• Dimensity 9500 vs Snapdragon 8 Elite Gen 2: เปิดตัวก่อนแต่แรงไม่สุด

    MediaTek เตรียมเปิดตัวชิป Dimensity 9500 ก่อน Snapdragon 8 Elite Gen 2 หนึ่งวัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์เพื่อแย่งความสนใจจากตลาด แต่ผลการทดสอบ Geekbench 6 บน Vivo X300 กลับเผยว่า Dimensity 9500 ทำคะแนนได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยได้เพียง 2,352 คะแนนในแบบ single-core และ 7,129 คะแนนในแบบ multi-core

    Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4” โดยมีคอร์หลักที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 4.20GHz ซึ่งสูงกว่าความเร็วที่ใช้ในการทดสอบจริง แต่ยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Snapdragon 8 Elite Gen 2 ที่แม้จะลดความเร็วลงเหลือ 4.00GHz ก็ยังทำคะแนนได้ถึง 3,393 และ 11,515 คะแนน—เร็วกว่า Dimensity ถึง 61%

    สาเหตุหนึ่งที่ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ทำได้ดีกว่า คือการใช้คอร์แบบ in-house ที่ไม่พึ่งพา ARM โดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่สูงกว่า และยังมีความยืดหยุ่นในการออกแบบมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Dimensity 9500 ยังมีจุดเด่นในด้านการประมวลผลแบบ floating-point และคะแนน AnTuTu ที่สูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 ถึง 11% ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าชิปนี้เหมาะกับงานกราฟิกหรือ AI มากกว่าการประมวลผลทั่วไป

    สเปกและโครงสร้างของ Dimensity 9500
    ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4”
    คอร์หลักเร็วสุดที่ 4.20GHz แต่ทำงานต่ำกว่าความเร็วจริง
    ใช้ Cortex-X930 และ Cortex-A730 บนสถาปัตยกรรม ARMv9.2-A
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC

    ผลการทดสอบเบื้องต้น
    Geekbench 6: single-core 2,352 / multi-core 7,129
    Snapdragon 8 Elite Gen 2 ได้คะแนนสูงกว่า 61%
    Dimensity 9500 ทำคะแนน AnTuTu สูงกว่า 11% (3449366 vs 3115282)
    มีประสิทธิภาพด้าน floating-point computation สูงกว่า 41%

    จุดเด่นของ Snapdragon 8 Elite Gen 2
    ใช้คอร์แบบ in-house “Oryon Gen 2” ไม่พึ่ง ARM
    ความเร็วสูงสุด 4.74GHz ในรุ่น Galaxy Edition
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P 3nm โดย TSMC
    มี GPU Adreno 840 และ NPU Hexagon รุ่นใหม่

    ความคาดหวังและการใช้งาน
    Dimensity 9500 อาจเหมาะกับงาน AI และกราฟิกมากกว่าการประมวลผลทั่วไป
    Snapdragon 8 Elite Gen 2 เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงแบบต่อเนื่อง
    ทั้งสองชิปรองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, และ 5G ทุกย่านความถี่

    https://wccftech.com/dimensity-9500-latest-single-core-and-multi-core-scores-fail-to-impress/
    🧠 Dimensity 9500 vs Snapdragon 8 Elite Gen 2: เปิดตัวก่อนแต่แรงไม่สุด MediaTek เตรียมเปิดตัวชิป Dimensity 9500 ก่อน Snapdragon 8 Elite Gen 2 หนึ่งวัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์เพื่อแย่งความสนใจจากตลาด แต่ผลการทดสอบ Geekbench 6 บน Vivo X300 กลับเผยว่า Dimensity 9500 ทำคะแนนได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยได้เพียง 2,352 คะแนนในแบบ single-core และ 7,129 คะแนนในแบบ multi-core Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4” โดยมีคอร์หลักที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 4.20GHz ซึ่งสูงกว่าความเร็วที่ใช้ในการทดสอบจริง แต่ยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Snapdragon 8 Elite Gen 2 ที่แม้จะลดความเร็วลงเหลือ 4.00GHz ก็ยังทำคะแนนได้ถึง 3,393 และ 11,515 คะแนน—เร็วกว่า Dimensity ถึง 61% สาเหตุหนึ่งที่ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ทำได้ดีกว่า คือการใช้คอร์แบบ in-house ที่ไม่พึ่งพา ARM โดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่สูงกว่า และยังมีความยืดหยุ่นในการออกแบบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม Dimensity 9500 ยังมีจุดเด่นในด้านการประมวลผลแบบ floating-point และคะแนน AnTuTu ที่สูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 ถึง 11% ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าชิปนี้เหมาะกับงานกราฟิกหรือ AI มากกว่าการประมวลผลทั่วไป ✅ สเปกและโครงสร้างของ Dimensity 9500 ➡️ ใช้โครงสร้าง CPU แบบ “1 + 3 + 4” ➡️ คอร์หลักเร็วสุดที่ 4.20GHz แต่ทำงานต่ำกว่าความเร็วจริง ➡️ ใช้ Cortex-X930 และ Cortex-A730 บนสถาปัตยกรรม ARMv9.2-A ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC ✅ ผลการทดสอบเบื้องต้น ➡️ Geekbench 6: single-core 2,352 / multi-core 7,129 ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ได้คะแนนสูงกว่า 61% ➡️ Dimensity 9500 ทำคะแนน AnTuTu สูงกว่า 11% (3449366 vs 3115282) ➡️ มีประสิทธิภาพด้าน floating-point computation สูงกว่า 41% ✅ จุดเด่นของ Snapdragon 8 Elite Gen 2 ➡️ ใช้คอร์แบบ in-house “Oryon Gen 2” ไม่พึ่ง ARM ➡️ ความเร็วสูงสุด 4.74GHz ในรุ่น Galaxy Edition ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P 3nm โดย TSMC ➡️ มี GPU Adreno 840 และ NPU Hexagon รุ่นใหม่ ✅ ความคาดหวังและการใช้งาน ➡️ Dimensity 9500 อาจเหมาะกับงาน AI และกราฟิกมากกว่าการประมวลผลทั่วไป ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 2 เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงแบบต่อเนื่อง ➡️ ทั้งสองชิปรองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, และ 5G ทุกย่านความถี่ https://wccftech.com/dimensity-9500-latest-single-core-and-multi-core-scores-fail-to-impress/
    WCCFTECH.COM
    Dimensity 9500 With A ‘1 + 3 + 4’ CPU Cluster And Maximum Clock Speed Of 4.20GHz Fails To Impress In The Latest Benchmark Leak; Snapdragon 8 Elite Gen 2 Up To 61 Percent Faster In The Latest Comparison
    The Snapdragon 8 Elite Gen 2 appears to be significantly faster than the Dimensity 9500, as the latter’s single-core and multi-core results are jaw-dropping
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • Mac Pro M4 Ultra: เครื่องแมคที่แรงที่สุดในประวัติศาสตร์?

    Apple กำลังทดสอบ Mac Pro รุ่นใหม่ที่อาจมาพร้อมกับชิป M4 Ultra ซึ่งเป็นรุ่นต่อยอดจาก M2 Ultra ที่ใช้ใน Mac Pro ปี 2023 โดยมีรหัสภายในว่า “t8152” และชื่อเล่นว่า “Hidra” ซึ่งปรากฏในโค้ดของ Apple ที่ Macworld ตรวจพบ

    แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่มีการคาดการณ์ว่า M4 Ultra จะมี CPU 32-core และ GPU 80-core พร้อมสถาปัตยกรรม 3nm และ Neural Engine ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะกับงาน AI และการประมวลผลระดับสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอ 8K หรือการเรนเดอร์ 3D

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Mac mini ที่ใช้ M4 Pro กลับมีประสิทธิภาพ CPU ดีกว่า Mac Pro รุ่นปัจจุบัน ทำให้ Apple ต้องรีบอัปเกรด Mac Pro เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเครื่องระดับโปร

    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยว่า Apple จะสามารถรวมสองชิป M4 Max เข้าด้วยกันแบบ UltraFusion ได้หรือไม่ เพราะมีรายงานว่า M4 Max ไม่มีตัวเชื่อม UltraFusion เหมือนรุ่นก่อนหน้า ซึ่งอาจทำให้ M4 Ultra ไม่เกิดขึ้นจริง หรือถูกเลื่อนออกไปจนถึงรุ่น M5

    ข้อมูลเกี่ยวกับ Mac Pro รุ่นใหม่
    Apple กำลังทดสอบ Mac Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M4 Ultra
    รหัสภายในคือ “t8152” และชื่อเล่นว่า “Hidra”
    คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025

    สเปกที่คาดการณ์ของ M4 Ultra
    CPU 32-core และ GPU 80-core
    ใช้สถาปัตยกรรม 3nm พร้อม Neural Engine ที่ทรงพลัง
    เหมาะกับงาน AI, การเรนเดอร์ 3D และการตัดต่อวิดีโอระดับสูง

    เหตุผลที่ Apple ต้องอัปเกรด Mac Pro
    Mac mini ที่ใช้ M4 Pro มีประสิทธิภาพ CPU ดีกว่า Mac Pro M2 Ultra
    Mac Pro ต้องรักษาภาพลักษณ์เครื่องระดับโปรที่มี PCIe และ RAM สูง
    การอัปเกรดเป็น M4 Ultra จะช่วยให้ Mac Pro กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง

    ความเคลื่อนไหวใน ecosystem ของ Apple
    Apple เปิดตัว M4 Max และ M3 Ultra ใน Mac Studio แล้ว
    Mac Pro ยังใช้ M2 Ultra ซึ่งล้าหลังกว่ารุ่นอื่น
    มีแนวโน้มว่า M4 Ultra จะถูกใช้ใน Mac Pro ก่อน Mac Studio

    https://www.techradar.com/computing/macs/apple-could-be-working-on-its-fastest-ever-mac-if-this-mac-pro-with-m4-ultra-rumor-is-true
    🚀 Mac Pro M4 Ultra: เครื่องแมคที่แรงที่สุดในประวัติศาสตร์? Apple กำลังทดสอบ Mac Pro รุ่นใหม่ที่อาจมาพร้อมกับชิป M4 Ultra ซึ่งเป็นรุ่นต่อยอดจาก M2 Ultra ที่ใช้ใน Mac Pro ปี 2023 โดยมีรหัสภายในว่า “t8152” และชื่อเล่นว่า “Hidra” ซึ่งปรากฏในโค้ดของ Apple ที่ Macworld ตรวจพบ แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่มีการคาดการณ์ว่า M4 Ultra จะมี CPU 32-core และ GPU 80-core พร้อมสถาปัตยกรรม 3nm และ Neural Engine ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะกับงาน AI และการประมวลผลระดับสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอ 8K หรือการเรนเดอร์ 3D สิ่งที่น่าสนใจคือ Mac mini ที่ใช้ M4 Pro กลับมีประสิทธิภาพ CPU ดีกว่า Mac Pro รุ่นปัจจุบัน ทำให้ Apple ต้องรีบอัปเกรด Mac Pro เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเครื่องระดับโปร อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยว่า Apple จะสามารถรวมสองชิป M4 Max เข้าด้วยกันแบบ UltraFusion ได้หรือไม่ เพราะมีรายงานว่า M4 Max ไม่มีตัวเชื่อม UltraFusion เหมือนรุ่นก่อนหน้า ซึ่งอาจทำให้ M4 Ultra ไม่เกิดขึ้นจริง หรือถูกเลื่อนออกไปจนถึงรุ่น M5 ✅ ข้อมูลเกี่ยวกับ Mac Pro รุ่นใหม่ ➡️ Apple กำลังทดสอบ Mac Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M4 Ultra ➡️ รหัสภายในคือ “t8152” และชื่อเล่นว่า “Hidra” ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ✅ สเปกที่คาดการณ์ของ M4 Ultra ➡️ CPU 32-core และ GPU 80-core ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม 3nm พร้อม Neural Engine ที่ทรงพลัง ➡️ เหมาะกับงาน AI, การเรนเดอร์ 3D และการตัดต่อวิดีโอระดับสูง ✅ เหตุผลที่ Apple ต้องอัปเกรด Mac Pro ➡️ Mac mini ที่ใช้ M4 Pro มีประสิทธิภาพ CPU ดีกว่า Mac Pro M2 Ultra ➡️ Mac Pro ต้องรักษาภาพลักษณ์เครื่องระดับโปรที่มี PCIe และ RAM สูง ➡️ การอัปเกรดเป็น M4 Ultra จะช่วยให้ Mac Pro กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง ✅ ความเคลื่อนไหวใน ecosystem ของ Apple ➡️ Apple เปิดตัว M4 Max และ M3 Ultra ใน Mac Studio แล้ว ➡️ Mac Pro ยังใช้ M2 Ultra ซึ่งล้าหลังกว่ารุ่นอื่น ➡️ มีแนวโน้มว่า M4 Ultra จะถูกใช้ใน Mac Pro ก่อน Mac Studio https://www.techradar.com/computing/macs/apple-could-be-working-on-its-fastest-ever-mac-if-this-mac-pro-with-m4-ultra-rumor-is-true
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • RTX 5090D V2: การ์ด “ลดสเปก” ที่ไม่ลดพลังเกม

    NVIDIA เปิดตัว RTX 5090D V2 สำหรับตลาดจีนโดยเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ โดยรุ่นนี้ลดขนาดแบนด์วิดธ์หน่วยความจำจาก 512-bit เหลือ 384-bit และลด VRAM จาก 32GB เหลือ 24GB GDDR7

    แต่ผลการทดสอบจากหลายสำนัก เช่น Yesky, Expreview และ Inno3D กลับพบว่า RTX 5090D V2 มีประสิทธิภาพในการเล่นเกมใกล้เคียงกับ RTX 5090D รุ่นเต็มอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉลี่ยช้ากว่าเพียง 1–2% เท่านั้น แม้ในความละเอียด 4K ที่ปกติจะไวต่อแบนด์วิดธ์หน่วยความจำ

    สาเหตุหนึ่งคือสถาปัตยกรรม Blackwell ของ NVIDIA ที่แม้จะรองรับแบนด์วิดธ์สูงถึง 1.79TB/s แต่กลับไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแบนด์วิดธ์ 512-bit ได้เต็มที่ในงานเกม ทำให้การลดเหลือ 384-bit ไม่ส่งผลกระทบมากนัก

    การเปิดตัว RTX 5090D V2
    เป็นรุ่นที่ปรับลดสเปกเพื่อขายในจีนตามข้อจำกัดการส่งออก
    ลด VRAM จาก 32GB เหลือ 24GB และลดแบนด์วิดธ์จาก 512-bit เหลือ 384-bit
    ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือนรุ่นเต็ม

    ผลการทดสอบด้านเกม
    ประสิทธิภาพใกล้เคียง RTX 5090D ในทุกเกมที่ทดสอบ เช่น Cyberpunk 2077, Hogwarts Legacy, Borderlands 3
    เฉลี่ยช้ากว่าเพียง 1–2% แม้ในความละเอียด 4K
    DLSS 4 ช่วยให้เฟรมเรตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    การเปรียบเทียบกับรุ่นเต็ม
    RTX 5090D มี VRAM 32GB และแบนด์วิดธ์ 512-bit
    RTX 5090D V2 มี VRAM 24GB และแบนด์วิดธ์ 384-bit
    สเปกอื่น ๆ เช่น CUDA cores, Tensor cores, TDP ยังคงเท่ากัน

    สถาปัตยกรรม Blackwell
    ใช้ GDDR7 และมี L2 cache ที่ช่วยลดการพึ่งพาแบนด์วิดธ์
    รองรับ DLSS 4 และฟีเจอร์ใหม่สำหรับการเรนเดอร์แบบ AI
    ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแบนด์วิดธ์ 512-bit ได้เต็มที่ในงานเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/early-rtx-5090d-v2-benchmarks-suggest-that-maybe-384-bit-memory-is-just-fine-after-all-nerfed-china-market-gpu-runs-within-2-2-percent-of-5090d-in-some-tests
    🧠 RTX 5090D V2: การ์ด “ลดสเปก” ที่ไม่ลดพลังเกม NVIDIA เปิดตัว RTX 5090D V2 สำหรับตลาดจีนโดยเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ โดยรุ่นนี้ลดขนาดแบนด์วิดธ์หน่วยความจำจาก 512-bit เหลือ 384-bit และลด VRAM จาก 32GB เหลือ 24GB GDDR7 แต่ผลการทดสอบจากหลายสำนัก เช่น Yesky, Expreview และ Inno3D กลับพบว่า RTX 5090D V2 มีประสิทธิภาพในการเล่นเกมใกล้เคียงกับ RTX 5090D รุ่นเต็มอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉลี่ยช้ากว่าเพียง 1–2% เท่านั้น แม้ในความละเอียด 4K ที่ปกติจะไวต่อแบนด์วิดธ์หน่วยความจำ สาเหตุหนึ่งคือสถาปัตยกรรม Blackwell ของ NVIDIA ที่แม้จะรองรับแบนด์วิดธ์สูงถึง 1.79TB/s แต่กลับไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแบนด์วิดธ์ 512-bit ได้เต็มที่ในงานเกม ทำให้การลดเหลือ 384-bit ไม่ส่งผลกระทบมากนัก ✅ การเปิดตัว RTX 5090D V2 ➡️ เป็นรุ่นที่ปรับลดสเปกเพื่อขายในจีนตามข้อจำกัดการส่งออก ➡️ ลด VRAM จาก 32GB เหลือ 24GB และลดแบนด์วิดธ์จาก 512-bit เหลือ 384-bit ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือนรุ่นเต็ม ✅ ผลการทดสอบด้านเกม ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียง RTX 5090D ในทุกเกมที่ทดสอบ เช่น Cyberpunk 2077, Hogwarts Legacy, Borderlands 3 ➡️ เฉลี่ยช้ากว่าเพียง 1–2% แม้ในความละเอียด 4K ➡️ DLSS 4 ช่วยให้เฟรมเรตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ✅ การเปรียบเทียบกับรุ่นเต็ม ➡️ RTX 5090D มี VRAM 32GB และแบนด์วิดธ์ 512-bit ➡️ RTX 5090D V2 มี VRAM 24GB และแบนด์วิดธ์ 384-bit ➡️ สเปกอื่น ๆ เช่น CUDA cores, Tensor cores, TDP ยังคงเท่ากัน ✅ สถาปัตยกรรม Blackwell ➡️ ใช้ GDDR7 และมี L2 cache ที่ช่วยลดการพึ่งพาแบนด์วิดธ์ ➡️ รองรับ DLSS 4 และฟีเจอร์ใหม่สำหรับการเรนเดอร์แบบ AI ➡️ ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแบนด์วิดธ์ 512-bit ได้เต็มที่ในงานเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/early-rtx-5090d-v2-benchmarks-suggest-that-maybe-384-bit-memory-is-just-fine-after-all-nerfed-china-market-gpu-runs-within-2-2-percent-of-5090d-in-some-tests
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Early RTX 5090D V2 benchmarks suggest that maybe 384-bit memory is just fine after all — 'nerfed' China-market GPU runs within 2.2% of 5090D in some tests
    There's barely any difference in performance between the RTX 5090D and its 512-bit interface compared to the 5090D V2 and its skinnier 384-bit interface in games.
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • ใบรับรองที่ไม่ใช่แค่กระดาษ: เส้นทางสู่เงินเดือนสูงในสายงาน Cybersecurity ปี 2025

    ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกวัน องค์กรต่าง ๆ ก็ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะเฉพาะทางมากขึ้นเช่นกัน และหนึ่งในวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการแสดงความสามารถคือ “ใบรับรอง” หรือ Certification ด้านความปลอดภัยไซเบอร์

    จากรายงานของ CSO Online และข้อมูลเสริมจากหลายแหล่ง พบว่าใบรับรองบางใบสามารถเพิ่มเงินเดือนเฉลี่ยได้ถึง 10–22% และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับการเจาะระบบ (penetration testing), การวิเคราะห์การบุกรุก (intrusion analysis), และการจัดการความเสี่ยงระดับองค์กร

    ตัวอย่างเช่น OSCP (Offensive Security Certified Professional) และ OSEP (Experienced Penetration Tester) ที่เน้นการทดสอบเจาะระบบแบบลงมือจริง หรือ CCSK (Certificate of Cloud Security Knowledge) ที่เน้นความรู้ด้านความปลอดภัยบนคลาวด์แบบ vendor-neutral

    นอกจากนี้ ยังมีใบรับรองระดับผู้บริหารอย่าง C|CISO ที่เหมาะกับผู้จัดการและผู้บริหารที่ต้องการเข้าใจภาพรวมของการบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ใบรับรองเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มเงินเดือน แต่ยังเปิดประตูสู่ตำแหน่งใหม่ ๆ เช่น Threat Hunter, Incident Responder, หรือแม้แต่ CISO ในองค์กรขนาดใหญ่

    ใบรับรองที่ให้ผลตอบแทนสูงในปี 2025
    OSCP: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2%
    OSEP: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2%
    CCSK: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2%
    C|CISO: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 10%
    GCIA: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1%
    CSFA: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1%
    OSDA และ OSEE: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1%
    OSCE: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 12%, เติบโต 9.1%

    ประเภทของใบรับรองที่น่าสนใจ
    Offensive Security (OSCP, OSEP, OSCE, OSDA, OSEE): เน้นการเจาะระบบและการป้องกัน Cloud Security (CCSK): เหมาะกับผู้ดูแลระบบคลาวด์และ compliance
    Forensics (CSFA): เน้นการวิเคราะห์หลักฐานดิจิทัล
    Governance & Leadership (C|CISO): เหมาะกับผู้บริหารด้านความปลอดภัย

    แนวโน้มตลาดแรงงานและเงินเดือน
    ผู้ถือใบรับรองมีรายได้สูงกว่าผู้ไม่มีใบรับรอง 20–25% โดยเฉลี่ย
    ตำแหน่งในสหรัฐฯ เช่น CISO มีรายได้เฉลี่ยเกิน $240,000
    ประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่า $100,000
    ตลาดยุโรปตะวันออกเติบโตเร็วจากการขยายบริการความปลอดภัยแบบ outsource

    https://www.csoonline.com/article/3846312/11-hottest-it-security-certs-for-higher-pay-today.html
    🧠 ใบรับรองที่ไม่ใช่แค่กระดาษ: เส้นทางสู่เงินเดือนสูงในสายงาน Cybersecurity ปี 2025 ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกวัน องค์กรต่าง ๆ ก็ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะเฉพาะทางมากขึ้นเช่นกัน และหนึ่งในวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการแสดงความสามารถคือ “ใบรับรอง” หรือ Certification ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ จากรายงานของ CSO Online และข้อมูลเสริมจากหลายแหล่ง พบว่าใบรับรองบางใบสามารถเพิ่มเงินเดือนเฉลี่ยได้ถึง 10–22% และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับการเจาะระบบ (penetration testing), การวิเคราะห์การบุกรุก (intrusion analysis), และการจัดการความเสี่ยงระดับองค์กร ตัวอย่างเช่น OSCP (Offensive Security Certified Professional) และ OSEP (Experienced Penetration Tester) ที่เน้นการทดสอบเจาะระบบแบบลงมือจริง หรือ CCSK (Certificate of Cloud Security Knowledge) ที่เน้นความรู้ด้านความปลอดภัยบนคลาวด์แบบ vendor-neutral นอกจากนี้ ยังมีใบรับรองระดับผู้บริหารอย่าง C|CISO ที่เหมาะกับผู้จัดการและผู้บริหารที่ต้องการเข้าใจภาพรวมของการบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย สิ่งที่น่าสนใจคือ ใบรับรองเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มเงินเดือน แต่ยังเปิดประตูสู่ตำแหน่งใหม่ ๆ เช่น Threat Hunter, Incident Responder, หรือแม้แต่ CISO ในองค์กรขนาดใหญ่ ✅ ใบรับรองที่ให้ผลตอบแทนสูงในปี 2025 ➡️ OSCP: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2% ➡️ OSEP: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2% ➡️ CCSK: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2% ➡️ C|CISO: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 10% ➡️ GCIA: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1% ➡️ CSFA: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1% ➡️ OSDA และ OSEE: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1% ➡️ OSCE: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 12%, เติบโต 9.1% ✅ ประเภทของใบรับรองที่น่าสนใจ ➡️ Offensive Security (OSCP, OSEP, OSCE, OSDA, OSEE): เน้นการเจาะระบบและการป้องกัน ➡️ Cloud Security (CCSK): เหมาะกับผู้ดูแลระบบคลาวด์และ compliance ➡️ Forensics (CSFA): เน้นการวิเคราะห์หลักฐานดิจิทัล ➡️ Governance & Leadership (C|CISO): เหมาะกับผู้บริหารด้านความปลอดภัย ✅ แนวโน้มตลาดแรงงานและเงินเดือน ➡️ ผู้ถือใบรับรองมีรายได้สูงกว่าผู้ไม่มีใบรับรอง 20–25% โดยเฉลี่ย ➡️ ตำแหน่งในสหรัฐฯ เช่น CISO มีรายได้เฉลี่ยเกิน $240,000 ➡️ ประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่า $100,000 ➡️ ตลาดยุโรปตะวันออกเติบโตเร็วจากการขยายบริการความปลอดภัยแบบ outsource https://www.csoonline.com/article/3846312/11-hottest-it-security-certs-for-higher-pay-today.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    9 hottest IT security certs for higher pay today
    Cybersecurity certifications can pave a path to lucrative career advancement. But timing the job market with the right credentials can be challenging. Here are the certs providing the largest pay boosts right now.
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • "พีระพันธุ์" มอบรางวัลภาพยนตร์สั้น "ความเป็นไทย"...ย้ำรัฐบาลมุ่งมั่นปกป้องเอกลักษณ์ของชาติ
    https://www.thai-tai.tv/news/20956/
    .
    #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #เอกลักษณ์ของชาติ #ShortFilmContest #ความเป็นไทย #วัฒนธรรมไทย #ไทยไท

    "พีระพันธุ์" มอบรางวัลภาพยนตร์สั้น "ความเป็นไทย"...ย้ำรัฐบาลมุ่งมั่นปกป้องเอกลักษณ์ของชาติ https://www.thai-tai.tv/news/20956/ . #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #เอกลักษณ์ของชาติ #ShortFilmContest #ความเป็นไทย #วัฒนธรรมไทย #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • เล่าให้ฟังใหม่: Kindle Petit Color — อีรีดเดอร์จอสีรุ่นเล็กจาก Amazon ที่อาจมาเปลี่ยนประสบการณ์การอ่าน

    มีข่าวลือว่า Amazon กำลังทดสอบ Kindle Petit Color ซึ่งเป็นอีรีดเดอร์จอสีรุ่นเล็กที่อาจเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยมีภาพหลุดจากผู้ใช้ Reddit ในบราซิลที่อ้างว่าได้ทดลองใช้งานจริง

    Kindle Petit Color มีขนาดใกล้เคียงกับ Kindle รุ่นพื้นฐานปี 2024 แต่เพิ่มจอ E Ink สีที่สามารถปรับความอิ่มตัวของสีแต่ละสีได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ไม่เคยมีใน Kindle รุ่นใดมาก่อน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “progressive colors” ที่เปลี่ยนสีข้อความตามความคืบหน้าในการอ่าน เช่น เปลี่ยนสีทุก 25% ของหนังสือ

    อีกหนึ่งจุดเด่นคือขอบจอ (bezel) ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยมีสีให้เลือกหลากหลาย เช่น “mermaid” ที่เปลี่ยนสีตามมุมมอง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Kindle มีการออกแบบในลักษณะนี้

    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยหลายประการ เช่น ความละเอียดจอที่อาจใช้ E Ink Kaleido 3 ซึ่งมีข้อจำกัดด้านความคมชัด และความเป็นไปได้ที่ Amazon จะเปิดตัว Kindle รุ่นใหม่เร็วเกินไปเมื่อเทียบกับรอบการอัปเดตที่ผ่านมา

    Amazon อาจเปิดตัว Kindle Petit Color ในเดือนพฤศจิกายน
    เป็นอีรีดเดอร์จอสีขนาดเล็กที่มีฟีเจอร์ใหม่

    จอ E Ink สีสามารถปรับความอิ่มตัวของแต่ละสีได้
    แตกต่างจากรุ่นอื่นที่ปรับได้แค่ระดับรวม

    มีฟีเจอร์ “progressive colors” เปลี่ยนสีข้อความตามความคืบหน้าในการอ่าน
    เพิ่มความมีชีวิตชีวาในการอ่านหนังสือ

    ขอบจอสามารถถอดเปลี่ยนได้ มีสีให้เลือกหลายแบบ
    รวมถึงรุ่นพิเศษที่เปลี่ยนสีตามมุมมอง

    ขนาดใกล้เคียงกับ Kindle รุ่นพื้นฐานปี 2024
    แต่เพิ่มฟีเจอร์จอสีและ UI ที่ปรับแต่งได้

    อาจใช้จอ E Ink Kaleido 3 ที่มีความละเอียด 150ppi สำหรับสี
    ช่วยให้ข้อความดูคมขึ้นบนหน้าจอขนาดเล็ก

    https://www.techradar.com/tablets/ereaders/amazon-is-reportedly-testing-a-smaller-version-of-the-kindle-colorsoft-for-a-november-release-but-im-not-entirely-convinced-by-the-leaks
    📚✨ เล่าให้ฟังใหม่: Kindle Petit Color — อีรีดเดอร์จอสีรุ่นเล็กจาก Amazon ที่อาจมาเปลี่ยนประสบการณ์การอ่าน มีข่าวลือว่า Amazon กำลังทดสอบ Kindle Petit Color ซึ่งเป็นอีรีดเดอร์จอสีรุ่นเล็กที่อาจเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยมีภาพหลุดจากผู้ใช้ Reddit ในบราซิลที่อ้างว่าได้ทดลองใช้งานจริง Kindle Petit Color มีขนาดใกล้เคียงกับ Kindle รุ่นพื้นฐานปี 2024 แต่เพิ่มจอ E Ink สีที่สามารถปรับความอิ่มตัวของสีแต่ละสีได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ไม่เคยมีใน Kindle รุ่นใดมาก่อน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “progressive colors” ที่เปลี่ยนสีข้อความตามความคืบหน้าในการอ่าน เช่น เปลี่ยนสีทุก 25% ของหนังสือ อีกหนึ่งจุดเด่นคือขอบจอ (bezel) ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยมีสีให้เลือกหลากหลาย เช่น “mermaid” ที่เปลี่ยนสีตามมุมมอง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Kindle มีการออกแบบในลักษณะนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยหลายประการ เช่น ความละเอียดจอที่อาจใช้ E Ink Kaleido 3 ซึ่งมีข้อจำกัดด้านความคมชัด และความเป็นไปได้ที่ Amazon จะเปิดตัว Kindle รุ่นใหม่เร็วเกินไปเมื่อเทียบกับรอบการอัปเดตที่ผ่านมา ✅ Amazon อาจเปิดตัว Kindle Petit Color ในเดือนพฤศจิกายน ➡️ เป็นอีรีดเดอร์จอสีขนาดเล็กที่มีฟีเจอร์ใหม่ ✅ จอ E Ink สีสามารถปรับความอิ่มตัวของแต่ละสีได้ ➡️ แตกต่างจากรุ่นอื่นที่ปรับได้แค่ระดับรวม ✅ มีฟีเจอร์ “progressive colors” เปลี่ยนสีข้อความตามความคืบหน้าในการอ่าน ➡️ เพิ่มความมีชีวิตชีวาในการอ่านหนังสือ ✅ ขอบจอสามารถถอดเปลี่ยนได้ มีสีให้เลือกหลายแบบ ➡️ รวมถึงรุ่นพิเศษที่เปลี่ยนสีตามมุมมอง ✅ ขนาดใกล้เคียงกับ Kindle รุ่นพื้นฐานปี 2024 ➡️ แต่เพิ่มฟีเจอร์จอสีและ UI ที่ปรับแต่งได้ ✅ อาจใช้จอ E Ink Kaleido 3 ที่มีความละเอียด 150ppi สำหรับสี ➡️ ช่วยให้ข้อความดูคมขึ้นบนหน้าจอขนาดเล็ก https://www.techradar.com/tablets/ereaders/amazon-is-reportedly-testing-a-smaller-version-of-the-kindle-colorsoft-for-a-november-release-but-im-not-entirely-convinced-by-the-leaks
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว?

    YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ

    แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส

    ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง

    YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ
    ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก

    หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม
    พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท

    ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน
    และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์

    ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย
    เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด

    ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ
    เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง

    ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play
    ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม

    การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้
    เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน

    กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่
    เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น

    การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง
    แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด

    การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต
    โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง

    https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    🧠🔞 YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว? YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ ➡️ ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก ✅ หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม ➡️ พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท ✅ ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน ➡️ และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ ✅ ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย ➡️ เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด ✅ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ ➡️ เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play ➡️ ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม ✅ การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้ ➡️ เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน ✅ กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่ ➡️ เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น ✅ การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง ➡️ แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด ✅ การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต ➡️ โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    WCCFTECH.COM
    YouTube Tests AI-Powered Age Verification In The U.S. To Safeguard Teens While Navigating Privacy And Free Speech Challenges
    YouTube is testing a new age-verification system in the U.S. that relies on the technology to distinguish adults and minors
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • เมื่อ 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยตกเป็นเหยื่อออนไลน์: กลโกงใหม่ที่คุณต้องรู้ทัน

    ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต การหลอกลวงออนไลน์กลายเป็นภัยเงียบที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันของผู้คนโดยไม่รู้ตัว จากการสำรวจล่าสุดโดย Pew Research Center พบว่า 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยเผชิญกับการหลอกลวงออนไลน์อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกขโมยข้อมูลบัตรเครดิต ซื้อของออนไลน์แล้วไม่ได้รับสินค้า หรือถูกโจมตีด้วย ransomware

    ที่น่าตกใจคือ คนวัยทำงานอายุ 18–59 ปีกลับมีแนวโน้มเสียเงินจากการหลอกลวงมากกว่าผู้สูงอายุถึง 34% โดยกลโกงที่พบมากที่สุดในกลุ่มนี้คือโฆษณาหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย งานปลอม และการลงทุนปลอม

    กลโกงใหม่ที่กำลังระบาดคือ “การเชิญประชุมปลอม” ผ่าน Google หรือ Outlook Calendar ที่แฮกเกอร์ส่งลิงก์ปลอมมาให้โดยไม่ต้องได้รับการตอบรับ เมื่อคลิกเข้าไป ผู้ใช้จะถูกนำไปยังเว็บปลอมที่ดูเหมือน Zoom หรือถูกหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์

    อีกหนึ่งกลโกงคือการโจมตีผ่านแอปยืนยันตัวตน (MFA) ที่ส่งการแจ้งเตือนซ้ำ ๆ จนผู้ใช้เผลอกดอนุมัติโดยไม่ตั้งใจ และสุดท้ายคือไฟล์แนบ HTML ที่แฝงโค้ดอันตรายไว้ในอีเมลที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้

    73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยถูกหลอกลวงออนไลน์
    รูปแบบที่พบบ่อยคือบัตรเครดิต, ซื้อของออนไลน์, ransomware

    32% เคยถูกหลอกลวงภายในปีที่ผ่านมา
    ส่วนใหญ่ผ่านอีเมล, ข้อความ หรือโทรศัพท์

    คนอายุ 18–59 ปีมีแนวโน้มเสียเงินจากการหลอกลวงมากกว่าผู้สูงอายุ
    โดยเฉพาะจากโฆษณาในโซเชียลมีเดีย, งานปลอม และการลงทุนปลอม

    กลโกงใหม่ผ่าน Calendar Invite ปลอม
    ลิงก์ปลอมที่ดูเหมือน Zoom หรืออัปเดตซอฟต์แวร์

    MFA scam ส่งแจ้งเตือนซ้ำ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เผลอกดอนุมัติ
    มักเกิดกับแอปที่ใช้การแจ้งเตือนแบบ “approve”

    ไฟล์แนบ HTML ในอีเมลสามารถฝังมัลแวร์หรือเปิดเว็บปลอม
    ใช้ชื่อบริการที่คุ้นเคยเพื่อหลอกให้คลิก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/at-least-73-of-us-adults-have-fallen-for-online-scams-how-you-can-avoid-the-latest-con
    🕵️‍♀️📱 เมื่อ 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยตกเป็นเหยื่อออนไลน์: กลโกงใหม่ที่คุณต้องรู้ทัน ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต การหลอกลวงออนไลน์กลายเป็นภัยเงียบที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันของผู้คนโดยไม่รู้ตัว จากการสำรวจล่าสุดโดย Pew Research Center พบว่า 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยเผชิญกับการหลอกลวงออนไลน์อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกขโมยข้อมูลบัตรเครดิต ซื้อของออนไลน์แล้วไม่ได้รับสินค้า หรือถูกโจมตีด้วย ransomware ที่น่าตกใจคือ คนวัยทำงานอายุ 18–59 ปีกลับมีแนวโน้มเสียเงินจากการหลอกลวงมากกว่าผู้สูงอายุถึง 34% โดยกลโกงที่พบมากที่สุดในกลุ่มนี้คือโฆษณาหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย งานปลอม และการลงทุนปลอม กลโกงใหม่ที่กำลังระบาดคือ “การเชิญประชุมปลอม” ผ่าน Google หรือ Outlook Calendar ที่แฮกเกอร์ส่งลิงก์ปลอมมาให้โดยไม่ต้องได้รับการตอบรับ เมื่อคลิกเข้าไป ผู้ใช้จะถูกนำไปยังเว็บปลอมที่ดูเหมือน Zoom หรือถูกหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์ อีกหนึ่งกลโกงคือการโจมตีผ่านแอปยืนยันตัวตน (MFA) ที่ส่งการแจ้งเตือนซ้ำ ๆ จนผู้ใช้เผลอกดอนุมัติโดยไม่ตั้งใจ และสุดท้ายคือไฟล์แนบ HTML ที่แฝงโค้ดอันตรายไว้ในอีเมลที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ✅ 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยถูกหลอกลวงออนไลน์ ➡️ รูปแบบที่พบบ่อยคือบัตรเครดิต, ซื้อของออนไลน์, ransomware ✅ 32% เคยถูกหลอกลวงภายในปีที่ผ่านมา ➡️ ส่วนใหญ่ผ่านอีเมล, ข้อความ หรือโทรศัพท์ ✅ คนอายุ 18–59 ปีมีแนวโน้มเสียเงินจากการหลอกลวงมากกว่าผู้สูงอายุ ➡️ โดยเฉพาะจากโฆษณาในโซเชียลมีเดีย, งานปลอม และการลงทุนปลอม ✅ กลโกงใหม่ผ่าน Calendar Invite ปลอม ➡️ ลิงก์ปลอมที่ดูเหมือน Zoom หรืออัปเดตซอฟต์แวร์ ✅ MFA scam ส่งแจ้งเตือนซ้ำ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เผลอกดอนุมัติ ➡️ มักเกิดกับแอปที่ใช้การแจ้งเตือนแบบ “approve” ✅ ไฟล์แนบ HTML ในอีเมลสามารถฝังมัลแวร์หรือเปิดเว็บปลอม ➡️ ใช้ชื่อบริการที่คุ้นเคยเพื่อหลอกให้คลิก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/at-least-73-of-us-adults-have-fallen-for-online-scams-how-you-can-avoid-the-latest-con
    WWW.THESTAR.COM.MY
    At least 73% of US adults have fallen for online scams. How you can avoid the latest con
    Scammers are constantly finding new ways to lure you into unknowingly giving up your personal information and the calendar connected to your email account is one of them.
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • Adaptec SmartRAID 4300: การปฏิวัติ RAID สำหรับยุค NVMe ความเร็วสูง

    ในยุคที่ข้อมูลเติบโตแบบก้าวกระโดด การจัดการ storage ให้เร็วและปลอดภัยกลายเป็นหัวใจของศูนย์ข้อมูล Adaptec จึงเปิดตัว SmartRAID 4300 ซีรีส์ใหม่ล่าสุด—RAID card แบบ software-defined ที่รองรับ SSD NVMe ได้ถึง 32 ตัว พร้อมความเร็วอ่านข้อมูลสูงสุดถึง 291 GB/s

    ต่างจาก RAID card แบบเดิมที่เชื่อมต่อ SSD โดยตรง SmartRAID 4300 ใช้แนวคิดใหม่: ไม่มีการเชื่อมต่อไดรฟ์บนตัวการ์ดเลย แต่ใช้ CPU เป็นศูนย์กลางในการจัดการ I/O แล้วส่งข้อมูลผ่าน software-defined storage (SDS) ไปยัง SSD โดยตรง

    การออกแบบนี้ช่วยลดข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์ RAID แบบเก่า ทำให้สามารถใช้ SSD จากหลายแบรนด์ร่วมกันได้ และยังเพิ่มความสามารถในการขยายระบบแบบไร้ข้อจำกัดของ vendor

    SmartRAID 4300 ยังรองรับ RAID modes หลากหลาย (0, 1, 10, 5, 50), secure boot, secure update, attestation, และการจัดการผ่าน UEFI pre-boot พร้อมฟีเจอร์ enterprise เช่น hot-plug, hot-spare, S.M.A.R.T., และการรองรับ sector ขนาด 4K และ 512-byte

    นอกจากนี้ยังมีการเร่งความเร็ว RAID โดยใช้ hardware accelerator บน PCIe x16 ซึ่งช่วยลดภาระของ CPU และเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน/เขียนข้อมูลอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในระบบ Linux ที่สามารถทำ random read ได้ถึง 27 ล้าน IOPS

    Adaptec เปิดตัว SmartRAID 4300 ซีรีส์ RAID card แบบ software-defined
    รองรับ SSD NVMe สูงสุด 32 ตัวผ่าน PCIe 4.0 และ 5.0

    ความเร็วอ่านข้อมูลสูงสุด 291 GB/s และเขียน 155 GB/s ใน RAID 5 บน Linux
    ใช้การจัดการ I/O ผ่าน software โดยไม่เชื่อมต่อ SSD บนตัวการ์ด

    รองรับ RAID modes: 0, 1, 10, 5, 50
    มีฟีเจอร์ enterprise เช่น secure boot, hot-plug, S.M.A.R.T.

    ใช้ฟอร์มแฟกเตอร์ MD2 low-profile และเสียบผ่าน PCIe x16 slot
    เหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความปลอดภัย

    รองรับ sector ขนาด 4K และ 512-byte
    รองรับการจัดการผ่าน UEFI pre-boot และ maxView tool

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/adaptec-announces-new-raid-card-that-supports-up-to-32-nvme-pcie-4-0-and-5-0-ssds-offers-up-to-291gb-s-read-speeds-at-full-capacity
    🚀🔧 Adaptec SmartRAID 4300: การปฏิวัติ RAID สำหรับยุค NVMe ความเร็วสูง ในยุคที่ข้อมูลเติบโตแบบก้าวกระโดด การจัดการ storage ให้เร็วและปลอดภัยกลายเป็นหัวใจของศูนย์ข้อมูล Adaptec จึงเปิดตัว SmartRAID 4300 ซีรีส์ใหม่ล่าสุด—RAID card แบบ software-defined ที่รองรับ SSD NVMe ได้ถึง 32 ตัว พร้อมความเร็วอ่านข้อมูลสูงสุดถึง 291 GB/s ต่างจาก RAID card แบบเดิมที่เชื่อมต่อ SSD โดยตรง SmartRAID 4300 ใช้แนวคิดใหม่: ไม่มีการเชื่อมต่อไดรฟ์บนตัวการ์ดเลย แต่ใช้ CPU เป็นศูนย์กลางในการจัดการ I/O แล้วส่งข้อมูลผ่าน software-defined storage (SDS) ไปยัง SSD โดยตรง การออกแบบนี้ช่วยลดข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์ RAID แบบเก่า ทำให้สามารถใช้ SSD จากหลายแบรนด์ร่วมกันได้ และยังเพิ่มความสามารถในการขยายระบบแบบไร้ข้อจำกัดของ vendor SmartRAID 4300 ยังรองรับ RAID modes หลากหลาย (0, 1, 10, 5, 50), secure boot, secure update, attestation, และการจัดการผ่าน UEFI pre-boot พร้อมฟีเจอร์ enterprise เช่น hot-plug, hot-spare, S.M.A.R.T., และการรองรับ sector ขนาด 4K และ 512-byte นอกจากนี้ยังมีการเร่งความเร็ว RAID โดยใช้ hardware accelerator บน PCIe x16 ซึ่งช่วยลดภาระของ CPU และเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน/เขียนข้อมูลอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในระบบ Linux ที่สามารถทำ random read ได้ถึง 27 ล้าน IOPS ✅ Adaptec เปิดตัว SmartRAID 4300 ซีรีส์ RAID card แบบ software-defined ➡️ รองรับ SSD NVMe สูงสุด 32 ตัวผ่าน PCIe 4.0 และ 5.0 ✅ ความเร็วอ่านข้อมูลสูงสุด 291 GB/s และเขียน 155 GB/s ใน RAID 5 บน Linux ➡️ ใช้การจัดการ I/O ผ่าน software โดยไม่เชื่อมต่อ SSD บนตัวการ์ด ✅ รองรับ RAID modes: 0, 1, 10, 5, 50 ➡️ มีฟีเจอร์ enterprise เช่น secure boot, hot-plug, S.M.A.R.T. ✅ ใช้ฟอร์มแฟกเตอร์ MD2 low-profile และเสียบผ่าน PCIe x16 slot ➡️ เหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความปลอดภัย ✅ รองรับ sector ขนาด 4K และ 512-byte ➡️ รองรับการจัดการผ่าน UEFI pre-boot และ maxView tool https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/adaptec-announces-new-raid-card-that-supports-up-to-32-nvme-pcie-4-0-and-5-0-ssds-offers-up-to-291gb-s-read-speeds-at-full-capacity
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโต๊ะทดสอบ: der8enchtable โต๊ะทดสอบสุดล้ำที่รวมพลังงาน ความเย็น และการเชื่อมต่อไว้ในแผ่นเดียว

    ถ้าคุณเป็นสายฮาร์ดแวร์ที่ชอบทดสอบอุปกรณ์ เปลี่ยนเมนบอร์ดบ่อย ๆ หรือทำงานรีวิวอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โต๊ะทดสอบแบบเปิด (open bench table) คือเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ และล่าสุด Thermal Grizzly ร่วมกับ Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs ได้เปิดตัว der8enchtable — โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพที่ไม่ใช่แค่โครงเหล็กวางเมนบอร์ด แต่เป็นแผ่น PCB ที่มีระบบควบคุมพัดลม ปั๊มน้ำ พอร์ตเก็บข้อมูล และไฟ RGB ในตัว

    der8enchtable เปิดตัวครั้งแรกในงาน Computex 2025 และคว้ารางวัลด้านการออกแบบทันที จุดเด่นคือการรวมพอร์ต SATA, USB, microSD, พัดลม และปั๊มน้ำไว้ในแผ่น PCB เดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถ hot-swap อุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับเมนบอร์ดโดยตรง

    โต๊ะนี้มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน (Fan Zones) และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน (Pump Zone) โดยแต่ละโซนมีหัวต่อ 4-pin ที่จ่ายไฟได้ถึง 3A พร้อมฟิวส์แยก และสามารถควบคุมความเร็วได้แบบอิสระ หรือส่งต่อให้เมนบอร์ดควบคุมก็ได้

    นอกจากนี้ยังมีพอร์ต USB Type-A และ Type-C, ช่องเสียบ microSD สำหรับโหลด OS หรือ BIOS, จุดติดตั้ง SSD ขนาด 2.5 นิ้ว และไฟ RGB ที่ควบคุมผ่านเมนบอร์ดหรือคอนโทรลเลอร์แยก โต๊ะนี้ยังสามารถปรับขนาดให้รองรับ ATX, mATX และ Mini-ITX ได้ และมีโครงแบบโมดูลาร์ที่ติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้ตามต้องการ

    Thermal Grizzly เปิดตัว der8enchtable โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพ
    พัฒนาโดย Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs

    โต๊ะใช้ PCB เป็นฐานหลักที่รวมพอร์ตและระบบควบคุมไว้ในแผ่นเดียว
    มีพอร์ต SATA, USB, microSD, และไฟ RGB ในตัว

    มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน
    แต่ละหัวต่อจ่ายไฟได้ 3A พร้อมฟิวส์แยก และควบคุมความเร็วได้

    รองรับการติดตั้ง SSD 2.5 นิ้ว 2 ลูก และ microSD ได้ 4 ช่อง
    เหมาะสำหรับโหลด OS, BIOS หรือไฟล์ทดสอบ

    มีพอร์ต USB Type-A 4 ช่อง และ Type-C 2 ช่อง
    ใช้พลังงานจาก PCIe 6-pin และเชื่อมต่อเมนบอร์ดผ่าน USB header

    รองรับเมนบอร์ด ATX, mATX, Mini-ITX และติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้
    มีสาย Velcro สำหรับจัดการสายไฟ และไฟ RGB ควบคุมผ่าน 3-pin header

    ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $268.98 พร้อมอุปกรณ์ครบชุด
    รวมสาย, ขาตั้ง, อุปกรณ์ติดตั้ง และประแจ Allen

    der8enchtable ได้รับรางวัล Best of Computex 2025 จาก TechPowerUp
    เพราะรวมฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับนักทดสอบไว้ในอุปกรณ์เดียว

    โต๊ะนี้ช่วยลดเวลาการเปลี่ยนเมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่าง ๆ
    โดยไม่ต้องถอดสายหรือติดตั้งใหม่ทุกครั้ง

    เหมาะสำหรับนักรีวิว, นักโอเวอร์คล็อก, และผู้พัฒนาไดรเวอร์หรือ BIOS
    เพราะสามารถทดสอบหลายระบบได้อย่างรวดเร็ว

    การใช้ PCB เป็นฐานช่วยให้การจัดการพลังงานและความเย็นมีประสิทธิภาพ
    โดยไม่ต้องพึ่งพาเคสหรือระบบแยก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-grizzly-and-der8auer-launch-the-der8enchtable-enthusiast-test-bench-boasts-an-open-design-integrated-pcb-for-storage-and-cooling
    🧪🛠️ เรื่องเล่าจากโต๊ะทดสอบ: der8enchtable โต๊ะทดสอบสุดล้ำที่รวมพลังงาน ความเย็น และการเชื่อมต่อไว้ในแผ่นเดียว ถ้าคุณเป็นสายฮาร์ดแวร์ที่ชอบทดสอบอุปกรณ์ เปลี่ยนเมนบอร์ดบ่อย ๆ หรือทำงานรีวิวอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โต๊ะทดสอบแบบเปิด (open bench table) คือเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ และล่าสุด Thermal Grizzly ร่วมกับ Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs ได้เปิดตัว der8enchtable — โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพที่ไม่ใช่แค่โครงเหล็กวางเมนบอร์ด แต่เป็นแผ่น PCB ที่มีระบบควบคุมพัดลม ปั๊มน้ำ พอร์ตเก็บข้อมูล และไฟ RGB ในตัว der8enchtable เปิดตัวครั้งแรกในงาน Computex 2025 และคว้ารางวัลด้านการออกแบบทันที จุดเด่นคือการรวมพอร์ต SATA, USB, microSD, พัดลม และปั๊มน้ำไว้ในแผ่น PCB เดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถ hot-swap อุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับเมนบอร์ดโดยตรง โต๊ะนี้มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน (Fan Zones) และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน (Pump Zone) โดยแต่ละโซนมีหัวต่อ 4-pin ที่จ่ายไฟได้ถึง 3A พร้อมฟิวส์แยก และสามารถควบคุมความเร็วได้แบบอิสระ หรือส่งต่อให้เมนบอร์ดควบคุมก็ได้ นอกจากนี้ยังมีพอร์ต USB Type-A และ Type-C, ช่องเสียบ microSD สำหรับโหลด OS หรือ BIOS, จุดติดตั้ง SSD ขนาด 2.5 นิ้ว และไฟ RGB ที่ควบคุมผ่านเมนบอร์ดหรือคอนโทรลเลอร์แยก โต๊ะนี้ยังสามารถปรับขนาดให้รองรับ ATX, mATX และ Mini-ITX ได้ และมีโครงแบบโมดูลาร์ที่ติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้ตามต้องการ ✅ Thermal Grizzly เปิดตัว der8enchtable โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพ ➡️ พัฒนาโดย Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs ✅ โต๊ะใช้ PCB เป็นฐานหลักที่รวมพอร์ตและระบบควบคุมไว้ในแผ่นเดียว ➡️ มีพอร์ต SATA, USB, microSD, และไฟ RGB ในตัว ✅ มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน ➡️ แต่ละหัวต่อจ่ายไฟได้ 3A พร้อมฟิวส์แยก และควบคุมความเร็วได้ ✅ รองรับการติดตั้ง SSD 2.5 นิ้ว 2 ลูก และ microSD ได้ 4 ช่อง ➡️ เหมาะสำหรับโหลด OS, BIOS หรือไฟล์ทดสอบ ✅ มีพอร์ต USB Type-A 4 ช่อง และ Type-C 2 ช่อง ➡️ ใช้พลังงานจาก PCIe 6-pin และเชื่อมต่อเมนบอร์ดผ่าน USB header ✅ รองรับเมนบอร์ด ATX, mATX, Mini-ITX และติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้ ➡️ มีสาย Velcro สำหรับจัดการสายไฟ และไฟ RGB ควบคุมผ่าน 3-pin header ✅ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $268.98 พร้อมอุปกรณ์ครบชุด ➡️ รวมสาย, ขาตั้ง, อุปกรณ์ติดตั้ง และประแจ Allen ✅ der8enchtable ได้รับรางวัล Best of Computex 2025 จาก TechPowerUp ➡️ เพราะรวมฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับนักทดสอบไว้ในอุปกรณ์เดียว ✅ โต๊ะนี้ช่วยลดเวลาการเปลี่ยนเมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่าง ๆ ➡️ โดยไม่ต้องถอดสายหรือติดตั้งใหม่ทุกครั้ง ✅ เหมาะสำหรับนักรีวิว, นักโอเวอร์คล็อก, และผู้พัฒนาไดรเวอร์หรือ BIOS ➡️ เพราะสามารถทดสอบหลายระบบได้อย่างรวดเร็ว ✅ การใช้ PCB เป็นฐานช่วยให้การจัดการพลังงานและความเย็นมีประสิทธิภาพ ➡️ โดยไม่ต้องพึ่งพาเคสหรือระบบแยก https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-grizzly-and-der8auer-launch-the-der8enchtable-enthusiast-test-bench-boasts-an-open-design-integrated-pcb-for-storage-and-cooling
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • สาวไทยในนอร์เวย์ เปิดคลิปเขมรป่วน ยืนประท้วงอย่างไร้ค่าในญี่ปุ่น (7/8/68)
    Thai woman in Norway exposes Khmer chaos—shows their meaningless protest in Japan.

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #ไทยในนอร์เวย์
    #เขมรป่วน
    #ประท้วงญี่ปุ่น
    #ข่าวต่างประเทศ
    #ข่าววันนี้
    #shorts
    #news1
    #thaitimes
    #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    สาวไทยในนอร์เวย์ เปิดคลิปเขมรป่วน ยืนประท้วงอย่างไร้ค่าในญี่ปุ่น (7/8/68) Thai woman in Norway exposes Khmer chaos—shows their meaningless protest in Japan. #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #ไทยในนอร์เวย์ #เขมรป่วน #ประท้วงญี่ปุ่น #ข่าวต่างประเทศ #ข่าววันนี้ #shorts #news1 #thaitimes #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 0 Reviews
  • ร้องเพลงรอรถไฟ ETS ไปยะโฮร์ ระบบไฟฟ้า-อาณัติสัญญาณยังไม่เสร็จ

    ความหวังที่อยากจะนั่งรถไฟ ETS แบบสบายๆ จากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปเมืองยะโฮร์บาห์รู เพื่อต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ อาจจะเป็นไปได้ยากในปีนี้ เมื่อหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ (The Star) ไปสำรวจโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร พบว่าการก่อสร้างระบบไฟฟ้าและระบบอาณัติสัญญาณยังไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะช่วงระหว่างสถานีกลวง (Kluang) ถึงสถานีเจบี เซ็นทรัล (JB Sentral) ระยะทางราว 100 กิโลเมตร

    ก่อนหน้านี้ นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปี 2568 ว่าบริการรถไฟ ETS จากสถานีเกมัส (Gemas) รัฐเนกรีเซมบิลัน ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จะพร้อมให้บริการในเดือน ส.ค.2568 แต่หลังจากเปิดให้บริการช่วงสั้นๆ ไปยังสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ รวมทั้งระบบจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้าของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) พบว่ายังไม่มีการจำหน่ายตั๋วรถไฟ ETS ขาล่องไปยังเมืองทางตอนใต้ใดๆ อีกทั้ง KTMB ยังประกาศระงับการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลังเดือน ธ.ค. 2568 จากปกติสามารถจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ถึง 6 เดือน

    นายยูสลิซาร์ ดาวูด (Yuslizar Daud) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรถไฟของมาเลเซีย กล่าวว่า กระบวนการในการติดตั้งและทดสอบระบบจ่ายไฟฟ้าเหนือหัวอย่างสมบูรณ์อาจใช้เวลานาน ทั้งการร้อยสายอุปกรณ์สายส่งไฟฟ้าเหนือหัว (OHLE) การดึงสาย การปรับราง การจ่ายไฟ การทดสอบก่อนการใช้งาน และการทดสอบเสมือนจริง (Test & Commissioning) จะใช้เวลานานพอสมควร จากนั้นตรวจสอบขั้นสุดท้ายโดยสํานักงานคณะกรรมการขนส่งทางบกแห่งชาติมาเลเซีย (APAD) ก่อนที่จะได้รับอนุญาต แต่จากภาพที่ผู้สื่อข่าว The Star นำมาแสดงไม่เห็นว่าจะมีความพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ก.ย.2568

    เข้าใจว่า KTM Berhad กำลังพยายามเร่งเปิดให้บริการจากสถานีเซกามัต ไปยังสถานีกลวง ระยะทาง 90 กิโลเมตรภายในไตรมาสนี้ แม้ดูเหมือนว่า KTM Berhad จะยังไม่ยื่นคำขออนุญาตไปยัง APAD ก็ตาม ขณะเดียวกันยังต้องทดสอบขบวนรถไฟ ETS ชุดใหม่ (ETS 3) ที่นำเข้าจากประเทศจีน ต้องผ่านการทดสอบเดินรถโดยปราศจากข้อบกพร่อง (FFR) อย่างน้อย 8,000 กิโลเมตร ก่อนนำไปให้บริการเชิงพาณิชย์ คาดว่าหาก APAD อนุมัติให้เปิดการเดินรถถึงสถานีกลวง อาจต้องใช้รถไฟ ETS ชุดเก่าไปพลางก่อน ถึงกระนั้นยังต้องรอคำตอบอย่างเป็นทางการจาก KTM Berhad และกระทรวงคมนาคมมาเลเซียอีกครั้ง

    #Newskit
    ร้องเพลงรอรถไฟ ETS ไปยะโฮร์ ระบบไฟฟ้า-อาณัติสัญญาณยังไม่เสร็จ ความหวังที่อยากจะนั่งรถไฟ ETS แบบสบายๆ จากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปเมืองยะโฮร์บาห์รู เพื่อต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ อาจจะเป็นไปได้ยากในปีนี้ เมื่อหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ (The Star) ไปสำรวจโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร พบว่าการก่อสร้างระบบไฟฟ้าและระบบอาณัติสัญญาณยังไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะช่วงระหว่างสถานีกลวง (Kluang) ถึงสถานีเจบี เซ็นทรัล (JB Sentral) ระยะทางราว 100 กิโลเมตร ก่อนหน้านี้ นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปี 2568 ว่าบริการรถไฟ ETS จากสถานีเกมัส (Gemas) รัฐเนกรีเซมบิลัน ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จะพร้อมให้บริการในเดือน ส.ค.2568 แต่หลังจากเปิดให้บริการช่วงสั้นๆ ไปยังสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ รวมทั้งระบบจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้าของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) พบว่ายังไม่มีการจำหน่ายตั๋วรถไฟ ETS ขาล่องไปยังเมืองทางตอนใต้ใดๆ อีกทั้ง KTMB ยังประกาศระงับการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลังเดือน ธ.ค. 2568 จากปกติสามารถจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ถึง 6 เดือน นายยูสลิซาร์ ดาวูด (Yuslizar Daud) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรถไฟของมาเลเซีย กล่าวว่า กระบวนการในการติดตั้งและทดสอบระบบจ่ายไฟฟ้าเหนือหัวอย่างสมบูรณ์อาจใช้เวลานาน ทั้งการร้อยสายอุปกรณ์สายส่งไฟฟ้าเหนือหัว (OHLE) การดึงสาย การปรับราง การจ่ายไฟ การทดสอบก่อนการใช้งาน และการทดสอบเสมือนจริง (Test & Commissioning) จะใช้เวลานานพอสมควร จากนั้นตรวจสอบขั้นสุดท้ายโดยสํานักงานคณะกรรมการขนส่งทางบกแห่งชาติมาเลเซีย (APAD) ก่อนที่จะได้รับอนุญาต แต่จากภาพที่ผู้สื่อข่าว The Star นำมาแสดงไม่เห็นว่าจะมีความพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ก.ย.2568 เข้าใจว่า KTM Berhad กำลังพยายามเร่งเปิดให้บริการจากสถานีเซกามัต ไปยังสถานีกลวง ระยะทาง 90 กิโลเมตรภายในไตรมาสนี้ แม้ดูเหมือนว่า KTM Berhad จะยังไม่ยื่นคำขออนุญาตไปยัง APAD ก็ตาม ขณะเดียวกันยังต้องทดสอบขบวนรถไฟ ETS ชุดใหม่ (ETS 3) ที่นำเข้าจากประเทศจีน ต้องผ่านการทดสอบเดินรถโดยปราศจากข้อบกพร่อง (FFR) อย่างน้อย 8,000 กิโลเมตร ก่อนนำไปให้บริการเชิงพาณิชย์ คาดว่าหาก APAD อนุมัติให้เปิดการเดินรถถึงสถานีกลวง อาจต้องใช้รถไฟ ETS ชุดเก่าไปพลางก่อน ถึงกระนั้นยังต้องรอคำตอบอย่างเป็นทางการจาก KTM Berhad และกระทรวงคมนาคมมาเลเซียอีกครั้ง #Newskit
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อวัสดุควอนตัมเปลี่ยนโลก—จากซิลิคอนสู่ยุคแห่งแสงและความเร็วระดับเทระเฮิรตซ์

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northeastern ได้ค้นพบวิธีควบคุมพฤติกรรมของวัสดุควอนตัมชื่อว่า 1T-TaS₂ ซึ่งเป็นคริสตัลประเภท transition metal dichalcogenide โดยใช้เทคนิค “thermal quenching” หรือการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำผ่านการให้ความร้อนและทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว

    เดิมทีวัสดุนี้จะแสดงสถานะโลหะพิเศษเฉพาะเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัดเท่านั้น แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้สถานะนี้คงอยู่ได้ที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง และยังคงเสถียรได้นานหลายเดือน ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้สถานะนี้จะอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที

    สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ พวกเขาใช้ “แสง” เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ—ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่ฟิสิกส์อนุญาตให้เกิดขึ้นได้ การควบคุมนี้คล้ายกับการทำงานของทรานซิสเตอร์ แต่ไม่ต้องใช้วัสดุหลายชนิดหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อนอีกต่อไป

    ผลลัพธ์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึงระดับ “เทระเฮิรตซ์” แทนที่จะเป็น “กิกะเฮิรตซ์” แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน และยังใช้พื้นที่น้อยลงอย่างมหาศาล ซึ่งเหมาะกับยุคที่ชิปต้องถูกซ้อนกันในแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    วัสดุควอนตัม 1T-TaS₂ สามารถเปลี่ยนสถานะจากฉนวนเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ตามอุณหภูมิ
    ใช้เทคนิค thermal quenching เพื่อควบคุมสถานะ
    สถานะโลหะที่เคยเกิดเฉพาะในอุณหภูมิต่ำมาก ตอนนี้เกิดได้ใกล้ระดับห้อง

    สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ (hidden metallic state) สามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน
    ก่อนหน้านี้อยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที
    ทำให้มีโอกาสนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้

    การควบคุมวัสดุด้วยแสงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดตามหลักฟิสิกส์
    ไม่ต้องใช้หลายวัสดุหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อน
    ลดขนาดและความซับซ้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    สามารถเพิ่มความเร็วของโปรเซสเซอร์จากระดับกิกะเฮิรตซ์เป็นเทระเฮิรตซ์
    เร็วขึ้นถึง 1000 เท่า
    เหมาะกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล

    การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของวัสดุทำให้เกิดการขยายเซลล์ผลึกในบางทิศทาง
    ใช้เทคนิค X-ray mapping และ scanning tunneling spectroscopy
    พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสมมาตรของ mirror symmetry ภายในวัสดุ

    วัสดุนี้สามารถใช้แทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้
    เหมาะกับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่มีพื้นที่จำกัด
    เป็นทางเลือกใหม่ในยุคที่ซิลิคอนเริ่มถึงขีดจำกัด

    เทคนิค thermal quenching ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและรวดเร็ว
    หากเร็วเกินไป อาจทำให้สถานะควอนตัมล่มสลาย
    ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์ทั่วไปได้ทันที
    ต้องผ่านการทดลองเพิ่มเติมเพื่อความเสถียรในสภาพใช้งานจริง
    ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

    การเปลี่ยนจากซิลิคอนไปสู่วัสดุควอนตัมต้องเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบชิปทั้งหมด
    วิศวกรต้องเรียนรู้การควบคุมวัสดุใหม่
    ต้องมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก

    วัสดุ 1T-TaS₂ มีโครงสร้างแบบ van der Waals ที่เหมาะกับการสร้างชิปแบบบางเฉียบ
    สามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียคุณสมบัติ
    เหมาะกับการออกแบบอุปกรณ์พกพาและ IoT

    สถานะ CDW (charge density wave) มีหลายรูปแบบและสามารถควบคุมได้ด้วยแสงและอุณหภูมิ
    มีทั้งแบบ commensurate และ hidden metallic
    การควบคุม CDW เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสถานะของวัสดุ

    การใช้วัสดุควอนตัมเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากการพัฒนา quantum computing
    ไม่ต้องใช้ qubit แต่ยังได้ความเร็วระดับควอนตัม
    เหมาะกับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความเร็วสูง

    https://www.neowin.net/news/the-fastest-thing-known-to-man-is-all-set-to-make-your-pcs--phones-1000-times-faster/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อวัสดุควอนตัมเปลี่ยนโลก—จากซิลิคอนสู่ยุคแห่งแสงและความเร็วระดับเทระเฮิรตซ์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northeastern ได้ค้นพบวิธีควบคุมพฤติกรรมของวัสดุควอนตัมชื่อว่า 1T-TaS₂ ซึ่งเป็นคริสตัลประเภท transition metal dichalcogenide โดยใช้เทคนิค “thermal quenching” หรือการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำผ่านการให้ความร้อนและทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีวัสดุนี้จะแสดงสถานะโลหะพิเศษเฉพาะเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัดเท่านั้น แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้สถานะนี้คงอยู่ได้ที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง และยังคงเสถียรได้นานหลายเดือน ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้สถานะนี้จะอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ พวกเขาใช้ “แสง” เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ—ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่ฟิสิกส์อนุญาตให้เกิดขึ้นได้ การควบคุมนี้คล้ายกับการทำงานของทรานซิสเตอร์ แต่ไม่ต้องใช้วัสดุหลายชนิดหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อนอีกต่อไป ผลลัพธ์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึงระดับ “เทระเฮิรตซ์” แทนที่จะเป็น “กิกะเฮิรตซ์” แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน และยังใช้พื้นที่น้อยลงอย่างมหาศาล ซึ่งเหมาะกับยุคที่ชิปต้องถูกซ้อนกันในแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ วัสดุควอนตัม 1T-TaS₂ สามารถเปลี่ยนสถานะจากฉนวนเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ตามอุณหภูมิ ➡️ ใช้เทคนิค thermal quenching เพื่อควบคุมสถานะ ➡️ สถานะโลหะที่เคยเกิดเฉพาะในอุณหภูมิต่ำมาก ตอนนี้เกิดได้ใกล้ระดับห้อง ✅ สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ (hidden metallic state) สามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน ➡️ ก่อนหน้านี้อยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที ➡️ ทำให้มีโอกาสนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้ ✅ การควบคุมวัสดุด้วยแสงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดตามหลักฟิสิกส์ ➡️ ไม่ต้องใช้หลายวัสดุหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อน ➡️ ลดขนาดและความซับซ้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ✅ สามารถเพิ่มความเร็วของโปรเซสเซอร์จากระดับกิกะเฮิรตซ์เป็นเทระเฮิรตซ์ ➡️ เร็วขึ้นถึง 1000 เท่า ➡️ เหมาะกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ✅ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของวัสดุทำให้เกิดการขยายเซลล์ผลึกในบางทิศทาง ➡️ ใช้เทคนิค X-ray mapping และ scanning tunneling spectroscopy ➡️ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสมมาตรของ mirror symmetry ภายในวัสดุ ✅ วัสดุนี้สามารถใช้แทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ ➡️ เหมาะกับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่มีพื้นที่จำกัด ➡️ เป็นทางเลือกใหม่ในยุคที่ซิลิคอนเริ่มถึงขีดจำกัด ‼️ เทคนิค thermal quenching ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ⛔ หากเร็วเกินไป อาจทำให้สถานะควอนตัมล่มสลาย ⛔ ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ‼️ สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์ทั่วไปได้ทันที ⛔ ต้องผ่านการทดลองเพิ่มเติมเพื่อความเสถียรในสภาพใช้งานจริง ⛔ ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ‼️ การเปลี่ยนจากซิลิคอนไปสู่วัสดุควอนตัมต้องเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบชิปทั้งหมด ⛔ วิศวกรต้องเรียนรู้การควบคุมวัสดุใหม่ ⛔ ต้องมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก ✅ วัสดุ 1T-TaS₂ มีโครงสร้างแบบ van der Waals ที่เหมาะกับการสร้างชิปแบบบางเฉียบ ➡️ สามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียคุณสมบัติ ➡️ เหมาะกับการออกแบบอุปกรณ์พกพาและ IoT ✅ สถานะ CDW (charge density wave) มีหลายรูปแบบและสามารถควบคุมได้ด้วยแสงและอุณหภูมิ ➡️ มีทั้งแบบ commensurate และ hidden metallic ➡️ การควบคุม CDW เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสถานะของวัสดุ ✅ การใช้วัสดุควอนตัมเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากการพัฒนา quantum computing ➡️ ไม่ต้องใช้ qubit แต่ยังได้ความเร็วระดับควอนตัม ➡️ เหมาะกับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความเร็วสูง https://www.neowin.net/news/the-fastest-thing-known-to-man-is-all-set-to-make-your-pcs--phones-1000-times-faster/
    WWW.NEOWIN.NET
    The fastest thing known to man is all set to make your PCs & phones "1000 times faster"
    Researchers unveil a quantum switch activated by the fastest thing known to man, potentially revolutionizing computing as it promises to be "1000 times faster."
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น

    ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม

    MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning

    นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens

    MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน
    มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์

    รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning
    ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่
    ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา

    สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens
    เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว
    ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB

    รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ
    เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp
    ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid

    สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub
    รองรับ Windows และ macOS
    เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป

    การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ
    ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน

    การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน
    ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้
    ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง

    การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน
    เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU
    ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง

    การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง
    อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง
    ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้

    https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens ✅ MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน ➡️ มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์ ✅ รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning ➡️ ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่ ➡️ ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา ✅ สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens ➡️ เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว ➡️ ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB ✅ รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ ➡️ เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp ➡️ ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid ✅ สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub ➡️ รองรับ Windows และ macOS ➡️ เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป ‼️ การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ ⛔ ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน ‼️ การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน ⛔ ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้ ⛔ ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง ‼️ การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน ⛔ เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU ⛔ ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง ‼️ การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง ⛔ อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง ⛔ ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Virtual Boy กลับมาในสีสันสดใส บน 3DS ผ่านอีมูเลเตอร์ Red Viper

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 1995 Nintendo เปิดตัว Virtual Boy เครื่องเกมพกพาแบบ VR ที่ใช้จอ LED สีแดงสองจอเพื่อสร้างภาพสามมิติ แม้จะล้ำยุค แต่ก็ล้มเหลวอย่างรวดเร็วเพราะภาพสีแดง-ดำที่ทำให้ผู้เล่นปวดหัว และข้อจำกัดด้านการพกพา

    แต่ในปี 2025 นี้ Red Viper—a Virtual Boy emulator สำหรับ 3DS—ได้ออกเวอร์ชัน 1.0 เพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของเครื่องเกมนี้ โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยนประสบการณ์เดิมให้สดใสขึ้น:
    - รองรับการปรับแต่งสีได้ถึง 4 ระดับ
    - เล่นเกมได้เต็มความเร็วทุกเกม
    - รองรับ Circle Pad Pro และการควบคุมแบบใหม่
    - ใช้จอ 3DS แบบ glasses-free เพื่อสร้างภาพสามมิติที่ใกล้เคียงต้นฉบับ

    ผู้ใช้สามารถเลือกสีใหม่ผ่านหน้าจอสัมผัส และบันทึกพาเลตต์เฉพาะสำหรับแต่ละเกมได้ ทำให้เกมอย่าง Red Alarm หรือ Wario Land ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    Red Viper เวอร์ชัน 1.0 เปิดตัวบน 3DS เพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของ Virtual Boy
    รองรับการเล่นเกมทุกเกมอย่างเต็มความเร็ว
    ใช้จอ 3DS เพื่อจำลองภาพสามมิติแบบต้นฉบับ

    เพิ่มฟีเจอร์ปรับแต่งสีแบบเต็มรูปแบบ
    ผู้เล่นสามารถเลือกสีได้ 4 ระดับ: Darkest, Dark, Light, Lightest
    ปรับความสว่างและความอิ่มสีได้ผ่านหน้าจอสัมผัส

    รองรับการควบคุมใหม่ เช่น Circle Pad Pro และการแมปปุ่มแบบกำหนดเอง
    เพิ่มความสะดวกในการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำ
    รองรับการบันทึกสถานะเกมและเซฟไฟล์

    สามารถติดตั้งผ่าน Universal Updater หรือ GitHub สำหรับผู้ใช้ 3DS ที่ติดตั้ง custom firmware แล้ว
    ต้องมี ROM ของ Virtual Boy ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    รองรับการสร้าง “forwarder” เพื่อให้เกมปรากฏบนเมนูหลักของ 3DS

    มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ เช่น double buffering และ interrupt prediction
    ลดการกระตุกและปรับความเร็วให้ใกล้เคียงเครื่องจริง
    แก้บั๊กในเกมอย่าง Space Invaders และ Golf

    Virtual Boy มีเกมเพียง 22 เกม และถูกยกเลิกภายใน 1 ปีหลังเปิดตัว
    เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวที่สุดของ Nintendo
    แต่กลายเป็นของสะสมที่หายากในหมู่แฟนเกม

    Red Viper เป็นอีมูเลเตอร์ที่แม่นยำที่สุดสำหรับ Virtual Boy บนทุกแพลตฟอร์ม
    รองรับการจำลองเวลา render และเสียงแบบต้นฉบับ
    มีโหมด anaglyph สำหรับผู้ใช้ 2DS ที่ไม่มีจอสามมิติ

    การเพิ่มสีช่วยให้เกม Virtual Boy เล่นง่ายขึ้นและดูมีชีวิตชีวา
    เช่น การใช้สีเหลือง-เขียวเพื่อแยกศัตรูออกจากฉากหลัง
    ช่วยให้เกมอย่าง Red Alarm และ Jack Bros. เล่นสนุกขึ้นมาก

    ยังมีอีมูเลเตอร์ Virtual Boy สำหรับ Meta Quest และ Apple Vision Pro
    ให้ประสบการณ์ VR ที่ใกล้เคียงต้นฉบับมากขึ้น
    เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเล่นในรูปแบบ immersive

    ต้องใช้เครื่อง 3DS ที่ติดตั้ง custom firmware เท่านั้น
    ไม่สามารถใช้งานบนเครื่องที่ไม่ได้เจลเบรก
    อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากติดตั้งผิดวิธี

    ผู้ใช้ต้องหา ROM ด้วยตนเอง ซึ่งอาจมีข้อกฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์
    การดาวน์โหลด ROM โดยไม่ได้เป็นเจ้าของอาจผิดกฎหมาย
    ควรใช้เฉพาะ ROM ที่ได้จากการสำรองข้อมูลของตนเอง

    ไม่มีพาเลตต์สีสำเร็จรูป ต้องปรับแต่งเองในแต่ละเกม
    อาจต้องใช้เวลาในการทดลองเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม
    หากไม่บันทึกพาเลตต์ อาจต้องตั้งค่าใหม่ทุกครั้ง

    ภาพที่ได้อาจไม่ตรงกับศิลปะต้นฉบับของเกม 8-bit หรือ pixel art
    สีที่เลือกอาจทำให้ภาพดูผิดเพี้ยนจากต้นฉบับ
    ต้องเลือกสีอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เสียอรรถรส

    https://www.techspot.com/news/108892-30-years-later-virtual-boy-games-finally-playable.html
    🎮 เรื่องเล่าจากข่าว: Virtual Boy กลับมาในสีสันสดใส บน 3DS ผ่านอีมูเลเตอร์ Red Viper ย้อนกลับไปเมื่อปี 1995 Nintendo เปิดตัว Virtual Boy เครื่องเกมพกพาแบบ VR ที่ใช้จอ LED สีแดงสองจอเพื่อสร้างภาพสามมิติ แม้จะล้ำยุค แต่ก็ล้มเหลวอย่างรวดเร็วเพราะภาพสีแดง-ดำที่ทำให้ผู้เล่นปวดหัว และข้อจำกัดด้านการพกพา แต่ในปี 2025 นี้ Red Viper—a Virtual Boy emulator สำหรับ 3DS—ได้ออกเวอร์ชัน 1.0 เพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของเครื่องเกมนี้ โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยนประสบการณ์เดิมให้สดใสขึ้น: - รองรับการปรับแต่งสีได้ถึง 4 ระดับ - เล่นเกมได้เต็มความเร็วทุกเกม - รองรับ Circle Pad Pro และการควบคุมแบบใหม่ - ใช้จอ 3DS แบบ glasses-free เพื่อสร้างภาพสามมิติที่ใกล้เคียงต้นฉบับ ผู้ใช้สามารถเลือกสีใหม่ผ่านหน้าจอสัมผัส และบันทึกพาเลตต์เฉพาะสำหรับแต่ละเกมได้ ทำให้เกมอย่าง Red Alarm หรือ Wario Land ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ✅ Red Viper เวอร์ชัน 1.0 เปิดตัวบน 3DS เพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของ Virtual Boy ➡️ รองรับการเล่นเกมทุกเกมอย่างเต็มความเร็ว ➡️ ใช้จอ 3DS เพื่อจำลองภาพสามมิติแบบต้นฉบับ ✅ เพิ่มฟีเจอร์ปรับแต่งสีแบบเต็มรูปแบบ ➡️ ผู้เล่นสามารถเลือกสีได้ 4 ระดับ: Darkest, Dark, Light, Lightest ➡️ ปรับความสว่างและความอิ่มสีได้ผ่านหน้าจอสัมผัส ✅ รองรับการควบคุมใหม่ เช่น Circle Pad Pro และการแมปปุ่มแบบกำหนดเอง ➡️ เพิ่มความสะดวกในการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำ ➡️ รองรับการบันทึกสถานะเกมและเซฟไฟล์ ✅ สามารถติดตั้งผ่าน Universal Updater หรือ GitHub สำหรับผู้ใช้ 3DS ที่ติดตั้ง custom firmware แล้ว ➡️ ต้องมี ROM ของ Virtual Boy ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ➡️ รองรับการสร้าง “forwarder” เพื่อให้เกมปรากฏบนเมนูหลักของ 3DS ✅ มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ เช่น double buffering และ interrupt prediction ➡️ ลดการกระตุกและปรับความเร็วให้ใกล้เคียงเครื่องจริง ➡️ แก้บั๊กในเกมอย่าง Space Invaders และ Golf ✅ Virtual Boy มีเกมเพียง 22 เกม และถูกยกเลิกภายใน 1 ปีหลังเปิดตัว ➡️ เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวที่สุดของ Nintendo ➡️ แต่กลายเป็นของสะสมที่หายากในหมู่แฟนเกม ✅ Red Viper เป็นอีมูเลเตอร์ที่แม่นยำที่สุดสำหรับ Virtual Boy บนทุกแพลตฟอร์ม ➡️ รองรับการจำลองเวลา render และเสียงแบบต้นฉบับ ➡️ มีโหมด anaglyph สำหรับผู้ใช้ 2DS ที่ไม่มีจอสามมิติ ✅ การเพิ่มสีช่วยให้เกม Virtual Boy เล่นง่ายขึ้นและดูมีชีวิตชีวา ➡️ เช่น การใช้สีเหลือง-เขียวเพื่อแยกศัตรูออกจากฉากหลัง ➡️ ช่วยให้เกมอย่าง Red Alarm และ Jack Bros. เล่นสนุกขึ้นมาก ✅ ยังมีอีมูเลเตอร์ Virtual Boy สำหรับ Meta Quest และ Apple Vision Pro ➡️ ให้ประสบการณ์ VR ที่ใกล้เคียงต้นฉบับมากขึ้น ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเล่นในรูปแบบ immersive ‼️ ต้องใช้เครื่อง 3DS ที่ติดตั้ง custom firmware เท่านั้น ⛔ ไม่สามารถใช้งานบนเครื่องที่ไม่ได้เจลเบรก ⛔ อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากติดตั้งผิดวิธี ‼️ ผู้ใช้ต้องหา ROM ด้วยตนเอง ซึ่งอาจมีข้อกฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ ⛔ การดาวน์โหลด ROM โดยไม่ได้เป็นเจ้าของอาจผิดกฎหมาย ⛔ ควรใช้เฉพาะ ROM ที่ได้จากการสำรองข้อมูลของตนเอง ‼️ ไม่มีพาเลตต์สีสำเร็จรูป ต้องปรับแต่งเองในแต่ละเกม ⛔ อาจต้องใช้เวลาในการทดลองเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม ⛔ หากไม่บันทึกพาเลตต์ อาจต้องตั้งค่าใหม่ทุกครั้ง ‼️ ภาพที่ได้อาจไม่ตรงกับศิลปะต้นฉบับของเกม 8-bit หรือ pixel art ⛔ สีที่เลือกอาจทำให้ภาพดูผิดเพี้ยนจากต้นฉบับ ⛔ ต้องเลือกสีอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เสียอรรถรส https://www.techspot.com/news/108892-30-years-later-virtual-boy-games-finally-playable.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    30 years later, Virtual Boy games are finally playable in color
    Nintendo 3DS owners who install custom firmware can now play Virtual Boy games in colors other than black and red. The functionality comes with a significant update...
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • ด่วน! กองทัพบกแถลงล่าสุดแบบนี้ เรียกเขมรรีบมาฟังด่วน!
    (Breaking: Thai Army’s latest statement — Cambodia must hear this, now!) [30/7/68]

    #แถลงล่าสุดกองทัพบก #กองทัพบกพูดแล้ว #เรียกเขมรฟังด่วน #ถ้อยแถลงสำคัญ #เสียงจากกองทัพไทย #ThaiArmyStatement #BreakingThailand #ข่าวความมั่นคง #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง
    #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    ด่วน! กองทัพบกแถลงล่าสุดแบบนี้ เรียกเขมรรีบมาฟังด่วน! (Breaking: Thai Army’s latest statement — Cambodia must hear this, now!) [30/7/68] #แถลงล่าสุดกองทัพบก #กองทัพบกพูดแล้ว #เรียกเขมรฟังด่วน #ถ้อยแถลงสำคัญ #เสียงจากกองทัพไทย #ThaiArmyStatement #BreakingThailand #ข่าวความมั่นคง #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องเรียนแห่งอนาคต: Gemini 2.5 Pro กับภารกิจปฏิวัติการศึกษา

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Google ได้ประกาศเพิ่มขีดจำกัดการใช้งานของโมเดล AI ขั้นสูง Gemini 2.5 Pro ให้กับผู้ใช้ในโครงการ “Gemini for Education” โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงนักเรียน นักศึกษา และคณาจารย์ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย และอีกหลายประเทศที่กำลังพัฒนา

    Gemini 2.5 Pro ได้รับการปรับแต่งด้วย LearnLM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อการเรียนรู้ โดยอิงจากหลักการของ “learning science” เช่น การลดภาระทางความคิด, การส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก, และการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน

    ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนกว่า 200 คน พบว่า Gemini 2.5 Pro ได้รับคะแนนสูงสุดในทุกหมวดหมู่เมื่อเทียบกับโมเดลอื่น เช่น GPT-4o และ Claude 3.7 Sonnet โดยเฉพาะในด้านการสนับสนุนเป้าหมายการเรียนรู้และการอธิบายเนื้อหาอย่างมีเหตุผล

    Google เพิ่มขีดจำกัดการใช้งาน Gemini 2.5 Pro ให้กับผู้ใช้ในโครงการ Gemini for Education โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
    ครอบคลุมนักเรียนและคณาจารย์ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย บราซิล ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย
    เป็นส่วนหนึ่งของ Google Workspace for Education

    Gemini 2.5 Pro ได้รับการปรับแต่งด้วย LearnLM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้โดยเฉพาะ
    อิงจากหลักการ learning science เช่น การลด cognitive load และการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียน
    ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนว่าเป็นโมเดลที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้

    ผลการประเมินจาก “Arena for Learning” พบว่า Gemini 2.5 Pro ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้เชี่ยวชาญ
    ได้รับการเลือกใน 73.2% ของการเปรียบเทียบแบบ blind test กับโมเดลอื่น
    เหนือกว่า GPT-4o และ Claude 3.7 ในทุกหลักการของ pedagogy

    Google ยังมอบสิทธิ์ใช้งาน Colab Pro ฟรี 1 ปีให้กับนักศึกษาและคณาจารย์ในสหรัฐฯ
    เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลและการฝึกโมเดล AI สำหรับงานวิจัย
    เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สร้างความผูกพันระยะยาวกับผู้ใช้ในภาคการศึกษา

    Gemini for Education มาพร้อมการปกป้องข้อมูลระดับองค์กร
    ข้อมูลการใช้งานจะไม่ถูกตรวจสอบโดยมนุษย์หรือใช้ฝึกโมเดล AI
    มีระบบควบคุมการใช้งานโดยผู้ดูแลระบบของสถาบัน

    https://www.neowin.net/news/gemini-for-education-now-offers-significantly-higher-usage-limits-to-gemini-25-pro-model/
    🎓 เรื่องเล่าจากห้องเรียนแห่งอนาคต: Gemini 2.5 Pro กับภารกิจปฏิวัติการศึกษา ในเดือนกรกฎาคม 2025 Google ได้ประกาศเพิ่มขีดจำกัดการใช้งานของโมเดล AI ขั้นสูง Gemini 2.5 Pro ให้กับผู้ใช้ในโครงการ “Gemini for Education” โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงนักเรียน นักศึกษา และคณาจารย์ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย และอีกหลายประเทศที่กำลังพัฒนา Gemini 2.5 Pro ได้รับการปรับแต่งด้วย LearnLM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อการเรียนรู้ โดยอิงจากหลักการของ “learning science” เช่น การลดภาระทางความคิด, การส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก, และการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนกว่า 200 คน พบว่า Gemini 2.5 Pro ได้รับคะแนนสูงสุดในทุกหมวดหมู่เมื่อเทียบกับโมเดลอื่น เช่น GPT-4o และ Claude 3.7 Sonnet โดยเฉพาะในด้านการสนับสนุนเป้าหมายการเรียนรู้และการอธิบายเนื้อหาอย่างมีเหตุผล ✅ Google เพิ่มขีดจำกัดการใช้งาน Gemini 2.5 Pro ให้กับผู้ใช้ในโครงการ Gemini for Education โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ➡️ ครอบคลุมนักเรียนและคณาจารย์ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย บราซิล ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของ Google Workspace for Education ✅ Gemini 2.5 Pro ได้รับการปรับแต่งด้วย LearnLM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้โดยเฉพาะ ➡️ อิงจากหลักการ learning science เช่น การลด cognitive load และการปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียน ➡️ ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนว่าเป็นโมเดลที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้ ✅ ผลการประเมินจาก “Arena for Learning” พบว่า Gemini 2.5 Pro ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ได้รับการเลือกใน 73.2% ของการเปรียบเทียบแบบ blind test กับโมเดลอื่น ➡️ เหนือกว่า GPT-4o และ Claude 3.7 ในทุกหลักการของ pedagogy ✅ Google ยังมอบสิทธิ์ใช้งาน Colab Pro ฟรี 1 ปีให้กับนักศึกษาและคณาจารย์ในสหรัฐฯ ➡️ เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลและการฝึกโมเดล AI สำหรับงานวิจัย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สร้างความผูกพันระยะยาวกับผู้ใช้ในภาคการศึกษา ✅ Gemini for Education มาพร้อมการปกป้องข้อมูลระดับองค์กร ➡️ ข้อมูลการใช้งานจะไม่ถูกตรวจสอบโดยมนุษย์หรือใช้ฝึกโมเดล AI ➡️ มีระบบควบคุมการใช้งานโดยผู้ดูแลระบบของสถาบัน https://www.neowin.net/news/gemini-for-education-now-offers-significantly-higher-usage-limits-to-gemini-25-pro-model/
    WWW.NEOWIN.NET
    Gemini for Education now offers significantly higher usage limits to Gemini 2.5 Pro model
    Google is improving its Gemini for Education platform by providing free, significantly expanded access to its powerful Gemini 2.5 Pro AI model.
    0 Comments 0 Shares 267 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเคอร์เนล: เมื่อ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับงานลับสุดยอด

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ได้เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยี Secure Encrypted Virtualization (SEV) และ Virtual Trusted Platform Module (vTPM) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและแยกออกจากระบบโฮสต์โดยสิ้นเชิง

    vTPM คือ TPM แบบเสมือนที่ทำงานภายใน VM โดยถูกเข้ารหัสและแยกออกจาก hypervisor ด้วยเทคโนโลยี SEV-SNP ของ AMD ทำให้สามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Secure Boot, Measured Boot และ Remote Attestation ได้อย่างปลอดภัยในระบบคลาวด์หรือองค์กรที่ต้องการความมั่นคงสูง

    ฟีเจอร์นี้เหมาะกับองค์กรในภาคการเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ที่ต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกเข้าถึงโดยผู้ให้บริการคลาวด์หรือระบบโฮสต์ที่ไม่ไว้วางใจ

    Linux Kernel 6.16 เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์
    รองรับการสร้าง vTPM ภายใน VM ที่ถูกเข้ารหัสด้วย SEV-SNP
    ใช้โปรโตคอลจาก AMD SVSM spec เพื่อให้ guest OS ติดต่อกับ vTPM ได้

    vTPM ทำงานในหน่วยความจำที่ถูกแยกและเข้ารหัสโดยฮาร์ดแวร์
    ป้องกันการเข้าถึงจาก hypervisor และ guest OS
    รองรับ TPM 2.0 เต็มรูปแบบ เช่น PCRs และการเข้ารหัสคีย์

    รองรับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของระบบ (attestation) และ Secure Boot
    เหมาะกับการใช้งานใน Zero Trust Architecture
    ช่วยให้มั่นใจว่า VM ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจริง

    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น การเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ
    รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัส
    ลดการพึ่งพาเฟิร์มแวร์หรือ TPM แบบ proprietary

    สามารถใช้งานร่วมกับ hypervisor อย่าง KVM และเครื่องมือจัดการ VM บน Linux
    รองรับการตั้งค่า kernel เช่น CONFIG_TCG_SVSM=y
    มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบสถานะการเข้ารหัสและการทำงานของ vTPM

    การใช้งาน vTPM ต้องมีการตั้งค่าฮาร์ดแวร์และ BIOS ที่รองรับ SEV-SNP
    หาก CPU หรือ BIOS ไม่รองรับ จะไม่สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้
    ต้องตรวจสอบว่าเปิดใช้งาน Secure Memory Encryption แล้ว

    การเข้ารหัสและการตรวจสอบแบบฮาร์ดแวร์อาจเพิ่มภาระการประมวลผล
    มี overhead ด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน workload ที่ใช้ vTPM หนัก
    ต้องวางแผนการจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ

    การตั้งค่า kernel และการคอมไพล์ต้องแม่นยำเพื่อให้ vTPM ทำงานได้สมบูรณ์
    ต้องเปิดใช้งานโมดูลที่เกี่ยวข้อง เช่น CONFIG_KVM_AMD_SEV
    หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ VM ไม่สามารถบูตหรือใช้งาน vTPM ได้

    การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (attestation) ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและการทดสอบอย่างละเอียด
    ต้องใช้ AMD SEV tools และ kernel boot parameters เช่น amd_sev.debug=1
    หากไม่ตรวจสอบอย่างถูกต้อง อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    https://linuxconfig.org/comprehensive-amd-sev-vtpm-support-in-linux-kernel-6-16-enhances-confidential-computing
    🔐 เรื่องเล่าจากเคอร์เนล: เมื่อ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับงานลับสุดยอด ในเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ได้เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยี Secure Encrypted Virtualization (SEV) และ Virtual Trusted Platform Module (vTPM) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและแยกออกจากระบบโฮสต์โดยสิ้นเชิง vTPM คือ TPM แบบเสมือนที่ทำงานภายใน VM โดยถูกเข้ารหัสและแยกออกจาก hypervisor ด้วยเทคโนโลยี SEV-SNP ของ AMD ทำให้สามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Secure Boot, Measured Boot และ Remote Attestation ได้อย่างปลอดภัยในระบบคลาวด์หรือองค์กรที่ต้องการความมั่นคงสูง ฟีเจอร์นี้เหมาะกับองค์กรในภาคการเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ที่ต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกเข้าถึงโดยผู้ให้บริการคลาวด์หรือระบบโฮสต์ที่ไม่ไว้วางใจ ✅ Linux Kernel 6.16 เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ➡️ รองรับการสร้าง vTPM ภายใน VM ที่ถูกเข้ารหัสด้วย SEV-SNP ➡️ ใช้โปรโตคอลจาก AMD SVSM spec เพื่อให้ guest OS ติดต่อกับ vTPM ได้ ✅ vTPM ทำงานในหน่วยความจำที่ถูกแยกและเข้ารหัสโดยฮาร์ดแวร์ ➡️ ป้องกันการเข้าถึงจาก hypervisor และ guest OS ➡️ รองรับ TPM 2.0 เต็มรูปแบบ เช่น PCRs และการเข้ารหัสคีย์ ✅ รองรับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของระบบ (attestation) และ Secure Boot ➡️ เหมาะกับการใช้งานใน Zero Trust Architecture ➡️ ช่วยให้มั่นใจว่า VM ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจริง ✅ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น การเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ➡️ รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัส ➡️ ลดการพึ่งพาเฟิร์มแวร์หรือ TPM แบบ proprietary ✅ สามารถใช้งานร่วมกับ hypervisor อย่าง KVM และเครื่องมือจัดการ VM บน Linux ➡️ รองรับการตั้งค่า kernel เช่น CONFIG_TCG_SVSM=y ➡️ มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบสถานะการเข้ารหัสและการทำงานของ vTPM ‼️ การใช้งาน vTPM ต้องมีการตั้งค่าฮาร์ดแวร์และ BIOS ที่รองรับ SEV-SNP ⛔ หาก CPU หรือ BIOS ไม่รองรับ จะไม่สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ ⛔ ต้องตรวจสอบว่าเปิดใช้งาน Secure Memory Encryption แล้ว ‼️ การเข้ารหัสและการตรวจสอบแบบฮาร์ดแวร์อาจเพิ่มภาระการประมวลผล ⛔ มี overhead ด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน workload ที่ใช้ vTPM หนัก ⛔ ต้องวางแผนการจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ ‼️ การตั้งค่า kernel และการคอมไพล์ต้องแม่นยำเพื่อให้ vTPM ทำงานได้สมบูรณ์ ⛔ ต้องเปิดใช้งานโมดูลที่เกี่ยวข้อง เช่น CONFIG_KVM_AMD_SEV ⛔ หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ VM ไม่สามารถบูตหรือใช้งาน vTPM ได้ ‼️ การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (attestation) ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและการทดสอบอย่างละเอียด ⛔ ต้องใช้ AMD SEV tools และ kernel boot parameters เช่น amd_sev.debug=1 ⛔ หากไม่ตรวจสอบอย่างถูกต้อง อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย https://linuxconfig.org/comprehensive-amd-sev-vtpm-support-in-linux-kernel-6-16-enhances-confidential-computing
    LINUXCONFIG.ORG
    Comprehensive AMD SEV vTPM Support in Linux Kernel 6.16 Enhances Confidential Computing
    Linux kernel 6.16 introduces comprehensive AMD SEV vTPM support, enhancing virtual machine security and confidential computing capabilities with hardware-backed attestation and secure boot verification.
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • แม่ทัพภาค 2 มาแล้ว คลิปล่าสุดแม่ทัพภาค 2 กลบข่าวลือเขมรปั่น
    (Commander of the 2nd Army Region is here — latest clip silences rumors of Cambodian interference.) [28/7/68]

    #แม่ทัพภาค2มาแล้ว #คลิปล่าสุดแม่ทัพภาค2 #กลบข่าวลือเขมร #ข่าวลือเขมรปั่น #เสียงจริงจากกองทัพ #ไม่ปล่อยให้บิดเบือน #ความจริงต้องชัดเจน #ThaiArmyResponds #ข่าวทหารล่าสุด #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ชายแดนร้อน
    #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    แม่ทัพภาค 2 มาแล้ว คลิปล่าสุดแม่ทัพภาค 2 กลบข่าวลือเขมรปั่น (Commander of the 2nd Army Region is here — latest clip silences rumors of Cambodian interference.) [28/7/68] #แม่ทัพภาค2มาแล้ว #คลิปล่าสุดแม่ทัพภาค2 #กลบข่าวลือเขมร #ข่าวลือเขมรปั่น #เสียงจริงจากกองทัพ #ไม่ปล่อยให้บิดเบือน #ความจริงต้องชัดเจน #ThaiArmyResponds #ข่าวทหารล่าสุด #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ชายแดนร้อน #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 294 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนามทดสอบ: เมื่อ Intel และ AMD แลกหมัดกันทั้ง CPU และ GPU

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 เว็บไซต์ Wccftech รายงานผลการเปรียบเทียบระหว่าง Intel Core Ultra 5 225H และ AMD Ryzen AI 7 350 ซึ่งเป็นซีพียูระดับกลางสำหรับโน้ตบุ๊กที่ใช้สถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุด—Arrow Lake และ Krackan Point ตามลำดับ

    ผลการทดสอบจาก Geekerwan พบว่า ทั้งสองรุ่นมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในงานทั่วไปและเกม โดย Intel มีข้อได้เปรียบด้าน “ความร้อน” ที่ต่ำกว่าอย่างชัดเจน ส่วน AMD ก็มีข้อได้เปรียบด้าน “จำนวนเธรด” และความเร็ว GPU ที่สูงกว่า

    ด้านกราฟิกในตัว (iGPU) Intel Arc 130T และ AMD Radeon 860M ก็แลกหมัดกันอย่างสูสี โดย Arc 130T มีคะแนนรวมสูงกว่าในหลายเบนช์มาร์ก แต่ Radeon 860M กลับทำเฟรมเรตได้ดีกว่าในบางเกม AAA ที่ปรับกราฟิกสูง

    Intel Core Ultra 5 225H และ AMD Ryzen AI 7 350 มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในงานทั่วไป
    Intel มี 14 คอร์ (ไม่มี hyperthreading) ส่วน AMD มี 8 คอร์ 16 เธรด
    Intel ใช้สถาปัตยกรรม Arrow Lake-H ส่วน AMD ใช้ Zen 5 + Zen 5c

    ผลทดสอบ Cinebench R23 แสดงว่า Intel ดีกว่าเล็กน้อยที่กำลังไฟสูง (60–80W)
    AMD ดีกว่าในช่วงกำลังไฟต่ำ (10–25W)
    Intel เร็วกว่า ~2.5% โดยรวม

    Intel Core Ultra 5 225H มีอุณหภูมิสูงสุดต่ำกว่า Ryzen AI 7 350 อย่างชัดเจน
    Intel อยู่ที่ <90°C ขณะโหลดเต็ม
    AMD แตะ 100°C ทำให้เครื่องร้อนกว่า

    Intel Arc 130T และ AMD Radeon 860M มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในเกม
    Arc 130T ใช้ Xe2 architecture, 896 shaders, 3.9 TFLOPS
    Radeon 860M ใช้ RDNA 3.5, 512 shaders, 3.1 TFLOPS

    Arc 130T ทำคะแนนสูงกว่าใน 3DMark และ Geekbench GPU tests
    สูงกว่า Radeon 860M ถึง 42% ใน Geekbench Compute
    แต่ Radeon 860M ทำเฟรมเรตดีกว่าในบางเกม เช่น F1 24 และ GTA V

    โน้ตบุ๊กรุ่น Ideapad Pro 5 มีทั้งเวอร์ชัน Intel และ AMD ให้เลือก
    ใช้ชิปทั้งสองรุ่นในบอดี้เดียวกัน
    เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและเกมเมอร์สายประหยัด

    แม้ Arc 130T จะมีคะแนนเบนช์มาร์กสูง แต่ยังไม่ชนะ Radeon 860M ในทุกเกม
    Radeon 860M ทำเฟรมเรตได้ดีกว่าในบางเกม AAA ที่ใช้กราฟิกหนัก
    Arc 130T เหมาะกับงาน AI และการประมวลผลมากกว่าเกมระดับสูง

    Ryzen AI 7 350 มีอุณหภูมิสูงกว่า อาจกระทบต่ออายุการใช้งานในโน้ตบุ๊กบางรุ่น
    อุณหภูมิแตะ 100°C ในการทดสอบ Cinebench R23
    อาจทำให้เครื่องร้อนและลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานต่อเนื่อง

    Intel Core Ultra 5 225H ไม่มี hyperthreading แม้จะมีคอร์มากกว่า
    มี 14 คอร์แต่แค่ 14 เธรด ขณะที่ AMD มี 8 คอร์ 16 เธรด
    อาจเสียเปรียบในงานที่ใช้เธรดจำนวนมาก เช่น การเรนเดอร์หรือ AI

    ทั้งสองรุ่นยังไม่เหมาะกับเกม 4K หรือกราฟิกระดับ Ultra
    เฟรมเรตเฉลี่ยอยู่ที่ 20–30 FPS ใน 1080p Ultra
    เหมาะกับเกมที่ปรับกราฟิกระดับ Low–Medium มากกว่า

    https://wccftech.com/core-ultra-5-225h-trades-blows-with-ryzen-ai-7-350-but-with-better-thermals/
    ⚔️ เรื่องเล่าจากสนามทดสอบ: เมื่อ Intel และ AMD แลกหมัดกันทั้ง CPU และ GPU ในเดือนกรกฎาคม 2025 เว็บไซต์ Wccftech รายงานผลการเปรียบเทียบระหว่าง Intel Core Ultra 5 225H และ AMD Ryzen AI 7 350 ซึ่งเป็นซีพียูระดับกลางสำหรับโน้ตบุ๊กที่ใช้สถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุด—Arrow Lake และ Krackan Point ตามลำดับ ผลการทดสอบจาก Geekerwan พบว่า ทั้งสองรุ่นมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในงานทั่วไปและเกม โดย Intel มีข้อได้เปรียบด้าน “ความร้อน” ที่ต่ำกว่าอย่างชัดเจน ส่วน AMD ก็มีข้อได้เปรียบด้าน “จำนวนเธรด” และความเร็ว GPU ที่สูงกว่า ด้านกราฟิกในตัว (iGPU) Intel Arc 130T และ AMD Radeon 860M ก็แลกหมัดกันอย่างสูสี โดย Arc 130T มีคะแนนรวมสูงกว่าในหลายเบนช์มาร์ก แต่ Radeon 860M กลับทำเฟรมเรตได้ดีกว่าในบางเกม AAA ที่ปรับกราฟิกสูง ✅ Intel Core Ultra 5 225H และ AMD Ryzen AI 7 350 มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในงานทั่วไป ➡️ Intel มี 14 คอร์ (ไม่มี hyperthreading) ส่วน AMD มี 8 คอร์ 16 เธรด ➡️ Intel ใช้สถาปัตยกรรม Arrow Lake-H ส่วน AMD ใช้ Zen 5 + Zen 5c ✅ ผลทดสอบ Cinebench R23 แสดงว่า Intel ดีกว่าเล็กน้อยที่กำลังไฟสูง (60–80W) ➡️ AMD ดีกว่าในช่วงกำลังไฟต่ำ (10–25W) ➡️ Intel เร็วกว่า ~2.5% โดยรวม ✅ Intel Core Ultra 5 225H มีอุณหภูมิสูงสุดต่ำกว่า Ryzen AI 7 350 อย่างชัดเจน ➡️ Intel อยู่ที่ <90°C ขณะโหลดเต็ม ➡️ AMD แตะ 100°C ทำให้เครื่องร้อนกว่า ✅ Intel Arc 130T และ AMD Radeon 860M มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในเกม ➡️ Arc 130T ใช้ Xe2 architecture, 896 shaders, 3.9 TFLOPS ➡️ Radeon 860M ใช้ RDNA 3.5, 512 shaders, 3.1 TFLOPS ✅ Arc 130T ทำคะแนนสูงกว่าใน 3DMark และ Geekbench GPU tests ➡️ สูงกว่า Radeon 860M ถึง 42% ใน Geekbench Compute ➡️ แต่ Radeon 860M ทำเฟรมเรตดีกว่าในบางเกม เช่น F1 24 และ GTA V ✅ โน้ตบุ๊กรุ่น Ideapad Pro 5 มีทั้งเวอร์ชัน Intel และ AMD ให้เลือก ➡️ ใช้ชิปทั้งสองรุ่นในบอดี้เดียวกัน ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและเกมเมอร์สายประหยัด ‼️ แม้ Arc 130T จะมีคะแนนเบนช์มาร์กสูง แต่ยังไม่ชนะ Radeon 860M ในทุกเกม ⛔ Radeon 860M ทำเฟรมเรตได้ดีกว่าในบางเกม AAA ที่ใช้กราฟิกหนัก ⛔ Arc 130T เหมาะกับงาน AI และการประมวลผลมากกว่าเกมระดับสูง ‼️ Ryzen AI 7 350 มีอุณหภูมิสูงกว่า อาจกระทบต่ออายุการใช้งานในโน้ตบุ๊กบางรุ่น ⛔ อุณหภูมิแตะ 100°C ในการทดสอบ Cinebench R23 ⛔ อาจทำให้เครื่องร้อนและลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานต่อเนื่อง ‼️ Intel Core Ultra 5 225H ไม่มี hyperthreading แม้จะมีคอร์มากกว่า ⛔ มี 14 คอร์แต่แค่ 14 เธรด ขณะที่ AMD มี 8 คอร์ 16 เธรด ⛔ อาจเสียเปรียบในงานที่ใช้เธรดจำนวนมาก เช่น การเรนเดอร์หรือ AI ‼️ ทั้งสองรุ่นยังไม่เหมาะกับเกม 4K หรือกราฟิกระดับ Ultra ⛔ เฟรมเรตเฉลี่ยอยู่ที่ 20–30 FPS ใน 1080p Ultra ⛔ เหมาะกับเกมที่ปรับกราฟิกระดับ Low–Medium มากกว่า https://wccftech.com/core-ultra-5-225h-trades-blows-with-ryzen-ai-7-350-but-with-better-thermals/
    WCCFTECH.COM
    Core Ultra 5 225H Trades Blows With Ryzen AI 7 350 But With Better Thermals; Arc 130T Comes On Par With Radeon 860M
    The Intel Core Ultra 5 225H was benchmarked against Ryzen AI 7 350 and delivered equivalent synthetic and gaming performance but with better temperatures.
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เกมเอาชีวิตรอดที่ “ขโมยชีวิตดิจิทัล” ของคุณ

    ลองจินตนาการว่าคุณโหลดเกมเอาชีวิตรอดชื่อ Chemia จาก Steam เพื่อเล่นในช่วง Early Access แต่แทนที่จะได้สนุกกับการสร้างฐานและฝ่าฟันภัยพิบัติ คุณกลับโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวและคริปโตแบบไม่รู้ตัว — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง!

    บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ Prodaft เปิดเผยว่าเกม Chemia ถูกฝังมัลแวร์ 3 สายพันธุ์ ได้แก่:
    - Fickle Stealer: ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, password manager และ crypto wallet
    - Vidar Stealer: มัลแวร์แบบบริการ (Malware-as-a-Service) ที่เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดีย
    - HijackLoader: ตัวโหลดมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งภัยคุกคามอื่นในอนาคต

    เกมนี้ถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam ซึ่งต้องขอสิทธิ์เข้าถึงก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบของแพลตฟอร์ม

    เกม Chemia ถูกใช้เป็นช่องทางแพร่มัลแวร์
    ฝังมัลแวร์ 3 ชนิด: Fickle Stealer, Vidar Stealer, HijackLoader
    มัลแวร์ทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดเกม โดยรันควบคู่กับแอปพลิเคชันจริง

    มัลแวร์แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะ
    Fickle Stealer: ใช้ PowerShell ขโมยข้อมูลระบบและไฟล์สำคัญ
    Vidar Stealer: เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อส่งข้อมูล
    HijackLoader: ใช้ติดตั้งมัลแวร์อื่นในอนาคต

    เกมถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam
    ต้องขอสิทธิ์ก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย
    ไม่มีรีวิวหรือข้อมูลจากนักพัฒนาอื่น ทำให้ตรวจสอบยาก

    นักพัฒนา Aether Forge Studios ไม่มีตัวตนชัดเจน
    ไม่มีเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับเกม
    อาจเป็นบัญชีปลอมที่ใช้หลอกลวงผู้ใช้

    Prodaft เผยว่าแฮกเกอร์ชื่อ EncryptHub อยู่เบื้องหลัง
    เคยมีประวัติการโจมตีแบบ spear-phishing ตั้งแต่ปี 2024
    แชร์ Indicators of Compromise (IOCs) บน GitHub เพื่อช่วยตรวจสอบ

    เกมบนแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ก็อาจไม่ปลอดภัย
    Steam ไม่สามารถตรวจสอบมัลแวร์ในทุกเกมได้ทันที
    ผู้ใช้มักเชื่อว่าการโหลดจาก Steam คือ “ปลอดภัยโดยอัตโนมัติ”

    มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลสำคัญได้ทันทีที่เปิดเกม
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่าน, session token, และ crypto wallet
    อาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงินและการขโมยตัวตน

    ระบบ Early Access และ Playtest อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี
    เกมที่ยังไม่เปิดตัวเต็มรูปแบบอาจไม่มีการตรวจสอบเข้มงวด
    แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ในการฝังโค้ดอันตราย

    ผู้ใช้ที่เคยเล่น Chemia ควรตรวจสอบระบบทันที
    ลบเกมออกจากเครื่อง
    สแกนมัลแวร์เต็มระบบ
    เปลี่ยนรหัสผ่านทุกบัญชีที่เคยล็อกอินระหว่างเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-plants-three-strains-of-malware-in-a-steam-early-access-game-called-chemia-security-company-found-crypto-jacking-infostealers-and-a-backdoor-to-install-yet-more-malware-in-the-future
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เกมเอาชีวิตรอดที่ “ขโมยชีวิตดิจิทัล” ของคุณ ลองจินตนาการว่าคุณโหลดเกมเอาชีวิตรอดชื่อ Chemia จาก Steam เพื่อเล่นในช่วง Early Access แต่แทนที่จะได้สนุกกับการสร้างฐานและฝ่าฟันภัยพิบัติ คุณกลับโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวและคริปโตแบบไม่รู้ตัว — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง! บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ Prodaft เปิดเผยว่าเกม Chemia ถูกฝังมัลแวร์ 3 สายพันธุ์ ได้แก่: - Fickle Stealer: ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, password manager และ crypto wallet - Vidar Stealer: มัลแวร์แบบบริการ (Malware-as-a-Service) ที่เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดีย - HijackLoader: ตัวโหลดมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งภัยคุกคามอื่นในอนาคต เกมนี้ถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam ซึ่งต้องขอสิทธิ์เข้าถึงก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบของแพลตฟอร์ม ✅ เกม Chemia ถูกใช้เป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ ➡️ ฝังมัลแวร์ 3 ชนิด: Fickle Stealer, Vidar Stealer, HijackLoader ➡️ มัลแวร์ทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดเกม โดยรันควบคู่กับแอปพลิเคชันจริง ✅ มัลแวร์แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะ ➡️ Fickle Stealer: ใช้ PowerShell ขโมยข้อมูลระบบและไฟล์สำคัญ ➡️ Vidar Stealer: เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อส่งข้อมูล ➡️ HijackLoader: ใช้ติดตั้งมัลแวร์อื่นในอนาคต ✅ เกมถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam ➡️ ต้องขอสิทธิ์ก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย ➡️ ไม่มีรีวิวหรือข้อมูลจากนักพัฒนาอื่น ทำให้ตรวจสอบยาก ✅ นักพัฒนา Aether Forge Studios ไม่มีตัวตนชัดเจน ➡️ ไม่มีเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับเกม ➡️ อาจเป็นบัญชีปลอมที่ใช้หลอกลวงผู้ใช้ ✅ Prodaft เผยว่าแฮกเกอร์ชื่อ EncryptHub อยู่เบื้องหลัง ➡️ เคยมีประวัติการโจมตีแบบ spear-phishing ตั้งแต่ปี 2024 ➡️ แชร์ Indicators of Compromise (IOCs) บน GitHub เพื่อช่วยตรวจสอบ ‼️ เกมบนแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ก็อาจไม่ปลอดภัย ⛔ Steam ไม่สามารถตรวจสอบมัลแวร์ในทุกเกมได้ทันที ⛔ ผู้ใช้มักเชื่อว่าการโหลดจาก Steam คือ “ปลอดภัยโดยอัตโนมัติ” ‼️ มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลสำคัญได้ทันทีที่เปิดเกม ⛔ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่าน, session token, และ crypto wallet ⛔ อาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงินและการขโมยตัวตน ‼️ ระบบ Early Access และ Playtest อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี ⛔ เกมที่ยังไม่เปิดตัวเต็มรูปแบบอาจไม่มีการตรวจสอบเข้มงวด ⛔ แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ในการฝังโค้ดอันตราย ‼️ ผู้ใช้ที่เคยเล่น Chemia ควรตรวจสอบระบบทันที ⛔ ลบเกมออกจากเครื่อง ⛔ สแกนมัลแวร์เต็มระบบ ⛔ เปลี่ยนรหัสผ่านทุกบัญชีที่เคยล็อกอินระหว่างเล่นเกม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-plants-three-strains-of-malware-in-a-steam-early-access-game-called-chemia-security-company-found-crypto-jacking-infostealers-and-a-backdoor-to-install-yet-more-malware-in-the-future
    0 Comments 0 Shares 295 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเกมเก่าที่เปล่งแสงใหม่: เมื่อ RTX Remix เปลี่ยนเกมยุค 2000 ให้กลายเป็นงานศิลป์

    Nvidia เปิดตัวชุดเครื่องมือ RTX Remix อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยให้ modder เข้าถึง SDK ที่สามารถเพิ่ม path tracing เข้าไปในเกมเก่า — ซึ่งต่างจาก ray tracing ทั่วไป เพราะ path tracing จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงแสงสะท้อน, เงา, และแสงกระจายจากพื้นผิวต่าง ๆ

    การแข่งขันครั้งนี้มีเงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000 ซึ่งจะประกาศผลในวันที่ 5 สิงหาคมนี้

    ตัวอย่างเกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว:
    - Vampire: The Masquerade – Bloodlines: ใช้ Source Engine และได้รับการปรับแสงใหม่ทั้งหมด พร้อมรักษาบรรยากาศเดิม
    - Painkiller: เพิ่มแสงแบบ hand-placed, เปลี่ยน texture เป็นแบบ PBR, และเพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่
    - Need for Speed: Underground และ Colin McRae Rally 3: ปรับแสง, เพิ่มโมเดลใหม่, และใส่ volumetric lighting
    - Sonic Adventure, Portal 2, Black Mesa, Republic Commando และ Jedi Outcast: อยู่ระหว่างการปรับปรุง

    แม้ path tracing จะใช้ในเกมใหม่อย่าง Cyberpunk 2077 และ Alan Wake 2 แต่ในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย ๆ ผลลัพธ์กลับยิ่งน่าทึ่ง เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง

    Nvidia จัดการแข่งขัน RTX Remix Mod Contest เพื่อปรับปรุงเกมเก่าด้วย path tracing
    เงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000

    RTX Remix เป็นเครื่องมือสำหรับเพิ่ม path tracing ในเกม DirectX 8 และ 9
    จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงเงา, แสงสะท้อน, และแสงกระจาย

    เกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว ได้แก่ Vampire: Bloodlines, Painkiller, NFS Underground, Colin McRae Rally 3
    มีการเปลี่ยน texture, เพิ่มแสง, และปรับโมเดลใหม่

    Path tracing มีผลชัดเจนในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย
    เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง

    Modder ต้องปรับ texture และ material ใหม่เพื่อให้แสงทำงานได้ถูกต้อง
    ไม่ใช่แค่เปิดฟีเจอร์ แต่ต้องปรับโครงสร้างภาพทั้งหมด

    เกมอื่นที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง ได้แก่ Portal 2, Sonic Adventure, Black Mesa, Jedi Outcast
    บางเกมสามารถเล่นได้แล้วในเวอร์ชัน mod

    https://www.techspot.com/news/108768-nvidia-rtx-remix-contest-shows-how-ray-tracing.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเกมเก่าที่เปล่งแสงใหม่: เมื่อ RTX Remix เปลี่ยนเกมยุค 2000 ให้กลายเป็นงานศิลป์ Nvidia เปิดตัวชุดเครื่องมือ RTX Remix อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยให้ modder เข้าถึง SDK ที่สามารถเพิ่ม path tracing เข้าไปในเกมเก่า — ซึ่งต่างจาก ray tracing ทั่วไป เพราะ path tracing จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงแสงสะท้อน, เงา, และแสงกระจายจากพื้นผิวต่าง ๆ การแข่งขันครั้งนี้มีเงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000 ซึ่งจะประกาศผลในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ ตัวอย่างเกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว: - Vampire: The Masquerade – Bloodlines: ใช้ Source Engine และได้รับการปรับแสงใหม่ทั้งหมด พร้อมรักษาบรรยากาศเดิม - Painkiller: เพิ่มแสงแบบ hand-placed, เปลี่ยน texture เป็นแบบ PBR, และเพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่ - Need for Speed: Underground และ Colin McRae Rally 3: ปรับแสง, เพิ่มโมเดลใหม่, และใส่ volumetric lighting - Sonic Adventure, Portal 2, Black Mesa, Republic Commando และ Jedi Outcast: อยู่ระหว่างการปรับปรุง แม้ path tracing จะใช้ในเกมใหม่อย่าง Cyberpunk 2077 และ Alan Wake 2 แต่ในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย ๆ ผลลัพธ์กลับยิ่งน่าทึ่ง เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง ✅ Nvidia จัดการแข่งขัน RTX Remix Mod Contest เพื่อปรับปรุงเกมเก่าด้วย path tracing ➡️ เงินรางวัลรวม $50,000 โดยรางวัลสูงสุดคือ $20,000 ✅ RTX Remix เป็นเครื่องมือสำหรับเพิ่ม path tracing ในเกม DirectX 8 และ 9 ➡️ จำลองแสงแบบเต็มระบบ รวมถึงเงา, แสงสะท้อน, และแสงกระจาย ✅ เกมที่ถูกปรับปรุงแล้ว ได้แก่ Vampire: Bloodlines, Painkiller, NFS Underground, Colin McRae Rally 3 ➡️ มีการเปลี่ยน texture, เพิ่มแสง, และปรับโมเดลใหม่ ✅ Path tracing มีผลชัดเจนในเกมเก่าที่มี geometry ง่าย ➡️ เพราะแสงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของเกมได้อย่างสิ้นเชิง ✅ Modder ต้องปรับ texture และ material ใหม่เพื่อให้แสงทำงานได้ถูกต้อง ➡️ ไม่ใช่แค่เปิดฟีเจอร์ แต่ต้องปรับโครงสร้างภาพทั้งหมด ✅ เกมอื่นที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง ได้แก่ Portal 2, Sonic Adventure, Black Mesa, Jedi Outcast ➡️ บางเกมสามารถเล่นได้แล้วในเวอร์ชัน mod https://www.techspot.com/news/108768-nvidia-rtx-remix-contest-shows-how-ray-tracing.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia's RTX Remix contest shows how ray tracing can transform classic games, more mods become available
    Nvidia's $50,000 RTX Remix mod contest ends early next month, and around two dozen projects have taken up the challenge to demonstrate how the company's ray tracing...
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องโค้ด: เมื่อ AI เขียนโค้ดได้ “เป็นระบบ” มากกว่าที่เคย

    Qwen3-Coder คือการต่อยอดจากโมเดล Qwen รุ่นก่อนที่เน้นด้านภาษาและตรรกะ — แต่คราวนี้ Alibaba ได้พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานจริงด้าน software engineering โดยเฉพาะในระดับ enterprise เช่น:

    - การจัดการหลายไฟล์หรือหลาย repository พร้อมกัน
    - การเขียนโค้ดใหม่จากคำสั่งระดับสูง
    - การแก้บั๊ก, ทำ test case, และ refactoring โดยไม่ต้องกำกับใกล้ชิด

    จุดเด่นของโมเดลนี้คือความสามารถแบบ “agentic” — หมายถึง AI ไม่ได้รอคำสั่งทีละบรรทัด แต่สามารถเข้าใจเป้าหมายระดับภาพรวม แล้ววางแผนเพื่อสร้างหรือจัดการโค้ดได้อย่างเป็นระบบ

    แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ AI tool สำหรับนักพัฒนา เช่น:
    - Devin AI ที่มองว่าเป็น “AI programmer คนแรกของโลก” โดยสร้าง project ใหม่แบบ end-to-end
    - SWE-Agent ของ Princeton ที่จัดการหลายขั้นตอนแบบมนุษย์
    - Meta และ Google ก็มีการวิจัยด้าน multi-file agent coding ด้วยเช่นกัน

    Alibaba เปิดตัวโมเดลนี้ในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาในจีน และลดการพึ่งพาโมเดลจากฝั่งตะวันตก

    Alibaba เปิดตัวโมเดล Qwen3-Coder สำหรับการเขียนโค้ดด้วย AI
    เป็นรุ่นที่บริษัทระบุว่า “ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

    โมเดลนี้เน้นความสามารถด้าน agentic AI coding
    สามารถจัดการเวิร์กโฟลว์และสร้างโค้ดใหม่จากระดับเป้าหมายภาพรวม

    ใช้สำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น multi-file, refactoring, และ test generation
    ไม่จำกัดเฉพาะการตอบคำถามโค้ดแบบทั่วไป

    เปิดตัวในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส พร้อม statement อย่างเป็นทางการ
    เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้

    โมเดลนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มในวงการ AI ที่เน้น agent-style coding
    เช่น Devin, SWE-Agent, และโมเดลจาก Meta/Google

    Alibaba ใช้ Qwen3-Coder เพื่อผลักดันระบบนิเวศ AI สำหรับนักพัฒนาในจีน
    เป็นการลดการพึ่งพาโมเดลจากบริษัทตะวันตก เช่น OpenAI หรือ Anthropic

    ความสามารถของ agentic coding ยังอยู่ในระยะทดลองและไม่เสถียรในหลายบริบท
    หากใช้ในระบบ production ต้องมีการทดสอบอย่างรอบคอบ

    การใช้ AI ในการจัดการหลายไฟล์หรือ refactoring อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดยากตรวจสอบ
    ควรมีระบบ review และ rollback ที่ดีเพื่อความปลอดภัย

    โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจถูกนำไปใช้ในบริบทที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสร้างมัลแวร์
    ต้องมีการควบคุมหรือแนะนำการใช้งานที่รับผิดชอบ

    ความสามารถทางภาษาและตรรกะของโมเดลอาจไม่รองรับภาษาเขียนโปรแกรมทุกภาษาเท่ากัน
    อาจต้องเทรนเพิ่มเติมสำหรับภาษาเฉพาะ เช่น Rust หรือ Erlang

    การใช้โมเดลจากจีนอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใสหรือความเป็นส่วนตัว
    โดยเฉพาะในองค์กรนอกจีนที่ต้องปฏิบัติตาม GDPR หรือมาตรฐานตะวันตก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/alibaba-launches-open-source-ai-coding-model-touted-as-its-most-advanced-to-date
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องโค้ด: เมื่อ AI เขียนโค้ดได้ “เป็นระบบ” มากกว่าที่เคย Qwen3-Coder คือการต่อยอดจากโมเดล Qwen รุ่นก่อนที่เน้นด้านภาษาและตรรกะ — แต่คราวนี้ Alibaba ได้พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานจริงด้าน software engineering โดยเฉพาะในระดับ enterprise เช่น: - การจัดการหลายไฟล์หรือหลาย repository พร้อมกัน - การเขียนโค้ดใหม่จากคำสั่งระดับสูง - การแก้บั๊ก, ทำ test case, และ refactoring โดยไม่ต้องกำกับใกล้ชิด จุดเด่นของโมเดลนี้คือความสามารถแบบ “agentic” — หมายถึง AI ไม่ได้รอคำสั่งทีละบรรทัด แต่สามารถเข้าใจเป้าหมายระดับภาพรวม แล้ววางแผนเพื่อสร้างหรือจัดการโค้ดได้อย่างเป็นระบบ แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ AI tool สำหรับนักพัฒนา เช่น: - Devin AI ที่มองว่าเป็น “AI programmer คนแรกของโลก” โดยสร้าง project ใหม่แบบ end-to-end - SWE-Agent ของ Princeton ที่จัดการหลายขั้นตอนแบบมนุษย์ - Meta และ Google ก็มีการวิจัยด้าน multi-file agent coding ด้วยเช่นกัน Alibaba เปิดตัวโมเดลนี้ในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาในจีน และลดการพึ่งพาโมเดลจากฝั่งตะวันตก ✅ Alibaba เปิดตัวโมเดล Qwen3-Coder สำหรับการเขียนโค้ดด้วย AI ➡️ เป็นรุ่นที่บริษัทระบุว่า “ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ✅ โมเดลนี้เน้นความสามารถด้าน agentic AI coding ➡️ สามารถจัดการเวิร์กโฟลว์และสร้างโค้ดใหม่จากระดับเป้าหมายภาพรวม ✅ ใช้สำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น multi-file, refactoring, และ test generation ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะการตอบคำถามโค้ดแบบทั่วไป ✅ เปิดตัวในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส พร้อม statement อย่างเป็นทางการ ➡️ เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้ ✅ โมเดลนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มในวงการ AI ที่เน้น agent-style coding ➡️ เช่น Devin, SWE-Agent, และโมเดลจาก Meta/Google ✅ Alibaba ใช้ Qwen3-Coder เพื่อผลักดันระบบนิเวศ AI สำหรับนักพัฒนาในจีน ➡️ เป็นการลดการพึ่งพาโมเดลจากบริษัทตะวันตก เช่น OpenAI หรือ Anthropic ‼️ ความสามารถของ agentic coding ยังอยู่ในระยะทดลองและไม่เสถียรในหลายบริบท ⛔ หากใช้ในระบบ production ต้องมีการทดสอบอย่างรอบคอบ ‼️ การใช้ AI ในการจัดการหลายไฟล์หรือ refactoring อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดยากตรวจสอบ ⛔ ควรมีระบบ review และ rollback ที่ดีเพื่อความปลอดภัย ‼️ โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจถูกนำไปใช้ในบริบทที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสร้างมัลแวร์ ⛔ ต้องมีการควบคุมหรือแนะนำการใช้งานที่รับผิดชอบ ‼️ ความสามารถทางภาษาและตรรกะของโมเดลอาจไม่รองรับภาษาเขียนโปรแกรมทุกภาษาเท่ากัน ⛔ อาจต้องเทรนเพิ่มเติมสำหรับภาษาเฉพาะ เช่น Rust หรือ Erlang ‼️ การใช้โมเดลจากจีนอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใสหรือความเป็นส่วนตัว ⛔ โดยเฉพาะในองค์กรนอกจีนที่ต้องปฏิบัติตาม GDPR หรือมาตรฐานตะวันตก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/alibaba-launches-open-source-ai-coding-model-touted-as-its-most-advanced-to-date
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alibaba launches open-source AI coding model, touted as its most advanced to date
    BEIJING (Reuters) -Alibaba has launched an open-source artificial intelligence coding model, called Qwen3-Coder, it said in a statement on Wednesday.
    0 Comments 0 Shares 265 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก Open Source: เมื่อ Linux เวอร์ชันแรงสุดจาก Intel ถูกปลดจากสายพาน

    Clear Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่ Intel ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเร่ง performance แบบ out-of-the-box โดยมีฟีเจอร์ระดับสูงที่ระบบอื่นไม่กล้าใช้ เช่น:
    - ใช้ compiler flags แบบ aggressive (ทั้ง GCC และ Clang)
    - ทำ PGO (Profile-Guided Optimization) และ LTO (Link-Time Optimization) ทั่วทั้งระบบ
    - kernel ถูกปรับแต่งเพื่อใช้ CPU แบบ multi-threading เต็มที่
    - ปรับใช้งาน AVX2, AVX-512 และเทคโนโลยีอย่าง Optane ตั้งแต่วันแรก
    - มี clr-boot-manager สำหรับอัปเดต kernel แบบเร็ว

    ผลลัพธ์คือ Clear Linux มักจะชนะ benchmark ด้านประสิทธิภาพทั้งในงาน build, render และ scientific computing — แม้ใช้บน AMD ก็ตาม!

    แต่ด้วยนโยบายลดต้นทุนของ Intel บริษัทเริ่มตัดคนและทีม software ออกจำนวนมาก — ส่งผลให้ Clear Linux ถูก “พักถาวร” โดยไม่มีแพตช์ความปลอดภัยหรืออัปเดตใหม่อีก

    นักพัฒนา Linux หลายคนแสดงความเสียดาย เพราะฟีเจอร์และแนวคิดของ Clear Linux เริ่มถูกนำไปใช้ใน distro อื่น ๆ แล้ว เช่น CachyOS และบางส่วนใน Arch-based รุ่นใหม่

    Intel ประกาศหยุดพัฒนา Clear Linux อย่างเป็นทางการ
    ไม่มีแพตช์ ไม่มีอัปเดตความปลอดภัย และ archive repo บน GitHub เป็นแบบ read-only

    Clear Linux มีจุดเด่นคือเร่ง performance ตั้งแต่แกนระบบ
    ใช้ toolchain ใหม่สุด, flags รุนแรง, และ optimization เชิงลึก เช่น PGO/LTO

    ทำงานดีทั้งบน Intel และ AMD แม้จะออกแบบมาเพื่อ Intel โดยตรง
    เป็น distro เดียวที่ “แรงสุด” ในหลาย benchmark แบบไม่ต้องปรับแต่งเอง

    ฟีเจอร์เด่นคือ clr-boot-manager และระบบจัดการ kernel ที่เร็วมาก
    เหมาะกับ developer และงาน HPC ที่ต้องใช้ kernel ใหม่อยู่ตลอด

    ระบบใช้ได้ดีใน workload ที่เน้น CPU, I/O, memory และ multithreading
    เป็นที่นิยมในกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และการ render แบบหนัก ๆ

    Intel จะยังคงสนับสนุน Linux ผ่าน upstream และ distro หลักอื่น ๆ
    เช่น Fedora, Ubuntu หรือโครงการ kernel โดยตรง

    CachyOS และ distro อื่น ๆ เริ่มนำ optimization ของ Clear Linux ไปใช้งาน
    แสดงว่าเทคโนโลยียังมีชีวิตอยู่ใน ecosystem แม้ต้นฉบับจะเลิกทำแล้ว

    ผู้ใช้ Clear Linux ควรวางแผนย้ายออกทันที
    หากไม่ย้ายจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีแพตช์ใหม่

    ระบบที่ยัง deploy ด้วย Clear Linux อาจเจอปัญหาความเข้ากันในอนาคต
    library หรือ driver ใหม่อาจไม่รองรับ โดยไม่มีทีมดูแลให้

    ฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Intel โดยตรง เช่น AVX-512 อาจใช้งานยากขึ้นใน distro อื่น
    ต้องปรับแต่งเองหรือเขียน config เพื่อให้ทำงานแบบที่ Clear Linux เคยทำ

    การหยุดพัฒนาอาจเป็นสัญญาณว่า Intel ลดบทบาทในด้าน software ecosystem
    ส่งผลต่อความเร็วของ innovation ด้าน HPC และ AI บน Linux

    https://www.tomshardware.com/software/linux/intel-axes-clear-linux-the-fastest-distribution-on-the-market-company-ends-support-effective-immediately
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Open Source: เมื่อ Linux เวอร์ชันแรงสุดจาก Intel ถูกปลดจากสายพาน Clear Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่ Intel ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเร่ง performance แบบ out-of-the-box โดยมีฟีเจอร์ระดับสูงที่ระบบอื่นไม่กล้าใช้ เช่น: - ใช้ compiler flags แบบ aggressive (ทั้ง GCC และ Clang) - ทำ PGO (Profile-Guided Optimization) และ LTO (Link-Time Optimization) ทั่วทั้งระบบ - kernel ถูกปรับแต่งเพื่อใช้ CPU แบบ multi-threading เต็มที่ - ปรับใช้งาน AVX2, AVX-512 และเทคโนโลยีอย่าง Optane ตั้งแต่วันแรก - มี clr-boot-manager สำหรับอัปเดต kernel แบบเร็ว ผลลัพธ์คือ Clear Linux มักจะชนะ benchmark ด้านประสิทธิภาพทั้งในงาน build, render และ scientific computing — แม้ใช้บน AMD ก็ตาม! แต่ด้วยนโยบายลดต้นทุนของ Intel บริษัทเริ่มตัดคนและทีม software ออกจำนวนมาก — ส่งผลให้ Clear Linux ถูก “พักถาวร” โดยไม่มีแพตช์ความปลอดภัยหรืออัปเดตใหม่อีก นักพัฒนา Linux หลายคนแสดงความเสียดาย เพราะฟีเจอร์และแนวคิดของ Clear Linux เริ่มถูกนำไปใช้ใน distro อื่น ๆ แล้ว เช่น CachyOS และบางส่วนใน Arch-based รุ่นใหม่ ✅ Intel ประกาศหยุดพัฒนา Clear Linux อย่างเป็นทางการ ➡️ ไม่มีแพตช์ ไม่มีอัปเดตความปลอดภัย และ archive repo บน GitHub เป็นแบบ read-only ✅ Clear Linux มีจุดเด่นคือเร่ง performance ตั้งแต่แกนระบบ ➡️ ใช้ toolchain ใหม่สุด, flags รุนแรง, และ optimization เชิงลึก เช่น PGO/LTO ✅ ทำงานดีทั้งบน Intel และ AMD แม้จะออกแบบมาเพื่อ Intel โดยตรง ➡️ เป็น distro เดียวที่ “แรงสุด” ในหลาย benchmark แบบไม่ต้องปรับแต่งเอง ✅ ฟีเจอร์เด่นคือ clr-boot-manager และระบบจัดการ kernel ที่เร็วมาก ➡️ เหมาะกับ developer และงาน HPC ที่ต้องใช้ kernel ใหม่อยู่ตลอด ✅ ระบบใช้ได้ดีใน workload ที่เน้น CPU, I/O, memory และ multithreading ➡️ เป็นที่นิยมในกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และการ render แบบหนัก ๆ ✅ Intel จะยังคงสนับสนุน Linux ผ่าน upstream และ distro หลักอื่น ๆ ➡️ เช่น Fedora, Ubuntu หรือโครงการ kernel โดยตรง ✅ CachyOS และ distro อื่น ๆ เริ่มนำ optimization ของ Clear Linux ไปใช้งาน ➡️ แสดงว่าเทคโนโลยียังมีชีวิตอยู่ใน ecosystem แม้ต้นฉบับจะเลิกทำแล้ว ‼️ ผู้ใช้ Clear Linux ควรวางแผนย้ายออกทันที ⛔ หากไม่ย้ายจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีแพตช์ใหม่ ‼️ ระบบที่ยัง deploy ด้วย Clear Linux อาจเจอปัญหาความเข้ากันในอนาคต ⛔ library หรือ driver ใหม่อาจไม่รองรับ โดยไม่มีทีมดูแลให้ ‼️ ฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Intel โดยตรง เช่น AVX-512 อาจใช้งานยากขึ้นใน distro อื่น ⛔ ต้องปรับแต่งเองหรือเขียน config เพื่อให้ทำงานแบบที่ Clear Linux เคยทำ ‼️ การหยุดพัฒนาอาจเป็นสัญญาณว่า Intel ลดบทบาทในด้าน software ecosystem ⛔ ส่งผลต่อความเร็วของ innovation ด้าน HPC และ AI บน Linux https://www.tomshardware.com/software/linux/intel-axes-clear-linux-the-fastest-distribution-on-the-market-company-ends-support-effective-immediately
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากหลอดเลือด: มะเร็งอาจถูกจับได้ตั้งแต่ก่อนแสดงอาการ 3 ปี

    การศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Discovery เมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 โดยใช้ข้อมูลจากตัวอย่างเลือดของคนที่เข้าร่วมการติดตามสุขภาพตั้งแต่ยุค 1980–1990 ซึ่งเก็บตัวอย่างไว้ก่อนผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยโรคจริงหลายปี

    ทีมวิจัยใช้เทคนิค Whole Genome Sequencing บนพลาสมาในเลือด ซึ่งแม้จะมีเพียง “หนึ่งช้อนชา” ก็สามารถจับสัญญาณของ DNA ที่มีการกลายพันธุ์เฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งได้สำเร็จ

    แม้ตัวอย่างจะถูกเก็บไว้นานหลายสิบปี และไม่ได้เตรียมไว้เพื่อการตรวจพันธุกรรมโดยตรง แต่ผลลัพธ์ก็แม่นยำพอที่จะตรวจพบสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็ง เช่น รหัสพันธุกรรมที่บ่งชี้ถึงโรคในระดับต่ำมาก

    หากตรวจพบก่อนแสดงอาการได้แม้เพียง “ไม่กี่เดือน” ก็อาจเพิ่มโอกาสการรักษาได้มากขึ้น — แต่ถ้าตรวจพบ “ก่อนหลายปี” ก็อาจป้องกันได้ตั้งแต่ยังไม่เกิดโรคจริง

    นักวิจัยหวังว่าการตรวจเช่นนี้จะกลายเป็น เครื่องมือคัดกรองเชิงรุก ในอนาคต โดยกำลังขยายการทดลองไปยังประชากรกลุ่มใหญ่กว่าเดิมเพื่อยืนยันผล

    ยังเป็นงานวิจัยระดับ proof-of-concept
    ต้องมีการทดลองในกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อยืนยันผลและความแม่นยำ

    ตัวอย่างเลือดที่ใช้เก่าและไม่มีการเก็บแบบ preserve DNA โดยเฉพาะ
    อาจส่งผลต่อคุณภาพและความไวของการตรวจในชีวิตจริง

    ปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีสำหรับ “กำจัดเซลล์ก่อนมะเร็ง” หลังพบ DNA
    ความสามารถในการรักษายังตามหลังการวินิจฉัยเชิงลึกอยู่พอสมควร

    การตรวจ Whole Genome Sequencing ยังมีค่าใช้จ่ายสูง
    อาจไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไปหรือเป็นการตรวจประจำในคลินิกทั่วโลกตอนนี้

    https://www.sciencenews.org/article/cancer-tumor-dna-blood-test-screening
    🎙️ เรื่องเล่าจากหลอดเลือด: มะเร็งอาจถูกจับได้ตั้งแต่ก่อนแสดงอาการ 3 ปี การศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Discovery เมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 โดยใช้ข้อมูลจากตัวอย่างเลือดของคนที่เข้าร่วมการติดตามสุขภาพตั้งแต่ยุค 1980–1990 ซึ่งเก็บตัวอย่างไว้ก่อนผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยโรคจริงหลายปี ✅ ทีมวิจัยใช้เทคนิค Whole Genome Sequencing บนพลาสมาในเลือด ซึ่งแม้จะมีเพียง “หนึ่งช้อนชา” ก็สามารถจับสัญญาณของ DNA ที่มีการกลายพันธุ์เฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งได้สำเร็จ ✅ แม้ตัวอย่างจะถูกเก็บไว้นานหลายสิบปี และไม่ได้เตรียมไว้เพื่อการตรวจพันธุกรรมโดยตรง แต่ผลลัพธ์ก็แม่นยำพอที่จะตรวจพบสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็ง เช่น รหัสพันธุกรรมที่บ่งชี้ถึงโรคในระดับต่ำมาก ✅ หากตรวจพบก่อนแสดงอาการได้แม้เพียง “ไม่กี่เดือน” ก็อาจเพิ่มโอกาสการรักษาได้มากขึ้น — แต่ถ้าตรวจพบ “ก่อนหลายปี” ก็อาจป้องกันได้ตั้งแต่ยังไม่เกิดโรคจริง ✅ นักวิจัยหวังว่าการตรวจเช่นนี้จะกลายเป็น เครื่องมือคัดกรองเชิงรุก ในอนาคต โดยกำลังขยายการทดลองไปยังประชากรกลุ่มใหญ่กว่าเดิมเพื่อยืนยันผล ‼️ ยังเป็นงานวิจัยระดับ proof-of-concept ⛔ ต้องมีการทดลองในกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อยืนยันผลและความแม่นยำ ‼️ ตัวอย่างเลือดที่ใช้เก่าและไม่มีการเก็บแบบ preserve DNA โดยเฉพาะ ⛔ อาจส่งผลต่อคุณภาพและความไวของการตรวจในชีวิตจริง ‼️ ปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีสำหรับ “กำจัดเซลล์ก่อนมะเร็ง” หลังพบ DNA ⛔ ความสามารถในการรักษายังตามหลังการวินิจฉัยเชิงลึกอยู่พอสมควร ‼️ การตรวจ Whole Genome Sequencing ยังมีค่าใช้จ่ายสูง ⛔ อาจไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไปหรือเป็นการตรวจประจำในคลินิกทั่วโลกตอนนี้ https://www.sciencenews.org/article/cancer-tumor-dna-blood-test-screening
    WWW.SCIENCENEWS.ORG
    Cancer DNA is detectable in blood years before diagnosis
    Tiny, newly formed tumors shed small fragments of DNA that are swept into the bloodstream. Future cancer screening tests could detect them early.
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
More Results