• “Firewalla อัปเดตใหม่หลอกลูกให้เลิกเล่นมือถือด้วย ‘เน็ตช้า’ — เมื่อการควบคุมพฤติกรรมดิจิทัลไม่ต้องใช้คำสั่ง แต่ใช้ความรู้สึก”

    ในยุคที่เด็ก ๆ ใช้เวลาบนหน้าจอมากกว่าการเล่นกลางแจ้ง Firewalla แอปจัดการเครือข่ายและความปลอดภัยสำหรับครอบครัว ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 1.66 ที่ชื่อว่า “Disturb” ซึ่งใช้วิธีแปลกใหม่ในการควบคุมพฤติกรรมการใช้งานมือถือของเด็ก ๆ โดยไม่ต้องบล็อกแอปหรือปิดอินเทอร์เน็ต — แต่ใช้การ “หลอกว่าเน็ตช้า” เพื่อให้เด็กเบื่อและเลิกเล่นไปเอง

    ฟีเจอร์นี้จะจำลองอาการอินเทอร์เน็ตช้า เช่น การบัฟเฟอร์ การโหลดช้า หรือดีเลย์ในการใช้งานแอปยอดนิยมอย่าง Snapchat โดยไม่แจ้งให้ผู้ใช้รู้ว่าเป็นการตั้งใจ ทำให้เด็กเข้าใจว่าเป็นปัญหาทางเทคนิค และเลือกที่จะหยุดใช้งานเอง ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจแบบนุ่มนวลมากกว่าการลงโทษ

    นอกจากฟีเจอร์ Disturb แล้ว Firewalla ยังเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัย เช่น “Device Active Protect” ที่ใช้แนวคิด Zero Trust ในการเรียนรู้พฤติกรรมของอุปกรณ์ และบล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยอัตโนมัติ รวมถึงการเชื่อมต่อกับระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบเปิดอย่าง Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับมัลแวร์และการโจมตีเครือข่าย

    สำหรับผู้ใช้งานระดับบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก Firewalla ยังเพิ่มฟีเจอร์ Multi-WAN Data Usage Tracking ที่สามารถติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากหลายสายพร้อมกัน พร้อมระบบแจ้งเตือนและรายงานแบบละเอียด

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Firewalla App 1.66
    “Disturb” จำลองอินเทอร์เน็ตช้าเพื่อเบี่ยงเบนพฤติกรรมเด็กจากการใช้แอป
    ไม่บล็อกแอปโดยตรง แต่สร้างความรู้สึกว่าเน็ตไม่เสถียร
    ใช้กับแอปที่ใช้เวลานาน เช่น Snapchat, TikTok, YouTube
    เป็นวิธีควบคุมแบบนุ่มนวล ไม่ใช่การลงโทษ

    ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม
    “Device Active Protect” ใช้ Zero Trust เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมอุปกรณ์
    บล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยไม่ต้องตั้งค่ากฎเอง
    เชื่อมต่อกับ Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัย
    เพิ่มระบบ FireAI วิเคราะห์เหตุการณ์เครือข่ายแบบเรียลไทม์

    ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ระดับบ้านและธุรกิจ
    Multi-WAN Data Usage Tracking ติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายสาย
    มีระบบแจ้งเตือนเมื่อใช้งานเกินขีดจำกัด
    รายงานการใช้งานแบบละเอียดสำหรับการวางแผนเครือข่าย
    รองรับการใช้งานในบ้านที่มีหลายอุปกรณ์หรือหลายเครือข่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Suricata เป็นระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ open-source ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่
    Zero Trust เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ไม่เชื่อถืออุปกรณ์ใด ๆ โดยอัตโนมัติ
    Firewalla ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครือข่ายภายในบ้าน
    ฟีเจอร์ Disturb อาจเป็นต้นแบบของการควบคุมพฤติกรรมเชิงจิตวิทยาในยุคดิจิทัล

    https://www.techradar.com/pro/phone-communications/this-security-app-deliberately-slows-down-internet-speeds-to-encourage-your-kids-to-log-off-their-snapchat-accounts
    📱 “Firewalla อัปเดตใหม่หลอกลูกให้เลิกเล่นมือถือด้วย ‘เน็ตช้า’ — เมื่อการควบคุมพฤติกรรมดิจิทัลไม่ต้องใช้คำสั่ง แต่ใช้ความรู้สึก” ในยุคที่เด็ก ๆ ใช้เวลาบนหน้าจอมากกว่าการเล่นกลางแจ้ง Firewalla แอปจัดการเครือข่ายและความปลอดภัยสำหรับครอบครัว ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 1.66 ที่ชื่อว่า “Disturb” ซึ่งใช้วิธีแปลกใหม่ในการควบคุมพฤติกรรมการใช้งานมือถือของเด็ก ๆ โดยไม่ต้องบล็อกแอปหรือปิดอินเทอร์เน็ต — แต่ใช้การ “หลอกว่าเน็ตช้า” เพื่อให้เด็กเบื่อและเลิกเล่นไปเอง ฟีเจอร์นี้จะจำลองอาการอินเทอร์เน็ตช้า เช่น การบัฟเฟอร์ การโหลดช้า หรือดีเลย์ในการใช้งานแอปยอดนิยมอย่าง Snapchat โดยไม่แจ้งให้ผู้ใช้รู้ว่าเป็นการตั้งใจ ทำให้เด็กเข้าใจว่าเป็นปัญหาทางเทคนิค และเลือกที่จะหยุดใช้งานเอง ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจแบบนุ่มนวลมากกว่าการลงโทษ นอกจากฟีเจอร์ Disturb แล้ว Firewalla ยังเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัย เช่น “Device Active Protect” ที่ใช้แนวคิด Zero Trust ในการเรียนรู้พฤติกรรมของอุปกรณ์ และบล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยอัตโนมัติ รวมถึงการเชื่อมต่อกับระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบเปิดอย่าง Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับมัลแวร์และการโจมตีเครือข่าย สำหรับผู้ใช้งานระดับบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก Firewalla ยังเพิ่มฟีเจอร์ Multi-WAN Data Usage Tracking ที่สามารถติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากหลายสายพร้อมกัน พร้อมระบบแจ้งเตือนและรายงานแบบละเอียด ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Firewalla App 1.66 ➡️ “Disturb” จำลองอินเทอร์เน็ตช้าเพื่อเบี่ยงเบนพฤติกรรมเด็กจากการใช้แอป ➡️ ไม่บล็อกแอปโดยตรง แต่สร้างความรู้สึกว่าเน็ตไม่เสถียร ➡️ ใช้กับแอปที่ใช้เวลานาน เช่น Snapchat, TikTok, YouTube ➡️ เป็นวิธีควบคุมแบบนุ่มนวล ไม่ใช่การลงโทษ ✅ ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม ➡️ “Device Active Protect” ใช้ Zero Trust เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมอุปกรณ์ ➡️ บล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยไม่ต้องตั้งค่ากฎเอง ➡️ เชื่อมต่อกับ Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัย ➡️ เพิ่มระบบ FireAI วิเคราะห์เหตุการณ์เครือข่ายแบบเรียลไทม์ ✅ ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ระดับบ้านและธุรกิจ ➡️ Multi-WAN Data Usage Tracking ติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายสาย ➡️ มีระบบแจ้งเตือนเมื่อใช้งานเกินขีดจำกัด ➡️ รายงานการใช้งานแบบละเอียดสำหรับการวางแผนเครือข่าย ➡️ รองรับการใช้งานในบ้านที่มีหลายอุปกรณ์หรือหลายเครือข่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Suricata เป็นระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ open-source ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Zero Trust เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ไม่เชื่อถืออุปกรณ์ใด ๆ โดยอัตโนมัติ ➡️ Firewalla ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครือข่ายภายในบ้าน ➡️ ฟีเจอร์ Disturb อาจเป็นต้นแบบของการควบคุมพฤติกรรมเชิงจิตวิทยาในยุคดิจิทัล https://www.techradar.com/pro/phone-communications/this-security-app-deliberately-slows-down-internet-speeds-to-encourage-your-kids-to-log-off-their-snapchat-accounts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย

    ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต

    สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน

    แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025
    การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้
    บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ
    ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ
    การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด
    ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น
    เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ
    การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน
    NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน
    จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน
    การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference)
    นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    🎙️ เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 ➡️ การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้ ➡️ บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ ➡️ ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ ➡️ การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443 ➡️ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW ➡️ นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด ➡️ ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น ➡️ เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ ➡️ การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน ➡️ NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน ➡️ จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน ➡️ การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference) ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต” https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft Entra Private Access – เปลี่ยนการเข้าถึง Active Directory แบบเดิมให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

    ในยุคที่องค์กรกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคลาวด์ ความปลอดภัยของระบบภายในองค์กรก็ยังคงเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ โดยเฉพาะ Active Directory ที่ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในหน่วยงานรัฐและองค์กรขนาดใหญ่

    Microsoft จึงเปิดตัว “Entra Private Access” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่นำความสามารถด้าน Conditional Access และ Multi-Factor Authentication (MFA) จากระบบคลาวด์ มาสู่ระบบ Active Directory ที่อยู่ภายในองค์กร (on-premises) โดยใช้แนวคิด Zero Trust Network Access (ZTNA)

    แต่ก่อนจะใช้งานได้ องค์กรต้อง “ล้าง NTLM” ออกจากระบบให้หมด และเปลี่ยนมาใช้ Kerberos แทน เพราะ NTLM เป็นโปรโตคอลเก่าที่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูง

    การติดตั้ง Entra Private Access ต้องมีการกำหนดค่าเครือข่าย เช่น เปิดพอร์ต TCP 1337 บน Firewall, ระบุ Service Principal Name (SPN) ของแอปภายใน และติดตั้ง Private Access Sensor บน Domain Controller รวมถึงต้องใช้เครื่องลูกข่ายที่เป็น Windows 10 ขึ้นไป และเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID

    แม้จะดูซับซ้อน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมการเข้าถึงระบบภายในได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ลดการพึ่งพา VPN แบบเดิม และเตรียมพร้อมสู่การป้องกันภัยไซเบอร์ในระดับสูง

    Microsoft เปิดตัว Entra Private Access สำหรับ Active Directory ภายในองค์กร
    ฟีเจอร์นี้นำ Conditional Access และ MFA จากคลาวด์มาใช้กับระบบ on-premises
    ใช้แนวคิด Zero Trust Network Access (ZTNA) เพื่อควบคุมการเข้าถึง
    ต้องลบ NTLM ออกจากระบบและใช้ Kerberos แทนเพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้
    เปิดพอร์ต TCP 1337 บน Firewall และกำหนด SPN ของแอปภายใน
    ต้องใช้เครื่องลูกข่าย Windows 10+ ที่เชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID
    รองรับ Windows 10, 11 และ Android ส่วน macOS/iOS ยังอยู่ในช่วงทดลอง
    เอกสารการติดตั้งฉบับเต็มเผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025
    สามารถใช้ trial license ทดสอบการติดตั้งแบบ proof of concept ได้

    NTLM เป็นโปรโตคอลเก่าที่มีช่องโหว่ เช่น relay attack และ credential theft
    Kerberos ใช้ระบบ ticket-based authentication ที่ปลอดภัยกว่า
    Zero Trust เป็นแนวคิดที่ไม่เชื่อถืออัตโนมัติแม้จะอยู่ในเครือข่ายองค์กร
    VPN แบบเดิมมีความเสี่ยงจากการถูกเจาะระบบและไม่รองรับการควบคุมแบบละเอียด
    การใช้ SPN ช่วยระบุแอปภายในที่ต้องการป้องกันได้อย่างแม่นยำ
    การบังคับใช้ MFA ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีด้วยรหัสผ่านที่รั่วไหล

    https://www.csoonline.com/article/4041752/microsoft-entra-private-access-brings-conditional-access-to-on-prem-active-directory.html
    🧠 Microsoft Entra Private Access – เปลี่ยนการเข้าถึง Active Directory แบบเดิมให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ในยุคที่องค์กรกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคลาวด์ ความปลอดภัยของระบบภายในองค์กรก็ยังคงเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ โดยเฉพาะ Active Directory ที่ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในหน่วยงานรัฐและองค์กรขนาดใหญ่ Microsoft จึงเปิดตัว “Entra Private Access” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่นำความสามารถด้าน Conditional Access และ Multi-Factor Authentication (MFA) จากระบบคลาวด์ มาสู่ระบบ Active Directory ที่อยู่ภายในองค์กร (on-premises) โดยใช้แนวคิด Zero Trust Network Access (ZTNA) แต่ก่อนจะใช้งานได้ องค์กรต้อง “ล้าง NTLM” ออกจากระบบให้หมด และเปลี่ยนมาใช้ Kerberos แทน เพราะ NTLM เป็นโปรโตคอลเก่าที่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูง การติดตั้ง Entra Private Access ต้องมีการกำหนดค่าเครือข่าย เช่น เปิดพอร์ต TCP 1337 บน Firewall, ระบุ Service Principal Name (SPN) ของแอปภายใน และติดตั้ง Private Access Sensor บน Domain Controller รวมถึงต้องใช้เครื่องลูกข่ายที่เป็น Windows 10 ขึ้นไป และเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID แม้จะดูซับซ้อน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมการเข้าถึงระบบภายในได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ลดการพึ่งพา VPN แบบเดิม และเตรียมพร้อมสู่การป้องกันภัยไซเบอร์ในระดับสูง ➡️ Microsoft เปิดตัว Entra Private Access สำหรับ Active Directory ภายในองค์กร ➡️ ฟีเจอร์นี้นำ Conditional Access และ MFA จากคลาวด์มาใช้กับระบบ on-premises ➡️ ใช้แนวคิด Zero Trust Network Access (ZTNA) เพื่อควบคุมการเข้าถึง ➡️ ต้องลบ NTLM ออกจากระบบและใช้ Kerberos แทนเพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้ ➡️ เปิดพอร์ต TCP 1337 บน Firewall และกำหนด SPN ของแอปภายใน ➡️ ต้องใช้เครื่องลูกข่าย Windows 10+ ที่เชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID ➡️ รองรับ Windows 10, 11 และ Android ส่วน macOS/iOS ยังอยู่ในช่วงทดลอง ➡️ เอกสารการติดตั้งฉบับเต็มเผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ สามารถใช้ trial license ทดสอบการติดตั้งแบบ proof of concept ได้ ➡️ NTLM เป็นโปรโตคอลเก่าที่มีช่องโหว่ เช่น relay attack และ credential theft ➡️ Kerberos ใช้ระบบ ticket-based authentication ที่ปลอดภัยกว่า ➡️ Zero Trust เป็นแนวคิดที่ไม่เชื่อถืออัตโนมัติแม้จะอยู่ในเครือข่ายองค์กร ➡️ VPN แบบเดิมมีความเสี่ยงจากการถูกเจาะระบบและไม่รองรับการควบคุมแบบละเอียด ➡️ การใช้ SPN ช่วยระบุแอปภายในที่ต้องการป้องกันได้อย่างแม่นยำ ➡️ การบังคับใช้ MFA ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีด้วยรหัสผ่านที่รั่วไหล https://www.csoonline.com/article/4041752/microsoft-entra-private-access-brings-conditional-access-to-on-prem-active-directory.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Microsoft Entra Private Access brings conditional access to on-prem Active Directory
    Microsoft has extended Entra’s powerful access control capabilities to on-premises applications — but you’ll need to rid your network of NTLM to take advantage of adding cloud features to your Active Directory.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ CVE-2025-20265 ใน Cisco FMC: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นช่องทางโจมตี

    Cisco ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ร้ายแรงใน Secure Firewall Management Center (FMC) ซึ่งเป็นระบบจัดการไฟร์วอลล์แบบรวมศูนย์ที่ใช้กันในองค์กรและหน่วยงานรัฐบาลทั่วโลก โดยช่องโหว่นี้อยู่ในระบบยืนยันตัวตนผ่าน RADIUS ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกเพื่อจัดการบัญชีผู้ใช้

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกระหว่างการล็อกอินไม่ดีพอ ทำให้แฮกเกอร์สามารถส่งข้อมูลที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อสั่งให้ระบบรันคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบได้ทันทีหาก FMC ถูกตั้งค่าให้ใช้ RADIUS สำหรับการล็อกอินผ่านเว็บหรือ SSH

    ช่องโหว่นี้ถูกระบุเป็น CVE-2025-20265 และได้รับคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 จาก Cisco โดยส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ของ FMC เท่านั้น หากมีการเปิดใช้ RADIUS authentication

    Cisco ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ให้ปิดการใช้งาน RADIUS แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบอื่น เช่น LDAP หรือบัญชีผู้ใช้ภายในแทน

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    ช่องโหว่ CVE-2025-20265 อยู่ในระบบ RADIUS authentication ของ Cisco FMC
    ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้แฮกเกอร์ส่งคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ส่งผลกระทบต่อ FMC เวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ที่เปิดใช้ RADIUS สำหรับเว็บหรือ SSH
    Cisco ให้คะแนนความรุนแรง 10/10 และแนะนำให้ติดตั้งแพตช์ทันที
    หากไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ ให้ปิด RADIUS และใช้ LDAP หรือ local accounts แทน
    ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยของ Cisco เอง และยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้
    Cisco ยังออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่อื่นๆ อีก 13 รายการในผลิตภัณฑ์ต่างๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RADIUS เป็นโปรโตคอลยอดนิยมในองค์กรที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงจากศูนย์กลาง
    ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “command injection” ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด
    การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลลับหรือควบคุมระบบเครือข่ายทั้งหมด
    Cisco แนะนำให้ผู้ใช้ทดสอบการเปลี่ยนระบบยืนยันตัวตนก่อนใช้งานจริง
    ช่องโหว่นี้ไม่ส่งผลต่อ Cisco ASA หรือ FTD ซึ่งใช้ระบบจัดการคนละแบบ
    การใช้ SAML หรือ LDAP อาจช่วยลดความเสี่ยงในระบบองค์กรได้

    https://www.techradar.com/pro/security/cisco-warns-of-worrying-major-security-flaw-in-firewall-command-center-so-patch-now
    🚨 ช่องโหว่ CVE-2025-20265 ใน Cisco FMC: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นช่องทางโจมตี Cisco ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ร้ายแรงใน Secure Firewall Management Center (FMC) ซึ่งเป็นระบบจัดการไฟร์วอลล์แบบรวมศูนย์ที่ใช้กันในองค์กรและหน่วยงานรัฐบาลทั่วโลก โดยช่องโหว่นี้อยู่ในระบบยืนยันตัวตนผ่าน RADIUS ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกเพื่อจัดการบัญชีผู้ใช้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกระหว่างการล็อกอินไม่ดีพอ ทำให้แฮกเกอร์สามารถส่งข้อมูลที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อสั่งให้ระบบรันคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบได้ทันทีหาก FMC ถูกตั้งค่าให้ใช้ RADIUS สำหรับการล็อกอินผ่านเว็บหรือ SSH ช่องโหว่นี้ถูกระบุเป็น CVE-2025-20265 และได้รับคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 จาก Cisco โดยส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ของ FMC เท่านั้น หากมีการเปิดใช้ RADIUS authentication Cisco ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ให้ปิดการใช้งาน RADIUS แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบอื่น เช่น LDAP หรือบัญชีผู้ใช้ภายในแทน ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-20265 อยู่ในระบบ RADIUS authentication ของ Cisco FMC ➡️ ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้แฮกเกอร์ส่งคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ ส่งผลกระทบต่อ FMC เวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ที่เปิดใช้ RADIUS สำหรับเว็บหรือ SSH ➡️ Cisco ให้คะแนนความรุนแรง 10/10 และแนะนำให้ติดตั้งแพตช์ทันที ➡️ หากไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ ให้ปิด RADIUS และใช้ LDAP หรือ local accounts แทน ➡️ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยของ Cisco เอง และยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ ➡️ Cisco ยังออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่อื่นๆ อีก 13 รายการในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RADIUS เป็นโปรโตคอลยอดนิยมในองค์กรที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงจากศูนย์กลาง ➡️ ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “command injection” ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด ➡️ การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลลับหรือควบคุมระบบเครือข่ายทั้งหมด ➡️ Cisco แนะนำให้ผู้ใช้ทดสอบการเปลี่ยนระบบยืนยันตัวตนก่อนใช้งานจริง ➡️ ช่องโหว่นี้ไม่ส่งผลต่อ Cisco ASA หรือ FTD ซึ่งใช้ระบบจัดการคนละแบบ ➡️ การใช้ SAML หรือ LDAP อาจช่วยลดความเสี่ยงในระบบองค์กรได้ https://www.techradar.com/pro/security/cisco-warns-of-worrying-major-security-flaw-in-firewall-command-center-so-patch-now
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: การโจมตีแบบ Brute-Force ครั้งใหญ่ต่อ Fortinet SSL VPN – สัญญาณเตือนภัยไซเบอร์ที่ไม่ควรมองข้าม

    เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2025 นักวิจัยจาก GreyNoise ตรวจพบการโจมตีแบบ brute-force จำนวนมหาศาลต่อ Fortinet SSL VPN โดยมี IP ที่ไม่ซ้ำกันกว่า 780 รายการในวันเดียว ซึ่งเป็นปริมาณสูงสุดในรอบหลายเดือน การโจมตีนี้ไม่ใช่การสุ่มทั่วไป แต่เป็นการโจมตีแบบมีเป้าหมายชัดเจน โดยเริ่มจาก FortiOS และเปลี่ยนเป้าหมายไปยัง FortiManager ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการอุปกรณ์ Fortinet หลายตัวพร้อมกัน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ มีเบาะแสว่าเครื่องมือโจมตีอาจถูกปล่อยจากเครือข่ายบ้านหรือใช้ residential proxy เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ และมีการพบลักษณะการโจมตีคล้ายกันในเดือนมิถุนายน ซึ่งเชื่อมโยงกับการเปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในภายหลัง

    GreyNoise พบว่า 80% ของการโจมตีลักษณะนี้มักนำไปสู่การเปิดเผยช่องโหว่ใหม่ภายใน 6 สัปดาห์ โดยเฉพาะในระบบ edge เช่น VPN และ firewall ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มผู้โจมตีขั้นสูง

    พบการโจมตีแบบ brute-force ต่อ Fortinet SSL VPN จากกว่า 780 IP ภายในวันเดียว
    เป็นปริมาณสูงสุดในรอบหลายเดือน

    การโจมตีมีเป้าหมายชัดเจน ไม่ใช่การสุ่ม
    เริ่มจาก FortiOS แล้วเปลี่ยนไปยัง FortiManager

    FortiManager เป็นเครื่องมือจัดการอุปกรณ์ Fortinet หลายตัว
    การโจมตีตรงนี้อาจทำให้ระบบทั้งเครือข่ายถูกควบคุม

    พบว่าการโจมตีอาจมาจากเครือข่ายบ้านหรือใช้ residential proxy
    เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบป้องกัน

    ประเทศเป้าหมายหลักคือ ฮ่องกงและบราซิล
    แต่ยังพบการโจมตีในสหรัฐฯ แคนาดา รัสเซีย และญี่ปุ่น

    GreyNoise พบว่าการโจมตีแบบนี้มักนำไปสู่การเปิดเผยช่องโหว่ใหม่
    โดยเฉลี่ยภายใน 6 สัปดาห์หลังจากการโจมตีเริ่มต้น

    Fortinet แนะนำให้ลูกค้าใช้เครื่องมือของ GreyNoise เพื่อบล็อก IP ที่เป็นอันตราย
    และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

    https://hackread.com/brute-force-campaign-fortinet-ssl-vpn-coordinated-attack/
    🕵️‍♂️🔐 เล่าให้ฟังใหม่: การโจมตีแบบ Brute-Force ครั้งใหญ่ต่อ Fortinet SSL VPN – สัญญาณเตือนภัยไซเบอร์ที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2025 นักวิจัยจาก GreyNoise ตรวจพบการโจมตีแบบ brute-force จำนวนมหาศาลต่อ Fortinet SSL VPN โดยมี IP ที่ไม่ซ้ำกันกว่า 780 รายการในวันเดียว ซึ่งเป็นปริมาณสูงสุดในรอบหลายเดือน การโจมตีนี้ไม่ใช่การสุ่มทั่วไป แต่เป็นการโจมตีแบบมีเป้าหมายชัดเจน โดยเริ่มจาก FortiOS และเปลี่ยนเป้าหมายไปยัง FortiManager ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการอุปกรณ์ Fortinet หลายตัวพร้อมกัน สิ่งที่น่าสนใจคือ มีเบาะแสว่าเครื่องมือโจมตีอาจถูกปล่อยจากเครือข่ายบ้านหรือใช้ residential proxy เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ และมีการพบลักษณะการโจมตีคล้ายกันในเดือนมิถุนายน ซึ่งเชื่อมโยงกับการเปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในภายหลัง GreyNoise พบว่า 80% ของการโจมตีลักษณะนี้มักนำไปสู่การเปิดเผยช่องโหว่ใหม่ภายใน 6 สัปดาห์ โดยเฉพาะในระบบ edge เช่น VPN และ firewall ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มผู้โจมตีขั้นสูง ✅ พบการโจมตีแบบ brute-force ต่อ Fortinet SSL VPN จากกว่า 780 IP ภายในวันเดียว ➡️ เป็นปริมาณสูงสุดในรอบหลายเดือน ✅ การโจมตีมีเป้าหมายชัดเจน ไม่ใช่การสุ่ม ➡️ เริ่มจาก FortiOS แล้วเปลี่ยนไปยัง FortiManager ✅ FortiManager เป็นเครื่องมือจัดการอุปกรณ์ Fortinet หลายตัว ➡️ การโจมตีตรงนี้อาจทำให้ระบบทั้งเครือข่ายถูกควบคุม ✅ พบว่าการโจมตีอาจมาจากเครือข่ายบ้านหรือใช้ residential proxy ➡️ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบป้องกัน ✅ ประเทศเป้าหมายหลักคือ ฮ่องกงและบราซิล ➡️ แต่ยังพบการโจมตีในสหรัฐฯ แคนาดา รัสเซีย และญี่ปุ่น ✅ GreyNoise พบว่าการโจมตีแบบนี้มักนำไปสู่การเปิดเผยช่องโหว่ใหม่ ➡️ โดยเฉลี่ยภายใน 6 สัปดาห์หลังจากการโจมตีเริ่มต้น ✅ Fortinet แนะนำให้ลูกค้าใช้เครื่องมือของ GreyNoise เพื่อบล็อก IP ที่เป็นอันตราย ➡️ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด https://hackread.com/brute-force-campaign-fortinet-ssl-vpn-coordinated-attack/
    HACKREAD.COM
    New Brute-Force Campaign Hits Fortinet SSL VPN in Coordinated Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Raspberry Pi ตัวจิ๋วเกือบทำให้ธนาคารสูญเงินมหาศาล

    ลองจินตนาการว่าอุปกรณ์ขนาดเท่าฝ่ามืออย่าง Raspberry Pi ถูกแอบติดตั้งไว้ในเครือข่าย ATM ของธนาคาร โดยเชื่อมต่อผ่าน 4G และสามารถสื่อสารกับแฮกเกอร์จากภายนอกได้ตลอดเวลา—โดยไม่มีใครรู้เลย!

    นี่คือสิ่งที่กลุ่มแฮกเกอร์ UNC2891 ทำ พวกเขาใช้ความรู้ด้าน Linux และ Unix อย่างลึกซึ้ง ผสมกับเทคนิคการพรางตัวระดับสูง เช่นการใช้ชื่อโปรเซสปลอม (“lightdm”) และซ่อนโฟลเดอร์ในระบบด้วย bind mount เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากเครื่องมือ forensic

    เป้าหมายของพวกเขาคือเจาะเข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์สวิตช์ ATM และติดตั้ง rootkit ชื่อ CAKETAP ซึ่งสามารถหลอกระบบความปลอดภัยของธนาคารให้อนุมัติการถอนเงินปลอมได้อย่างแนบเนียน

    แม้การโจมตีจะถูกหยุดก่อนจะเกิดความเสียหายจริง แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ แม้ Raspberry Pi จะถูกถอดออกแล้ว พวกเขายังสามารถเข้าถึงระบบผ่าน backdoor ที่ซ่อนไว้ใน mail server ได้อยู่ดี

    นี่ไม่ใช่แค่การแฮกผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มันคือการผสมผสานระหว่างการเจาะระบบแบบ physical และ digital อย่างแยบยลที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    กลุ่ม UNC2891 ใช้ Raspberry Pi เชื่อมต่อ 4G แอบติดตั้งในเครือข่าย ATM
    ติดตั้งบน network switch เดียวกับ ATM เพื่อเข้าถึงระบบภายในธนาคาร

    ใช้ backdoor ชื่อ Tinyshell สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน Dynamic DNS
    ทำให้สามารถควบคุมจากภายนอกได้โดยไม่ถูก firewall ตรวจจับ

    ใช้เทคนิค Linux bind mount เพื่อซ่อนโปรเซสจากเครื่องมือ forensic
    เทคนิคนี้ถูกบันทึกใน MITRE ATT&CK ว่าเป็น T1564.013

    เป้าหมายคือการติดตั้ง rootkit CAKETAP บน ATM switching server
    เพื่อหลอกระบบให้อนุมัติการถอนเงินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ

    แม้ Raspberry Pi ถูกถอดออกแล้ว แต่ยังมี backdoor บน mail server
    แสดงถึงการวางแผนเพื่อคงการเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง

    การสื่อสารกับ Raspberry Pi เกิดทุก 600 วินาที
    ทำให้การตรวจจับยากเพราะดูเหมือนการทำงานปกติของระบบ

    UNC2891 เคยถูก Mandiant ตรวจพบในปี 2022 ว่าโจมตีระบบ ATM หลายแห่ง
    ใช้ rootkit CAKETAP เพื่อหลอกการตรวจสอบ PIN และบัตร

    Raspberry Pi 4 ราคาประมาณ $35 และโมเด็ม 4G ประมาณ $140
    แสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์โจมตีไม่จำเป็นต้องแพง

    กลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญในระบบ Linux, Unix และ Solaris
    เคยใช้ malware ชื่อ SlapStick และ TinyShell ในการโจมตี

    การใช้ bind mount เป็นเทคนิคที่ไม่เคยพบในแฮกเกอร์มาก่อน
    ปกติใช้ในงาน IT administration แต่ถูกนำมาใช้เพื่อหลบ forensic

    https://www.techradar.com/pro/security/talk-about-an-unexpected-charge-criminals-deploy-raspberry-pi-with-4g-modem-in-an-attempt-to-hack-atms
    🎭💻 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Raspberry Pi ตัวจิ๋วเกือบทำให้ธนาคารสูญเงินมหาศาล ลองจินตนาการว่าอุปกรณ์ขนาดเท่าฝ่ามืออย่าง Raspberry Pi ถูกแอบติดตั้งไว้ในเครือข่าย ATM ของธนาคาร โดยเชื่อมต่อผ่าน 4G และสามารถสื่อสารกับแฮกเกอร์จากภายนอกได้ตลอดเวลา—โดยไม่มีใครรู้เลย! นี่คือสิ่งที่กลุ่มแฮกเกอร์ UNC2891 ทำ พวกเขาใช้ความรู้ด้าน Linux และ Unix อย่างลึกซึ้ง ผสมกับเทคนิคการพรางตัวระดับสูง เช่นการใช้ชื่อโปรเซสปลอม (“lightdm”) และซ่อนโฟลเดอร์ในระบบด้วย bind mount เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากเครื่องมือ forensic เป้าหมายของพวกเขาคือเจาะเข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์สวิตช์ ATM และติดตั้ง rootkit ชื่อ CAKETAP ซึ่งสามารถหลอกระบบความปลอดภัยของธนาคารให้อนุมัติการถอนเงินปลอมได้อย่างแนบเนียน แม้การโจมตีจะถูกหยุดก่อนจะเกิดความเสียหายจริง แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ แม้ Raspberry Pi จะถูกถอดออกแล้ว พวกเขายังสามารถเข้าถึงระบบผ่าน backdoor ที่ซ่อนไว้ใน mail server ได้อยู่ดี นี่ไม่ใช่แค่การแฮกผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มันคือการผสมผสานระหว่างการเจาะระบบแบบ physical และ digital อย่างแยบยลที่สุดเท่าที่เคยมีมา ✅ กลุ่ม UNC2891 ใช้ Raspberry Pi เชื่อมต่อ 4G แอบติดตั้งในเครือข่าย ATM ➡️ ติดตั้งบน network switch เดียวกับ ATM เพื่อเข้าถึงระบบภายในธนาคาร ✅ ใช้ backdoor ชื่อ Tinyshell สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน Dynamic DNS ➡️ ทำให้สามารถควบคุมจากภายนอกได้โดยไม่ถูก firewall ตรวจจับ ✅ ใช้เทคนิค Linux bind mount เพื่อซ่อนโปรเซสจากเครื่องมือ forensic ➡️ เทคนิคนี้ถูกบันทึกใน MITRE ATT&CK ว่าเป็น T1564.013 ✅ เป้าหมายคือการติดตั้ง rootkit CAKETAP บน ATM switching server ➡️ เพื่อหลอกระบบให้อนุมัติการถอนเงินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ ✅ แม้ Raspberry Pi ถูกถอดออกแล้ว แต่ยังมี backdoor บน mail server ➡️ แสดงถึงการวางแผนเพื่อคงการเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง ✅ การสื่อสารกับ Raspberry Pi เกิดทุก 600 วินาที ➡️ ทำให้การตรวจจับยากเพราะดูเหมือนการทำงานปกติของระบบ ✅ UNC2891 เคยถูก Mandiant ตรวจพบในปี 2022 ว่าโจมตีระบบ ATM หลายแห่ง ➡️ ใช้ rootkit CAKETAP เพื่อหลอกการตรวจสอบ PIN และบัตร ✅ Raspberry Pi 4 ราคาประมาณ $35 และโมเด็ม 4G ประมาณ $140 ➡️ แสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์โจมตีไม่จำเป็นต้องแพง ✅ กลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญในระบบ Linux, Unix และ Solaris ➡️ เคยใช้ malware ชื่อ SlapStick และ TinyShell ในการโจมตี ✅ การใช้ bind mount เป็นเทคนิคที่ไม่เคยพบในแฮกเกอร์มาก่อน ➡️ ปกติใช้ในงาน IT administration แต่ถูกนำมาใช้เพื่อหลบ forensic https://www.techradar.com/pro/security/talk-about-an-unexpected-charge-criminals-deploy-raspberry-pi-with-4g-modem-in-an-attempt-to-hack-atms
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร

    แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร

    CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ

    ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ”

    CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง

    มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO
    และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite

    CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า
    ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์

    หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่:
    Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance

    คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ
    เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร

    บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ
    ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค

    มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical
    Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง

    ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering
    ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน

    การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต
    เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม

    https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    🛡️🏢 เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้ ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ” ✅ CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง ✅ มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO ➡️ และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite ✅ CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า ➡️ ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์ ✅ หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่: ➡️ Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance ✅ คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ ➡️ เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร ✅ บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ ➡️ ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค ✅ มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical ➡️ Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง ✅ ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering ➡️ ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน ✅ การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต ➡️ เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is a CISO? The top IT security leader role explained
    The chief information security officer (CISO) is the executive responsible for an organization’s information and data security. Here’s what it takes to succeed in this role.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Perplexity แอบคลานเข้าเว็บต้องห้าม—Cloudflare ไม่ทนอีกต่อไป

    Cloudflare บริษัทด้านความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตชื่อดัง ได้เปิดเผยว่า Perplexity ซึ่งเป็น AI search engine กำลังใช้เทคนิค “stealth crawling” เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ที่ไม่อนุญาตให้บ็อตเข้าถึงข้อมูล เช่น การตั้งค่าในไฟล์ robots.txt หรือการใช้ firewall

    แม้ Perplexity จะมี user-agent ที่ประกาศชัดเจน เช่น PerplexityBot และ Perplexity-User แต่เมื่อถูกบล็อก มันกลับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยใช้ user-agent ปลอมที่ดูเหมือน Chrome บน macOS พร้อมหมุน IP และ ASN เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    Cloudflare จึงทำการทดสอบโดยสร้างโดเมนใหม่ที่ไม่สามารถค้นเจอได้ และตั้งค่าให้ห้ามบ็อตทุกชนิดเข้า แต่เมื่อถาม Perplexity AI กลับได้ข้อมูลจากเว็บไซต์ลับเหล่านั้นอย่างแม่นยำ แสดงว่ามีการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง

    Perplexity ใช้บ็อตลับเพื่อหลบเลี่ยงการบล็อกจาก robots.txt และ firewall
    เปลี่ยน user-agent เป็น Chrome บน macOS เพื่อหลอกว่าเป็นผู้ใช้ทั่วไป
    หมุน IP และ ASN เพื่อหลบการตรวจจับจากระบบความปลอดภัย

    Cloudflare ได้รับร้องเรียนจากลูกค้าว่า Perplexity ยังเข้าถึงเว็บไซต์แม้ถูกบล็อกแล้ว
    ลูกค้าใช้ทั้ง robots.txt และ WAF rules เพื่อบล็อกบ็อตของ Perplexity
    แต่ยังพบการเข้าถึงข้อมูลจากบ็อตที่ไม่ประกาศตัว

    Cloudflare ทำการทดสอบโดยสร้างโดเมนลับและพบว่า Perplexity ยังสามารถดึงข้อมูลได้
    โดเมนใหม่ไม่ถูก index และมี robots.txt ที่ห้ามบ็อตทุกชนิด
    แต่ Perplexity ยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาในเว็บไซต์นั้นได้

    Perplexity ถูกถอดออกจาก Verified Bot Program ของ Cloudflare
    Cloudflare ใช้ heuristics และกฎใหม่เพื่อบล็อกการ crawling แบบลับ
    ถือเป็นการละเมิดมาตรฐานการ crawling ตาม RFC 9309

    Perplexity ส่งคำขอแบบลับถึงหลายล้านครั้งต่อวัน
    บ็อตที่ประกาศตัวส่งคำขอ 20–25 ล้านครั้ง/วัน
    บ็อตลับส่งคำขออีก 3–6 ล้านครั้ง/วัน

    การใช้บ็อตลับเพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ถือเป็นการละเมิดความเชื่อมั่นบนอินเทอร์เน็ต
    อินเทอร์เน็ตถูกสร้างบนหลักการของความโปร่งใสและการเคารพสิทธิ์
    การหลบเลี่ยง robots.txt เป็นการละเมิดมาตรฐานที่มีมานานกว่า 30 ปี

    การละเมิด Verified Bot Policy อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ Perplexity ในระยะยาว
    ถูกถอดจาก whitelist ของ Cloudflare
    อาจถูกบล็อกจากเว็บไซต์จำนวนมากในอนาคต

    มาตรฐาน Robots Exclusion Protocol ถูกเสนอครั้งแรกในปี 1994 และกลายเป็นมาตรฐานในปี 2022
    เป็นแนวทางให้บ็อตเคารพสิทธิ์ของเว็บไซต์
    ใช้ไฟล์ robots.txt เพื่อระบุข้อจำกัด

    OpenAI ได้รับคำชมจาก Cloudflareว่าเคารพ robots.txt และ network blocks อย่างถูกต้อง
    ChatGPT-User หยุด crawling เมื่อถูกห้าม
    ถือเป็นตัวอย่างของบ็อตที่ทำงานอย่างมีจริยธรรม

    Perplexity เคยถูกกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์จากหลายสำนักข่าว เช่น Forbes และ Wired
    มีการเผยแพร่เนื้อหาคล้ายกับบทความต้นฉบับโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ถูกวิจารณ์ว่า “ขโมยข้อมูลอย่างหน้าด้าน”

    https://blog.cloudflare.com/perplexity-is-using-stealth-undeclared-crawlers-to-evade-website-no-crawl-directives/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Perplexity แอบคลานเข้าเว็บต้องห้าม—Cloudflare ไม่ทนอีกต่อไป Cloudflare บริษัทด้านความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตชื่อดัง ได้เปิดเผยว่า Perplexity ซึ่งเป็น AI search engine กำลังใช้เทคนิค “stealth crawling” เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ที่ไม่อนุญาตให้บ็อตเข้าถึงข้อมูล เช่น การตั้งค่าในไฟล์ robots.txt หรือการใช้ firewall แม้ Perplexity จะมี user-agent ที่ประกาศชัดเจน เช่น PerplexityBot และ Perplexity-User แต่เมื่อถูกบล็อก มันกลับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยใช้ user-agent ปลอมที่ดูเหมือน Chrome บน macOS พร้อมหมุน IP และ ASN เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ Cloudflare จึงทำการทดสอบโดยสร้างโดเมนใหม่ที่ไม่สามารถค้นเจอได้ และตั้งค่าให้ห้ามบ็อตทุกชนิดเข้า แต่เมื่อถาม Perplexity AI กลับได้ข้อมูลจากเว็บไซต์ลับเหล่านั้นอย่างแม่นยำ แสดงว่ามีการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง ✅ Perplexity ใช้บ็อตลับเพื่อหลบเลี่ยงการบล็อกจาก robots.txt และ firewall ➡️ เปลี่ยน user-agent เป็น Chrome บน macOS เพื่อหลอกว่าเป็นผู้ใช้ทั่วไป ➡️ หมุน IP และ ASN เพื่อหลบการตรวจจับจากระบบความปลอดภัย ✅ Cloudflare ได้รับร้องเรียนจากลูกค้าว่า Perplexity ยังเข้าถึงเว็บไซต์แม้ถูกบล็อกแล้ว ➡️ ลูกค้าใช้ทั้ง robots.txt และ WAF rules เพื่อบล็อกบ็อตของ Perplexity ➡️ แต่ยังพบการเข้าถึงข้อมูลจากบ็อตที่ไม่ประกาศตัว ✅ Cloudflare ทำการทดสอบโดยสร้างโดเมนลับและพบว่า Perplexity ยังสามารถดึงข้อมูลได้ ➡️ โดเมนใหม่ไม่ถูก index และมี robots.txt ที่ห้ามบ็อตทุกชนิด ➡️ แต่ Perplexity ยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาในเว็บไซต์นั้นได้ ✅ Perplexity ถูกถอดออกจาก Verified Bot Program ของ Cloudflare ➡️ Cloudflare ใช้ heuristics และกฎใหม่เพื่อบล็อกการ crawling แบบลับ ➡️ ถือเป็นการละเมิดมาตรฐานการ crawling ตาม RFC 9309 ✅ Perplexity ส่งคำขอแบบลับถึงหลายล้านครั้งต่อวัน ➡️ บ็อตที่ประกาศตัวส่งคำขอ 20–25 ล้านครั้ง/วัน ➡️ บ็อตลับส่งคำขออีก 3–6 ล้านครั้ง/วัน ‼️ การใช้บ็อตลับเพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ถือเป็นการละเมิดความเชื่อมั่นบนอินเทอร์เน็ต ⛔ อินเทอร์เน็ตถูกสร้างบนหลักการของความโปร่งใสและการเคารพสิทธิ์ ⛔ การหลบเลี่ยง robots.txt เป็นการละเมิดมาตรฐานที่มีมานานกว่า 30 ปี ‼️ การละเมิด Verified Bot Policy อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ Perplexity ในระยะยาว ⛔ ถูกถอดจาก whitelist ของ Cloudflare ⛔ อาจถูกบล็อกจากเว็บไซต์จำนวนมากในอนาคต ✅ มาตรฐาน Robots Exclusion Protocol ถูกเสนอครั้งแรกในปี 1994 และกลายเป็นมาตรฐานในปี 2022 ➡️ เป็นแนวทางให้บ็อตเคารพสิทธิ์ของเว็บไซต์ ➡️ ใช้ไฟล์ robots.txt เพื่อระบุข้อจำกัด ✅ OpenAI ได้รับคำชมจาก Cloudflareว่าเคารพ robots.txt และ network blocks อย่างถูกต้อง ➡️ ChatGPT-User หยุด crawling เมื่อถูกห้าม ➡️ ถือเป็นตัวอย่างของบ็อตที่ทำงานอย่างมีจริยธรรม ✅ Perplexity เคยถูกกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์จากหลายสำนักข่าว เช่น Forbes และ Wired ➡️ มีการเผยแพร่เนื้อหาคล้ายกับบทความต้นฉบับโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ ถูกวิจารณ์ว่า “ขโมยข้อมูลอย่างหน้าด้าน” https://blog.cloudflare.com/perplexity-is-using-stealth-undeclared-crawlers-to-evade-website-no-crawl-directives/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Perplexity is using stealth, undeclared crawlers to evade website no-crawl directives
    Perplexity is repeatedly modifying their user agent and changing IPs and ASNs to hide their crawling activity, in direct conflict with explicit no-crawl preferences expressed by websites.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “SS7 encoding attack” เมื่อการสื่อสารกลายเป็นช่องทางลับของการสอดแนม

    SS7 หรือ Signaling System 7 คือโปรโตคอลเก่าแก่ที่ใช้เชื่อมต่อสายโทรศัพท์, ส่งข้อความ, และจัดการการโรมมิ่งระหว่างเครือข่ายมือถือทั่วโลก แม้จะเป็นหัวใจของการสื่อสารยุคใหม่ แต่ SS7 ไม่เคยถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยในระดับที่ทันสมัย

    ล่าสุดนักวิจัยจาก Enea พบว่า บริษัทสอดแนมแห่งหนึ่งใช้เทคนิคใหม่ในการ “ปรับรูปแบบการเข้ารหัส” ของข้อความ SS7 เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ เช่น firewall และระบบเฝ้าระวัง ทำให้สามารถขอข้อมูลตำแหน่งของผู้ใช้มือถือจากผู้ให้บริการได้โดยไม่ถูกบล็อก

    เทคนิคนี้อาศัยการปรับโครงสร้างของข้อความ TCAP (Transaction Capabilities Application Part) ซึ่งเป็นชั้นใน SS7 ที่ใช้ส่งข้อมูลระหว่างเครือข่าย โดยใช้การเข้ารหัสแบบ ASN.1 BER ที่มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถสร้างข้อความที่ “ถูกต้องตามหลักการ แต่ผิดจากที่ระบบคาดไว้” จนระบบไม่สามารถตรวจจับได้

    การโจมตีนี้ถูกใช้จริงตั้งแต่ปลายปี 2024 และสามารถระบุตำแหน่งผู้ใช้ได้ใกล้ถึงระดับเสาสัญญาณ ซึ่งในเมืองใหญ่หมายถึงระยะเพียงไม่กี่ร้อยเมตร

    SS7 encoding attack คือการปรับรูปแบบการเข้ารหัสของข้อความ SS7 เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ
    ใช้เทคนิคการเข้ารหัสแบบ ASN.1 BER ในชั้น TCAP ของ SS7
    สร้างข้อความที่ดูถูกต้องแต่ระบบไม่สามารถถอดรหัสได้

    บริษัทสอดแนมใช้เทคนิคนี้เพื่อขอข้อมูลตำแหน่งผู้ใช้มือถือจากผู้ให้บริการ
    ส่งคำสั่ง PSI (ProvideSubscriberInfo) ที่ถูกปรับแต่ง
    ระบบไม่สามารถตรวจสอบ IMSI ได้ จึงไม่บล็อกคำขอ

    การโจมตีนี้ถูกใช้จริงตั้งแต่ปลายปี 2024 และยังคงมีผลในปี 2025
    พบหลักฐานการใช้งานในเครือข่ายจริง
    บริษัทสอดแนมสามารถระบุตำแหน่งผู้ใช้ได้ใกล้ระดับเสาสัญญาณ

    SS7 ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย แม้จะมีเทคโนโลยีใหม่อย่าง Diameter และ 5G signaling
    การเลิกใช้ SS7 ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับผู้ให้บริการส่วนใหญ่
    ต้องใช้วิธีป้องกันเชิงพฤติกรรมและการวิเคราะห์ภัยคุกคาม

    Enea แนะนำให้ผู้ให้บริการตรวจสอบรูปแบบการเข้ารหัสที่ผิดปกติและเสริม firewall ให้แข็งแรงขึ้น
    ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมร่วมกับ threat intelligence
    ป้องกันการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับในระดับโครงสร้างข้อความ

    ผู้ใช้มือถือไม่สามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ด้วยตัวเอง
    การโจมตีเกิดในระดับเครือข่ายมือถือ ไม่ใช่ที่อุปกรณ์ของผู้ใช้
    ต้องพึ่งผู้ให้บริการในการป้องกัน

    ระบบ SS7 firewall แบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการเข้ารหัสที่ผิดปกติได้
    ข้อความที่ใช้ encoding แบบใหม่จะผ่าน firewall โดยไม่ถูกบล็อก
    IMSI ที่ถูกซ่อนไว้จะไม่ถูกตรวจสอบว่าเป็นเครือข่ายภายในหรือภายนอก

    บริษัทสอดแนมสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อสอดแนมผู้ใช้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ
    แม้จะอ้างว่าใช้เพื่อจับอาชญากร แต่มีการใช้กับนักข่าวและนักเคลื่อนไหว
    เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง

    ระบบ SS7 มีความซับซ้อนและไม่ถูกออกแบบมาให้รองรับการป้องกันภัยสมัยใหม่
    ASN.1 BER มีความยืดหยุ่นสูงจนกลายเป็นช่องโหว่
    การปรับโครงสร้างข้อความสามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจจับได้ง่าย

    https://hackread.com/researchers-ss7-encoding-attack-surveillance-vendor/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “SS7 encoding attack” เมื่อการสื่อสารกลายเป็นช่องทางลับของการสอดแนม SS7 หรือ Signaling System 7 คือโปรโตคอลเก่าแก่ที่ใช้เชื่อมต่อสายโทรศัพท์, ส่งข้อความ, และจัดการการโรมมิ่งระหว่างเครือข่ายมือถือทั่วโลก แม้จะเป็นหัวใจของการสื่อสารยุคใหม่ แต่ SS7 ไม่เคยถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยในระดับที่ทันสมัย ล่าสุดนักวิจัยจาก Enea พบว่า บริษัทสอดแนมแห่งหนึ่งใช้เทคนิคใหม่ในการ “ปรับรูปแบบการเข้ารหัส” ของข้อความ SS7 เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ เช่น firewall และระบบเฝ้าระวัง ทำให้สามารถขอข้อมูลตำแหน่งของผู้ใช้มือถือจากผู้ให้บริการได้โดยไม่ถูกบล็อก เทคนิคนี้อาศัยการปรับโครงสร้างของข้อความ TCAP (Transaction Capabilities Application Part) ซึ่งเป็นชั้นใน SS7 ที่ใช้ส่งข้อมูลระหว่างเครือข่าย โดยใช้การเข้ารหัสแบบ ASN.1 BER ที่มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถสร้างข้อความที่ “ถูกต้องตามหลักการ แต่ผิดจากที่ระบบคาดไว้” จนระบบไม่สามารถตรวจจับได้ การโจมตีนี้ถูกใช้จริงตั้งแต่ปลายปี 2024 และสามารถระบุตำแหน่งผู้ใช้ได้ใกล้ถึงระดับเสาสัญญาณ ซึ่งในเมืองใหญ่หมายถึงระยะเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ✅ SS7 encoding attack คือการปรับรูปแบบการเข้ารหัสของข้อความ SS7 เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ ➡️ ใช้เทคนิคการเข้ารหัสแบบ ASN.1 BER ในชั้น TCAP ของ SS7 ➡️ สร้างข้อความที่ดูถูกต้องแต่ระบบไม่สามารถถอดรหัสได้ ✅ บริษัทสอดแนมใช้เทคนิคนี้เพื่อขอข้อมูลตำแหน่งผู้ใช้มือถือจากผู้ให้บริการ ➡️ ส่งคำสั่ง PSI (ProvideSubscriberInfo) ที่ถูกปรับแต่ง ➡️ ระบบไม่สามารถตรวจสอบ IMSI ได้ จึงไม่บล็อกคำขอ ✅ การโจมตีนี้ถูกใช้จริงตั้งแต่ปลายปี 2024 และยังคงมีผลในปี 2025 ➡️ พบหลักฐานการใช้งานในเครือข่ายจริง ➡️ บริษัทสอดแนมสามารถระบุตำแหน่งผู้ใช้ได้ใกล้ระดับเสาสัญญาณ ✅ SS7 ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย แม้จะมีเทคโนโลยีใหม่อย่าง Diameter และ 5G signaling ➡️ การเลิกใช้ SS7 ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับผู้ให้บริการส่วนใหญ่ ➡️ ต้องใช้วิธีป้องกันเชิงพฤติกรรมและการวิเคราะห์ภัยคุกคาม ✅ Enea แนะนำให้ผู้ให้บริการตรวจสอบรูปแบบการเข้ารหัสที่ผิดปกติและเสริม firewall ให้แข็งแรงขึ้น ➡️ ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมร่วมกับ threat intelligence ➡️ ป้องกันการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับในระดับโครงสร้างข้อความ ‼️ ผู้ใช้มือถือไม่สามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ด้วยตัวเอง ⛔ การโจมตีเกิดในระดับเครือข่ายมือถือ ไม่ใช่ที่อุปกรณ์ของผู้ใช้ ⛔ ต้องพึ่งผู้ให้บริการในการป้องกัน ‼️ ระบบ SS7 firewall แบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการเข้ารหัสที่ผิดปกติได้ ⛔ ข้อความที่ใช้ encoding แบบใหม่จะผ่าน firewall โดยไม่ถูกบล็อก ⛔ IMSI ที่ถูกซ่อนไว้จะไม่ถูกตรวจสอบว่าเป็นเครือข่ายภายในหรือภายนอก ‼️ บริษัทสอดแนมสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อสอดแนมผู้ใช้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ ⛔ แม้จะอ้างว่าใช้เพื่อจับอาชญากร แต่มีการใช้กับนักข่าวและนักเคลื่อนไหว ⛔ เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง ‼️ ระบบ SS7 มีความซับซ้อนและไม่ถูกออกแบบมาให้รองรับการป้องกันภัยสมัยใหม่ ⛔ ASN.1 BER มีความยืดหยุ่นสูงจนกลายเป็นช่องโหว่ ⛔ การปรับโครงสร้างข้อความสามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจจับได้ง่าย https://hackread.com/researchers-ss7-encoding-attack-surveillance-vendor/
    HACKREAD.COM
    Researchers Link New SS7 Encoding Attack to Surveillance Vendor Activity
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากไฟร์วอลล์: เมื่อ VPN กลายเป็นช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เดินเข้าองค์กร

    บริษัทวิจัยด้านความปลอดภัย watchTowr ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการในอุปกรณ์ SonicWall SMA100 SSL-VPN ได้แก่:

    1️⃣ CVE-2025-40596 – ช่องโหว่ stack-based buffer overflow ในโปรแกรม httpd ที่ใช้ sscanf แบบผิดพลาด ทำให้แฮกเกอร์สามารถส่งข้อมูลเกินขนาดเข้าไปในหน่วยความจำก่อนการล็อกอิน ซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีแบบ DoS หรือแม้แต่ Remote Code Execution (RCE)

    2️⃣ CVE-2025-40597 – ช่องโหว่ heap-based buffer overflow ในโมดูล mod_httprp.so ที่ใช้ sprintf แบบไม่ปลอดภัยกับ header “Host:” ทำให้สามารถเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำได้

    3️⃣ CVE-2025-40598 – ช่องโหว่ reflected XSS ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ฝัง JavaScript ลงในลิงก์ที่ผู้ใช้เปิด โดย Web Application Firewall (WAF) บนอุปกรณ์กลับถูกปิดไว้ ทำให้ไม่มีการป้องกัน

    SonicWall ได้ออกแพตช์แก้ไขใน firmware เวอร์ชัน 10.2.2.1-90sv และแนะนำให้เปิดใช้ MFA และ WAF ทันที พร้อมยืนยันว่าอุปกรณ์ SMA1000 และ VPN บนไฟร์วอลล์รุ่นอื่นไม่ถูกกระทบ

    https://hackread.com/sonicwall-patch-after-3-vpn-vulnerabilities-disclosed/
    🧠 เรื่องเล่าจากไฟร์วอลล์: เมื่อ VPN กลายเป็นช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เดินเข้าองค์กร บริษัทวิจัยด้านความปลอดภัย watchTowr ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการในอุปกรณ์ SonicWall SMA100 SSL-VPN ได้แก่: 1️⃣ CVE-2025-40596 – ช่องโหว่ stack-based buffer overflow ในโปรแกรม httpd ที่ใช้ sscanf แบบผิดพลาด ทำให้แฮกเกอร์สามารถส่งข้อมูลเกินขนาดเข้าไปในหน่วยความจำก่อนการล็อกอิน ซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีแบบ DoS หรือแม้แต่ Remote Code Execution (RCE) 2️⃣ CVE-2025-40597 – ช่องโหว่ heap-based buffer overflow ในโมดูล mod_httprp.so ที่ใช้ sprintf แบบไม่ปลอดภัยกับ header “Host:” ทำให้สามารถเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำได้ 3️⃣ CVE-2025-40598 – ช่องโหว่ reflected XSS ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ฝัง JavaScript ลงในลิงก์ที่ผู้ใช้เปิด โดย Web Application Firewall (WAF) บนอุปกรณ์กลับถูกปิดไว้ ทำให้ไม่มีการป้องกัน SonicWall ได้ออกแพตช์แก้ไขใน firmware เวอร์ชัน 10.2.2.1-90sv และแนะนำให้เปิดใช้ MFA และ WAF ทันที พร้อมยืนยันว่าอุปกรณ์ SMA1000 และ VPN บนไฟร์วอลล์รุ่นอื่นไม่ถูกกระทบ https://hackread.com/sonicwall-patch-after-3-vpn-vulnerabilities-disclosed/
    HACKREAD.COM
    SonicWall Urges Patch After 3 Major VPN Vulnerabilities Disclosed
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเงามืด: เมื่อ Scattered Spider ใช้โทรศัพท์แทนมัลแวร์เพื่อยึดระบบเสมือน

    Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงจากการโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น MGM Resorts และ Harrods โดยใช้เทคนิคที่ไม่ต้องพึ่งช่องโหว่ซอฟต์แวร์ แต่ใช้ “social engineering” ผ่านการโทรศัพท์ไปยัง Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี Active Directory

    เมื่อได้สิทธิ์เข้าระบบแล้ว พวกเขาจะค้นหาข้อมูลภายใน เช่น รายชื่อผู้ดูแลระบบ vSphere และกลุ่มสิทธิ์ระดับสูง แล้วโทรอีกครั้งเพื่อขอรีเซ็ตรหัสของผู้ดูแลระบบ จากนั้นใช้สิทธิ์ที่ได้เข้าไปยึด VMware vCenter Server Appliance (VCSA) และเปิดช่องทาง SSH บน ESXi hypervisor เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด

    พวกเขายังใช้เครื่องมือถูกกฎหมายอย่าง Teleport เพื่อสร้างช่องทางสื่อสารแบบเข้ารหัสที่หลบเลี่ยงไฟร์วอลล์ และทำการโจมตีแบบ “disk-swap” โดยปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุมเอง เพื่อขโมยฐานข้อมูล NTDS.dit ของ Active Directory

    ก่อนจะปล่อยแรนซัมแวร์ พวกเขายังลบงานสำรองข้อมูลและ snapshot ทั้งหมด เพื่อให้เหยื่อไม่มีทางกู้คืนได้ และสุดท้ายก็เข้ารหัสไฟล์ VM ทั้งหมดจากระดับ hypervisor โดยใช้สิทธิ์ root ผ่าน SSH

    Scattered Spider (UNC3944) ใช้ social engineering เพื่อยึดระบบ VMware vSphere
    เริ่มจากโทรหา Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี AD
    ใช้ข้อมูลจากการเจาะระบบภายในเพื่อยกระดับสิทธิ์

    กลุ่มนี้ใช้เครื่องมือถูกกฎหมาย เช่น Teleport เพื่อสร้างช่องทางควบคุมแบบเข้ารหัส
    ติดตั้งบน VCSA เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก firewall และ EDR
    สร้างช่องทางควบคุมระยะไกลแบบถาวร

    เทคนิค “disk-swap” ใช้ในการขโมยฐานข้อมูล Active Directory โดยไม่ถูกตรวจจับ
    ปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุม
    ขโมยไฟล์ NTDS.dit โดยไม่ผ่านระบบปฏิบัติการของ VM

    ก่อนปล่อยแรนซัมแวร์ กลุ่มนี้จะลบงานสำรองข้อมูลทั้งหมด
    ลบ backup jobs และ repositories เพื่อป้องกันการกู้คืน
    ใช้ SSH บน ESXi hosts เพื่อเข้ารหัสไฟล์ VM โดยตรง

    Google แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางป้องกันจาก EDR เป็น “infrastructure-centric defense”
    เน้นการตรวจสอบระดับ hypervisor และการควบคุมสิทธิ์
    ใช้ MFA ที่ต้าน phishing, แยกโครงสร้างสำรองข้อมูล, และตรวจสอบ log อย่างต่อเนื่อง

    การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
    จากการโทรครั้งแรกถึงการเข้ารหัสข้อมูลใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
    ทำให้ระบบตรวจจับแบบเดิมไม่ทันต่อเหตุการณ์

    ระบบ VMware ESXi และ VCSA มีช่องว่างด้านการตรวจสอบที่ EDR มองไม่เห็น
    ไม่มี agent รันใน hypervisor ทำให้การโจมตีไม่ถูกตรวจจับ
    ต้องใช้การตรวจสอบ log จากระดับระบบเสมือนโดยตรง

    การใช้ Active Directory ร่วมกับ vSphere เป็นจุดอ่อนสำคัญ
    เมื่อ AD ถูกยึด สิทธิ์ใน vSphere ก็ถูกยึดตามไปด้วย
    ควรแยกโครงสร้างสิทธิ์และใช้ MFA ที่ไม่พึ่ง AD

    Help Desk กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตี
    การรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านโทรศัพท์เป็นช่องทางที่ถูกใช้บ่อย
    ควรมีขั้นตอนตรวจสอบตัวตนที่เข้มงวดและห้ามรีเซ็ตบัญชีระดับสูงผ่านโทรศัพท์

    https://hackread.com/scattered-spider-ransomware-hijack-vmware-systems-google/
    🕷️ เรื่องเล่าจากเงามืด: เมื่อ Scattered Spider ใช้โทรศัพท์แทนมัลแวร์เพื่อยึดระบบเสมือน Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงจากการโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น MGM Resorts และ Harrods โดยใช้เทคนิคที่ไม่ต้องพึ่งช่องโหว่ซอฟต์แวร์ แต่ใช้ “social engineering” ผ่านการโทรศัพท์ไปยัง Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี Active Directory เมื่อได้สิทธิ์เข้าระบบแล้ว พวกเขาจะค้นหาข้อมูลภายใน เช่น รายชื่อผู้ดูแลระบบ vSphere และกลุ่มสิทธิ์ระดับสูง แล้วโทรอีกครั้งเพื่อขอรีเซ็ตรหัสของผู้ดูแลระบบ จากนั้นใช้สิทธิ์ที่ได้เข้าไปยึด VMware vCenter Server Appliance (VCSA) และเปิดช่องทาง SSH บน ESXi hypervisor เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด พวกเขายังใช้เครื่องมือถูกกฎหมายอย่าง Teleport เพื่อสร้างช่องทางสื่อสารแบบเข้ารหัสที่หลบเลี่ยงไฟร์วอลล์ และทำการโจมตีแบบ “disk-swap” โดยปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุมเอง เพื่อขโมยฐานข้อมูล NTDS.dit ของ Active Directory ก่อนจะปล่อยแรนซัมแวร์ พวกเขายังลบงานสำรองข้อมูลและ snapshot ทั้งหมด เพื่อให้เหยื่อไม่มีทางกู้คืนได้ และสุดท้ายก็เข้ารหัสไฟล์ VM ทั้งหมดจากระดับ hypervisor โดยใช้สิทธิ์ root ผ่าน SSH ✅ Scattered Spider (UNC3944) ใช้ social engineering เพื่อยึดระบบ VMware vSphere ➡️ เริ่มจากโทรหา Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี AD ➡️ ใช้ข้อมูลจากการเจาะระบบภายในเพื่อยกระดับสิทธิ์ ✅ กลุ่มนี้ใช้เครื่องมือถูกกฎหมาย เช่น Teleport เพื่อสร้างช่องทางควบคุมแบบเข้ารหัส ➡️ ติดตั้งบน VCSA เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก firewall และ EDR ➡️ สร้างช่องทางควบคุมระยะไกลแบบถาวร ✅ เทคนิค “disk-swap” ใช้ในการขโมยฐานข้อมูล Active Directory โดยไม่ถูกตรวจจับ ➡️ ปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุม ➡️ ขโมยไฟล์ NTDS.dit โดยไม่ผ่านระบบปฏิบัติการของ VM ✅ ก่อนปล่อยแรนซัมแวร์ กลุ่มนี้จะลบงานสำรองข้อมูลทั้งหมด ➡️ ลบ backup jobs และ repositories เพื่อป้องกันการกู้คืน ➡️ ใช้ SSH บน ESXi hosts เพื่อเข้ารหัสไฟล์ VM โดยตรง ✅ Google แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางป้องกันจาก EDR เป็น “infrastructure-centric defense” ➡️ เน้นการตรวจสอบระดับ hypervisor และการควบคุมสิทธิ์ ➡️ ใช้ MFA ที่ต้าน phishing, แยกโครงสร้างสำรองข้อมูล, และตรวจสอบ log อย่างต่อเนื่อง ‼️ การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ⛔ จากการโทรครั้งแรกถึงการเข้ารหัสข้อมูลใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ⛔ ทำให้ระบบตรวจจับแบบเดิมไม่ทันต่อเหตุการณ์ ‼️ ระบบ VMware ESXi และ VCSA มีช่องว่างด้านการตรวจสอบที่ EDR มองไม่เห็น ⛔ ไม่มี agent รันใน hypervisor ทำให้การโจมตีไม่ถูกตรวจจับ ⛔ ต้องใช้การตรวจสอบ log จากระดับระบบเสมือนโดยตรง ‼️ การใช้ Active Directory ร่วมกับ vSphere เป็นจุดอ่อนสำคัญ ⛔ เมื่อ AD ถูกยึด สิทธิ์ใน vSphere ก็ถูกยึดตามไปด้วย ⛔ ควรแยกโครงสร้างสิทธิ์และใช้ MFA ที่ไม่พึ่ง AD ‼️ Help Desk กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตี ⛔ การรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านโทรศัพท์เป็นช่องทางที่ถูกใช้บ่อย ⛔ ควรมีขั้นตอนตรวจสอบตัวตนที่เข้มงวดและห้ามรีเซ็ตบัญชีระดับสูงผ่านโทรศัพท์ https://hackread.com/scattered-spider-ransomware-hijack-vmware-systems-google/
    HACKREAD.COM
    Scattered Spider Launching Ransomware on Hijacked VMware Systems, Google
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง

    Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า:
    - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux
    - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ

    เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น:
    - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client
    - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ

    เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ:
    - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ
    - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์
    - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock
    - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน
    - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง

    FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น:
    - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย
    - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด
    - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด
    - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย
    - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup)

    FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
    ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล

    Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM
    ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix

    ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง
    เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ

    หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล
    รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์

    ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock
    โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor

    หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable
    พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware

    https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    🎙️ เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า: - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น: - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ: - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์ - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น: - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup) ✅ FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ➡️ ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล ✅ Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM ➡️ ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix ✅ ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง ➡️ เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ ✅ หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล ➡️ รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์ ✅ ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock ➡️ โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor ✅ หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable ➡️ พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    HACKREAD.COM
    FBI and CISA Warn of Interlock Ransomware Targeting Critical Infrastructure
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีคนมาถามว่าลุงให้ Antivirus ยี่ห้ออะไร? ลุงใช้ Bitdefender ครับ

    เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Antivirus กับ Internet Security ยังต่างกันอยู่ไหม?

    ในยุคที่มัลแวร์แอบแฝงผ่านเว็บ, อีเมล, และไฟล์ต่าง ๆ ได้เนียนเหมือนภาพโฆษณา — คนจำนวนมากจึงตั้งคำถามว่า “ควรเลือกแค่ Antivirus หรือจ่ายเพิ่มเพื่อ Internet Security ดี?”

    Antivirus คืออะไร
    Antivirus คือซอฟต์แวร์ที่ตรวจจับและกำจัดมัลแวร์จากไฟล์ในเครื่อง เช่น ไวรัส, หนอน (worm), โทรจัน ฯลฯ โดยอิงจากการเทียบ signature และการวิเคราะห์พฤติกรรม (heuristics) ล่าสุดยังรวมถึงการตรวจภัยออนไลน์ด้วย (ไม่ใช่เฉพาะไฟล์ในเครื่องเท่านั้นอีกต่อไป)

    Internet Security Suite คืออะไร
    Internet Security Suite คือแพ็กเกจรวมหลายเครื่องมือ เช่น antivirus, firewall, VPN, password manager, และระบบควบคุมภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ช่วยป้องกันผู้ใช้จากภัยออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น การฟิชชิ่ง, การถูกสอดแนม, การโดนแฮกผ่านเว็บ, และมัลแวร์จากเว็บที่แฝงมา

    Antivirus คือการป้องกันระดับ local ที่สแกนไฟล์ในเครื่อง
    ใช้ signature-based และ heuristic-based detection เพื่อดักจับภัย

    Internet Security ครอบคลุมมากกว่า โดยเน้นการป้องกันภัยขณะออนไลน์
    ป้องกันฟิชชิ่ง, เว็บมัลแวร์, และการสอดแนมผ่านเครือข่าย

    ฟีเจอร์ที่มักมีใน Internet Security เช่น firewall, VPN, password manager
    เสริมความปลอดภัยให้กับการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบครบวงจร

    ปัจจุบัน Antivirus หลายตัวใช้ cloud-based threat detection แล้ว
    ความแตกต่างระหว่าง antivirus กับ internet security จึงเริ่มพร่ามัว

    ผู้ให้บริการเริ่มรวมทั้งสองไว้ในผลิตภัณฑ์เดียว ต่างกันแค่ “ระดับราคา”
    เช่น Norton Antivirus (พื้นฐาน) กับ Norton 360 (พรีเมียม)

    Antivirus ฟรีบางตัวก็มีฟีเจอร์ internet security แล้ว เช่น Avast, Bitdefender
    มี firewall, สแกน Wi-Fi, ป้องกัน ransomware และ phishing mail

    https://www.techradar.com/pro/security/antivirus-vs-internet-security-whats-the-difference
    มีคนมาถามว่าลุงให้ Antivirus ยี่ห้ออะไร? ลุงใช้ Bitdefender ครับ 🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Antivirus กับ Internet Security ยังต่างกันอยู่ไหม? ในยุคที่มัลแวร์แอบแฝงผ่านเว็บ, อีเมล, และไฟล์ต่าง ๆ ได้เนียนเหมือนภาพโฆษณา — คนจำนวนมากจึงตั้งคำถามว่า “ควรเลือกแค่ Antivirus หรือจ่ายเพิ่มเพื่อ Internet Security ดี?” 🔍 Antivirus คืออะไร Antivirus คือซอฟต์แวร์ที่ตรวจจับและกำจัดมัลแวร์จากไฟล์ในเครื่อง เช่น ไวรัส, หนอน (worm), โทรจัน ฯลฯ โดยอิงจากการเทียบ signature และการวิเคราะห์พฤติกรรม (heuristics) ล่าสุดยังรวมถึงการตรวจภัยออนไลน์ด้วย (ไม่ใช่เฉพาะไฟล์ในเครื่องเท่านั้นอีกต่อไป) 🌐 Internet Security Suite คืออะไร Internet Security Suite คือแพ็กเกจรวมหลายเครื่องมือ เช่น antivirus, firewall, VPN, password manager, และระบบควบคุมภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ช่วยป้องกันผู้ใช้จากภัยออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น การฟิชชิ่ง, การถูกสอดแนม, การโดนแฮกผ่านเว็บ, และมัลแวร์จากเว็บที่แฝงมา ✅ Antivirus คือการป้องกันระดับ local ที่สแกนไฟล์ในเครื่อง ➡️ ใช้ signature-based และ heuristic-based detection เพื่อดักจับภัย ✅ Internet Security ครอบคลุมมากกว่า โดยเน้นการป้องกันภัยขณะออนไลน์ ➡️ ป้องกันฟิชชิ่ง, เว็บมัลแวร์, และการสอดแนมผ่านเครือข่าย ✅ ฟีเจอร์ที่มักมีใน Internet Security เช่น firewall, VPN, password manager ➡️ เสริมความปลอดภัยให้กับการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบครบวงจร ✅ ปัจจุบัน Antivirus หลายตัวใช้ cloud-based threat detection แล้ว ➡️ ความแตกต่างระหว่าง antivirus กับ internet security จึงเริ่มพร่ามัว ✅ ผู้ให้บริการเริ่มรวมทั้งสองไว้ในผลิตภัณฑ์เดียว ต่างกันแค่ “ระดับราคา” ➡️ เช่น Norton Antivirus (พื้นฐาน) กับ Norton 360 (พรีเมียม) ✅ Antivirus ฟรีบางตัวก็มีฟีเจอร์ internet security แล้ว เช่น Avast, Bitdefender ➡️ มี firewall, สแกน Wi-Fi, ป้องกัน ransomware และ phishing mail https://www.techradar.com/pro/security/antivirus-vs-internet-security-whats-the-difference
    WWW.TECHRADAR.COM
    Antivirus vs Internet Security: What's the difference?
    Do you need antivirus and internet security in 2025?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 337 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ปล่อยแพตช์ประจำเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 (KB5062553), 23H2 และ 22H2 (KB5062552) → แก้ปัญหาความปลอดภัยเป็นหลัก แต่อัปเดตนี้ยังรวมการแก้บั๊กจากเดือนก่อนที่หลายคนบ่นกันไว้แล้วด้วย! → เช่น ปัญหาเวลาเล่นเกม “เต็มจอ” แล้วกด ALT+Tab ไปโปรแกรมอื่น แล้วกลับมาเกมจะหลุดตำแหน่งเมาส์ → หรือเสียงพวก Volume Change, Sign-in, Notification ไม่ดัง → แถมยังมีบั๊กเล็ก ๆ ในระบบ Firewall ที่ Event Viewer แจ้ง “Config Read Failed” อยู่เป็นระยะ ก็ถูกแก้แล้วเหมือนกัน

    ที่พิเศษคือ Microsoft ยังอัปเดต ส่วน AI เบื้องหลัง เช่น Image Search, Content Extraction, Semantic Analysis → นี่คือส่วนที่ทำให้ Copilot ใช้ข้อมูลภาพและข้อความได้ฉลาดขึ้น → ถึงจะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ประสิทธิภาพโดยรวมจะดีขึ้น (เหมือนเปลี่ยนสมองให้ Windows แบบเงียบ ๆ เลยล่ะ)

    อัปเดตสำคัญจาก Patch Tuesday กรกฎาคม 2025:
    อัปเดต KB5062553 สำหรับ Windows 11 24H2 → Build 26100.4652  
    • แก้บั๊กเกม full screen สลับ ALT+Tab แล้วเมาส์หลุดตำแหน่ง  
    • แก้บั๊กเสียง Notification และเสียงระบบ  
    • แก้บั๊ก Event 2042 “Config Read Failed” ของ Firewall ใน Event Viewer  
    • อัปเดตส่วน AI:
      – Image Search: v1.2506.707.0
      – Content Extraction: v1.2506.707.0
      – Semantic Analysis: v1.2506.707.0

    อัปเดต KB5062552 สำหรับ Windows 11 23H2/22H2 → Build 22631.5624 / 22621.5624  
    • แก้ปัญหาจอดำตอนเสียบ/ถอดจอ (เฉพาะผู้ใช้บางรายจาก KB5060826)  
    • แก้ไขและปรับปรุงคุณภาพโดยรวม  
    • ใช้ EKB KB5027397 หากต้องการอัปเดตจาก 22H2 → 23H2

    อัปเดต Servicing Stack (SSU) เพื่อให้ระบบอัปเดตได้ลื่นไหล:  
    • 24H2: SSU KB5063666 (build 26100.4651)  
    • 23H2/22H2: SSU KB5063707 (build 22631.5619)

    ไม่มี Known issues ที่ประกาศในตอนนี้ — คาดว่าเสถียรมากขึ้นจากรอบก่อน

    https://www.neowin.net/news/windows-11-kb5062553-kb5062552-july-2025-patch-tuesday-out/
    Microsoft ปล่อยแพตช์ประจำเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 (KB5062553), 23H2 และ 22H2 (KB5062552) → แก้ปัญหาความปลอดภัยเป็นหลัก แต่อัปเดตนี้ยังรวมการแก้บั๊กจากเดือนก่อนที่หลายคนบ่นกันไว้แล้วด้วย! → เช่น ปัญหาเวลาเล่นเกม “เต็มจอ” แล้วกด ALT+Tab ไปโปรแกรมอื่น แล้วกลับมาเกมจะหลุดตำแหน่งเมาส์ → หรือเสียงพวก Volume Change, Sign-in, Notification ไม่ดัง → แถมยังมีบั๊กเล็ก ๆ ในระบบ Firewall ที่ Event Viewer แจ้ง “Config Read Failed” อยู่เป็นระยะ ก็ถูกแก้แล้วเหมือนกัน ที่พิเศษคือ Microsoft ยังอัปเดต ส่วน AI เบื้องหลัง เช่น Image Search, Content Extraction, Semantic Analysis → นี่คือส่วนที่ทำให้ Copilot ใช้ข้อมูลภาพและข้อความได้ฉลาดขึ้น → ถึงจะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ประสิทธิภาพโดยรวมจะดีขึ้น (เหมือนเปลี่ยนสมองให้ Windows แบบเงียบ ๆ เลยล่ะ) ☸️ อัปเดตสำคัญจาก Patch Tuesday กรกฎาคม 2025: ✅ อัปเดต KB5062553 สำหรับ Windows 11 24H2 → Build 26100.4652   • แก้บั๊กเกม full screen สลับ ALT+Tab แล้วเมาส์หลุดตำแหน่ง   • แก้บั๊กเสียง Notification และเสียงระบบ   • แก้บั๊ก Event 2042 “Config Read Failed” ของ Firewall ใน Event Viewer   • อัปเดตส่วน AI:   – Image Search: v1.2506.707.0   – Content Extraction: v1.2506.707.0   – Semantic Analysis: v1.2506.707.0 ✅ อัปเดต KB5062552 สำหรับ Windows 11 23H2/22H2 → Build 22631.5624 / 22621.5624   • แก้ปัญหาจอดำตอนเสียบ/ถอดจอ (เฉพาะผู้ใช้บางรายจาก KB5060826)   • แก้ไขและปรับปรุงคุณภาพโดยรวม   • ใช้ EKB KB5027397 หากต้องการอัปเดตจาก 22H2 → 23H2 ✅ อัปเดต Servicing Stack (SSU) เพื่อให้ระบบอัปเดตได้ลื่นไหล:   • 24H2: SSU KB5063666 (build 26100.4651)   • 23H2/22H2: SSU KB5063707 (build 22631.5619) ✅ ไม่มี Known issues ที่ประกาศในตอนนี้ — คาดว่าเสถียรมากขึ้นจากรอบก่อน https://www.neowin.net/news/windows-11-kb5062553-kb5062552-july-2025-patch-tuesday-out/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows 11 (KB5062553, KB5062552) July 2025 Patch Tuesday out
    Microsoft has released Patch Tuesday updates for Windows 11 (KB5062553, KB5062552) for July 2025. Here's what's included.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบล่มไม่ได้นอน
    Log เยอะไม่อยากอ่าน
    ลูกค้าโทรมา… Dev ยังไม่ทันตอบ
    AI ตอบให้แล้วจ้าา
    องค์กรสมัยนี้มีระบบเยอะ:
    Network, Server, ERP, VPN, Firewall
    ทุกระบบมี Log และ “เสียงเตือน” ของมันเอง
    ปัญหาคือ — ไม่มีใครมานั่งไล่อ่านทันทั้งหมด
    เราใช้ AI มาช่วยจัดการให้:
    – วิเคราะห์ Log แบบ Real-time
    – แจ้งเตือนผ่าน Teams/Line/Telegram
    – สรุปให้เข้าใจง่าย พร้อมส่งถึง Dev หรือผู้ดูแลระบบ
    – เร็ว ๆ นี้: สื่อสารกับลูกค้าอัตโนมัติ (Auto Update)
    เพราะข้อมูลมันเยอะขึ้นทุกวัน…
    องค์กรต้องมี AI ไว้ช่วยเฝ้าแบบ 24/7
    #ThinkableIT #AIforMonitoring
    #ไม่ต้องเฝ้าLogให้เมื่อย #องค์กรต้องรอด
    #แจ้งก่อนพัง #ThinkableCyberReady
    #ZabbixAI #ทีมเรามีหุ่นเป็นเพื่อนงาน
    🎯 ระบบล่มไม่ได้นอน Log เยอะไม่อยากอ่าน ลูกค้าโทรมา… Dev ยังไม่ทันตอบ AI ตอบให้แล้วจ้าา 😎 องค์กรสมัยนี้มีระบบเยอะ: 🌐 Network, Server, ERP, VPN, Firewall ทุกระบบมี Log และ “เสียงเตือน” ของมันเอง ❗ ปัญหาคือ — ไม่มีใครมานั่งไล่อ่านทันทั้งหมด ✅ เราใช้ AI มาช่วยจัดการให้: – วิเคราะห์ Log แบบ Real-time – แจ้งเตือนผ่าน Teams/Line/Telegram – สรุปให้เข้าใจง่าย พร้อมส่งถึง Dev หรือผู้ดูแลระบบ – เร็ว ๆ นี้: สื่อสารกับลูกค้าอัตโนมัติ (Auto Update) เพราะข้อมูลมันเยอะขึ้นทุกวัน… องค์กรต้องมี AI ไว้ช่วยเฝ้าแบบ 24/7 🔧 #ThinkableIT #AIforMonitoring #ไม่ต้องเฝ้าLogให้เมื่อย #องค์กรต้องรอด #แจ้งก่อนพัง #ThinkableCyberReady #ZabbixAI #ทีมเรามีหุ่นเป็นเพื่อนงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 447 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อก่อนระบบป้องกันไซเบอร์มักเน้นพวก firewall, antivirus, การตั้งรหัสผ่านให้แข็งแรง — แต่ตอนนี้พวกนั้นไม่พอแล้ว เพราะคนร้ายไม่แฮ็กเข้ามาเหมือนเดิม แต่ “ล็อกอินเหมือนเป็นพนักงานจริง!”

    บริษัทวิจัยอย่าง CrowdStrike เผยว่า เวลาที่คนร้ายใช้แพร่กระจายตัวภายในองค์กร (breakout time) เร็วสุดอยู่ที่แค่ “51 วินาที” เท่านั้น! ซึ่งเร็วเกินกว่าที่ระบบแจ้งเตือนหรือทีมจะวิเคราะห์ได้ทัน

    อีกทั้งตอนนี้ยังมีภัยแบบใหม่ ๆ เช่น:
    - AI ใช้เรียนรู้พฤติกรรมพนักงาน แล้วเลียนแบบมาขอสิทธิ์เข้าระบบ
    - ผู้ไม่ประสงค์ดีเจาะจุดอ่อนคลาวด์ที่ไม่มีระบบแบ่งสิทธิ์ชัดเจน
    - ระบบตรวจสอบแบบ “รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแจ้ง” ไม่ทันอีกต่อไป

    ทีมความปลอดภัยยุคใหม่ต้องใช้เทคนิคพวก anomaly detection — ตรวจจับ “พฤติกรรมแปลก” ที่ไม่ตรงกับโปรไฟล์ปกติ เช่น

    ทำไมคนแผนกบัญชีถึงเข้าระบบของ DevOps? ทำไมระบบจากออฟฟิศ A ถึงยิงคำสั่งไปเครื่องในออฟฟิศ B?

    ไม่ใช่แค่นั้นครับ — แม้จะจับได้แล้ว การจัดการผู้บุกรุกก็ยังยาก เพราะถ้า “ตัดเร็วเกิน” ระบบธุรกิจอาจล่ม ถ้าช้าไป ข้อมูลอาจหลุดออกไปหมด → นักวิจัยจึงแนะนำให้เตรียม “แผน containment แบบผ่าตัดจุด” ที่แยกบาง subnet ได้ ไม่ต้องสั่งล่มทั้งเครือข่าย

    สุดท้ายคือ “การวิเคราะห์หลังเหตุการณ์” ต้องละเอียดมากขึ้น — โดยเฉพาะถ้าใช้ SIEM แบบใหม่ที่เก็บ log ได้เพียงพอ และดูไทม์ไลน์ทุกจุดที่ผู้บุกรุกแตะ

    https://www.csoonline.com/article/4009236/cisos-must-rethink-defense-playbooks-as-cybercriminals-move-faster-smarter.html
    เมื่อก่อนระบบป้องกันไซเบอร์มักเน้นพวก firewall, antivirus, การตั้งรหัสผ่านให้แข็งแรง — แต่ตอนนี้พวกนั้นไม่พอแล้ว เพราะคนร้ายไม่แฮ็กเข้ามาเหมือนเดิม แต่ “ล็อกอินเหมือนเป็นพนักงานจริง!” บริษัทวิจัยอย่าง CrowdStrike เผยว่า เวลาที่คนร้ายใช้แพร่กระจายตัวภายในองค์กร (breakout time) เร็วสุดอยู่ที่แค่ “51 วินาที” เท่านั้น! ซึ่งเร็วเกินกว่าที่ระบบแจ้งเตือนหรือทีมจะวิเคราะห์ได้ทัน อีกทั้งตอนนี้ยังมีภัยแบบใหม่ ๆ เช่น: - AI ใช้เรียนรู้พฤติกรรมพนักงาน แล้วเลียนแบบมาขอสิทธิ์เข้าระบบ - ผู้ไม่ประสงค์ดีเจาะจุดอ่อนคลาวด์ที่ไม่มีระบบแบ่งสิทธิ์ชัดเจน - ระบบตรวจสอบแบบ “รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแจ้ง” ไม่ทันอีกต่อไป ทีมความปลอดภัยยุคใหม่ต้องใช้เทคนิคพวก anomaly detection — ตรวจจับ “พฤติกรรมแปลก” ที่ไม่ตรงกับโปรไฟล์ปกติ เช่น ทำไมคนแผนกบัญชีถึงเข้าระบบของ DevOps? ทำไมระบบจากออฟฟิศ A ถึงยิงคำสั่งไปเครื่องในออฟฟิศ B? ไม่ใช่แค่นั้นครับ — แม้จะจับได้แล้ว การจัดการผู้บุกรุกก็ยังยาก เพราะถ้า “ตัดเร็วเกิน” ระบบธุรกิจอาจล่ม ถ้าช้าไป ข้อมูลอาจหลุดออกไปหมด → นักวิจัยจึงแนะนำให้เตรียม “แผน containment แบบผ่าตัดจุด” ที่แยกบาง subnet ได้ ไม่ต้องสั่งล่มทั้งเครือข่าย สุดท้ายคือ “การวิเคราะห์หลังเหตุการณ์” ต้องละเอียดมากขึ้น — โดยเฉพาะถ้าใช้ SIEM แบบใหม่ที่เก็บ log ได้เพียงพอ และดูไทม์ไลน์ทุกจุดที่ผู้บุกรุกแตะ https://www.csoonline.com/article/4009236/cisos-must-rethink-defense-playbooks-as-cybercriminals-move-faster-smarter.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs must rethink defense playbooks as cybercriminals move faster, smarter
    Facing faster, stealthier intruders, CISOs are under pressure to modernize their cybersecurity strategies, toolsets, and tactics. From detection to post-mortem, here are key points of renewed emphasis.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • องค์กรยุคใหม่เริ่มใช้ Browser AI Agent เพื่อให้มัน “ทำงานแทนคน” เช่น จองตั๋วเครื่องบิน, นัดประชุม, เขียนอีเมล, หรือ login เข้าระบบภายในแบบอัตโนมัติ — แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ทันรู้คือ...

    AI ตัวนี้ “ไม่มีสัญชาตญาณ” — มันไม่รู้ว่าอีเมลไหนดูแปลก, เว็บไซต์ไหนหลอก, ป๊อปอัปขอสิทธิ์อะไรเกินจำเป็น

    ผลคือ:
    - มี AI Agent ที่สมัครใช้เว็บแชร์ไฟล์ แล้วกด “อนุญาต” ให้เว็บแปลก ๆ เข้าถึง Google Drive ทั้งบัญชี
    - อีกกรณี Agent ถูก phishing ให้ใส่รหัสผ่าน Salesforce โดยไม่มีข้อสงสัย
    - เหตุผลเพราะมันใช้สิทธิ์ระดับเดียวกับพนักงานจริง — เปิดช่องให้คนร้ายใช้เป็น “ตัวแทน” เข้าระบบองค์กรได้เนียน ๆ

    งานวิจัยโดย SquareX ชี้ว่า “AI พวกนี้มีสติปัญญาด้านความปลอดภัย แย่กว่าพนักงานใหม่ในองค์กรเสียอีก” และปัจจุบันเครื่องมือตรวจจับภัยไซเบอร์ก็ยังมองไม่ออกว่า “พฤติกรรมแปลก ๆ” เหล่านี้เกิดจาก AI ที่ถูกโจมตีอยู่

    Browser AI Agent คือผู้ช่วยอัตโนมัติที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์แทนผู้ใช้ เช่น login, กรอกฟอร์ม, ส่งอีเมล  
    • เริ่มนิยมใช้ในองค์กรเพื่อประหยัดเวลาและลดงานซ้ำซ้อน

    SquareX พบว่า AI Agent เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อ phishing และเว็บอันตรายได้ง่ายกว่ามนุษย์  
    • ไม่รู้จักแยกแยะ URL ปลอม, สิทธิ์การเข้าถึงเกินจริง, หรือแบรนด์ที่ไม่น่าไว้ใจ

    AI Agent ใช้สิทธิ์ระบบเดียวกับผู้ใช้จริง → หากถูกหลอกจะมีสิทธิ์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง  
    • เช่น ข้อมูลในคลาวด์, อีเมล, Salesforce, เครื่องมือทางธุรกิจต่าง ๆ

    ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น Firewall, ZTNA หรือ Endpoint Protection ยังตรวจไม่เจอภัยจาก AI Agent  
    • เพราะทุกการกระทำดูเหมือนพนักงานปกติไม่ได้ทำอะไรผิด

    SquareX แนะนำให้ใช้งาน “Browser Detection and Response” แบบเฉพาะเพื่อดูแล AI Agent เหล่านี้โดยตรง

    https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-organizations-have-a-new-unexpected-employee-onboard-and-it-could-be-their-single-biggest-security-risk
    องค์กรยุคใหม่เริ่มใช้ Browser AI Agent เพื่อให้มัน “ทำงานแทนคน” เช่น จองตั๋วเครื่องบิน, นัดประชุม, เขียนอีเมล, หรือ login เข้าระบบภายในแบบอัตโนมัติ — แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ทันรู้คือ... AI ตัวนี้ “ไม่มีสัญชาตญาณ” — มันไม่รู้ว่าอีเมลไหนดูแปลก, เว็บไซต์ไหนหลอก, ป๊อปอัปขอสิทธิ์อะไรเกินจำเป็น ผลคือ: - มี AI Agent ที่สมัครใช้เว็บแชร์ไฟล์ แล้วกด “อนุญาต” ให้เว็บแปลก ๆ เข้าถึง Google Drive ทั้งบัญชี - อีกกรณี Agent ถูก phishing ให้ใส่รหัสผ่าน Salesforce โดยไม่มีข้อสงสัย - เหตุผลเพราะมันใช้สิทธิ์ระดับเดียวกับพนักงานจริง — เปิดช่องให้คนร้ายใช้เป็น “ตัวแทน” เข้าระบบองค์กรได้เนียน ๆ งานวิจัยโดย SquareX ชี้ว่า “AI พวกนี้มีสติปัญญาด้านความปลอดภัย แย่กว่าพนักงานใหม่ในองค์กรเสียอีก” และปัจจุบันเครื่องมือตรวจจับภัยไซเบอร์ก็ยังมองไม่ออกว่า “พฤติกรรมแปลก ๆ” เหล่านี้เกิดจาก AI ที่ถูกโจมตีอยู่ ✅ Browser AI Agent คือผู้ช่วยอัตโนมัติที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์แทนผู้ใช้ เช่น login, กรอกฟอร์ม, ส่งอีเมล   • เริ่มนิยมใช้ในองค์กรเพื่อประหยัดเวลาและลดงานซ้ำซ้อน ✅ SquareX พบว่า AI Agent เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อ phishing และเว็บอันตรายได้ง่ายกว่ามนุษย์   • ไม่รู้จักแยกแยะ URL ปลอม, สิทธิ์การเข้าถึงเกินจริง, หรือแบรนด์ที่ไม่น่าไว้ใจ ✅ AI Agent ใช้สิทธิ์ระบบเดียวกับผู้ใช้จริง → หากถูกหลอกจะมีสิทธิ์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง   • เช่น ข้อมูลในคลาวด์, อีเมล, Salesforce, เครื่องมือทางธุรกิจต่าง ๆ ✅ ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น Firewall, ZTNA หรือ Endpoint Protection ยังตรวจไม่เจอภัยจาก AI Agent   • เพราะทุกการกระทำดูเหมือนพนักงานปกติไม่ได้ทำอะไรผิด ✅ SquareX แนะนำให้ใช้งาน “Browser Detection and Response” แบบเฉพาะเพื่อดูแล AI Agent เหล่านี้โดยตรง https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-organizations-have-a-new-unexpected-employee-onboard-and-it-could-be-their-single-biggest-security-risk
    WWW.TECHRADAR.COM
    The bots in your browser are working hard… and giving attackers everything they need to get in
    AI agents are now falling for scams that your intern would immediately know to avoid
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบเครือข่ายไม่ใช่แค่เสียบสายแล้วจบ
    เราวางระบบให้ เสถียร ปลอดภัย และขยายได้ในอนาคต
    จากหน้างานจริงของทีม Thinkable
    บริการ Network & Security ครบวงจร สำหรับองค์กรที่ต้องการมากกว่าแค่ “เน็ตใช้ได้”
    บริการของเรา:
    ออกแบบ/ติดตั้ง LAN และ Wi-Fi สำหรับองค์กร
    วางระบบ Firewall, VPN, RADIUS, Zero Trust
    Monitoring ระบบเครือข่ายด้วย + แจ้งเตือนทันทีผ่าน MS Teams / Telegram
    เพราะระบบเครือข่ายที่ดี = ธุรกิจเดินได้ไม่สะดุด
    https://www.thinkable-inn.com/
    #Thinkable #NetworkSecurity #Monitoring #องค์กรต้องรอด #ITService
    🧠 ระบบเครือข่ายไม่ใช่แค่เสียบสายแล้วจบ เราวางระบบให้ เสถียร ปลอดภัย และขยายได้ในอนาคต 📌 จากหน้างานจริงของทีม Thinkable บริการ Network & Security ครบวงจร สำหรับองค์กรที่ต้องการมากกว่าแค่ “เน็ตใช้ได้” 🔧 บริการของเรา: ออกแบบ/ติดตั้ง LAN และ Wi-Fi สำหรับองค์กร วางระบบ Firewall, VPN, RADIUS, Zero Trust Monitoring ระบบเครือข่ายด้วย + แจ้งเตือนทันทีผ่าน MS Teams / Telegram เพราะระบบเครือข่ายที่ดี = ธุรกิจเดินได้ไม่สะดุด https://www.thinkable-inn.com/ #Thinkable #NetworkSecurity #Monitoring #องค์กรต้องรอด #ITService
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยก่อนเวลาเราพูดถึงอินเทอร์เน็ตในหมู่เกาะห่างไกล เช่น ตูวาลู (Tuvalu) — ประเทศเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก — ก็คงคิดถึงเน็ตช้าหรือไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะ Starlink เข้ามาให้บริการในประเทศนี้ และเปิดให้ใช้งานบน IPv6 “เต็มรูปแบบ”

    แค่ไม่กี่เดือนหลัง Starlink เข้ามา ส่วนแบ่ง IPv6 ของตูวาลูพุ่งจาก 0% เป็น 59% — กลายเป็นหนึ่งใน 21 ประเทศที่ “ใช้ IPv6 มากกว่า 50% ของการเชื่อมต่อทั้งหมด” ทันที!

    ประเทศอื่นที่เพิ่งเข้าสู่ “Majority IPv6 Club” ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ บราซิล, เม็กซิโก, กัวเตมาลา, ศรีลังกา, ฮังการี, ญี่ปุ่น, เปอร์โตริโก ฯลฯ

    จำนวนประเทศที่มีการใช้งาน IPv6 เกิน 50% เพิ่มจาก 13 → 21 ประเทศในรอบ 1 ปี  
    • ข้อมูลจาก Akamai, APNIC, Google และ Meta

    ประเทศที่ใช้งาน IPv6 มากที่สุดในโลกขณะนี้ ได้แก่:  
    • อินเดีย (73%)  
    • ฝรั่งเศส (73%)

    Starlink ของ SpaceX เป็นผู้เล่นหลักที่เร่งการเปลี่ยนผ่านไปใช้ IPv6  
    • เครือข่ายของ Starlink “ออกแบบให้รองรับ IPv6 ตั้งแต่ต้น”  
    • ช่วยให้ประเทศขนาดเล็กหรือห่างไกล “ข้ามขั้น” โครงสร้างเก่าไปใช้ระบบใหม่ทันที

    IPv6 แก้ข้อจำกัดของ IPv4 ที่มีแค่ 4.3 พันล้านหมายเลข IP  
    • IPv6 มีหมายเลขได้ถึง 340 undecillion (340 ล้านล้านล้านล้าน)  
    • เพียงพอต่อยุคอุปกรณ์ IoT, รถยนต์อัจฉริยะ, บ้านอัจฉริยะ

    ข้อดีอื่นของ IPv6 เช่น:  
    • ไม่ต้อง NAT → เชื่อมอุปกรณ์ได้แบบ end-to-end  
    • ปรับ routing ให้เร็วขึ้น  • รองรับการเข้ารหัส IPsec เป็นมาตรฐาน

    ประเทศอื่นที่กำลังเข้าใกล้ 50% เช่น ไทย, อังกฤษ และเอสโตเนีย

    บางประเทศที่เคยใช้ IPv6 เกิน 50% มีอัตราการลดลงชั่วคราว  
    • เช่น ญี่ปุ่นและเปอร์โตริโก เคยหลุดจากกลุ่มนี้ก่อนจะกลับเข้ามาใหม่  
    • อาจเกิดจากการขยายเครือข่ายเดิมที่ยังใช้ IPv4 อยู่

    องค์กรหรือผู้ให้บริการที่ยังไม่อัปเกรดระบบ → เสี่ยงถูกตัดขาดจากเครือข่ายที่ใช้ IPv6-only  
    • โดยเฉพาะระบบ IoT, cloud หรือ edge computing

    การใช้ IPv6 ยังต้องอาศัยการอัปเดต DNS, firewall, VPN และระบบความปลอดภัยให้รองรับ format ใหม่
    • ไม่ใช่แค่เปลี่ยน router อย่างเดียว

    การก้าวเข้าสู่ยุค IPv6 ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยเสมอไป  
    • เพราะการเข้ารหัสและ config ก็ต้องทำอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นอาจเกิดช่องโหว่ใหม่ได้

    https://www.techspot.com/news/108490-ipv6-reaches-majority-use-21-countries-starlink-other.html
    สมัยก่อนเวลาเราพูดถึงอินเทอร์เน็ตในหมู่เกาะห่างไกล เช่น ตูวาลู (Tuvalu) — ประเทศเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก — ก็คงคิดถึงเน็ตช้าหรือไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะ Starlink เข้ามาให้บริการในประเทศนี้ และเปิดให้ใช้งานบน IPv6 “เต็มรูปแบบ” แค่ไม่กี่เดือนหลัง Starlink เข้ามา ส่วนแบ่ง IPv6 ของตูวาลูพุ่งจาก 0% เป็น 59% — กลายเป็นหนึ่งใน 21 ประเทศที่ “ใช้ IPv6 มากกว่า 50% ของการเชื่อมต่อทั้งหมด” ทันที! ประเทศอื่นที่เพิ่งเข้าสู่ “Majority IPv6 Club” ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ บราซิล, เม็กซิโก, กัวเตมาลา, ศรีลังกา, ฮังการี, ญี่ปุ่น, เปอร์โตริโก ฯลฯ ✅ จำนวนประเทศที่มีการใช้งาน IPv6 เกิน 50% เพิ่มจาก 13 → 21 ประเทศในรอบ 1 ปี   • ข้อมูลจาก Akamai, APNIC, Google และ Meta ✅ ประเทศที่ใช้งาน IPv6 มากที่สุดในโลกขณะนี้ ได้แก่:   • อินเดีย (73%)   • ฝรั่งเศส (73%) ✅ Starlink ของ SpaceX เป็นผู้เล่นหลักที่เร่งการเปลี่ยนผ่านไปใช้ IPv6   • เครือข่ายของ Starlink “ออกแบบให้รองรับ IPv6 ตั้งแต่ต้น”   • ช่วยให้ประเทศขนาดเล็กหรือห่างไกล “ข้ามขั้น” โครงสร้างเก่าไปใช้ระบบใหม่ทันที ✅ IPv6 แก้ข้อจำกัดของ IPv4 ที่มีแค่ 4.3 พันล้านหมายเลข IP   • IPv6 มีหมายเลขได้ถึง 340 undecillion (340 ล้านล้านล้านล้าน)   • เพียงพอต่อยุคอุปกรณ์ IoT, รถยนต์อัจฉริยะ, บ้านอัจฉริยะ ✅ ข้อดีอื่นของ IPv6 เช่น:   • ไม่ต้อง NAT → เชื่อมอุปกรณ์ได้แบบ end-to-end   • ปรับ routing ให้เร็วขึ้น  • รองรับการเข้ารหัส IPsec เป็นมาตรฐาน ✅ ประเทศอื่นที่กำลังเข้าใกล้ 50% เช่น ไทย, อังกฤษ และเอสโตเนีย ‼️ บางประเทศที่เคยใช้ IPv6 เกิน 50% มีอัตราการลดลงชั่วคราว   • เช่น ญี่ปุ่นและเปอร์โตริโก เคยหลุดจากกลุ่มนี้ก่อนจะกลับเข้ามาใหม่   • อาจเกิดจากการขยายเครือข่ายเดิมที่ยังใช้ IPv4 อยู่ ‼️ องค์กรหรือผู้ให้บริการที่ยังไม่อัปเกรดระบบ → เสี่ยงถูกตัดขาดจากเครือข่ายที่ใช้ IPv6-only   • โดยเฉพาะระบบ IoT, cloud หรือ edge computing ‼️ การใช้ IPv6 ยังต้องอาศัยการอัปเดต DNS, firewall, VPN และระบบความปลอดภัยให้รองรับ format ใหม่ • ไม่ใช่แค่เปลี่ยน router อย่างเดียว ‼️ การก้าวเข้าสู่ยุค IPv6 ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยเสมอไป   • เพราะการเข้ารหัสและ config ก็ต้องทำอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นอาจเกิดช่องโหว่ใหม่ได้ https://www.techspot.com/news/108490-ipv6-reaches-majority-use-21-countries-starlink-other.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    IPv6 reaches majority use in 21 countries as Starlink and other providers modernize global connectivity
    The most dramatic transformation has occurred in Tuvalu, a Pacific island nation with a population under 10,000. Until early 2025, Tuvalu had virtually no IPv6 presence. That...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ”

    แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย

    ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย

    ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!”

    แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง  
    • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising  
    • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง

    ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”  
    • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall

    แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config  
    • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate

    ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”  
    • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง

    SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว  
    • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้

    SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:  
    • sonicwall.com  
    • mysonicwall.com

    https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ” แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!” ✅ แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง   • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising   • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง ✅ ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”   • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall ✅ แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config   • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate ✅ ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”   • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง ✅ SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว   • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้ ✅ SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:   • sonicwall.com   • mysonicwall.com https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ

    เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน

    และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ

    ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร”

    5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI:
    1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม  
    • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร  
    • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics  
    • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE

    2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ  
    • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials  
    • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection  
    • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด

    3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย  
    • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity  
    • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว

    4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย  
    • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ  
    • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI  
    • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย

    5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”  
    • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม  
    • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature

    https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร” ✅ 5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI: ✅ 1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม   • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร   • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics   • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE ✅ 2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ   • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials   • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection   • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด ✅ 3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย   • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity   • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว ✅ 4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย   • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ   • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI   • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย ✅ 5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”   • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม   • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CISO’s 5-step guide to securing AI operations
    Security leaders must become AI cheerleaders, risk experts, data stewards, teachers, and researchers. Here’s how to lead your organization toward more secure and effective AI use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • พร้อมลุยทุกโปรเจกต์ IT แบบครบวงจร – กับ Thinkable Innovation
    เราคือทีมเล็กแต่โคตรตั้งใจ ที่รวม Developer และฝ่ายเทคนิคเข้าด้วยกัน
    เชี่ยวชาญทั้ง Web/App และระบบ Network สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ
    บริการของเรา:
    1️⃣ System Integration & IT Infrastructure
    วางระบบ Server, Storage, Virtualization (VMware, Proxmox, Sangfor)
    2️⃣ Enterprise Network & Security
    Wi-Fi องค์กร, Firewall, RADIUS, WAF, Zero Trust, SD-WAN
    3️⃣ Software & Application Development
    Web & Mobile App, ERP, Dashboard, ระบบจอง/ทะเบียน/คลินิก พร้อมเชื่อมต่อ API ภาครัฐ (MOPH, GIN, MFA TH)
    4️⃣ Monitoring & Automation
    ติดตั้ง Zabbix, FreeRADIUS, IoT, Docker, Git, Portainer พร้อม Alert ผ่าน MS Teams, Telegram
    5️⃣ IT Support & Managed Services
    บริการ MA, Outsourcing, Preventive Maintenance, Remote Support 24/7
    สนใจบริการไหน? ทักมาคุยกันได้เลย!
    www.thinkable-inn.com | พร้อมช่วยเหลือทุกสายงาน
    🚀 พร้อมลุยทุกโปรเจกต์ IT แบบครบวงจร – กับ Thinkable Innovation เราคือทีมเล็กแต่โคตรตั้งใจ ที่รวม Developer และฝ่ายเทคนิคเข้าด้วยกัน เชี่ยวชาญทั้ง Web/App และระบบ Network สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ 🔧 บริการของเรา: 1️⃣ System Integration & IT Infrastructure วางระบบ Server, Storage, Virtualization (VMware, Proxmox, Sangfor) 2️⃣ Enterprise Network & Security Wi-Fi องค์กร, Firewall, RADIUS, WAF, Zero Trust, SD-WAN 3️⃣ Software & Application Development Web & Mobile App, ERP, Dashboard, ระบบจอง/ทะเบียน/คลินิก พร้อมเชื่อมต่อ API ภาครัฐ (MOPH, GIN, MFA TH) 4️⃣ Monitoring & Automation ติดตั้ง Zabbix, FreeRADIUS, IoT, Docker, Git, Portainer พร้อม Alert ผ่าน MS Teams, Telegram 5️⃣ IT Support & Managed Services บริการ MA, Outsourcing, Preventive Maintenance, Remote Support 24/7 💬 สนใจบริการไหน? ทักมาคุยกันได้เลย! ✅ www.thinkable-inn.com | พร้อมช่วยเหลือทุกสายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก

    จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้:

    1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000  
    • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน  
    • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย

    2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000  
    • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR  
    • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน

    3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance  
    • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000  
    • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ

    4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม  
    • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000  
    • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM

    ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ

    รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง  
    • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%  
    • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security

    Security Engineer มาเป็นอันดับสอง  
    • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%  
    • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ

    สาย GRC ก็มาแรง  
    • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%  
    • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy

    Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น  
    • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%  
    • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity

    แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน  
    • Architect: CISSP, CCSP  
    • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH  
    • GRC: CRISC, CGRC  
    • Analyst: CySA+, SOC certs

    สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน  
    • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย

    คำเตือนและข้อควรระวัง:
    ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร  
    • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้

    เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย  
    • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี

    บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer  
    • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill

    สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา  
    • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance

    https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้: 1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000   • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน   • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย 2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000   • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR   • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน 3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance   • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000   • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ 4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม   • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000   • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ ✅ รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง   • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%   • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security ✅ Security Engineer มาเป็นอันดับสอง   • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%   • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ ✅ สาย GRC ก็มาแรง   • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%   • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy ✅ Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น   • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%   • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity ✅ แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน   • Architect: CISSP, CCSP   • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH   • GRC: CRISC, CGRC   • Analyst: CySA+, SOC certs ✅ สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน   • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง: ‼️ ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร   • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้ ‼️ เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย   • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี ‼️ บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer   • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill ‼️ สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา   • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The highest-paying jobs in cybersecurity today
    According to a recent survey by IANS and Artico Search, risk/GRC specialists, along with security architects, analysts, and engineers, report the highest average annual cash compensation in cybersecurity.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 440 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Cofense พบว่า แฮกเกอร์กำลังใช้เทคนิคใหม่ที่เรียกว่า "Blob URIs" เพื่อซ่อนหน้าเว็บฟิชชิ่งภายในหน่วยความจำของเบราว์เซอร์ ทำให้ ระบบรักษาความปลอดภัยไม่สามารถตรวจจับได้ และ สามารถขโมยข้อมูลล็อกอินของผู้ใช้ได้อย่างแนบเนียน

    Blob URIs ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถซ่อนหน้าเว็บฟิชชิ่งภายในเบราว์เซอร์ของเหยื่อ
    - ทำให้ ไม่มี URL แปลก ๆ หรือโดเมนต้องสงสัยที่สามารถตรวจจับได้

    อีเมลฟิชชิ่งสามารถหลอกให้เหยื่อคลิกเข้าสู่ระบบผ่านหน้าเว็บปลอมที่ดูเหมือนจริง
    - มักใช้ โดเมนที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น Microsoft OneDrive

    เมื่อเหยื่อคลิก ‘Sign in’ ระบบจะโหลด Blob URI ที่สร้างหน้าเว็บปลอมขึ้นมาในเบราว์เซอร์
    - ทำให้ เหยื่อไม่รู้ตัวว่ากำลังให้ข้อมูลกับแฮกเกอร์

    Blob URIs ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับหรือบล็อกได้
    - เนื่องจาก หน้าเว็บฟิชชิ่งไม่ได้ถูกโฮสต์บนเซิร์ฟเวอร์สาธารณะ

    นักวิจัยแนะนำให้ใช้ Firewall-as-a-Service (FWaaS) และ Zero Trust Network Access (ZTNA) เพื่อป้องกันการโจมตี
    - ช่วยให้ สามารถตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัยได้ดีขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/cybercriminals-have-found-a-sneaky-way-of-stealing-tax-accounts-and-even-encrypted-messages-heres-what-you-need-to-know
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Cofense พบว่า แฮกเกอร์กำลังใช้เทคนิคใหม่ที่เรียกว่า "Blob URIs" เพื่อซ่อนหน้าเว็บฟิชชิ่งภายในหน่วยความจำของเบราว์เซอร์ ทำให้ ระบบรักษาความปลอดภัยไม่สามารถตรวจจับได้ และ สามารถขโมยข้อมูลล็อกอินของผู้ใช้ได้อย่างแนบเนียน ✅ Blob URIs ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถซ่อนหน้าเว็บฟิชชิ่งภายในเบราว์เซอร์ของเหยื่อ - ทำให้ ไม่มี URL แปลก ๆ หรือโดเมนต้องสงสัยที่สามารถตรวจจับได้ ✅ อีเมลฟิชชิ่งสามารถหลอกให้เหยื่อคลิกเข้าสู่ระบบผ่านหน้าเว็บปลอมที่ดูเหมือนจริง - มักใช้ โดเมนที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น Microsoft OneDrive ✅ เมื่อเหยื่อคลิก ‘Sign in’ ระบบจะโหลด Blob URI ที่สร้างหน้าเว็บปลอมขึ้นมาในเบราว์เซอร์ - ทำให้ เหยื่อไม่รู้ตัวว่ากำลังให้ข้อมูลกับแฮกเกอร์ ✅ Blob URIs ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับหรือบล็อกได้ - เนื่องจาก หน้าเว็บฟิชชิ่งไม่ได้ถูกโฮสต์บนเซิร์ฟเวอร์สาธารณะ ✅ นักวิจัยแนะนำให้ใช้ Firewall-as-a-Service (FWaaS) และ Zero Trust Network Access (ZTNA) เพื่อป้องกันการโจมตี - ช่วยให้ สามารถตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัยได้ดีขึ้น https://www.techradar.com/pro/cybercriminals-have-found-a-sneaky-way-of-stealing-tax-accounts-and-even-encrypted-messages-heres-what-you-need-to-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของการโจมตีแบบ zero-day ที่มุ่งเป้าไปยังผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร โดยพบว่าช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยขององค์กรคิดเป็น 44% ของช่องโหว่ zero-day ที่ถูกโจมตีในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 7% จากปี 2023

    แม้ว่าจำนวนช่องโหว่ zero-day โดยรวมจะลดลงจาก 98 รายการในปี 2023 เหลือ 75 รายการในปี 2024 แต่ช่องโหว่ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กรกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่อยู่บริเวณขอบเครือข่าย เช่น VPNs, security gateways และ firewalls ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตี

    Microsoft Windows เป็นระบบที่ถูกโจมตีมากที่สุด โดยมีช่องโหว่ zero-day 22 รายการ เพิ่มขึ้นจาก 16 รายการในปี 2023 ขณะที่ iOS มีช่องโหว่ลดลงจาก 9 รายการในปี 2023 เหลือเพียง 2 รายการ ในปี 2024

    การเพิ่มขึ้นของช่องโหว่ในผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร
    - ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยคิดเป็น 44% ของช่องโหว่ zero-day
    - เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2023

    ระบบที่ถูกโจมตีมากที่สุด
    - Microsoft Windows: 22 ช่องโหว่ (เพิ่มขึ้นจาก 16 ในปี 2023)
    - iOS: 2 ช่องโหว่ (ลดลงจาก 9 ในปี 2023)
    - Google Chrome: 7 ช่องโหว่, Safari: 3 ช่องโหว่ (ลดลงจาก 11 ในปี 2023)

    เป้าหมายหลักของการโจมตี
    - อุปกรณ์ที่อยู่บริเวณขอบเครือข่าย เช่น VPNs, security gateways และ firewalls
    - อุปกรณ์เหล่านี้มักมีสิทธิ์สูงและสามารถใช้ในการเคลื่อนที่ภายในเครือข่าย

    กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการโจมตี
    - กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการจารกรรมไซเบอร์ เช่น จีน (5 ช่องโหว่), เกาหลีเหนือ (5 ช่องโหว่), รัสเซีย (1 ช่องโหว่)
    - กลุ่มที่มุ่งเน้นการโจรกรรมทางการเงิน เช่น CSVs และกลุ่มที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ

    https://www.csoonline.com/article/3973769/enterprise-specific-zero-day-exploits-on-the-rise-google-warns.html
    Google ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของการโจมตีแบบ zero-day ที่มุ่งเป้าไปยังผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร โดยพบว่าช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยขององค์กรคิดเป็น 44% ของช่องโหว่ zero-day ที่ถูกโจมตีในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 7% จากปี 2023 แม้ว่าจำนวนช่องโหว่ zero-day โดยรวมจะลดลงจาก 98 รายการในปี 2023 เหลือ 75 รายการในปี 2024 แต่ช่องโหว่ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กรกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่อยู่บริเวณขอบเครือข่าย เช่น VPNs, security gateways และ firewalls ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตี Microsoft Windows เป็นระบบที่ถูกโจมตีมากที่สุด โดยมีช่องโหว่ zero-day 22 รายการ เพิ่มขึ้นจาก 16 รายการในปี 2023 ขณะที่ iOS มีช่องโหว่ลดลงจาก 9 รายการในปี 2023 เหลือเพียง 2 รายการ ในปี 2024 ✅ การเพิ่มขึ้นของช่องโหว่ในผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร - ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยคิดเป็น 44% ของช่องโหว่ zero-day - เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2023 ✅ ระบบที่ถูกโจมตีมากที่สุด - Microsoft Windows: 22 ช่องโหว่ (เพิ่มขึ้นจาก 16 ในปี 2023) - iOS: 2 ช่องโหว่ (ลดลงจาก 9 ในปี 2023) - Google Chrome: 7 ช่องโหว่, Safari: 3 ช่องโหว่ (ลดลงจาก 11 ในปี 2023) ✅ เป้าหมายหลักของการโจมตี - อุปกรณ์ที่อยู่บริเวณขอบเครือข่าย เช่น VPNs, security gateways และ firewalls - อุปกรณ์เหล่านี้มักมีสิทธิ์สูงและสามารถใช้ในการเคลื่อนที่ภายในเครือข่าย ✅ กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการโจมตี - กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการจารกรรมไซเบอร์ เช่น จีน (5 ช่องโหว่), เกาหลีเหนือ (5 ช่องโหว่), รัสเซีย (1 ช่องโหว่) - กลุ่มที่มุ่งเน้นการโจรกรรมทางการเงิน เช่น CSVs และกลุ่มที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ https://www.csoonline.com/article/3973769/enterprise-specific-zero-day-exploits-on-the-rise-google-warns.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Enterprise-specific zero-day exploits on the rise, Google warns
    Vulnerabilities in enterprise network and security appliances accounted for nearly half of the zero-day flaws exploited by attackers last year, according to Google’s Threat Intelligence Group.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts