• ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 15

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 15
    ในญี่ปุ่น ระหว่าง ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1930 การเมืองญี่ปุ่น แบ่งแยกเป็น 2 ขั้วชัดเจน ขั้วที่ไม่ต้องการให้กองทัพแข็งแกร่ง ดูเหมือนจะเป็นการกระตุกเชือกชักใย โดยอังกฤษผ่านมาที่สายพวกนักการเงิน และนักการเมือง ฝ่ายพลเรือน อังกฤษต้องการให้ญี่ปุ่นไปป่วนจีนก็จริง แต่แค่ป่วน ไม่ใช่ไปยึด เพราะอังกฤษต้องการยึดเอาจีนมาเป็นของตนเอง ดังนั้น ถ้าญี่ปุ่นเกิดมีกองทัพแข็งแกร่งขี้นมา แล้วบ้าเลือดไปยึดจีน อังกฤษ ก็ อ ด
    อังกฤษจึงต้องหาวิธีติดเบรคกองทัพญี่ปุ่น การตอนงบประมาณกองทัพ น่าจะเป็นวิธีหนึ่ง นักการเมืองอย่าง ทากาฮาชิ จึงรับบทไปจากอังกฤษ โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว
    ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้กองทัพญี่ปุ่นแข็งแกร่งนั้นน่าสนใจ มันเป็นความอยากใหญ่ อยากเป็นมหาอำนาจของญี่ปุ่นเอง ที่สะสมมาจากความเชื่อว่าตนมีความเก่งกล้าสามารถ ฉลาด และเหนือกว่าชาติใดๆในเอเซีย รวมทั้งรัสเซีย ที่อยู่ใกล้กัน และความแค้นที่ถูกหักหน้า ถูกดูหมิ่น เรื่องเชื้อชาติของญี่ปุ่นเอง ผสมกับการปั่นหัวของอังกฤษ เพื่อหลอกใช้ญี่ปุ่นไปรวนจีนส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนนั้น ก็น่าเป็นการหลอกใช้ญี่ปุ่นของอเมริกา เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ ของอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับญี่ปุ่นไม่ต่างกันเลย มันเป็นการ “หลอกใช้” อย่างเดียว ญี่ปุ่นรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง
    กลับไปดูกองทัพญี่ปุ่น ที่ปักหลักอยู่ที่แมนจูเรีย ภายใต้การบัญชาการของนายพลโตโจ ที่เริ่มมีรัศมีอำนาจและเงินจับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ร่ำรวยจนไม่ต้องพึ่งงบหลวงจากโตเกียว จากการบริหารจัดการของ นายคิชิ Kishi Nobusuke เขาเป็นคนสำคัญในการเพาะพันธุ์ญี่ปุ่นใหม่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้จักเขาให้ดี ก็ยากที่จะ “รู้จัก” ญี่ปุ่นปัจจุบัน
    คิชิ โนบูซูเกะ ชื่อเดิม คือ ซาโตะ โนบูซูเกะ Sato Nobusuke เกิดเมื่อปี ค.ศ.1896 ที่เมือง โชชู Choshu เป็นเด็กเฉลียวฉลาด หัวไว แววดี ลุงซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ จึงขอมาเลี้ยง และให้ใช้นามสกุลของลุงคือ คิชิ ส่วนพี่ชายอีก 2 คน ยังใช้สกุล ซาโตะ พี่ชายคนหนึ่ง ซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิก ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลัง และต่อมา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรค LDP ส่วนพี่ชายอีกคน ซาโตะ อิชิโร Sato Ichiro ได้เป็นนายพลเอกของกองทัพเรือ
    เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยโตเกียว คิชิ เข้าทำงานที่กระทรวงพาณิชย์และ อุตสาหกรรม ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสาร เก็บไปอ่านไป ทำให้คิชิรู้ข้อมูล และนโยบาย ทั้งลับ และลึกของญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ.1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งโลก Great Depression แต่เศรษฐกิจของคิชิ ไม่ถดถอยด้วย ตรงกันข้าม ด้วยข้อมูลที่เขาสะสมไว้ เขาตามซื้อหุ้นบริษัทที่น่าจะฟื้นเร็ว และมันก็ฟื้นเร็วอย่างที่เขาคาด เมื่อญี่ปุ่นคิดจะยึดแมนจูเรียในปี ค.ศ.1931 เขาจึงถูกส่งตัวไปให้ไปทำการสำรวจล่วงหน้าถึง “โอกาส” ของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย
    คิชิ บอกกับนายพลโตโจ ว่า นู่น บ่อเงินบ่อทองของเรา อยู่ที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ South Manchuria Railroad Company (SMRC) ของรัฐบาลจีน บริษัทนี้ เป็นเจ้าของท่าเรือ โรงแรม เหมืองแร่ แหล่งน้ำมัน การขนส่ง สิทธิในการสำรวจ ฯลฯ มันเยอะแยะจนบรรยายไม่หมด เข้าใจไหมท่านนายพล
    วิธีที่จะเป็นเจ้าของ SMRC ก็ไม่น่าจะยากอะไร ท่านก็ยกทัพไปตีแมนจูเรีย แล้วก็ยึดบริษัทมา ก็เท่านั้น บังเอิญ ประธาน SMRC ดันเป็นลุงเขยของคิชิ ไอ้คนหัวแหลม เลยไปกล่อมลุงเขยอีกทีว่า เรามาจับมือกัน แล้วช่วยกันรวยดีกว่านะลุง แล้วกองทัพญี่ปุ่น ก็ยกทัพไปตีแมนจูเรียของจีน หลังจากนั้น นายคิชิ ก็ทำทุกอย่างทั้งบนดิน ใต้ดิน และกองทัพญี่ปุ่นก็เลยเริ่มรวย คิชิ เสนอให้กองทัพชวนพวก นิสสัน Nissan zaibutsu บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งตั้งขึ้น แต่มีอนาคตไกล และก็เป็นของลุงอีกคนของนายคิชิ เข้ามาช่วยบริหารทรัพย์สมบัติ (คนอื่น) ที่กองทัพญี่ปุ่น ไปปล้นมาได้ ไม่รู้ นายคิชิ นี่ มีลุงกี่คน
    กองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย จึงยิ่งรวยใหญ่ จนในที่สุดไม่ต้องพึ่งงบรัฐบาลที่โตเกียว แถมเริ่มมีเสียงดังกว่ารัฐบาลที่โตเกียวเสียด้วยซ้ำ
    ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คิชิ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมที่โตเกียว ขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ในการจัดหาสรรพาวุธ ให้แก่นายพลโตโจ ที่ในที่สุด ก็มาทำหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพของญี่ปุ่น ในการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
    หลังสงครามโลก เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ อเมริกาเข้ามาใช้อำนาจควบคุมญี่ปุ่นและเอเซียแต่ผู้เดียว ต่างกับยุโรป ที่มีทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติอื่นๆ แบ่งกันควบคุมเยอรมันและอิตาลีผู้แพ้สงคราม
    เมื่อนายพลแมคอาเธอร์ เข้ามาถึงญี่ปุ่น ในฐานะเป็น Supreme Commander Asia and Pacific (SACP) เขาสั่งให้มีการสอบสวนผู้ที่ทำผิดในการก่อสงคราม และความผิดที่เกี่ยวเนื่องจากสงคราม มีรายชื่อผู้ที่เข้าข่ายต้องถูก จับ และไต่สวน ไม่น้อยกว่า 2 แสน 2 หมื่นคน คิชิ เป็นหนึ่งใน 2 แสน 2 หมื่นคน เขาเป็นนักโทษระดับเอ class A ข้อหาแรงสุด เขาถูกจับใส่คุก ซุกาโม Sugamo ในข้อหา ปล้นจีนและแมนจูเรีย ขโมยทรัพย์สินส่วนบุคคล และ ใช้คนเป็นทาสแรงงานในการทำเหมืองและโรงงาน
    หนึ่งวัน ก่อนถูกนำไปเข้าคุก เขาได้รับโทรเลขบอกว่า “เป็นไปได้ว่า อเมริกา จะไม่ดำเนินคดี และลงโทษคุณ ดังนั้น อย่าได้ใจร้อนทำอะไร ( อย่ายอมรับ ไม่ว่าข้อหาใด)”
    ระหว่างที่อยู่ในคุก ซุกาโม คิชิ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาคลุกคลีกับบรรดานักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ รวมทั้งพวกนอกกฏหมายที่ถูกจับ บังเอิญเขาอยู่ห้องขังร่วมกับ โคดามะ โยชิโอะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อใหญ่ หัวหน้ายากูซ่า แก็งมังกรดำ ในขณะนั้น (ที่ในปี ค.ศ.1945 ด้วยการปล้นสาระพัดที่ในช่วงสงคราม โคดามะ น่าจะเป็นคนรวยที่สุดในญี่ปุ่น เป็นรองแค่จักรพรรดิเท่านั้น) และ ฮาโตยาม่า Hatoyama Ichiro ซึ่งต่อไปจะเป็นผู้ก่อตั้ง LDP พรรคสุดยอดอิทธิพลของญี่ปุ่น หรือที่คนส่วนใหญ่บอกว่า เป็นเจ้าของญี่ปุ่น เสียด้วยซ้ำ
    ดูเหมือน คุกซุกาโม จะเป็นแหล่งรวมพวกนรกแตก และพวกเขากำลังจะเป็นผู้สร้างอนาคตของญี่ปุ่น
    โคดามะ เจ้าพ่อยากูซ่า นั้น เป็นกระเป๋าเงินตัวจริง ของพรรคเสรีนิยม Liberal Party อยู่แล้ว แต่หลังจากนั่งวาดอนาคตญี่ปุ่นกันในคุก โคดามะ ก็บอกว่า จะลงทุนตั้งพรรคการเมืองอีกพรรคให้ ฮาโตยาม่าเป็นหัวหน้าพรรค ถ้า ฮาโตยาม่ายอมให้ คิชิ เป็นผู้ดูแลด้านการเงิน และเป็นคนดูแลกิจการหลังบ้านของ พรรค ฮาโตยาม่าตกลง โคดามะ ก็เลยลงเงินหลายล้านเหรียญ ตั้งพรรคประชาธิปไตย Democratic Party ให้ ฮาโตยาม่า ง่ายดีจัง ประชาธิปไตยยี่ห้อ ยากูซ่า
    ข่าวว่า โคดามะ ซึ่งขณะนั้น มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 13 .5 พันล้านเหรียญ รับกับสื่อว่า เขาได้จ่ายเงินให้แก่ SCAP ไป 200 ล้านเหรียญ ให้แบ่งกันระหว่าง เจียงไคเช็ค กับ Counter-Intelligence Corp (CIC) หน่วยงานบังหน้า ของซีไอเอ หลังจากจ่ายเงินไปไม่นาน โคดามะ กับ คิชิ ก็ได้เดินออกมาจากคุกซุกาโม อย่างเงียบๆ สบายๆ
    ส่วน ซีไอเอ คงถูกใจ โคดามะมาก เมื่อพ้นออกมาจากคุก ซีไอเอ จึงจ้างเขาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ดูแลไปทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่อง ฝิ่น เฮโรอีน ทอง เพชร ที่อยู่ตามประเทศต่างๆ แต่ ที่อเมริกาปลื้มมากคือ ฝีมือการ “ดูแล” ของโคดามะ โดยเฉพาะการไปดูแล แร่ทังสเต็น ซึ่งเหมาะสำหรับการทำหัวจรวด และหัวเครื่องบินรบ ซึ่งข่าวว่าจีนมีแร่นี้อยู่แยะ เมื่อโคดามะ ไปขนแร่นี้มาจากจีน มาถีงญี่ปุ่น ซีไอเอ ก็ขนแร่นี้ต่อไปที่อเมริกา
    ส่วนคิชิ เมื่อออกมาจากคุก ด้วยเงินของโคดามะ และใช้เครือข่ายการเมือง ของฮาโตยาม่า เขาก็เดินสาย ตะล่อมเอานักการเมืองมาเข้าพวก และเริ่มบทบาทเจ้าพ่อทางการเมือง ขณะเดียวกัน พี่ชายของเขา นายซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku ก็ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการ ของนายกรัฐมนตรีโยชิดะ Yoshida เมื่อพรรค LDP ตั้งสำเร็จ ก็ได้เสียงข้างมากในสภาอย่างไม่ยาก หลังจากนั้น LDP ก็ครองเสียงข้างมากในสภามาตลอด ขนาดมีคำพูดว่า อำนาจของ LDP ในญี่ปุ่นนั้น เป็นรองแค่จักรพรรดิ เท่านั้นเอง
    คิชิ โนบูซูเกะ มีความสำคัญอย่างไร
    เขาเป็นคนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่น ให้อเมริกาเข้าไปกินญี่ปุ่น ต่อ หรือแทน อังกฤษ คิชิ ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ ชาลี ซ่ง ช่วยเปิดประตูเมืองจีน ให้อเมริกาเข้าไปแทนอังกฤษ เรื่องราวอาจจะไม่เหมือน แต่ก็ทำหน้าที่เป็นคนเปิดประตูบ้านตัวเอง ให้โจร (อีกราย) เข้ามาในบ้านเหมือนกัน
    อเมริกา น่าจะวางแผนเข้ามาในญี่ปุ่น และ “ใช้” ญี่ปุ่น ไม่ต่างกับที่อังกฤษคิด อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น สูงตั้งแต่ปลาย ค.ศ.1800 แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น ก็เริ่มลดลง แต่ยังไม่หายไป ทั้ง Morgan และ Rockefeller ต่างเข้ามาเปิดตัว เปิดตลาดในญี่ปุ่น ในเวลาใกล้เคียงกัน Morgan เน้นเรื่องธุรกิจการเงิน Rockefeller เน้น เรื่องน้ำมัน และอุตสาหกรรม ทั้ง 2 กลุ่ม มีทั้งร่วมมือกันกิน และก็แย่งกันกิน
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 15 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 15 ในญี่ปุ่น ระหว่าง ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1930 การเมืองญี่ปุ่น แบ่งแยกเป็น 2 ขั้วชัดเจน ขั้วที่ไม่ต้องการให้กองทัพแข็งแกร่ง ดูเหมือนจะเป็นการกระตุกเชือกชักใย โดยอังกฤษผ่านมาที่สายพวกนักการเงิน และนักการเมือง ฝ่ายพลเรือน อังกฤษต้องการให้ญี่ปุ่นไปป่วนจีนก็จริง แต่แค่ป่วน ไม่ใช่ไปยึด เพราะอังกฤษต้องการยึดเอาจีนมาเป็นของตนเอง ดังนั้น ถ้าญี่ปุ่นเกิดมีกองทัพแข็งแกร่งขี้นมา แล้วบ้าเลือดไปยึดจีน อังกฤษ ก็ อ ด อังกฤษจึงต้องหาวิธีติดเบรคกองทัพญี่ปุ่น การตอนงบประมาณกองทัพ น่าจะเป็นวิธีหนึ่ง นักการเมืองอย่าง ทากาฮาชิ จึงรับบทไปจากอังกฤษ โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้กองทัพญี่ปุ่นแข็งแกร่งนั้นน่าสนใจ มันเป็นความอยากใหญ่ อยากเป็นมหาอำนาจของญี่ปุ่นเอง ที่สะสมมาจากความเชื่อว่าตนมีความเก่งกล้าสามารถ ฉลาด และเหนือกว่าชาติใดๆในเอเซีย รวมทั้งรัสเซีย ที่อยู่ใกล้กัน และความแค้นที่ถูกหักหน้า ถูกดูหมิ่น เรื่องเชื้อชาติของญี่ปุ่นเอง ผสมกับการปั่นหัวของอังกฤษ เพื่อหลอกใช้ญี่ปุ่นไปรวนจีนส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนนั้น ก็น่าเป็นการหลอกใช้ญี่ปุ่นของอเมริกา เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ ของอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับญี่ปุ่นไม่ต่างกันเลย มันเป็นการ “หลอกใช้” อย่างเดียว ญี่ปุ่นรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง กลับไปดูกองทัพญี่ปุ่น ที่ปักหลักอยู่ที่แมนจูเรีย ภายใต้การบัญชาการของนายพลโตโจ ที่เริ่มมีรัศมีอำนาจและเงินจับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ร่ำรวยจนไม่ต้องพึ่งงบหลวงจากโตเกียว จากการบริหารจัดการของ นายคิชิ Kishi Nobusuke เขาเป็นคนสำคัญในการเพาะพันธุ์ญี่ปุ่นใหม่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้จักเขาให้ดี ก็ยากที่จะ “รู้จัก” ญี่ปุ่นปัจจุบัน คิชิ โนบูซูเกะ ชื่อเดิม คือ ซาโตะ โนบูซูเกะ Sato Nobusuke เกิดเมื่อปี ค.ศ.1896 ที่เมือง โชชู Choshu เป็นเด็กเฉลียวฉลาด หัวไว แววดี ลุงซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ จึงขอมาเลี้ยง และให้ใช้นามสกุลของลุงคือ คิชิ ส่วนพี่ชายอีก 2 คน ยังใช้สกุล ซาโตะ พี่ชายคนหนึ่ง ซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิก ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลัง และต่อมา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรค LDP ส่วนพี่ชายอีกคน ซาโตะ อิชิโร Sato Ichiro ได้เป็นนายพลเอกของกองทัพเรือ เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยโตเกียว คิชิ เข้าทำงานที่กระทรวงพาณิชย์และ อุตสาหกรรม ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสาร เก็บไปอ่านไป ทำให้คิชิรู้ข้อมูล และนโยบาย ทั้งลับ และลึกของญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ.1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งโลก Great Depression แต่เศรษฐกิจของคิชิ ไม่ถดถอยด้วย ตรงกันข้าม ด้วยข้อมูลที่เขาสะสมไว้ เขาตามซื้อหุ้นบริษัทที่น่าจะฟื้นเร็ว และมันก็ฟื้นเร็วอย่างที่เขาคาด เมื่อญี่ปุ่นคิดจะยึดแมนจูเรียในปี ค.ศ.1931 เขาจึงถูกส่งตัวไปให้ไปทำการสำรวจล่วงหน้าถึง “โอกาส” ของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย คิชิ บอกกับนายพลโตโจ ว่า นู่น บ่อเงินบ่อทองของเรา อยู่ที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ South Manchuria Railroad Company (SMRC) ของรัฐบาลจีน บริษัทนี้ เป็นเจ้าของท่าเรือ โรงแรม เหมืองแร่ แหล่งน้ำมัน การขนส่ง สิทธิในการสำรวจ ฯลฯ มันเยอะแยะจนบรรยายไม่หมด เข้าใจไหมท่านนายพล วิธีที่จะเป็นเจ้าของ SMRC ก็ไม่น่าจะยากอะไร ท่านก็ยกทัพไปตีแมนจูเรีย แล้วก็ยึดบริษัทมา ก็เท่านั้น บังเอิญ ประธาน SMRC ดันเป็นลุงเขยของคิชิ ไอ้คนหัวแหลม เลยไปกล่อมลุงเขยอีกทีว่า เรามาจับมือกัน แล้วช่วยกันรวยดีกว่านะลุง แล้วกองทัพญี่ปุ่น ก็ยกทัพไปตีแมนจูเรียของจีน หลังจากนั้น นายคิชิ ก็ทำทุกอย่างทั้งบนดิน ใต้ดิน และกองทัพญี่ปุ่นก็เลยเริ่มรวย คิชิ เสนอให้กองทัพชวนพวก นิสสัน Nissan zaibutsu บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งตั้งขึ้น แต่มีอนาคตไกล และก็เป็นของลุงอีกคนของนายคิชิ เข้ามาช่วยบริหารทรัพย์สมบัติ (คนอื่น) ที่กองทัพญี่ปุ่น ไปปล้นมาได้ ไม่รู้ นายคิชิ นี่ มีลุงกี่คน กองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย จึงยิ่งรวยใหญ่ จนในที่สุดไม่ต้องพึ่งงบรัฐบาลที่โตเกียว แถมเริ่มมีเสียงดังกว่ารัฐบาลที่โตเกียวเสียด้วยซ้ำ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คิชิ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมที่โตเกียว ขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ในการจัดหาสรรพาวุธ ให้แก่นายพลโตโจ ที่ในที่สุด ก็มาทำหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพของญี่ปุ่น ในการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงครามโลก เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ อเมริกาเข้ามาใช้อำนาจควบคุมญี่ปุ่นและเอเซียแต่ผู้เดียว ต่างกับยุโรป ที่มีทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติอื่นๆ แบ่งกันควบคุมเยอรมันและอิตาลีผู้แพ้สงคราม เมื่อนายพลแมคอาเธอร์ เข้ามาถึงญี่ปุ่น ในฐานะเป็น Supreme Commander Asia and Pacific (SACP) เขาสั่งให้มีการสอบสวนผู้ที่ทำผิดในการก่อสงคราม และความผิดที่เกี่ยวเนื่องจากสงคราม มีรายชื่อผู้ที่เข้าข่ายต้องถูก จับ และไต่สวน ไม่น้อยกว่า 2 แสน 2 หมื่นคน คิชิ เป็นหนึ่งใน 2 แสน 2 หมื่นคน เขาเป็นนักโทษระดับเอ class A ข้อหาแรงสุด เขาถูกจับใส่คุก ซุกาโม Sugamo ในข้อหา ปล้นจีนและแมนจูเรีย ขโมยทรัพย์สินส่วนบุคคล และ ใช้คนเป็นทาสแรงงานในการทำเหมืองและโรงงาน หนึ่งวัน ก่อนถูกนำไปเข้าคุก เขาได้รับโทรเลขบอกว่า “เป็นไปได้ว่า อเมริกา จะไม่ดำเนินคดี และลงโทษคุณ ดังนั้น อย่าได้ใจร้อนทำอะไร ( อย่ายอมรับ ไม่ว่าข้อหาใด)” ระหว่างที่อยู่ในคุก ซุกาโม คิชิ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาคลุกคลีกับบรรดานักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ รวมทั้งพวกนอกกฏหมายที่ถูกจับ บังเอิญเขาอยู่ห้องขังร่วมกับ โคดามะ โยชิโอะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อใหญ่ หัวหน้ายากูซ่า แก็งมังกรดำ ในขณะนั้น (ที่ในปี ค.ศ.1945 ด้วยการปล้นสาระพัดที่ในช่วงสงคราม โคดามะ น่าจะเป็นคนรวยที่สุดในญี่ปุ่น เป็นรองแค่จักรพรรดิเท่านั้น) และ ฮาโตยาม่า Hatoyama Ichiro ซึ่งต่อไปจะเป็นผู้ก่อตั้ง LDP พรรคสุดยอดอิทธิพลของญี่ปุ่น หรือที่คนส่วนใหญ่บอกว่า เป็นเจ้าของญี่ปุ่น เสียด้วยซ้ำ ดูเหมือน คุกซุกาโม จะเป็นแหล่งรวมพวกนรกแตก และพวกเขากำลังจะเป็นผู้สร้างอนาคตของญี่ปุ่น โคดามะ เจ้าพ่อยากูซ่า นั้น เป็นกระเป๋าเงินตัวจริง ของพรรคเสรีนิยม Liberal Party อยู่แล้ว แต่หลังจากนั่งวาดอนาคตญี่ปุ่นกันในคุก โคดามะ ก็บอกว่า จะลงทุนตั้งพรรคการเมืองอีกพรรคให้ ฮาโตยาม่าเป็นหัวหน้าพรรค ถ้า ฮาโตยาม่ายอมให้ คิชิ เป็นผู้ดูแลด้านการเงิน และเป็นคนดูแลกิจการหลังบ้านของ พรรค ฮาโตยาม่าตกลง โคดามะ ก็เลยลงเงินหลายล้านเหรียญ ตั้งพรรคประชาธิปไตย Democratic Party ให้ ฮาโตยาม่า ง่ายดีจัง ประชาธิปไตยยี่ห้อ ยากูซ่า ข่าวว่า โคดามะ ซึ่งขณะนั้น มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 13 .5 พันล้านเหรียญ รับกับสื่อว่า เขาได้จ่ายเงินให้แก่ SCAP ไป 200 ล้านเหรียญ ให้แบ่งกันระหว่าง เจียงไคเช็ค กับ Counter-Intelligence Corp (CIC) หน่วยงานบังหน้า ของซีไอเอ หลังจากจ่ายเงินไปไม่นาน โคดามะ กับ คิชิ ก็ได้เดินออกมาจากคุกซุกาโม อย่างเงียบๆ สบายๆ ส่วน ซีไอเอ คงถูกใจ โคดามะมาก เมื่อพ้นออกมาจากคุก ซีไอเอ จึงจ้างเขาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ดูแลไปทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่อง ฝิ่น เฮโรอีน ทอง เพชร ที่อยู่ตามประเทศต่างๆ แต่ ที่อเมริกาปลื้มมากคือ ฝีมือการ “ดูแล” ของโคดามะ โดยเฉพาะการไปดูแล แร่ทังสเต็น ซึ่งเหมาะสำหรับการทำหัวจรวด และหัวเครื่องบินรบ ซึ่งข่าวว่าจีนมีแร่นี้อยู่แยะ เมื่อโคดามะ ไปขนแร่นี้มาจากจีน มาถีงญี่ปุ่น ซีไอเอ ก็ขนแร่นี้ต่อไปที่อเมริกา ส่วนคิชิ เมื่อออกมาจากคุก ด้วยเงินของโคดามะ และใช้เครือข่ายการเมือง ของฮาโตยาม่า เขาก็เดินสาย ตะล่อมเอานักการเมืองมาเข้าพวก และเริ่มบทบาทเจ้าพ่อทางการเมือง ขณะเดียวกัน พี่ชายของเขา นายซาโตะ ไอซากุ Sato Eisaku ก็ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการ ของนายกรัฐมนตรีโยชิดะ Yoshida เมื่อพรรค LDP ตั้งสำเร็จ ก็ได้เสียงข้างมากในสภาอย่างไม่ยาก หลังจากนั้น LDP ก็ครองเสียงข้างมากในสภามาตลอด ขนาดมีคำพูดว่า อำนาจของ LDP ในญี่ปุ่นนั้น เป็นรองแค่จักรพรรดิ เท่านั้นเอง คิชิ โนบูซูเกะ มีความสำคัญอย่างไร เขาเป็นคนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่น ให้อเมริกาเข้าไปกินญี่ปุ่น ต่อ หรือแทน อังกฤษ คิชิ ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ ชาลี ซ่ง ช่วยเปิดประตูเมืองจีน ให้อเมริกาเข้าไปแทนอังกฤษ เรื่องราวอาจจะไม่เหมือน แต่ก็ทำหน้าที่เป็นคนเปิดประตูบ้านตัวเอง ให้โจร (อีกราย) เข้ามาในบ้านเหมือนกัน อเมริกา น่าจะวางแผนเข้ามาในญี่ปุ่น และ “ใช้” ญี่ปุ่น ไม่ต่างกับที่อังกฤษคิด อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น สูงตั้งแต่ปลาย ค.ศ.1800 แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น ก็เริ่มลดลง แต่ยังไม่หายไป ทั้ง Morgan และ Rockefeller ต่างเข้ามาเปิดตัว เปิดตลาดในญี่ปุ่น ในเวลาใกล้เคียงกัน Morgan เน้นเรื่องธุรกิจการเงิน Rockefeller เน้น เรื่องน้ำมัน และอุตสาหกรรม ทั้ง 2 กลุ่ม มีทั้งร่วมมือกันกิน และก็แย่งกันกิน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 14

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 14
    ทั้งอังกฤษและอเมริกา ต่างอยากได้จีนมาครอง โดยไม่แบ่งกับใคร และต่างก็มีแผน และวิธีการในการใช้ญี่ปุ่นและเคี้ยวจีน ที่เหมือนร่วมมือกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ดัดหลังกันเอง
    สำหรับอังกฤษ ที่เป็นเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย มีกองเรือใหญ่ก็จริง แต่จีนอยู่ห่างกับอังกฤษคนละซีกโลก แถม อังกฤษต้องเตรียมเก็บกองทัพเอาไว้ทำสงครามในยุโรป อังกฤษจึงเลือกใช้ อาวุธ soft power การมอมเมาจีนด้วยฝิ่นก่อน แล้วตามมาด้วย proxy war รุ่นแรก ทันสมัยมากนะ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อังกฤษ หลอกปั่นหัวญี่ปุ่นให้ไปตีตั๋วรวนจีนหลายรอบ รวมทั้งไปรบรัสเซียตามแผนอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นหลงคิดว่าตนเองรบเก่ง เข้าขั้นเป็นชาติมหาอำนาจ
    แต่จะปั่นหัวซามูไร เหมือนปั่นจิ้งหรีด อังกฤษก็ต้องรู้วิธีปั่น
    เมื่อญี่ปุ่นคิดปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration บรรดาหัวกะทิญี่ปุ่น ที่ต้องการปฏิรูปประเทศ พากันยกโขยงกันเกือบร้อยคน ไปประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ใช้เวลาอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อศึกษาด้านการปกครอง การค้า การเมือง และการทหารจากประเทศต่างๆ
    เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น บารอนอีโต้ Baron Ito ซึ่งเป็นหัวกะทิหมายเลขหนึ่ง ในการเดินทางไปศึกษาระบบต่างๆ ก็สรุปว่า ในด้านการปกครอง และการเมือง ระบบของอังกฤษที่มีระบบรัฐสภา และมีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมาะกับญี่ปุ่นที่สุด และเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อนในการตัดสินใจ (พูดเสียเพราะ จริงๆ ก็คือ ไม่ให้มายุ่งกับการเมืองโดยตรงนั่นแหล่ะ) ญี่ปุ่นจึงนำระบบ Council of State ของอังกฤษ มาแปลงเป็น คณะองคมนตรี หรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิ ให้เป็นผู้เชื่อมระหว่าง การเมืองกับจักรพรรดิแทน
    ส่วนด้านการทหาร ในสายตาของญี่ปุ่น ไม่มีที่ไหนสู้เยอรมันได้ ส่วนระบบการเงิน ญี่ปุ่นเห็นว่าอังกฤษคือต้นแบบ ญี่ปุ่นก็เลยถอดแบบระบบธนาคารกลาง และการเงินการคลังมาจากอังกฤษ ทั้งหมดง่ายดี
    ดังนั้น ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1870 จนถึง 1930 บรรดาหัวกะทิ หรืออีลิตญี่ปุ่น จึงอยู่ในความเชื่อว่า อังกฤษ นั้น ศิวิไลซ์ที่สุด ยิ่งอังกฤษสร้างภาพความเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเห็นแต่น้ำตาลที่อังกฤษฉาบไว้ ชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง ลงมาถึงพวกเศรษฐีมีเงิน พวกที่อยากก้าวหน้าอย่างฝรั่ง จึงต่างพากันส่งลูกหลานไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อจบกลับมาก็สร้างระบบ และคิดตามที่อังกฤษฝังหัวไว้ จึงไม่ยาก ที่เหล่าซามูไรจะกลายเป็นจิ้งหรีด ให้อังกฤษปั่นหัว หลอกใช้ให้ไปรบรัสเซีย ป่วนจีน และกันท่าไม่ให้ชาติอื่น เข้ามาในจีนง่ายๆ ญี่ปุ่นมองไม่เห็นถึงไส้ในของแท้ของอังกฤษ ที่ ไม่มีวันจะเห็นชาติที่อยู่นอกเชื้อพันธ์แองโกลแซกซอน (ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ) มาเท่าเทียมกับตน
    และในเมื่อ Meiji Restoration ยกให้จักรพรรดิ เป็นสิ่งสูงสุดที่สวรรค์ส่งมาให้ แม้จะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง แต่ผู้คนก็พากันอ้างเอาจักรพรรดิเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา จึงพยายามแทรกเข้าไปในวัง เพื่อสร้างเครือข่าย และหวังจะชักนำราชวงศ์ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ
    น่าสนใจว่า อิทธิพลของฝรั่ง อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เข้าไปในญี่ปุ่นสมัยนั้น ทั้งในระดับในวัง และระดับชนชั้นสูงนอกวัง คือ ศาสนาคริสเตียน ในแวดวงของจักรพรรดินี หรือตัวจักรพรรดินีเอง ส่วนใหญ่นับถือคริสเตียน ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสเตียน เปิดทางให้พวกต่างชาติคริสเตียนเคร่งศาสนา ที่เรียกว่า Quaker ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยทั้งในอังกฤษและอเมริกา รายล้อมในและนอกวัง กลายเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลยิ่ง
    พวกเคว้กเกอร์ เมื่อเข้ามาในญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนสอนภาษา และหญิงผู้ดีญี่ปุ่นก็มักจะไปเรียนหนังสือ กับพวกเคว้กเกอร์ และพวกนี้ ก็จะแนะนำเพื่อนฝูง เครือญาติ ให้เข้ามารับใช้ราชวงศ์ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่งงานกับฝ่ายชายในสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจในการเมืองและธุรกิจ ก็ทำให้เครือข่ายของคริสเตียนเคว้กเกอร์นี้ ยิ่งแผ่ไปในสังคมชั้นสูงของญี่ปุ่นด้วย
    ทูตอเมรืกัน ประจำญี่ปุน ปี ค.ศ.1932 Joseph Grew ซึ่งเมีย ชื่อ Alice นั้น เป็นพวกเค้วกเกอร์ ที่มีเพื่อนสนิท ที่เป็นทั้งแม่ยาย ขององค์ชายชิชิบุ และเป็นคนสนิทของจักรพรรดินี ซาดาโกะ Sadako (แม่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต และชิชิบุ) ที่ก็มีข่าวว่าเป็นคริสเตียนจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน Alice ก็เป็นญาติกับเมียของ Jack Morgan แห่ง J P Morgan ที่ดัง ว่อน และวุ่นไปทั่วโลก
    ด้วยเส้นสายเช่นนี้ J P Morgan จึงได้มาเปิดบริษัทการเงืนใหญ่ อยู่ในญี่ปุ่น Morgan Zaibutsu พร้อมทั้งส่ง Thomas Lamont จำชื่อเขาได้ไหมครับ เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนของ JP Morgan มาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้จักรพรรดืฮิโรฮิโต และเจ้านายคนอื่นๆ ด้วย ไอ้หมอนี่ มีบทบาททั้งในอเมริกาเอง เป็นกรรมการธนาคารกลางของอเมริกา ต่อมาไปวุ่นเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย หลังจากนั้น มาญี่ปุ่น และก็ไปวุ่นที่อิตาลี เรื่องมุสโสลินีด้วย มันเป็นม้าใช้พันธุ์โปรด ของนักล่าจริงๆ
    ธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นในช่วงต้น ค.ศ.1900 จึงอยู่ในมือ Morgan แต่ที่ผู้คนมักจะสงสัยเสมอ คือ ความจงรักภักดีของ Morgan ที่แม้จะเป็นบริษัทอยู่ในวอลสตรีท แต่ไม่แน่ว่าในส่วนลึก Morgan นั้น ผูกพันกับอเมริกา หรือ อังกฤษกันแน่ และเพราะเหตุนี้ ร้อกกี้เฟลเลอร์ คู่แข่ง จึงไม่ปล่อยให้ Morgan กวาดธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นไปรายเดียว
    อเมริกา แม้จะมาที่หลังอังกฤษในจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อเมริกามาสายจนเกินแกง อังกฤษใช้บริษัทบริติชอีสท์อินเดีย เป็นตัวอำนวยการแสดงในจีน แทนรัฐบาล และใช้ฝิ่นเป็นอาวุธ อเมริกาก็มีมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปอย่างเงียบๆ ในจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1863 เมื่อ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ ขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงให้แก่จีน เมื่อค้าขายไปซักพัก เขาก็เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน และอาวุธที่ร้อกกี้ใช้จี้จุดจีน แม้จะไม่ทรงอานุภาพเช่นฝิ่นของอังกฤษ แต่ขบวนการมิชชั่นนารี ภายใต้การอุดหนุนของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปในจีนนานแล้ว แต่มาเปิดตัว เปิดหน้าในจีน อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 ก็ทำงานได้ตามเป้าหมายไม่น้อย ไม่เช่นนั้น อเมริกาคงไม่ได้เลี้ยงหนอนชื่อ ชาลี ซ่ง และ ซื้อไพ่ ชื่อ ซุนยัดเซ็น และเจียงไคเซ็ค
    ส่วนในญี่ปุ่นนั้น อเมริกามีวิธีแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ที่ได้ผล อย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 14 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 14 ทั้งอังกฤษและอเมริกา ต่างอยากได้จีนมาครอง โดยไม่แบ่งกับใคร และต่างก็มีแผน และวิธีการในการใช้ญี่ปุ่นและเคี้ยวจีน ที่เหมือนร่วมมือกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ดัดหลังกันเอง สำหรับอังกฤษ ที่เป็นเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย มีกองเรือใหญ่ก็จริง แต่จีนอยู่ห่างกับอังกฤษคนละซีกโลก แถม อังกฤษต้องเตรียมเก็บกองทัพเอาไว้ทำสงครามในยุโรป อังกฤษจึงเลือกใช้ อาวุธ soft power การมอมเมาจีนด้วยฝิ่นก่อน แล้วตามมาด้วย proxy war รุ่นแรก ทันสมัยมากนะ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อังกฤษ หลอกปั่นหัวญี่ปุ่นให้ไปตีตั๋วรวนจีนหลายรอบ รวมทั้งไปรบรัสเซียตามแผนอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นหลงคิดว่าตนเองรบเก่ง เข้าขั้นเป็นชาติมหาอำนาจ แต่จะปั่นหัวซามูไร เหมือนปั่นจิ้งหรีด อังกฤษก็ต้องรู้วิธีปั่น เมื่อญี่ปุ่นคิดปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration บรรดาหัวกะทิญี่ปุ่น ที่ต้องการปฏิรูปประเทศ พากันยกโขยงกันเกือบร้อยคน ไปประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ใช้เวลาอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อศึกษาด้านการปกครอง การค้า การเมือง และการทหารจากประเทศต่างๆ เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น บารอนอีโต้ Baron Ito ซึ่งเป็นหัวกะทิหมายเลขหนึ่ง ในการเดินทางไปศึกษาระบบต่างๆ ก็สรุปว่า ในด้านการปกครอง และการเมือง ระบบของอังกฤษที่มีระบบรัฐสภา และมีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมาะกับญี่ปุ่นที่สุด และเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อนในการตัดสินใจ (พูดเสียเพราะ จริงๆ ก็คือ ไม่ให้มายุ่งกับการเมืองโดยตรงนั่นแหล่ะ) ญี่ปุ่นจึงนำระบบ Council of State ของอังกฤษ มาแปลงเป็น คณะองคมนตรี หรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิ ให้เป็นผู้เชื่อมระหว่าง การเมืองกับจักรพรรดิแทน ส่วนด้านการทหาร ในสายตาของญี่ปุ่น ไม่มีที่ไหนสู้เยอรมันได้ ส่วนระบบการเงิน ญี่ปุ่นเห็นว่าอังกฤษคือต้นแบบ ญี่ปุ่นก็เลยถอดแบบระบบธนาคารกลาง และการเงินการคลังมาจากอังกฤษ ทั้งหมดง่ายดี ดังนั้น ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1870 จนถึง 1930 บรรดาหัวกะทิ หรืออีลิตญี่ปุ่น จึงอยู่ในความเชื่อว่า อังกฤษ นั้น ศิวิไลซ์ที่สุด ยิ่งอังกฤษสร้างภาพความเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเห็นแต่น้ำตาลที่อังกฤษฉาบไว้ ชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง ลงมาถึงพวกเศรษฐีมีเงิน พวกที่อยากก้าวหน้าอย่างฝรั่ง จึงต่างพากันส่งลูกหลานไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อจบกลับมาก็สร้างระบบ และคิดตามที่อังกฤษฝังหัวไว้ จึงไม่ยาก ที่เหล่าซามูไรจะกลายเป็นจิ้งหรีด ให้อังกฤษปั่นหัว หลอกใช้ให้ไปรบรัสเซีย ป่วนจีน และกันท่าไม่ให้ชาติอื่น เข้ามาในจีนง่ายๆ ญี่ปุ่นมองไม่เห็นถึงไส้ในของแท้ของอังกฤษ ที่ ไม่มีวันจะเห็นชาติที่อยู่นอกเชื้อพันธ์แองโกลแซกซอน (ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ) มาเท่าเทียมกับตน และในเมื่อ Meiji Restoration ยกให้จักรพรรดิ เป็นสิ่งสูงสุดที่สวรรค์ส่งมาให้ แม้จะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง แต่ผู้คนก็พากันอ้างเอาจักรพรรดิเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา จึงพยายามแทรกเข้าไปในวัง เพื่อสร้างเครือข่าย และหวังจะชักนำราชวงศ์ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ น่าสนใจว่า อิทธิพลของฝรั่ง อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เข้าไปในญี่ปุ่นสมัยนั้น ทั้งในระดับในวัง และระดับชนชั้นสูงนอกวัง คือ ศาสนาคริสเตียน ในแวดวงของจักรพรรดินี หรือตัวจักรพรรดินีเอง ส่วนใหญ่นับถือคริสเตียน ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสเตียน เปิดทางให้พวกต่างชาติคริสเตียนเคร่งศาสนา ที่เรียกว่า Quaker ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยทั้งในอังกฤษและอเมริกา รายล้อมในและนอกวัง กลายเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลยิ่ง พวกเคว้กเกอร์ เมื่อเข้ามาในญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนสอนภาษา และหญิงผู้ดีญี่ปุ่นก็มักจะไปเรียนหนังสือ กับพวกเคว้กเกอร์ และพวกนี้ ก็จะแนะนำเพื่อนฝูง เครือญาติ ให้เข้ามารับใช้ราชวงศ์ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่งงานกับฝ่ายชายในสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจในการเมืองและธุรกิจ ก็ทำให้เครือข่ายของคริสเตียนเคว้กเกอร์นี้ ยิ่งแผ่ไปในสังคมชั้นสูงของญี่ปุ่นด้วย ทูตอเมรืกัน ประจำญี่ปุน ปี ค.ศ.1932 Joseph Grew ซึ่งเมีย ชื่อ Alice นั้น เป็นพวกเค้วกเกอร์ ที่มีเพื่อนสนิท ที่เป็นทั้งแม่ยาย ขององค์ชายชิชิบุ และเป็นคนสนิทของจักรพรรดินี ซาดาโกะ Sadako (แม่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต และชิชิบุ) ที่ก็มีข่าวว่าเป็นคริสเตียนจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน Alice ก็เป็นญาติกับเมียของ Jack Morgan แห่ง J P Morgan ที่ดัง ว่อน และวุ่นไปทั่วโลก ด้วยเส้นสายเช่นนี้ J P Morgan จึงได้มาเปิดบริษัทการเงืนใหญ่ อยู่ในญี่ปุ่น Morgan Zaibutsu พร้อมทั้งส่ง Thomas Lamont จำชื่อเขาได้ไหมครับ เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนของ JP Morgan มาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้จักรพรรดืฮิโรฮิโต และเจ้านายคนอื่นๆ ด้วย ไอ้หมอนี่ มีบทบาททั้งในอเมริกาเอง เป็นกรรมการธนาคารกลางของอเมริกา ต่อมาไปวุ่นเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย หลังจากนั้น มาญี่ปุ่น และก็ไปวุ่นที่อิตาลี เรื่องมุสโสลินีด้วย มันเป็นม้าใช้พันธุ์โปรด ของนักล่าจริงๆ ธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นในช่วงต้น ค.ศ.1900 จึงอยู่ในมือ Morgan แต่ที่ผู้คนมักจะสงสัยเสมอ คือ ความจงรักภักดีของ Morgan ที่แม้จะเป็นบริษัทอยู่ในวอลสตรีท แต่ไม่แน่ว่าในส่วนลึก Morgan นั้น ผูกพันกับอเมริกา หรือ อังกฤษกันแน่ และเพราะเหตุนี้ ร้อกกี้เฟลเลอร์ คู่แข่ง จึงไม่ปล่อยให้ Morgan กวาดธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นไปรายเดียว อเมริกา แม้จะมาที่หลังอังกฤษในจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อเมริกามาสายจนเกินแกง อังกฤษใช้บริษัทบริติชอีสท์อินเดีย เป็นตัวอำนวยการแสดงในจีน แทนรัฐบาล และใช้ฝิ่นเป็นอาวุธ อเมริกาก็มีมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปอย่างเงียบๆ ในจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1863 เมื่อ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ ขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงให้แก่จีน เมื่อค้าขายไปซักพัก เขาก็เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน และอาวุธที่ร้อกกี้ใช้จี้จุดจีน แม้จะไม่ทรงอานุภาพเช่นฝิ่นของอังกฤษ แต่ขบวนการมิชชั่นนารี ภายใต้การอุดหนุนของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปในจีนนานแล้ว แต่มาเปิดตัว เปิดหน้าในจีน อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 ก็ทำงานได้ตามเป้าหมายไม่น้อย ไม่เช่นนั้น อเมริกาคงไม่ได้เลี้ยงหนอนชื่อ ชาลี ซ่ง และ ซื้อไพ่ ชื่อ ซุนยัดเซ็น และเจียงไคเซ็ค ส่วนในญี่ปุ่นนั้น อเมริกามีวิธีแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ที่ได้ผล อย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 8

