปจากสภาวะเศรษฐกิจ และผลจากการบริหารประเทศของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต เมื่อผู้ใช้แพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ แกร็บ (Grab) และโกเจ็ก (Gojek) ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศอื่นๆ สั่งอาหารจากร้านอาหารขนาดเล็กในอินโดนีเซียเพื่อเลี้ยงไรเดอร์ ที่ผ่านมาพบว่ามีผู้ใช้งานแกร็บและโกเจ็กในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ต่างช่วยเหลือไรเดอร์ และร้านอาหารในอินโดนีเซีย รวมทั้งบางคนซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคให้ไรเดอร์ผ่านบริการ Grabmart ของแกร็บ หรือ GoMart ของโกเจ็ก โดยไรเดอร์ที่ได้รับอาหารต่างขอบคุณและอวยพรกลับมา ทั้งส่งข้อความส่วนตัวในแพลตฟอร์ม หรือโพสต์คลิปลงในแพลตฟอร์มโซเชียลฯ เช่น เอ็กซ์ ติ๊กต็อก เธรด อินสตาแกรม ฯลฯ เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้รับอาหารแล้ว และขอบคุณในน้ำใจที่มีให้ แสดงให้เห็นว่าน้ำใจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีพรมแดน และกระชับความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมชาติสมาชิกประชาคมอาเซียน ผู้ใช้งานแกร็บในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไทย เมียนมา และกัมพูชา สามารถเลือกประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสั่งอาหารช่วยเหลือไรเดอร์ข้ามประเทศได้ โดยชำระผ่านบัตรเครดิต ระบุข้อความถึงร้านอาหาร และข้อความถึงคนขับ เป็นภาษาอินโดนีเซียว่า "Pak/Bu, makanannya untuk abang/kakak driver & teman-teman" (คุณครับ อาหารนี้สำหรับคนขับและเพื่อนๆ ครับ) เพื่อให้ทราบว่าอาหารดังกล่าวสำหรับคนขับไรเดอร์และเพื่อนๆ อีกด้านหนึ่ง เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นายแอนโทนี ตัน (Anthony Tan) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งแกร็บ เดินทางจากสิงคโปร์มายังเมืองมากัสซาร์ จังหวัดซูลาเวซีใต้ เพื่อเยี่ยมครอบครัวของนายรุสดัมเดียนสยาห์ (Rusdamdiansyah) หรือ ดันดี (Dandi) ชายวัย 26 ปี ไรเดอร์แกร็บซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 ส.ค. โดยจะให้การช่วยเหลือทางการเงินและอื่นๆ ในระยะยาว พร้อมกันนี้ยังได้เปิดสายด่วนฉุกเฉินเกอร์เซป (GERCEP หรือ Grab Respon Cepat) และโครงการตรักเตียร์ ไดร์ฟเวอร์ (Traktir Driver) ให้ผู้ใช้งานสามารถซื้ออาหารให้กับไรเดอร์โดยตรงได้อีกด้วย สำหรับผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมอย่างน้อย 6 คน นอกจากนายรุสดัมเดียนสยาห์แล้ว ยังมีนายอัฟฟาน คูรเนียวัน (Affan Kurniawan) วัย 21 ปี ผู้ขับขี่แพลตฟอร์มโกเจ็ก ถูกรถหุ้มเกราะควบคุมฝูงชน (Brimob) พุ่งชนเสียชีวิตเมื่อค่ำวันที่ 28 ส.ค.ที่ที่กรุงจาการ์ตา #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากลมหายใจ: เมื่อการหายใจลึกกลายเป็นประตูสู่จิตวิญญาณ

    ในยุคที่ผู้คนแสวงหาวิธีเยียวยาจิตใจโดยไม่พึ่งยา งานวิจัยล่าสุดจาก Brighton and Sussex Medical School ได้เปิดเผยว่า “การหายใจแบบแรงและเร็ว” หรือ High Ventilation Breathwork (HVB) เมื่อทำร่วมกับดนตรี สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก (Altered States of Consciousness – ASC) ที่คล้ายกับผลของสารไซคีเดลิก เช่น psilocybin หรือ LSD

    ผู้เข้าร่วมทดลองหายใจแบบ HVB เป็นเวลา 20–30 นาที พร้อมฟังดนตรีที่เร้าอารมณ์ แล้วตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกภายใน 30 นาทีหลังจบกิจกรรม ผลลัพธ์น่าทึ่ง: ผู้เข้าร่วมรายงานว่ารู้สึกถึง “Oceanic Boundlessness” หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ความสุขล้น และการปลดปล่อยทางอารมณ์

    สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ HVB จะลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมอง แต่กลับเพิ่มการไหลเวียนในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจำ เช่น amygdala และ hippocampus ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของผลการบำบัด

    ผลกระทบทางสมองจาก HVB
    ลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมองโดยเฉลี่ย 30–40%
    เพิ่มการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดใน amygdala และ anterior hippocampus
    ลดการไหลเวียนใน posterior insula และ parietal operculum ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ภายในร่างกาย

    ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก HVB
    ผู้เข้าร่วมรายงานความรู้สึก “Oceanic Boundlessness” (OBN) ซึ่งรวมถึงความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และการปลดปล่อย
    คะแนน OBN สูงสุดเกิดในห้องทดลอง (LAB) รองลงมาคือ MRI และต่ำสุดในแบบออนไลน์
    HVB ลดความรู้สึกด้านลบ เช่น ความกลัวและอารมณ์ลบ โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง

    กลไกทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง
    HVB ทำให้เกิด respiratory alkalosis จากการลด CO₂ ในเลือด
    ส่งผลให้เกิด vasoconstriction และเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในสมอง
    ลด HRV (Heart Rate Variability) ซึ่งสะท้อนถึงการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic

    ความเชื่อมโยงกับการบำบัดแบบไซคีเดลิก
    ประสบการณ์ OBN มีความคล้ายคลึงกับผลของ psilocybin และ LSD
    การเปลี่ยนแปลงใน insula และ amygdala คล้ายกับผลของยาไซคีเดลิกในการบำบัดภาวะซึมเศร้า
    HVB อาจช่วยให้ผู้เข้าร่วมเผชิญและประมวลผลความทรงจำทางอารมณ์ได้ดีขึ้น

    ความเสี่ยงจากการลด CO₂ มากเกินไป
    อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือหมดสติในผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อน
    การลด CO₂ มากเกินไปอาจกระทบสมดุลกรด-ด่างในเลือด

    ข้อจำกัดของงานวิจัย
    ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และไม่มีกลุ่มควบคุมที่ฟังเพลงอย่างเดียว
    ผลลัพธ์อาจไม่สามารถสรุปกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ HVB มาก่อน

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HRV
    แม้ HRV ลดลงจะสะท้อนถึงความเครียด แต่ในบริบท HVB อาจหมายถึงการเปิดรับประสบการณ์เชิงบวก
    ต้องระวังไม่ตีความ HRV ต่ำว่าเป็นผลเสียเสมอไป

    https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0329411
    🎙️ เรื่องเล่าจากลมหายใจ: เมื่อการหายใจลึกกลายเป็นประตูสู่จิตวิญญาณ ในยุคที่ผู้คนแสวงหาวิธีเยียวยาจิตใจโดยไม่พึ่งยา งานวิจัยล่าสุดจาก Brighton and Sussex Medical School ได้เปิดเผยว่า “การหายใจแบบแรงและเร็ว” หรือ High Ventilation Breathwork (HVB) เมื่อทำร่วมกับดนตรี สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก (Altered States of Consciousness – ASC) ที่คล้ายกับผลของสารไซคีเดลิก เช่น psilocybin หรือ LSD ผู้เข้าร่วมทดลองหายใจแบบ HVB เป็นเวลา 20–30 นาที พร้อมฟังดนตรีที่เร้าอารมณ์ แล้วตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกภายใน 30 นาทีหลังจบกิจกรรม ผลลัพธ์น่าทึ่ง: ผู้เข้าร่วมรายงานว่ารู้สึกถึง “Oceanic Boundlessness” หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ความสุขล้น และการปลดปล่อยทางอารมณ์ สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ HVB จะลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมอง แต่กลับเพิ่มการไหลเวียนในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจำ เช่น amygdala และ hippocampus ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของผลการบำบัด ✅ ผลกระทบทางสมองจาก HVB ➡️ ลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมองโดยเฉลี่ย 30–40% ➡️ เพิ่มการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดใน amygdala และ anterior hippocampus ➡️ ลดการไหลเวียนใน posterior insula และ parietal operculum ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ภายในร่างกาย ✅ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก HVB ➡️ ผู้เข้าร่วมรายงานความรู้สึก “Oceanic Boundlessness” (OBN) ซึ่งรวมถึงความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และการปลดปล่อย ➡️ คะแนน OBN สูงสุดเกิดในห้องทดลอง (LAB) รองลงมาคือ MRI และต่ำสุดในแบบออนไลน์ ➡️ HVB ลดความรู้สึกด้านลบ เช่น ความกลัวและอารมณ์ลบ โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ✅ กลไกทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง ➡️ HVB ทำให้เกิด respiratory alkalosis จากการลด CO₂ ในเลือด ➡️ ส่งผลให้เกิด vasoconstriction และเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในสมอง ➡️ ลด HRV (Heart Rate Variability) ซึ่งสะท้อนถึงการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ✅ ความเชื่อมโยงกับการบำบัดแบบไซคีเดลิก ➡️ ประสบการณ์ OBN มีความคล้ายคลึงกับผลของ psilocybin และ LSD ➡️ การเปลี่ยนแปลงใน insula และ amygdala คล้ายกับผลของยาไซคีเดลิกในการบำบัดภาวะซึมเศร้า ➡️ HVB อาจช่วยให้ผู้เข้าร่วมเผชิญและประมวลผลความทรงจำทางอารมณ์ได้ดีขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจากการลด CO₂ มากเกินไป ⛔ อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือหมดสติในผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อน ⛔ การลด CO₂ มากเกินไปอาจกระทบสมดุลกรด-ด่างในเลือด ‼️ ข้อจำกัดของงานวิจัย ⛔ ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และไม่มีกลุ่มควบคุมที่ฟังเพลงอย่างเดียว ⛔ ผลลัพธ์อาจไม่สามารถสรุปกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ HVB มาก่อน ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HRV ⛔ แม้ HRV ลดลงจะสะท้อนถึงความเครียด แต่ในบริบท HVB อาจหมายถึงการเปิดรับประสบการณ์เชิงบวก ⛔ ต้องระวังไม่ตีความ HRV ต่ำว่าเป็นผลเสียเสมอไป https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0329411
    JOURNALS.PLOS.ORG
    Neurobiological substrates of altered states of consciousness induced by high ventilation breathwork accompanied by music
    The popularity of breathwork as a therapeutic tool for psychological distress is rapidly expanding. Breathwork practices that increase ventilatory rate or depth, facilitated by music, can evoke subjective experiential states analogous to altered states of consciousness (ASCs) evoked by psychedelic substances. These states include components such as euphoria, bliss, and perceptual differences. However, the neurobiological mechanisms underlying the profound subjective effects of high ventilation breathwork (HVB) remain largely unknown and unexplored. In this study, we investigated the neurobiological substrates of ASCs induced by HVB in experienced practitioners. We demonstrate that the intensity of ASCs evoked by HVB was proportional to cardiovascular sympathetic activation and to haemodynamic alterations in cerebral perfusion within clusters spanning the left operculum/posterior insula and right amygdala/anterior hippocampus; regions implicated in respiratory interoceptive representation and the processing of emotional memories, respectively. These observed regional cerebral effects may underlie pivotal mental experiences that mediate positive therapeutic outcomes of HVB.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dragonwing Q-6690 — โปรเซสเซอร์ที่ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ “รู้ตำแหน่ง” และ “รู้ตัวตน” ของสิ่งรอบตัว

    ลองจินตนาการว่าอุปกรณ์พกพาในร้านค้าหรือคลังสินค้าสามารถสแกนสินค้าทั้งชั้นโดยไม่ต้องเห็น หรือสามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้โดยไม่ต้องแตะ — นั่นคือสิ่งที่ Qualcomm Dragonwing Q-6690 กำลังทำให้เป็นจริง

    นี่คือโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกที่ฝัง RFID แบบ UHF (RAIN) ไว้ในตัวโดยตรง ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ไม่ต้องติดตั้งโมดูล RFID แยกอีกต่อไป ทำให้ขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น

    นอกจาก RFID แล้ว Q-6690 ยังมาพร้อมกับการเชื่อมต่อระดับสูงสุดในปัจจุบัน ได้แก่ 5G แบบ Dual-SIM Dual-Active, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0 และ Ultra-Wideband (UWB) ซึ่งช่วยให้อุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อได้เร็วและแม่นยำในระดับเซนติเมตร

    ที่น่าสนใจคือ Qualcomm ยังออกแบบให้ Q-6690 รองรับการอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์แบบ over-the-air โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ เช่น เพิ่มพลัง AI, รองรับกล้องใหม่ หรือเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์

    อุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ ได้แก่ ค้าปลีก โลจิสติกส์ การผลิต และแม้แต่การแพทย์ โดยสามารถนำไปใช้ในระบบตรวจสอบสินค้าแบบเรียลไทม์, การชำระเงินแบบไร้สัมผัส, การติดตามทรัพย์สิน และการควบคุมการเข้าออกพื้นที่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Qualcomm เปิดตัว Dragonwing Q-6690 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์พกพาระดับองค์กรตัวแรกที่ฝัง RFID แบบ UHF ในตัว
    รองรับการเชื่อมต่อ 5G DSDA, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0 และ UWB
    ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์หลากหลาย เช่น handheld, POS, kiosk และ smart terminal
    RFID แบบฝังในตัวช่วยลดขนาดอุปกรณ์และต้นทุนการผลิต
    รองรับการอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์แบบ over-the-air โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์
    ใช้สถาปัตยกรรม Kryo CPU แบบ octa-core ความเร็วสูงสุด 2.9 GHz
    มี AI engine ที่รองรับการประมวลผลสูงสุด 6 TOPS
    รองรับการใช้งานในอุตสาหกรรมค้าปลีก โลจิสติกส์ การผลิต และการแพทย์
    มีอายุผลิตภัณฑ์ยาวถึงปี 2034 เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในองค์กร
    ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ใหญ่ เช่น Decathlon, EssilorLuxottica และ RAIN Alliance

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RFID แบบ UHF (RAIN) สามารถอ่านแท็กได้หลายรายการพร้อมกัน แม้ไม่อยู่ในสายตา
    Wi-Fi 7 รองรับ Multi-Link Operation และแบนด์วิดท์สูงถึง 320 MHz
    Bluetooth 6.0 ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะมี latency ต่ำและประหยัดพลังงานมากขึ้น
    UWB ช่วยให้การระบุตำแหน่งแม่นยำในระดับเซนติเมตร เหมาะกับการติดตามทรัพย์สิน
    การอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้าน certification และ time-to-market

    https://www.techpowerup.com/340340/qualcomm-launches-worlds-first-enterprise-mobile-processor-with-fully-integrated-rfid-capabilities
    📡 Dragonwing Q-6690 — โปรเซสเซอร์ที่ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ “รู้ตำแหน่ง” และ “รู้ตัวตน” ของสิ่งรอบตัว ลองจินตนาการว่าอุปกรณ์พกพาในร้านค้าหรือคลังสินค้าสามารถสแกนสินค้าทั้งชั้นโดยไม่ต้องเห็น หรือสามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้โดยไม่ต้องแตะ — นั่นคือสิ่งที่ Qualcomm Dragonwing Q-6690 กำลังทำให้เป็นจริง นี่คือโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกที่ฝัง RFID แบบ UHF (RAIN) ไว้ในตัวโดยตรง ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ไม่ต้องติดตั้งโมดูล RFID แยกอีกต่อไป ทำให้ขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น นอกจาก RFID แล้ว Q-6690 ยังมาพร้อมกับการเชื่อมต่อระดับสูงสุดในปัจจุบัน ได้แก่ 5G แบบ Dual-SIM Dual-Active, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0 และ Ultra-Wideband (UWB) ซึ่งช่วยให้อุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อได้เร็วและแม่นยำในระดับเซนติเมตร ที่น่าสนใจคือ Qualcomm ยังออกแบบให้ Q-6690 รองรับการอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์แบบ over-the-air โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ เช่น เพิ่มพลัง AI, รองรับกล้องใหม่ หรือเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ อุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ ได้แก่ ค้าปลีก โลจิสติกส์ การผลิต และแม้แต่การแพทย์ โดยสามารถนำไปใช้ในระบบตรวจสอบสินค้าแบบเรียลไทม์, การชำระเงินแบบไร้สัมผัส, การติดตามทรัพย์สิน และการควบคุมการเข้าออกพื้นที่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Qualcomm เปิดตัว Dragonwing Q-6690 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์พกพาระดับองค์กรตัวแรกที่ฝัง RFID แบบ UHF ในตัว ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ 5G DSDA, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0 และ UWB ➡️ ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์หลากหลาย เช่น handheld, POS, kiosk และ smart terminal ➡️ RFID แบบฝังในตัวช่วยลดขนาดอุปกรณ์และต้นทุนการผลิต ➡️ รองรับการอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์แบบ over-the-air โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Kryo CPU แบบ octa-core ความเร็วสูงสุด 2.9 GHz ➡️ มี AI engine ที่รองรับการประมวลผลสูงสุด 6 TOPS ➡️ รองรับการใช้งานในอุตสาหกรรมค้าปลีก โลจิสติกส์ การผลิต และการแพทย์ ➡️ มีอายุผลิตภัณฑ์ยาวถึงปี 2034 เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในองค์กร ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ใหญ่ เช่น Decathlon, EssilorLuxottica และ RAIN Alliance ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RFID แบบ UHF (RAIN) สามารถอ่านแท็กได้หลายรายการพร้อมกัน แม้ไม่อยู่ในสายตา ➡️ Wi-Fi 7 รองรับ Multi-Link Operation และแบนด์วิดท์สูงถึง 320 MHz ➡️ Bluetooth 6.0 ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะมี latency ต่ำและประหยัดพลังงานมากขึ้น ➡️ UWB ช่วยให้การระบุตำแหน่งแม่นยำในระดับเซนติเมตร เหมาะกับการติดตามทรัพย์สิน ➡️ การอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้าน certification และ time-to-market https://www.techpowerup.com/340340/qualcomm-launches-worlds-first-enterprise-mobile-processor-with-fully-integrated-rfid-capabilities
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Qualcomm Launches World's First Enterprise Mobile Processor with Fully Integrated RFID Capabilities
    Qualcomm Technologies, Inc. today announced a new groundbreaking processor, the Qualcomm Dragonwing Q-6690, which is the world's first enterprise mobile processor with fully integrated UHF RFID capabilities. The processor includes built-in 5G, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, and ultra-wideband, supporting p...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • Gemini 2.5 Flash Image — เมื่อ AI เข้าใจภาพอย่างมี “ความหมาย”

    ในอดีต โมเดลสร้างภาพด้วย AI มักจะเน้นความสวยงาม แต่ขาดความเข้าใจโลกจริง เช่น ถ้าขอให้วาด “แมวถือกล้วยในร้านอาหารหรู” ก็อาจได้ภาพที่ดูดีแต่ไม่สมเหตุสมผล วันนี้ Google เปิดตัว Gemini 2.5 Flash Image ซึ่งไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย แต่ “เข้าใจ” ว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน และทำไม

    Gemini 2.5 Flash Image สามารถรวมหลายภาพเป็นภาพเดียวได้อย่างกลมกลืน เช่น การวางสินค้าลงในฉากใหม่ หรือเปลี่ยนโทนสีห้องด้วยภาพตัวอย่าง นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขภาพด้วยคำสั่งธรรมดา เช่น “ลบคนด้านหลัง” หรือ “เปลี่ยนท่าทางของตัวละคร” โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน

    สิ่งที่โดดเด่นคือความสามารถในการรักษาความสม่ำเสมอของตัวละคร เช่น ถ้าสร้างภาพตัวละครหนึ่งในฉากต่าง ๆ ตัวละครนั้นจะยังคงหน้าตา เสื้อผ้า และบุคลิกเดิมไว้ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเหมาะกับการสร้างแบรนด์ การ์ตูน หรือสินค้าหลายมุมมอง

    Gemini ยังใช้ความรู้จากโลกจริง เช่น การอ่านภาพวาดมือ การเข้าใจแผนภาพ และการตอบคำถามจากภาพ เพื่อสร้างแอปการเรียนรู้แบบ interactive ได้ทันที

    โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Google AI Studio และ Vertex AI โดยมีราคาประมาณ $0.039 ต่อภาพ และทุกภาพจะมีลายน้ำดิจิทัล SynthID ฝังไว้แบบมองไม่เห็น เพื่อระบุว่าเป็นภาพที่สร้างหรือแก้ไขด้วย AI

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Gemini 2.5 Flash Image เป็นโมเดลสร้างและแก้ไขภาพที่ล้ำหน้าที่สุดของ Google
    รองรับการรวมหลายภาพเป็นภาพเดียว (multi-image fusion) ด้วย prompt เดียว
    สามารถแก้ไขภาพแบบเจาะจง เช่น ลบสิ่งของ เปลี่ยนท่าทาง หรือปรับสี ด้วยคำสั่งธรรมดา
    รักษาความสม่ำเสมอของตัวละครในหลายฉากได้อย่างแม่นยำ
    ใช้ความรู้จากโลกจริง เช่น การอ่านภาพวาดมือ และตอบคำถามจากภาพ
    มี template app ใน Google AI Studio สำหรับทดลองและปรับแต่งได้ทันที
    รองรับการสร้างแอปแก้ไขภาพด้วย prompt เดียว เช่น “สร้างแอปใส่ฟิลเตอร์ภาพ”
    เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API, Google AI Studio และ Vertex AI
    ราคา $30 ต่อ 1 ล้าน output tokens หรือประมาณ $0.039 ต่อภาพ
    ทุกภาพมีลายน้ำ SynthID ฝังไว้เพื่อระบุว่าเป็นภาพจาก AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini 2.5 Flash Image เป็นโมเดลแรกที่ OpenRouter รองรับการสร้างภาพโดยตรง
    ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับ Gemini 2.5 Flash ซึ่งเน้นความเร็วและต้นทุนต่ำ
    DeepMind ระบุว่า Gemini 2.5 มีความสามารถ reasoning ที่ดีขึ้นจาก reinforcement learning2
    โมเดลนี้สามารถรันผ่าน SDK ที่รองรับ OpenAI API เช่น openai-python และ typescript
    มีการใช้งานร่วมกับ fal.ai เพื่อขยายสู่ชุมชนนักพัฒนา generative media

    https://developers.googleblog.com/en/introducing-gemini-2-5-flash-image/
    🎨 Gemini 2.5 Flash Image — เมื่อ AI เข้าใจภาพอย่างมี “ความหมาย” ในอดีต โมเดลสร้างภาพด้วย AI มักจะเน้นความสวยงาม แต่ขาดความเข้าใจโลกจริง เช่น ถ้าขอให้วาด “แมวถือกล้วยในร้านอาหารหรู” ก็อาจได้ภาพที่ดูดีแต่ไม่สมเหตุสมผล วันนี้ Google เปิดตัว Gemini 2.5 Flash Image ซึ่งไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย แต่ “เข้าใจ” ว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน และทำไม Gemini 2.5 Flash Image สามารถรวมหลายภาพเป็นภาพเดียวได้อย่างกลมกลืน เช่น การวางสินค้าลงในฉากใหม่ หรือเปลี่ยนโทนสีห้องด้วยภาพตัวอย่าง นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขภาพด้วยคำสั่งธรรมดา เช่น “ลบคนด้านหลัง” หรือ “เปลี่ยนท่าทางของตัวละคร” โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน สิ่งที่โดดเด่นคือความสามารถในการรักษาความสม่ำเสมอของตัวละคร เช่น ถ้าสร้างภาพตัวละครหนึ่งในฉากต่าง ๆ ตัวละครนั้นจะยังคงหน้าตา เสื้อผ้า และบุคลิกเดิมไว้ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเหมาะกับการสร้างแบรนด์ การ์ตูน หรือสินค้าหลายมุมมอง Gemini ยังใช้ความรู้จากโลกจริง เช่น การอ่านภาพวาดมือ การเข้าใจแผนภาพ และการตอบคำถามจากภาพ เพื่อสร้างแอปการเรียนรู้แบบ interactive ได้ทันที โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Google AI Studio และ Vertex AI โดยมีราคาประมาณ $0.039 ต่อภาพ และทุกภาพจะมีลายน้ำดิจิทัล SynthID ฝังไว้แบบมองไม่เห็น เพื่อระบุว่าเป็นภาพที่สร้างหรือแก้ไขด้วย AI 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Gemini 2.5 Flash Image เป็นโมเดลสร้างและแก้ไขภาพที่ล้ำหน้าที่สุดของ Google ➡️ รองรับการรวมหลายภาพเป็นภาพเดียว (multi-image fusion) ด้วย prompt เดียว ➡️ สามารถแก้ไขภาพแบบเจาะจง เช่น ลบสิ่งของ เปลี่ยนท่าทาง หรือปรับสี ด้วยคำสั่งธรรมดา ➡️ รักษาความสม่ำเสมอของตัวละครในหลายฉากได้อย่างแม่นยำ ➡️ ใช้ความรู้จากโลกจริง เช่น การอ่านภาพวาดมือ และตอบคำถามจากภาพ ➡️ มี template app ใน Google AI Studio สำหรับทดลองและปรับแต่งได้ทันที ➡️ รองรับการสร้างแอปแก้ไขภาพด้วย prompt เดียว เช่น “สร้างแอปใส่ฟิลเตอร์ภาพ” ➡️ เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API, Google AI Studio และ Vertex AI ➡️ ราคา $30 ต่อ 1 ล้าน output tokens หรือประมาณ $0.039 ต่อภาพ ➡️ ทุกภาพมีลายน้ำ SynthID ฝังไว้เพื่อระบุว่าเป็นภาพจาก AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini 2.5 Flash Image เป็นโมเดลแรกที่ OpenRouter รองรับการสร้างภาพโดยตรง ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับ Gemini 2.5 Flash ซึ่งเน้นความเร็วและต้นทุนต่ำ ➡️ DeepMind ระบุว่า Gemini 2.5 มีความสามารถ reasoning ที่ดีขึ้นจาก reinforcement learning2 ➡️ โมเดลนี้สามารถรันผ่าน SDK ที่รองรับ OpenAI API เช่น openai-python และ typescript ➡️ มีการใช้งานร่วมกับ fal.ai เพื่อขยายสู่ชุมชนนักพัฒนา generative media https://developers.googleblog.com/en/introducing-gemini-2-5-flash-image/
    DEVELOPERS.GOOGLEBLOG.COM
    Introducing Gemini 2.5 Flash Image, our state-of-the-art image model- Google Developers Blog
    Explore Gemini 2.5 Flash Image, a powerful new image generation and editing model with advanced features and creative control.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 11 Update ที่ทำให้ SSD มีปัญหา
    ปัญหาหลัก:
    หลังจากที่ Microsoft ปล่อยอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 โดยเฉพาะแพตช์:
    • KB5063878
    • KB5062660

    ผู้ใช้จำนวนมาก (โดยเฉพาะคนที่ใช้ SSD แบบ M.2 หรือที่มี คอนโทรลเลอร์ Phison) รายงานว่าเครื่อง:
    ค้างในหน้า Setup หรือหลังรีสตาร์ต
    เกิด Blue Screen of Death (BSOD)
    บูตไม่เข้า Windows
    SSD ทำงานช้าลง หรือหายไปเลย
    รีสตาร์ตวนลูป
    บางเครื่องต้อง format และลง Windows ใหม่

    สรุป
    • ปัญหา SSD ค้าง อาจมาจาก Windows 11 24H2 อัปเดต KB5063878 / KB5062660
    • ส่งผลให้บางเครื่อง M.2 SSD (โดยเฉพาะ Phison) ค้าง/บูตไม่ได้
    • แนวทางคือ ถอนอัปเดต หรือ clean install พร้อมอัปเดต SSD firmware


    Cr. https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/latest-windows-11-security-patch-might-be-breaking-ssds-under-heavy-workloads-users-report-disappearing-drives-following-file-transfers-including-some-that-cannot-be-recovered-after-a-reboot
    Windows 11 Update ที่ทำให้ SSD มีปัญหา 📌 ปัญหาหลัก: หลังจากที่ Microsoft ปล่อยอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 โดยเฉพาะแพตช์: • KB5063878 • KB5062660 ผู้ใช้จำนวนมาก (โดยเฉพาะคนที่ใช้ SSD แบบ M.2 หรือที่มี คอนโทรลเลอร์ Phison) รายงานว่าเครื่อง: • ❌ ค้างในหน้า Setup หรือหลังรีสตาร์ต • ❌ เกิด Blue Screen of Death (BSOD) • ❌ บูตไม่เข้า Windows • ❌ SSD ทำงานช้าลง หรือหายไปเลย • ❌ รีสตาร์ตวนลูป • ❌ บางเครื่องต้อง format และลง Windows ใหม่ สรุป • ปัญหา SSD ค้าง อาจมาจาก Windows 11 24H2 อัปเดต KB5063878 / KB5062660 • ส่งผลให้บางเครื่อง M.2 SSD (โดยเฉพาะ Phison) ค้าง/บูตไม่ได้ • แนวทางคือ ถอนอัปเดต หรือ clean install พร้อมอัปเดต SSD firmware Cr. https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/latest-windows-11-security-patch-might-be-breaking-ssds-under-heavy-workloads-users-report-disappearing-drives-following-file-transfers-including-some-that-cannot-be-recovered-after-a-reboot
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • SK hynix กับก้าวกระโดดสู่ยุค SSD ความจุระดับ 244TB ด้วย NAND 321 ชั้น

    ในโลกที่ข้อมูลเติบโตแบบไร้ขีดจำกัด SK hynix ได้ประกาศการเริ่มผลิต NAND แบบ QLC ขนาด 2Tb (256GB) ที่มีโครงสร้างถึง 321 ชั้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ NAND แบบ QLC ทะลุเกิน 300 ชั้นได้สำเร็จ

    เทคโนโลยีใหม่นี้อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ V9Q ของบริษัท โดยมีความเร็ว I/O ที่ 3200 MT/s และใช้โครงสร้างแบบ 6 planes ซึ่งช่วยให้สามารถอ่านข้อมูลแบบขนานได้มากขึ้น ส่งผลให้ความเร็วในการเขียนเพิ่มขึ้นถึง 56% และความเร็วในการอ่านเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับรุ่น V7Q เดิม

    นอกจากความเร็วแล้ว ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพพลังงาน โดยลดการใช้พลังงานในการเขียนลงกว่า 23% ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการใช้พลังงานต่ำ

    ในระยะเริ่มต้น SK hynix จะนำ NAND รุ่นนี้ไปใช้ใน SSD สำหรับผู้บริโภค เช่น SSD ขนาด 2TB ที่ใช้เพียง 8 ชิปเท่านั้น ก่อนจะขยายไปสู่ SSD ระดับองค์กรที่มีความจุสูงถึง 244TB โดยใช้เทคโนโลยี 32DP ที่สามารถบรรจุ NAND ได้ 32 ชิ้นในแพ็กเดียว

    เป้าหมายของ SK hynix คือการเป็นผู้ให้บริการหน่วยความจำแบบ full-stack สำหรับยุค AI ที่ต้องการความเร็ว ความจุ และประสิทธิภาพพลังงานในระดับสูงสุด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    SK hynix เริ่มผลิต NAND แบบ QLC ขนาด 2Tb ด้วยโครงสร้าง 321 ชั้น
    เป็นครั้งแรกของโลกที่ NAND QLC ทะลุเกิน 300 ชั้น
    อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ V9Q พร้อม I/O ที่ 3200 MT/s
    ใช้โครงสร้างแบบ 6 planes เพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านแบบขนาน
    ความเร็วในการเขียนเพิ่มขึ้น 56% และความเร็วในการอ่านเพิ่มขึ้น 18% จากรุ่นก่อน
    ประสิทธิภาพพลังงานในการเขียนดีขึ้นกว่า 23%
    SSD ขนาด 2TB ใช้เพียง 8 ชิป NAND รุ่นใหม่ ลดต้นทุนการผลิต
    SSD ระดับองค์กรจะมีความจุสูงถึง 244TB ด้วยเทคโนโลยี 32DP
    SK hynix ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการหน่วยความจำแบบ full-stack สำหรับตลาด AI
    เหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความจุสูงและประหยัดพลังงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    QLC (Quad-Level Cell) เก็บข้อมูลได้ 4 บิตต่อเซลล์ ทำให้มีความจุสูงแต่ความทนทานต่ำกว่ารุ่นอื่น
    การเพิ่มจำนวน planes ช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลพร้อมกันได้มากขึ้น
    เทคโนโลยี 32DP เป็นการบรรจุ NAND 32 ชิ้นในแพ็กเดียว เพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล
    NAND แบบ 321 ชั้นช่วยลดต้นทุนต่อบิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
    ตลาด SSD กำลังเปลี่ยนจาก TLC ไปสู่ QLC เพื่อรองรับความต้องการด้านความจุที่เพิ่มขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-announces-mass-production-of-its-2tb-3d-qlc-nand-cheaper-high-capacity-consumer-drives-and-244tb-enterprise-ssds-incoming
    🎙️ SK hynix กับก้าวกระโดดสู่ยุค SSD ความจุระดับ 244TB ด้วย NAND 321 ชั้น ในโลกที่ข้อมูลเติบโตแบบไร้ขีดจำกัด SK hynix ได้ประกาศการเริ่มผลิต NAND แบบ QLC ขนาด 2Tb (256GB) ที่มีโครงสร้างถึง 321 ชั้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ NAND แบบ QLC ทะลุเกิน 300 ชั้นได้สำเร็จ เทคโนโลยีใหม่นี้อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ V9Q ของบริษัท โดยมีความเร็ว I/O ที่ 3200 MT/s และใช้โครงสร้างแบบ 6 planes ซึ่งช่วยให้สามารถอ่านข้อมูลแบบขนานได้มากขึ้น ส่งผลให้ความเร็วในการเขียนเพิ่มขึ้นถึง 56% และความเร็วในการอ่านเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับรุ่น V7Q เดิม นอกจากความเร็วแล้ว ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพพลังงาน โดยลดการใช้พลังงานในการเขียนลงกว่า 23% ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการใช้พลังงานต่ำ ในระยะเริ่มต้น SK hynix จะนำ NAND รุ่นนี้ไปใช้ใน SSD สำหรับผู้บริโภค เช่น SSD ขนาด 2TB ที่ใช้เพียง 8 ชิปเท่านั้น ก่อนจะขยายไปสู่ SSD ระดับองค์กรที่มีความจุสูงถึง 244TB โดยใช้เทคโนโลยี 32DP ที่สามารถบรรจุ NAND ได้ 32 ชิ้นในแพ็กเดียว เป้าหมายของ SK hynix คือการเป็นผู้ให้บริการหน่วยความจำแบบ full-stack สำหรับยุค AI ที่ต้องการความเร็ว ความจุ และประสิทธิภาพพลังงานในระดับสูงสุด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ SK hynix เริ่มผลิต NAND แบบ QLC ขนาด 2Tb ด้วยโครงสร้าง 321 ชั้น ➡️ เป็นครั้งแรกของโลกที่ NAND QLC ทะลุเกิน 300 ชั้น ➡️ อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ V9Q พร้อม I/O ที่ 3200 MT/s ➡️ ใช้โครงสร้างแบบ 6 planes เพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านแบบขนาน ➡️ ความเร็วในการเขียนเพิ่มขึ้น 56% และความเร็วในการอ่านเพิ่มขึ้น 18% จากรุ่นก่อน ➡️ ประสิทธิภาพพลังงานในการเขียนดีขึ้นกว่า 23% ➡️ SSD ขนาด 2TB ใช้เพียง 8 ชิป NAND รุ่นใหม่ ลดต้นทุนการผลิต ➡️ SSD ระดับองค์กรจะมีความจุสูงถึง 244TB ด้วยเทคโนโลยี 32DP ➡️ SK hynix ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการหน่วยความจำแบบ full-stack สำหรับตลาด AI ➡️ เหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความจุสูงและประหยัดพลังงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ QLC (Quad-Level Cell) เก็บข้อมูลได้ 4 บิตต่อเซลล์ ทำให้มีความจุสูงแต่ความทนทานต่ำกว่ารุ่นอื่น ➡️ การเพิ่มจำนวน planes ช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลพร้อมกันได้มากขึ้น ➡️ เทคโนโลยี 32DP เป็นการบรรจุ NAND 32 ชิ้นในแพ็กเดียว เพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล ➡️ NAND แบบ 321 ชั้นช่วยลดต้นทุนต่อบิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ➡️ ตลาด SSD กำลังเปลี่ยนจาก TLC ไปสู่ QLC เพื่อรองรับความต้องการด้านความจุที่เพิ่มขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-announces-mass-production-of-its-2tb-3d-qlc-nand-cheaper-high-capacity-consumer-drives-and-244tb-enterprise-ssds-incoming
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมต้องพึ่งเทคโนโลยีปี 1985

    ลองจินตนาการว่าคุณต้องเขียนคำร้องขออุทธรณ์คดีสำคัญที่สุดในชีวิต แต่เครื่องมือเดียวที่คุณมีคือ “แผ่นฟลอปปี้ดิสก์” ขนาด 1.44MB และเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า — นั่นคือชีวิตจริงของ Jorge Luis Alvarado ผู้ต้องขังในเรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์

    Alvarado เล่าผ่าน Prison Journalism Project ว่าเขาได้รับเอกสารจากทนายความผ่านแฟลชไดรฟ์ แต่ไม่สามารถนำเข้าเรือนจำได้ ต้องใช้คอมพิวเตอร์พิเศษในห้องสมุดกฎหมายเพื่อถ่ายโอนข้อมูลลงฟลอปปี้ดิสก์ ซึ่งอาจต้องรอหลายวันกว่าจะได้ใช้

    แม้ผู้ต้องขังจะได้รับอนุญาตให้เก็บแผ่นฟลอปปี้ได้ 20 แผ่นในห้องขัง แต่แฟลชไดรฟ์กลับถูกแบนโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลด้าน “ความปลอดภัย” ที่หลายคนมองว่าไม่สมเหตุสมผลในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล

    ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ความล้าหลังของอุปกรณ์ แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลจะสูญหายจากการเสียหายของแผ่นฟลอปปี้ และข้อจำกัดด้านขนาดไฟล์ที่ทำให้เอกสารทางกฎหมายต้องถูกแบ่งออกเป็นหลายแผ่น

    ในขณะที่โลกภายนอกใช้ SSD และคลาวด์ในการจัดเก็บข้อมูล ผู้ต้องขังในนิวเจอร์ซีย์ยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่เลิกผลิตไปตั้งแต่ปี 2011 เพื่อสู้คดีของตัวเอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ผู้ต้องขังในเรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์ยังใช้แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ในการจัดการเอกสารทางกฎหมาย
    ได้รับอนุญาตให้เก็บแผ่นฟลอปปี้ได้ 20 แผ่นในห้องขัง แต่ห้ามใช้แฟลชไดรฟ์
    ต้องใช้คอมพิวเตอร์พิเศษในห้องสมุดกฎหมายเพื่อถ่ายโอนข้อมูลจากแฟลชไดรฟ์
    การเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในห้องสมุดต้องรอหลายวัน ซึ่งอาจเสียเวลาในการอุทธรณ์
    แผ่นฟลอปปี้มีขนาดความจุเพียง 1.44MB ทำให้เอกสารหนึ่งฉบับต้องใช้หลายแผ่น
    แผ่นฟลอปปี้มีแนวโน้มเสียหายง่าย ทำให้ต้องสำรองข้อมูลหลายชุด
    ไม่มีบริษัทผลิตแผ่นฟลอปปี้ใหม่ตั้งแต่ปี 2011 ทำให้แหล่งจัดหามีจำกัด
    Alvarado เขียนบทความผ่าน Prison Journalism Project เพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์เป็นหนึ่งในเรือนจำที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐฯ ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1835
    การใช้เทคโนโลยีล้าหลังในเรือนจำส่งผลต่อความสามารถในการเตรียมคดีและลดโอกาสในการอุทธรณ์
    การเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ในเรือนจำสามารถช่วยลดอัตราการกลับเข้าสู่ระบบ (recidivism)
    ในปี 2015 เรือนจำบางแห่งเริ่มใช้แท็บเล็ตผ่านระบบ JPay เพื่อส่งอีเมลและอ่านหนังสือ
    การต่อสู้เพื่อสิทธิในการใช้เทคโนโลยีในเรือนจำเคยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เช่น การอนุญาตให้โทรหามือถือในปี 2017

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/new-jersey-prisoner-laments-reliance-on-floppy-disks-for-appeals-documents-which-limits-file-size-to-1-44-mb-prisoners-allowed-20-floppy-disks-in-cell-but-usb-flash-sticks-are-banned
    🎙️ เมื่อการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมต้องพึ่งเทคโนโลยีปี 1985 ลองจินตนาการว่าคุณต้องเขียนคำร้องขออุทธรณ์คดีสำคัญที่สุดในชีวิต แต่เครื่องมือเดียวที่คุณมีคือ “แผ่นฟลอปปี้ดิสก์” ขนาด 1.44MB และเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า — นั่นคือชีวิตจริงของ Jorge Luis Alvarado ผู้ต้องขังในเรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์ Alvarado เล่าผ่าน Prison Journalism Project ว่าเขาได้รับเอกสารจากทนายความผ่านแฟลชไดรฟ์ แต่ไม่สามารถนำเข้าเรือนจำได้ ต้องใช้คอมพิวเตอร์พิเศษในห้องสมุดกฎหมายเพื่อถ่ายโอนข้อมูลลงฟลอปปี้ดิสก์ ซึ่งอาจต้องรอหลายวันกว่าจะได้ใช้ แม้ผู้ต้องขังจะได้รับอนุญาตให้เก็บแผ่นฟลอปปี้ได้ 20 แผ่นในห้องขัง แต่แฟลชไดรฟ์กลับถูกแบนโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลด้าน “ความปลอดภัย” ที่หลายคนมองว่าไม่สมเหตุสมผลในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ความล้าหลังของอุปกรณ์ แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลจะสูญหายจากการเสียหายของแผ่นฟลอปปี้ และข้อจำกัดด้านขนาดไฟล์ที่ทำให้เอกสารทางกฎหมายต้องถูกแบ่งออกเป็นหลายแผ่น ในขณะที่โลกภายนอกใช้ SSD และคลาวด์ในการจัดเก็บข้อมูล ผู้ต้องขังในนิวเจอร์ซีย์ยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่เลิกผลิตไปตั้งแต่ปี 2011 เพื่อสู้คดีของตัวเอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ผู้ต้องขังในเรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์ยังใช้แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ในการจัดการเอกสารทางกฎหมาย ➡️ ได้รับอนุญาตให้เก็บแผ่นฟลอปปี้ได้ 20 แผ่นในห้องขัง แต่ห้ามใช้แฟลชไดรฟ์ ➡️ ต้องใช้คอมพิวเตอร์พิเศษในห้องสมุดกฎหมายเพื่อถ่ายโอนข้อมูลจากแฟลชไดรฟ์ ➡️ การเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในห้องสมุดต้องรอหลายวัน ซึ่งอาจเสียเวลาในการอุทธรณ์ ➡️ แผ่นฟลอปปี้มีขนาดความจุเพียง 1.44MB ทำให้เอกสารหนึ่งฉบับต้องใช้หลายแผ่น ➡️ แผ่นฟลอปปี้มีแนวโน้มเสียหายง่าย ทำให้ต้องสำรองข้อมูลหลายชุด ➡️ ไม่มีบริษัทผลิตแผ่นฟลอปปี้ใหม่ตั้งแต่ปี 2011 ทำให้แหล่งจัดหามีจำกัด ➡️ Alvarado เขียนบทความผ่าน Prison Journalism Project เพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์เป็นหนึ่งในเรือนจำที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐฯ ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1835 ➡️ การใช้เทคโนโลยีล้าหลังในเรือนจำส่งผลต่อความสามารถในการเตรียมคดีและลดโอกาสในการอุทธรณ์ ➡️ การเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ในเรือนจำสามารถช่วยลดอัตราการกลับเข้าสู่ระบบ (recidivism) ➡️ ในปี 2015 เรือนจำบางแห่งเริ่มใช้แท็บเล็ตผ่านระบบ JPay เพื่อส่งอีเมลและอ่านหนังสือ ➡️ การต่อสู้เพื่อสิทธิในการใช้เทคโนโลยีในเรือนจำเคยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เช่น การอนุญาตให้โทรหามือถือในปี 2017 https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/new-jersey-prisoner-laments-reliance-on-floppy-disks-for-appeals-documents-which-limits-file-size-to-1-44-mb-prisoners-allowed-20-floppy-disks-in-cell-but-usb-flash-sticks-are-banned
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts