• มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน คัดสายพันธ์ุ
    นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ
    สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่ เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people)
    สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง
    ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่ง ของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920
    ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger
    คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า
    ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ
    ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง
    สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532
    ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932
    เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก
    สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !)
    การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์
    พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร
    มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่
    ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน คัดสายพันธ์ุ นิทานเรื่ิิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่ เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people) สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่ง ของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920 ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532 ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932 เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !) การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์ พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่ ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้ คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • จากมือถือสู่มอเตอร์ – Xiaomi กับภารกิจเปลี่ยนโลกยานยนต์

    ถ้าคุณรู้จัก Xiaomi จากมือถือราคาดีฟีเจอร์ครบ คุณอาจไม่ทันรู้ว่าแบรนด์นี้กำลังกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และไม่ใช่แค่ “ลองทำดู” แต่เป็นการลงทุนเต็มตัวกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์

    Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก SU7 ในเดือนธันวาคม 2023 และตามด้วย YU7 SUV ในกลางปี 2025 ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ยอดจองกว่า 240,000 คันภายใน 18 ชั่วโมง ด้วยดีไซน์ที่หลายคนเปรียบเทียบว่า “เหมือน Porsche แต่ราคาพอ ๆ กับ Toyota Camry”

    ยอดขายพุ่งทะลุ 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025 และรายได้จากธุรกิจ EV ก็แตะ 20.6 พันล้านหยวนในไตรมาสเดียว แม้จะยังขาดทุนอยู่ แต่ก็ใกล้จุดคุ้มทุนแล้ว

    Xiaomi ไม่หยุดแค่ในจีน พวกเขาวางแผนบุกตลาดยุโรปในปี 2027 โดยเริ่มจากการทดสอบ SU7 Ultra บนสนาม Nürburgring ที่เยอรมนี ซึ่งทำสถิติเร็วที่สุดในกลุ่มรถ EV ผลิตจำนวนมาก

    แต่เส้นทางนี้ไม่ง่ายนัก เพราะในสหรัฐฯ Xiaomi ถูกกีดกันด้วยภาษีนำเข้า 100% จากนโยบายสงครามการค้าของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ตลาดใหญ่นี้ยังเข้าไม่ถึง

    แม้จะมีอุปสรรค แต่ Xiaomi ก็ได้รับคำชมจากนักวิเคราะห์ว่า “แซงหน้า Tesla ในหลายด้าน” โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์และราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น SU7 ในเดือนธันวาคม 2023
    ตามด้วยรุ่น YU7 SUV ในเดือนมิถุนายน 2025 ยอดจอง 240,000 คันใน 18 ชั่วโมง
    ราคาของ YU7 อยู่ที่ประมาณ 253,500 หยวน (US$35,360)
    Xiaomi วางแผนเข้าสู่ตลาดยุโรปในปี 2027
    SU7 Ultra ทำสถิติเร็วที่สุดในสนาม Nürburgring สำหรับรถ EV ผลิตจำนวนมาก
    Xiaomi ส่งมอบรถ EV ได้กว่า 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025
    รายได้จากธุรกิจ EV ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 20.6 พันล้านหยวน
    บริษัทตั้งเป้าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ 5 อันดับแรกของโลก
    Xiaomi ยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ เพราะภาษีนำเข้า 100%
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่า Xiaomi แซง Tesla ในหลายด้าน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SU7 ได้รับคำชมว่า “เหมือน Porsche Taycan” แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า
    Xiaomi ใช้ประสบการณ์จากธุรกิจมือถือและ IoT มาปรับใช้ในรถยนต์
    การออกแบบรถเน้น software-defined vehicle (SDV) ที่คล้ายสมาร์ตโฟนมากกว่ารถยนต์ดั้งเดิม
    Xiaomi มีแผนเปิดโรงงาน EV แห่งที่สองเพื่อเพิ่มกำลังผลิต
    ตลาดยุโรปมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าสหรัฐฯ และเปิดรับแบรนด์จีนมากขึ้น


    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/chinas-xiaomi-is-betting-big-on-electric-cars
    🎙️ จากมือถือสู่มอเตอร์ – Xiaomi กับภารกิจเปลี่ยนโลกยานยนต์ ถ้าคุณรู้จัก Xiaomi จากมือถือราคาดีฟีเจอร์ครบ คุณอาจไม่ทันรู้ว่าแบรนด์นี้กำลังกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และไม่ใช่แค่ “ลองทำดู” แต่เป็นการลงทุนเต็มตัวกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก SU7 ในเดือนธันวาคม 2023 และตามด้วย YU7 SUV ในกลางปี 2025 ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ยอดจองกว่า 240,000 คันภายใน 18 ชั่วโมง ด้วยดีไซน์ที่หลายคนเปรียบเทียบว่า “เหมือน Porsche แต่ราคาพอ ๆ กับ Toyota Camry” ยอดขายพุ่งทะลุ 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025 และรายได้จากธุรกิจ EV ก็แตะ 20.6 พันล้านหยวนในไตรมาสเดียว แม้จะยังขาดทุนอยู่ แต่ก็ใกล้จุดคุ้มทุนแล้ว Xiaomi ไม่หยุดแค่ในจีน พวกเขาวางแผนบุกตลาดยุโรปในปี 2027 โดยเริ่มจากการทดสอบ SU7 Ultra บนสนาม Nürburgring ที่เยอรมนี ซึ่งทำสถิติเร็วที่สุดในกลุ่มรถ EV ผลิตจำนวนมาก แต่เส้นทางนี้ไม่ง่ายนัก เพราะในสหรัฐฯ Xiaomi ถูกกีดกันด้วยภาษีนำเข้า 100% จากนโยบายสงครามการค้าของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ตลาดใหญ่นี้ยังเข้าไม่ถึง แม้จะมีอุปสรรค แต่ Xiaomi ก็ได้รับคำชมจากนักวิเคราะห์ว่า “แซงหน้า Tesla ในหลายด้าน” โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์และราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น SU7 ในเดือนธันวาคม 2023 ➡️ ตามด้วยรุ่น YU7 SUV ในเดือนมิถุนายน 2025 ยอดจอง 240,000 คันใน 18 ชั่วโมง ➡️ ราคาของ YU7 อยู่ที่ประมาณ 253,500 หยวน (US$35,360) ➡️ Xiaomi วางแผนเข้าสู่ตลาดยุโรปในปี 2027 ➡️ SU7 Ultra ทำสถิติเร็วที่สุดในสนาม Nürburgring สำหรับรถ EV ผลิตจำนวนมาก ➡️ Xiaomi ส่งมอบรถ EV ได้กว่า 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025 ➡️ รายได้จากธุรกิจ EV ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 20.6 พันล้านหยวน ➡️ บริษัทตั้งเป้าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ 5 อันดับแรกของโลก ➡️ Xiaomi ยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ เพราะภาษีนำเข้า 100% ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่า Xiaomi แซง Tesla ในหลายด้าน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SU7 ได้รับคำชมว่า “เหมือน Porsche Taycan” แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า ➡️ Xiaomi ใช้ประสบการณ์จากธุรกิจมือถือและ IoT มาปรับใช้ในรถยนต์ ➡️ การออกแบบรถเน้น software-defined vehicle (SDV) ที่คล้ายสมาร์ตโฟนมากกว่ารถยนต์ดั้งเดิม ➡️ Xiaomi มีแผนเปิดโรงงาน EV แห่งที่สองเพื่อเพิ่มกำลังผลิต ➡️ ตลาดยุโรปมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าสหรัฐฯ และเปิดรับแบรนด์จีนมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/chinas-xiaomi-is-betting-big-on-electric-cars
    WWW.THESTAR.COM.MY
    China's Xiaomi is betting big on electric cars
    Xiaomi may not be a household name in the US, but in China its products are everywhere. Already one of the world's top mobile phone manufacturers, the technology company also makes everything from toothbrushes to watches – even mattresses. Now it's betting big on electric vehicles, having already succeeded where even Apple failed.
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน

    ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ

    แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ

    การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่

    แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง

    นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang
    การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI
    Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google
    Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ
    โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน
    Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี
    หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI
    Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ
    เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก
    ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น
    GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง
    Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000
    บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน

    https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    🎙️ เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang ➡️ การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ➡️ Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google ➡️ Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ ➡️ โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน ➡️ Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี ➡️ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI ➡️ Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ ➡️ เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก ➡️ ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น ➡️ GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ➡️ Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 ➡️ บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย.
    #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย.


    รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ
    รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!!

    เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง
    และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย
    บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้
    เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…”

    ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State"
    จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น
    เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

    ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี
    ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร
    และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่

    พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome
    ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก)
    และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati
    ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด
    ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT,
    ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ
    และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง,
    ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป
    และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร
    คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street,
    Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase
    บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก
    และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock
    ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก
    และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น
    อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น
    พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง!

    ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต
    ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย
    พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา
    แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor
    ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ

    ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา
    การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์
    นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต
    ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง"
    หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง
    แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา
    การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ
    เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ



    พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา
    พวกเขา มีคนดังมากมาย
    พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล
    พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ
    พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง
    พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน
    พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด
    พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
    พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street
    พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา
    พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ
    พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา
    พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา
    พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ
    พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง
    พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา
    พวกเขา มีเงินมากกว่า
    พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ
    พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย
    พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล
    พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
    พวกเขา ควบคุม Google
    พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ
    พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง
    พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี
    อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา
    พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์

    พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้

    #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย. #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย. รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!! เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้ เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…” ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State" จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่ พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก) และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT, ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง, ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street, Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง! ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์ นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง" หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา พวกเขา มีคนดังมากมาย พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา พวกเขา มีเงินมากกว่า พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ พวกเขา ควบคุม Google พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์ พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้
    0 Comments 0 Shares 324 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกควอนตัม: เมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมสร้าง “ความสุ่มที่พิสูจน์ได้” เป็นครั้งแรก

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ทีมนักวิจัยจาก JPMorganChase, Quantinuum, Argonne และ Oak Ridge National Laboratory รวมถึงมหาวิทยาลัย Texas at Austin ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง พวกเขาใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาด 56 qubit สร้างตัวเลขสุ่มที่ไม่เพียงแค่ “ดูเหมือนสุ่ม” แต่สามารถพิสูจน์ได้ทางคณิตศาสตร์ว่า “สุ่มจริง” ด้วยการตรวจสอบจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกที่มีพลังประมวลผลระดับ 1.1 ExaFLOPS

    ความสำเร็จนี้เรียกว่า “certified randomness” ซึ่งหมายถึงตัวเลขที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่สามารถสร้างซ้ำได้ และไม่สามารถปลอมแปลงได้แม้จะมีการแทรกแซงจากภายนอก โดยใช้เทคนิค random circuit sampling (RCS) ที่ท้าทายให้คอมพิวเตอร์ควอนตัมเลือกคำตอบแบบสุ่มจากชุดคำถามที่สร้างจาก seed เล็ก ๆ แล้วให้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ตรวจสอบผลลัพธ์ว่าเป็นความสุ่มจริง

    แนวคิดนี้ถูกเสนอครั้งแรกโดย Scott Aaronson ในปี 2018 และวันนี้มันได้กลายเป็นจริง พร้อมเปิดประตูสู่การใช้งานในโลกจริง เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การสร้างระบบที่ยุติธรรม และการปกป้องความเป็นส่วนตัว

    ทีมนักวิจัยใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัม 56 qubit สร้างตัวเลขสุ่มที่พิสูจน์ได้
    ใช้ Quantinuum System Model H2-1 ผ่านอินเทอร์เน็ต

    ใช้เทคนิค random circuit sampling (RCS) เพื่อสร้างความสุ่ม
    เป็นกระบวนการที่คอมพิวเตอร์คลาสสิกไม่สามารถจำลองได้

    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกถูกใช้ตรวจสอบความสุ่ม
    มีพลังประมวลผลรวม 1.1 ExaFLOPS เพื่อรับรอง 71,313 bits ของ entropy

    แนวคิด “certified randomness” ถูกเสนอโดย Scott Aaronson
    เป็นการพิสูจน์ว่าความสุ่มนั้นไม่สามารถปลอมแปลงได้

    ผลลัพธ์นี้มีประโยชน์ต่อการเข้ารหัส ความเป็นส่วนตัว และความยุติธรรม
    เป็นก้าวแรกสู่การใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ในงานจริงที่คลาสสิกทำไม่ได้

    ความสุ่มที่พิสูจน์ได้มีความสำคัญต่อการเข้ารหัสแบบ unhackable
    ป้องกันการคาดเดาหรือย้อนรอยจากผู้ไม่หวังดี

    คอมพิวเตอร์คลาสสิกใช้ pseudo-random generators ที่สามารถถูกควบคุมได้
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง

    Quantum supremacy เคยเป็นแค่แนวคิด แต่วันนี้กลายเป็นการใช้งานจริง
    แสดงให้เห็นว่าควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาที่คลาสสิกทำไม่ได้

    Certified randomness สามารถใช้ในระบบเลือกตั้งดิจิทัล หรือการจับฉลากที่โปร่งใส
    เพิ่มความน่าเชื่อถือในระบบที่ต้องการความยุติธรรม

    https://www.neowin.net/news/quantum-computer-does-something-for-first-time-creates-certified-truly-random-numbers/
    🎲🔐 เรื่องเล่าจากโลกควอนตัม: เมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมสร้าง “ความสุ่มที่พิสูจน์ได้” เป็นครั้งแรก ในเดือนสิงหาคม 2025 ทีมนักวิจัยจาก JPMorganChase, Quantinuum, Argonne และ Oak Ridge National Laboratory รวมถึงมหาวิทยาลัย Texas at Austin ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง พวกเขาใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาด 56 qubit สร้างตัวเลขสุ่มที่ไม่เพียงแค่ “ดูเหมือนสุ่ม” แต่สามารถพิสูจน์ได้ทางคณิตศาสตร์ว่า “สุ่มจริง” ด้วยการตรวจสอบจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกที่มีพลังประมวลผลระดับ 1.1 ExaFLOPS ความสำเร็จนี้เรียกว่า “certified randomness” ซึ่งหมายถึงตัวเลขที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่สามารถสร้างซ้ำได้ และไม่สามารถปลอมแปลงได้แม้จะมีการแทรกแซงจากภายนอก โดยใช้เทคนิค random circuit sampling (RCS) ที่ท้าทายให้คอมพิวเตอร์ควอนตัมเลือกคำตอบแบบสุ่มจากชุดคำถามที่สร้างจาก seed เล็ก ๆ แล้วให้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ตรวจสอบผลลัพธ์ว่าเป็นความสุ่มจริง แนวคิดนี้ถูกเสนอครั้งแรกโดย Scott Aaronson ในปี 2018 และวันนี้มันได้กลายเป็นจริง พร้อมเปิดประตูสู่การใช้งานในโลกจริง เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การสร้างระบบที่ยุติธรรม และการปกป้องความเป็นส่วนตัว ✅ ทีมนักวิจัยใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัม 56 qubit สร้างตัวเลขสุ่มที่พิสูจน์ได้ ➡️ ใช้ Quantinuum System Model H2-1 ผ่านอินเทอร์เน็ต ✅ ใช้เทคนิค random circuit sampling (RCS) เพื่อสร้างความสุ่ม ➡️ เป็นกระบวนการที่คอมพิวเตอร์คลาสสิกไม่สามารถจำลองได้ ✅ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกถูกใช้ตรวจสอบความสุ่ม ➡️ มีพลังประมวลผลรวม 1.1 ExaFLOPS เพื่อรับรอง 71,313 bits ของ entropy ✅ แนวคิด “certified randomness” ถูกเสนอโดย Scott Aaronson ➡️ เป็นการพิสูจน์ว่าความสุ่มนั้นไม่สามารถปลอมแปลงได้ ✅ ผลลัพธ์นี้มีประโยชน์ต่อการเข้ารหัส ความเป็นส่วนตัว และความยุติธรรม ➡️ เป็นก้าวแรกสู่การใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ในงานจริงที่คลาสสิกทำไม่ได้ ✅ ความสุ่มที่พิสูจน์ได้มีความสำคัญต่อการเข้ารหัสแบบ unhackable ➡️ ป้องกันการคาดเดาหรือย้อนรอยจากผู้ไม่หวังดี ✅ คอมพิวเตอร์คลาสสิกใช้ pseudo-random generators ที่สามารถถูกควบคุมได้ ➡️ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง ✅ Quantum supremacy เคยเป็นแค่แนวคิด แต่วันนี้กลายเป็นการใช้งานจริง ➡️ แสดงให้เห็นว่าควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาที่คลาสสิกทำไม่ได้ ✅ Certified randomness สามารถใช้ในระบบเลือกตั้งดิจิทัล หรือการจับฉลากที่โปร่งใส ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือในระบบที่ต้องการความยุติธรรม https://www.neowin.net/news/quantum-computer-does-something-for-first-time-creates-certified-truly-random-numbers/
    WWW.NEOWIN.NET
    Quantum computer does something for first time, creates "certified truly random" numbers
    Researchers achieve a breakthrough using quantum computing to generate and certify randomness, solving a problem classical computers can't tackle alone.
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกการเงิน: JPMorgan เปิดแนววิเคราะห์ใหม่ จับตาบริษัทเอกชนทรงพลัง

    เมื่อก่อนบทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินมักเน้นแต่บริษัทมหาชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น เพราะข้อมูลโปร่งใสและนักลงทุนเข้าถึงได้ง่าย แต่ในยุคนี้หลายบริษัทเอกชน เช่น OpenAI, SpaceX, Bytedance กลับสร้างอิทธิพลในอุตสาหกรรมมากกว่าบริษัทใน S&P 500 เสียอีก

    ด้วยเหตุนี้ JPMorgan ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ จึงเริ่มออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับบริษัทเอกชนรายใหญ่ โดยเปิดตัวรายงานฉบับแรกกับ OpenAI ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญในยุค AI

    รายงานเหล่านี้จะไม่เน้น “ราคาเป้าหมายหรือเรตติ้ง” แบบดั้งเดิม แต่จะให้ข้อมูลเชิงโครงสร้าง เช่น ศักยภาพของบริษัทในอุตสาหกรรม ความเสี่ยง ความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิด และแนวโน้มการเติบโต ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสถาบันวางกลยุทธ์ได้แม่นยำขึ้น

    ปัจจุบันมีสตาร์ตอัปเอกชนที่ได้สถานะ “ยูนิคอร์น” แล้วกว่า 1,500 ราย โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือที่มีมากกว่า 1,000 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนว่าโลกการลงทุนเปลี่ยนไปไกลมาก

    JPMorgan เริ่มออกบทวิเคราะห์สำหรับบริษัทเอกชนรายใหญ่
    ฉบับแรกคือ OpenAI ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI ระดับโลก

    บทวิเคราะห์นี้ไม่ระบุเป้าราคาหรือเรตติ้งเหมือนแบบดั้งเดิม
    เน้นข้อมูลโครงสร้าง ธุรกิจหลัก และผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

    บริษัทเอกชนหลายรายมีมูลค่ามากกว่าบริษัทใน S&P 500
    เช่น SpaceX, Bytedance ซึ่งมีอิทธิพลในวงการที่เปลี่ยนเร็ว

    นักลงทุนสถาบันเริ่มติดตามบริษัทเอกชนตั้งแต่ระยะแรก
    เพื่อหาโอกาสลงทุนก่อนที่จะมีการ IPO

    ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนที่เป็นยูนิคอร์นกว่า 1,500 ราย
    โดยอเมริกาเหนือมีมากกว่า 1,000 ราย รวมมูลค่า ~4 ล้านล้านดอลลาร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/19/jpmorgan-eyes-new-research-frontier-with-coverage-of-private-firms-source-says
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกการเงิน: JPMorgan เปิดแนววิเคราะห์ใหม่ จับตาบริษัทเอกชนทรงพลัง เมื่อก่อนบทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินมักเน้นแต่บริษัทมหาชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น เพราะข้อมูลโปร่งใสและนักลงทุนเข้าถึงได้ง่าย แต่ในยุคนี้หลายบริษัทเอกชน เช่น OpenAI, SpaceX, Bytedance กลับสร้างอิทธิพลในอุตสาหกรรมมากกว่าบริษัทใน S&P 500 เสียอีก ด้วยเหตุนี้ JPMorgan ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ จึงเริ่มออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับบริษัทเอกชนรายใหญ่ โดยเปิดตัวรายงานฉบับแรกกับ OpenAI ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญในยุค AI รายงานเหล่านี้จะไม่เน้น “ราคาเป้าหมายหรือเรตติ้ง” แบบดั้งเดิม แต่จะให้ข้อมูลเชิงโครงสร้าง เช่น ศักยภาพของบริษัทในอุตสาหกรรม ความเสี่ยง ความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิด และแนวโน้มการเติบโต ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสถาบันวางกลยุทธ์ได้แม่นยำขึ้น ปัจจุบันมีสตาร์ตอัปเอกชนที่ได้สถานะ “ยูนิคอร์น” แล้วกว่า 1,500 ราย โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือที่มีมากกว่า 1,000 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนว่าโลกการลงทุนเปลี่ยนไปไกลมาก ✅ JPMorgan เริ่มออกบทวิเคราะห์สำหรับบริษัทเอกชนรายใหญ่ ➡️ ฉบับแรกคือ OpenAI ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI ระดับโลก ✅ บทวิเคราะห์นี้ไม่ระบุเป้าราคาหรือเรตติ้งเหมือนแบบดั้งเดิม ➡️ เน้นข้อมูลโครงสร้าง ธุรกิจหลัก และผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ✅ บริษัทเอกชนหลายรายมีมูลค่ามากกว่าบริษัทใน S&P 500 ➡️ เช่น SpaceX, Bytedance ซึ่งมีอิทธิพลในวงการที่เปลี่ยนเร็ว ✅ นักลงทุนสถาบันเริ่มติดตามบริษัทเอกชนตั้งแต่ระยะแรก ➡️ เพื่อหาโอกาสลงทุนก่อนที่จะมีการ IPO ✅ ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนที่เป็นยูนิคอร์นกว่า 1,500 ราย ➡️ โดยอเมริกาเหนือมีมากกว่า 1,000 ราย รวมมูลค่า ~4 ล้านล้านดอลลาร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/19/jpmorgan-eyes-new-research-frontier-with-coverage-of-private-firms-source-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    JPMorgan eyes new research frontier with coverage of private firms, source says
    (Reuters) -JPMorgan Chase has begun publishing research notes on prominent private companies transforming industries, a person familiar with the matter told Reuters on Friday.
    0 Comments 0 Shares 326 Views 0 Reviews
  • ในโลกการเงินการลงทุน ธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจะได้เปรียบอย่างมาก เพราะดีลในสายนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่รวมไปถึงความเข้าใจในโครงสร้าง IT, Cloud, Cybersecurity ฯลฯ → JPMorgan รู้เรื่องนี้ดี และตอนนี้พวกเขากำลัง “เสริมเกราะ” ด้วยการดึง Mike Amez เข้ามา

    Mike เคยเป็น Managing Director ที่ Guggenheim Securities ฝั่ง Tech Investment Banking → เชี่ยวชาญด้าน IT Services, Cybersecurity และ Hyperscale Cloud → เขาจะประจำอยู่ที่ชิคาโก และเริ่มงานในเดือนกันยายน 2025

    การย้ายเข้ามาของเขาเกิดขึ้นไม่ถึง 6 สัปดาห์ หลัง JPMorgan เพิ่งดึงผู้บริหารจาก Goldman Sachs, Bank of America และ Lazard อีก 4 คนเข้าสู่ทีม West Coast → สะท้อนว่า JPMorgan กำลังจัดทัพชุดใหญ่เพื่อปิดดีลเทคโนโลยีระดับโลก

    และก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ JPMorgan เพิ่งช่วยปิดดีลใหญ่ ๆ เช่น → Global Payments ซื้อ Worldpay ที่มูลค่า 24.25 พันล้านเหรียญ → Turn/River ซื้อ SolarWinds ในดีล 4.4 พันล้าน → DoorDash ซื้อ Deliveroo 3.9 พันล้าน → และ CoreWeave เข้าตลาดด้วยมูลค่ากว่า 23 พันล้าน

    JPMorgan จ้าง Mike Amez จาก Guggenheim มานั่งตำแหน่ง “Head of Mid-Cap Technology Services”  
    • เริ่มงาน ก.ย. 2025 ที่ชิคาโก  
    • มุ่งเน้นลูกค้ากลุ่ม mid-size (เทคโนโลยีระดับกลาง–กำลังโต)

    Amez เชี่ยวชาญในสามสายหลัก:  
    • IT Services  • Cybersecurity  
    • Hyperscale Cloud Infrastructure

    เกิดขึ้นหลัง JPMorgan เพิ่งดึง 4 ผู้บริหารจาก Goldman Sachs, BofA และ Lazard เสริมทีมฝั่ง West Coast

    JPMorgan เป็นหนึ่งในธนาคารที่ “ครองตลาด tech investment banking” อยู่แล้ว  
    • ตามข้อมูลจาก Dealogic  
    • รับบทบาทสำคัญในหลายดีลขนาดพันล้านดอลลาร์

    ดีลใหญ่ที่ JPMorgan มีบทบาทช่วงที่ผ่านมา:  
    • Global Payments ซื้อ Worldpay ($24.25B)  
    • Turn/River ซื้อ SolarWinds ($4.4B)  
    • DoorDash ซื้อ Deliveroo ($3.9B)  
    • CoreWeave เข้าตลาด ($23B)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/jpmorgan-expands-tech-team-with-guggenheim-veteran-memo-says
    ในโลกการเงินการลงทุน ธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจะได้เปรียบอย่างมาก เพราะดีลในสายนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่รวมไปถึงความเข้าใจในโครงสร้าง IT, Cloud, Cybersecurity ฯลฯ → JPMorgan รู้เรื่องนี้ดี และตอนนี้พวกเขากำลัง “เสริมเกราะ” ด้วยการดึง Mike Amez เข้ามา Mike เคยเป็น Managing Director ที่ Guggenheim Securities ฝั่ง Tech Investment Banking → เชี่ยวชาญด้าน IT Services, Cybersecurity และ Hyperscale Cloud → เขาจะประจำอยู่ที่ชิคาโก และเริ่มงานในเดือนกันยายน 2025 การย้ายเข้ามาของเขาเกิดขึ้นไม่ถึง 6 สัปดาห์ หลัง JPMorgan เพิ่งดึงผู้บริหารจาก Goldman Sachs, Bank of America และ Lazard อีก 4 คนเข้าสู่ทีม West Coast → สะท้อนว่า JPMorgan กำลังจัดทัพชุดใหญ่เพื่อปิดดีลเทคโนโลยีระดับโลก และก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ JPMorgan เพิ่งช่วยปิดดีลใหญ่ ๆ เช่น → Global Payments ซื้อ Worldpay ที่มูลค่า 24.25 พันล้านเหรียญ → Turn/River ซื้อ SolarWinds ในดีล 4.4 พันล้าน → DoorDash ซื้อ Deliveroo 3.9 พันล้าน → และ CoreWeave เข้าตลาดด้วยมูลค่ากว่า 23 พันล้าน ✅ JPMorgan จ้าง Mike Amez จาก Guggenheim มานั่งตำแหน่ง “Head of Mid-Cap Technology Services”   • เริ่มงาน ก.ย. 2025 ที่ชิคาโก   • มุ่งเน้นลูกค้ากลุ่ม mid-size (เทคโนโลยีระดับกลาง–กำลังโต) ✅ Amez เชี่ยวชาญในสามสายหลัก:   • IT Services  • Cybersecurity   • Hyperscale Cloud Infrastructure ✅ เกิดขึ้นหลัง JPMorgan เพิ่งดึง 4 ผู้บริหารจาก Goldman Sachs, BofA และ Lazard เสริมทีมฝั่ง West Coast ✅ JPMorgan เป็นหนึ่งในธนาคารที่ “ครองตลาด tech investment banking” อยู่แล้ว   • ตามข้อมูลจาก Dealogic   • รับบทบาทสำคัญในหลายดีลขนาดพันล้านดอลลาร์ ✅ ดีลใหญ่ที่ JPMorgan มีบทบาทช่วงที่ผ่านมา:   • Global Payments ซื้อ Worldpay ($24.25B)   • Turn/River ซื้อ SolarWinds ($4.4B)   • DoorDash ซื้อ Deliveroo ($3.9B)   • CoreWeave เข้าตลาด ($23B) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/jpmorgan-expands-tech-team-with-guggenheim-veteran-memo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    JPMorgan expands tech team with Guggenheim veteran, memo says
    NEW YORK (Reuters) -JPMorgan Chase is hiring Guggenheim Securities executive Mike Amez, as the country's biggest bank continues to expand its technology investment banking team and to provide specific expertise to medium-sized companies, according to a staff memo.
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เป็นเคสที่สะท้อนความ “ไม่รู้เวล่ำเวลา” ของ AI และความรู้สึกไวของสังคมต่อปัญหาการเลิกจ้าง — เมื่อ Matt Turnbull ผู้บริหารจาก Xbox Games Studio ออกมาโพสต์แนะนำว่า คนที่เพิ่งถูกไล่ออกจาก Microsoft ควรใช้ AI ช่วยบรรเทาความรู้สึก พร้อมแนบ prompt ตัวอย่างให้ใช้ Copilot สร้างความมั่นใจตนเอง

    แม้เจตนาอาจดี แต่โพสต์นี้โดนถล่มยับว่า “ไร้เซนส์ขั้นสุด” โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานรอบที่ 4 และทุ่มงบ $80,000 ล้านให้โครงสร้างพื้นฐาน AI จนหลายคนรู้สึกว่า "ถูกแทนที่โดย AI แล้วถูกบอกให้ใช้งาน AI เพื่อเยียวยาตัวเองอีก..."

    Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox แนะผู้ถูกเลิกจ้างให้ใช้ AI (เช่น Copilot) ช่วยลดภาระอารมณ์-ความคิดหลังตกงาน  
    • แนะนำ prompt เช่น “ช่วยฉันคิดใหม่ว่าฉันเก่งเรื่องอะไร หลังรู้สึกหมดความมั่นใจจากการถูกปลด”
    • ชี้ว่าคนที่ตกงาน “ไม่ได้อยู่ลำพัง” และ AI จะช่วยให้ “หลุดจากอารมณ์ลบได้เร็วขึ้น”

    โพสต์ต้นทางถูกลบหลังเกิดกระแสตีกลับ  
    • โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานราว 9,000 คน ในรอบที่ 4 ภายใน 18 เดือน

    Microsoft มีแผนลงทุนใน AI infrastructure มูลค่า $80 พันล้านภายในปีการเงินถัดไป  
    • เป็นการลงทุนที่ตรงข้ามกับภาพคนตกงานจากผลของ AI อย่างเห็นได้ชัด

    หลายบริษัทยักษ์ออกมายอมรับว่า AI จะลดแรงงานสายออฟฟิศจำนวนมากใน 3–5 ปี  
    • ซีอีโอจาก Ford, Amazon, Anthropic, Shopify, JPMorgan ต่างพูดคล้ายกัน

    https://www.techspot.com/news/108562-xbox-exec-suggests-people-use-ai-lessen-pain.html
    ข่าวนี้เป็นเคสที่สะท้อนความ “ไม่รู้เวล่ำเวลา” ของ AI และความรู้สึกไวของสังคมต่อปัญหาการเลิกจ้าง — เมื่อ Matt Turnbull ผู้บริหารจาก Xbox Games Studio ออกมาโพสต์แนะนำว่า คนที่เพิ่งถูกไล่ออกจาก Microsoft ควรใช้ AI ช่วยบรรเทาความรู้สึก พร้อมแนบ prompt ตัวอย่างให้ใช้ Copilot สร้างความมั่นใจตนเอง 🧑‍💼🤖 แม้เจตนาอาจดี แต่โพสต์นี้โดนถล่มยับว่า “ไร้เซนส์ขั้นสุด” โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานรอบที่ 4 และทุ่มงบ $80,000 ล้านให้โครงสร้างพื้นฐาน AI จนหลายคนรู้สึกว่า "ถูกแทนที่โดย AI แล้วถูกบอกให้ใช้งาน AI เพื่อเยียวยาตัวเองอีก..." ✅ Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox แนะผู้ถูกเลิกจ้างให้ใช้ AI (เช่น Copilot) ช่วยลดภาระอารมณ์-ความคิดหลังตกงาน   • แนะนำ prompt เช่น “ช่วยฉันคิดใหม่ว่าฉันเก่งเรื่องอะไร หลังรู้สึกหมดความมั่นใจจากการถูกปลด” • ชี้ว่าคนที่ตกงาน “ไม่ได้อยู่ลำพัง” และ AI จะช่วยให้ “หลุดจากอารมณ์ลบได้เร็วขึ้น” ✅ โพสต์ต้นทางถูกลบหลังเกิดกระแสตีกลับ   • โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานราว 9,000 คน ในรอบที่ 4 ภายใน 18 เดือน ✅ Microsoft มีแผนลงทุนใน AI infrastructure มูลค่า $80 พันล้านภายในปีการเงินถัดไป   • เป็นการลงทุนที่ตรงข้ามกับภาพคนตกงานจากผลของ AI อย่างเห็นได้ชัด ✅ หลายบริษัทยักษ์ออกมายอมรับว่า AI จะลดแรงงานสายออฟฟิศจำนวนมากใน 3–5 ปี   • ซีอีโอจาก Ford, Amazon, Anthropic, Shopify, JPMorgan ต่างพูดคล้ายกัน https://www.techspot.com/news/108562-xbox-exec-suggests-people-use-ai-lessen-pain.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Xbox exec suggests people use AI to lessen the pain of being laid off
    Turnbull has very wisely removed his post, but it was captured by Necrosoft's Brandon Sheffield. The exec started by mentioning these are challenging times – particularly for...
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน

    เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน:
    - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics
    - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20%
    - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม
    - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด”

    ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก

    ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส

    Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี  
    • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ

    Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน  
    • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี  
    • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน

    งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:  
    • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์  
    • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน

    Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI  
    • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น

    ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน  
    • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด

    มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป”

    https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน: - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20% - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด” ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส ✅ Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี   • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ ✅ Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน   • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี   • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน ✅ งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:   • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์   • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน ✅ Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI   • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น ✅ ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน   • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด ✅ มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป” https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ford CEO joins list of execs warning AI could eliminate millions of white-collar jobs
    Farley did not elaborate on his views, but he is hardly the only Fortune 500 CEO who believes AI could spell trouble for educated white-collar workers. Leaders...
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • เรื่องราวเริ่มจาก Chetal และพวก 2 คน ใช้เทคนิค social engineering ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ Google/Yahoo หลอกเหยื่อจากวอชิงตัน ดี.ซี. จนสามารถขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 เหรียญ มูลค่าราว $245 ล้าน (และตอนนี้ขึ้นมาเกือบ $440 ล้านแล้ว!)

    จากนั้นเขาใช้เงินที่ได้ไปใช้ชีวิตหรูหราทั้งซื้อรถ, เช่าคฤหาสน์, ปาร์ตี้ไนต์คลับ และเครื่องเพชร — จนกลายเป็นเป้าสายตาแบบเต็ม ๆ

    และเรื่องดันบานปลาย เมื่อ พ่อแม่ของ Chetal ถูกกลุ่มอาชญากรจากฟลอริดารุมทำร้าย-ลักพาตัว แบบกลางวันแสก ๆ ด้วยการเอารถชน, มัดมือ, ยัดใส่รถตู้ — แต่โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ FBI นอกเครื่องแบบอยู่ใกล้ ๆ และช่วยได้ทัน

    ต่อมา FBI บุกค้นบ้าน พบเงินสด $500,000 และคริปโตอีก $39 ล้าน ซ้ำยังพบว่า Chetal เคยก่อเหตุแบบเดียวกันอีกเกือบ 50 ครั้ง รวมรายได้อีก $3 ล้าน

    ตอนนี้ Chetal ยอมรับผิดและให้ความร่วมมือกับทางการ เพื่อแลกกับโทษที่เบาลง — แต่อาจต้องติดคุก 19–24 ปี, ถูกปรับสูงสุด $500,000 และอาจ ถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะเป็นผู้ย้ายถิ่นตั้งแต่ยังเด็ก

    ข้อมูลจากข่าว:
    Veer Chetal และพรรคพวกขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 BTC มูลค่า $245 ล้าน ในเดือนส.ค. 2024  
    • ใช้การหลอกลวงแบบ social engineering ด้วยการปลอมเป็นเจ้าหน้าที่บริการเว็บชื่อดัง

    หลังการขโมย Chetal ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย  
    • ซื้อรถหรู, เครื่องเพชร, เช่าคฤหาสน์ และปาร์ตี้อย่างรื่นเริง

    พ่อแม่ของเขาถูกกลุ่มชายจากฟลอริดาลักพาตัวกลางวันแสก ๆ ด้วยความรุนแรง  
    • โชคดีที่มี FBI อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ช่วยไว้ได้ทัน

    FBI ค้นบ้านพบ $500,000 เงินสด และ crypto อีก $39 ล้าน  
    • ตรวจพบว่ามีคดีคล้ายกันอีก 50 ครั้ง รวมเงิน $3 ล้าน

    Chetal ยอมรับผิดข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน  
    • เตรียมรับโทษจำคุก 19–24 ปี และปรับ $50,000–$500,000 พร้อมชดใช้เหยื่อ  
    • อาจถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ

    พ่อของเขาถูกไล่ออกจาก Morgan Stanley จากเหตุผลเกี่ยวกับคดีนี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/man-behind-usd245m-bitcoin-theft-has-bizarre-tale-that-includes-kidnapped-parents-fraud-and-money-laundering-suspect-now-faces-up-to-24-years-in-prison-half-million-dollar-fine-and-possible-deportation-to-india
    เรื่องราวเริ่มจาก Chetal และพวก 2 คน ใช้เทคนิค social engineering ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ Google/Yahoo หลอกเหยื่อจากวอชิงตัน ดี.ซี. จนสามารถขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 เหรียญ มูลค่าราว $245 ล้าน (และตอนนี้ขึ้นมาเกือบ $440 ล้านแล้ว!) จากนั้นเขาใช้เงินที่ได้ไปใช้ชีวิตหรูหราทั้งซื้อรถ, เช่าคฤหาสน์, ปาร์ตี้ไนต์คลับ และเครื่องเพชร — จนกลายเป็นเป้าสายตาแบบเต็ม ๆ และเรื่องดันบานปลาย เมื่อ พ่อแม่ของ Chetal ถูกกลุ่มอาชญากรจากฟลอริดารุมทำร้าย-ลักพาตัว แบบกลางวันแสก ๆ ด้วยการเอารถชน, มัดมือ, ยัดใส่รถตู้ — แต่โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ FBI นอกเครื่องแบบอยู่ใกล้ ๆ และช่วยได้ทัน ต่อมา FBI บุกค้นบ้าน พบเงินสด $500,000 และคริปโตอีก $39 ล้าน ซ้ำยังพบว่า Chetal เคยก่อเหตุแบบเดียวกันอีกเกือบ 50 ครั้ง รวมรายได้อีก $3 ล้าน ตอนนี้ Chetal ยอมรับผิดและให้ความร่วมมือกับทางการ เพื่อแลกกับโทษที่เบาลง — แต่อาจต้องติดคุก 19–24 ปี, ถูกปรับสูงสุด $500,000 และอาจ ถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะเป็นผู้ย้ายถิ่นตั้งแต่ยังเด็ก ✅ ข้อมูลจากข่าว: ✅ Veer Chetal และพรรคพวกขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 BTC มูลค่า $245 ล้าน ในเดือนส.ค. 2024   • ใช้การหลอกลวงแบบ social engineering ด้วยการปลอมเป็นเจ้าหน้าที่บริการเว็บชื่อดัง ✅ หลังการขโมย Chetal ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย   • ซื้อรถหรู, เครื่องเพชร, เช่าคฤหาสน์ และปาร์ตี้อย่างรื่นเริง ✅ พ่อแม่ของเขาถูกกลุ่มชายจากฟลอริดาลักพาตัวกลางวันแสก ๆ ด้วยความรุนแรง   • โชคดีที่มี FBI อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ช่วยไว้ได้ทัน ✅ FBI ค้นบ้านพบ $500,000 เงินสด และ crypto อีก $39 ล้าน   • ตรวจพบว่ามีคดีคล้ายกันอีก 50 ครั้ง รวมเงิน $3 ล้าน ✅ Chetal ยอมรับผิดข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน   • เตรียมรับโทษจำคุก 19–24 ปี และปรับ $50,000–$500,000 พร้อมชดใช้เหยื่อ   • อาจถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ ✅ พ่อของเขาถูกไล่ออกจาก Morgan Stanley จากเหตุผลเกี่ยวกับคดีนี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/man-behind-usd245m-bitcoin-theft-has-bizarre-tale-that-includes-kidnapped-parents-fraud-and-money-laundering-suspect-now-faces-up-to-24-years-in-prison-half-million-dollar-fine-and-possible-deportation-to-india
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Man behind $245m Bitcoin theft has bizarre tale that includes kidnapped parents, fraud, and money laundering — suspect now faces up to 24 years in prison, half-million-dollar fine, and possible deportation to India
    Connecticut man’s parents were kidnapped shortly after the BTC theft. The father allegedly lost his job at Morgan Stanley due to his son’s nefarious activities.
    0 Comments 0 Shares 549 Views 0 Reviews
  • Bloomberg เผยรายงานว่า xAI บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของ Elon Musk เตรียมเผาเงินกว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 หรือเฉลี่ยเดือนละ 1 พันล้าน! ยิ่งไปกว่านั้น — จากเงินที่ระดมทุนมาตั้งแต่ปี 2023 รวม 14 พันล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 4 พันล้านในไตรมาสแรกปีนี้ และน่าจะร่อยหรอในไตรมาสสอง

    แน่นอนว่า Musk ไม่อยู่เฉย เขาโพสต์ใน X ว่า “Bloomberg พูดไร้สาระ” และ “ผู้คนไม่รู้เลยว่ากำลังเดิมพันอะไรกันอยู่” — นี่คือการยืนยันว่าเดิมพันนี้ใหญ่มาก (แม้จะไม่ยอมรับตัวเลขตรง ๆ)

    รายจ่ายส่วนใหญ่ของ xAI คือโครงการ Colossus และ Memphis Supercluster ที่เน้นซื้อ GPU Hopper จาก Nvidia จำนวน 200,000 ตัว พร้อมสำรองไฟด้วย Tesla Megapack 150MW เพื่อให้ระบบไม่ดับระหว่างฝึก AI ขนาดยักษ์

    และพีคสุดคือ Musk เคยพูดไว้ว่า จะเพิ่ม GPU เป็น 1 ล้านตัวใน Colossus ซึ่งตีเป็นเงินน่าจะอยู่ระหว่าง $50 – $62.5 พันล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว

    เพื่อไปต่อ xAI จึงกำลังปิดดีล ระดมทุนเพิ่มอีก 4.3 พันล้านดอลลาร์ (รอบใหม่) และวางแผนระดมอีก 6.4 พันล้านปีหน้า — ยังไม่รวม “หนี้ก้อนโต” ที่ Morgan Stanley กำลังช่วยระดมเพิ่มอีก 5 พันล้าน เพื่อใช้สร้างศูนย์ข้อมูลต่อ

    xAI คาดว่าจะใช้เงินมากกว่า $13B ในปี 2025 หรือเฉลี่ย $1B/เดือน  
    • รายได้ปีนี้ประมาณ $500M เท่านั้น  
    • บริษัทคาดว่าจะได้เงินคืน $650M จากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์

    เงินสดเหลือใน Q1/2025 เหลือเพียง $4B จากที่ระดมมา $14B  
    • Bloomberg คาดว่าจะใกล้หมดภายในไตรมาส 2

    xAI อยู่ระหว่างปิดดีลระดมทุนเพิ่ม $4.3B (equity)  
    • พร้อมเตรียมระดมทุนอีก $6.4B ในปีหน้า  
    • Morgan Stanley ช่วยจัดหาหนี้อีก $5B

    โครงการหลัก Colossus ใช้ GPU H100/Hopper จำนวน 200K ตัวใน Memphis Supercluster  
    • สำรองไฟด้วย Tesla Megapack 150MW  
    • วางแผนเพิ่มเป็น 1 ล้าน GPU → มูลค่าการลงทุน $50B – $62.5B

    Elon Musk โต้ว่า Bloomberg รายงาน “ไร้สาระ”  
    • แต่ยอมรับว่าผู้คนไม่เข้าใจขอบเขตของความเสี่ยงและเดิมพัน

    บริษัทมีมูลค่าสูงถึง $80B เมื่อต้นปี 2025 (จาก $51B ในปลายปี 2024)  
    • ได้รับเงินลงทุนจาก Andreessen Horowitz, Sequoia Capital, VY Capital

    บางแหล่งคาด xAI จะเริ่มทำกำไรในปี 2027 — เร็วกว่า OpenAI ที่ตั้งเป้าไว้ปี 2029

    การเผาเงินระดับ $1B/เดือน แบบยังไม่มีรายได้ที่ใกล้เคียง อาจเป็นความเสี่ยงทางการเงินสูงมาก  
    • นักลงทุนอาจเริ่มตั้งคำถามหากไม่มีแผน monetization ที่ชัด

    การพึ่งพา GPU ของ Nvidia ทำให้ xAI มีต้นทุนสูงและยากจะควบคุมราคาฮาร์ดแวร์  
    • หากตลาดชิป AI ผันผวน อาจกระทบงบประมาณอย่างแรง

    แม้ Musk จะโต้ข่าว แต่ไม่ยอมเปิดตัวเลขจริง จึงยากต่อการประเมินความมั่นคงทางการเงิน

    หากการลงทุนไม่ออกดอกออกผลเร็วพอ การประเมินมูลค่าบริษัทอาจถูกปรับลดในรอบต่อไป  
    • อาจกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนรายใหญ่

    https://www.techspot.com/news/108377-elon-musk-responds-report-xai-burning-through-1.html
    Bloomberg เผยรายงานว่า xAI บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของ Elon Musk เตรียมเผาเงินกว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 หรือเฉลี่ยเดือนละ 1 พันล้าน! ยิ่งไปกว่านั้น — จากเงินที่ระดมทุนมาตั้งแต่ปี 2023 รวม 14 พันล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 4 พันล้านในไตรมาสแรกปีนี้ และน่าจะร่อยหรอในไตรมาสสอง แน่นอนว่า Musk ไม่อยู่เฉย เขาโพสต์ใน X ว่า “Bloomberg พูดไร้สาระ” และ “ผู้คนไม่รู้เลยว่ากำลังเดิมพันอะไรกันอยู่” — นี่คือการยืนยันว่าเดิมพันนี้ใหญ่มาก (แม้จะไม่ยอมรับตัวเลขตรง ๆ) รายจ่ายส่วนใหญ่ของ xAI คือโครงการ Colossus และ Memphis Supercluster ที่เน้นซื้อ GPU Hopper จาก Nvidia จำนวน 200,000 ตัว พร้อมสำรองไฟด้วย Tesla Megapack 150MW เพื่อให้ระบบไม่ดับระหว่างฝึก AI ขนาดยักษ์ และพีคสุดคือ Musk เคยพูดไว้ว่า จะเพิ่ม GPU เป็น 1 ล้านตัวใน Colossus ซึ่งตีเป็นเงินน่าจะอยู่ระหว่าง $50 – $62.5 พันล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว เพื่อไปต่อ xAI จึงกำลังปิดดีล ระดมทุนเพิ่มอีก 4.3 พันล้านดอลลาร์ (รอบใหม่) และวางแผนระดมอีก 6.4 พันล้านปีหน้า — ยังไม่รวม “หนี้ก้อนโต” ที่ Morgan Stanley กำลังช่วยระดมเพิ่มอีก 5 พันล้าน เพื่อใช้สร้างศูนย์ข้อมูลต่อ ✅ xAI คาดว่าจะใช้เงินมากกว่า $13B ในปี 2025 หรือเฉลี่ย $1B/เดือน   • รายได้ปีนี้ประมาณ $500M เท่านั้น   • บริษัทคาดว่าจะได้เงินคืน $650M จากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ✅ เงินสดเหลือใน Q1/2025 เหลือเพียง $4B จากที่ระดมมา $14B   • Bloomberg คาดว่าจะใกล้หมดภายในไตรมาส 2 ✅ xAI อยู่ระหว่างปิดดีลระดมทุนเพิ่ม $4.3B (equity)   • พร้อมเตรียมระดมทุนอีก $6.4B ในปีหน้า   • Morgan Stanley ช่วยจัดหาหนี้อีก $5B ✅ โครงการหลัก Colossus ใช้ GPU H100/Hopper จำนวน 200K ตัวใน Memphis Supercluster   • สำรองไฟด้วย Tesla Megapack 150MW   • วางแผนเพิ่มเป็น 1 ล้าน GPU → มูลค่าการลงทุน $50B – $62.5B ✅ Elon Musk โต้ว่า Bloomberg รายงาน “ไร้สาระ”   • แต่ยอมรับว่าผู้คนไม่เข้าใจขอบเขตของความเสี่ยงและเดิมพัน ✅ บริษัทมีมูลค่าสูงถึง $80B เมื่อต้นปี 2025 (จาก $51B ในปลายปี 2024)   • ได้รับเงินลงทุนจาก Andreessen Horowitz, Sequoia Capital, VY Capital ✅ บางแหล่งคาด xAI จะเริ่มทำกำไรในปี 2027 — เร็วกว่า OpenAI ที่ตั้งเป้าไว้ปี 2029 ‼️ การเผาเงินระดับ $1B/เดือน แบบยังไม่มีรายได้ที่ใกล้เคียง อาจเป็นความเสี่ยงทางการเงินสูงมาก   • นักลงทุนอาจเริ่มตั้งคำถามหากไม่มีแผน monetization ที่ชัด ‼️ การพึ่งพา GPU ของ Nvidia ทำให้ xAI มีต้นทุนสูงและยากจะควบคุมราคาฮาร์ดแวร์   • หากตลาดชิป AI ผันผวน อาจกระทบงบประมาณอย่างแรง ‼️ แม้ Musk จะโต้ข่าว แต่ไม่ยอมเปิดตัวเลขจริง จึงยากต่อการประเมินความมั่นคงทางการเงิน ‼️ หากการลงทุนไม่ออกดอกออกผลเร็วพอ การประเมินมูลค่าบริษัทอาจถูกปรับลดในรอบต่อไป   • อาจกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนรายใหญ่ https://www.techspot.com/news/108377-elon-musk-responds-report-xai-burning-through-1.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Elon Musk responds to report that xAI is burning through $1 billion a month
    Citing the usual anonymous people familiar with the matter, Bloomberg writes that the $500 million that xAI will earn this year looks positively tiny next to the...
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่?
    JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด

    การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008

    ข้อมูลจากข่าว
    - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ
    - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด
    - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน
    - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน
    - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง
    - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน
    - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่
    - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด

    การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่

    https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่? JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ✅ ข้อมูลจากข่าว - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่ - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่ https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    WCCFTECH.COM
    Now That Wall Street Is Officially Using Bitcoin ETFs As Collateral, Is Rehypothecation And Another Financial Crisis Next?
    JP Morgan's move might encourage other Wall Street banks to also start accepting Bitcoin ETFs as collateral for their lending activities.
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • Oracle ทุ่ม 40 พันล้านดอลลาร์ซื้อชิป Nvidia เพื่อขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูล AI ของ OpenAI ในสหรัฐฯ

    Oracle เตรียมลงทุนมหาศาลเพื่อซื้อชิป Nvidia GB200 จำนวน 400,000 ตัว เพื่อใช้ใน ศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ของ OpenAI ใน Abilene, Texas ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ Stargate ที่มุ่งเสริมศักยภาพ AI ของสหรัฐฯ

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับดีลระหว่าง Oracle และ Nvidia
    Oracle จะซื้อชิป Nvidia GB200 มูลค่า 40 พันล้านดอลลาร์
    - เพื่อ ให้บริการเช่าพลังประมวลผลแก่ OpenAI

    ศูนย์ข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate ที่นำโดยบริษัท AI ชั้นนำของสหรัฐฯ
    - มีเป้าหมาย เพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรม AI ท่ามกลางการแข่งขันระดับโลก

    ศูนย์ข้อมูลจะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบภายในกลางปี 2026
    - Oracle เซ็นสัญญาเช่าพื้นที่เป็นเวลา 15 ปี

    JPMorgan ให้เงินกู้ 9.6 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงการ
    - เจ้าของพื้นที่ Crusoe และ Blue Owl Capital ลงทุนเพิ่มอีก 5 พันล้านดอลลาร์

    OpenAI ต้องการลดการพึ่งพา Microsoft เนื่องจากความต้องการพลังงานสูงขึ้น
    - Microsoft ไม่สามารถจัดหาพลังงานให้เพียงพอสำหรับการขยายตัวของ OpenAI

    Oracle มองว่าโครงการนี้เป็นโอกาสในการแข่งขันกับ Microsoft, Amazon และ Google ในตลาดคลาวด์
    - ช่วยให้ Oracle สามารถขยายขีดความสามารถด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง

    OpenAI, Oracle และ Nvidia กำลังสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ใน UAE
    - คาดว่า เฟสแรกของศูนย์ข้อมูล UAE จะเปิดใช้งานในปี 2026

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/24/oracle-to-buy-40-billion-of-nvidia-chips-for-openai039s-us-data-center-ft-reports
    Oracle ทุ่ม 40 พันล้านดอลลาร์ซื้อชิป Nvidia เพื่อขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูล AI ของ OpenAI ในสหรัฐฯ Oracle เตรียมลงทุนมหาศาลเพื่อซื้อชิป Nvidia GB200 จำนวน 400,000 ตัว เพื่อใช้ใน ศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ของ OpenAI ใน Abilene, Texas ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ Stargate ที่มุ่งเสริมศักยภาพ AI ของสหรัฐฯ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับดีลระหว่าง Oracle และ Nvidia ✅ Oracle จะซื้อชิป Nvidia GB200 มูลค่า 40 พันล้านดอลลาร์ - เพื่อ ให้บริการเช่าพลังประมวลผลแก่ OpenAI ✅ ศูนย์ข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate ที่นำโดยบริษัท AI ชั้นนำของสหรัฐฯ - มีเป้าหมาย เพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรม AI ท่ามกลางการแข่งขันระดับโลก ✅ ศูนย์ข้อมูลจะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบภายในกลางปี 2026 - Oracle เซ็นสัญญาเช่าพื้นที่เป็นเวลา 15 ปี ✅ JPMorgan ให้เงินกู้ 9.6 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงการ - เจ้าของพื้นที่ Crusoe และ Blue Owl Capital ลงทุนเพิ่มอีก 5 พันล้านดอลลาร์ ✅ OpenAI ต้องการลดการพึ่งพา Microsoft เนื่องจากความต้องการพลังงานสูงขึ้น - Microsoft ไม่สามารถจัดหาพลังงานให้เพียงพอสำหรับการขยายตัวของ OpenAI ✅ Oracle มองว่าโครงการนี้เป็นโอกาสในการแข่งขันกับ Microsoft, Amazon และ Google ในตลาดคลาวด์ - ช่วยให้ Oracle สามารถขยายขีดความสามารถด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง ✅ OpenAI, Oracle และ Nvidia กำลังสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ใน UAE - คาดว่า เฟสแรกของศูนย์ข้อมูล UAE จะเปิดใช้งานในปี 2026 https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/24/oracle-to-buy-40-billion-of-nvidia-chips-for-openai039s-us-data-center-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Oracle to buy $40 billion of Nvidia chips for OpenAI's US data center, FT reports
    (Reuters) -Oracle will spend around $40 billion on Nvidia's higher-performance chips to power OpenAI's new U.S. data center, the Financial Times reported on Friday.
    0 Comments 0 Shares 363 Views 0 Reviews
  • JPMorgan Chase เปิดให้ลูกค้าซื้อ Bitcoin แต่ยังไม่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล

    JPMorgan Chase ประกาศในงาน Investor Day ว่าจะเปิดให้ลูกค้าซื้อ Bitcoin ได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของธนาคารที่เคยมีท่าทีต่อต้านคริปโต อย่างไรก็ตาม CEO Jamie Dimon ยังคงสงสัยในความน่าเชื่อถือของ Bitcoin และยืนยันว่าธนาคารจะไม่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุน Bitcoin ของ JPMorgan Chase
    ลูกค้าสามารถซื้อ Bitcoin และดูรายการธุรกรรมในบัญชีของตน
    - แต่ JPMorgan จะไม่รับฝาก Bitcoin หรือให้บริการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล

    CEO Jamie Dimon ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี
    - เขาเคยกล่าวว่า Bitcoin "ไร้ค่า" และหากมีอำนาจ เขาจะปิดอุตสาหกรรมคริปโต

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก FDIC ปรับแนวทางให้สถาบันการเงินสามารถทำธุรกรรมคริปโตได้โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า
    - ทำให้ ธนาคารสามารถให้บริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น

    JPMorgan Chase ตามรอย Morgan Stanley และธนาคารอื่น ๆ ที่เริ่มสนับสนุน Bitcoin
    - แสดงให้เห็นว่า การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในภาคการเงินกำลังเพิ่มขึ้น

    Bitcoin มีมูลค่ามากกว่า $105,000 ซึ่งสูงกว่าระดับต่ำสุดในปี 2022 ที่ประมาณ $16,000
    - แต่ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลเล็กน้อย

    https://www.techradar.com/pro/jpmorgan-will-now-let-clients-buy-bitcoin
    JPMorgan Chase เปิดให้ลูกค้าซื้อ Bitcoin แต่ยังไม่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล JPMorgan Chase ประกาศในงาน Investor Day ว่าจะเปิดให้ลูกค้าซื้อ Bitcoin ได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของธนาคารที่เคยมีท่าทีต่อต้านคริปโต อย่างไรก็ตาม CEO Jamie Dimon ยังคงสงสัยในความน่าเชื่อถือของ Bitcoin และยืนยันว่าธนาคารจะไม่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุน Bitcoin ของ JPMorgan Chase ✅ ลูกค้าสามารถซื้อ Bitcoin และดูรายการธุรกรรมในบัญชีของตน - แต่ JPMorgan จะไม่รับฝาก Bitcoin หรือให้บริการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ✅ CEO Jamie Dimon ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี - เขาเคยกล่าวว่า Bitcoin "ไร้ค่า" และหากมีอำนาจ เขาจะปิดอุตสาหกรรมคริปโต ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก FDIC ปรับแนวทางให้สถาบันการเงินสามารถทำธุรกรรมคริปโตได้โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า - ทำให้ ธนาคารสามารถให้บริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ✅ JPMorgan Chase ตามรอย Morgan Stanley และธนาคารอื่น ๆ ที่เริ่มสนับสนุน Bitcoin - แสดงให้เห็นว่า การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในภาคการเงินกำลังเพิ่มขึ้น ✅ Bitcoin มีมูลค่ามากกว่า $105,000 ซึ่งสูงกว่าระดับต่ำสุดในปี 2022 ที่ประมาณ $16,000 - แต่ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลเล็กน้อย https://www.techradar.com/pro/jpmorgan-will-now-let-clients-buy-bitcoin
    WWW.TECHRADAR.COM
    JPMorgan will now let clients buy Bitcoin
    JPMorgan Chase will let clients buy Bitcoin
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • Google ได้อ้างว่า Ironwood TPU v7p pod ของตนมีประสิทธิภาพสูงกว่า El Capitan supercomputer ถึง 24 เท่า แต่ Timothy Prickett Morgan นักวิเคราะห์จาก TheNextPlatform ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปรียบเทียบนี้ โดยระบุว่า "เป็นการเปรียบเทียบที่ไม่สมเหตุสมผล"

    Google ได้ทำการเปรียบเทียบ Ironwood TPU v7p pod ซึ่งมี 9,216 TPU compute engines กับ El Capitan ที่ใช้ 44,544 AMD Instinct MI300A hybrid CPU-GPU compute engines โดยใช้ High Performance LINPACK (HPL) benchmark อย่างไรก็ตาม Prickett Morgan ชี้ให้เห็นว่า El Capitan ถูกออกแบบมาสำหรับการจำลองที่มีความแม่นยำสูง ขณะที่ Ironwood TPU ถูกออกแบบมาสำหรับ AI inference และ training ที่ใช้ความแม่นยำต่ำกว่า

    Google อ้างว่า Ironwood TPU v7p pod มีประสิทธิภาพสูงกว่า El Capitan ถึง 24 เท่า
    - ใช้ 9,216 TPU compute engines
    - เปรียบเทียบกับ El Capitan ที่ใช้ 44,544 AMD Instinct MI300A hybrid CPU-GPU compute engines

    นักวิเคราะห์จาก TheNextPlatform ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปรียบเทียบนี้
    - ระบุว่า El Capitan ถูกออกแบบมาสำหรับการจำลองที่มีความแม่นยำสูง
    - ขณะที่ Ironwood TPU ถูกออกแบบมาสำหรับ AI inference และ training

    การเปรียบเทียบด้านต้นทุน
    - Ironwood pod มีต้นทุนการสร้าง $445 ล้าน และค่าเช่า $1.1 พันล้านใน 3 ปี
    - El Capitan มีต้นทุนการสร้าง $600 ล้าน
    - Ironwood pod มีต้นทุนต่อ teraflops สูงกว่า El Capitan

    El Capitan มีประสิทธิภาพสูงกว่า Ironwood TPU ในการประมวลผล FP16 และ FP8
    - El Capitan มี 2.05 เท่าของประสิทธิภาพ FP16 และ FP8 เมื่อเทียบกับ Ironwood pod

    https://www.techradar.com/pro/google-says-that-its-ai-behemoth-is-24x-faster-than-the-worlds-best-supercomputer-but-this-analyst-armed-with-a-spreadsheet-disagrees
    Google ได้อ้างว่า Ironwood TPU v7p pod ของตนมีประสิทธิภาพสูงกว่า El Capitan supercomputer ถึง 24 เท่า แต่ Timothy Prickett Morgan นักวิเคราะห์จาก TheNextPlatform ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปรียบเทียบนี้ โดยระบุว่า "เป็นการเปรียบเทียบที่ไม่สมเหตุสมผล" Google ได้ทำการเปรียบเทียบ Ironwood TPU v7p pod ซึ่งมี 9,216 TPU compute engines กับ El Capitan ที่ใช้ 44,544 AMD Instinct MI300A hybrid CPU-GPU compute engines โดยใช้ High Performance LINPACK (HPL) benchmark อย่างไรก็ตาม Prickett Morgan ชี้ให้เห็นว่า El Capitan ถูกออกแบบมาสำหรับการจำลองที่มีความแม่นยำสูง ขณะที่ Ironwood TPU ถูกออกแบบมาสำหรับ AI inference และ training ที่ใช้ความแม่นยำต่ำกว่า ✅ Google อ้างว่า Ironwood TPU v7p pod มีประสิทธิภาพสูงกว่า El Capitan ถึง 24 เท่า - ใช้ 9,216 TPU compute engines - เปรียบเทียบกับ El Capitan ที่ใช้ 44,544 AMD Instinct MI300A hybrid CPU-GPU compute engines ✅ นักวิเคราะห์จาก TheNextPlatform ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปรียบเทียบนี้ - ระบุว่า El Capitan ถูกออกแบบมาสำหรับการจำลองที่มีความแม่นยำสูง - ขณะที่ Ironwood TPU ถูกออกแบบมาสำหรับ AI inference และ training ✅ การเปรียบเทียบด้านต้นทุน - Ironwood pod มีต้นทุนการสร้าง $445 ล้าน และค่าเช่า $1.1 พันล้านใน 3 ปี - El Capitan มีต้นทุนการสร้าง $600 ล้าน - Ironwood pod มีต้นทุนต่อ teraflops สูงกว่า El Capitan ✅ El Capitan มีประสิทธิภาพสูงกว่า Ironwood TPU ในการประมวลผล FP16 และ FP8 - El Capitan มี 2.05 เท่าของประสิทธิภาพ FP16 และ FP8 เมื่อเทียบกับ Ironwood pod https://www.techradar.com/pro/google-says-that-its-ai-behemoth-is-24x-faster-than-the-worlds-best-supercomputer-but-this-analyst-armed-with-a-spreadsheet-disagrees
    0 Comments 0 Shares 307 Views 0 Reviews
  • JPMorgan Chase ได้ใช้ AI เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน โดย AI ช่วยให้ที่ปรึกษาทางการเงินสามารถ ให้คำแนะนำด้านการลงทุนได้รวดเร็วขึ้น และ จัดการคำขอจากลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ในช่วงเดือนเมษายน 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนสูงจาก ประกาศภาษีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้มูลค่าตลาดลดลงหลายล้านล้านดอลลาร์ นักลงทุนจำนวนมากต้องการคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงิน และ AI ของ JPMorgan สามารถ ดึงข้อมูลการซื้อขายของลูกค้าและคาดการณ์คำถามที่อาจเกิดขึ้น ได้อย่างรวดเร็ว

    นอกจากนี้ JPMorgan ยังมี Coach AI ซึ่งช่วยให้ที่ปรึกษาสามารถค้นหาข้อมูลและงานวิจัยได้เร็วขึ้นถึง 95% ทำให้สามารถใช้เวลาในการพูดคุยกับลูกค้าได้มากขึ้น

    AI ช่วยเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า
    - ที่ปรึกษาทางการเงินสามารถ ให้คำแนะนำด้านการลงทุนได้รวดเร็วขึ้น
    - AI ช่วย จัดการคำขอจากลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Coach AI ช่วยให้ที่ปรึกษาค้นหาข้อมูลได้เร็วขึ้น
    - ค้นหาข้อมูลและงานวิจัยได้เร็วขึ้นถึง 95%
    - ช่วยให้ที่ปรึกษา ใช้เวลาในการพูดคุยกับลูกค้าได้มากขึ้น

    ผลกระทบต่อธุรกิจของ JPMorgan
    - ยอดขายเพิ่มขึ้น 20% ระหว่างปี 2023-2024
    - AI ช่วยให้ที่ปรึกษาสามารถ ขยายฐานลูกค้าได้ 50% ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

    งบประมาณด้านเทคโนโลยีของ JPMorgan
    - มีงบประมาณด้านเทคโนโลยี 17 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024
    - คาดว่าจะเพิ่มการใช้ AI จาก 450 กรณีเป็น 1,000 กรณีในปีหน้า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/jpmorgan-says-ai-helped-boost-sales-add-clients-in-market-turmoil
    JPMorgan Chase ได้ใช้ AI เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน โดย AI ช่วยให้ที่ปรึกษาทางการเงินสามารถ ให้คำแนะนำด้านการลงทุนได้รวดเร็วขึ้น และ จัดการคำขอจากลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงเดือนเมษายน 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนสูงจาก ประกาศภาษีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้มูลค่าตลาดลดลงหลายล้านล้านดอลลาร์ นักลงทุนจำนวนมากต้องการคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงิน และ AI ของ JPMorgan สามารถ ดึงข้อมูลการซื้อขายของลูกค้าและคาดการณ์คำถามที่อาจเกิดขึ้น ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ JPMorgan ยังมี Coach AI ซึ่งช่วยให้ที่ปรึกษาสามารถค้นหาข้อมูลและงานวิจัยได้เร็วขึ้นถึง 95% ทำให้สามารถใช้เวลาในการพูดคุยกับลูกค้าได้มากขึ้น ✅ AI ช่วยเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า - ที่ปรึกษาทางการเงินสามารถ ให้คำแนะนำด้านการลงทุนได้รวดเร็วขึ้น - AI ช่วย จัดการคำขอจากลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ Coach AI ช่วยให้ที่ปรึกษาค้นหาข้อมูลได้เร็วขึ้น - ค้นหาข้อมูลและงานวิจัยได้เร็วขึ้นถึง 95% - ช่วยให้ที่ปรึกษา ใช้เวลาในการพูดคุยกับลูกค้าได้มากขึ้น ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจของ JPMorgan - ยอดขายเพิ่มขึ้น 20% ระหว่างปี 2023-2024 - AI ช่วยให้ที่ปรึกษาสามารถ ขยายฐานลูกค้าได้ 50% ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ✅ งบประมาณด้านเทคโนโลยีของ JPMorgan - มีงบประมาณด้านเทคโนโลยี 17 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 - คาดว่าจะเพิ่มการใช้ AI จาก 450 กรณีเป็น 1,000 กรณีในปีหน้า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/jpmorgan-says-ai-helped-boost-sales-add-clients-in-market-turmoil
    WWW.THESTAR.COM.MY
    JPMorgan says AI helped boost sales, add clients in market turmoil
    NEW YORK (Reuters) -JPMorgan Chase's artificial-intelligence tools enabled it to boost sales to wealthy clients and manage scores of requests from worried customers even during April's market rout, the bank's CEO of asset and wealth management said.
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • JPMorganChase ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของ SaaS (Software as a Service) โดยระบุว่า การเติบโตของ SaaS กำลังแซงหน้าการพัฒนาด้านความปลอดภัย และอาจทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญตกอยู่ในความเสี่ยง

    Patrick Opet ซึ่งเป็น CISO ของ JPMorganChase ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก โดยเตือนว่า ผู้ให้บริการ SaaS มุ่งเน้นการพัฒนาฟีเจอร์อย่างรวดเร็วมากกว่าการสร้างสถาปัตยกรรมที่ปลอดภัย ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ใน ซัพพลายเชนซอฟต์แวร์

    การเติบโตของ SaaS กำลังแซงหน้าการพัฒนาด้านความปลอดภัย
    - ผู้ให้บริการ SaaS มุ่งเน้นการพัฒนาฟีเจอร์มากกว่าความปลอดภัย
    - ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ใน ซัพพลายเชนซอฟต์แวร์

    ปัญหาของการผสานรวม SaaS กับระบบองค์กร
    - SaaS บางตัวใช้ OAuth และ Authentication Tokens ซึ่งอาจถูกโจมตีได้
    - การผสานรวมโดยตรงกับ ระบบอีเมลและข้อมูลภายใน อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล

    ผลกระทบต่อองค์กรที่พึ่งพา SaaS
    - หากผู้ให้บริการ SaaS รายใหญ่ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
    - ระบบการตรวจสอบสิทธิ์และการอนุญาต อาจถูกลดความซับซ้อนจนกลายเป็นช่องโหว่

    แนวทางแก้ไขที่แนะนำ
    - ปฏิเสธ โมเดลการผสานรวม SaaS ที่ไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ
    - พัฒนา มาตรฐานใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยของ SaaS

    https://www.techradar.com/pro/security/largest-bank-in-the-world-issues-stark-security-warning-about-technology-that-billions-use-every-single-day
    JPMorganChase ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของ SaaS (Software as a Service) โดยระบุว่า การเติบโตของ SaaS กำลังแซงหน้าการพัฒนาด้านความปลอดภัย และอาจทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญตกอยู่ในความเสี่ยง Patrick Opet ซึ่งเป็น CISO ของ JPMorganChase ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก โดยเตือนว่า ผู้ให้บริการ SaaS มุ่งเน้นการพัฒนาฟีเจอร์อย่างรวดเร็วมากกว่าการสร้างสถาปัตยกรรมที่ปลอดภัย ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ใน ซัพพลายเชนซอฟต์แวร์ ✅ การเติบโตของ SaaS กำลังแซงหน้าการพัฒนาด้านความปลอดภัย - ผู้ให้บริการ SaaS มุ่งเน้นการพัฒนาฟีเจอร์มากกว่าความปลอดภัย - ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ใน ซัพพลายเชนซอฟต์แวร์ ✅ ปัญหาของการผสานรวม SaaS กับระบบองค์กร - SaaS บางตัวใช้ OAuth และ Authentication Tokens ซึ่งอาจถูกโจมตีได้ - การผสานรวมโดยตรงกับ ระบบอีเมลและข้อมูลภายใน อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล ✅ ผลกระทบต่อองค์กรที่พึ่งพา SaaS - หากผู้ให้บริการ SaaS รายใหญ่ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง - ระบบการตรวจสอบสิทธิ์และการอนุญาต อาจถูกลดความซับซ้อนจนกลายเป็นช่องโหว่ ✅ แนวทางแก้ไขที่แนะนำ - ปฏิเสธ โมเดลการผสานรวม SaaS ที่ไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ - พัฒนา มาตรฐานใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยของ SaaS https://www.techradar.com/pro/security/largest-bank-in-the-world-issues-stark-security-warning-about-technology-that-billions-use-every-single-day
    0 Comments 0 Shares 290 Views 0 Reviews
  • Xi " เรามาแบ่งโลกแล้วกินใครกันมันเถอะ"
    Trump "อั๊วจะกินก่อนแบ่ง"
    Putin "(อืม..กูกำลังแดกยูเครนอยู่)

    Trump" ก็มันหิวนี่"
    Xi (หึหึ มึงฝันลมๆแล้งๆ)
    Putin (คริคริ..มุขเดิมๆตลกแดก)

    อ้างอิงจาก นสพ De Morgan
    Xi " เรามาแบ่งโลกแล้วกินใครกันมันเถอะ" Trump "อั๊วจะกินก่อนแบ่ง" Putin "(อืม..กูกำลังแดกยูเครนอยู่) Trump" ก็มันหิวนี่" Xi (หึหึ มึงฝันลมๆแล้งๆ) Putin (คริคริ..มุขเดิมๆตลกแดก) อ้างอิงจาก นสพ De Morgan
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 Reviews
  • ..ต่อเรื่องปั่นข่าวไปเรื่อยจนถึงเวลาปัจจุบันก็ยังไม่จบสิ้นหรือทำให้จบจริง,วันนั้นวันนี้เลื่อนเวลาตลอด ,สงครามข่าวลวงข่าวโกหกจริงๆ รับส่งกันสนุกทั้งคนปล่อย ทั้งคนต่อยอดเขียนงานข่าวในแต่ละมุก,แต่สุดท้ายผลงานก็เลื่อน&เลื่อน ไม่จบสิ้นดั่งที่อ้างเลย,เป็นเพียงขยายข่าวตามน้ำตามสถานะเวลาที่ก่อเกิดเรื่องในข่าว.

    ..Q CLOCK สิ้นสุดในวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2025 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ KLAUS SCHWAB ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร

    การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยของ WEF ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกของกลุ่ม CABAL ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 เพื่อควบคุมวาระการประชุมระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับอุตสาหกรรม

    ซึ่งตรงกับช่วงที่ SCHWAB ลาออก JAMIE DIMON ซีอีโอของ JPMORGAN CHASE ได้ประกาศเกษียณอายุ และประธาน FDIC ก็ลาออกเช่นกัน

    พัฒนาการเหล่านี้ — ร่วมกับการแนะนำร่างกฎหมาย “ยุติการบังคับใช้เฟด” และการผ่านร่างกฎหมายบล็อคเชน — ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกกลับสู่ประชาชน
    ..ต่อเรื่องปั่นข่าวไปเรื่อยจนถึงเวลาปัจจุบันก็ยังไม่จบสิ้นหรือทำให้จบจริง,วันนั้นวันนี้เลื่อนเวลาตลอด ,สงครามข่าวลวงข่าวโกหกจริงๆ รับส่งกันสนุกทั้งคนปล่อย ทั้งคนต่อยอดเขียนงานข่าวในแต่ละมุก,แต่สุดท้ายผลงานก็เลื่อน&เลื่อน ไม่จบสิ้นดั่งที่อ้างเลย,เป็นเพียงขยายข่าวตามน้ำตามสถานะเวลาที่ก่อเกิดเรื่องในข่าว. ..Q CLOCK สิ้นสุดในวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2025 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ KLAUS SCHWAB ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยของ WEF ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกของกลุ่ม CABAL ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 เพื่อควบคุมวาระการประชุมระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับอุตสาหกรรม ซึ่งตรงกับช่วงที่ SCHWAB ลาออก JAMIE DIMON ซีอีโอของ JPMORGAN CHASE ได้ประกาศเกษียณอายุ และประธาน FDIC ก็ลาออกเช่นกัน พัฒนาการเหล่านี้ — ร่วมกับการแนะนำร่างกฎหมาย “ยุติการบังคับใช้เฟด” และการผ่านร่างกฎหมายบล็อคเชน — ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกกลับสู่ประชาชน
    0 Comments 0 Shares 399 Views 0 Reviews
  • โครงการ HAARP PROJECT อาวุธ
    ของพระเจ้าในมือของมนุษย์
    HAARP High Frequency Active Auroral
    Research Program คือศูนย์วิจัยไอโอโนสเฟร์
    (ionosphere คทอชั้นบรรยากาศช่วงที่อยู่ห่าง ระหว่าง 80-1000 กม. จากพื้นผิวโลก)ในเมือง Gakona รัฐ Alaskaซึางได้รับความร่วมมือ
    และเงินทุนมหาวิทยาลัยอลาสก้า U.S.AirForce
    the U.S. Navy และDefense Advanced
    Research Projects Agency [DARPA] ใช้เงินลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท (290ล้านเหรียญสหรัฐ)
    ——-
    ตั้งอยู่บนแนวคิดของนาย bernaed eastlund
    เจ้าของสิทธิบัตร3ใบที่จดในอเมริกา
    ชื่อของสิทธิบัตรของเขาได้แก่: วิธีการและเครื่องมือในการเตรียมแปลงบริเวณในชั้นบรรยากาศของโลก.วิธีการและเครื่องมือในการสร้างเครื่อง
    เครื่องเร่งอิเล็คตรอนไซโคลตรอน ด้วยความร้อนพลาสม่า,วิธีการผลิตอนุภาคสัมพัทธภาพ
    เหนือพื้นผิวโลก ซึ่งจริงๆแล้วทษฏีเหล่านี้ เป็นการค้นคว้าต่อจากทษฏีของนาย Nicola Tasla นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่โลกลืม ชาว Croatia แทบทั้งนั้น Dr.Nicoli tesla (นิโค ไล เทศล่า)เป็นชาวเซิร์บย้ายถิ่นฐานมาที่รัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในช่วงปี1950 แต่โครงการนี้จริงๆเริ่มต้นในช่วงศตวรรษปี 1900 ถูกพัฒนาอย่างจริงจังจนเป็นผลสำเร็จโดย ดร. เทสล่า โดยการสนับสนุนเงินทุนจากนาย ธนาคาร ชั่ว ที่ชื่อ j.p. morgan นั่นเองจึงทำให้เทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดด้วยการสร้างภัยพิบัติต่างๆ เพื่อทำร้ายมนุษย์ชาติโดยกันเอง ในคลิปแรกจะแสดงการทำงานของ Tesla Coil ซึ่งเป็นงานวิจัยเพื่อจำลองและสร้างปรากฏการณ์ฟ้าผ่าขึ้น
    บ่มาได้มีการกล่าวอ้างจากแหล่งข่าวมากมายว่ามีการทำการทดลองโครงการ Haarp ของประเทศสหรัฐอเมริกา และถูกประณามออกมาจากหลายประเทศว่าเป็นการทำร้ายมนุษยชาติครั้งใหญ่ทำให้สภาพภูมิภูมิอากาศแปรปรวน จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่งั้นก็ต้องรอพิสูจน์ข้อเท็จจริงตอนต่อไป เมื่อไม่นานมานี้ผู้นำเวเนซุเอลา กล่าวหาสหรัฐอเมริกาเป็นต้นตอของหายนะ ในเฮติ จากการทดสอบอาวุธ อันก่อ ให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนเรือนับแสนคน ทั้งนี้โครงการ HAARP (high Frequency Active Auroral Research Project) คือศูนย์วิจัย ไอโอโนสเฟีนร์ ในมลรัฐอะแลสกา จุดมุ่งหมายสำรวจทรัพยากรชั้นบรรยากาศโลกและพัฒนาระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม

    HAARP เป็นโครงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐเพื่อสร้างและควบคุมสภาพภูมิอากาศโดยการยิงคลืนแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ขึ้นไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วให้สะท้อน
    กลับมายังพื้นผิวโลก ไปยังเป้าหมายที่ต้องการในจำนวนนั้นรวม ไปถึงส่งพลังงานนั้นลงไปสู่ชั้นหินใต้ดินเพื่อก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนหรือแผ่นดินไหวนั้นเอง
    โครงการ HAARP PROJECT อาวุธ ของพระเจ้าในมือของมนุษย์ HAARP High Frequency Active Auroral Research Program คือศูนย์วิจัยไอโอโนสเฟร์ (ionosphere คทอชั้นบรรยากาศช่วงที่อยู่ห่าง ระหว่าง 80-1000 กม. จากพื้นผิวโลก)ในเมือง Gakona รัฐ Alaskaซึางได้รับความร่วมมือ และเงินทุนมหาวิทยาลัยอลาสก้า U.S.AirForce the U.S. Navy และDefense Advanced Research Projects Agency [DARPA] ใช้เงินลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท (290ล้านเหรียญสหรัฐ) ——- ตั้งอยู่บนแนวคิดของนาย bernaed eastlund เจ้าของสิทธิบัตร3ใบที่จดในอเมริกา ชื่อของสิทธิบัตรของเขาได้แก่: วิธีการและเครื่องมือในการเตรียมแปลงบริเวณในชั้นบรรยากาศของโลก.วิธีการและเครื่องมือในการสร้างเครื่อง เครื่องเร่งอิเล็คตรอนไซโคลตรอน ด้วยความร้อนพลาสม่า,วิธีการผลิตอนุภาคสัมพัทธภาพ เหนือพื้นผิวโลก ซึ่งจริงๆแล้วทษฏีเหล่านี้ เป็นการค้นคว้าต่อจากทษฏีของนาย Nicola Tasla นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่โลกลืม ชาว Croatia แทบทั้งนั้น Dr.Nicoli tesla (นิโค ไล เทศล่า)เป็นชาวเซิร์บย้ายถิ่นฐานมาที่รัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในช่วงปี1950 แต่โครงการนี้จริงๆเริ่มต้นในช่วงศตวรรษปี 1900 ถูกพัฒนาอย่างจริงจังจนเป็นผลสำเร็จโดย ดร. เทสล่า โดยการสนับสนุนเงินทุนจากนาย ธนาคาร ชั่ว ที่ชื่อ j.p. morgan นั่นเองจึงทำให้เทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดด้วยการสร้างภัยพิบัติต่างๆ เพื่อทำร้ายมนุษย์ชาติโดยกันเอง ในคลิปแรกจะแสดงการทำงานของ Tesla Coil ซึ่งเป็นงานวิจัยเพื่อจำลองและสร้างปรากฏการณ์ฟ้าผ่าขึ้น บ่มาได้มีการกล่าวอ้างจากแหล่งข่าวมากมายว่ามีการทำการทดลองโครงการ Haarp ของประเทศสหรัฐอเมริกา และถูกประณามออกมาจากหลายประเทศว่าเป็นการทำร้ายมนุษยชาติครั้งใหญ่ทำให้สภาพภูมิภูมิอากาศแปรปรวน จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่งั้นก็ต้องรอพิสูจน์ข้อเท็จจริงตอนต่อไป เมื่อไม่นานมานี้ผู้นำเวเนซุเอลา กล่าวหาสหรัฐอเมริกาเป็นต้นตอของหายนะ ในเฮติ จากการทดสอบอาวุธ อันก่อ ให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนเรือนับแสนคน ทั้งนี้โครงการ HAARP (high Frequency Active Auroral Research Project) คือศูนย์วิจัย ไอโอโนสเฟีนร์ ในมลรัฐอะแลสกา จุดมุ่งหมายสำรวจทรัพยากรชั้นบรรยากาศโลกและพัฒนาระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม HAARP เป็นโครงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐเพื่อสร้างและควบคุมสภาพภูมิอากาศโดยการยิงคลืนแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ขึ้นไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วให้สะท้อน กลับมายังพื้นผิวโลก ไปยังเป้าหมายที่ต้องการในจำนวนนั้นรวม ไปถึงส่งพลังงานนั้นลงไปสู่ชั้นหินใต้ดินเพื่อก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนหรือแผ่นดินไหวนั้นเอง
    0 Comments 0 Shares 733 Views 0 Reviews
  • Visa เสนอเงิน 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อแทนที่ Mastercard เป็นเครือข่ายของ Apple Card ขณะที่ American Express พยายามเข้ามาเป็นมากกว่าเครือข่าย—ต้องการเป็นผู้ออกบัตรด้วย Apple แยกทางกับ Goldman Sachs หลังความร่วมมือ 5 ปี และกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ใหม่ หลายบริษัทเช่น Barclays, Synchrony Financial และ JPMorgan Chase กำลังแข่งขันเพื่อร่วมงานกับ Apple

    Visa เสนอเงินก้อนใหญ่เพื่อชิงความเป็นพาร์ทเนอร์
    - ข้อเสนอ 100 ล้านดอลลาร์ของ Visa ถือเป็น เงินสนับสนุนล่วงหน้าที่ปกติให้เฉพาะโปรแกรมบัตรเครดิตขนาดใหญ่
    - Apple กำลังพิจารณาข้อเสนอจากหลายบริษัทก่อนตัดสินใจ

    Amex ต้องการเป็นมากกว่าแค่เครือข่าย—อยากเป็นผู้ออกบัตรด้วย
    - นอกจาก Visa แล้ว American Express ก็พยายามเข้ามาแทนที่ Mastercard
    - Amex ไม่เพียงต้องการเป็นเครือข่ายของบัตร แต่ยังต้องการเป็น ผู้ออกบัตรเครดิตให้กับ Apple ด้วย

    Apple แยกทางกับ Goldman Sachs หลังความร่วมมือ 5 ปี
    - Apple Card เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 โดยร่วมมือกับ Goldman Sachs และใช้เครือข่ายของ Mastercard
    - ในปี 2023 Apple และ Goldman ตัดสินใจ ยุติความร่วมมือ ทำให้ Apple ต้องหาพาร์ทเนอร์ใหม่

    บริษัทการเงินหลายแห่งกำลังแข่งขันเพื่อเป็นพาร์ทเนอร์ใหม่ของ Apple
    - Barclays และ Synchrony Financial ได้เจรจากับ Apple เพื่อเป็นผู้ให้บริการ Apple Card
    - JPMorgan Chase ก็สนใจเข้าร่วมการแข่งขันและเริ่มพูดคุยกับ Apple ตั้งแต่ปี 2024

    Goldman Sachs เคยหวังให้ธุรกิจผู้บริโภคเป็นแหล่งรายได้ใหม่
    - Goldman Sachs เข้าไปลงทุนในธุรกิจผู้บริโภคมาเกือบ 10 ปี
    - อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2022 ธนาคารเริ่มลดความสนใจในตลาดนี้หลังต้องกันงบไว้ หลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงทางธุรกิจ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/02/visa-bids-100-million-to-replace-mastercard-as-apple039s-new-credit-card-partner-wsj-reports
    Visa เสนอเงิน 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อแทนที่ Mastercard เป็นเครือข่ายของ Apple Card ขณะที่ American Express พยายามเข้ามาเป็นมากกว่าเครือข่าย—ต้องการเป็นผู้ออกบัตรด้วย Apple แยกทางกับ Goldman Sachs หลังความร่วมมือ 5 ปี และกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ใหม่ หลายบริษัทเช่น Barclays, Synchrony Financial และ JPMorgan Chase กำลังแข่งขันเพื่อร่วมงานกับ Apple Visa เสนอเงินก้อนใหญ่เพื่อชิงความเป็นพาร์ทเนอร์ - ข้อเสนอ 100 ล้านดอลลาร์ของ Visa ถือเป็น เงินสนับสนุนล่วงหน้าที่ปกติให้เฉพาะโปรแกรมบัตรเครดิตขนาดใหญ่ - Apple กำลังพิจารณาข้อเสนอจากหลายบริษัทก่อนตัดสินใจ Amex ต้องการเป็นมากกว่าแค่เครือข่าย—อยากเป็นผู้ออกบัตรด้วย - นอกจาก Visa แล้ว American Express ก็พยายามเข้ามาแทนที่ Mastercard - Amex ไม่เพียงต้องการเป็นเครือข่ายของบัตร แต่ยังต้องการเป็น ผู้ออกบัตรเครดิตให้กับ Apple ด้วย Apple แยกทางกับ Goldman Sachs หลังความร่วมมือ 5 ปี - Apple Card เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 โดยร่วมมือกับ Goldman Sachs และใช้เครือข่ายของ Mastercard - ในปี 2023 Apple และ Goldman ตัดสินใจ ยุติความร่วมมือ ทำให้ Apple ต้องหาพาร์ทเนอร์ใหม่ บริษัทการเงินหลายแห่งกำลังแข่งขันเพื่อเป็นพาร์ทเนอร์ใหม่ของ Apple - Barclays และ Synchrony Financial ได้เจรจากับ Apple เพื่อเป็นผู้ให้บริการ Apple Card - JPMorgan Chase ก็สนใจเข้าร่วมการแข่งขันและเริ่มพูดคุยกับ Apple ตั้งแต่ปี 2024 Goldman Sachs เคยหวังให้ธุรกิจผู้บริโภคเป็นแหล่งรายได้ใหม่ - Goldman Sachs เข้าไปลงทุนในธุรกิจผู้บริโภคมาเกือบ 10 ปี - อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2022 ธนาคารเริ่มลดความสนใจในตลาดนี้หลังต้องกันงบไว้ หลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงทางธุรกิจ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/02/visa-bids-100-million-to-replace-mastercard-as-apple039s-new-credit-card-partner-wsj-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Visa bids $100 million to replace Mastercard as Apple's new credit card partner, WSJ reports
    (Reuters) -Visa has offered Apple roughly $100 million to take over the tech giant's credit card partnership from Mastercard, the Wall Street Journal reported on Tuesday, citing sources familiar with the matter.
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • AI ถูกมองว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าการทำงานของมนุษย์ในอนาคต ด้วยความสามารถที่จะลดชั่วโมงการทำงานลงเหลือเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ Bill Gates และ Elon Musk ชี้ว่า AI อาจแทนที่งานหลายประเภท แต่ก็ช่วยให้มนุษย์มีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้น ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเริ่มทดลองระบบสัปดาห์ทำงานสั้นเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต และอุตสาหกรรม AI ได้เน้นถึงความจำเป็นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

    มุมมองของ Bill Gates:
    - Gates มองว่า AI สามารถช่วยให้คำแนะนำทางการแพทย์และการสอนมีคุณภาพดีขึ้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งแม้จะมีข้อดี แต่ก็อาจกระทบต่ออาชีพแพทย์และครูในอนาคต.

    ความคิดเห็นจาก Jamie Dimon:
    - CEO ของ JPMorgan กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่คนรุ่นถัดไปจะทำงานเพียง 3.5 วันต่อสัปดาห์และมีอายุยืนถึง 100 ปีด้วยความช่วยเหลือจาก AI.

    ผลกระทบในระดับนานาชาติ:
    - ในญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องชั่วโมงการทำงานที่หนักเกินไป รัฐบาลโตเกียวเริ่มทดลองใช้งานระบบสัปดาห์ทำงาน 4 วันเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับประชากรที่ลดลง และเพิ่มโอกาสให้ผู้หญิงสามารถมีอาชีพได้หลังจากมีครอบครัว.

    เสียงสะท้อนจากอุตสาหกรรม AI:
    - ผู้บริหาร OpenAI และ Microsoft AI ได้เตือนว่าความสามารถของ AI อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแรงงานโลก เช่นการแทนที่งานบางประเภท ซึ่งอาจต้องการนโยบายใหม่ ๆ เช่น Universal Basic Income เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้.

    https://www.techspot.com/news/107328-bill-gates-ai-could-lead-two-day-workweek.html
    AI ถูกมองว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าการทำงานของมนุษย์ในอนาคต ด้วยความสามารถที่จะลดชั่วโมงการทำงานลงเหลือเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ Bill Gates และ Elon Musk ชี้ว่า AI อาจแทนที่งานหลายประเภท แต่ก็ช่วยให้มนุษย์มีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้น ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเริ่มทดลองระบบสัปดาห์ทำงานสั้นเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต และอุตสาหกรรม AI ได้เน้นถึงความจำเป็นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มุมมองของ Bill Gates: - Gates มองว่า AI สามารถช่วยให้คำแนะนำทางการแพทย์และการสอนมีคุณภาพดีขึ้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งแม้จะมีข้อดี แต่ก็อาจกระทบต่ออาชีพแพทย์และครูในอนาคต. ความคิดเห็นจาก Jamie Dimon: - CEO ของ JPMorgan กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่คนรุ่นถัดไปจะทำงานเพียง 3.5 วันต่อสัปดาห์และมีอายุยืนถึง 100 ปีด้วยความช่วยเหลือจาก AI. ผลกระทบในระดับนานาชาติ: - ในญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องชั่วโมงการทำงานที่หนักเกินไป รัฐบาลโตเกียวเริ่มทดลองใช้งานระบบสัปดาห์ทำงาน 4 วันเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับประชากรที่ลดลง และเพิ่มโอกาสให้ผู้หญิงสามารถมีอาชีพได้หลังจากมีครอบครัว. เสียงสะท้อนจากอุตสาหกรรม AI: - ผู้บริหาร OpenAI และ Microsoft AI ได้เตือนว่าความสามารถของ AI อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแรงงานโลก เช่นการแทนที่งานบางประเภท ซึ่งอาจต้องการนโยบายใหม่ ๆ เช่น Universal Basic Income เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้. https://www.techspot.com/news/107328-bill-gates-ai-could-lead-two-day-workweek.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Will AI lead to shorter workweeks? Bill Gates, Elon Musk, and others say yes
    Speaking to Jimmy Fallon on The Tonight Show recently, Gates predicted a future in which humans will no longer be necessary "for most things" because of advanced...
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยจาก JPMorgan Chase และพันธมิตรได้พัฒนาโปรโตคอลใหม่ที่สามารถสร้างตัวเลขแบบสุ่มจริง (Truly Random Numbers) โดยใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมรุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เครื่องจักรควอนตัมไม่เพียงเป็นแนวคิดทางทฤษฎี แต่มีการนำมาใช้ในงานที่เป็นประโยชน์จริง โดยโปรโตคอลนี้ช่วยให้สามารถสร้างตัวเลขสุ่มที่ได้รับการรับรอง (Certified Randomness) ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในด้านการเงิน การเข้ารหัส และความปลอดภัยสูงสุด

    ข้อดีของตัวเลขสุ่มที่ได้รับการรับรอง:
    - ตัวเลขสุ่มนี้มีคุณสมบัติสามประการ ได้แก่ การมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้, มีการรับรองทางคณิตศาสตร์อย่างเข้มงวด, และไม่สามารถถูกปรับเปลี่ยนโดยผู้ไม่หวังดี ซึ่งโปรโตคอลนี้แก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปไม่สามารถทำได้.

    การประยุกต์ใช้ในระบบที่ต้องการความปลอดภัยสูง:
    - การสร้างตัวเลขสุ่มนี้สามารถนำไปใช้ในกระบวนการสร้างกุญแจเข้ารหัส (Encryption Key) ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งช่วยป้องกันการโจมตีด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต.

    การทดสอบและเทคโนโลยีที่ใช้:
    - โปรโตคอลนี้ถูกทดสอบบนคอมพิวเตอร์ควอนตัมแบบ 56-qubit ของ Quantinuum ที่ใช้ Random Circuit Sampling (RCS) เพื่อลดเวลาประมวลผลจาก 100 วินาที (ในคอมพิวเตอร์ทั่วไป) เหลือเพียง 2 วินาที และผลลัพธ์ได้รับการตรวจสอบโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์เพื่อรับรองความสุ่ม.

    ความคาดหวังในอนาคต:
    - แม้จะยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่โปรโตคอลนี้แสดงถึงศักยภาพของคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต ที่อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการป้องกันและจัดการข้อมูลระดับสูง.

    https://www.csoonline.com/article/3855710/researchers-claim-their-protocol-can-create-truly-random-numbers-on-a-current-quantum-computer.html
    นักวิจัยจาก JPMorgan Chase และพันธมิตรได้พัฒนาโปรโตคอลใหม่ที่สามารถสร้างตัวเลขแบบสุ่มจริง (Truly Random Numbers) โดยใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมรุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เครื่องจักรควอนตัมไม่เพียงเป็นแนวคิดทางทฤษฎี แต่มีการนำมาใช้ในงานที่เป็นประโยชน์จริง โดยโปรโตคอลนี้ช่วยให้สามารถสร้างตัวเลขสุ่มที่ได้รับการรับรอง (Certified Randomness) ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในด้านการเงิน การเข้ารหัส และความปลอดภัยสูงสุด ข้อดีของตัวเลขสุ่มที่ได้รับการรับรอง: - ตัวเลขสุ่มนี้มีคุณสมบัติสามประการ ได้แก่ การมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้, มีการรับรองทางคณิตศาสตร์อย่างเข้มงวด, และไม่สามารถถูกปรับเปลี่ยนโดยผู้ไม่หวังดี ซึ่งโปรโตคอลนี้แก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปไม่สามารถทำได้. การประยุกต์ใช้ในระบบที่ต้องการความปลอดภัยสูง: - การสร้างตัวเลขสุ่มนี้สามารถนำไปใช้ในกระบวนการสร้างกุญแจเข้ารหัส (Encryption Key) ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งช่วยป้องกันการโจมตีด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต. การทดสอบและเทคโนโลยีที่ใช้: - โปรโตคอลนี้ถูกทดสอบบนคอมพิวเตอร์ควอนตัมแบบ 56-qubit ของ Quantinuum ที่ใช้ Random Circuit Sampling (RCS) เพื่อลดเวลาประมวลผลจาก 100 วินาที (ในคอมพิวเตอร์ทั่วไป) เหลือเพียง 2 วินาที และผลลัพธ์ได้รับการตรวจสอบโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์เพื่อรับรองความสุ่ม. ความคาดหวังในอนาคต: - แม้จะยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่โปรโตคอลนี้แสดงถึงศักยภาพของคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต ที่อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการป้องกันและจัดการข้อมูลระดับสูง. https://www.csoonline.com/article/3855710/researchers-claim-their-protocol-can-create-truly-random-numbers-on-a-current-quantum-computer.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Researchers claim their protocol can create truly random numbers on a current quantum computer
    Work could be useful in high security environments, says industry analyst.
    0 Comments 0 Shares 479 Views 0 Reviews
  • JP Morgan เปลี่ยนมุมมองต่อบริษัท Super Micro Computer โดยเพิ่มราคาคาดการณ์หุ้นเป็น $45 และเชื่อว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการขายเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ที่มีความต้องการสูง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลเรื่องการแข่งขันที่อาจกดดันอัตรากำไรในปีหน้า ทั้งนี้ หุ้น SMCI ยังไม่ถูกประเมินสูงเท่าบริษัทคู่แข่งอย่าง Dell ใครที่ติดตามตลาดหุ้นและเทคโนโลยีต้องจับตามองว่า SMCI จะสามารถเอาชนะความท้าทายนี้ได้อย่างไร

    ความสำเร็จในอดีตและความท้าทายที่ยังคงอยู่:
    - SMCI สามารถหลีกเลี่ยงการถูกถอดออกจากตลาดหุ้น Nasdaq ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยการส่งรายงานประจำปีทันเวลาหลังจากถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตทางบัญชีจาก Hindenburg Research.
    - แม้ JP Morgan จะมองว่า SMCI จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสถัดไป แต่ยังคงกังวลเรื่องอัตรากำไรที่อาจลดลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบควบคุม.

    เทคโนโลยีที่กำลังสร้างโอกาสใหม่:
    - SMCI กำลังพึ่งพาความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ชิป Blackwell รุ่นใหม่ ซึ่งมีราคาสูงกว่าและมีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นก่อนหน้า.

    การเปรียบเทียบกับ Dell:
    - JP Morgan ประเมินว่าหุ้น SMCI ไม่ควรมีค่าเทียบเท่าหุ้น Dell โดยให้ตัวคูณกำไรที่ 10x สำหรับ SMCI เทียบกับ 11x ของ Dell.

    https://wccftech.com/jp-morgan-still-does-not-think-super-micro-computer-smci-is-as-good-as-dell/
    JP Morgan เปลี่ยนมุมมองต่อบริษัท Super Micro Computer โดยเพิ่มราคาคาดการณ์หุ้นเป็น $45 และเชื่อว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการขายเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ที่มีความต้องการสูง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลเรื่องการแข่งขันที่อาจกดดันอัตรากำไรในปีหน้า ทั้งนี้ หุ้น SMCI ยังไม่ถูกประเมินสูงเท่าบริษัทคู่แข่งอย่าง Dell ใครที่ติดตามตลาดหุ้นและเทคโนโลยีต้องจับตามองว่า SMCI จะสามารถเอาชนะความท้าทายนี้ได้อย่างไร ความสำเร็จในอดีตและความท้าทายที่ยังคงอยู่: - SMCI สามารถหลีกเลี่ยงการถูกถอดออกจากตลาดหุ้น Nasdaq ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยการส่งรายงานประจำปีทันเวลาหลังจากถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตทางบัญชีจาก Hindenburg Research. - แม้ JP Morgan จะมองว่า SMCI จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสถัดไป แต่ยังคงกังวลเรื่องอัตรากำไรที่อาจลดลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบควบคุม. เทคโนโลยีที่กำลังสร้างโอกาสใหม่: - SMCI กำลังพึ่งพาความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ชิป Blackwell รุ่นใหม่ ซึ่งมีราคาสูงกว่าและมีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นก่อนหน้า. การเปรียบเทียบกับ Dell: - JP Morgan ประเมินว่าหุ้น SMCI ไม่ควรมีค่าเทียบเท่าหุ้น Dell โดยให้ตัวคูณกำไรที่ 10x สำหรับ SMCI เทียบกับ 11x ของ Dell. https://wccftech.com/jp-morgan-still-does-not-think-super-micro-computer-smci-is-as-good-as-dell/
    WCCFTECH.COM
    JP Morgan Still Does Not Think Super Micro Computer (SMCI) Is As Good As Dell
    JP Morgan still does not think that Super Micro Computer (SMCI) deserves a Dell-like valuation multiple for its shares.
    0 Comments 0 Shares 352 Views 0 Reviews
  • กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) ได้เริ่มต้นการสอบสวนบริษัท Scale AI ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการติดป้ายข้อมูล (Data Labeling) ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Nvidia, Amazon และ Meta โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินว่าบริษัทดำเนินการตามมาตรฐานด้านค่าจ้างและสภาพการทำงานภายใต้กฎหมาย Fair Labor Standards Act หรือไม่

    Scale AI เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 และมีบทบาทสำคัญในการให้บริการข้อมูลที่ติดป้ายอย่างถูกต้องเพื่อใช้ในการฝึกฝนโมเดล AI ระดับสูง เช่น OpenAI’s ChatGPT โดยบริษัทมีผู้ร่วมงานจากกว่า 9,000 เมืองทั่วโลก และยังเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับ AI ได้

    การสอบสวนนี้เริ่มต้นตั้งแต่เกือบหนึ่งปีที่แล้วภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดี Joe Biden และเน้นไปที่การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างและสภาพการทำงาน Scale AI ระบุว่าทางบริษัทได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่ออธิบายถึงโมเดลธุรกิจและลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเกิดขึ้น

    โฆษกของ Scale AI เปิดเผยว่าผู้มีส่วนร่วม (contributors) ส่วนใหญ่ให้การตอบรับในเชิงบวก และทางบริษัทมีทีมงานที่ดูแลให้การจ่ายค่าจ้างยุติธรรมและสร้างความรู้สึกสนับสนุนให้กับผู้ร่วมงาน พวกเขาอ้างว่าเกือบทุกครั้งบริษัทสามารถแก้ไขข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการจ่ายเงินได้ภายในสามวัน

    ปัจจุบัน Scale AI มีลูกค้ารายใหญ่ เช่น OpenAI, Cohere, Microsoft และ Morgan Stanley ทั้งนี้ บริษัทมีมูลค่าถึง 14 พันล้านดอลลาร์จากการระดมทุนในรอบท้ายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ Scale AI กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาโครงสร้างข้อมูลสำหรับ AI ในตลาดโลก

    สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ Scale AI ต้องพยายามสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากผลการสอบสวนพบปัญหา อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัท แต่ในขณะเดียวกัน การสอบสวนนี้ยังแสดงถึงความสำคัญของการกำกับดูแลในอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/us-labor-department-investigating-nvidia-amazon-backed-startup-scale-ai
    กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) ได้เริ่มต้นการสอบสวนบริษัท Scale AI ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการติดป้ายข้อมูล (Data Labeling) ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Nvidia, Amazon และ Meta โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินว่าบริษัทดำเนินการตามมาตรฐานด้านค่าจ้างและสภาพการทำงานภายใต้กฎหมาย Fair Labor Standards Act หรือไม่ Scale AI เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 และมีบทบาทสำคัญในการให้บริการข้อมูลที่ติดป้ายอย่างถูกต้องเพื่อใช้ในการฝึกฝนโมเดล AI ระดับสูง เช่น OpenAI’s ChatGPT โดยบริษัทมีผู้ร่วมงานจากกว่า 9,000 เมืองทั่วโลก และยังเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับ AI ได้ การสอบสวนนี้เริ่มต้นตั้งแต่เกือบหนึ่งปีที่แล้วภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดี Joe Biden และเน้นไปที่การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างและสภาพการทำงาน Scale AI ระบุว่าทางบริษัทได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่ออธิบายถึงโมเดลธุรกิจและลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเกิดขึ้น โฆษกของ Scale AI เปิดเผยว่าผู้มีส่วนร่วม (contributors) ส่วนใหญ่ให้การตอบรับในเชิงบวก และทางบริษัทมีทีมงานที่ดูแลให้การจ่ายค่าจ้างยุติธรรมและสร้างความรู้สึกสนับสนุนให้กับผู้ร่วมงาน พวกเขาอ้างว่าเกือบทุกครั้งบริษัทสามารถแก้ไขข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการจ่ายเงินได้ภายในสามวัน ปัจจุบัน Scale AI มีลูกค้ารายใหญ่ เช่น OpenAI, Cohere, Microsoft และ Morgan Stanley ทั้งนี้ บริษัทมีมูลค่าถึง 14 พันล้านดอลลาร์จากการระดมทุนในรอบท้ายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ Scale AI กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาโครงสร้างข้อมูลสำหรับ AI ในตลาดโลก สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ Scale AI ต้องพยายามสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากผลการสอบสวนพบปัญหา อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัท แต่ในขณะเดียวกัน การสอบสวนนี้ยังแสดงถึงความสำคัญของการกำกับดูแลในอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/us-labor-department-investigating-nvidia-amazon-backed-startup-scale-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US Labor Department investigating Nvidia, Amazon-backed startup Scale AI
    (Reuters) - The U.S. Department of Labor is investigating Scale AI, a data labeling startup backed by tech giants Nvidia, Amazon and Meta, for its compliance with the Fair Labor Standards Act, the California-based firm said on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 406 Views 0 Reviews
More Results