• #impromptuspeech

    ต้องย้อนไปในช่วงวัย 8 ขวด ในความที่เป็นเด็ก'ช่างพูด' แม้จะพูดรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่ครูคงเห็นแวว จึงเสนอให้ไปทดลองแข่งทักษะวิชาการในด้านนี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า 'Impromptu Speech' มากเท่าไหร่นัก แต่มีความคิดหนึ่งมันปรากฎในมโนทวารว่า ถ้าได้ลองอะไรใหม่ ๆ มันคงไม่เสียหายอะไรมากหรอก เพราะฉะนั้นผมจึงตอบรับคำเชิญจากครูที่เคารพ

    หลังจากบทสนทนาในวันนั้น ถ้าจำไม่ผิดอีกประมาณ 7 วัน ครูเรียกให้ไปพบเพื่อรับสคริป์ จะได้เอาไปท่องจำเพราะการ Impromptu Speech เป็นภาษาอังกฤษนั้นมันไม่ได้ง่ายเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องที่ได้ต้องฝึกหัดมันมักจะเกี่ยวกับ introduce myself (เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวฉัน) และ my family (ครอบครัวของฉัน)

    ความรู้สึกตอนที่ฝึกต่อหน้าครู ตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียงรายดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่โชคยังดีที่มียังมีซับอยู่ใต้ข้อความแต่ละประโยค ซึ่งในตอนนั้นครูยังให้กำลังใจด้วยการพูดประมาณว่าให้ยึดถือสํานวนสุภาษิต 'ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น' แหมมม ถ้ายึดสำนวนนี้คงได้สำเร็จอย่างที่ใจหวังเป็นแน่แท้

    เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกา ไม่อยากอารัมภบทมากจนเกินไป ขอตัดภาพไปที่วันพวกเราแข่งเลยละกัน แต่ก็จะขออธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า "เมื่อก่อนการแข่งขันทักษะวิชาการสมัยประถมผมอยู่นั้น เขาจะแบ่งออกอยู่เป็น 4 ช่วงคือ แข่งระดับศูนย์การศึกษา ระดับเขตพื้นที่ ระดับจังหวัด และระดับชาติ ซึ่งนักแข่งทุกผู้ทุกคนก็จะคาดหวังระดับชาติกันทั้งหมดทั้งสิ้น

    หากพูดถึงการแข่งขันระดับศูนย์การศึกษา ในวันนั้นผู้ที่ลงแข่ง Impromptu Speech มี 3 โรงเรียน โดยหนึ่งในนั้นมีโรงเรียนของผมนี่เอง ซึ่งตอนที่ออกไปพูดต่อหน้ากรรมการ ในใจคิดว่า 'เราจะรอดหรือไม่ ถ้าไม่รอดครูจะว่าไง' ส่วนทางร่างกายมันสั่งว่าให้สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วก็ talk เรื่องที่ตัวเองฝึกมาแบบไม่มีอะไรติดขัดเลยซักกะนิดเดียว เมื่อออกจากห้อง ความมั่นใจมันพลุ่งพล่านมาจากไหนก็ไม่รู้เพราะรู้สึกมีเซ้นว่าเราจะชนะอย่างเป็นแน่ พอถึงวันประกาศผล จะไม่บอกว่าชนะหรือไม่ชนะแต่จะบอกแค่ว่าคุณได้ไปต่อ

    การเตรียมตัวแข่งในระดับเขตพื้นที่ พวกเราได้ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลานั้นคิดว่าเป็นการสนทนาภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะท่องทุกวัน ฝึกทุกวัน จนจำขึ้นใจ แต่ทั้งครูและผมยังไม่รู้ว่าการแข่งในระดับเขตนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้น

    เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงวันแข่งขัน ก่อนที่จะ talk กรรมการให้จับฉลากเพื่อให้พูดตามหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งสามารถจับฉลากได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น โดยที่ครั้งแรกจับได้หัวข้อที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลยแม้แต่นิด พอครั้งที่ 2 ภาวนาว่าจะได้หัวข้อที่เราต้องการ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย หัวข้อที่ได้มันจำไม่ค่อยจะแม่น จึงใช้วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยเลือกหัวข้อที่จำได้แม่นที่สุด แล้วพูดออกไปอย่างมั่นใจโดยไม่ได้คิดคำนึงถึงอะไรเลยทั้งสิ้น

    พอพูดจบ กรรมการที่มีศักดิ์เป็นครูฝรั่งก็ทำท่าทำทางเหมือนมีคำถามอยู่ในหัวใจ 'How old are you.' คำถามง่ายๆที่สามารถนำหัวใจเคลื่อนย้ายลงไปที่ตาตุ่มได้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่รู้ว่าคำถามนั้นมันแปลว่าอะไร ก็เลยตอบไปแบบมั่วๆว่า 'My name is phattaradnai katiwong' บรรยากาศที่อึมครึมกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของกรรมการทั้ง 5 คน ความรู้สึกกังวลกับคำถามกลับแปรผันเป็นความมึนงงสงสัยว่าทำไมเขาถึงหัวเราะกัน

    พอออกมาจากห้อง ก็เลยเล่าให้ครูฟัง เมื่อรับรู้รับทราบแล้วครูก็หัวเราะเช่นเดียวกัน แล้วก็เอ่ยประโยคนึงออกมาประมาณว่า 'ครั้งหน้าเอาใหม่นะเดี๋ยวครูจะฝึกประโยคสนทนาของเธอด้วย' แหมทำไปได้

    หลังจากนั้นพวกเราทั้งสองไปนั่งคาเฟ่กินกาแฟ ชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่อ.แม่อาย อย่างสบายใจเฉิบ

    แต่ขอบอกเลยว่าประสบการณ์การแข่งขันอะไรต่างๆ มันยังไม่จบเพียงแค่นี้หรอก ยังมีด้านอื่นที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงมากอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นหากท่านผู้อ่านทั้งหลายต้องการให้เล่า ผมนั้นก็จะหาเวลาดั้นด้นขึ้นมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านด้วย ความสบายใจอย่างเป็นที่สุด
    ----
    ภาพนี้ไปเสาะหานานมาก
    กว่าจะประสบพบเจอ
    #impromptuspeech ต้องย้อนไปในช่วงวัย 8 ขวด ในความที่เป็นเด็ก'ช่างพูด' แม้จะพูดรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่ครูคงเห็นแวว จึงเสนอให้ไปทดลองแข่งทักษะวิชาการในด้านนี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า 'Impromptu Speech' มากเท่าไหร่นัก แต่มีความคิดหนึ่งมันปรากฎในมโนทวารว่า ถ้าได้ลองอะไรใหม่ ๆ มันคงไม่เสียหายอะไรมากหรอก เพราะฉะนั้นผมจึงตอบรับคำเชิญจากครูที่เคารพ หลังจากบทสนทนาในวันนั้น ถ้าจำไม่ผิดอีกประมาณ 7 วัน ครูเรียกให้ไปพบเพื่อรับสคริป์ จะได้เอาไปท่องจำเพราะการ Impromptu Speech เป็นภาษาอังกฤษนั้นมันไม่ได้ง่ายเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องที่ได้ต้องฝึกหัดมันมักจะเกี่ยวกับ introduce myself (เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวฉัน) และ my family (ครอบครัวของฉัน) ความรู้สึกตอนที่ฝึกต่อหน้าครู ตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียงรายดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่โชคยังดีที่มียังมีซับอยู่ใต้ข้อความแต่ละประโยค ซึ่งในตอนนั้นครูยังให้กำลังใจด้วยการพูดประมาณว่าให้ยึดถือสํานวนสุภาษิต 'ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น' แหมมม ถ้ายึดสำนวนนี้คงได้สำเร็จอย่างที่ใจหวังเป็นแน่แท้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกา ไม่อยากอารัมภบทมากจนเกินไป ขอตัดภาพไปที่วันพวกเราแข่งเลยละกัน แต่ก็จะขออธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า "เมื่อก่อนการแข่งขันทักษะวิชาการสมัยประถมผมอยู่นั้น เขาจะแบ่งออกอยู่เป็น 4 ช่วงคือ แข่งระดับศูนย์การศึกษา ระดับเขตพื้นที่ ระดับจังหวัด และระดับชาติ ซึ่งนักแข่งทุกผู้ทุกคนก็จะคาดหวังระดับชาติกันทั้งหมดทั้งสิ้น หากพูดถึงการแข่งขันระดับศูนย์การศึกษา ในวันนั้นผู้ที่ลงแข่ง Impromptu Speech มี 3 โรงเรียน โดยหนึ่งในนั้นมีโรงเรียนของผมนี่เอง ซึ่งตอนที่ออกไปพูดต่อหน้ากรรมการ ในใจคิดว่า 'เราจะรอดหรือไม่ ถ้าไม่รอดครูจะว่าไง' ส่วนทางร่างกายมันสั่งว่าให้สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วก็ talk เรื่องที่ตัวเองฝึกมาแบบไม่มีอะไรติดขัดเลยซักกะนิดเดียว เมื่อออกจากห้อง ความมั่นใจมันพลุ่งพล่านมาจากไหนก็ไม่รู้เพราะรู้สึกมีเซ้นว่าเราจะชนะอย่างเป็นแน่ พอถึงวันประกาศผล จะไม่บอกว่าชนะหรือไม่ชนะแต่จะบอกแค่ว่าคุณได้ไปต่อ การเตรียมตัวแข่งในระดับเขตพื้นที่ พวกเราได้ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลานั้นคิดว่าเป็นการสนทนาภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะท่องทุกวัน ฝึกทุกวัน จนจำขึ้นใจ แต่ทั้งครูและผมยังไม่รู้ว่าการแข่งในระดับเขตนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงวันแข่งขัน ก่อนที่จะ talk กรรมการให้จับฉลากเพื่อให้พูดตามหัวข้อนั้น ๆ ซึ่งสามารถจับฉลากได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น โดยที่ครั้งแรกจับได้หัวข้อที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลยแม้แต่นิด พอครั้งที่ 2 ภาวนาว่าจะได้หัวข้อที่เราต้องการ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย หัวข้อที่ได้มันจำไม่ค่อยจะแม่น จึงใช้วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยเลือกหัวข้อที่จำได้แม่นที่สุด แล้วพูดออกไปอย่างมั่นใจโดยไม่ได้คิดคำนึงถึงอะไรเลยทั้งสิ้น พอพูดจบ กรรมการที่มีศักดิ์เป็นครูฝรั่งก็ทำท่าทำทางเหมือนมีคำถามอยู่ในหัวใจ 'How old are you.' คำถามง่ายๆที่สามารถนำหัวใจเคลื่อนย้ายลงไปที่ตาตุ่มได้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่รู้ว่าคำถามนั้นมันแปลว่าอะไร ก็เลยตอบไปแบบมั่วๆว่า 'My name is phattaradnai katiwong' บรรยากาศที่อึมครึมกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของกรรมการทั้ง 5 คน ความรู้สึกกังวลกับคำถามกลับแปรผันเป็นความมึนงงสงสัยว่าทำไมเขาถึงหัวเราะกัน พอออกมาจากห้อง ก็เลยเล่าให้ครูฟัง เมื่อรับรู้รับทราบแล้วครูก็หัวเราะเช่นเดียวกัน แล้วก็เอ่ยประโยคนึงออกมาประมาณว่า 'ครั้งหน้าเอาใหม่นะเดี๋ยวครูจะฝึกประโยคสนทนาของเธอด้วย' แหมทำไปได้ หลังจากนั้นพวกเราทั้งสองไปนั่งคาเฟ่กินกาแฟ ชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่อ.แม่อาย อย่างสบายใจเฉิบ แต่ขอบอกเลยว่าประสบการณ์การแข่งขันอะไรต่างๆ มันยังไม่จบเพียงแค่นี้หรอก ยังมีด้านอื่นที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงมากอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นหากท่านผู้อ่านทั้งหลายต้องการให้เล่า ผมนั้นก็จะหาเวลาดั้นด้นขึ้นมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านด้วย ความสบายใจอย่างเป็นที่สุด ---- ภาพนี้ไปเสาะหานานมาก กว่าจะประสบพบเจอ
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews