• https://youtube.com/shorts/9zSdGGWv2Pc?si=1u-WrN3qiganffhu
    https://youtube.com/shorts/9zSdGGWv2Pc?si=1u-WrN3qiganffhu
    0 Comments 0 Shares 0 Views 0 Reviews
  • 🛳 เปิดประสบการณ์เรือล่องแม่น้ำแซน Paris & Normandy บนเรือ S.S. Joie de Vivre กับสายเรือ Uniworld พร้อมแพ็คเกจ All inclusive 8 วัน 7 คืน

    เดินทางวันที่ 3-10 พ.ย. 2568
    เส้นทาง ปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส

    ปกติเริ่มต้น 4,199 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 2,939 USD

    รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด
    ฟรี Wi-fi บนเรือ
    แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น

    รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2511031
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e50bef

    ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/bb9b58

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSJoiedeVivre #Paris #France #SeineRiver #Normandy #Versaillespalace #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #Cruisedomain
    🛳 เปิดประสบการณ์เรือล่องแม่น้ำแซน Paris & Normandy บนเรือ S.S. Joie de Vivre กับสายเรือ Uniworld พร้อมแพ็คเกจ All inclusive 8 วัน 7 คืน 📅 เดินทางวันที่ 3-10 พ.ย. 2568 📍 เส้นทาง ปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส 💸 ปกติเริ่มต้น 4,199 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 2,939 USD ✔️ รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด ✔️ ฟรี Wi-fi บนเรือ ✔️ แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น 🍷🍴 📌 รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2511031 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e50bef ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/bb9b58 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSJoiedeVivre #Paris #France #SeineRiver #Normandy #Versaillespalace #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #Cruisedomain
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • 🛳 เปิดประสบการณ์เรือล่องแม่น้ำแซน Paris & Normandy บนเรือ S.S. Joie de Vivre กับสายเรือ Uniworld พร้อมแพ็คเกจ All inclusive 8 วัน 7 คืน

    เดินทางวันที่ 3-10 พ.ย. 2568
    เส้นทาง ปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส

    ปกติเริ่มต้น 4,199 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 2,939 USD

    รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด
    ฟรี Wi-fi บนเรือ
    แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น

    รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2511031
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e50bef

    ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/bb9b58

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือUniworldRiverCruise #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSJoiedeVivre #Paris #France #SeineRiver #Normandy #Versaillespalace #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #Cruisedomain
    🛳 เปิดประสบการณ์เรือล่องแม่น้ำแซน Paris & Normandy บนเรือ S.S. Joie de Vivre กับสายเรือ Uniworld พร้อมแพ็คเกจ All inclusive 8 วัน 7 คืน 📅 เดินทางวันที่ 3-10 พ.ย. 2568 📍 เส้นทาง ปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส 💸 ปกติเริ่มต้น 4,199 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 2,939 USD ✔️ รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด ✔️ ฟรี Wi-fi บนเรือ ✔️ แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น 🍷🍴 📌 รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2511031 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e50bef ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/bb9b58 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือUniworldRiverCruise #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSJoiedeVivre #Paris #France #SeineRiver #Normandy #Versaillespalace #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #Cruisedomain
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • สรุปหลักแดนที่ จ. สระแก้ว(กองกำลังบูรพา )
    หลักเขตแดนในพื้นที่จังหวัดสระแก้วของกองกำลังบูรพามีทั้งหมด 24 หลัก(หลักที่ 28-51)

    ✅️มีความเห็นตรงกัน ในที่ตั้งหลักเขตแดน 13 หลักได้แก่ 29 30 31 32 37 40 41 43 44 45 49 50 5
    ❌️มีความเห็นไม่ตรงกันในที่ตั้งหลักเขตแดน 11 หลัก ได้แก่ 28 33 34 35 36 38 39 42 46 47 48

    ลักษณะทางกายภาพแนวเขตแดน
    28-31 ห้วยโอปะอาว
    32-33 ห้วยไทร
    33-43 เส้นตรง
    43-44 ห้วยระลมระสือ
    44-45 เส้นตรง(45 เป็นจุดเลี้ยว)
    45-49 เส้นตรง
    49-50 คลองลึก
    50-51 ห้วยพรมโหด

    การที่ ลูกแหง่อย่างฮุนมาเนท ฟ้องโลกก็เป็นเพียงกลบเกลื่อนความจริงเท่านั้นและฮุน ไม่กล้าเล่นพื้นที่สระแก้วแน่นอนเพราะเสียผลประโยชน์มากเพราะทางการเขมรเซ็นยอมรับหลักแดนเอง การยอมรับหลักแดนก็เท่ากับยอมรับเส้นเขตแดนไปด้วย แม้บางหลักไม่ตรงกันบ้างแต่ก็พอจะประมาณได้ว่า พื้นที่ใดอ้างสิทธิ์ ซ้อนกัน พื้นที่ใด้เป็นของใครชัดเจน

    เมื่อดูจาก ข้อเท็จจริงแล้วจะพบว่า เขมรได้สร้างคาสิโนล้ำเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ชัดเจน อีกทั้ง ยังมีชาวบ้านเขมรที่สร้างที่พักอาศัยล้ำเขตแดนเข้ามาในพื้นที่ของไทยอีกด้วย มาถึงตรงนี้ผมชักเป็นห่วงความปลอดภัยของ นาย ลายเซียงลี (คนที่เซ็นยอมรับหลักเขตแดนร่วมกันกับไทย )ซะแล้ว ว่าจะอยู่ดีหรือไม่

    อีกประการที่สำคัญแม้ว่าจะมีค่ายอพยพผู้ลี้ภัย(คำเรียกจากต่างชาติ)อยู่ในพื้นที่จังหวัดสระแก้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีมากที่เข้ามาอยู่เอง และบอกได้อย่างชัดเจนว่า ทางเทคนิคประเทศไทยไม่ยอมรับชาวเขมรเหล่านี้ว่าเป็นผู้ลี้ภัยเลย ดังนั้นไม่ใช่เขมรทั้งหมดจะเป็นผู้ลี้ภัย และส่วนมากเป็น พวกหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยไทยได้จัดตั้งหน่วยที่ชื่อว่า
    “หน่วยควบคุมผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา”
    ดังนั้นจากนี้เป็นต้นไปเราจะไม่เรียกเขมรว่าเป็นผู้ลี้ภัยแต่เราจะจำกัดคำนิยามพวกเขมรว่า

    “ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา”

    Cr.: wanchana sawasdee (เสธ.เบิร์ด)
    สรุปหลักแดนที่ จ. สระแก้ว(กองกำลังบูรพา ) หลักเขตแดนในพื้นที่จังหวัดสระแก้วของกองกำลังบูรพามีทั้งหมด 24 หลัก(หลักที่ 28-51) ✅️มีความเห็นตรงกัน ในที่ตั้งหลักเขตแดน 13 หลักได้แก่ 29 30 31 32 37 40 41 43 44 45 49 50 5 ❌️มีความเห็นไม่ตรงกันในที่ตั้งหลักเขตแดน 11 หลัก ได้แก่ 28 33 34 35 36 38 39 42 46 47 48 ลักษณะทางกายภาพแนวเขตแดน 28-31 ห้วยโอปะอาว 32-33 ห้วยไทร 33-43 เส้นตรง 43-44 ห้วยระลมระสือ 44-45 เส้นตรง(45 เป็นจุดเลี้ยว) 45-49 เส้นตรง 49-50 คลองลึก 50-51 ห้วยพรมโหด การที่ ลูกแหง่อย่างฮุนมาเนท ฟ้องโลกก็เป็นเพียงกลบเกลื่อนความจริงเท่านั้นและฮุน ไม่กล้าเล่นพื้นที่สระแก้วแน่นอนเพราะเสียผลประโยชน์มากเพราะทางการเขมรเซ็นยอมรับหลักแดนเอง การยอมรับหลักแดนก็เท่ากับยอมรับเส้นเขตแดนไปด้วย แม้บางหลักไม่ตรงกันบ้างแต่ก็พอจะประมาณได้ว่า พื้นที่ใดอ้างสิทธิ์ ซ้อนกัน พื้นที่ใด้เป็นของใครชัดเจน เมื่อดูจาก ข้อเท็จจริงแล้วจะพบว่า เขมรได้สร้างคาสิโนล้ำเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ชัดเจน อีกทั้ง ยังมีชาวบ้านเขมรที่สร้างที่พักอาศัยล้ำเขตแดนเข้ามาในพื้นที่ของไทยอีกด้วย มาถึงตรงนี้ผมชักเป็นห่วงความปลอดภัยของ นาย ลายเซียงลี (คนที่เซ็นยอมรับหลักเขตแดนร่วมกันกับไทย )ซะแล้ว ว่าจะอยู่ดีหรือไม่ อีกประการที่สำคัญแม้ว่าจะมีค่ายอพยพผู้ลี้ภัย(คำเรียกจากต่างชาติ)อยู่ในพื้นที่จังหวัดสระแก้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีมากที่เข้ามาอยู่เอง และบอกได้อย่างชัดเจนว่า ทางเทคนิคประเทศไทยไม่ยอมรับชาวเขมรเหล่านี้ว่าเป็นผู้ลี้ภัยเลย ดังนั้นไม่ใช่เขมรทั้งหมดจะเป็นผู้ลี้ภัย และส่วนมากเป็น พวกหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยไทยได้จัดตั้งหน่วยที่ชื่อว่า “หน่วยควบคุมผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา” ดังนั้นจากนี้เป็นต้นไปเราจะไม่เรียกเขมรว่าเป็นผู้ลี้ภัยแต่เราจะจำกัดคำนิยามพวกเขมรว่า “ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา” Cr.: wanchana sawasdee (เสธ.เบิร์ด)
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • “Huawei เตรียมเปิดตัว Kunpeng 960 ซีพียู 256 คอร์ในปี 2028 — ท้าชน AMD และ Intel ด้วยพลังประมวลผลระดับ SuperPod”

    Huawei ประกาศแผนการพัฒนาซีพียู Kunpeng รุ่นใหม่ในงาน Connect 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ โดยตั้งเป้าเปิดตัว Kunpeng 950 ในปี 2026 และ Kunpeng 960 ในปี 2028 ซึ่งจะมีรุ่นที่มีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ และ 512 เธรด เพื่อรองรับงานด้าน virtualization, big data, container และฐานข้อมูลขนาดใหญ่

    Kunpeng 950 จะมีสองรุ่น ได้แก่ รุ่น 96 คอร์ 192 เธรด และรุ่น 192 คอร์ 384 เธรด โดยจะถูกนำไปใช้ใน TaiShan 950 SuperPoD ซึ่งรองรับได้ถึง 16 โหนด และหน่วยความจำรวม 48TB เหมาะสำหรับการใช้งานในภาคการเงินที่ต้องการแทนที่ระบบ mainframe แบบเก่า

    สำหรับ Kunpeng 960 ซึ่งมีการอ้างถึงใน benchmark ล่าสุด จะมีรุ่นที่เน้นประสิทธิภาพต่อคอร์สูงขึ้นกว่า 50% และรุ่น high-density ที่มี 256 คอร์ขึ้นไป โดยสามารถทำงานร่วมกับระบบฐานข้อมูล GaussDB และ MogDB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีรายงานว่าทำธุรกรรมได้ถึง 4.8 ล้านรายการต่อนาทีในระบบที่มี 768 การเชื่อมต่อพร้อมกัน

    แม้ Huawei จะระบุว่า Kunpeng 960 จะเปิดตัวในปี 2028 แต่การมี benchmark ที่ใช้งานจริงแล้วในบางระบบ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Huawei อาจพัฒนาไปไกลกว่าที่ประกาศไว้ และอาจเปิดตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์

    แผนการพัฒนาซีพียู Kunpeng ของ Huawei
    Kunpeng 950 จะเปิดตัวใน Q1 ปี 2026 มีรุ่น 96 และ 192 คอร์
    Kunpeng 960 จะเปิดตัวใน Q1 ปี 2028 มีรุ่น 256 คอร์ขึ้นไป
    รุ่น high-density เหมาะสำหรับงาน virtualization, container, big data และ warehouse workloads
    รุ่นที่เน้น single-core performance จะเพิ่มประสิทธิภาพกว่า 50% สำหรับ AI และฐานข้อมูล

    การใช้งานร่วมกับระบบ SuperPod และฐานข้อมูล
    Kunpeng 950 จะใช้ใน TaiShan 950 SuperPoD รองรับ 16 โหนด และ 48TB RAM
    Kunpeng 960 จะใช้ใน SuperPoD รุ่นใหม่ที่อาจมี accelerator ถึง 15,488 ตัว
    ระบบสามารถแทนที่ Oracle Exadata และ mainframe แบบเดิมในภาคการเงิน
    Benchmark จาก MogDB แสดงผลการทำงาน 4.8 ล้านธุรกรรมต่อนาทีในระบบ 256 คอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huawei ใช้สถาปัตยกรรม Unix-Core แบบ dual-threaded ในซีพียู Kunpeng
    การพัฒนา Kunpeng เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ
    SuperPod ของ Huawei มีเป้าหมายสร้างระบบคลัสเตอร์ที่มี accelerator รวมเกิน 1 ล้านตัว
    Kunpeng 960 อาจใช้ชื่อเดียวกับผลิตภัณฑ์ในสาย Atlas และ Ascend ที่มีเลข 960 อยู่แล้ว

    https://www.techradar.com/pro/huawei-is-planning-a-256-core-cpu-monster-to-take-on-amds-epyc-and-intels-xeon-range-but-it-wont-land-till-2028-at-least-thats-the-official-line
    🧠 “Huawei เตรียมเปิดตัว Kunpeng 960 ซีพียู 256 คอร์ในปี 2028 — ท้าชน AMD และ Intel ด้วยพลังประมวลผลระดับ SuperPod” Huawei ประกาศแผนการพัฒนาซีพียู Kunpeng รุ่นใหม่ในงาน Connect 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ โดยตั้งเป้าเปิดตัว Kunpeng 950 ในปี 2026 และ Kunpeng 960 ในปี 2028 ซึ่งจะมีรุ่นที่มีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ และ 512 เธรด เพื่อรองรับงานด้าน virtualization, big data, container และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ Kunpeng 950 จะมีสองรุ่น ได้แก่ รุ่น 96 คอร์ 192 เธรด และรุ่น 192 คอร์ 384 เธรด โดยจะถูกนำไปใช้ใน TaiShan 950 SuperPoD ซึ่งรองรับได้ถึง 16 โหนด และหน่วยความจำรวม 48TB เหมาะสำหรับการใช้งานในภาคการเงินที่ต้องการแทนที่ระบบ mainframe แบบเก่า สำหรับ Kunpeng 960 ซึ่งมีการอ้างถึงใน benchmark ล่าสุด จะมีรุ่นที่เน้นประสิทธิภาพต่อคอร์สูงขึ้นกว่า 50% และรุ่น high-density ที่มี 256 คอร์ขึ้นไป โดยสามารถทำงานร่วมกับระบบฐานข้อมูล GaussDB และ MogDB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีรายงานว่าทำธุรกรรมได้ถึง 4.8 ล้านรายการต่อนาทีในระบบที่มี 768 การเชื่อมต่อพร้อมกัน แม้ Huawei จะระบุว่า Kunpeng 960 จะเปิดตัวในปี 2028 แต่การมี benchmark ที่ใช้งานจริงแล้วในบางระบบ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Huawei อาจพัฒนาไปไกลกว่าที่ประกาศไว้ และอาจเปิดตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ ✅ แผนการพัฒนาซีพียู Kunpeng ของ Huawei ➡️ Kunpeng 950 จะเปิดตัวใน Q1 ปี 2026 มีรุ่น 96 และ 192 คอร์ ➡️ Kunpeng 960 จะเปิดตัวใน Q1 ปี 2028 มีรุ่น 256 คอร์ขึ้นไป ➡️ รุ่น high-density เหมาะสำหรับงาน virtualization, container, big data และ warehouse workloads ➡️ รุ่นที่เน้น single-core performance จะเพิ่มประสิทธิภาพกว่า 50% สำหรับ AI และฐานข้อมูล ✅ การใช้งานร่วมกับระบบ SuperPod และฐานข้อมูล ➡️ Kunpeng 950 จะใช้ใน TaiShan 950 SuperPoD รองรับ 16 โหนด และ 48TB RAM ➡️ Kunpeng 960 จะใช้ใน SuperPoD รุ่นใหม่ที่อาจมี accelerator ถึง 15,488 ตัว ➡️ ระบบสามารถแทนที่ Oracle Exadata และ mainframe แบบเดิมในภาคการเงิน ➡️ Benchmark จาก MogDB แสดงผลการทำงาน 4.8 ล้านธุรกรรมต่อนาทีในระบบ 256 คอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huawei ใช้สถาปัตยกรรม Unix-Core แบบ dual-threaded ในซีพียู Kunpeng ➡️ การพัฒนา Kunpeng เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ➡️ SuperPod ของ Huawei มีเป้าหมายสร้างระบบคลัสเตอร์ที่มี accelerator รวมเกิน 1 ล้านตัว ➡️ Kunpeng 960 อาจใช้ชื่อเดียวกับผลิตภัณฑ์ในสาย Atlas และ Ascend ที่มีเลข 960 อยู่แล้ว https://www.techradar.com/pro/huawei-is-planning-a-256-core-cpu-monster-to-take-on-amds-epyc-and-intels-xeon-range-but-it-wont-land-till-2028-at-least-thats-the-official-line
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • “Ubiquiti เปิดตัว UniFi UNAS 2 และ UNAS 4 — NAS Desktop รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อผ่าน PoE พร้อม RAID และ NVMe สำหรับสายเน็ตเวิร์กมืออาชีพ”

    Ubiquiti ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่าย เปิดตัว NAS desktop รุ่นใหม่ในซีรีส์ UniFi UNAS ได้แก่ UNAS 2 และ UNAS 4 โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็กที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้ พร้อมการจัดการผ่านระบบ UniFi ที่หลายคนคุ้นเคย

    UNAS 4 เป็นรุ่นใหญ่ มาพร้อมช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 4 ช่อง รองรับทั้งขนาด 2.5 นิ้วและ 3.5 นิ้ว และยังมีช่อง M.2 NVMe SSD อีก 2 ช่องสำหรับใช้เป็น cache หรือจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง ใช้ชิป Arm Cortex-A55 แบบ quad-core ความเร็ว 1.7 GHz พร้อม RAM 4 GB และรองรับการตั้งค่า RAID รวมถึง hot-spare และ hot-swap ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง

    UNAS 2 เป็นรุ่นเล็กกว่า มีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว 2 ช่อง ไม่มี NVMe และไม่รองรับ hot-swap แต่ใช้สเปกเดียวกันกับรุ่นใหญ่ในด้าน CPU, RAM และระบบเครือข่าย โดยทั้งสองรุ่นรองรับการจ่ายไฟผ่าน PoE (Power over Ethernet) — UNAS 2 ใช้ PoE++ ที่จ่ายไฟได้ 60W ส่วน UNAS 4 ใช้ PoE+++ ที่จ่ายไฟได้สูงสุด 90W

    ทั้งสองรุ่นมีหน้าจอสีขนาด 1.47 นิ้วสำหรับแสดงสถานะการทำงาน รองรับ Bluetooth 4.1 และใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนตในการผลิต ตัวเครื่องสามารถจัดการผ่านระบบ UniFi Drive โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เพิ่มเติม และเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายผ่าน Ethernet ได้ทันที

    ราคาของ UNAS 2 เริ่มต้นที่ $199 ส่วน UNAS 4 อยู่ที่ $379 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ubiquiti เปิดตัว NAS desktop รุ่นใหม่ ได้แก่ UNAS 2 และ UNAS 4
    UNAS 4 รองรับฮาร์ดดิสก์ 2.5/3.5 นิ้ว 4 ช่อง และ M.2 NVMe SSD 2 ช่อง
    UNAS 2 รองรับฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว 2 ช่อง ไม่มี NVMe และไม่รองรับ hot-swap
    ทั้งสองรุ่นใช้ชิป Arm Cortex-A55 quad-core 1.7 GHz และ RAM 4 GB
    รองรับการจ่ายไฟผ่าน PoE — UNAS 2 ใช้ PoE++ และ UNAS 4 ใช้ PoE+++
    มีหน้าจอสี 1.47 นิ้ว, Bluetooth 4.1 และวัสดุโพลีคาร์บอเนต
    จัดการผ่าน UniFi Drive โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
    ราคาเริ่มต้นที่ $199 สำหรับ UNAS 2 และ $379 สำหรับ UNAS 4
    เริ่มวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    UniFi Drive เป็นระบบจัดการ NAS ที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ Ubiquiti ได้โดยตรง
    PoE+++ สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 90W เหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง
    NAS แบบ desktop เหมาะกับการใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก
    NVMe SSD ช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลและลดเวลาในการ backup

    คำเตือนและข้อจำกัด
    UNAS 2 ไม่รองรับ hot-swap และไม่มีช่อง NVMe SSD
    การใช้งาน PoE+++ ต้องใช้สวิตช์ที่รองรับการจ่ายไฟระดับสูง
    ไม่มีการรองรับ disk encryption ในรุ่น UNAS 2
    ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบไฟล์หรือเวอร์ชันของ Linux kernel ที่ใช้งาน
    ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Plex Server หรือ 10GbE ยังไม่รองรับในรุ่นนี้

    https://www.techpowerup.com/341223/ubiquiti-launches-unifi-unas-dual-and-quad-bay-desktop-nas-series
    🗄️ “Ubiquiti เปิดตัว UniFi UNAS 2 และ UNAS 4 — NAS Desktop รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อผ่าน PoE พร้อม RAID และ NVMe สำหรับสายเน็ตเวิร์กมืออาชีพ” Ubiquiti ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่าย เปิดตัว NAS desktop รุ่นใหม่ในซีรีส์ UniFi UNAS ได้แก่ UNAS 2 และ UNAS 4 โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็กที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้ พร้อมการจัดการผ่านระบบ UniFi ที่หลายคนคุ้นเคย UNAS 4 เป็นรุ่นใหญ่ มาพร้อมช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 4 ช่อง รองรับทั้งขนาด 2.5 นิ้วและ 3.5 นิ้ว และยังมีช่อง M.2 NVMe SSD อีก 2 ช่องสำหรับใช้เป็น cache หรือจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง ใช้ชิป Arm Cortex-A55 แบบ quad-core ความเร็ว 1.7 GHz พร้อม RAM 4 GB และรองรับการตั้งค่า RAID รวมถึง hot-spare และ hot-swap ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง UNAS 2 เป็นรุ่นเล็กกว่า มีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว 2 ช่อง ไม่มี NVMe และไม่รองรับ hot-swap แต่ใช้สเปกเดียวกันกับรุ่นใหญ่ในด้าน CPU, RAM และระบบเครือข่าย โดยทั้งสองรุ่นรองรับการจ่ายไฟผ่าน PoE (Power over Ethernet) — UNAS 2 ใช้ PoE++ ที่จ่ายไฟได้ 60W ส่วน UNAS 4 ใช้ PoE+++ ที่จ่ายไฟได้สูงสุด 90W ทั้งสองรุ่นมีหน้าจอสีขนาด 1.47 นิ้วสำหรับแสดงสถานะการทำงาน รองรับ Bluetooth 4.1 และใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนตในการผลิต ตัวเครื่องสามารถจัดการผ่านระบบ UniFi Drive โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เพิ่มเติม และเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายผ่าน Ethernet ได้ทันที ราคาของ UNAS 2 เริ่มต้นที่ $199 ส่วน UNAS 4 อยู่ที่ $379 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ubiquiti เปิดตัว NAS desktop รุ่นใหม่ ได้แก่ UNAS 2 และ UNAS 4 ➡️ UNAS 4 รองรับฮาร์ดดิสก์ 2.5/3.5 นิ้ว 4 ช่อง และ M.2 NVMe SSD 2 ช่อง ➡️ UNAS 2 รองรับฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว 2 ช่อง ไม่มี NVMe และไม่รองรับ hot-swap ➡️ ทั้งสองรุ่นใช้ชิป Arm Cortex-A55 quad-core 1.7 GHz และ RAM 4 GB ➡️ รองรับการจ่ายไฟผ่าน PoE — UNAS 2 ใช้ PoE++ และ UNAS 4 ใช้ PoE+++ ➡️ มีหน้าจอสี 1.47 นิ้ว, Bluetooth 4.1 และวัสดุโพลีคาร์บอเนต ➡️ จัดการผ่าน UniFi Drive โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ➡️ ราคาเริ่มต้นที่ $199 สำหรับ UNAS 2 และ $379 สำหรับ UNAS 4 ➡️ เริ่มวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ UniFi Drive เป็นระบบจัดการ NAS ที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ Ubiquiti ได้โดยตรง ➡️ PoE+++ สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 90W เหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง ➡️ NAS แบบ desktop เหมาะกับการใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก ➡️ NVMe SSD ช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลและลดเวลาในการ backup ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ UNAS 2 ไม่รองรับ hot-swap และไม่มีช่อง NVMe SSD ⛔ การใช้งาน PoE+++ ต้องใช้สวิตช์ที่รองรับการจ่ายไฟระดับสูง ⛔ ไม่มีการรองรับ disk encryption ในรุ่น UNAS 2 ⛔ ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบไฟล์หรือเวอร์ชันของ Linux kernel ที่ใช้งาน ⛔ ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Plex Server หรือ 10GbE ยังไม่รองรับในรุ่นนี้ https://www.techpowerup.com/341223/ubiquiti-launches-unifi-unas-dual-and-quad-bay-desktop-nas-series
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Ubiquiti Launches UniFi UNAS Dual and Quad Bay Desktop NAS Series
    Ubiquiti has unveiled its UniFi UNAS desktop NAS series that includes the UNAS 2 (two-bay) and UNAS 4 (four-bay) models each targeting different storage and performance needs. The UNAS 4 with its four bays, stands as the top model in the series featuring a quad-core Arm Cortex-A55 processor operatin...
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • “เกม BlockBlasters บน Steam กลายเป็นกับดักมัลแวร์ — สตรีมเมอร์สูญเงินบริจาครักษามะเร็งกว่า $32,000 พร้อมเหยื่อรวมกว่า 478 ราย”

    เรื่องราวสุดสะเทือนใจของ Raivo “RastalandTV” สตรีมเมอร์บน Twitch ที่กำลังระดมทุนเพื่อรักษามะเร็งขั้นรุนแรง กลับต้องเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อเกมที่มีชื่อว่า “BlockBlasters” บน Steam ซึ่งดูเหมือนเกม 2D ธรรมดา กลับกลายเป็นมัลแวร์ที่ขโมยเงินคริปโตจากกระเป๋าเงินของเขาไปกว่า $32,000 ระหว่างการไลฟ์สดในวันที่ 30 กันยายน 2025

    เกม BlockBlasters เปิดตัวในเดือนกรกฎาคมและดูปลอดภัยในช่วงแรก แต่หลังจากอัปเดตเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม มัลแวร์ถูกฝังเข้ามาในตัวเกมโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้ผู้เล่นที่ดาวน์โหลดเกมในช่วงนั้นตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

    มัลแวร์ในเกมสามารถขโมยข้อมูลล็อกอิน Steam, ที่อยู่ IP และข้อมูลกระเป๋าคริปโต จากนั้นส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมของผู้โจมตี โดยใช้เทคนิค dropper script, Python backdoor และ payload ที่ชื่อว่า StealC ซึ่งมีความสามารถในการเจาะระบบอย่างลึก

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากกลุ่ม vx-underground และ ZachXBT ระบุว่ามีผู้เสียหายรวมกว่า 478 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า $150,000 โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ Steam ที่มีคริปโตในบัญชี และถูกชักชวนให้ลองเกมผ่านช่องทางเช่น Twitter หรือ Discord

    แม้เกมจะถูกถอดออกจาก Steam แล้ว แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงช่องโหว่ในการตรวจสอบเนื้อหาเกมบนแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจอย่างสูง และยังไม่มีคำตอบจาก Valve ถึงมาตรการป้องกันในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เกม BlockBlasters บน Steam ถูกฝังมัลแวร์หลังอัปเดตเมื่อ 30 สิงหาคม 2025
    สตรีมเมอร์ RastalandTV สูญเงินบริจาครักษามะเร็งกว่า $32,000 ระหว่างไลฟ์สด
    มัลแวร์ขโมยข้อมูล Steam, IP และกระเป๋าคริปโต แล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    นักวิจัยพบเหยื่อรวมกว่า 478 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า $150,000
    เกมถูกถอดออกจาก Steam หลังเกิดเหตุการณ์ แต่ไม่มีคำชี้แจงจาก Valve

    เทคนิคที่ใช้ในการโจมตี
    ใช้ dropper script ตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนขโมยข้อมูล
    ใช้ Python backdoor และ payload StealC เพื่อเจาะระบบ
    เหยื่อถูกชักชวนผ่าน Twitter และ Discord โดยเน้นกลุ่มที่ถือคริปโต
    Telegram bot ของผู้โจมตีถูกเปิดเผย พร้อม token ที่ใช้ควบคุม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เกมที่มีรีวิว “Very Positive” และอยู่ในหมวด Early Access อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี
    การโจมตีแบบนี้คล้ายกับกรณี Chemia, PirateFi และ Sniper: Phantom’s Resolution ที่เคยเกิดขึ้นบน Steam
    การใช้มัลแวร์ในเกมเพื่อขโมยคริปโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2025
    ผู้ใช้ควรเปลี่ยนรหัส Steam และย้ายคริปโตไปยังกระเป๋าใหม่ทันทีหากเคยติดตั้งเกม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/twitch-streamer-raising-money-for-cancer-treatment-has-funds-stolen-by-malware-ridden-steam-game-blockblasters-title-stole-usd150-000-from-hundreds-of-players
    🎮 “เกม BlockBlasters บน Steam กลายเป็นกับดักมัลแวร์ — สตรีมเมอร์สูญเงินบริจาครักษามะเร็งกว่า $32,000 พร้อมเหยื่อรวมกว่า 478 ราย” เรื่องราวสุดสะเทือนใจของ Raivo “RastalandTV” สตรีมเมอร์บน Twitch ที่กำลังระดมทุนเพื่อรักษามะเร็งขั้นรุนแรง กลับต้องเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อเกมที่มีชื่อว่า “BlockBlasters” บน Steam ซึ่งดูเหมือนเกม 2D ธรรมดา กลับกลายเป็นมัลแวร์ที่ขโมยเงินคริปโตจากกระเป๋าเงินของเขาไปกว่า $32,000 ระหว่างการไลฟ์สดในวันที่ 30 กันยายน 2025 เกม BlockBlasters เปิดตัวในเดือนกรกฎาคมและดูปลอดภัยในช่วงแรก แต่หลังจากอัปเดตเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม มัลแวร์ถูกฝังเข้ามาในตัวเกมโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้ผู้เล่นที่ดาวน์โหลดเกมในช่วงนั้นตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว มัลแวร์ในเกมสามารถขโมยข้อมูลล็อกอิน Steam, ที่อยู่ IP และข้อมูลกระเป๋าคริปโต จากนั้นส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมของผู้โจมตี โดยใช้เทคนิค dropper script, Python backdoor และ payload ที่ชื่อว่า StealC ซึ่งมีความสามารถในการเจาะระบบอย่างลึก นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากกลุ่ม vx-underground และ ZachXBT ระบุว่ามีผู้เสียหายรวมกว่า 478 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า $150,000 โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ Steam ที่มีคริปโตในบัญชี และถูกชักชวนให้ลองเกมผ่านช่องทางเช่น Twitter หรือ Discord แม้เกมจะถูกถอดออกจาก Steam แล้ว แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงช่องโหว่ในการตรวจสอบเนื้อหาเกมบนแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจอย่างสูง และยังไม่มีคำตอบจาก Valve ถึงมาตรการป้องกันในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เกม BlockBlasters บน Steam ถูกฝังมัลแวร์หลังอัปเดตเมื่อ 30 สิงหาคม 2025 ➡️ สตรีมเมอร์ RastalandTV สูญเงินบริจาครักษามะเร็งกว่า $32,000 ระหว่างไลฟ์สด ➡️ มัลแวร์ขโมยข้อมูล Steam, IP และกระเป๋าคริปโต แล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ➡️ นักวิจัยพบเหยื่อรวมกว่า 478 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า $150,000 ➡️ เกมถูกถอดออกจาก Steam หลังเกิดเหตุการณ์ แต่ไม่มีคำชี้แจงจาก Valve ✅ เทคนิคที่ใช้ในการโจมตี ➡️ ใช้ dropper script ตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนขโมยข้อมูล ➡️ ใช้ Python backdoor และ payload StealC เพื่อเจาะระบบ ➡️ เหยื่อถูกชักชวนผ่าน Twitter และ Discord โดยเน้นกลุ่มที่ถือคริปโต ➡️ Telegram bot ของผู้โจมตีถูกเปิดเผย พร้อม token ที่ใช้ควบคุม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เกมที่มีรีวิว “Very Positive” และอยู่ในหมวด Early Access อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี ➡️ การโจมตีแบบนี้คล้ายกับกรณี Chemia, PirateFi และ Sniper: Phantom’s Resolution ที่เคยเกิดขึ้นบน Steam ➡️ การใช้มัลแวร์ในเกมเพื่อขโมยคริปโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ➡️ ผู้ใช้ควรเปลี่ยนรหัส Steam และย้ายคริปโตไปยังกระเป๋าใหม่ทันทีหากเคยติดตั้งเกม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/twitch-streamer-raising-money-for-cancer-treatment-has-funds-stolen-by-malware-ridden-steam-game-blockblasters-title-stole-usd150-000-from-hundreds-of-players
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • “Stargate of China: เมื่อจีนเปลี่ยนผืนนาเป็นศูนย์กลาง AI — แผน 37 พันล้านดอลลาร์เพื่อท้าทายอำนาจคอมพิวต์ของสหรัฐฯ”

    กลางลุ่มแม่น้ำแยงซี บนเกาะขนาด 760 เอเคอร์ในเมืองอู่ฮู่ ประเทศจีน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ — จากพื้นที่ปลูกข้าว สู่ “Data Island” ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางประมวลผล AI ขนาดมหึมา ภายใต้โครงการที่ถูกขนานนามว่า “Stargate of China” ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 37 พันล้านดอลลาร์

    เป้าหมายของโครงการนี้คือการรวมศูนย์พลังการประมวลผล AI ที่กระจัดกระจายทั่วประเทศให้เป็นเครือข่ายเดียว โดยใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์จากหลายภูมิภาคเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลแบบ “inference” ให้เร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว หนานจิง และซูโจว

    ในขณะที่สหรัฐฯ ครองสัดส่วนพลังคอมพิวต์ AI กว่า 75% ของโลก จีนมีเพียง 15% เท่านั้น การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นการ “ไล่ตาม” ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำเซิร์ฟเวอร์ที่เคยถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ห่างไกลกลับมาใช้งานใหม่ โดยเชื่อมโยงกับศูนย์ข้อมูลในเมืองผ่านเครือข่ายความเร็วสูง

    ศูนย์ข้อมูลในอู่ฮู่จะถูกใช้โดยบริษัทใหญ่ของจีน ได้แก่ Huawei, China Mobile, China Telecom และ China Unicom โดยรัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI เพื่อเร่งการพัฒนา

    อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญกับข้อจำกัดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทอย่าง Nvidia, TSMC และ Samsung ส่งมอบชิป AI ขั้นสูงให้กับลูกค้าจีน ทำให้จีนต้องพึ่งพาชิปภายในประเทศที่ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้ และบางส่วนต้องพึ่งพาตลาดมืดในการจัดหา GPU

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนลงทุน $37 พันล้านในโครงการ “Stargate of China” เพื่อรวมศูนย์พลังคอมพิวต์ AI
    พื้นที่เกษตรในเมืองอู่ฮู่ถูกเปลี่ยนเป็น “Data Island” สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
    ใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ทั่วประเทศ
    ศูนย์ข้อมูลจะรองรับการประมวลผลแบบ inference สำหรับเมืองใหญ่ในลุ่มแม่น้ำแยงซี
    รัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI

    การจัดการทรัพยากรและการขยายเครือข่าย
    เซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ห่างไกล เช่น มองโกเลียใน กุ้ยโจว และกานซู่ จะถูกนำกลับมาใช้งาน
    เครือข่ายใหม่จะช่วยลดปัญหาการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์
    การกระจายศูนย์ข้อมูลใกล้เมืองใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ AI
    มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลใหม่ใน 15 แห่งทั่วเมืองอู่ฮู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Stargate” ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ากว่า $500 พันล้าน
    การประมวลผลแบบ inference คือการตอบสนองของ AI เช่น chatbot หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ
    การรวมศูนย์ข้อมูลช่วยให้สามารถจัดการพลังงานและทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    การลงทุนใน AI compute เป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีนเพื่อแข่งขันกับสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-converting-farmland-into-data-centers-as-part-of-usd37-billion-effort-to-centralize-ai-compute-power-project-dubbed-stargate-of-china
    🌾 “Stargate of China: เมื่อจีนเปลี่ยนผืนนาเป็นศูนย์กลาง AI — แผน 37 พันล้านดอลลาร์เพื่อท้าทายอำนาจคอมพิวต์ของสหรัฐฯ” กลางลุ่มแม่น้ำแยงซี บนเกาะขนาด 760 เอเคอร์ในเมืองอู่ฮู่ ประเทศจีน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ — จากพื้นที่ปลูกข้าว สู่ “Data Island” ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางประมวลผล AI ขนาดมหึมา ภายใต้โครงการที่ถูกขนานนามว่า “Stargate of China” ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 37 พันล้านดอลลาร์ เป้าหมายของโครงการนี้คือการรวมศูนย์พลังการประมวลผล AI ที่กระจัดกระจายทั่วประเทศให้เป็นเครือข่ายเดียว โดยใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์จากหลายภูมิภาคเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลแบบ “inference” ให้เร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว หนานจิง และซูโจว ในขณะที่สหรัฐฯ ครองสัดส่วนพลังคอมพิวต์ AI กว่า 75% ของโลก จีนมีเพียง 15% เท่านั้น การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นการ “ไล่ตาม” ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำเซิร์ฟเวอร์ที่เคยถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ห่างไกลกลับมาใช้งานใหม่ โดยเชื่อมโยงกับศูนย์ข้อมูลในเมืองผ่านเครือข่ายความเร็วสูง ศูนย์ข้อมูลในอู่ฮู่จะถูกใช้โดยบริษัทใหญ่ของจีน ได้แก่ Huawei, China Mobile, China Telecom และ China Unicom โดยรัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI เพื่อเร่งการพัฒนา อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญกับข้อจำกัดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทอย่าง Nvidia, TSMC และ Samsung ส่งมอบชิป AI ขั้นสูงให้กับลูกค้าจีน ทำให้จีนต้องพึ่งพาชิปภายในประเทศที่ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้ และบางส่วนต้องพึ่งพาตลาดมืดในการจัดหา GPU ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนลงทุน $37 พันล้านในโครงการ “Stargate of China” เพื่อรวมศูนย์พลังคอมพิวต์ AI ➡️ พื้นที่เกษตรในเมืองอู่ฮู่ถูกเปลี่ยนเป็น “Data Island” สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ ใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ทั่วประเทศ ➡️ ศูนย์ข้อมูลจะรองรับการประมวลผลแบบ inference สำหรับเมืองใหญ่ในลุ่มแม่น้ำแยงซี ➡️ รัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI ✅ การจัดการทรัพยากรและการขยายเครือข่าย ➡️ เซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ห่างไกล เช่น มองโกเลียใน กุ้ยโจว และกานซู่ จะถูกนำกลับมาใช้งาน ➡️ เครือข่ายใหม่จะช่วยลดปัญหาการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ➡️ การกระจายศูนย์ข้อมูลใกล้เมืองใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ AI ➡️ มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลใหม่ใน 15 แห่งทั่วเมืองอู่ฮู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Stargate” ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ากว่า $500 พันล้าน ➡️ การประมวลผลแบบ inference คือการตอบสนองของ AI เช่น chatbot หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ ➡️ การรวมศูนย์ข้อมูลช่วยให้สามารถจัดการพลังงานและทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ การลงทุนใน AI compute เป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีนเพื่อแข่งขันกับสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-converting-farmland-into-data-centers-as-part-of-usd37-billion-effort-to-centralize-ai-compute-power-project-dubbed-stargate-of-china
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • “ภาพโปรไฟล์สีดำบน Facebook คืออะไร? จากการไว้อาลัยสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมในยุคดิจิทัล”

    ในโลกที่การแสดงออกทางสังคมเกิดขึ้นผ่านหน้าจอมากกว่าท้องถนน การเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำบน Facebook กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง ไม่ใช่แค่การไว้อาลัย แต่ยังเป็นการประกาศจุดยืน การประท้วง และการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

    ย้อนกลับไปในปี 2016 ผู้ใช้ Facebook จำนวนมากเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำเพื่อประท้วงผลการเลือกตั้งของ Donald Trump และในปี 2024 เทรนด์นี้ก็กลับมาอีกครั้งในบริบทที่คล้ายกัน แต่ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองเท่านั้น — ในปี 2018 ภาพโปรไฟล์สีดำถูกใช้เพื่อรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะในแคมเปญที่ให้ผู้หญิง “หายไป” จากโซเชียลเพื่อให้ผู้ชายตระหนักถึงบทบาทของพวกเธอในชีวิต

    เหตุการณ์ที่ทรงพลังที่สุดเกิดขึ้นในปี 2020 บน Instagram กับ “Black Tuesday” ที่ผู้คนในวงการบันเทิงเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำเพื่อไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของ George Floyd และสนับสนุนการเคลื่อนไหว Black Lives Matter ซึ่งแพร่กระจายไปยังแพลตฟอร์มอื่นอย่าง X (Twitter เดิม)

    แต่ภาพโปรไฟล์สีดำไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเคลื่อนไหวระดับชาติ บางคนใช้เพื่อแสดงความเศร้า สูญเสีย หรือไว้อาลัยต่อบุคคลที่รัก หรือแม้แต่เพื่อบอกว่า “ฉันไม่สนใจภาพลักษณ์ออนไลน์” เป็นการปฏิเสธวัฒนธรรมการตกแต่งโปรไฟล์อย่างเงียบ ๆ

    นอกจากการเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ ผู้ใช้ยังใช้วิธีอื่นในการแสดงออก เช่น การใส่กรอบรูปโปรไฟล์ที่มีธงชาติฝรั่งเศสหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในปี 2015 หรือธงสีรุ้งหลังคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐที่รับรองการแต่งงานเพศเดียวกัน รวมถึงการใช้ hashtag เพื่อเข้าร่วมบทสนทนาและแสดงจุดยืนทางสังคม

    https://www.slashgear.com/1970336/black-profile-pictures-facebook-meaning/
    🖤 “ภาพโปรไฟล์สีดำบน Facebook คืออะไร? จากการไว้อาลัยสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมในยุคดิจิทัล” ในโลกที่การแสดงออกทางสังคมเกิดขึ้นผ่านหน้าจอมากกว่าท้องถนน การเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำบน Facebook กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง ไม่ใช่แค่การไว้อาลัย แต่ยังเป็นการประกาศจุดยืน การประท้วง และการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ย้อนกลับไปในปี 2016 ผู้ใช้ Facebook จำนวนมากเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำเพื่อประท้วงผลการเลือกตั้งของ Donald Trump และในปี 2024 เทรนด์นี้ก็กลับมาอีกครั้งในบริบทที่คล้ายกัน แต่ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองเท่านั้น — ในปี 2018 ภาพโปรไฟล์สีดำถูกใช้เพื่อรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะในแคมเปญที่ให้ผู้หญิง “หายไป” จากโซเชียลเพื่อให้ผู้ชายตระหนักถึงบทบาทของพวกเธอในชีวิต เหตุการณ์ที่ทรงพลังที่สุดเกิดขึ้นในปี 2020 บน Instagram กับ “Black Tuesday” ที่ผู้คนในวงการบันเทิงเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำเพื่อไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของ George Floyd และสนับสนุนการเคลื่อนไหว Black Lives Matter ซึ่งแพร่กระจายไปยังแพลตฟอร์มอื่นอย่าง X (Twitter เดิม) แต่ภาพโปรไฟล์สีดำไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเคลื่อนไหวระดับชาติ บางคนใช้เพื่อแสดงความเศร้า สูญเสีย หรือไว้อาลัยต่อบุคคลที่รัก หรือแม้แต่เพื่อบอกว่า “ฉันไม่สนใจภาพลักษณ์ออนไลน์” เป็นการปฏิเสธวัฒนธรรมการตกแต่งโปรไฟล์อย่างเงียบ ๆ นอกจากการเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ ผู้ใช้ยังใช้วิธีอื่นในการแสดงออก เช่น การใส่กรอบรูปโปรไฟล์ที่มีธงชาติฝรั่งเศสหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในปี 2015 หรือธงสีรุ้งหลังคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐที่รับรองการแต่งงานเพศเดียวกัน รวมถึงการใช้ hashtag เพื่อเข้าร่วมบทสนทนาและแสดงจุดยืนทางสังคม https://www.slashgear.com/1970336/black-profile-pictures-facebook-meaning/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Why Do People Put Black Profile Pictures On Facebook? Here's What It Means - SlashGear
    A profile picture can tell you a lot about somebody's account online, and a blacked out profile picture may be symbolic of an important message.
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • “เกมพังเพราะ Microsoft ‘ใส่ชื่อไว้ในลิสต์’ — เมื่อ DXGI Detour ทำ ARM64 Crash แบบไร้คำอธิบาย”

    นักพัฒนาเกม Space Station 14 ได้แชร์ประสบการณ์การดีบักสุดโกลาหลบน Windows ARM64 ที่นำไปสู่การค้นพบว่า Microsoft แอบใส่ชื่อ executable ของเกมไว้ใน “ลิสต์พิเศษ” ซึ่งทำให้ระบบ DXGI บน Windows 11 ติดตั้ง detour เข้าไปในฟังก์ชัน GetDC() และทำให้เกม crash ทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างที่สอง

    เรื่องเริ่มจากการพอร์ตเกมไปยัง ARM64 โดยใช้ SDL3 และ ANGLE เพื่อรองรับ OpenGL บน Windows ARM64 แต่เมื่อรันเกมผ่าน launcher ที่รวมทั้ง x64 และ ARM64 กลับพบว่าเกม crash โดยไม่มี log ใด ๆ เลย หลังจากใช้ WinDbg ดีบักอย่างหนัก พบว่า crash เกิดใน USER32!GetDC ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานของ Win32

    เมื่อเจาะลึกลงไป พบว่า DXGI!My_GetDC ได้ติดตั้ง detour เข้าไปใน GetDC() เพื่อบังคับใช้ “flip model” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Windows 11 ที่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลใน windowed mode โดยเฉพาะกับเกมเก่า แต่ปัญหาคือฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน

    สิ่งที่น่าตกใจคือ crash เกิดเฉพาะเมื่อ executable มีชื่อว่า SS14.Loader.exe เท่านั้น หากเปลี่ยนชื่อไฟล์ เกมจะไม่ crash ซึ่งหมายความว่า Microsoft ใช้ “ลิสต์ชื่อเกม” ที่ฝังอยู่ใน Windows เพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ และ Space Station 14 ถูกใส่เข้าไปโดยไม่รู้ตัว

    นักพัฒนาพยายามหาทางแก้ เช่น ปิดฟีเจอร์ใน Settings หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่ก็เจอข้อจำกัดจาก Steamworks ที่ไม่รองรับ ARM64 ทำให้ไม่สามารถใช้ชื่ออื่นได้ในระบบจริง สุดท้ายจึงต้องเลื่อนการรองรับ Windows ARM64 ออกไปจนกว่าบั๊กจะถูกแก้ หรือจนกว่าจะเปลี่ยน renderer ไปใช้ DirectX แทน OpenGL

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เกม Space Station 14 crash บน Windows ARM64 เมื่อใช้ชื่อไฟล์ SS14.Loader.exe
    Crash เกิดในฟังก์ชัน USER32!GetDC ซึ่งถูก DXGI ติดตั้ง detour เข้าไป
    Detour นี้เป็นส่วนหนึ่งของฟีเจอร์ “Optimizations for windowed games” บน Windows 11
    ฟีเจอร์นี้บังคับใช้ “flip model” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผล

    การดีบักและการค้นพบ
    ใช้ WinDbg ดีบัก พบว่า stack trace แสดง DXGI!My_GetDC เป็นจุดเริ่มของปัญหา
    การเปลี่ยนชื่อ executable ทำให้เกมไม่ crash อีก
    Microsoft ใช้ลิสต์ชื่อเกมเพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ
    ฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “flip model” เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ใน DirectX เพื่อแทน bitblt model แบบเก่า
    ANGLE ใช้ SWAP_EFFECT_SEQUENTIAL ซึ่งไม่รองรับ flip model โดยตรง
    OpenGL บน Windows ARM64 ใช้ Mesa บน D3D12 ซึ่งมีบั๊กด้านกราฟิก
    WinDbg บน ARM64 ยังมีข้อจำกัดในการดีบัก .NET และ C# stack trace

    https://slugcat.systems/post/25-09-21-dxgi-debugging-microsoft-put-me-on-a-list/
    🧠 “เกมพังเพราะ Microsoft ‘ใส่ชื่อไว้ในลิสต์’ — เมื่อ DXGI Detour ทำ ARM64 Crash แบบไร้คำอธิบาย” นักพัฒนาเกม Space Station 14 ได้แชร์ประสบการณ์การดีบักสุดโกลาหลบน Windows ARM64 ที่นำไปสู่การค้นพบว่า Microsoft แอบใส่ชื่อ executable ของเกมไว้ใน “ลิสต์พิเศษ” ซึ่งทำให้ระบบ DXGI บน Windows 11 ติดตั้ง detour เข้าไปในฟังก์ชัน GetDC() และทำให้เกม crash ทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างที่สอง เรื่องเริ่มจากการพอร์ตเกมไปยัง ARM64 โดยใช้ SDL3 และ ANGLE เพื่อรองรับ OpenGL บน Windows ARM64 แต่เมื่อรันเกมผ่าน launcher ที่รวมทั้ง x64 และ ARM64 กลับพบว่าเกม crash โดยไม่มี log ใด ๆ เลย หลังจากใช้ WinDbg ดีบักอย่างหนัก พบว่า crash เกิดใน USER32!GetDC ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานของ Win32 เมื่อเจาะลึกลงไป พบว่า DXGI!My_GetDC ได้ติดตั้ง detour เข้าไปใน GetDC() เพื่อบังคับใช้ “flip model” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Windows 11 ที่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลใน windowed mode โดยเฉพาะกับเกมเก่า แต่ปัญหาคือฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน สิ่งที่น่าตกใจคือ crash เกิดเฉพาะเมื่อ executable มีชื่อว่า SS14.Loader.exe เท่านั้น หากเปลี่ยนชื่อไฟล์ เกมจะไม่ crash ซึ่งหมายความว่า Microsoft ใช้ “ลิสต์ชื่อเกม” ที่ฝังอยู่ใน Windows เพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ และ Space Station 14 ถูกใส่เข้าไปโดยไม่รู้ตัว นักพัฒนาพยายามหาทางแก้ เช่น ปิดฟีเจอร์ใน Settings หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่ก็เจอข้อจำกัดจาก Steamworks ที่ไม่รองรับ ARM64 ทำให้ไม่สามารถใช้ชื่ออื่นได้ในระบบจริง สุดท้ายจึงต้องเลื่อนการรองรับ Windows ARM64 ออกไปจนกว่าบั๊กจะถูกแก้ หรือจนกว่าจะเปลี่ยน renderer ไปใช้ DirectX แทน OpenGL ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เกม Space Station 14 crash บน Windows ARM64 เมื่อใช้ชื่อไฟล์ SS14.Loader.exe ➡️ Crash เกิดในฟังก์ชัน USER32!GetDC ซึ่งถูก DXGI ติดตั้ง detour เข้าไป ➡️ Detour นี้เป็นส่วนหนึ่งของฟีเจอร์ “Optimizations for windowed games” บน Windows 11 ➡️ ฟีเจอร์นี้บังคับใช้ “flip model” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผล ✅ การดีบักและการค้นพบ ➡️ ใช้ WinDbg ดีบัก พบว่า stack trace แสดง DXGI!My_GetDC เป็นจุดเริ่มของปัญหา ➡️ การเปลี่ยนชื่อ executable ทำให้เกมไม่ crash อีก ➡️ Microsoft ใช้ลิสต์ชื่อเกมเพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ ➡️ ฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “flip model” เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ใน DirectX เพื่อแทน bitblt model แบบเก่า ➡️ ANGLE ใช้ SWAP_EFFECT_SEQUENTIAL ซึ่งไม่รองรับ flip model โดยตรง ➡️ OpenGL บน Windows ARM64 ใช้ Mesa บน D3D12 ซึ่งมีบั๊กด้านกราฟิก ➡️ WinDbg บน ARM64 ยังมีข้อจำกัดในการดีบัก .NET และ C# stack trace https://slugcat.systems/post/25-09-21-dxgi-debugging-microsoft-put-me-on-a-list/
    SLUGCAT.SYSTEMS
    DXGI debugging: Microsoft put me on a list
    Why does Space Station 14 crash with ANGLE on ARM64? 6 hours later…
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • “Furi Labs เปิดตัว FLX1s — สมาร์ตโฟน Linux พร้อมสวิตช์ตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม เพื่อความเป็นส่วนตัวระดับสูง”

    ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งหายาก Furi Labs บริษัทจากฮ่องกงได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน Linux รุ่นใหม่ชื่อ FLX1s ที่มาพร้อมแนวคิด “ควบคุมฮาร์ดแวร์ด้วยมือคุณ” โดยมีสวิตช์ตัดการทำงานของไมโครโฟน กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส แบบฮาร์ดแวร์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจว่าไม่มีการแอบฟังหรือติดตามโดยไม่ได้รับอนุญาต

    FLX1s ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900 พร้อม RAM 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB รองรับ microSD สูงสุด 1TB แม้สเปกจะไม่เทียบเท่าเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเน้นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก

    ระบบปฏิบัติการที่ใช้คือ FuriOS ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐาน Debian และ Mobian รองรับการใช้งานหลายระบบพร้อมกันผ่าน KVM virtualization และสามารถรันแอป Android ผ่าน container แยกที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบหลัก เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น

    หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1600x720 รีเฟรชเรต 90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail กล้องหลัง 20MP + 2MP macro และกล้องหน้า 13MP แบตเตอรี่ 5,000mAh รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB-C 2.0 ตัวเครื่องใช้โครงสร้างแบบ polycarbonate + metal buttons

    FLX1s เปิดให้พรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว และล็อตที่สองจะเริ่มผลิตภายในตุลาคม 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FLX1s เป็นสมาร์ตโฟน Linux จาก Furi Labs ที่เน้นความเป็นส่วนตัว
    มีสวิตช์ฮาร์ดแวร์ 3 ตัวสำหรับตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส
    ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900, RAM 8GB, ROM 128GB, รองรับ microSD สูงสุด 1TB
    รัน FuriOS ซึ่งเป็น Debian-based OS รองรับ multi-boot และ virtualization

    ฟีเจอร์เด่นของระบบและฮาร์ดแวร์
    รองรับแอป Android ผ่าน container แยกจากระบบหลัก
    หน้าจอ 6.7 นิ้ว @90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail
    กล้องหลัง 20MP + 2MP macro, กล้องหน้า 13MP
    แบตเตอรี่ 5,000mAh, รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2
    พอร์ต USB-C 2.0, ไม่มีช่องหูฟัง, ตัวเครื่องใช้ polycarbonate + metal buttons
    เปิดพรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FLX1s ใช้ Halium และ Libhybris เพื่อให้ Linux ใช้ไดรเวอร์ Android ได้
    ระบบโทรศัพท์ใช้ stack ofono2mm และ GNOME Calls
    รองรับ Ubuntu Touch และระบบอื่นผ่าน KVM
    ไม่มีการส่ง telemetry หรือเชื่อมต่อกับคลาวด์โดยอัตโนมัติ
    Furi Labs เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub เพื่อให้ชุมชนร่วมพัฒนา

    https://news.itsfoss.com/furi-labs-flx1s/
    📱 “Furi Labs เปิดตัว FLX1s — สมาร์ตโฟน Linux พร้อมสวิตช์ตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม เพื่อความเป็นส่วนตัวระดับสูง” ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งหายาก Furi Labs บริษัทจากฮ่องกงได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน Linux รุ่นใหม่ชื่อ FLX1s ที่มาพร้อมแนวคิด “ควบคุมฮาร์ดแวร์ด้วยมือคุณ” โดยมีสวิตช์ตัดการทำงานของไมโครโฟน กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส แบบฮาร์ดแวร์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจว่าไม่มีการแอบฟังหรือติดตามโดยไม่ได้รับอนุญาต FLX1s ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900 พร้อม RAM 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB รองรับ microSD สูงสุด 1TB แม้สเปกจะไม่เทียบเท่าเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเน้นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก ระบบปฏิบัติการที่ใช้คือ FuriOS ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐาน Debian และ Mobian รองรับการใช้งานหลายระบบพร้อมกันผ่าน KVM virtualization และสามารถรันแอป Android ผ่าน container แยกที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบหลัก เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1600x720 รีเฟรชเรต 90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail กล้องหลัง 20MP + 2MP macro และกล้องหน้า 13MP แบตเตอรี่ 5,000mAh รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB-C 2.0 ตัวเครื่องใช้โครงสร้างแบบ polycarbonate + metal buttons FLX1s เปิดให้พรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว และล็อตที่สองจะเริ่มผลิตภายในตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FLX1s เป็นสมาร์ตโฟน Linux จาก Furi Labs ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ มีสวิตช์ฮาร์ดแวร์ 3 ตัวสำหรับตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส ➡️ ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900, RAM 8GB, ROM 128GB, รองรับ microSD สูงสุด 1TB ➡️ รัน FuriOS ซึ่งเป็น Debian-based OS รองรับ multi-boot และ virtualization ✅ ฟีเจอร์เด่นของระบบและฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับแอป Android ผ่าน container แยกจากระบบหลัก ➡️ หน้าจอ 6.7 นิ้ว @90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail ➡️ กล้องหลัง 20MP + 2MP macro, กล้องหน้า 13MP ➡️ แบตเตอรี่ 5,000mAh, รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 ➡️ พอร์ต USB-C 2.0, ไม่มีช่องหูฟัง, ตัวเครื่องใช้ polycarbonate + metal buttons ➡️ เปิดพรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FLX1s ใช้ Halium และ Libhybris เพื่อให้ Linux ใช้ไดรเวอร์ Android ได้ ➡️ ระบบโทรศัพท์ใช้ stack ofono2mm และ GNOME Calls ➡️ รองรับ Ubuntu Touch และระบบอื่นผ่าน KVM ➡️ ไม่มีการส่ง telemetry หรือเชื่อมต่อกับคลาวด์โดยอัตโนมัติ ➡️ Furi Labs เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub เพื่อให้ชุมชนร่วมพัฒนา https://news.itsfoss.com/furi-labs-flx1s/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    This $550 Linux Phone Has Kill Switches That Protect Your Privacy
    This smartphone has hardware switches for the microphone, cameras, and modem/GPS.
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • ..ศาลการเมืองโลกผีบ้า.

    ..นี้ถือว่ามิตรที่ดีใจยุคนั้น ส่วนจะแลกมากับอะไรเราก็มิรู้ได้.
    #ไต้หวันพิพากษาให้เป็นของไทย
    #อาร์เจนตินาพิพากษาให้เป็นของไทย
    #ออสเตรเลียพิพากษาให้เป็นของไทย

    ..นี้คือศัตรูไทยของแท้ พร้อมทำลายชาติไทยตลอดเวลาที่มีโอกาสและถือว่าคือชาติที่ชั่วเลวทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น.

    #ญี่ปุ่นพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #รัสเซียพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #ฝรั่งเศสพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #อังกฤษพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #อียิปต์พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #เปรูพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #อิตาลีพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #โปแลนด์เป็นประธานพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #ปานามาเป็นรองประธานพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา



    วันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา

    ผู้พิพากษา
    ผู้พิพากษามีทั้งหมด 14 ท่าน คะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ตัดสินว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และ คะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ตัดสินว่า ไทยต้องคืนวัตถุสิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนปรักหักพังของอนุสาวรีย์รูปหินทราย เครื่องปั้นดินเผาโบราณและปราสาทหรือบริเวณเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา

    โบดาน วินิอาร์สกิ (Bohdan Winiarski) : ชาวโปแลนด์ เป็นประธาน— พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    ริคาร์โด อาลฟาโร (Ricardo Alfaro) : ชาวปานามา เป็นรองประธาน — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    ลูซิโอ มอเรโน กินตานา (Lucio Moreno Quintana) : ชาวอาร์เจนตินา — พิพากษาให้เป็นของไทย

    เวลลิงตัน คู (Wellington Koo) : ชาวจีนไต้หวัน — พิพากษาให้เป็นของไทย

    เซอร์ เพอร์ซี สเปนเดอร์ (Percy Spender) : ชาวออสเตรเลีย — พิพากษาให้เป็นของไทย

    จูลส์ บาเดอวังต์ (Jules Basdevant) : ชาวฝรั่งเศส — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    อับดุล บาดาวี (Abdul Badawi) : ชาวอียิปต์ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    เซอร์ เจรัลด์ ฟิตซ์มอริส (Sir Gerald Fitzmaurice) : ชาวอังกฤษ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    วลาดิเมียร์ คอเรดสกี (Vladimir Koretsky) : ชาวรัสเซีย — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    โคะทะโระ ทะนะกะ (Kotaro Tanaka) : ชาวญี่ปุ่น — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    โจเซ่ บุสตามันเต อี ริเบโร (José Bustamante y Rivero) : ชาวเปรู — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    เกตาโน มอเรลลี (Gaetano Morelli) : ชาวอิตาลี — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    สปีโรปูลอส (Jean Spiropoulos) : ชาวกรีก — งดออกเสียง (ป่วย)

    โรแบร์โต คอร์โดวา (Roberto Cordova) : ชาวเม็กซิโก — งดออกเสียง (ป่วย)

    ฟิลิป เจสซัป (Philip Jessup) : ชาวอเมริกา (ทนายฝ่ายไทย)

    กานเย กวนเยต์ (Garnier-Coignet) : นายทะเบียนศาล


    ..ศาลการเมืองโลกผีบ้า. ..นี้ถือว่ามิตรที่ดีใจยุคนั้น ส่วนจะแลกมากับอะไรเราก็มิรู้ได้. #ไต้หวันพิพากษาให้เป็นของไทย #อาร์เจนตินาพิพากษาให้เป็นของไทย #ออสเตรเลียพิพากษาให้เป็นของไทย ..นี้คือศัตรูไทยของแท้ พร้อมทำลายชาติไทยตลอดเวลาที่มีโอกาสและถือว่าคือชาติที่ชั่วเลวทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น. #ญี่ปุ่นพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #รัสเซียพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #ฝรั่งเศสพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #อังกฤษพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #อียิปต์พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #เปรูพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #อิตาลีพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #โปแลนด์เป็นประธานพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #ปานามาเป็นรองประธานพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา วันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ผู้พิพากษา ผู้พิพากษามีทั้งหมด 14 ท่าน คะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ตัดสินว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และ คะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ตัดสินว่า ไทยต้องคืนวัตถุสิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนปรักหักพังของอนุสาวรีย์รูปหินทราย เครื่องปั้นดินเผาโบราณและปราสาทหรือบริเวณเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา โบดาน วินิอาร์สกิ (Bohdan Winiarski) : ชาวโปแลนด์ เป็นประธาน— พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา ริคาร์โด อาลฟาโร (Ricardo Alfaro) : ชาวปานามา เป็นรองประธาน — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา ลูซิโอ มอเรโน กินตานา (Lucio Moreno Quintana) : ชาวอาร์เจนตินา — พิพากษาให้เป็นของไทย เวลลิงตัน คู (Wellington Koo) : ชาวจีนไต้หวัน — พิพากษาให้เป็นของไทย เซอร์ เพอร์ซี สเปนเดอร์ (Percy Spender) : ชาวออสเตรเลีย — พิพากษาให้เป็นของไทย จูลส์ บาเดอวังต์ (Jules Basdevant) : ชาวฝรั่งเศส — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา อับดุล บาดาวี (Abdul Badawi) : ชาวอียิปต์ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา เซอร์ เจรัลด์ ฟิตซ์มอริส (Sir Gerald Fitzmaurice) : ชาวอังกฤษ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา วลาดิเมียร์ คอเรดสกี (Vladimir Koretsky) : ชาวรัสเซีย — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา โคะทะโระ ทะนะกะ (Kotaro Tanaka) : ชาวญี่ปุ่น — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา โจเซ่ บุสตามันเต อี ริเบโร (José Bustamante y Rivero) : ชาวเปรู — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา เกตาโน มอเรลลี (Gaetano Morelli) : ชาวอิตาลี — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา สปีโรปูลอส (Jean Spiropoulos) : ชาวกรีก — งดออกเสียง (ป่วย) โรแบร์โต คอร์โดวา (Roberto Cordova) : ชาวเม็กซิโก — งดออกเสียง (ป่วย) ฟิลิป เจสซัป (Philip Jessup) : ชาวอเมริกา (ทนายฝ่ายไทย) กานเย กวนเยต์ (Garnier-Coignet) : นายทะเบียนศาล
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • ScaleFlux CSD 5320 — SSD ที่บีบอัดข้อมูลได้ทันที พร้อมทะลุขีดจำกัดความเร็วและความจุของ PCIe Gen5

    ในโลกของศูนย์ข้อมูลที่ต้องรับมือกับข้อมูลมหาศาลทุกวินาที ScaleFlux ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ CSD 5320 ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ “ฉลาด” ด้วยการบีบอัดข้อมูลแบบเรียลไทม์ในตัวฮาร์ดแวร์ โดยไม่ต้องพึ่ง CPU ของระบบหลักเลยแม้แต่นิดเดียว

    CSD 5320 เป็น SSD ระดับองค์กรที่ใช้ PCIe Gen5 x4 พร้อมชิป SFX 5000 ที่รวมเอา ARM processor และ hardware acceleration สำหรับการบีบอัด/คลายข้อมูลโดยเฉพาะ ทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าความจุ NAND จริงถึง 4 เท่าในบางกรณี และยังลดการเขียนซ้ำซ้อนซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างมาก

    ผลการทดสอบจาก TweakTown และ WebProNews รายงานว่า SSD รุ่นนี้สามารถอ่านข้อมูลแบบต่อเนื่องได้ถึง 14GB/s และเขียนได้มากกว่า 13GB/s เมื่อใช้กับข้อมูลที่บีบอัดได้ดี ส่วนการทำงานแบบสุ่ม (random IOPS) ก็แตะระดับ 3.3 ล้าน IOPS ซึ่งสูงกว่าหลายรุ่นในตลาด PCIe Gen5

    นอกจากความเร็วแล้ว จุดเด่นของ CSD 5320 คือ “ประสิทธิภาพต่อวัตต์” ที่เหนือกว่า SSD ทั่วไปถึง 3 เท่า และสามารถลดต้นทุนการจัดเก็บข้อมูลในงานที่มีข้อมูลซ้ำซ้อน เช่น log, database, หรือ workload ด้าน AI/ML ที่ต้องการทั้งความเร็วและความจุ

    แม้จะมีรุ่นเริ่มต้นที่ 7.68TB แต่เมื่อรวมเทคโนโลยีบีบอัดแล้วสามารถขยายได้ถึง 256TB ในการใช้งานจริง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน SSD ที่มีความจุสูงที่สุดในตลาดองค์กร ณ ตอนนี้

    ScaleFlux เปิดตัว SSD CSD 5320 สำหรับองค์กร
    ใช้ PCIe Gen5 x4 พร้อมชิป SFX 5000 แบบ custom
    มีระบบบีบอัด/คลายข้อมูลในตัวโดยไม่ใช้ CPU หลัก

    ความเร็วทะลุขีดจำกัดของ Gen5 SSD ทั่วไป
    อ่านต่อเนื่องได้มากกว่า 14GB/s / เขียนได้มากกว่า 13GB/s
    Random IOPS สูงถึง 3.3 ล้านใน workload แบบองค์กร

    เพิ่มความจุได้มากกว่าความจุ NAND จริง
    บีบอัดข้อมูลได้สูงสุด 4 เท่า
    รุ่น 7.68TB สามารถใช้งานจริงได้ถึง 256TB

    ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า SSD ทั่วไป
    ลด write amplification / ยืดอายุการใช้งาน
    เหมาะกับงาน AI, ML, database, log analytics

    มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    รองรับ compressible workload ได้ดีที่สุดในตลาด
    ใช้ได้กับศูนย์ข้อมูลที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและพื้นที่

    https://www.techradar.com/pro/like-nothing-else-out-there-scaleflux-extraordinary-ssd-compresses-datasets-on-the-fly-and-delivers-equally-extraordinary-performance-says-review
    📰 ScaleFlux CSD 5320 — SSD ที่บีบอัดข้อมูลได้ทันที พร้อมทะลุขีดจำกัดความเร็วและความจุของ PCIe Gen5 ในโลกของศูนย์ข้อมูลที่ต้องรับมือกับข้อมูลมหาศาลทุกวินาที ScaleFlux ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ CSD 5320 ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ “ฉลาด” ด้วยการบีบอัดข้อมูลแบบเรียลไทม์ในตัวฮาร์ดแวร์ โดยไม่ต้องพึ่ง CPU ของระบบหลักเลยแม้แต่นิดเดียว CSD 5320 เป็น SSD ระดับองค์กรที่ใช้ PCIe Gen5 x4 พร้อมชิป SFX 5000 ที่รวมเอา ARM processor และ hardware acceleration สำหรับการบีบอัด/คลายข้อมูลโดยเฉพาะ ทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าความจุ NAND จริงถึง 4 เท่าในบางกรณี และยังลดการเขียนซ้ำซ้อนซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างมาก ผลการทดสอบจาก TweakTown และ WebProNews รายงานว่า SSD รุ่นนี้สามารถอ่านข้อมูลแบบต่อเนื่องได้ถึง 14GB/s และเขียนได้มากกว่า 13GB/s เมื่อใช้กับข้อมูลที่บีบอัดได้ดี ส่วนการทำงานแบบสุ่ม (random IOPS) ก็แตะระดับ 3.3 ล้าน IOPS ซึ่งสูงกว่าหลายรุ่นในตลาด PCIe Gen5 นอกจากความเร็วแล้ว จุดเด่นของ CSD 5320 คือ “ประสิทธิภาพต่อวัตต์” ที่เหนือกว่า SSD ทั่วไปถึง 3 เท่า และสามารถลดต้นทุนการจัดเก็บข้อมูลในงานที่มีข้อมูลซ้ำซ้อน เช่น log, database, หรือ workload ด้าน AI/ML ที่ต้องการทั้งความเร็วและความจุ แม้จะมีรุ่นเริ่มต้นที่ 7.68TB แต่เมื่อรวมเทคโนโลยีบีบอัดแล้วสามารถขยายได้ถึง 256TB ในการใช้งานจริง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน SSD ที่มีความจุสูงที่สุดในตลาดองค์กร ณ ตอนนี้ ✅ ScaleFlux เปิดตัว SSD CSD 5320 สำหรับองค์กร ➡️ ใช้ PCIe Gen5 x4 พร้อมชิป SFX 5000 แบบ custom ➡️ มีระบบบีบอัด/คลายข้อมูลในตัวโดยไม่ใช้ CPU หลัก ✅ ความเร็วทะลุขีดจำกัดของ Gen5 SSD ทั่วไป ➡️ อ่านต่อเนื่องได้มากกว่า 14GB/s / เขียนได้มากกว่า 13GB/s ➡️ Random IOPS สูงถึง 3.3 ล้านใน workload แบบองค์กร ✅ เพิ่มความจุได้มากกว่าความจุ NAND จริง ➡️ บีบอัดข้อมูลได้สูงสุด 4 เท่า ➡️ รุ่น 7.68TB สามารถใช้งานจริงได้ถึง 256TB ✅ ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า SSD ทั่วไป ➡️ ลด write amplification / ยืดอายุการใช้งาน ➡️ เหมาะกับงาน AI, ML, database, log analytics ✅ มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ รองรับ compressible workload ได้ดีที่สุดในตลาด ➡️ ใช้ได้กับศูนย์ข้อมูลที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและพื้นที่ https://www.techradar.com/pro/like-nothing-else-out-there-scaleflux-extraordinary-ssd-compresses-datasets-on-the-fly-and-delivers-equally-extraordinary-performance-says-review
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • Toshiba โชว์พลัง “ฮาร์ดดิสก์” สู้ PCIe 5.0 ด้วย JBOD 78 ลูก — เมื่อความจุและความเร็วไม่จำเป็นต้องใช้ SSD เสมอไป

    ย้อนกลับไปในปี 2023 Toshiba ได้สร้างการทดลองที่น่าทึ่งแต่กลับถูกมองข้ามในวงกว้าง ด้วยการใช้ฮาร์ดดิสก์ 78 ลูกในระบบ JBOD (Just a Bunch Of Disks) เพื่อแสดงให้เห็นว่า “ฮาร์ดดิสก์ธรรมดา” ก็สามารถให้ความเร็วระดับ PCIe 5.0 ได้ หากจัดการอย่างถูกวิธี

    ทีมวิศวกรของ Toshiba ในยุโรปใช้แชสซี AIC J4078-02-04X แบบ 4U ใส่ฮาร์ดดิสก์ MG08 ขนาด 18TB แบบ SAS ทั้งหมด 78 ลูก เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ Supermicro ผ่านลิงก์ SAS4 และควบคุมด้วย RAID controller จาก Adaptec ผลลัพธ์คือความจุรวม 1.5PB และความเร็วทะลุ 17GB/s — เทียบเท่ากับ SSD PCIe 5.0 ในระดับองค์กร

    แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือการเพิ่มฮาร์ดดิสก์แต่ละลูกให้ผลลัพธ์แบบ “เกือบเชิงเส้น” คือยิ่งใส่มาก ความเร็วรวมก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยฮาร์ดดิสก์แต่ละลูกให้ความเร็วเฉลี่ย 300MB/s และเมื่อรวมกันถึง 78 ลูก ความเร็วรวมก็ทะลุขีดจำกัดของเครือข่าย 100Gbps ได้อย่างง่ายดาย

    แม้ SSD จะครองตลาดในด้านความเร็ว แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า HDD ยังมีบทบาทสำคัญในงานที่ต้องการความจุสูงและต้นทุนต่ำ เช่น cold storage หรือระบบ backup ขนาดใหญ่ และหากปรับแต่ง firmware กับ hardware เพิ่มเติม Toshiba เชื่อว่าระบบนี้สามารถดันความเร็วได้ถึง 20GB/s

    น่าเสียดายที่การทดลองนี้ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลัก และวิดีโอรีวิวมีผู้ชมเพียงไม่กี่ร้อยคน ทั้งที่เป็นการพิสูจน์ว่า “เทคโนโลยีเก่า” ยังสามารถแข่งขันได้ในโลกที่หมุนเร็วด้วย SSD และ NVMe

    Toshiba ใช้ฮาร์ดดิสก์ 78 ลูกในระบบ JBOD เพื่อทดสอบความเร็ว
    ใช้แชสซี AIC J4078-02-04X / ฮาร์ดดิสก์ MG08 18TB SAS
    เชื่อมต่อผ่าน SAS4 กับเซิร์ฟเวอร์ Supermicro / ควบคุมด้วย Adaptec RAID

    ความเร็วรวมทะลุ 17GB/s เทียบเท่า PCIe 5.0
    ฮาร์ดดิสก์แต่ละลูกให้ความเร็ว ~300MB/s
    ความเร็วเพิ่มขึ้นเกือบเชิงเส้นเมื่อเพิ่มจำนวนดิสก์

    ความจุรวม 1.5PB เหมาะกับงาน cold storage และ backup
    ต้นทุนต่อ GB ต่ำกว่าระบบ SSD
    เหมาะกับ data center ที่ต้องการความจุสูงแต่ไม่เน้น latency

    Toshiba เชื่อว่าระบบนี้สามารถดันถึง 20GB/s ด้วยการปรับแต่ง
    ต้องปรับ firmware และ optimize hardware เพิ่มเติม
    แสดงให้เห็นศักยภาพของ HDD ในงานระดับองค์กร

    การทดลองไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลัก
    วิดีโอรีวิวมีผู้ชมเพียง ~400 คน
    เป็นการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีเก่ายังมีคุณค่าในบริบทใหม่

    https://www.techradar.com/pro/two-years-ago-toshiba-used-78-hard-drives-to-reach-pcie-5-0-speeds-in-massive-1-5pb-jbod-setup-but-barely-anyone-noticed
    📰 Toshiba โชว์พลัง “ฮาร์ดดิสก์” สู้ PCIe 5.0 ด้วย JBOD 78 ลูก — เมื่อความจุและความเร็วไม่จำเป็นต้องใช้ SSD เสมอไป ย้อนกลับไปในปี 2023 Toshiba ได้สร้างการทดลองที่น่าทึ่งแต่กลับถูกมองข้ามในวงกว้าง ด้วยการใช้ฮาร์ดดิสก์ 78 ลูกในระบบ JBOD (Just a Bunch Of Disks) เพื่อแสดงให้เห็นว่า “ฮาร์ดดิสก์ธรรมดา” ก็สามารถให้ความเร็วระดับ PCIe 5.0 ได้ หากจัดการอย่างถูกวิธี ทีมวิศวกรของ Toshiba ในยุโรปใช้แชสซี AIC J4078-02-04X แบบ 4U ใส่ฮาร์ดดิสก์ MG08 ขนาด 18TB แบบ SAS ทั้งหมด 78 ลูก เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ Supermicro ผ่านลิงก์ SAS4 และควบคุมด้วย RAID controller จาก Adaptec ผลลัพธ์คือความจุรวม 1.5PB และความเร็วทะลุ 17GB/s — เทียบเท่ากับ SSD PCIe 5.0 ในระดับองค์กร แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือการเพิ่มฮาร์ดดิสก์แต่ละลูกให้ผลลัพธ์แบบ “เกือบเชิงเส้น” คือยิ่งใส่มาก ความเร็วรวมก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยฮาร์ดดิสก์แต่ละลูกให้ความเร็วเฉลี่ย 300MB/s และเมื่อรวมกันถึง 78 ลูก ความเร็วรวมก็ทะลุขีดจำกัดของเครือข่าย 100Gbps ได้อย่างง่ายดาย แม้ SSD จะครองตลาดในด้านความเร็ว แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า HDD ยังมีบทบาทสำคัญในงานที่ต้องการความจุสูงและต้นทุนต่ำ เช่น cold storage หรือระบบ backup ขนาดใหญ่ และหากปรับแต่ง firmware กับ hardware เพิ่มเติม Toshiba เชื่อว่าระบบนี้สามารถดันความเร็วได้ถึง 20GB/s น่าเสียดายที่การทดลองนี้ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลัก และวิดีโอรีวิวมีผู้ชมเพียงไม่กี่ร้อยคน ทั้งที่เป็นการพิสูจน์ว่า “เทคโนโลยีเก่า” ยังสามารถแข่งขันได้ในโลกที่หมุนเร็วด้วย SSD และ NVMe ✅ Toshiba ใช้ฮาร์ดดิสก์ 78 ลูกในระบบ JBOD เพื่อทดสอบความเร็ว ➡️ ใช้แชสซี AIC J4078-02-04X / ฮาร์ดดิสก์ MG08 18TB SAS ➡️ เชื่อมต่อผ่าน SAS4 กับเซิร์ฟเวอร์ Supermicro / ควบคุมด้วย Adaptec RAID ✅ ความเร็วรวมทะลุ 17GB/s เทียบเท่า PCIe 5.0 ➡️ ฮาร์ดดิสก์แต่ละลูกให้ความเร็ว ~300MB/s ➡️ ความเร็วเพิ่มขึ้นเกือบเชิงเส้นเมื่อเพิ่มจำนวนดิสก์ ✅ ความจุรวม 1.5PB เหมาะกับงาน cold storage และ backup ➡️ ต้นทุนต่อ GB ต่ำกว่าระบบ SSD ➡️ เหมาะกับ data center ที่ต้องการความจุสูงแต่ไม่เน้น latency ✅ Toshiba เชื่อว่าระบบนี้สามารถดันถึง 20GB/s ด้วยการปรับแต่ง ➡️ ต้องปรับ firmware และ optimize hardware เพิ่มเติม ➡️ แสดงให้เห็นศักยภาพของ HDD ในงานระดับองค์กร ✅ การทดลองไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลัก ➡️ วิดีโอรีวิวมีผู้ชมเพียง ~400 คน ➡️ เป็นการพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีเก่ายังมีคุณค่าในบริบทใหม่ https://www.techradar.com/pro/two-years-ago-toshiba-used-78-hard-drives-to-reach-pcie-5-0-speeds-in-massive-1-5pb-jbod-setup-but-barely-anyone-noticed
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • HIROH Phone โดย Murena — สมาร์ตโฟนเรือธงที่กล้าตัดขาดจาก Google พร้อมสวิตช์ฆ่าเพื่อความเป็นส่วนตัว

    ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าราคาแพง Murena และ HIROH ได้ร่วมมือกันเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกทุกกฎของตลาด ด้วย HIROH Phone ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google และฟีเจอร์เด่นคือ “Kill Switch” ทั้งแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อปิดกล้อง ไมโครโฟน และการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดในคลิกเดียว

    ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าราคาแพง Murena และ HIROH ได้ร่วมมือกันเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกทุกกฎของตลาด ด้วย HIROH Phone ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google และฟีเจอร์เด่นคือ “Kill Switch” ทั้งแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อปิดกล้อง ไมโครโฟน และการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดในคลิกเดียว

    HIROH Phone ใช้ชิป MediaTek Dimensity 8300 พร้อม RAM 16 GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 512 GB ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับเรือธง รองรับการใช้งานหนักทั้งมัลติทาสก์ เกม และสื่อมัลติมีเดีย หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K พร้อม Gorilla Glass Victus ให้ความคมชัดและทนทาน

    กล้องหลัก 108 MP พร้อมกล้องเสริม 13 MP และมาโคร รวมถึงกล้องหน้า 32 MP ตอบโจทย์สายถ่ายภาพ ส่วนแบตเตอรี่ 5,000 mAh รองรับชาร์จไว 33W และมีการเชื่อมต่อครบครันทั้ง Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3, NFC และ USB-C

    ระบบ /e/OS ที่ติดตั้งมาเป็นเวอร์ชันล่าสุดบนพื้นฐาน Android 16 ไม่มีบริการ Google ใด ๆ แต่ยังสามารถติดตั้งแอปยอดนิยมได้ผ่าน App Lounge ที่ไม่ต้องล็อกอิน Google และไม่มีตัวติดตามซ่อนอยู่

    HIROH ยังมีรุ่น Platinum Edition สำหรับผู้สั่งจอง 500 คนแรก โดยเปิดให้จองล่วงหน้าด้วยเงินมัดจำ €99 และรับส่วนลด €200 จากราคาปกติ €1,199 เหลือเพียง €999 โดยจะเริ่มจัดส่งในช่วงต้นปี 2026

    HIROH Phone โดย Murena เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวขั้นสูง
    มี Kill Switch แบบฮาร์ดแวร์สำหรับตัดวงจรกล้องและไมโครโฟน
    มี Kill Switch แบบซอฟต์แวร์สำหรับปิดการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมด

    สเปกระดับเรือธง
    ชิป MediaTek Dimensity 8300 / RAM 16 GB / ROM 512 GB
    หน้าจอ AMOLED 6.67″ ความละเอียด 1.5K พร้อม Gorilla Glass Victus

    กล้องและแบตเตอรี่จัดเต็ม
    กล้องหลัง 108 MP + 13 MP + มาโคร / กล้องหน้า 32 MP
    แบตเตอรี่ 5,000 mAh / ชาร์จไว 33W

    ระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google
    ไม่มีบริการ Google หรือตัวติดตาม
    รองรับการติดตั้งแอปผ่าน App Lounge โดยไม่ต้องล็อกอิน

    รองรับการเชื่อมต่อครบครัน
    Wi-Fi 6E / Bluetooth 5.3 / NFC / USB-C / Dual SIM
    รองรับ 2G–5G / มี microSD สูงสุด 2TB

    เปิดให้จองล่วงหน้าแล้ว
    มัดจำ €99 / ราคาสุทธิ €999 จากราคาปกติ €1,199
    รุ่น Platinum Edition สำหรับ 500 คนแรก พร้อมจัดส่งต้นปี 2026

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดและความไม่ชัดเจน
    ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับแบรนด์ HIROH และผู้ผลิตจริง
    การใช้ /e/OS อาจไม่รองรับบางแอปที่พึ่งพา Google Services
    Kill Switch แบบฮาร์ดแวร์อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    การรับประกันและบริการหลังการขายยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด

    https://news.itsfoss.com/murena-powered-hiroh-phone/
    📰 HIROH Phone โดย Murena — สมาร์ตโฟนเรือธงที่กล้าตัดขาดจาก Google พร้อมสวิตช์ฆ่าเพื่อความเป็นส่วนตัว ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าราคาแพง Murena และ HIROH ได้ร่วมมือกันเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกทุกกฎของตลาด ด้วย HIROH Phone ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google และฟีเจอร์เด่นคือ “Kill Switch” ทั้งแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อปิดกล้อง ไมโครโฟน และการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดในคลิกเดียว ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าราคาแพง Murena และ HIROH ได้ร่วมมือกันเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกทุกกฎของตลาด ด้วย HIROH Phone ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google และฟีเจอร์เด่นคือ “Kill Switch” ทั้งแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อปิดกล้อง ไมโครโฟน และการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดในคลิกเดียว HIROH Phone ใช้ชิป MediaTek Dimensity 8300 พร้อม RAM 16 GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 512 GB ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับเรือธง รองรับการใช้งานหนักทั้งมัลติทาสก์ เกม และสื่อมัลติมีเดีย หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K พร้อม Gorilla Glass Victus ให้ความคมชัดและทนทาน กล้องหลัก 108 MP พร้อมกล้องเสริม 13 MP และมาโคร รวมถึงกล้องหน้า 32 MP ตอบโจทย์สายถ่ายภาพ ส่วนแบตเตอรี่ 5,000 mAh รองรับชาร์จไว 33W และมีการเชื่อมต่อครบครันทั้ง Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3, NFC และ USB-C ระบบ /e/OS ที่ติดตั้งมาเป็นเวอร์ชันล่าสุดบนพื้นฐาน Android 16 ไม่มีบริการ Google ใด ๆ แต่ยังสามารถติดตั้งแอปยอดนิยมได้ผ่าน App Lounge ที่ไม่ต้องล็อกอิน Google และไม่มีตัวติดตามซ่อนอยู่ HIROH ยังมีรุ่น Platinum Edition สำหรับผู้สั่งจอง 500 คนแรก โดยเปิดให้จองล่วงหน้าด้วยเงินมัดจำ €99 และรับส่วนลด €200 จากราคาปกติ €1,199 เหลือเพียง €999 โดยจะเริ่มจัดส่งในช่วงต้นปี 2026 ✅ HIROH Phone โดย Murena เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ➡️ มี Kill Switch แบบฮาร์ดแวร์สำหรับตัดวงจรกล้องและไมโครโฟน ➡️ มี Kill Switch แบบซอฟต์แวร์สำหรับปิดการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมด ✅ สเปกระดับเรือธง ➡️ ชิป MediaTek Dimensity 8300 / RAM 16 GB / ROM 512 GB ➡️ หน้าจอ AMOLED 6.67″ ความละเอียด 1.5K พร้อม Gorilla Glass Victus ✅ กล้องและแบตเตอรี่จัดเต็ม ➡️ กล้องหลัง 108 MP + 13 MP + มาโคร / กล้องหน้า 32 MP ➡️ แบตเตอรี่ 5,000 mAh / ชาร์จไว 33W ✅ ระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google ➡️ ไม่มีบริการ Google หรือตัวติดตาม ➡️ รองรับการติดตั้งแอปผ่าน App Lounge โดยไม่ต้องล็อกอิน ✅ รองรับการเชื่อมต่อครบครัน ➡️ Wi-Fi 6E / Bluetooth 5.3 / NFC / USB-C / Dual SIM ➡️ รองรับ 2G–5G / มี microSD สูงสุด 2TB ✅ เปิดให้จองล่วงหน้าแล้ว ➡️ มัดจำ €99 / ราคาสุทธิ €999 จากราคาปกติ €1,199 ➡️ รุ่น Platinum Edition สำหรับ 500 คนแรก พร้อมจัดส่งต้นปี 2026 ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดและความไม่ชัดเจน ⛔ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับแบรนด์ HIROH และผู้ผลิตจริง ⛔ การใช้ /e/OS อาจไม่รองรับบางแอปที่พึ่งพา Google Services ⛔ Kill Switch แบบฮาร์ดแวร์อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ การรับประกันและบริการหลังการขายยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด https://news.itsfoss.com/murena-powered-hiroh-phone/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    A Flagship Smartphone With Kill Switches? Meet the Murena-Powered HIROH Phone
    A premium smartphone running de-Googled /e/OS, complete with hardware kill switches.
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • ศาลทหารมีไว้ทำไม?, ,ถ้าศาลทหารทำหน้าที่จริงจัง,จะไม่มีอดีตนายพลทหารหรือนายพลทหารกล้าทำความชั่วเลว จนชาติบ้านเมืองต้องประสบเหตุเช่นในตอนปัจจุบันนี้.
    https://youtube.com/shorts/3FrK6dtSddc?si=AD2SZcg741i_tbR6
    ศาลทหารมีไว้ทำไม?, ,ถ้าศาลทหารทำหน้าที่จริงจัง,จะไม่มีอดีตนายพลทหารหรือนายพลทหารกล้าทำความชั่วเลว จนชาติบ้านเมืองต้องประสบเหตุเช่นในตอนปัจจุบันนี้. https://youtube.com/shorts/3FrK6dtSddc?si=AD2SZcg741i_tbR6
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • “Feiniu NAS รุ่นใหม่จุเกิน 180TB พร้อม UPS และช่อง SD — แต่ราคายังเป็นปริศนา”

    Feiniu ผู้ผลิต NAS จากจีนเปิดตัวรุ่นใหม่ที่สร้างความสนใจในวงการเก็บข้อมูล ด้วยคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา ทั้งความจุเกิน 180TB, ระบบสำรองไฟ (UPS) ในตัว และช่องเสียบ SD card สำหรับการเชื่อมต่อแบบพกพา โดยรุ่น 6-bay จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 และรุ่น 4-bay จะตามมาในช่วงปลายปีนี้

    จุดเด่นที่สุดคือการรวม UPS เข้ากับตัว NAS ซึ่งช่วยป้องกันข้อมูลเสียหายจากไฟดับแบบฉับพลัน โดยระบบจะยังคงทำงานช่วงสั้น ๆ หลังไฟตก เพื่อให้ฮาร์ดดิสก์สามารถปิดตัวอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ NAS ระดับ enterprise ยังไม่ค่อยมีให้เห็น

    ดีไซน์ของรุ่น 6-bay มาในรูปทรงแนวนอน สีเทาด้านข้าง ดำด้านหน้า พร้อมโลโก้ “fn” และปุ่มพลังงานสีแดง ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อมีทั้ง USB-C, USB-A และ SD card slot ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนข้อมูลจากกล้องหรืออุปกรณ์พกพาได้สะดวกขึ้น

    Feiniu ยังระบุว่ารุ่นนี้จะมีทั้งเวอร์ชันมาตรฐานและ Pro โดยใช้คำว่า “highly playable” และ “มีเซอร์ไพรส์” แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสเปกภายใน เช่น CPU, RAM, ระบบไฟล์ หรือประสิทธิภาพพลังงาน

    แม้จะมีฟีเจอร์น่าสนใจ แต่ราคายังไม่เปิดเผย ทำให้ผู้บริโภคยังไม่สามารถประเมินความคุ้มค่าได้ และต้องรอดูว่า Feiniu จะวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์นี้ในตลาดระดับไหน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Feiniu เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ที่รองรับความจุเกิน 180TB
    มีระบบ UPS ในตัวเพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายจากไฟดับ
    รุ่น 6-bay จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 และรุ่น 4-bay จะตามมาในปลายปี
    มีพอร์ต USB-C, USB-A และ SD card slot สำหรับการเชื่อมต่อภายนอก

    จุดเด่นด้านการออกแบบและการใช้งาน
    ดีไซน์แนวนอน สีเทา-ดำ พร้อมปุ่มพลังงานสีแดง
    UPS ช่วยให้ระบบยังทำงานช่วงสั้น ๆ หลังไฟดับ เพื่อปิดฮาร์ดดิสก์อย่างปลอดภัย
    SD card slot เพิ่มความสะดวกในการโอนข้อมูลจากอุปกรณ์พกพา
    มีเวอร์ชันมาตรฐานและ Pro พร้อมคำโปรยว่า “highly playable” และ “มีเซอร์ไพรส์”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NAS ระดับ enterprise บางรุ่นมีความจุเกิน 1PB แต่ยังไม่มี UPS ในตัว
    ระบบ UPS ใน NAS ยังเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ไม่แพร่หลาย
    fnOS ของ Feiniu เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY NAS
    การรวม UPS กับ NAS อาจช่วยลดความจำเป็นในการใช้ UPS แยกต่างหาก

    https://www.techradar.com/pro/this-nas-has-an-integrated-ups-and-can-accommodate-more-than-180tb-of-storage-as-well-as-a-memory-card-but-i-wonder-how-much-it-will-cost
    🗄️ “Feiniu NAS รุ่นใหม่จุเกิน 180TB พร้อม UPS และช่อง SD — แต่ราคายังเป็นปริศนา” Feiniu ผู้ผลิต NAS จากจีนเปิดตัวรุ่นใหม่ที่สร้างความสนใจในวงการเก็บข้อมูล ด้วยคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา ทั้งความจุเกิน 180TB, ระบบสำรองไฟ (UPS) ในตัว และช่องเสียบ SD card สำหรับการเชื่อมต่อแบบพกพา โดยรุ่น 6-bay จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 และรุ่น 4-bay จะตามมาในช่วงปลายปีนี้ จุดเด่นที่สุดคือการรวม UPS เข้ากับตัว NAS ซึ่งช่วยป้องกันข้อมูลเสียหายจากไฟดับแบบฉับพลัน โดยระบบจะยังคงทำงานช่วงสั้น ๆ หลังไฟตก เพื่อให้ฮาร์ดดิสก์สามารถปิดตัวอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ NAS ระดับ enterprise ยังไม่ค่อยมีให้เห็น ดีไซน์ของรุ่น 6-bay มาในรูปทรงแนวนอน สีเทาด้านข้าง ดำด้านหน้า พร้อมโลโก้ “fn” และปุ่มพลังงานสีแดง ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อมีทั้ง USB-C, USB-A และ SD card slot ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนข้อมูลจากกล้องหรืออุปกรณ์พกพาได้สะดวกขึ้น Feiniu ยังระบุว่ารุ่นนี้จะมีทั้งเวอร์ชันมาตรฐานและ Pro โดยใช้คำว่า “highly playable” และ “มีเซอร์ไพรส์” แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสเปกภายใน เช่น CPU, RAM, ระบบไฟล์ หรือประสิทธิภาพพลังงาน แม้จะมีฟีเจอร์น่าสนใจ แต่ราคายังไม่เปิดเผย ทำให้ผู้บริโภคยังไม่สามารถประเมินความคุ้มค่าได้ และต้องรอดูว่า Feiniu จะวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์นี้ในตลาดระดับไหน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Feiniu เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ที่รองรับความจุเกิน 180TB ➡️ มีระบบ UPS ในตัวเพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายจากไฟดับ ➡️ รุ่น 6-bay จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 และรุ่น 4-bay จะตามมาในปลายปี ➡️ มีพอร์ต USB-C, USB-A และ SD card slot สำหรับการเชื่อมต่อภายนอก ✅ จุดเด่นด้านการออกแบบและการใช้งาน ➡️ ดีไซน์แนวนอน สีเทา-ดำ พร้อมปุ่มพลังงานสีแดง ➡️ UPS ช่วยให้ระบบยังทำงานช่วงสั้น ๆ หลังไฟดับ เพื่อปิดฮาร์ดดิสก์อย่างปลอดภัย ➡️ SD card slot เพิ่มความสะดวกในการโอนข้อมูลจากอุปกรณ์พกพา ➡️ มีเวอร์ชันมาตรฐานและ Pro พร้อมคำโปรยว่า “highly playable” และ “มีเซอร์ไพรส์” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NAS ระดับ enterprise บางรุ่นมีความจุเกิน 1PB แต่ยังไม่มี UPS ในตัว ➡️ ระบบ UPS ใน NAS ยังเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ไม่แพร่หลาย ➡️ fnOS ของ Feiniu เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY NAS ➡️ การรวม UPS กับ NAS อาจช่วยลดความจำเป็นในการใช้ UPS แยกต่างหาก https://www.techradar.com/pro/this-nas-has-an-integrated-ups-and-can-accommodate-more-than-180tb-of-storage-as-well-as-a-memory-card-but-i-wonder-how-much-it-will-cost
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • “Apollo A6000 คืนชีพ Amiga ยุคใหม่ — FPGA 68080 แรงกว่าเดิม 400 เท่า พร้อมรันเกมคลาสสิกและระบบใหม่ในเครื่องเดียว”

    หลังจากที่ Commodore ล้มละลายไปเมื่อ 31 ปีก่อน และทิ้งให้แฟน Amiga ต้องพึ่งพาเครื่องเก่าและอีมูเลเตอร์มานาน ในที่สุด Apollo Computing จากเยอรมนีก็ได้เปิดตัว “Apollo A6000” — เครื่อง Amiga ยุคใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็น “Next-gen Amiga ที่แท้จริง” โดยใช้เทคโนโลยี FPGA เพื่อจำลองสถาปัตยกรรม Motorola 68000 อย่างสมบูรณ์ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดด

    หัวใจของเครื่องคือชิป V4 AC68080 ที่ใช้เวลาในการพัฒนานานกว่า 10 ปี โดยผ่านการ reverse-engineer ทั้งชุดคำสั่งและโครงสร้างของ Amiga ดั้งเดิม พร้อมเสริมด้วยชุดคำสั่ง AMMX ที่ช่วยให้การประมวลผลกราฟิกและเสียงเร็วขึ้นอย่างมาก ตัวเครื่องมี RAM ถึง 2GB (Fast RAM) และ 12MB (Chip RAM) ซึ่งมากกว่ารุ่น A600 เดิมถึง 404 เท่า

    Apollo A6000 ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ ApolloOS ที่สามารถรันซอฟต์แวร์ Amiga OS 3.x ได้เต็มรูปแบบ รวมถึงเกม Atari และ MacOS รุ่นเก่าได้อีกด้วย ตัวเครื่องมีพอร์ตเชื่อมต่อทันสมัย เช่น HDMI, USB, Ethernet, SD card, CF card และยังรองรับอุปกรณ์คลาสสิกอย่างเมาส์และจอยสติ๊กแบบ Amiga

    ดีไซน์ภายนอกยังคงความคลาสสิกของ Amiga A600 ด้วยเคส 3D พิมพ์แบบ FDM และคีย์บอร์ดกลไกที่ใช้สวิตช์ Cherry MX พร้อมฝาครอบ ABS เพื่อความทนทานและสัมผัสแบบเรโทร

    แม้ราคาจะสูงถึง €960 หรือประมาณ $1,128 แต่เครื่องล็อตแรกจำนวน 40 เครื่องก็ขายหมดภายในไม่กี่ชั่วโมง และ Apollo เตรียมเปิดรับออร์เดอร์ใหม่ในเดือนตุลาคมนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apollo A6000 เป็นเครื่อง Amiga ยุคใหม่ที่ใช้ FPGA จำลองสถาปัตยกรรม 68000
    ใช้ชิป V4 AC68080 พร้อมชุดคำสั่ง AMMX ที่พัฒนาโดย Apollo เอง
    RAM รวม 2GB Fast RAM และ 12MB Chip RAM มากกว่ารุ่น A600 เดิมถึง 404 เท่า
    รัน ApolloOS ที่รองรับ Amiga OS 3.x, Atari และ MacOS รุ่นเก่า

    ฮาร์ดแวร์และการออกแบบ
    มีพอร์ต HDMI, USB, Ethernet, SD card, CF card และพอร์ตคลาสสิกของ Amiga
    เคสพิมพ์ 3D แบบ FDM พร้อมคีย์บอร์ดกลไก Cherry MX และฝาครอบ ABS
    รองรับการใช้งานทันทีแบบ plug-and-play พร้อมเกมและเดโมในตัว
    ขายล็อตแรก 40 เครื่องในราคา €960 และเตรียมเปิดรับออร์เดอร์ใหม่เร็ว ๆ นี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FPGA ช่วยให้สามารถจำลองฮาร์ดแวร์เก่าได้อย่างแม่นยำและปรับแต่งได้
    AMMX เป็นชุดคำสั่งที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านมัลติมีเดียให้กับ 68080
    Apollo เคยผลิตบอร์ด Vampire สำหรับ Amiga รุ่นเก่ามาก่อน
    ความนิยมของ Amiga ยังคงอยู่ในกลุ่มนักพัฒนาและนักสะสมทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/proper-next-gen-amiga-launched-by-apollo-computing-promises-full-fpga-powered-backwards-compatibility-with-its-new-68080-chip
    🕹️ “Apollo A6000 คืนชีพ Amiga ยุคใหม่ — FPGA 68080 แรงกว่าเดิม 400 เท่า พร้อมรันเกมคลาสสิกและระบบใหม่ในเครื่องเดียว” หลังจากที่ Commodore ล้มละลายไปเมื่อ 31 ปีก่อน และทิ้งให้แฟน Amiga ต้องพึ่งพาเครื่องเก่าและอีมูเลเตอร์มานาน ในที่สุด Apollo Computing จากเยอรมนีก็ได้เปิดตัว “Apollo A6000” — เครื่อง Amiga ยุคใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็น “Next-gen Amiga ที่แท้จริง” โดยใช้เทคโนโลยี FPGA เพื่อจำลองสถาปัตยกรรม Motorola 68000 อย่างสมบูรณ์ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดด หัวใจของเครื่องคือชิป V4 AC68080 ที่ใช้เวลาในการพัฒนานานกว่า 10 ปี โดยผ่านการ reverse-engineer ทั้งชุดคำสั่งและโครงสร้างของ Amiga ดั้งเดิม พร้อมเสริมด้วยชุดคำสั่ง AMMX ที่ช่วยให้การประมวลผลกราฟิกและเสียงเร็วขึ้นอย่างมาก ตัวเครื่องมี RAM ถึง 2GB (Fast RAM) และ 12MB (Chip RAM) ซึ่งมากกว่ารุ่น A600 เดิมถึง 404 เท่า Apollo A6000 ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ ApolloOS ที่สามารถรันซอฟต์แวร์ Amiga OS 3.x ได้เต็มรูปแบบ รวมถึงเกม Atari และ MacOS รุ่นเก่าได้อีกด้วย ตัวเครื่องมีพอร์ตเชื่อมต่อทันสมัย เช่น HDMI, USB, Ethernet, SD card, CF card และยังรองรับอุปกรณ์คลาสสิกอย่างเมาส์และจอยสติ๊กแบบ Amiga ดีไซน์ภายนอกยังคงความคลาสสิกของ Amiga A600 ด้วยเคส 3D พิมพ์แบบ FDM และคีย์บอร์ดกลไกที่ใช้สวิตช์ Cherry MX พร้อมฝาครอบ ABS เพื่อความทนทานและสัมผัสแบบเรโทร แม้ราคาจะสูงถึง €960 หรือประมาณ $1,128 แต่เครื่องล็อตแรกจำนวน 40 เครื่องก็ขายหมดภายในไม่กี่ชั่วโมง และ Apollo เตรียมเปิดรับออร์เดอร์ใหม่ในเดือนตุลาคมนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apollo A6000 เป็นเครื่อง Amiga ยุคใหม่ที่ใช้ FPGA จำลองสถาปัตยกรรม 68000 ➡️ ใช้ชิป V4 AC68080 พร้อมชุดคำสั่ง AMMX ที่พัฒนาโดย Apollo เอง ➡️ RAM รวม 2GB Fast RAM และ 12MB Chip RAM มากกว่ารุ่น A600 เดิมถึง 404 เท่า ➡️ รัน ApolloOS ที่รองรับ Amiga OS 3.x, Atari และ MacOS รุ่นเก่า ✅ ฮาร์ดแวร์และการออกแบบ ➡️ มีพอร์ต HDMI, USB, Ethernet, SD card, CF card และพอร์ตคลาสสิกของ Amiga ➡️ เคสพิมพ์ 3D แบบ FDM พร้อมคีย์บอร์ดกลไก Cherry MX และฝาครอบ ABS ➡️ รองรับการใช้งานทันทีแบบ plug-and-play พร้อมเกมและเดโมในตัว ➡️ ขายล็อตแรก 40 เครื่องในราคา €960 และเตรียมเปิดรับออร์เดอร์ใหม่เร็ว ๆ นี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FPGA ช่วยให้สามารถจำลองฮาร์ดแวร์เก่าได้อย่างแม่นยำและปรับแต่งได้ ➡️ AMMX เป็นชุดคำสั่งที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านมัลติมีเดียให้กับ 68080 ➡️ Apollo เคยผลิตบอร์ด Vampire สำหรับ Amiga รุ่นเก่ามาก่อน ➡️ ความนิยมของ Amiga ยังคงอยู่ในกลุ่มนักพัฒนาและนักสะสมทั่วโลก https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/proper-next-gen-amiga-launched-by-apollo-computing-promises-full-fpga-powered-backwards-compatibility-with-its-new-68080-chip
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    ‘Proper next-gen Amiga’ launched by Apollo Computing — promises full FPGA-powered backwards compatibility with its new 68080 chip
    Thirty-one years after Commodore went bankrupt, ceasing development of next-generation Amiga computers, a German Amiga accelerator company steps up.
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • “ช่างซ่อมคอมฯ เจอเคส ‘สัตว์ประหลาด’ — การจัดสายไฟสุดโหดที่อาจบาดมือและทำลายระบบในพริบตา”

    เรื่องราวสุดสะเทือนวงการ PC Building เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit และเจ้าของร้านซ่อมคอมฯ elishalewisusaf ได้รับเครื่องเกมมิ่งพีซีจากลูกค้ารายหนึ่งที่มีการดัดแปลงภายในอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะบริเวณ PSU shroud ที่ถูกเจาะทะลุเหล็กแบบไม่ปราณี จนดูเหมือนถูก “เอเลี่ยน” ฉีกออกเพื่อปกป้องรังของมัน

    แม้ PSU shroud จะมีช่องสำหรับเดินสายอยู่แล้ว แต่เจ้าของเครื่องกลับเลือกใช้วิธี “ผ่าตรง” ด้วยเครื่องมือไม่ระบุชนิด ทำให้เกิดรอยแผลเหล็กบิดเบี้ยวที่อาจบาดมือได้ง่าย และอาจทำให้สายไฟภายในเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรจากเศษโลหะและฝุ่นที่สะสม

    ในภาพยังเห็นว่าพีซีเครื่องนี้เคยเป็นของแบรนด์ Digital Storm ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการประกอบเครื่องด้วยความประณีต และมีบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ แต่เจ้าของกลับเลือกใช้วิธี DIY ที่เสี่ยงแทนการติดต่อบริษัท

    การ์ดจอที่ติดตั้งอยู่คาดว่าเป็น Asus Dual RTX 3060 หรือ 4060 ซึ่งหมายความว่าเครื่องนี้น่าจะประกอบมาไม่เกิน 4 ปี แต่กลับมีฝุ่นสะสมหนาแน่น และใช้ SSD SATA ขนาด 256GB ที่ติดตั้งไว้บน PSU shroud ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเกมในยุค 2025

    แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยว่าเครื่องมีปัญหาอะไร แต่ช่างซ่อมและผู้เชี่ยวชาญใน Reddit ต่างคาดว่าอาจมีสายไฟที่ถูกบาดหรือเกิดการลัดวงจรจากการดัดแปลงที่ไม่เหมาะสม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่างซ่อมพบพีซีที่มีการเจาะ PSU shroud อย่างรุนแรงจนเหล็กบิดเบี้ยว
    การดัดแปลงนี้อาจเกิดจากความพยายามเดินสาย 8-pin ที่สั้นเกินไป
    เครื่องเป็นของแบรนด์ Digital Storm ที่มีชื่อเสียงด้านการประกอบคุณภาพสูง
    ใช้ SSD SATA 256GB ซึ่งไม่เหมาะกับเกมมิ่งในยุคปัจจุบัน

    ความเห็นจากช่างและชุมชน
    ช่างซ่อมเรียกเครื่องนี้ว่า “monstrosity” และ “บาดมือได้”
    ผู้ใช้ Reddit ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็น user error ที่ไม่ควรเกิดขึ้น
    บางคนเสนอว่าเจ้าของควรใช้สายต่อหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือ
    การจัดสายไฟที่ดีช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การจัดสายไฟที่ไม่ดีอาจทำให้พัดลมติดสายและเกิดความร้อนสะสม
    การเจาะเคสโดยไม่ระวังอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเกิดเสียงรบกวน
    SSD SATA มีความเร็วต่ำกว่า NVMe และไม่เหมาะกับเกมขนาดใหญ่ในปี 2025
    Digital Storm มีบริการ Lifetime Support ซึ่งควรใช้ก่อนลงมือ DIY

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/repairer-brands-customers-gaming-pc-a-monstrosity-skin-lacerating-cable-management-technique-provokes-horror
    🧨 “ช่างซ่อมคอมฯ เจอเคส ‘สัตว์ประหลาด’ — การจัดสายไฟสุดโหดที่อาจบาดมือและทำลายระบบในพริบตา” เรื่องราวสุดสะเทือนวงการ PC Building เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit และเจ้าของร้านซ่อมคอมฯ elishalewisusaf ได้รับเครื่องเกมมิ่งพีซีจากลูกค้ารายหนึ่งที่มีการดัดแปลงภายในอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะบริเวณ PSU shroud ที่ถูกเจาะทะลุเหล็กแบบไม่ปราณี จนดูเหมือนถูก “เอเลี่ยน” ฉีกออกเพื่อปกป้องรังของมัน แม้ PSU shroud จะมีช่องสำหรับเดินสายอยู่แล้ว แต่เจ้าของเครื่องกลับเลือกใช้วิธี “ผ่าตรง” ด้วยเครื่องมือไม่ระบุชนิด ทำให้เกิดรอยแผลเหล็กบิดเบี้ยวที่อาจบาดมือได้ง่าย และอาจทำให้สายไฟภายในเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรจากเศษโลหะและฝุ่นที่สะสม ในภาพยังเห็นว่าพีซีเครื่องนี้เคยเป็นของแบรนด์ Digital Storm ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการประกอบเครื่องด้วยความประณีต และมีบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ แต่เจ้าของกลับเลือกใช้วิธี DIY ที่เสี่ยงแทนการติดต่อบริษัท การ์ดจอที่ติดตั้งอยู่คาดว่าเป็น Asus Dual RTX 3060 หรือ 4060 ซึ่งหมายความว่าเครื่องนี้น่าจะประกอบมาไม่เกิน 4 ปี แต่กลับมีฝุ่นสะสมหนาแน่น และใช้ SSD SATA ขนาด 256GB ที่ติดตั้งไว้บน PSU shroud ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเกมในยุค 2025 แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยว่าเครื่องมีปัญหาอะไร แต่ช่างซ่อมและผู้เชี่ยวชาญใน Reddit ต่างคาดว่าอาจมีสายไฟที่ถูกบาดหรือเกิดการลัดวงจรจากการดัดแปลงที่ไม่เหมาะสม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่างซ่อมพบพีซีที่มีการเจาะ PSU shroud อย่างรุนแรงจนเหล็กบิดเบี้ยว ➡️ การดัดแปลงนี้อาจเกิดจากความพยายามเดินสาย 8-pin ที่สั้นเกินไป ➡️ เครื่องเป็นของแบรนด์ Digital Storm ที่มีชื่อเสียงด้านการประกอบคุณภาพสูง ➡️ ใช้ SSD SATA 256GB ซึ่งไม่เหมาะกับเกมมิ่งในยุคปัจจุบัน ✅ ความเห็นจากช่างและชุมชน ➡️ ช่างซ่อมเรียกเครื่องนี้ว่า “monstrosity” และ “บาดมือได้” ➡️ ผู้ใช้ Reddit ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็น user error ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ➡️ บางคนเสนอว่าเจ้าของควรใช้สายต่อหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือ ➡️ การจัดสายไฟที่ดีช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การจัดสายไฟที่ไม่ดีอาจทำให้พัดลมติดสายและเกิดความร้อนสะสม ➡️ การเจาะเคสโดยไม่ระวังอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเกิดเสียงรบกวน ➡️ SSD SATA มีความเร็วต่ำกว่า NVMe และไม่เหมาะกับเกมขนาดใหญ่ในปี 2025 ➡️ Digital Storm มีบริการ Lifetime Support ซึ่งควรใช้ก่อนลงมือ DIY https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/repairer-brands-customers-gaming-pc-a-monstrosity-skin-lacerating-cable-management-technique-provokes-horror
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • “Athlon 3000G กลับมาอีกครั้งในปี 2025 — ซีพียู Zen รุ่นเล็กที่ยังไม่ยอมเกษียณ พร้อมแพ็กเกจใหม่และพัดลมอัปเกรด”

    แม้จะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2019 แต่ AMD ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ Athlon 3000G หายไปจากตลาด ล่าสุดในปี 2025 มีการรีลอนช์ซีพียูรุ่นนี้อีกครั้งในญี่ปุ่น ด้วยแพ็กเกจใหม่และพัดลม Wraith รุ่นปรับปรุง โดยใช้หมายเลขชิ้นส่วน YD3000C6FHSBX ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นเวอร์ชันที่ใช้ “Dali die” — สถาปัตยกรรมที่แยกออกมาจาก Raven Ridge และผลิตด้วยกระบวนการ 14nm เช่นเดิม

    Athlon 3000G เป็นซีพียูแบบ dual-core ที่ปลดล็อกการโอเวอร์คล็อก มี 4 threads, L3 cache ขนาด 4MB, TDP 35W และความเร็วพื้นฐาน 3.5GHz พร้อมกราฟิกในตัว Vega 3 ที่มี 192 คอร์ และความเร็ว 1.1GHz แม้จะเป็นรุ่นเล็ก แต่ก็ยังสามารถใช้งานทั่วไปได้ดี โดยเฉพาะในงานสำนักงานหรือเครื่อง HTPC

    สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะเป็นซีพียู AM4 แต่ Athlon 3000G ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเมนบอร์ดชิปเซ็ต B550 และ A520 ได้ในหลายกรณี เนื่องจากพื้นที่เฟิร์มแวร์ของเมนบอร์ดรุ่นใหม่ไม่รองรับซีพียูเก่าอย่างเต็มรูปแบบ และบางรุ่นไม่มี microcode สำหรับรุ่นนี้เลย

    AMD ไม่ใช่รายเดียวที่ใช้กลยุทธ์รีลอนช์ซีพียูเก่า — Intel ก็เพิ่งเปิดตัว Core i5-110 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Comet Lake 14nm เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดยังมีความต้องการซีพียูราคาประหยัดสำหรับงานพื้นฐานอยู่เสมอ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD รีลอนช์ Athlon 3000G ในปี 2025 พร้อมแพ็กเกจใหม่และพัดลม Wraith รุ่นปรับปรุง
    ใช้ Dali die ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแยกจาก Raven Ridge แต่ยังอยู่บนกระบวนการผลิต 14nm
    สเปกหลัก: 2 คอร์ 4 เธรด, L3 cache 4MB, TDP 35W, ความเร็ว 3.5GHz
    มาพร้อม iGPU Vega 3: 192 คอร์, ความเร็ว 1.1GHz

    ความเคลื่อนไหวในตลาด
    วางจำหน่ายในญี่ปุ่นที่ราคา ¥5,790 หรือประมาณ $40
    AMD เคยเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ในปี 2023 โดยใช้ die Dali เช่นกัน
    Intel ก็ใช้กลยุทธ์คล้ายกันกับ Core i5-110 ที่ใช้สถาปัตยกรรมเก่า
    Ryzen 5 5500X3D และ 5600F ก็เป็นตัวอย่างของซีพียูที่ล็อกเฉพาะภูมิภาค

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Athlon 3000G มีหลายเวอร์ชัน เช่น Raven Ridge และ Picasso ซึ่งอาจมีผลต่อการรองรับ Windows 11
    บางเวอร์ชันมี CPUID ต่างกัน ทำให้การตรวจสอบผ่าน CPU-Z อาจแสดงผลไม่ตรงกัน2
    Dali die มีเพียง 2 คอร์จริง ต่างจาก Raven Ridge ที่มี 4 คอร์แต่ปิดไป 2 คอร์
    Vega 3 iGPU ยังสามารถใช้งานทั่วไปได้ดี แม้จะไม่เหมาะกับเกมหนัก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-relaunches-usd40-athlon-3000g-cpu-with-new-packaging-and-cooler-zen-refuses-to-retire-even-in-2025
    🧊 “Athlon 3000G กลับมาอีกครั้งในปี 2025 — ซีพียู Zen รุ่นเล็กที่ยังไม่ยอมเกษียณ พร้อมแพ็กเกจใหม่และพัดลมอัปเกรด” แม้จะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2019 แต่ AMD ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ Athlon 3000G หายไปจากตลาด ล่าสุดในปี 2025 มีการรีลอนช์ซีพียูรุ่นนี้อีกครั้งในญี่ปุ่น ด้วยแพ็กเกจใหม่และพัดลม Wraith รุ่นปรับปรุง โดยใช้หมายเลขชิ้นส่วน YD3000C6FHSBX ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นเวอร์ชันที่ใช้ “Dali die” — สถาปัตยกรรมที่แยกออกมาจาก Raven Ridge และผลิตด้วยกระบวนการ 14nm เช่นเดิม Athlon 3000G เป็นซีพียูแบบ dual-core ที่ปลดล็อกการโอเวอร์คล็อก มี 4 threads, L3 cache ขนาด 4MB, TDP 35W และความเร็วพื้นฐาน 3.5GHz พร้อมกราฟิกในตัว Vega 3 ที่มี 192 คอร์ และความเร็ว 1.1GHz แม้จะเป็นรุ่นเล็ก แต่ก็ยังสามารถใช้งานทั่วไปได้ดี โดยเฉพาะในงานสำนักงานหรือเครื่อง HTPC สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะเป็นซีพียู AM4 แต่ Athlon 3000G ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเมนบอร์ดชิปเซ็ต B550 และ A520 ได้ในหลายกรณี เนื่องจากพื้นที่เฟิร์มแวร์ของเมนบอร์ดรุ่นใหม่ไม่รองรับซีพียูเก่าอย่างเต็มรูปแบบ และบางรุ่นไม่มี microcode สำหรับรุ่นนี้เลย AMD ไม่ใช่รายเดียวที่ใช้กลยุทธ์รีลอนช์ซีพียูเก่า — Intel ก็เพิ่งเปิดตัว Core i5-110 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Comet Lake 14nm เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดยังมีความต้องการซีพียูราคาประหยัดสำหรับงานพื้นฐานอยู่เสมอ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD รีลอนช์ Athlon 3000G ในปี 2025 พร้อมแพ็กเกจใหม่และพัดลม Wraith รุ่นปรับปรุง ➡️ ใช้ Dali die ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแยกจาก Raven Ridge แต่ยังอยู่บนกระบวนการผลิต 14nm ➡️ สเปกหลัก: 2 คอร์ 4 เธรด, L3 cache 4MB, TDP 35W, ความเร็ว 3.5GHz ➡️ มาพร้อม iGPU Vega 3: 192 คอร์, ความเร็ว 1.1GHz ✅ ความเคลื่อนไหวในตลาด ➡️ วางจำหน่ายในญี่ปุ่นที่ราคา ¥5,790 หรือประมาณ $40 ➡️ AMD เคยเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ในปี 2023 โดยใช้ die Dali เช่นกัน ➡️ Intel ก็ใช้กลยุทธ์คล้ายกันกับ Core i5-110 ที่ใช้สถาปัตยกรรมเก่า ➡️ Ryzen 5 5500X3D และ 5600F ก็เป็นตัวอย่างของซีพียูที่ล็อกเฉพาะภูมิภาค ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Athlon 3000G มีหลายเวอร์ชัน เช่น Raven Ridge และ Picasso ซึ่งอาจมีผลต่อการรองรับ Windows 11 ➡️ บางเวอร์ชันมี CPUID ต่างกัน ทำให้การตรวจสอบผ่าน CPU-Z อาจแสดงผลไม่ตรงกัน2 ➡️ Dali die มีเพียง 2 คอร์จริง ต่างจาก Raven Ridge ที่มี 4 คอร์แต่ปิดไป 2 คอร์ ➡️ Vega 3 iGPU ยังสามารถใช้งานทั่วไปได้ดี แม้จะไม่เหมาะกับเกมหนัก https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-relaunches-usd40-athlon-3000g-cpu-with-new-packaging-and-cooler-zen-refuses-to-retire-even-in-2025
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD relaunches $40 dual-core Athlon 3000G CPU with new packaging and cooler — Zen refuses to retire even in 2025
    Despite being an AM4 CPU, stores have warned that the chip is not compatible with B550 and A520 chipset AM4 motherboards.
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/UB1Iau-Wzhg?si=ElZ4EVXe8sDuRCpz
    https://youtu.be/UB1Iau-Wzhg?si=ElZ4EVXe8sDuRCpz
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • 🛳 แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำดานูบ S.S.Maria Theresa, Cruise Only 8 วัน 7 คืน
    กับสายเรือ Uniworld เดินทาง ปี 2569 ลดสูงสุด 15% สำหรับการจองใหม่ภายใน 30 ก.ย. 68
    รวมบริการระดับพรีเมียมอาหารสุดหรูจากเชฟระดับมิชลิน 🍽 เครื่องดื่มไม่อั้น กิจกรรมบนเรือ และทัวร์ท้องถิ่น ⛳️

    เดินทาง มี.ค. - พ.ย. 2569

    เส้นทาง บูดาเปสต์ (ฮังการี) - บราติสลาวา (สโลวะเกีย) - เวียนนา (ออสเตรีย) - ดูร์นสไตน์, เมลค์ - ลินซ์ (ซาลซ์บูร์ก) - ปัสเซา (เยอรมนี)

    ปกติเริ่มต้น 3,599 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 3,239 USD

    รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด
    ฟรี Wi-fi บนเรือ
    แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น

    รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-BUD-PAS-2611081
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/eb610f

    ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/bb9b58

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSMariaTheresa #Danuberiver #Austria #Linzsalxburg #Vienna #Bratislava #Slovakia #Budapest #Passau #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #Cruisedomain
    🛳 แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำดานูบ S.S.Maria Theresa, Cruise Only 8 วัน 7 คืน กับสายเรือ Uniworld เดินทาง ปี 2569 ลดสูงสุด 15% สำหรับการจองใหม่ภายใน 30 ก.ย. 68 💼 รวมบริการระดับพรีเมียมอาหารสุดหรูจากเชฟระดับมิชลิน 🍽 เครื่องดื่มไม่อั้น 🍷 กิจกรรมบนเรือ และทัวร์ท้องถิ่น ⛳️ 📅 เดินทาง มี.ค. - พ.ย. 2569 📍 เส้นทาง บูดาเปสต์ (ฮังการี) - บราติสลาวา (สโลวะเกีย) - เวียนนา (ออสเตรีย) - ดูร์นสไตน์, เมลค์ - ลินซ์ (ซาลซ์บูร์ก) - ปัสเซา (เยอรมนี) 💸 ปกติเริ่มต้น 3,599 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 3,239 USD ✔️ รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด ✔️ ฟรี Wi-fi บนเรือ ✔️ แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น 🍷🍴 📌 รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-BUD-PAS-2611081 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/eb610f ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/bb9b58 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSMariaTheresa #Danuberiver #Austria #Linzsalxburg #Vienna #Bratislava #Slovakia #Budapest #Passau #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #Cruisedomain
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • AI ดันตลาด HDD สะเทือน — รอ 32TB นานเป็นปี ราคาพุ่งทั่วโลก ขณะที่ SSD ก็เริ่มโดนหางเลข

    ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่คิดเร็ว แต่ยัง “กินพื้นที่” อย่างมหาศาล ความต้องการจัดเก็บข้อมูลระดับเทราไบต์จึงพุ่งทะยานแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะในกลุ่ม HDD ความจุสูงอย่าง 32TB ที่ตอนนี้ต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์ หรือเกือบหนึ่งปีเต็ม2 ข้อมูลจาก TrendForce และ TechRadar ระบุว่า hyperscaler รายใหญ่ เช่น Google และ Oracle กำลังเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลต่อระบบจัดเก็บข้อมูลทั่วโลก

    Western Digital และ Seagate ต่างประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD โดยให้เหตุผลว่า “ความต้องการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และการลงทุนในนวัตกรรมใหม่เป็นต้นทุนหลัก ขณะเดียวกัน SSD ก็เริ่มถูกดึงเข้ามาใช้งานแม้ในงาน cold data ที่เดิมที HDD เป็นตัวเลือกหลัก เพราะราคาถูกต่อ GB แต่ตอนนี้ผู้ให้บริการคลาวด์เริ่มหันมาใช้ QLC SSD แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลน HDD

    อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD สำหรับ cold data ยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งเรื่องต้นทุน การปรับระบบซอฟต์แวร์ และความเข้ากันได้ของอัลกอริธึมจัดการข้อมูล ซึ่งหากไม่วางแผนให้ดี อาจทำให้ต้นทุนรวมพุ่งเกินควบคุมได้ง่าย

    ความต้องการ HDD ความจุสูงพุ่งจากการขยายระบบ AI
    Hyperscaler อย่าง Google, Oracle, Amazon เร่งซื้อ HDD สำหรับงาน inference
    ความต้องการ cold data storage เพิ่มขึ้นจากการฝึกและใช้งานโมเดล AI

    HDD ขนาด 32TB ขึ้นไปต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์
    30TB ยังพอมีในตลาด เช่น Seagate Exos Mozaic+
    การขนส่งล่าช้าเพิ่มอีก 6–10 สัปดาห์จากการใช้เรือสินค้า

    Western Digital และ Seagate ประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD
    อ้างเหตุผลจากความต้องการสูงและต้นทุนการพัฒนา
    กระทบทั้งองค์กรขนาดใหญ่และผู้ใช้งานทั่วไป

    SSD เริ่มถูกนำมาใช้แทน HDD แม้ในงาน cold data
    QLC SSD มีความเร็วสูงและใช้พลังงานน้อยลง ~30%
    คาดว่า QLC SSD จะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026

    การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบหลายด้าน
    ต้องอัปเดตอัลกอริธึมจัดการข้อมูลและตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์
    ต้องคำนวณต้นทุนรวมอย่างแม่นยำเพื่อควบคุมงบประมาณ

    https://www.techradar.com/pro/surging-ai-demand-for-hdd-means-that-you-may-have-to-wait-up-to-a-year-for-32-tb-hard-disk-drives-warns-research-and-yes-prices-are-also-going-up
    📰 AI ดันตลาด HDD สะเทือน — รอ 32TB นานเป็นปี ราคาพุ่งทั่วโลก ขณะที่ SSD ก็เริ่มโดนหางเลข ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่คิดเร็ว แต่ยัง “กินพื้นที่” อย่างมหาศาล ความต้องการจัดเก็บข้อมูลระดับเทราไบต์จึงพุ่งทะยานแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะในกลุ่ม HDD ความจุสูงอย่าง 32TB ที่ตอนนี้ต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์ หรือเกือบหนึ่งปีเต็ม2 ข้อมูลจาก TrendForce และ TechRadar ระบุว่า hyperscaler รายใหญ่ เช่น Google และ Oracle กำลังเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลต่อระบบจัดเก็บข้อมูลทั่วโลก Western Digital และ Seagate ต่างประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD โดยให้เหตุผลว่า “ความต้องการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และการลงทุนในนวัตกรรมใหม่เป็นต้นทุนหลัก ขณะเดียวกัน SSD ก็เริ่มถูกดึงเข้ามาใช้งานแม้ในงาน cold data ที่เดิมที HDD เป็นตัวเลือกหลัก เพราะราคาถูกต่อ GB แต่ตอนนี้ผู้ให้บริการคลาวด์เริ่มหันมาใช้ QLC SSD แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลน HDD อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD สำหรับ cold data ยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งเรื่องต้นทุน การปรับระบบซอฟต์แวร์ และความเข้ากันได้ของอัลกอริธึมจัดการข้อมูล ซึ่งหากไม่วางแผนให้ดี อาจทำให้ต้นทุนรวมพุ่งเกินควบคุมได้ง่าย ✅ ความต้องการ HDD ความจุสูงพุ่งจากการขยายระบบ AI ➡️ Hyperscaler อย่าง Google, Oracle, Amazon เร่งซื้อ HDD สำหรับงาน inference ➡️ ความต้องการ cold data storage เพิ่มขึ้นจากการฝึกและใช้งานโมเดล AI ✅ HDD ขนาด 32TB ขึ้นไปต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์ ➡️ 30TB ยังพอมีในตลาด เช่น Seagate Exos Mozaic+ ➡️ การขนส่งล่าช้าเพิ่มอีก 6–10 สัปดาห์จากการใช้เรือสินค้า ✅ Western Digital และ Seagate ประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD ➡️ อ้างเหตุผลจากความต้องการสูงและต้นทุนการพัฒนา ➡️ กระทบทั้งองค์กรขนาดใหญ่และผู้ใช้งานทั่วไป ✅ SSD เริ่มถูกนำมาใช้แทน HDD แม้ในงาน cold data ➡️ QLC SSD มีความเร็วสูงและใช้พลังงานน้อยลง ~30% ➡️ คาดว่า QLC SSD จะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026 ✅ การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบหลายด้าน ➡️ ต้องอัปเดตอัลกอริธึมจัดการข้อมูลและตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ ➡️ ต้องคำนวณต้นทุนรวมอย่างแม่นยำเพื่อควบคุมงบประมาณ https://www.techradar.com/pro/surging-ai-demand-for-hdd-means-that-you-may-have-to-wait-up-to-a-year-for-32-tb-hard-disk-drives-warns-research-and-yes-prices-are-also-going-up
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • LaCie Rugged SSD4 — SSD พกพาสุดแกร่งจาก Seagate ที่เร็วระดับ 4,000MB/s และทนแรงกดได้ถึง 1 ตัน

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินสำคัญของมืออาชีพ Seagate ภายใต้แบรนด์ LaCie ได้เปิดตัว Rugged SSD4 ซึ่งเป็น SSD พกพารุ่นแรกที่ใช้มาตรฐาน USB4 โดยออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดที่สุด ทั้งในด้านความเร็วและความทนทาน

    LaCie Rugged SSD4 รองรับแบนด์วิดธ์สูงถึง 40Gbps และสามารถอ่านข้อมูลได้เร็วถึง 4,000MB/s ซึ่งเร็วพอที่จะโอนหนัง 4K ขนาด 4GB ได้ภายในหนึ่งวินาที ตัวอุปกรณ์ยังผ่านมาตรฐาน IP54 กันน้ำกันฝุ่น ตกจากความสูง 3 เมตรได้โดยไม่เสียหาย และที่น่าทึ่งที่สุดคือสามารถทนแรงกดได้ถึง 1 ตันโดยไม่สูญเสียข้อมูล

    ดีไซน์ของ SSD4 ยังคงเอกลักษณ์ของ LaCie ด้วยยางกันกระแทกสีส้มรอบตัวเครื่อง และแผ่นโลหะตรงกลางที่เสริมความแข็งแรง พร้อมรองรับการใช้งานกับ macOS, Windows, iOS, Android และแม้แต่กล้องที่ใช้ USB-C เช่น iPhone รุ่นใหม่ที่ถ่ายวิดีโอ ProRes 4K 120fps ได้

    SSD นี้มีให้เลือก 3 ขนาด ได้แก่ 1TB ($134.99), 2TB ($249.99) และ 4TB ($479.99) โดยยังมาพร้อมซอฟต์แวร์ LaCie Toolkit สำหรับการสำรองข้อมูล และสิทธิ์ใช้งาน Adobe Creative Cloud Pro ฟรี 2 เดือน เหมาะสำหรับสายครีเอทีฟที่ต้องการความเร็วและความปลอดภัยในการทำงาน

    LaCie Rugged SSD4 เปิดตัวเป็น SSD พกพารุ่นแรกที่ใช้ USB4
    รองรับแบนด์วิดธ์ 40Gbps และอ่านข้อมูลได้เร็วถึง 4,000MB/s
    โอนหนัง 4K ขนาด 4GB ได้ภายในหนึ่งวินาที

    ทนทานต่อสภาพแวดล้อมสุดโหด
    กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP54 / ตกจากความสูง 3 เมตรได้
    ทนแรงกดได้ถึง 1 ตันโดยไม่เสียหาย

    ดีไซน์โดดเด่นและใช้งานได้หลากหลายระบบ
    ยางกันกระแทกสีส้ม + แผ่นโลหะตรงกลาง
    รองรับ macOS, Windows, iOS, Android และกล้อง USB-C

    มีให้เลือก 3 ขนาดความจุ
    1TB ราคา $134.99 / 2TB ราคา $249.99 / 4TB ราคา $479.99
    มาพร้อม LaCie Toolkit และสิทธิ์ Adobe Creative Cloud Pro ฟรี 2 เดือน

    เหมาะสำหรับสายครีเอทีฟและงานที่ต้องการความเร็วสูง
    รองรับการถ่ายวิดีโอ ProRes 4K 120fps บน iPhone
    ใช้งานกับไฟล์ RAW, วิดีโอ, และโปรเจกต์ขนาดใหญ่ได้อย่างลื่นไหล

    https://www.techradar.com/pro/forget-about-thunderbolt-5-seagate-finally-launches-its-first-usb-4-portable-ssd-under-its-legendary-storage-label
    📰 LaCie Rugged SSD4 — SSD พกพาสุดแกร่งจาก Seagate ที่เร็วระดับ 4,000MB/s และทนแรงกดได้ถึง 1 ตัน ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินสำคัญของมืออาชีพ Seagate ภายใต้แบรนด์ LaCie ได้เปิดตัว Rugged SSD4 ซึ่งเป็น SSD พกพารุ่นแรกที่ใช้มาตรฐาน USB4 โดยออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดที่สุด ทั้งในด้านความเร็วและความทนทาน LaCie Rugged SSD4 รองรับแบนด์วิดธ์สูงถึง 40Gbps และสามารถอ่านข้อมูลได้เร็วถึง 4,000MB/s ซึ่งเร็วพอที่จะโอนหนัง 4K ขนาด 4GB ได้ภายในหนึ่งวินาที ตัวอุปกรณ์ยังผ่านมาตรฐาน IP54 กันน้ำกันฝุ่น ตกจากความสูง 3 เมตรได้โดยไม่เสียหาย และที่น่าทึ่งที่สุดคือสามารถทนแรงกดได้ถึง 1 ตันโดยไม่สูญเสียข้อมูล ดีไซน์ของ SSD4 ยังคงเอกลักษณ์ของ LaCie ด้วยยางกันกระแทกสีส้มรอบตัวเครื่อง และแผ่นโลหะตรงกลางที่เสริมความแข็งแรง พร้อมรองรับการใช้งานกับ macOS, Windows, iOS, Android และแม้แต่กล้องที่ใช้ USB-C เช่น iPhone รุ่นใหม่ที่ถ่ายวิดีโอ ProRes 4K 120fps ได้ SSD นี้มีให้เลือก 3 ขนาด ได้แก่ 1TB ($134.99), 2TB ($249.99) และ 4TB ($479.99) โดยยังมาพร้อมซอฟต์แวร์ LaCie Toolkit สำหรับการสำรองข้อมูล และสิทธิ์ใช้งาน Adobe Creative Cloud Pro ฟรี 2 เดือน เหมาะสำหรับสายครีเอทีฟที่ต้องการความเร็วและความปลอดภัยในการทำงาน ✅ LaCie Rugged SSD4 เปิดตัวเป็น SSD พกพารุ่นแรกที่ใช้ USB4 ➡️ รองรับแบนด์วิดธ์ 40Gbps และอ่านข้อมูลได้เร็วถึง 4,000MB/s ➡️ โอนหนัง 4K ขนาด 4GB ได้ภายในหนึ่งวินาที ✅ ทนทานต่อสภาพแวดล้อมสุดโหด ➡️ กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP54 / ตกจากความสูง 3 เมตรได้ ➡️ ทนแรงกดได้ถึง 1 ตันโดยไม่เสียหาย ✅ ดีไซน์โดดเด่นและใช้งานได้หลากหลายระบบ ➡️ ยางกันกระแทกสีส้ม + แผ่นโลหะตรงกลาง ➡️ รองรับ macOS, Windows, iOS, Android และกล้อง USB-C ✅ มีให้เลือก 3 ขนาดความจุ ➡️ 1TB ราคา $134.99 / 2TB ราคา $249.99 / 4TB ราคา $479.99 ➡️ มาพร้อม LaCie Toolkit และสิทธิ์ Adobe Creative Cloud Pro ฟรี 2 เดือน ✅ เหมาะสำหรับสายครีเอทีฟและงานที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ รองรับการถ่ายวิดีโอ ProRes 4K 120fps บน iPhone ➡️ ใช้งานกับไฟล์ RAW, วิดีโอ, และโปรเจกต์ขนาดใหญ่ได้อย่างลื่นไหล https://www.techradar.com/pro/forget-about-thunderbolt-5-seagate-finally-launches-its-first-usb-4-portable-ssd-under-its-legendary-storage-label
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

    โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์

    Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia
    เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร
    ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน

    สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton
    เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027
    รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW

    เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads
    OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว
    ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร
    สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell
    เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก

    ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
    สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง
    สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ

    https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    📰 Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์ ✅ Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia ➡️ เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร ➡️ ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน ✅ สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton ➡️ เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 ➡️ รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW ✅ เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads ➡️ OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว ➡️ ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ ✅ Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร ➡️ สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell ➡️ เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก ✅ ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ➡️ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง ➡️ สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
More Results