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 8
    ตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 กว่าเป็นต้นมา อเมริกาเริ่มให้ความสนใจทะเลฝั่งแปซิฟิก ไม่ใช่มองเห็นแต่ฝั่งแอตแลนติกของลูกพี่ อังกฤษเท่านั้น แต่กว่าจะหันมาสนใจจริงจัง ก็ปาเข้า ปี ค.ศ.1853 ที่เอาเรือปืนไปเยี่ยมสวัสดีโชกุนนั่นแหละ ระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่น โลกของอเมริกา ค่อยๆกว้างขึ้น อเมริกา คงเพิ่งเห็นจีนชัดขึ้น
    จีนเป็นตลาดที่กว้างใหญ่ พลเมืองประมาณ 450 ล้านคน ในตอนนั้น ในสายตาของนักธุรกิจอเมริกันบอก นั่นคือโอกาสขายสินค้า 450 ล้านชิ้น จะสร้างกำไรงามขนาดไหนให้แก่พวก เรา ส่วนพวกมิชชันนารีก็มอง 450 ล้านคนว่า เป็นโอกาสทองที่จะจับ 450 ล้านเข้ารีต ได้กี่ล้านคนนะ ตลาดใหญ่แบบนี้ ไม่เข้าไปบุกได้อย่างไร
    อเมริกา มัวแต่สร้างประเทศ และรบกันเอง กว่าจะมองเห็น (ราคาของ) จีน ก็ถูกฝรั่งชาติอื่นแซงหน้าไปแล้ว รัสเซีย อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ออสเตรียและแม้แต่ญี่ปุ่น ต่างก็เล็งเป้า ตั้งเข็มทิศ มุ่งไปที่จีนกันหมดแล้ว และประมาณปี ค.ศ.1890 พวกฝรั่ง รวมทั้งญี่ปุ่น ต่างไปตั้งเขตปกครองของพวกตัวอยู่ไนจีน มีฐานทัพ ทำตัวตามสบาย เหมือนอยู่ในประเทศของตัวกันหมด อเมริกา ดูเหมือนจะตกรถไฟสาย (ไปยึด) จีน เที่ยวแรกไปเสียแล้ว
    อเมริกามีทางเลือกทางเดียว คือเข้าไปพ่วงกับอังกฤษ ที่ดูเหมือนจะพอพูดกันได้กว่านัก ล่ารายอื่น อังกฤษและอเมริกา ตกลงกันว่า จะใช้ญี่ปุ่นเป็นหัวรบ เจาะเข้าไปในจีน โดยทั้ง 2 ประเทศ ไม่ต้องเปิดตัว เปิดไต๋มากนัก แถมได้ไล่ตีทั้งรัสเซีย และเยอรมัน ที่อังกฤษไม่เคยรักด้วยเลย ให้กระเจิงไป อังกฤษตกลงบอก แกเอาละตินอเมรืกาไป ฉันไม่ยุ่ง แต่ที่ตะวันออกไกล โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น แกอย่าเสือกมาก เข้าใจไหม
    ปี ค.ศ.1895 การแข่งขันเรื่องสร้างทางรถไฟ ในจีน ชักเข้มข้น อเมริกา ตั้ง American China Development Company (ACDC) ขึ้นในจีน มีขาใหญ่จับมือร่วมกันหมด ทั้งค่าย Edward H Harriman เจ้าพ่อรถไฟต้วจริง ค่ายร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เอี่ยวกับ Kuhn& Loeb และค่าย Morgan เพื่อจะขอสร้างทางรถไฟสาย Peking – Hankow เส้นหนี่ง อีกเส้นข้ามแมนจูเรีย ปรากฏว่า อเมริกา ไม่ได้กินสักเส้นทาง ได้แต่กินแห้ว แต่รัสเซียได้เส้นทางแมนจูเรียไป ส่วนกลุ่มเบลเยี่ยมได้เส้นปักกิ่งไป
    อังกฤษ อเมริกา บอก แบบนี้ก็ถึงเวลาต้องเล่นลูกหนักแล้ว
    เมื่ออเมริกา ยึดฟิลิปปีนส์ได้ ในปี ค.ศ.1898 ฟิลิปปินส์ห่างจีนแค่ 400 ไมล์ อเมริกาคิดว่า ตนเองน่าจะได้เปรียบกว่าอีกหลายชาติ ที่ต้องล่องเรือมาไกล อเมริกาจึงพยายามโหนตัวแทรกเข้าไปใหม่ ในรถไฟสายไปยึดจีน ที่แน่นขนัด
    ในปี ค.ศ.1899 อเมริกา เริ่มเดินสาย บอกฝรั่งที่ปักหลักอยู่ในจีนแล้วว่า เราพวกต่างชาติกำลังเอาเปรียบจีนนะ เราควรตกลงกับเขาอย่างตรงไปตรงมาให้ยุติธรรม ว่าเราต้องการอะไร และเขาจะได้อะไร และพวกเราก็ควรมาตกลงกันเอง อย่างเท่าเทียมกัน ฟังดูดี มีความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย สันดานด้านได้ ส่อแววมาร้อยกว่าปีเลยนะไอ้ใบตองแห้ง แล้วอเมริกาก็เสนอนโยบายเช่นว่านี้ ที่เรียกกันว่า Open Door Policy นโยบายเปิดประตู (จีน) ให้ทุกฝ่ายพิจารณา มันน่าจะเรียกว่า อุบายเปิดประตูจีน มากกว่านะ
    แต่ดูเหมือนอุบายนี้ จะขายไม่ออก ฝ่ายจีนบอกว่า ถ้าเรายอมให้มีการตกลงกันใหม่อีก ไม่รู้จะยิ่งเสียอะไรมากขึ้นไปอีก ส่วนพวกฝรั่งที่ได้สิทธิไปแล้ว ต่างก็กอดชามข้าวของตัวเองแน่น เรื่องอะไร จะตกลงใหม่ เพื่อเปิดทางให้ไอ้เจ๋อหน้าใหม่ เข้ามาแย่งชามข้าว
    แล้วปี ค.ศ.1900 ก็เกิดกบฏนักมวย ไล่ตีฝรั่งที่อยู่ในจีนเสียกระเจิง เมื่อกองทัพนานาชาติมาช่วยพวกฝรั่ง ที่ถูกนักมวยล้อมกรอบ อยู่ที่บริเวณสถานทูตอังกฤษที่ปักกิ่ง ก็มีกองกำลังทหารเรือของอเมริกา ที่บังเอิญอยู่ในจีน เข้าไปร่วมยิงพวกนักมวยด้วย ชาติอื่นมีกองกำลังอยู่ในจีน ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะไปตั้งบ้านเรือน สถานทูต ฐานทัพกันเรียบร้อยแล้ว แต่อเมริกา เพิ่งแค่โหนขึ้นรถ ยังไม่ทันแม้แต่จะมีที่ให้หย่อนก้นลงนั่งเสียด้วยซ้ำ แต่มีกองทหารไปช่วยรบได้แล้ว แน่จริงๆครับไอ้เจ๋อ แต่ที่แน่กว่านั้น กองทัพรัสเซีย ถูกกองทหารต่างชาติด้วยกัน แต่ไม่รู้จากชาติไหน ตีแตกออกไปจากแมนจูเรีย
    แต่บางคนอาจสงสัย เอะ…. แล้วทำไมเป้าแรก หวยถึงไปออกที่เยอรมัน ฝรั่งมีตั้ง 5,6 ชาติ ก็ไม่น่าต้องสงสัย ผู้ต้องสงสัย ก็น่าจะเป็นอังกฤษ เพราะนั่นมันปี ค.ศ.1900 เป็นช่วงที่อังกฤษกำลังเขม่นเยอรมัน แสดงออกมาทั้งหน้าทั้งอาการ รู้กันไปทั้งโลกแล้ว จากเรื่องทางรถไฟเบอร์ลินแบกแดด นี่มันยังมาสร้างทางรถไฟในจีนอีก ไม่หมั่นไส้ทนไหวหรือ (อ่านรายละเอียดเพิ่มได้จากนิทานเรื่องลูกครึ่งหรือนกสองหัว และเรื่องต้มข้ามศตวรรษ นะครับ) ตกลงเรื่องทางรถไฟ นี่มันเรื่องใหญ่นะครับ ไม่ว่าสมัยไหน
    วิธีการเล่นกลแบบนี้ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา เล่นเก่งทั้งคู่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายแล้ว ใครจะกินใคร ต้องตามไปดู
    อเมริกาไม่ใช่เพิ่งเข้าไปในจีน ในปี ค.ศ.1900 นั่นหรอก ไอ้นั่นมันประวัติศาสตร์แบบ หลักสูตรสอนเด็กนักเรียน หรือศึกษาประวัติศาสตร์แบบคนซื่อ
    หวังว่าคงยังจำกันได้ พวกตระกูล Rockefeller เจ้าพ่อน้ำมันยี่ห้อ Standard oil ก่อนหน้าจะขายน้ำมันเหนียว เจ้าพ่อขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงก่อน ตั้งแต่ประมาณ ปี ค.ศ.1800 ต้นๆ ก็สมัยนั้น ไฟฟ้ามีที่ไหนล่ะ และจีนก็เป็นลูกค้าน้ำก๊าดของเจ้าพ่อร๊อกกี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1863 บอกแล้วว่าอเมริกา เพิ่งเห็นโลกกว้างตั้งแต่เอาเรือรบไปจ่อญี่ปุ่น
    บรรดาเจ้าพ่อทางธุรกิจของอเมริกา ที่มีอิทธิพล และบทบาทใหญ่ ทางด้านการเมือง และธุรกิจ ทั้งในอเมริกาเอง และในโลก ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1880 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คงไม่มีใครเกิน 2 ตระกูล ร้อกกี้เฟลเลอร์และมอร์แกน ทั้ง 2 ตระกูล เหมือนจะจับมือร่วมกัน แต่บางคราว ก็เหมือนจะหักกันเอง ไม่ต่างกับสัมพันธ์ของอังกฤษกับอเมริกา
    เรื่องของจีนกับญี่ปุ่นก็เช่นกัน ไม่ได้เป็นเรื่องระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องระหว่างอังกฤษกับอเมริกา และเป็นเรื่องระหว่าง ร้อกกี้เฟลเลอร์กับมอร์แกนอีกด้วย
    นี่มันไม่รู้กี่เส้า แล้วผมจะเขียนให้รู้เรื่องไหวไหมเนี่ย ชักสงสัยตัวเอง
    เมื่อปี ค.ศ.1904 ญี่ปุ่น เตรียมตัวไปรบรัสเซีย ตามที่อังกฤษ ทั้งวางแผน และจัดหาทุนให้ ถึงคนหาเงินจะเป็น Jacob Schiff ของ Kuhn Loeb แต่ Schiff ก็เป็นแนวร่วมกับ J P Morgan หลังจากญี่ปุ่นรบชนะรัสเซีย JP Morgan กับ Rockefeller ก็ร่วมมือกัน สร้างปฏิวัติบอลเชวิกให้รัสเซีย ระหว่างรัสเซียมีปฏิวัติ อังกฤษก็สร้างสงครามโลกคร้ังที่ 1 เพื่อถล่มเยอรมัน ระหว่างนั้น อเมริกา นั่งดูอังกฤษรบในยุโรปทางหนึ่ง อีกทางก็เข้ามาขุดสมบัติในรัสเซีย และเลยมาถึงจีน ที่อังกฤษให้ญี่ปุนตีตั๋วจอง และตีตั๋วรวน แทนมาตลอด เพราะอังกฤษอยากครองทั้งโลก แต่แบ่งภาคไปยึดเองไม่ได้ทั้งหมด และอังกฤษ กับอเมริกา ก็เลยทำท่าจะชนกันเอง ทั้งเรื่องของจีน และญี่ปุ่น มึนไหมครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    19 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 8 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 กว่าเป็นต้นมา อเมริกาเริ่มให้ความสนใจทะเลฝั่งแปซิฟิก ไม่ใช่มองเห็นแต่ฝั่งแอตแลนติกของลูกพี่ อังกฤษเท่านั้น แต่กว่าจะหันมาสนใจจริงจัง ก็ปาเข้า ปี ค.ศ.1853 ที่เอาเรือปืนไปเยี่ยมสวัสดีโชกุนนั่นแหละ ระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่น โลกของอเมริกา ค่อยๆกว้างขึ้น อเมริกา คงเพิ่งเห็นจีนชัดขึ้น จีนเป็นตลาดที่กว้างใหญ่ พลเมืองประมาณ 450 ล้านคน ในตอนนั้น ในสายตาของนักธุรกิจอเมริกันบอก นั่นคือโอกาสขายสินค้า 450 ล้านชิ้น จะสร้างกำไรงามขนาดไหนให้แก่พวก เรา ส่วนพวกมิชชันนารีก็มอง 450 ล้านคนว่า เป็นโอกาสทองที่จะจับ 450 ล้านเข้ารีต ได้กี่ล้านคนนะ ตลาดใหญ่แบบนี้ ไม่เข้าไปบุกได้อย่างไร อเมริกา มัวแต่สร้างประเทศ และรบกันเอง กว่าจะมองเห็น (ราคาของ) จีน ก็ถูกฝรั่งชาติอื่นแซงหน้าไปแล้ว รัสเซีย อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ออสเตรียและแม้แต่ญี่ปุ่น ต่างก็เล็งเป้า ตั้งเข็มทิศ มุ่งไปที่จีนกันหมดแล้ว และประมาณปี ค.ศ.1890 พวกฝรั่ง รวมทั้งญี่ปุ่น ต่างไปตั้งเขตปกครองของพวกตัวอยู่ไนจีน มีฐานทัพ ทำตัวตามสบาย เหมือนอยู่ในประเทศของตัวกันหมด อเมริกา ดูเหมือนจะตกรถไฟสาย (ไปยึด) จีน เที่ยวแรกไปเสียแล้ว อเมริกามีทางเลือกทางเดียว คือเข้าไปพ่วงกับอังกฤษ ที่ดูเหมือนจะพอพูดกันได้กว่านัก ล่ารายอื่น อังกฤษและอเมริกา ตกลงกันว่า จะใช้ญี่ปุ่นเป็นหัวรบ เจาะเข้าไปในจีน โดยทั้ง 2 ประเทศ ไม่ต้องเปิดตัว เปิดไต๋มากนัก แถมได้ไล่ตีทั้งรัสเซีย และเยอรมัน ที่อังกฤษไม่เคยรักด้วยเลย ให้กระเจิงไป อังกฤษตกลงบอก แกเอาละตินอเมรืกาไป ฉันไม่ยุ่ง แต่ที่ตะวันออกไกล โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น แกอย่าเสือกมาก เข้าใจไหม ปี ค.ศ.1895 การแข่งขันเรื่องสร้างทางรถไฟ ในจีน ชักเข้มข้น อเมริกา ตั้ง American China Development Company (ACDC) ขึ้นในจีน มีขาใหญ่จับมือร่วมกันหมด ทั้งค่าย Edward H Harriman เจ้าพ่อรถไฟต้วจริง ค่ายร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เอี่ยวกับ Kuhn& Loeb และค่าย Morgan เพื่อจะขอสร้างทางรถไฟสาย Peking – Hankow เส้นหนี่ง อีกเส้นข้ามแมนจูเรีย ปรากฏว่า อเมริกา ไม่ได้กินสักเส้นทาง ได้แต่กินแห้ว แต่รัสเซียได้เส้นทางแมนจูเรียไป ส่วนกลุ่มเบลเยี่ยมได้เส้นปักกิ่งไป อังกฤษ อเมริกา บอก แบบนี้ก็ถึงเวลาต้องเล่นลูกหนักแล้ว เมื่ออเมริกา ยึดฟิลิปปีนส์ได้ ในปี ค.ศ.1898 ฟิลิปปินส์ห่างจีนแค่ 400 ไมล์ อเมริกาคิดว่า ตนเองน่าจะได้เปรียบกว่าอีกหลายชาติ ที่ต้องล่องเรือมาไกล อเมริกาจึงพยายามโหนตัวแทรกเข้าไปใหม่ ในรถไฟสายไปยึดจีน ที่แน่นขนัด ในปี ค.ศ.1899 อเมริกา เริ่มเดินสาย บอกฝรั่งที่ปักหลักอยู่ในจีนแล้วว่า เราพวกต่างชาติกำลังเอาเปรียบจีนนะ เราควรตกลงกับเขาอย่างตรงไปตรงมาให้ยุติธรรม ว่าเราต้องการอะไร และเขาจะได้อะไร และพวกเราก็ควรมาตกลงกันเอง อย่างเท่าเทียมกัน ฟังดูดี มีความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย สันดานด้านได้ ส่อแววมาร้อยกว่าปีเลยนะไอ้ใบตองแห้ง แล้วอเมริกาก็เสนอนโยบายเช่นว่านี้ ที่เรียกกันว่า Open Door Policy นโยบายเปิดประตู (จีน) ให้ทุกฝ่ายพิจารณา มันน่าจะเรียกว่า อุบายเปิดประตูจีน มากกว่านะ แต่ดูเหมือนอุบายนี้ จะขายไม่ออก ฝ่ายจีนบอกว่า ถ้าเรายอมให้มีการตกลงกันใหม่อีก ไม่รู้จะยิ่งเสียอะไรมากขึ้นไปอีก ส่วนพวกฝรั่งที่ได้สิทธิไปแล้ว ต่างก็กอดชามข้าวของตัวเองแน่น เรื่องอะไร จะตกลงใหม่ เพื่อเปิดทางให้ไอ้เจ๋อหน้าใหม่ เข้ามาแย่งชามข้าว แล้วปี ค.ศ.1900 ก็เกิดกบฏนักมวย ไล่ตีฝรั่งที่อยู่ในจีนเสียกระเจิง เมื่อกองทัพนานาชาติมาช่วยพวกฝรั่ง ที่ถูกนักมวยล้อมกรอบ อยู่ที่บริเวณสถานทูตอังกฤษที่ปักกิ่ง ก็มีกองกำลังทหารเรือของอเมริกา ที่บังเอิญอยู่ในจีน เข้าไปร่วมยิงพวกนักมวยด้วย ชาติอื่นมีกองกำลังอยู่ในจีน ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะไปตั้งบ้านเรือน สถานทูต ฐานทัพกันเรียบร้อยแล้ว แต่อเมริกา เพิ่งแค่โหนขึ้นรถ ยังไม่ทันแม้แต่จะมีที่ให้หย่อนก้นลงนั่งเสียด้วยซ้ำ แต่มีกองทหารไปช่วยรบได้แล้ว แน่จริงๆครับไอ้เจ๋อ แต่ที่แน่กว่านั้น กองทัพรัสเซีย ถูกกองทหารต่างชาติด้วยกัน แต่ไม่รู้จากชาติไหน ตีแตกออกไปจากแมนจูเรีย แต่บางคนอาจสงสัย เอะ…. แล้วทำไมเป้าแรก หวยถึงไปออกที่เยอรมัน ฝรั่งมีตั้ง 5,6 ชาติ ก็ไม่น่าต้องสงสัย ผู้ต้องสงสัย ก็น่าจะเป็นอังกฤษ เพราะนั่นมันปี ค.ศ.1900 เป็นช่วงที่อังกฤษกำลังเขม่นเยอรมัน แสดงออกมาทั้งหน้าทั้งอาการ รู้กันไปทั้งโลกแล้ว จากเรื่องทางรถไฟเบอร์ลินแบกแดด นี่มันยังมาสร้างทางรถไฟในจีนอีก ไม่หมั่นไส้ทนไหวหรือ (อ่านรายละเอียดเพิ่มได้จากนิทานเรื่องลูกครึ่งหรือนกสองหัว และเรื่องต้มข้ามศตวรรษ นะครับ) ตกลงเรื่องทางรถไฟ นี่มันเรื่องใหญ่นะครับ ไม่ว่าสมัยไหน วิธีการเล่นกลแบบนี้ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา เล่นเก่งทั้งคู่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายแล้ว ใครจะกินใคร ต้องตามไปดู อเมริกาไม่ใช่เพิ่งเข้าไปในจีน ในปี ค.ศ.1900 นั่นหรอก ไอ้นั่นมันประวัติศาสตร์แบบ หลักสูตรสอนเด็กนักเรียน หรือศึกษาประวัติศาสตร์แบบคนซื่อ หวังว่าคงยังจำกันได้ พวกตระกูล Rockefeller เจ้าพ่อน้ำมันยี่ห้อ Standard oil ก่อนหน้าจะขายน้ำมันเหนียว เจ้าพ่อขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงก่อน ตั้งแต่ประมาณ ปี ค.ศ.1800 ต้นๆ ก็สมัยนั้น ไฟฟ้ามีที่ไหนล่ะ และจีนก็เป็นลูกค้าน้ำก๊าดของเจ้าพ่อร๊อกกี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1863 บอกแล้วว่าอเมริกา เพิ่งเห็นโลกกว้างตั้งแต่เอาเรือรบไปจ่อญี่ปุ่น บรรดาเจ้าพ่อทางธุรกิจของอเมริกา ที่มีอิทธิพล และบทบาทใหญ่ ทางด้านการเมือง และธุรกิจ ทั้งในอเมริกาเอง และในโลก ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1880 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คงไม่มีใครเกิน 2 ตระกูล ร้อกกี้เฟลเลอร์และมอร์แกน ทั้ง 2 ตระกูล เหมือนจะจับมือร่วมกัน แต่บางคราว ก็เหมือนจะหักกันเอง ไม่ต่างกับสัมพันธ์ของอังกฤษกับอเมริกา เรื่องของจีนกับญี่ปุ่นก็เช่นกัน ไม่ได้เป็นเรื่องระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องระหว่างอังกฤษกับอเมริกา และเป็นเรื่องระหว่าง ร้อกกี้เฟลเลอร์กับมอร์แกนอีกด้วย นี่มันไม่รู้กี่เส้า แล้วผมจะเขียนให้รู้เรื่องไหวไหมเนี่ย ชักสงสัยตัวเอง เมื่อปี ค.ศ.1904 ญี่ปุ่น เตรียมตัวไปรบรัสเซีย ตามที่อังกฤษ ทั้งวางแผน และจัดหาทุนให้ ถึงคนหาเงินจะเป็น Jacob Schiff ของ Kuhn Loeb แต่ Schiff ก็เป็นแนวร่วมกับ J P Morgan หลังจากญี่ปุ่นรบชนะรัสเซีย JP Morgan กับ Rockefeller ก็ร่วมมือกัน สร้างปฏิวัติบอลเชวิกให้รัสเซีย ระหว่างรัสเซียมีปฏิวัติ อังกฤษก็สร้างสงครามโลกคร้ังที่ 1 เพื่อถล่มเยอรมัน ระหว่างนั้น อเมริกา นั่งดูอังกฤษรบในยุโรปทางหนึ่ง อีกทางก็เข้ามาขุดสมบัติในรัสเซีย และเลยมาถึงจีน ที่อังกฤษให้ญี่ปุนตีตั๋วจอง และตีตั๋วรวน แทนมาตลอด เพราะอังกฤษอยากครองทั้งโลก แต่แบ่งภาคไปยึดเองไม่ได้ทั้งหมด และอังกฤษ กับอเมริกา ก็เลยทำท่าจะชนกันเอง ทั้งเรื่องของจีน และญี่ปุ่น มึนไหมครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 19 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 3
    อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น
    งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย
    ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว
    ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ
    ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม
    มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว
    ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย
    ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ
    ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย
    ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง
    นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
    ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต
    #############
    ตอน 4

    วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง
    ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931
    ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน
    อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ
    ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย
    ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives…
    แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937
    ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต
    ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว
    เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด
    สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ
    ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies
    จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 3 อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต ############# ตอน 4 วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931 ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives… แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937 ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 685 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความกังวลเรื่องหนี้ในอุตสาหกรรม AI

    รายงานจาก Wall Street ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีและ AI ชั้นนำ เช่น OpenAI, Nvidia, Microsoft, Anthropic ต่างพึ่งพาการกู้ยืมและการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้จะยังไม่เห็นผลกำไรที่ชัดเจน การพึ่งพาหนี้จำนวนมหาศาลนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงหากรายได้ไม่สามารถตามทันการลงทุน

    การขยายตัวของบริษัทที่ฐานะการเงินอ่อนแอ
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ชี้ว่า ecosystem ของ AI เริ่มรวมบริษัทที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ เช่น Oracle และ CoreWeave ซึ่งต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อแข่งขันในตลาด แม้บริษัทใหญ่เช่น Microsoft, Amazon และ Google ยังมีธุรกิจหลักที่ทำกำไร แต่บริษัทเล็กที่เข้ามาเสริม ecosystem อาจเป็นจุดเปราะบางที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ

    ราคาหุ้น Nvidia และแรงกดดันจากนักลงทุน
    แม้ Nvidia จะยังทำกำไรจากการขาย GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล AI แต่ราคาหุ้นก็ลดลงกว่า 10% ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2025 นักลงทุนเริ่มเข้าสู่ช่วง “show me the money” โดยต้องการเห็นผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน ไม่ใช่เพียงการขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง

    ความเสี่ยงต่ออนาคตของตลาด AI
    หากการลงทุนมหาศาลเหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืน นักลงทุนอาจถอนตัวและกดดันให้บริษัท AI ต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน แม้ยังไม่มีสัญญาณว่าฟองสบู่ AI จะ “แตก” ในทันที แต่ความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนอาจนำไปสู่การชะลอตัวของตลาดในปีถัดไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    บริษัท AI และเทคโนโลยีชั้นนำพึ่งพาหนี้มหาศาล
    OpenAI, Nvidia, Microsoft, Anthropic ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยยังไม่เห็นกำไรชัดเจน

    บริษัทที่ฐานะการเงินอ่อนแอเข้ามาใน ecosystem
    Oracle และ CoreWeave ต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อแข่งขัน

    ราคาหุ้น Nvidia ลดลงกว่า 10% ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน
    นักลงทุนเริ่มเรียกร้องผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน

    ตลาด AI เข้าสู่ช่วง “show me the money”
    นักลงทุนต้องการรายได้จริง ไม่ใช่เพียงการขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    ความเสี่ยงเชิงระบบจากหนี้และการเชื่อมโยงซับซ้อน
    หากบริษัทเล็กไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจกระทบทั้ง ecosystem

    ความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน
    อาจนำไปสู่การชะลอตัวของตลาด AI ในปีถัดไป

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/wall-street-warns-of-rising-ai-debt-risk-as-stocks-slide-on-wobbly-investor-confidence-analysts-warn-of-systemic-risk-as-nvidia-share-price-creaks
    📉 ความกังวลเรื่องหนี้ในอุตสาหกรรม AI รายงานจาก Wall Street ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีและ AI ชั้นนำ เช่น OpenAI, Nvidia, Microsoft, Anthropic ต่างพึ่งพาการกู้ยืมและการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้จะยังไม่เห็นผลกำไรที่ชัดเจน การพึ่งพาหนี้จำนวนมหาศาลนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงหากรายได้ไม่สามารถตามทันการลงทุน 🏦 การขยายตัวของบริษัทที่ฐานะการเงินอ่อนแอ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ชี้ว่า ecosystem ของ AI เริ่มรวมบริษัทที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ เช่น Oracle และ CoreWeave ซึ่งต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อแข่งขันในตลาด แม้บริษัทใหญ่เช่น Microsoft, Amazon และ Google ยังมีธุรกิจหลักที่ทำกำไร แต่บริษัทเล็กที่เข้ามาเสริม ecosystem อาจเป็นจุดเปราะบางที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ 📊 ราคาหุ้น Nvidia และแรงกดดันจากนักลงทุน แม้ Nvidia จะยังทำกำไรจากการขาย GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล AI แต่ราคาหุ้นก็ลดลงกว่า 10% ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2025 นักลงทุนเริ่มเข้าสู่ช่วง “show me the money” โดยต้องการเห็นผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน ไม่ใช่เพียงการขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ⚠️ ความเสี่ยงต่ออนาคตของตลาด AI หากการลงทุนมหาศาลเหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืน นักลงทุนอาจถอนตัวและกดดันให้บริษัท AI ต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน แม้ยังไม่มีสัญญาณว่าฟองสบู่ AI จะ “แตก” ในทันที แต่ความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนอาจนำไปสู่การชะลอตัวของตลาดในปีถัดไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ บริษัท AI และเทคโนโลยีชั้นนำพึ่งพาหนี้มหาศาล ➡️ OpenAI, Nvidia, Microsoft, Anthropic ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยยังไม่เห็นกำไรชัดเจน ✅ บริษัทที่ฐานะการเงินอ่อนแอเข้ามาใน ecosystem ➡️ Oracle และ CoreWeave ต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อแข่งขัน ✅ ราคาหุ้น Nvidia ลดลงกว่า 10% ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ➡️ นักลงทุนเริ่มเรียกร้องผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน ✅ ตลาด AI เข้าสู่ช่วง “show me the money” ➡️ นักลงทุนต้องการรายได้จริง ไม่ใช่เพียงการขยายโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความเสี่ยงเชิงระบบจากหนี้และการเชื่อมโยงซับซ้อน ⛔ หากบริษัทเล็กไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจกระทบทั้ง ecosystem ‼️ ความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน ⛔ อาจนำไปสู่การชะลอตัวของตลาด AI ในปีถัดไป https://www.tomshardware.com/tech-industry/wall-street-warns-of-rising-ai-debt-risk-as-stocks-slide-on-wobbly-investor-confidence-analysts-warn-of-systemic-risk-as-nvidia-share-price-creaks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤติ DRAM จากกระแส AI

    ตลาด DRAM กำลังเผชิญภาวะตึงตัวอย่างหนัก เนื่องจากความต้องการหน่วยความจำจากการพัฒนา AI และเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาหน่วยความจำจึงพุ่งสูงกว่า 100% ภายในปีเดียว ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก

    ผลกระทบต่อผู้ผลิตรายใหญ่
    Morgan Stanley ได้ปรับลดอันดับหุ้นของหลายบริษัท เช่น Dell จาก Overweight เป็น Underweight เนื่องจาก Dell มีธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ DRAM ปริมาณมหาศาล ขณะที่ HP, Asus และ Pegatron ถูกปรับลดเป็น Equal-weight ส่วน Acer และ Compal ถูกจัดอันดับต่ำอยู่แล้ว การปรับลดนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่กำไรของบริษัทจะถูกบีบจากต้นทุนหน่วยความจำที่สูงขึ้น

    Apple รอดพ้นวิกฤติ
    ในทางกลับกัน Apple ยังคงได้อันดับ Overweight เพราะบริษัทได้วางแผนล่วงหน้า ซื้อ DRAM จำนวนมากก่อนที่วิกฤติจะเกิดขึ้น และยังมีสัญญาระยะยาวกับผู้ผลิตหน่วยความจำอย่าง Kioxia ทำให้สินค้าของ Apple เช่น Mac, iPad และ iPhone ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคู่แข่ง

    แนวโน้มในอนาคต
    นักวิเคราะห์คาดว่าภาวะขาดแคลน DRAM จะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี เนื่องจากผู้ผลิตหน่วยความจำยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตอย่างจริงจัง ขณะที่ความต้องการจาก AI และเซิร์ฟเวอร์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้อาจทำให้ราคาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    สรุปสาระสำคัญ
    ราคาหน่วยความจำ DRAM เพิ่มขึ้นกว่า 100%
    เกิดจากความต้องการ AI และเซิร์ฟเวอร์ที่สูงขึ้น

    Morgan Stanley ปรับลดอันดับหุ้นผู้ผลิตรายใหญ่
    Dell, HP, Asus, Pegatron ได้รับผลกระทบหนัก

    Apple วางแผนล่วงหน้าและรอดพ้นวิกฤติ
    ซื้อ DRAM ล่วงหน้าและมีสัญญากับ Kioxia

    ต้นทุนเซิร์ฟเวอร์สูงขึ้นอย่างมาก
    DRAM คิดเป็น 30–40% ของต้นทุนรวมของเซิร์ฟเวอร์

    ความเสี่ยงต่อกำไรของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์
    ต้นทุนสูงอาจบีบกำไรและทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น

    แนวโน้มวิกฤติจะยืดเยื้อ
    ผู้ผลิตหน่วยความจำยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตในระยะสั้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr5/ai-led-dram-supply-crunch-reportedly-has-morgan-stanley-downgrading-major-oems-skyrocketing-memory-prices-could-erode-server-and-pc-margins
    💾 วิกฤติ DRAM จากกระแส AI ตลาด DRAM กำลังเผชิญภาวะตึงตัวอย่างหนัก เนื่องจากความต้องการหน่วยความจำจากการพัฒนา AI และเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาหน่วยความจำจึงพุ่งสูงกว่า 100% ภายในปีเดียว ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก 📉 ผลกระทบต่อผู้ผลิตรายใหญ่ Morgan Stanley ได้ปรับลดอันดับหุ้นของหลายบริษัท เช่น Dell จาก Overweight เป็น Underweight เนื่องจาก Dell มีธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ DRAM ปริมาณมหาศาล ขณะที่ HP, Asus และ Pegatron ถูกปรับลดเป็น Equal-weight ส่วน Acer และ Compal ถูกจัดอันดับต่ำอยู่แล้ว การปรับลดนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่กำไรของบริษัทจะถูกบีบจากต้นทุนหน่วยความจำที่สูงขึ้น 🍎 Apple รอดพ้นวิกฤติ ในทางกลับกัน Apple ยังคงได้อันดับ Overweight เพราะบริษัทได้วางแผนล่วงหน้า ซื้อ DRAM จำนวนมากก่อนที่วิกฤติจะเกิดขึ้น และยังมีสัญญาระยะยาวกับผู้ผลิตหน่วยความจำอย่าง Kioxia ทำให้สินค้าของ Apple เช่น Mac, iPad และ iPhone ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคู่แข่ง 🔮 แนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์คาดว่าภาวะขาดแคลน DRAM จะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี เนื่องจากผู้ผลิตหน่วยความจำยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตอย่างจริงจัง ขณะที่ความต้องการจาก AI และเซิร์ฟเวอร์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้อาจทำให้ราคาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ราคาหน่วยความจำ DRAM เพิ่มขึ้นกว่า 100% ➡️ เกิดจากความต้องการ AI และเซิร์ฟเวอร์ที่สูงขึ้น ✅ Morgan Stanley ปรับลดอันดับหุ้นผู้ผลิตรายใหญ่ ➡️ Dell, HP, Asus, Pegatron ได้รับผลกระทบหนัก ✅ Apple วางแผนล่วงหน้าและรอดพ้นวิกฤติ ➡️ ซื้อ DRAM ล่วงหน้าและมีสัญญากับ Kioxia ✅ ต้นทุนเซิร์ฟเวอร์สูงขึ้นอย่างมาก ➡️ DRAM คิดเป็น 30–40% ของต้นทุนรวมของเซิร์ฟเวอร์ ‼️ ความเสี่ยงต่อกำไรของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ⛔ ต้นทุนสูงอาจบีบกำไรและทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น ‼️ แนวโน้มวิกฤติจะยืดเยื้อ ⛔ ผู้ผลิตหน่วยความจำยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตในระยะสั้น https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr5/ai-led-dram-supply-crunch-reportedly-has-morgan-stanley-downgrading-major-oems-skyrocketing-memory-prices-could-erode-server-and-pc-margins
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เตรียมขาย “AI Server” ทั้งชุด – แผนใหญ่ของ Jensen Huang

    เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกฮาร์ดแวร์ AI เมื่อ JP Morgan วิเคราะห์ว่า Nvidia กำลังจะไม่ขายแค่ GPU หรือชิ้นส่วน แต่จะขาย “AI Server” ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปีหน้า การทำเช่นนี้หมายถึง Nvidia จะควบคุมห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น และเหล่า ODM หรือผู้ผลิตรายอื่นจะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้ายเท่านั้น

    การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับการที่บริษัทไม่เพียงขายชิ้นส่วน แต่ขาย “หัวใจของระบบ” ทั้งหมด ทำให้คู่ค้าไม่สามารถสร้างความแตกต่างทางฮาร์ดแวร์ได้มากนัก แต่ก็ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการผลิต ขณะเดียวกัน GPU รุ่น Rubin ยังใช้พลังงานสูงขึ้นถึง 1.8–2.3 kW ต่อชิป ซึ่งทำให้ระบบระบายความร้อนต้องซับซ้อนขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ Nvidia เลือกขายเป็นชุดสำเร็จรูป

    นอกจากนี้ JP Morgan ยังเผยว่า ชิป Vera Rubin ทั้ง 6 รุ่นได้เข้าสู่ขั้นตอน pre-production ที่ TSMC แล้ว และยังไม่มีการเลื่อนกำหนดการเปิดตัวในครึ่งหลังปี 2026 ซึ่งสะท้อนว่าความต้องการ AI ยังคงสูงมาก และ Nvidia กำลังเดินเกมเพื่อครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ

    สรุป
    Nvidia เตรียมขาย AI Server ทั้งชุด
    เริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่รวม CPU, GPU, ระบบระบายความร้อน

    ODM จะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้าย
    เช่น ติดตั้งแชสซี, ระบบไฟ, และการทดสอบ

    Rubin GPU ใช้พลังงานสูงขึ้น
    จาก 1.4 kW เป็น 1.8–2.3 kW ต่อชิป

    ความเสี่ยงคือคู่ค้าเสียโอกาสสร้างความแตกต่าง
    อาจทำให้ตลาดแข่งขันน้อยลงและ Nvidia ครองอำนาจมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jp-morgan-says-nvidia-is-gearing-up-to-sell-entire-ai-servers-instead-of-just-ai-gpus-and-componentry-jensens-master-plan-of-vertical-integration-will-boost-profits-purportedly-starting-with-vera-rubin
    🖥️ Nvidia เตรียมขาย “AI Server” ทั้งชุด – แผนใหญ่ของ Jensen Huang เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกฮาร์ดแวร์ AI เมื่อ JP Morgan วิเคราะห์ว่า Nvidia กำลังจะไม่ขายแค่ GPU หรือชิ้นส่วน แต่จะขาย “AI Server” ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปีหน้า การทำเช่นนี้หมายถึง Nvidia จะควบคุมห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น และเหล่า ODM หรือผู้ผลิตรายอื่นจะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้ายเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับการที่บริษัทไม่เพียงขายชิ้นส่วน แต่ขาย “หัวใจของระบบ” ทั้งหมด ทำให้คู่ค้าไม่สามารถสร้างความแตกต่างทางฮาร์ดแวร์ได้มากนัก แต่ก็ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการผลิต ขณะเดียวกัน GPU รุ่น Rubin ยังใช้พลังงานสูงขึ้นถึง 1.8–2.3 kW ต่อชิป ซึ่งทำให้ระบบระบายความร้อนต้องซับซ้อนขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ Nvidia เลือกขายเป็นชุดสำเร็จรูป นอกจากนี้ JP Morgan ยังเผยว่า ชิป Vera Rubin ทั้ง 6 รุ่นได้เข้าสู่ขั้นตอน pre-production ที่ TSMC แล้ว และยังไม่มีการเลื่อนกำหนดการเปิดตัวในครึ่งหลังปี 2026 ซึ่งสะท้อนว่าความต้องการ AI ยังคงสูงมาก และ Nvidia กำลังเดินเกมเพื่อครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ 📌 สรุป ✅ Nvidia เตรียมขาย AI Server ทั้งชุด ➡️ เริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่รวม CPU, GPU, ระบบระบายความร้อน ✅ ODM จะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้าย ➡️ เช่น ติดตั้งแชสซี, ระบบไฟ, และการทดสอบ ✅ Rubin GPU ใช้พลังงานสูงขึ้น ➡️ จาก 1.4 kW เป็น 1.8–2.3 kW ต่อชิป ‼️ ความเสี่ยงคือคู่ค้าเสียโอกาสสร้างความแตกต่าง ⛔ อาจทำให้ตลาดแข่งขันน้อยลงและ Nvidia ครองอำนาจมากขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jp-morgan-says-nvidia-is-gearing-up-to-sell-entire-ai-servers-instead-of-just-ai-gpus-and-componentry-jensens-master-plan-of-vertical-integration-will-boost-profits-purportedly-starting-with-vera-rubin
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท”

    วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น

    การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา

    เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์

    สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum
    การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น
    อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ

    Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ
    ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ
    ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์
    คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน

    ความสำคัญของ First-Mover Advantage
    ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง
    ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก
    การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    🚀 หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท” วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์ สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum 🔰 การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น 🔰 อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ ✅ Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ ➡️ ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ ➡️ ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์ ➡️ คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน ✅ ความสำคัญของ First-Mover Advantage ➡️ ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง ⛔ ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก ⛔ การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitwise sparks industry scramble with Solana ETF launch
    (Reuters) -Crypto firm Bitwise Asset Management's successful push to launch the first U.S. spot Solana ETF while the Securities and Exchange Commission was shut down has upended the regulatory playbook and forced competitors to rethink their product plans, said industry executives.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • Klook เตรียมเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ก้าวใหม่ของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวจากเอเชีย

    Klook แพลตฟอร์มจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวชื่อดังจากฮ่องกงที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ได้ยื่นเอกสารขอเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแล้ว โดยใช้สัญลักษณ์ “KLK” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของตลาด IPO สหรัฐฯ หลังจากความผันผวนจากสงครามภาษีและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการลงทุน

    การเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้มี Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในศักยภาพของ Klook ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดท่องเที่ยวดิจิทัล

    Klook ยื่นขอ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
    เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE)
    ใช้สัญลักษณ์ “KLK” ในการซื้อขายหุ้น

    ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank
    SoftBank เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักของ Klook
    การสนับสนุนนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเงินทุนในการขยายธุรกิจ

    ตลาด IPO สหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว
    ปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการฟื้นตัวของตลาดหุ้น
    แม้จะมีความล่าช้าจากการปิดทำการของรัฐบาล แต่ความต้องการลงทุนยังคงแข็งแกร่ง

    มีธนาคารชั้นนำเป็นผู้จัดการ IPO
    Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการหลัก
    สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของ Klook จากสถาบันการเงินระดับโลก

    คำเตือน: การลงทุนใน IPO มีความเสี่ยง
    ราคาหุ้นอาจผันผวนสูงในช่วงแรกของการเปิดตลาด
    นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทก่อนตัดสินใจ

    อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเผชิญความไม่แน่นอน
    ความเสี่ยงจากโรคระบาด การเมือง และเศรษฐกิจโลกยังคงมีผลต่อธุรกิจ
    การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/travel-booking-platform-klook-makes-us-ipo-filing-public
    📈 Klook เตรียมเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ก้าวใหม่ของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวจากเอเชีย Klook แพลตฟอร์มจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวชื่อดังจากฮ่องกงที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ได้ยื่นเอกสารขอเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแล้ว โดยใช้สัญลักษณ์ “KLK” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของตลาด IPO สหรัฐฯ หลังจากความผันผวนจากสงครามภาษีและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการลงทุน การเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้มี Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในศักยภาพของ Klook ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดท่องเที่ยวดิจิทัล ✅ Klook ยื่นขอ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ➡️ เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ➡️ ใช้สัญลักษณ์ “KLK” ในการซื้อขายหุ้น ✅ ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ➡️ SoftBank เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักของ Klook ➡️ การสนับสนุนนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเงินทุนในการขยายธุรกิจ ✅ ตลาด IPO สหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว ➡️ ปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ➡️ แม้จะมีความล่าช้าจากการปิดทำการของรัฐบาล แต่ความต้องการลงทุนยังคงแข็งแกร่ง ✅ มีธนาคารชั้นนำเป็นผู้จัดการ IPO ➡️ Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการหลัก ➡️ สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของ Klook จากสถาบันการเงินระดับโลก ‼️ คำเตือน: การลงทุนใน IPO มีความเสี่ยง ⛔ ราคาหุ้นอาจผันผวนสูงในช่วงแรกของการเปิดตลาด ⛔ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทก่อนตัดสินใจ ‼️ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเผชิญความไม่แน่นอน ⛔ ความเสี่ยงจากโรคระบาด การเมือง และเศรษฐกิจโลกยังคงมีผลต่อธุรกิจ ⛔ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/travel-booking-platform-klook-makes-us-ipo-filing-public
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Travel booking platform Klook makes US IPO filing public
    (Reuters) -SoftBank-backed Klook, an online travel booking platform, filed for an initial public offering in the United States on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung เปิดเกมรุก! เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ท้าชน Apple Card

    Samsung กำลังขยายอาณาจักรของตนจากสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่โลกการเงิน ด้วยการเตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ร่วมกับ Barclays เพื่อแข่งกับ Apple Card โดยตรง พร้อมชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจรที่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในระบบนิเวศดิจิทัล

    Samsung กำลังจับมือกับ Barclays เพื่อเปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ในสหรัฐฯ โดยจะใช้เครือข่าย Visa และมาพร้อมสิทธิประโยชน์ด้าน cashback ที่สามารถโอนเข้ากระเป๋า Samsung Wallet เพื่อใช้ซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ — คล้ายกับแนวทางของ Apple Card ที่ผูกกับ Apple Pay

    แต่ Samsung ไม่หยุดแค่บัตรเครดิต เพราะยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ เช่น:
    บัญชีแบบเติมเงิน (prepaid)
    บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง
    ระบบ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” (Buy Now, Pay Later)

    กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ Samsung สร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของตน เช่น สมาร์ทโฟน ทีวี ตู้เย็น และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ซึ่งมีความหลากหลายมากกว่า Apple

    ในขณะเดียวกัน Apple Card ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ร่วมกับ Goldman Sachs กำลังเผชิญกับปัญหาขาดทุน และอาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan ซึ่งอาจเป็นต้นแบบให้ Samsung ใช้ในการจัดการความเสี่ยงและการเติบโตของบริการบัตรเครดิต

    Samsung เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ
    ร่วมมือกับ Barclays และใช้เครือข่าย Visa
    มีระบบ cashback ที่เชื่อมกับ Samsung Wallet

    เปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพิ่มเติม
    บัญชีเติมเงินและบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง
    ระบบ Buy Now, Pay Later

    กลยุทธ์เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ Samsung
    ใช้สิทธิประโยชน์เพื่อกระตุ้นยอดขายสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า
    สร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมมากกว่า Apple

    Apple Card กำลังเผชิญกับความท้าทาย
    Goldman Sachs ขาดทุนจากการให้บริการ
    Apple อาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan

    การแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตดิจิทัลกำลังร้อนแรง
    ผู้บริโภคอาจต้องเลือกฝั่งระหว่างระบบนิเวศของ Apple หรือ Samsung
    ความเสี่ยงด้านการเงินและการจัดการข้อมูลผู้ใช้ต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ

    การผูกบริการทางการเงินกับระบบนิเวศเทคโนโลยีอาจสร้างการล็อกอินผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ผูกกับ Samsung Wallet หรือ Apple Pay อาจย้ายออกได้ยาก
    ต้องพิจารณาความยืดหยุ่นและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว

    https://wccftech.com/samsung-is-trying-to-lure-you-away-from-apples-ecosystem-with-a-rival-credit-card/
    💳 Samsung เปิดเกมรุก! เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ท้าชน Apple Card 📱⚔️ Samsung กำลังขยายอาณาจักรของตนจากสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่โลกการเงิน ด้วยการเตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ร่วมกับ Barclays เพื่อแข่งกับ Apple Card โดยตรง พร้อมชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจรที่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในระบบนิเวศดิจิทัล Samsung กำลังจับมือกับ Barclays เพื่อเปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ในสหรัฐฯ โดยจะใช้เครือข่าย Visa และมาพร้อมสิทธิประโยชน์ด้าน cashback ที่สามารถโอนเข้ากระเป๋า Samsung Wallet เพื่อใช้ซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ — คล้ายกับแนวทางของ Apple Card ที่ผูกกับ Apple Pay แต่ Samsung ไม่หยุดแค่บัตรเครดิต เพราะยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ เช่น: 💠 บัญชีแบบเติมเงิน (prepaid) 💠 บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง 💠 ระบบ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” (Buy Now, Pay Later) กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ Samsung สร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของตน เช่น สมาร์ทโฟน ทีวี ตู้เย็น และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ซึ่งมีความหลากหลายมากกว่า Apple ในขณะเดียวกัน Apple Card ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ร่วมกับ Goldman Sachs กำลังเผชิญกับปัญหาขาดทุน และอาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan ซึ่งอาจเป็นต้นแบบให้ Samsung ใช้ในการจัดการความเสี่ยงและการเติบโตของบริการบัตรเครดิต ✅ Samsung เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ➡️ ร่วมมือกับ Barclays และใช้เครือข่าย Visa ➡️ มีระบบ cashback ที่เชื่อมกับ Samsung Wallet ✅ เปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพิ่มเติม ➡️ บัญชีเติมเงินและบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง ➡️ ระบบ Buy Now, Pay Later ✅ กลยุทธ์เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ Samsung ➡️ ใช้สิทธิประโยชน์เพื่อกระตุ้นยอดขายสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ➡️ สร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมมากกว่า Apple ✅ Apple Card กำลังเผชิญกับความท้าทาย ➡️ Goldman Sachs ขาดทุนจากการให้บริการ ➡️ Apple อาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan ‼️ การแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตดิจิทัลกำลังร้อนแรง ⛔ ผู้บริโภคอาจต้องเลือกฝั่งระหว่างระบบนิเวศของ Apple หรือ Samsung ⛔ ความเสี่ยงด้านการเงินและการจัดการข้อมูลผู้ใช้ต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ ‼️ การผูกบริการทางการเงินกับระบบนิเวศเทคโนโลยีอาจสร้างการล็อกอินผู้ใช้ ⛔ ผู้ใช้ที่ผูกกับ Samsung Wallet หรือ Apple Pay อาจย้ายออกได้ยาก ⛔ ต้องพิจารณาความยืดหยุ่นและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว https://wccftech.com/samsung-is-trying-to-lure-you-away-from-apples-ecosystem-with-a-rival-credit-card/
    WCCFTECH.COM
    Samsung To Follow Apple's Playbook To Try To Lock You Into Its Ecosystem With A Credit Card
    Now, you can add a credit card, and the bag of goodies that comes with it, to the already-extensive rivalry between Apple and Samsung.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำหรับทุกคนที่พูดถึง "ฟองสบู่ AI" การปลดพนักงานจำนวนมากในบริษัทต่างๆ ในอเมริกาพิสูจน์ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมีฟองสบู่แรงงานมนุษย์อยู่ และนั่นคือประเด็นหลักของรายงานพอดแคสต์ของผม (ด้านล่าง)

    AI กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในสถานที่ทำงาน เข้ามาแทนที่พนักงานบริการลูกค้า พนักงานขาย ผู้ช่วยทนายความ โปรแกรมเมอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย บริษัทต่างๆ ไม่สามารถมี GPU ได้เพียงพอ (ความต้องการในปัจจุบันแทบจะไร้ขีดจำกัด) สำหรับการประมวลผล AI แต่ดูเหมือนว่าพวกเขามีพนักงานเงินเดือนมากเกินไป นั่นคือเหตุผลที่พนักงานถูกเลิกจ้าง:

    Amazon – 30,000
    GEICO – 30,000
    Nissan – 20,000
    UPS – 20,000
    Nestlé – 16,000
    Panasonic – 10,000
    Chevron – 9,000
    Novo Nordisk – 9,000
    Microsoft – 9,000
    BP – 7,700
    Estée Lauder – 7,000
    Intel – 5,000
    Porsche – 3,900
    ConocoPhillips – 2,950
    HPE – 2,500
    Morgan Stanley – 2,400
    Starbucks – 2,000
    Microchip Technology – 2,000
    ExxonMobil – 2,000
    Target – 1,800

    เห็นได้ชัดว่าบริษัทในอเมริกาเชื่อว่ามีฟองสบู่แรงงานมนุษย์ ไม่ใช่ฟองสบู่ AI ผมอธิบายเพิ่มเติมในพอดแคสต์นี้:

    มีฟองสบู่แรงงานมนุษย์ ไม่ใช่ฟองสบู่ AI
    https://www.brighteon.com/b70b6601-e86c-4a72-97c4-19fc3618e581
    สำหรับทุกคนที่พูดถึง "ฟองสบู่ AI" การปลดพนักงานจำนวนมากในบริษัทต่างๆ ในอเมริกาพิสูจน์ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมีฟองสบู่แรงงานมนุษย์อยู่ และนั่นคือประเด็นหลักของรายงานพอดแคสต์ของผม (ด้านล่าง) AI กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในสถานที่ทำงาน เข้ามาแทนที่พนักงานบริการลูกค้า พนักงานขาย ผู้ช่วยทนายความ โปรแกรมเมอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย บริษัทต่างๆ ไม่สามารถมี GPU ได้เพียงพอ (ความต้องการในปัจจุบันแทบจะไร้ขีดจำกัด) สำหรับการประมวลผล AI แต่ดูเหมือนว่าพวกเขามีพนักงานเงินเดือนมากเกินไป นั่นคือเหตุผลที่พนักงานถูกเลิกจ้าง: Amazon – 30,000 GEICO – 30,000 Nissan – 20,000 UPS – 20,000 Nestlé – 16,000 Panasonic – 10,000 Chevron – 9,000 Novo Nordisk – 9,000 Microsoft – 9,000 BP – 7,700 Estée Lauder – 7,000 Intel – 5,000 Porsche – 3,900 ConocoPhillips – 2,950 HPE – 2,500 Morgan Stanley – 2,400 Starbucks – 2,000 Microchip Technology – 2,000 ExxonMobil – 2,000 Target – 1,800 เห็นได้ชัดว่าบริษัทในอเมริกาเชื่อว่ามีฟองสบู่แรงงานมนุษย์ ไม่ใช่ฟองสบู่ AI ผมอธิบายเพิ่มเติมในพอดแคสต์นี้: มีฟองสบู่แรงงานมนุษย์ ไม่ใช่ฟองสบู่ AI https://www.brighteon.com/b70b6601-e86c-4a72-97c4-19fc3618e581
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เย็นแต่แพง” — ระบบระบายความร้อนของ Nvidia NVL72 และ NVL144

    ในยุคที่ AI ต้องการพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ Nvidia ได้พัฒนาเซิร์ฟเวอร์ระดับ rack-scale ที่ชื่อว่า NVL72 และรุ่นถัดไป NVL144 ซึ่งใช้ GPU และ CPU ที่มี TDP สูงถึงหลายพันวัตต์ ส่งผลให้ระบบระบายความร้อนต้องล้ำหน้าและมีราคาสูงลิ่ว

    ตามรายงานจาก Morgan Stanley:
    NVL72 (GB300) ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling มูลค่า $49,860
    NVL144 (Vera Rubin) จะใช้ระบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยมีมูลค่า $55,710 เพิ่มขึ้น 17%

    รายละเอียดค่าใช้จ่ายของระบบระบายความร้อน
    Compute Tray (18 ชิ้น):
    NVL72: $2,260 ต่อ tray → รวม $40,680
    NVL144: เพิ่มเป็น $2,660 ต่อ tray → รวม $47,880

    Switch Tray (9 ชิ้น):
    NVL72: $1,020 ต่อ tray → รวม $9,180
    NVL144: ลดเหลือ $870 ต่อ tray → รวม $7,830

    Cold Plate คือหัวใจของระบบ
    Cold plate สำหรับ GPU และ CPU มีราคาสูงถึง $300–$400 ต่อชิ้น
    สำหรับ NVSwitch ASICs อยู่ที่ $200 ต่อชิ้น
    รุ่นถัดไปอาจต้องใช้ cold plate ที่รองรับ TDP สูงถึง 3,600W ต่อ GPU package

    เตรียมพบ NVL576 — แรงกว่าเดิม 2 เท่า
    Nvidia กำลังพัฒนา NVL576 “Kyber” ที่จะใช้ GPU 144 ชุด และมีประสิทธิภาพสูงกว่า NVL144 ถึง 2 เท่า แต่ก็ต้องแลกกับความร้อนที่มากขึ้น และระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อนและแพงกว่าเดิม

    ค่าใช้จ่ายระบบระบายความร้อนของ NVL72 และ NVL144
    NVL72: $49,860 ต่อ rack
    NVL144: $55,710 ต่อ rack (เพิ่มขึ้น 17%)

    รายละเอียดค่าใช้จ่ายต่อ tray
    Compute tray: เพิ่มจาก $2,260 → $2,660
    Switch tray: ลดจาก $1,020 → $870

    Cold plate ประสิทธิภาพสูง
    GPU/CPU: $300–$400 ต่อชิ้น
    NVSwitch: $200 ต่อชิ้น
    รองรับ TDP สูงถึง 3,600W ในอนาคต

    การพัฒนา NVL576
    ใช้ GPU 144 ชุด
    ประสิทธิภาพสูงกว่า NVL144 ถึง 2 เท่า
    ต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ล้ำหน้ากว่าเดิม

    ความท้าทายด้านความร้อนในยุค AI
    GPU และ CPU มี TDP สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    ระบบระบายความร้อนต้องลงทุนสูงและซับซ้อน

    ความเสี่ยงด้านต้นทุนและพลังงาน
    ค่าใช้จ่ายระบบระบายความร้อนอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการขยายระบบ
    การใช้พลังงานสูงอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/cooling-system-for-a-single-nvidia-blackwell-ultra-nvl72-rack-costs-a-staggering-usd50-000-set-to-increase-to-usd56-000-with-next-generation-nvl144-racks
    ❄️💸 “เย็นแต่แพง” — ระบบระบายความร้อนของ Nvidia NVL72 และ NVL144 ในยุคที่ AI ต้องการพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ Nvidia ได้พัฒนาเซิร์ฟเวอร์ระดับ rack-scale ที่ชื่อว่า NVL72 และรุ่นถัดไป NVL144 ซึ่งใช้ GPU และ CPU ที่มี TDP สูงถึงหลายพันวัตต์ ส่งผลให้ระบบระบายความร้อนต้องล้ำหน้าและมีราคาสูงลิ่ว ตามรายงานจาก Morgan Stanley: 💹 NVL72 (GB300) ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling มูลค่า $49,860 💹 NVL144 (Vera Rubin) จะใช้ระบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยมีมูลค่า $55,710 เพิ่มขึ้น 17% 🧊 รายละเอียดค่าใช้จ่ายของระบบระบายความร้อน 📍 Compute Tray (18 ชิ้น): 💹 NVL72: $2,260 ต่อ tray → รวม $40,680 💹 NVL144: เพิ่มเป็น $2,660 ต่อ tray → รวม $47,880 📍 Switch Tray (9 ชิ้น): 💹 NVL72: $1,020 ต่อ tray → รวม $9,180 💹 NVL144: ลดเหลือ $870 ต่อ tray → รวม $7,830 🔩 Cold Plate คือหัวใจของระบบ 📍 Cold plate สำหรับ GPU และ CPU มีราคาสูงถึง $300–$400 ต่อชิ้น 📍 สำหรับ NVSwitch ASICs อยู่ที่ $200 ต่อชิ้น 📍 รุ่นถัดไปอาจต้องใช้ cold plate ที่รองรับ TDP สูงถึง 3,600W ต่อ GPU package 🚀 เตรียมพบ NVL576 — แรงกว่าเดิม 2 เท่า Nvidia กำลังพัฒนา NVL576 “Kyber” ที่จะใช้ GPU 144 ชุด และมีประสิทธิภาพสูงกว่า NVL144 ถึง 2 เท่า แต่ก็ต้องแลกกับความร้อนที่มากขึ้น และระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อนและแพงกว่าเดิม ✅ ค่าใช้จ่ายระบบระบายความร้อนของ NVL72 และ NVL144 ➡️ NVL72: $49,860 ต่อ rack ➡️ NVL144: $55,710 ต่อ rack (เพิ่มขึ้น 17%) ✅ รายละเอียดค่าใช้จ่ายต่อ tray ➡️ Compute tray: เพิ่มจาก $2,260 → $2,660 ➡️ Switch tray: ลดจาก $1,020 → $870 ✅ Cold plate ประสิทธิภาพสูง ➡️ GPU/CPU: $300–$400 ต่อชิ้น ➡️ NVSwitch: $200 ต่อชิ้น ➡️ รองรับ TDP สูงถึง 3,600W ในอนาคต ✅ การพัฒนา NVL576 ➡️ ใช้ GPU 144 ชุด ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่า NVL144 ถึง 2 เท่า ➡️ ต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ล้ำหน้ากว่าเดิม ‼️ ความท้าทายด้านความร้อนในยุค AI ⛔ GPU และ CPU มี TDP สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ⛔ ระบบระบายความร้อนต้องลงทุนสูงและซับซ้อน ‼️ ความเสี่ยงด้านต้นทุนและพลังงาน ⛔ ค่าใช้จ่ายระบบระบายความร้อนอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการขยายระบบ ⛔ การใช้พลังงานสูงอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/cooling-system-for-a-single-nvidia-blackwell-ultra-nvl72-rack-costs-a-staggering-usd50-000-set-to-increase-to-usd56-000-with-next-generation-nvl144-racks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 7

    Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย

    อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน

    ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า
    ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้

    ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917

    น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน

    สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่
    และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้

    ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน

    ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ

    แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร

    ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า

    เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 8 (ตอนจบ)

    ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

    น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้

    ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้
    เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น
    จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี

    เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย

    แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน
    และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ

    “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    11 พ.ค. 2558

    ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 7 Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้ ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917 น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่ และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้ ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 8 (ตอนจบ) ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้ ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้ เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 11 พ.ค. 2558 ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 678 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 4

    ระหว่างที่ ประธานาธิบดี Wilson ยังแต่งบทหลอกคนอเมริกันไม่ได้ว่า ทำไมเขาซึ่งหาเสียงในตอนสมัครเลือกตั้งว่า ” He kept us out of war ” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม แต่ตอนนี้ มันถึงเวลา ถึงบท ที่จะต้องพากันเข้าสงครามหมดแล้ว เขาจะต้มประชาชนของเขาอย่างไรดี ให้พร้อมใจสนับสนุน

    พวกวอลสตรีท และพรรคพวกที่ส่วนใหญ่เป็นนายทุนชาวยิว ที่กุมสื่อเกือบทั้งหมดอยู่ในมือ ต่างระดมเรียกสื่อในสังกัด ให้หิ้วกระป๋องสีมาหมดเมือง แล้วข่าวย้อมสี ที่มีภาพเยอรมันเป็นผู้ร้าย ผู้ทำลายสันติภาพของโลก ก็กระจายออกมาเต็มทุกพื้นที่ของอเมริกา ในรูปแบบต่างๆกัน

    สื่อย้อมไม่ทันใจ คนอเมริกันเฉื่อยเกินไป กับสงครามนอกบ้านตนเอง คงต้องมีเหตุการณ์มากระตุ้นต่อมให้ตื่นตระหนกกันหน่อย

    Morgan ไม่ได้เก่งด้านการเงินอย่างเดียว หรือลงทุนเรื่องรางรถไฟเพื่อไว้ใช้ต่อรองกับรัฐบาลในเวลาจำเป็น เขาพยายามซื้อบริษัทเดินเรือด้วย คือ The Cunard ของอังกฤษ แต่ยังไม่สำเร็จ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนซื้อสินค้าสงครามให้อังกฤษ ที่ต้องขนส่งทางเรือ เขาจึงมีสายใยกับอังกฤษในเรื่องการเดินเรือด้วย

    ” Lusitania” เป็นเรือโดยสารระดับหรูของ Cunard ที่แล่นข้ามไปมาระหว่าง ลิเวอร์พูลของอังกฤษกับนิวยอร์คของอเมริกา เมื่อ Lusitania แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1915 ไปได้ 6 วัน ก็ถูกเรือดำน้ำของเยอรมัน ยิงด้วยตอร์ปิโดจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารตาย 1,195 คน เป็นคนอเมริกัน 195 คน

    ทำไมเยอรมันถึงโหดเหี้ยม ยิงเรือโดยสาร ละเมิดกฏการเดินเรือระหว่างประเทศในยามสงคราม?
    Lusitania ได้ถูกนำมาเข้าอู่ในเดือนพฤษภาคม 1913 เพื่อติดตั้งเกราะหุ้มเรือเพิ่ม พร้อมติดตั้งปืนกล รวมทั้งรางกระสุน ที่ดาดฟ้าของเรือ ปืนใหญ่ชนิดกำลังแรง 12 กระบอก ถูกชักรอกขึ้นไปติดตั้ง แม้หน้าตาจะบอกว่าเป็นเรือโดยสาร แต่สรีระ กลับกลายเป็นเรือรบ รายการทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลสาธารณะ ที่เปิดเผยอยู่ที่พิพิธภัณท์ด้านการเดินเรือที่อังกฤษ
    Lusitania ออกจากอู่เข้าไปประจำการณ์ ในฐานะกองเรือรบ เพื่อทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งอาวุธระหว่างอเมริกากับอังกฤษ

    หลังจากสอบสวนอยู่หลายปี จึงได้มีรายงานออกมาว่า สินค้าที่ Lusitania บรรทุกในวันถูกตอร์ปิโดร์นั้น มี pyroxyline หรือ gun cotton (วัตถุระเบิดแรงสูง) 600 ตัน กระสุน 6 ล้านนัด กระสุนดาวกระจาย 1,248 หีบ และมีกระสุนปืนอีกไม่ทราบจำนวนอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ นอกจากนี้ในรายการบอกว่ามีสินค้าประเภท เนยแข็ง น้ำมันหมู ขนสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายตัน ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการแสดงรายการสินค้าปลอมทั้งหมด มีชื่อ J P Mogan Company เป็นผู้ส่งสินค้า

    ระหว่างที่ Wilson และ Morgan กำลังแต่งบทฆาตกรรมหมู่ เพื่อนำอเมริกาเข้าสู่สงคราม ทางอังกฤษ โดยหลอด Churchill ก็รับหน้าที่เขียนบททางฝั่งอังกฤษให้สอดรับกัน

    เมื่อ Lusitania กำลังแล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค Juno เรือรบคุ้มกันของอังกฤษ ก็กำลังออกมาจากชายฝั่งของไอร์แลนด์ เพื่อมาคุ้มกัน Lusitania ในแถบน่านน้ำเปิด แต่เมื่อ Lusitania แล่นมาถึงจุดนัดพบ Juno ยังไม่มา กัปตัน Lusitania คิดว่า เพราะหมอกลงจัด จึงพลัดกับ Juno

    แต่ความจริง Juno ถูกสั่งให้ถอยกลับมาที่เมือง Queenstown เป็นคำสั่งที่ออกมา โดยที่รู้แน่ว่า Lusitania กำลังมาที่จุดนัดพบ และเป็นบริเวณที่รู้กันว่า เรือดำน้ำเยอรมันมักออกมาปฏิบัติการ ยิ่งไปกว่านั้น Lusitania ถูกสั่งให้ลดจำนวนถ่านหินที่ใช้เดินเครื่องไม่ใช่เพราะกำลังขาดแคลนถ่านหิน แต่เป้าที่เคลื่อนที่ช้า ย่อมง่ายต่อการถูกเป็นเป้า Lusitania จึงแล่นมาด้วยอัตราความเร็วเพียง 75% ของความเร็วปรกติ

    ระหว่างนั้น หลอด Churchill ยืนดูความเคลื่อนไหวของ Lusitania อย่างเงียบขรึม ผ่านจอเรดาร์ที่แสดงให้เห็น Lusitania กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ ที่วงแดงเอาไว้ว่า เป็นบริเวณ ที่เรือ 2 ลำ ถูกตอร์ปิโดร์ของเยอรมัน ยิงจมเมื่อวันก่อน
    Lusitania กำลังแล่นด้วยความเร็ว 19 น๊อตตรงเข้าไปในใจกลางของวงแดง โดยไม่มีใครแสดงอาการใด หรือส่งสัญญานใด กับ Lusitania

    ดูเหมือนจะมีเพียงคนเดียวคือ ผู้บังคับการ Joseph Kenworthy ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วันถูกหลอด Churchill เรียกไปพบ เพื่อให้เขียนคำตอบว่า จะมีผลกระทบทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ ถ้าเรือโดยสาร ที่มีผู้โดยสารอเมริกันเดินทางมาด้วย แล้วถูกยิงจมดิ่งมหาสมุทร ผุ้บังคับการ Kenworthy เดินออกมาจากห้อง ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อผู้บังคับบัญชาของเขา ต่อมาในปี 1927 เขาเขียนหนังสือชื่อ The Freedom of Sea ซึ่งเขาเขียนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ” …Lusitania ถูกสั่งให้แล่นโดยลดความเร็ว เข้าไปในบริเวณที่เป็นที่รู้อยู่ว่า จะมีเรือดำน้ำเยอรมันคอยอยู่ โดยเรือคุ้มกันภัยของ Lusitania ได้ถอนตัวไม่มาตามนัด…”

    ในวันที่ Lusitania กำลังจะชะตาขาด Col. House อยู่ที่อังกฤษ เขามีหมายกำหนดการที่จะต้องเข้า พบ กษัตริย์ George ที่ 5 (ปู่ของพระราชินี Elizabeth ที่2) โดย Sir Edward Grey เป็นคนนำเข้าพบ ระหว่างเดินทาง Sir Grey ถามเขาว่า อเมริกาจะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันจมเรือโดยสารที่มีคนอเมริกันอยู่ด้วย คำตอบของ House ตามที่เขาเขียนไว้ในบันทึกของเขา คือ “… ผมบอกเขาว่า ถ้ามันเกิดเหตุเช่นนั้นจริง ไฟของความโกรธแค้นคงลุกโพลงขึ้นในอเมริกา และมันคงพาให้เราเข้าสู่สงคราม..”

    เมื่อถึงวัง Buckingham กษัตริย์ George ที่ 5 ก็ถามเรื่องเดียวกัน แต่กษัตริย์ไม่อ้อมค้อม ถาม House ตรงๆ ว่า “… ถ้าเขาจมเรือ Lusitania ที่มีคนอเมริกันโดยสารมาด้วย…”

    4 ชั่วโมง หลังจากคำสนทนา กล้องส่องของเรือดำน้ำเยอรมัน ก็เห็นควันสีดำ พุ่งขึ้นมาจาก Lusitania ตอร์ปิโดลูกแรก ยิงถูกหัวเรือที่แล่นมาอย่างช้าๆ อย่างจัง ตอร์ปิโดลูกที่ 2 พร้อมยิง แต่อันที่จริงไม่จำเป็น เพราะหลังจากโดนลูกแรก Lusitania ซึ่งบรรทุกระเบิดมาเต็ม ก็มีการระเบิดอย่างแรง และจมหายไปทั้งลำ ในเวลาไม่เกิน 18 นาที

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    9 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 4 ระหว่างที่ ประธานาธิบดี Wilson ยังแต่งบทหลอกคนอเมริกันไม่ได้ว่า ทำไมเขาซึ่งหาเสียงในตอนสมัครเลือกตั้งว่า ” He kept us out of war ” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม แต่ตอนนี้ มันถึงเวลา ถึงบท ที่จะต้องพากันเข้าสงครามหมดแล้ว เขาจะต้มประชาชนของเขาอย่างไรดี ให้พร้อมใจสนับสนุน พวกวอลสตรีท และพรรคพวกที่ส่วนใหญ่เป็นนายทุนชาวยิว ที่กุมสื่อเกือบทั้งหมดอยู่ในมือ ต่างระดมเรียกสื่อในสังกัด ให้หิ้วกระป๋องสีมาหมดเมือง แล้วข่าวย้อมสี ที่มีภาพเยอรมันเป็นผู้ร้าย ผู้ทำลายสันติภาพของโลก ก็กระจายออกมาเต็มทุกพื้นที่ของอเมริกา ในรูปแบบต่างๆกัน สื่อย้อมไม่ทันใจ คนอเมริกันเฉื่อยเกินไป กับสงครามนอกบ้านตนเอง คงต้องมีเหตุการณ์มากระตุ้นต่อมให้ตื่นตระหนกกันหน่อย Morgan ไม่ได้เก่งด้านการเงินอย่างเดียว หรือลงทุนเรื่องรางรถไฟเพื่อไว้ใช้ต่อรองกับรัฐบาลในเวลาจำเป็น เขาพยายามซื้อบริษัทเดินเรือด้วย คือ The Cunard ของอังกฤษ แต่ยังไม่สำเร็จ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนซื้อสินค้าสงครามให้อังกฤษ ที่ต้องขนส่งทางเรือ เขาจึงมีสายใยกับอังกฤษในเรื่องการเดินเรือด้วย ” Lusitania” เป็นเรือโดยสารระดับหรูของ Cunard ที่แล่นข้ามไปมาระหว่าง ลิเวอร์พูลของอังกฤษกับนิวยอร์คของอเมริกา เมื่อ Lusitania แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1915 ไปได้ 6 วัน ก็ถูกเรือดำน้ำของเยอรมัน ยิงด้วยตอร์ปิโดจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารตาย 1,195 คน เป็นคนอเมริกัน 195 คน ทำไมเยอรมันถึงโหดเหี้ยม ยิงเรือโดยสาร ละเมิดกฏการเดินเรือระหว่างประเทศในยามสงคราม? Lusitania ได้ถูกนำมาเข้าอู่ในเดือนพฤษภาคม 1913 เพื่อติดตั้งเกราะหุ้มเรือเพิ่ม พร้อมติดตั้งปืนกล รวมทั้งรางกระสุน ที่ดาดฟ้าของเรือ ปืนใหญ่ชนิดกำลังแรง 12 กระบอก ถูกชักรอกขึ้นไปติดตั้ง แม้หน้าตาจะบอกว่าเป็นเรือโดยสาร แต่สรีระ กลับกลายเป็นเรือรบ รายการทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลสาธารณะ ที่เปิดเผยอยู่ที่พิพิธภัณท์ด้านการเดินเรือที่อังกฤษ Lusitania ออกจากอู่เข้าไปประจำการณ์ ในฐานะกองเรือรบ เพื่อทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งอาวุธระหว่างอเมริกากับอังกฤษ หลังจากสอบสวนอยู่หลายปี จึงได้มีรายงานออกมาว่า สินค้าที่ Lusitania บรรทุกในวันถูกตอร์ปิโดร์นั้น มี pyroxyline หรือ gun cotton (วัตถุระเบิดแรงสูง) 600 ตัน กระสุน 6 ล้านนัด กระสุนดาวกระจาย 1,248 หีบ และมีกระสุนปืนอีกไม่ทราบจำนวนอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ นอกจากนี้ในรายการบอกว่ามีสินค้าประเภท เนยแข็ง น้ำมันหมู ขนสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายตัน ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการแสดงรายการสินค้าปลอมทั้งหมด มีชื่อ J P Mogan Company เป็นผู้ส่งสินค้า ระหว่างที่ Wilson และ Morgan กำลังแต่งบทฆาตกรรมหมู่ เพื่อนำอเมริกาเข้าสู่สงคราม ทางอังกฤษ โดยหลอด Churchill ก็รับหน้าที่เขียนบททางฝั่งอังกฤษให้สอดรับกัน เมื่อ Lusitania กำลังแล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค Juno เรือรบคุ้มกันของอังกฤษ ก็กำลังออกมาจากชายฝั่งของไอร์แลนด์ เพื่อมาคุ้มกัน Lusitania ในแถบน่านน้ำเปิด แต่เมื่อ Lusitania แล่นมาถึงจุดนัดพบ Juno ยังไม่มา กัปตัน Lusitania คิดว่า เพราะหมอกลงจัด จึงพลัดกับ Juno แต่ความจริง Juno ถูกสั่งให้ถอยกลับมาที่เมือง Queenstown เป็นคำสั่งที่ออกมา โดยที่รู้แน่ว่า Lusitania กำลังมาที่จุดนัดพบ และเป็นบริเวณที่รู้กันว่า เรือดำน้ำเยอรมันมักออกมาปฏิบัติการ ยิ่งไปกว่านั้น Lusitania ถูกสั่งให้ลดจำนวนถ่านหินที่ใช้เดินเครื่องไม่ใช่เพราะกำลังขาดแคลนถ่านหิน แต่เป้าที่เคลื่อนที่ช้า ย่อมง่ายต่อการถูกเป็นเป้า Lusitania จึงแล่นมาด้วยอัตราความเร็วเพียง 75% ของความเร็วปรกติ ระหว่างนั้น หลอด Churchill ยืนดูความเคลื่อนไหวของ Lusitania อย่างเงียบขรึม ผ่านจอเรดาร์ที่แสดงให้เห็น Lusitania กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ ที่วงแดงเอาไว้ว่า เป็นบริเวณ ที่เรือ 2 ลำ ถูกตอร์ปิโดร์ของเยอรมัน ยิงจมเมื่อวันก่อน Lusitania กำลังแล่นด้วยความเร็ว 19 น๊อตตรงเข้าไปในใจกลางของวงแดง โดยไม่มีใครแสดงอาการใด หรือส่งสัญญานใด กับ Lusitania ดูเหมือนจะมีเพียงคนเดียวคือ ผู้บังคับการ Joseph Kenworthy ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วันถูกหลอด Churchill เรียกไปพบ เพื่อให้เขียนคำตอบว่า จะมีผลกระทบทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ ถ้าเรือโดยสาร ที่มีผู้โดยสารอเมริกันเดินทางมาด้วย แล้วถูกยิงจมดิ่งมหาสมุทร ผุ้บังคับการ Kenworthy เดินออกมาจากห้อง ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อผู้บังคับบัญชาของเขา ต่อมาในปี 1927 เขาเขียนหนังสือชื่อ The Freedom of Sea ซึ่งเขาเขียนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ” …Lusitania ถูกสั่งให้แล่นโดยลดความเร็ว เข้าไปในบริเวณที่เป็นที่รู้อยู่ว่า จะมีเรือดำน้ำเยอรมันคอยอยู่ โดยเรือคุ้มกันภัยของ Lusitania ได้ถอนตัวไม่มาตามนัด…” ในวันที่ Lusitania กำลังจะชะตาขาด Col. House อยู่ที่อังกฤษ เขามีหมายกำหนดการที่จะต้องเข้า พบ กษัตริย์ George ที่ 5 (ปู่ของพระราชินี Elizabeth ที่2) โดย Sir Edward Grey เป็นคนนำเข้าพบ ระหว่างเดินทาง Sir Grey ถามเขาว่า อเมริกาจะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันจมเรือโดยสารที่มีคนอเมริกันอยู่ด้วย คำตอบของ House ตามที่เขาเขียนไว้ในบันทึกของเขา คือ “… ผมบอกเขาว่า ถ้ามันเกิดเหตุเช่นนั้นจริง ไฟของความโกรธแค้นคงลุกโพลงขึ้นในอเมริกา และมันคงพาให้เราเข้าสู่สงคราม..” เมื่อถึงวัง Buckingham กษัตริย์ George ที่ 5 ก็ถามเรื่องเดียวกัน แต่กษัตริย์ไม่อ้อมค้อม ถาม House ตรงๆ ว่า “… ถ้าเขาจมเรือ Lusitania ที่มีคนอเมริกันโดยสารมาด้วย…” 4 ชั่วโมง หลังจากคำสนทนา กล้องส่องของเรือดำน้ำเยอรมัน ก็เห็นควันสีดำ พุ่งขึ้นมาจาก Lusitania ตอร์ปิโดลูกแรก ยิงถูกหัวเรือที่แล่นมาอย่างช้าๆ อย่างจัง ตอร์ปิโดลูกที่ 2 พร้อมยิง แต่อันที่จริงไม่จำเป็น เพราะหลังจากโดนลูกแรก Lusitania ซึ่งบรรทุกระเบิดมาเต็ม ก็มีการระเบิดอย่างแรง และจมหายไปทั้งลำ ในเวลาไม่เกิน 18 นาที สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 9 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 1

    ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว

    เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า

    อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน

    ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้
    นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม

    Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน

    เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม

    Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู

    เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น

    ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 2

    ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ
    Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 %

    เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก

    J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน

    มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน

    เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia

    ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ
    จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง….

    แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที

    ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์”

    สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 3

    นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ
    บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม !

    Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย
    นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson

    ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…”

    4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก

    Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน

    กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น

    สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ
    จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 1 ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้ นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 2 ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 % เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง…. แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์” สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 3 นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ! Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…” 4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 740 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หน้าฉาก หลังฉาก 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก”

    ตอน 1

    ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มปะทะกันในยุโรป คนอเมริกัน มากกว่า 1 ใน 3 เป็นพวกต่างชาติ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา และส่วนใหญ่มาจาก เยอรมัน ไอร์แลนด์ และอิตาลี คนส่วนใหญ่ในอเมริกา ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีผลประโยชน์กับสงครามโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรป ไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยนี่นะ และโดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีอยู่ในอเมริกา ประมาณ 6 ล้านคน คงไม่อยากให้อเมริกาทำสงครามกับเยอรมัน

    มันเป็นความคิด คนละชุดกับของคนอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนเล็กน้อยมาก จนเทียบกับเสียงส่วนใหญ่ของคนอเมริกันไม่ได้ แต่คนพวกนี้ เป็นนักการเงิน นักธุรกิจ พวกอีลิต ที่กำลังทำธุรกิจอยู่กับกับอังกฤษ และฝรั่งเศส และกำลังครอบงำธุรกิจของอเมริกา และรัฐบาลของอเมริกาอยู่

    ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ซึ่งเป็นหุ่นถูกเชิด หรือสมคบกับกลุ่มนักการเงินวอลสตรีท เพื่อออกกฏหมาย Federal Reserve Act ในปี 1913 ได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีก เป็นวาระที่ 2 ในปี 1916

    ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี กลุ่มนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา ประชุมวางแผนกันที่บ้านของ Elbert Gary เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กของอเม ริกาคนหนึ่ง โดยมีผู้ร่วมประชุม เช่น August Belmont (ตัวแทนของ กลุ่ม Rothschild ซึ่งมีข่าวว่า เป็นลูกนอกสมรสของพวก Rothschild) Jacob Schiff, George F Baker, Cornelius Vanderbilt รวมทั้งอดีตประธานาธิบดี Theodore Roosevelt และ George W Pergins คนถือกระเป๋าบรรจุขนมของ J P Morgan เอาไว้แจกนักการเมืองยามจำเป็น และเป็นอดีตหุ้นส่วนของ J P Morgan ด้วย ที่ประชุมตกลงที่จะสนับสนุน ให้ Woodlow Wilson เป็นประธานาธิบดี อีกสมัยหนึ่ง เป็นการสนับสนุนอย่างลับๆ โดยไม่ไร้วัตถุประสงค์ ในการหาเสียง ทีมงานของ Wilson ใช้คำขวัญประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “he kept us out of war” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม

    คำขวัญนี้ กำหนดโดยคณะที่ปรึกษาในการหาเสี ยง และที่ปรึกษาคนสำคัญของ Wilson คือ Colonel Edward M. House ก็เห็นด้วย เมื่อได้รับตำแหน่งหมาดๆ Wilson ประกาศว่า เราเป็นรัฐบาลของประชาชน และประชาชนของเราไม่ต้องการทำสงคราม ผ่านไปปีกว่า ประชาชนชาวอเมริกันก็ยังไม่อยากให้อเมริกาเข้าร่วมสงคราม แต่ Wilson กลับลำ ประกาศนำอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลก ยกเลิกบทบาทประเทศเป็นกลาง อย่างหน้าตาเฉย
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก”

    ตอน 2

    Col. Edward M House เป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูง และเป็นตัวละครสำคัญ ที่ทำหน้าที่ชักใยอยู่หลังฉาก ในละครลวงโลกเรื่องปฏิวิติ Bolsheviks หรือปล้นรัสเซีย

    Col. House ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ของ ประธานาธิบดี Wilson และประธานาธิบดี Flanklin D Roosevelt ในช่วงต่อจาก Wilson ด้วย เขามีความใกล้ชิดกับ J P Morgan และครอบครัวนักการเงินรุ่นเก๋าของอังกฤษ แม้จะเติบโตมาจากเมือง Houston, Texas แต่เขาก็ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่อังกฤษอยู่หลายปี

    พ่อของ House , Thomas William House เป็นคนอังกฤษ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา และทำรายได้จนเรียกได้ว่าเป็นคนรวย จากการเป็นตัวแทนให้สถาบันการเงินอังกฤษ ในช่วงสงครามที่รบกันระหว่างรัฐ ของอเมริกา ข่าวว่า เขาเป็นตัวแทนของตระกูล Rothschild พ่อเขา House ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกอยู่อย่างสบาย แค่ต้องการให้ลูก “รู้จัก และ รับใช้” อังกฤษ

    House เป็นคนสนใจการเมือง และชอบที่จะเล่นบทอยู่หลังฉากมากกว่าหน้าฉาก เขาเริ่มหาประสบการณ์ทางการเมือง โดยการเข้าไปสนับสนุนผู้สมัคร เลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสถึง 4 สมัย หนึ่งในผู้ว่าการรัฐที่เขาหนุนจนได้ตำแหน่ง เป็นคนเรียกเขาว่า ผู้พัน หลังจากนั้นเขาเลยกลายเป็น Col. House ของทุกคน

    ประมาณปี ค.ศ. 1902 เขาย้ายมาอยู่นิวยอร์ค และเข้าสังคมชั้นสูง หลังจากนั้นจึงเข้ามาป้วนเปี้ยน ในการเมืองสนามใหญ่ มองหาม้ามืด มาฝึกเอาถ้วยรางวัล เขาเล็งได้ม้ามืด ชื่อ Woodlow Wilson เขาร่วมวางแผนหาเสียงให้ Wilson จนได้เป็นประธานาธิบดี แต่เขาไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล เขาเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และดูแลงานด้านการต่างประเทศให้ Wilson
    ความใหญ่ของ House ในช่วงนั้นเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการตั้งนาย Robert Lansing เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ นักข่าวหน้าใหม่ไม่รู้จัก ตะโกนถามกันว่า Lansing สะกดยังไงนะ นักข่าวรุ่นเก๋าตะโกนตอบว่า สะกดว่า H O U S E

    House ใกล้ชิดสนิทสนม กับประธานาธิบดี Wilson อย่างยิ่ง เรียกว่าเห็นหนังตากระตุก ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไร หลายตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของ Wilson ที่ปรึกษา House เป็นผู้เลือก Wilson แค่ออกแรงลงชื่อ

    เมื่อการสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ของ Wilson ในสมัยที่ 2 ใกล้เข้ามา ที่ปรึกษา House ก็เริ่มหารืออย่างลับๆ กับ Sir William Wiseman ซึ่งทำงานที่สถานฑูตอังกฤษ ในอเมริกา Wiseman คือหัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษในอเมริกา นั่นแหละ เพื่อให้ Wiseman ไปปูทางกับอังกฤษ ก่อนที่ House จะไปเจรจา

    House เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศส ในนามของ Wilson ว่า ถ้า Wilson ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกด้วย โดยจะใช้แผนเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน ซึ่งอเมริกาจะยื่นเงื่อนไขของการสงบศึกกับทั้ง 2 ฝ่าย ถ้ามีฝ่ายใดไม่รับข้อเสนอ อเมริกาก็จะเข้าทำสงครามด้วย และแผนลับคือ อเมริกาจะเสนอเงื่อนไขกับทางเยอรมัน ชนิดที่จะทำให้เยอรมันไม่มีทางรับได้ และก็จะทำให้เยอรมันกลายเป็นผู้ร้าย และอเมริกาจะได้เข้าสู่สงครามแบบพระเอก บทน้ำเน่าไปหน่อย แต่เขาเสนออย่างนั้นจริงๆ

    ดูอย่างคนนอก มันคงเป็นเรื่องที่ House เล่นนอกบท มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ Wilson แสดงภาพพจน์ว่าเป็นคนรักสงบ ไม่เอาสงคราม

    แต่จริงๆ แล้ว Wilson รู้ดีว่า การเป็นกลาง และการเข้าสู่สงคราม มันเป็นบทของละครลวงโลกทั้งสิ้น และ Wilson รู้ด้วยว่า ถ้าอเมริกาเข้าสงครามในจังหวะที่เหมาะ จะมีผลกับสงครามอย่างไร และจะทำให้พวกสัมพันธมิตรต้องพึ่ง อเมริกาขนาดไหน ทั้งด้านกองกำลัง และด้านการเงินทุนสนับสนุน และถ้าเงินทุนสนับสนุน มันจำนวนใหญ่พอ เขานั่นแหละ จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข และชะตาของสันติภาพ หรือชะตาของโลกหลังสงคราม

    มันก็เป็นความคิดที่ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่หวังจะเป็นผู้ตัดสินชะตาโลกหลังสงคราม อเมริการู้เป้าหมายของอังกฤษอย่างดี แต่ไม่แน่ว่าตอนนั้น อังกฤษรู้เป้าหมายของอเมริกาที่แท้จริงของอเมริกา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หน้าฉาก หลังฉาก 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก” ตอน 1 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มปะทะกันในยุโรป คนอเมริกัน มากกว่า 1 ใน 3 เป็นพวกต่างชาติ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา และส่วนใหญ่มาจาก เยอรมัน ไอร์แลนด์ และอิตาลี คนส่วนใหญ่ในอเมริกา ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีผลประโยชน์กับสงครามโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรป ไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยนี่นะ และโดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีอยู่ในอเมริกา ประมาณ 6 ล้านคน คงไม่อยากให้อเมริกาทำสงครามกับเยอรมัน มันเป็นความคิด คนละชุดกับของคนอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนเล็กน้อยมาก จนเทียบกับเสียงส่วนใหญ่ของคนอเมริกันไม่ได้ แต่คนพวกนี้ เป็นนักการเงิน นักธุรกิจ พวกอีลิต ที่กำลังทำธุรกิจอยู่กับกับอังกฤษ และฝรั่งเศส และกำลังครอบงำธุรกิจของอเมริกา และรัฐบาลของอเมริกาอยู่ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ซึ่งเป็นหุ่นถูกเชิด หรือสมคบกับกลุ่มนักการเงินวอลสตรีท เพื่อออกกฏหมาย Federal Reserve Act ในปี 1913 ได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีก เป็นวาระที่ 2 ในปี 1916 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี กลุ่มนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา ประชุมวางแผนกันที่บ้านของ Elbert Gary เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กของอเม ริกาคนหนึ่ง โดยมีผู้ร่วมประชุม เช่น August Belmont (ตัวแทนของ กลุ่ม Rothschild ซึ่งมีข่าวว่า เป็นลูกนอกสมรสของพวก Rothschild) Jacob Schiff, George F Baker, Cornelius Vanderbilt รวมทั้งอดีตประธานาธิบดี Theodore Roosevelt และ George W Pergins คนถือกระเป๋าบรรจุขนมของ J P Morgan เอาไว้แจกนักการเมืองยามจำเป็น และเป็นอดีตหุ้นส่วนของ J P Morgan ด้วย ที่ประชุมตกลงที่จะสนับสนุน ให้ Woodlow Wilson เป็นประธานาธิบดี อีกสมัยหนึ่ง เป็นการสนับสนุนอย่างลับๆ โดยไม่ไร้วัตถุประสงค์ ในการหาเสียง ทีมงานของ Wilson ใช้คำขวัญประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “he kept us out of war” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม คำขวัญนี้ กำหนดโดยคณะที่ปรึกษาในการหาเสี ยง และที่ปรึกษาคนสำคัญของ Wilson คือ Colonel Edward M. House ก็เห็นด้วย เมื่อได้รับตำแหน่งหมาดๆ Wilson ประกาศว่า เราเป็นรัฐบาลของประชาชน และประชาชนของเราไม่ต้องการทำสงคราม ผ่านไปปีกว่า ประชาชนชาวอเมริกันก็ยังไม่อยากให้อเมริกาเข้าร่วมสงคราม แต่ Wilson กลับลำ ประกาศนำอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลก ยกเลิกบทบาทประเทศเป็นกลาง อย่างหน้าตาเฉย นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก” ตอน 2 Col. Edward M House เป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูง และเป็นตัวละครสำคัญ ที่ทำหน้าที่ชักใยอยู่หลังฉาก ในละครลวงโลกเรื่องปฏิวิติ Bolsheviks หรือปล้นรัสเซีย Col. House ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ของ ประธานาธิบดี Wilson และประธานาธิบดี Flanklin D Roosevelt ในช่วงต่อจาก Wilson ด้วย เขามีความใกล้ชิดกับ J P Morgan และครอบครัวนักการเงินรุ่นเก๋าของอังกฤษ แม้จะเติบโตมาจากเมือง Houston, Texas แต่เขาก็ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่อังกฤษอยู่หลายปี พ่อของ House , Thomas William House เป็นคนอังกฤษ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา และทำรายได้จนเรียกได้ว่าเป็นคนรวย จากการเป็นตัวแทนให้สถาบันการเงินอังกฤษ ในช่วงสงครามที่รบกันระหว่างรัฐ ของอเมริกา ข่าวว่า เขาเป็นตัวแทนของตระกูล Rothschild พ่อเขา House ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกอยู่อย่างสบาย แค่ต้องการให้ลูก “รู้จัก และ รับใช้” อังกฤษ House เป็นคนสนใจการเมือง และชอบที่จะเล่นบทอยู่หลังฉากมากกว่าหน้าฉาก เขาเริ่มหาประสบการณ์ทางการเมือง โดยการเข้าไปสนับสนุนผู้สมัคร เลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสถึง 4 สมัย หนึ่งในผู้ว่าการรัฐที่เขาหนุนจนได้ตำแหน่ง เป็นคนเรียกเขาว่า ผู้พัน หลังจากนั้นเขาเลยกลายเป็น Col. House ของทุกคน ประมาณปี ค.ศ. 1902 เขาย้ายมาอยู่นิวยอร์ค และเข้าสังคมชั้นสูง หลังจากนั้นจึงเข้ามาป้วนเปี้ยน ในการเมืองสนามใหญ่ มองหาม้ามืด มาฝึกเอาถ้วยรางวัล เขาเล็งได้ม้ามืด ชื่อ Woodlow Wilson เขาร่วมวางแผนหาเสียงให้ Wilson จนได้เป็นประธานาธิบดี แต่เขาไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล เขาเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และดูแลงานด้านการต่างประเทศให้ Wilson ความใหญ่ของ House ในช่วงนั้นเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการตั้งนาย Robert Lansing เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ นักข่าวหน้าใหม่ไม่รู้จัก ตะโกนถามกันว่า Lansing สะกดยังไงนะ นักข่าวรุ่นเก๋าตะโกนตอบว่า สะกดว่า H O U S E House ใกล้ชิดสนิทสนม กับประธานาธิบดี Wilson อย่างยิ่ง เรียกว่าเห็นหนังตากระตุก ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไร หลายตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของ Wilson ที่ปรึกษา House เป็นผู้เลือก Wilson แค่ออกแรงลงชื่อ เมื่อการสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ของ Wilson ในสมัยที่ 2 ใกล้เข้ามา ที่ปรึกษา House ก็เริ่มหารืออย่างลับๆ กับ Sir William Wiseman ซึ่งทำงานที่สถานฑูตอังกฤษ ในอเมริกา Wiseman คือหัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษในอเมริกา นั่นแหละ เพื่อให้ Wiseman ไปปูทางกับอังกฤษ ก่อนที่ House จะไปเจรจา House เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศส ในนามของ Wilson ว่า ถ้า Wilson ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกด้วย โดยจะใช้แผนเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน ซึ่งอเมริกาจะยื่นเงื่อนไขของการสงบศึกกับทั้ง 2 ฝ่าย ถ้ามีฝ่ายใดไม่รับข้อเสนอ อเมริกาก็จะเข้าทำสงครามด้วย และแผนลับคือ อเมริกาจะเสนอเงื่อนไขกับทางเยอรมัน ชนิดที่จะทำให้เยอรมันไม่มีทางรับได้ และก็จะทำให้เยอรมันกลายเป็นผู้ร้าย และอเมริกาจะได้เข้าสู่สงครามแบบพระเอก บทน้ำเน่าไปหน่อย แต่เขาเสนออย่างนั้นจริงๆ ดูอย่างคนนอก มันคงเป็นเรื่องที่ House เล่นนอกบท มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ Wilson แสดงภาพพจน์ว่าเป็นคนรักสงบ ไม่เอาสงคราม แต่จริงๆ แล้ว Wilson รู้ดีว่า การเป็นกลาง และการเข้าสู่สงคราม มันเป็นบทของละครลวงโลกทั้งสิ้น และ Wilson รู้ด้วยว่า ถ้าอเมริกาเข้าสงครามในจังหวะที่เหมาะ จะมีผลกับสงครามอย่างไร และจะทำให้พวกสัมพันธมิตรต้องพึ่ง อเมริกาขนาดไหน ทั้งด้านกองกำลัง และด้านการเงินทุนสนับสนุน และถ้าเงินทุนสนับสนุน มันจำนวนใหญ่พอ เขานั่นแหละ จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข และชะตาของสันติภาพ หรือชะตาของโลกหลังสงคราม มันก็เป็นความคิดที่ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่หวังจะเป็นผู้ตัดสินชะตาโลกหลังสงคราม อเมริการู้เป้าหมายของอังกฤษอย่างดี แต่ไม่แน่ว่าตอนนั้น อังกฤษรู้เป้าหมายของอเมริกาที่แท้จริงของอเมริกา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ไม่ได้แย่งงาน แต่เปิดโอกาสใหม่ให้สายโปรแกรมเมอร์ – ยุคทองของนักพัฒนาซอฟต์แวร์กำลังมา

    แม้หลายคนจะกังวลว่า AI จะมาแทนที่นักพัฒนา แต่รายงานล่าสุดจาก Morgan Stanley กลับชี้ว่า AI จะช่วยเพิ่มตำแหน่งงานในสายนี้ และทำให้การลงทุนด้านซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่อง

    รายงานจาก Morgan Stanley ระบุว่า AI-powered coding tools ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่กลับสร้างโอกาสใหม่ให้กับนักพัฒนาและบริษัทซอฟต์แวร์. จากการสำรวจ CIO ในสหรัฐฯ และยุโรปกว่า 100 คน พบว่า งบประมาณด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นมากกว่าด้านบริการ IT และฮาร์ดแวร์

    Sanjit Singh จาก Morgan Stanley เชื่อว่า ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจต้องการสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย คาดการณ์ว่าอัตราการจ้างงานนักพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033 และบางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก

    แต่ผลกระทบของ AI ยังไม่แน่นอน
    รายงานจาก METR ในปี 2025 พบว่า AI อาจทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์สูง ขณะที่ งานวิจัยจาก Stanford ระบุว่า AI ช่วยผู้ที่มีทักษะต่ำได้ดี แต่กลับลดประสิทธิภาพของผู้มีความเชี่ยวชาญ

    Keith Weiss จาก Morgan Stanley กล่าวเสริมว่า การลงทุนด้านซอฟต์แวร์ยังคงแข็งแกร่ง แม้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของนักพัฒนาในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม

    AI ช่วยเพิ่มโอกาสในสายงานพัฒนาซอฟต์แวร์
    เครื่องมือเขียนโค้ดด้วย AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    บริษัทลงทุนด้านซอฟต์แวร์มากกว่าบริการ IT และฮาร์ดแวร์
    ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    การจ้างงานนักพัฒนามีแนวโน้มเติบโต
    คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033
    บางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก
    ธุรกิจต้องการแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น

    ผลกระทบของ AI ยังไม่ชัดเจน
    รายงานจาก METR พบว่า AI ทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง
    งานวิจัยจาก Stanford ชี้ว่า AI ลดประสิทธิภาพของผู้มีประสบการณ์
    ผลลัพธ์ของ AI ต่อการทำงาน “แตกต่างกันอย่างมาก”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/learn-to-code-ai-could-mean-boom-times-for-software-developers
    📈 AI ไม่ได้แย่งงาน แต่เปิดโอกาสใหม่ให้สายโปรแกรมเมอร์ – ยุคทองของนักพัฒนาซอฟต์แวร์กำลังมา แม้หลายคนจะกังวลว่า AI จะมาแทนที่นักพัฒนา แต่รายงานล่าสุดจาก Morgan Stanley กลับชี้ว่า AI จะช่วยเพิ่มตำแหน่งงานในสายนี้ และทำให้การลงทุนด้านซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่อง รายงานจาก Morgan Stanley ระบุว่า AI-powered coding tools ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่กลับสร้างโอกาสใหม่ให้กับนักพัฒนาและบริษัทซอฟต์แวร์. จากการสำรวจ CIO ในสหรัฐฯ และยุโรปกว่า 100 คน พบว่า งบประมาณด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นมากกว่าด้านบริการ IT และฮาร์ดแวร์ Sanjit Singh จาก Morgan Stanley เชื่อว่า ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจต้องการสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย คาดการณ์ว่าอัตราการจ้างงานนักพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033 และบางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก 🧪 แต่ผลกระทบของ AI ยังไม่แน่นอน รายงานจาก METR ในปี 2025 พบว่า AI อาจทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์สูง ขณะที่ งานวิจัยจาก Stanford ระบุว่า AI ช่วยผู้ที่มีทักษะต่ำได้ดี แต่กลับลดประสิทธิภาพของผู้มีความเชี่ยวชาญ Keith Weiss จาก Morgan Stanley กล่าวเสริมว่า การลงทุนด้านซอฟต์แวร์ยังคงแข็งแกร่ง แม้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของนักพัฒนาในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม ✅ AI ช่วยเพิ่มโอกาสในสายงานพัฒนาซอฟต์แวร์ ➡️ เครื่องมือเขียนโค้ดด้วย AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ บริษัทลงทุนด้านซอฟต์แวร์มากกว่าบริการ IT และฮาร์ดแวร์ ➡️ ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ การจ้างงานนักพัฒนามีแนวโน้มเติบโต ➡️ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033 ➡️ บางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก ➡️ ธุรกิจต้องการแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น ‼️ ผลกระทบของ AI ยังไม่ชัดเจน ⛔ รายงานจาก METR พบว่า AI ทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง ⛔ งานวิจัยจาก Stanford ชี้ว่า AI ลดประสิทธิภาพของผู้มีประสบการณ์ ⛔ ผลลัพธ์ของ AI ต่อการทำงาน “แตกต่างกันอย่างมาก” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/learn-to-code-ai-could-mean-boom-times-for-software-developers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Learn to code: AI could mean boom times for software developers
    Artificial intelligence (AI) could, in time, create more jobs for software developers rather than eliminate them, according to investment bank Morgan Stanley.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 1

    หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse

    Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ

    Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน

    Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย

    ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า
    แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป

    เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน

    ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง

    ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล

    ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด

    ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita

    ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส
    ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 2

    Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า
    ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง”

    หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า

    “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง”

    New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild
    หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย

    Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย

    Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย

    เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild

    ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน

    J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า

    Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก
    ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา

    เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ

    แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน !

    คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง
    Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง !
    Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 3

    แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย

    Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม

    Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
    (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน)

    เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย

    สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5)

    แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ

    จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 1 หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 2 Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง” หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง” New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน ! คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง ! Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 3 แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน) เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5) แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 951 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 5

    J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง

    นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย

    นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว

    คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย
    เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company

    นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London

    ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 6

    ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ
    John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London
    ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company

    หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร

    ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ :

    J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ

    ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร

    ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ
    ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร

    เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ

    แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี

    Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น

    แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน

    ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย

    ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี
    ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว

    แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้

    Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 5 J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 6 ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ : J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้ Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 573 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 1

    เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ

    แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่

    มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย

    (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี
    ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา

    จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย)

    กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่

    แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 2

    หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า

    “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย

    เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา

    เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ!

    เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
    “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก

    หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง

    “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..”
    นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ

    สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า

    “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้”

    คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร

    นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง

    หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ

    นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 3

    Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild

    ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป

    เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา

    เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน

    นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้:

    ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา”
    Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง
    ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้

    นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง

    จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 4

    Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย

    เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ

    ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว
    แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย

    วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง

    New York
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 1 เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่ มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย) กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่ แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 2 หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ! เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..” นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้” คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 3 Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้: ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา” Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 4 Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง New York
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 870 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา”

    ตอน 1

    The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ

    Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว !

    บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น”
    ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน

    ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง

    หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ

    – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC

    – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery

    – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ

    – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน
    G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา

    – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด

    ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม

    สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ !

    American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks

    คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย

    เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป

    ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing

    หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ :
    กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี
    กระทรวงต่างประเทศ
    วอซิงตัน ดี ซี

    กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..”

    แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา

    หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น”

    จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก

    William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง
    ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค

    ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก

    วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom !

    “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing”

    คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28”
    และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands)
    ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard”

    ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands
    หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย”

    เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้

    ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา” ตอน 1 The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว ! บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น” ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ ! American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ : กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศ วอซิงตัน ดี ซี กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..” แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น” จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom ! “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing” คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28” และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands) ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard” ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย” เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้ ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 961 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 3

    ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง

    Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด

    Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ
    มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table

    “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….”

    มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ

    และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 4

    พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส

    อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย

    แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป

    Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย
    วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย”
    วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork :
    “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย”
    การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 :

    ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง

    เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค

    ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ

    แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้
    แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ
    Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….”

    เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่

    ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย

    สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน

    และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 3 ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….” มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 4 พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย” วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork : “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย” การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 : ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้ แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….” เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่ ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 738 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 1

    William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks
    แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง

    ใครคือ William Boyce Thompson

    Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank

    และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System
    เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป!
    ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก

    ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ

    Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง

    ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson

    Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา

    “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น”

    Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 2

    ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด

    Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ

    หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย”
    นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้

    นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ

    นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร

    หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks

    นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ

    Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป
    ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก

    หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง

    รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า :

    “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    01 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 1 William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง ใครคือ William Boyce Thompson Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป! ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น” Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 2 ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย” นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้ นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า : “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 01 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 770 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 1

    ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง

    ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan

    มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross

    เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว

    นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson
    อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด !
    ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด

    แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย

    หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป

    เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้

    คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย

    Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller
    นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan

    ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks)

    คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต

    เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company

    Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank

    ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran

    Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม

    นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson

    ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน
    อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller

    นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks

    Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank

    บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 2

    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน
    คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน

    วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

    ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่

    ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย

    มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan

    เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง

    Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้
    ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป

    J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd

    แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย !

    หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย

    ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร”

    หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า
    “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan”

    ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 1 ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด ! ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks) คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 2 ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่ ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้ ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย ! หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร” หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan” ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 852 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 5

    คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา

    ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย

    แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ

    Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค
    Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต

    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ

    เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน

    เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 6

    เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน

    เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย

    นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust

    ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง

    เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส

    ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย

    ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ

    มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ
    Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin”

    Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust

    ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว

    สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต

    อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 5 คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 6 เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin” Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 710 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts