• VPN ฟรีที่ไม่ฟรี – มัลแวร์ขโมยข้อมูลแฝงใน GitHub

    นักวิจัยจาก Cyfirma พบแคมเปญมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ GitHub เป็นช่องทางเผยแพร่ โดยปลอมตัวเป็นเครื่องมือยอดนิยม เช่น “Free VPN for PC” และ “Minecraft Skin Changer” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำการติดตั้งอย่างละเอียด—ทำให้ดูน่าเชื่อถือ

    เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ Launch.exe ภายใน ZIP:
    - มัลแวร์จะถอดรหัสสตริง Base64 ที่ซ่อนด้วยข้อความภาษาฝรั่งเศส
    - สร้างไฟล์ DLL ชื่อ msvcp110.dll ในโฟลเดอร์ AppData
    - โหลด DLL แบบ dynamic และเรียกฟังก์ชัน GetGameData() เพื่อเริ่ม payload สุดท้าย

    มัลแวร์นี้คือ Lumma Stealer ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, โปรแกรมแชต, และกระเป๋าเงินคริปโต โดยใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น:
    - memory injection
    - DLL side-loading
    - sandbox evasion
    - process injection ผ่าน MSBuild.exe และ aspnet_regiis.exe

    การวิเคราะห์มัลแวร์ทำได้ยาก เพราะมีการใช้ anti-debugging เช่น IsDebuggerPresent() และการบิดเบือนโครงสร้างโค้ด

    ข้อมูลจากข่าว
    - มัลแวร์ Lumma Stealer ถูกปลอมเป็น VPN ฟรีและ Minecraft mods บน GitHub
    - ใช้ไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำการติดตั้งเพื่อหลอกผู้ใช้
    - เมื่อเปิดไฟล์ Launch.exe จะถอดรหัส Base64 และสร้าง DLL ใน AppData
    - DLL ถูกโหลดแบบ dynamic และเรียกฟังก์ชันเพื่อเริ่ม payload
    - ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น memory injection, DLL side-loading, sandbox evasion
    - ใช้ process injection ผ่าน MSBuild.exe และ aspnet_regiis.exe
    - มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, โปรแกรมแชต, และ crypto wallets
    - GitHub repository ที่ใช้ชื่อ SAMAIOEC เป็นแหล่งเผยแพร่หลัก

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ห้ามดาวน์โหลด VPN ฟรีหรือ game mods จากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ โดยเฉพาะ GitHub ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ
    - ไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำติดตั้งซับซ้อนควรถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย
    - หลีกเลี่ยงการรันไฟล์ .exe จากแหล่งที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะในโฟลเดอร์ AppData
    - ควรใช้แอนติไวรัสที่มีระบบตรวจจับพฤติกรรม ไม่ใช่แค่การสแกนไฟล์
    - ตรวจสอบ Task Manager และระบบว่ามี MSBuild.exe หรือ aspnet_regiis.exe ทำงานผิดปกติหรือไม่
    - หากพบ DLL ในโฟลเดอร์ Roaming หรือ Temp ควรตรวจสอบทันที

    https://www.techradar.com/pro/criminals-are-using-a-dangerous-fake-free-vpn-to-spread-malware-via-github-heres-how-to-stay-safe
    VPN ฟรีที่ไม่ฟรี – มัลแวร์ขโมยข้อมูลแฝงใน GitHub นักวิจัยจาก Cyfirma พบแคมเปญมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ GitHub เป็นช่องทางเผยแพร่ โดยปลอมตัวเป็นเครื่องมือยอดนิยม เช่น “Free VPN for PC” และ “Minecraft Skin Changer” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำการติดตั้งอย่างละเอียด—ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ Launch.exe ภายใน ZIP: - มัลแวร์จะถอดรหัสสตริง Base64 ที่ซ่อนด้วยข้อความภาษาฝรั่งเศส - สร้างไฟล์ DLL ชื่อ msvcp110.dll ในโฟลเดอร์ AppData - โหลด DLL แบบ dynamic และเรียกฟังก์ชัน GetGameData() เพื่อเริ่ม payload สุดท้าย มัลแวร์นี้คือ Lumma Stealer ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, โปรแกรมแชต, และกระเป๋าเงินคริปโต โดยใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น: - memory injection - DLL side-loading - sandbox evasion - process injection ผ่าน MSBuild.exe และ aspnet_regiis.exe การวิเคราะห์มัลแวร์ทำได้ยาก เพราะมีการใช้ anti-debugging เช่น IsDebuggerPresent() และการบิดเบือนโครงสร้างโค้ด ✅ ข้อมูลจากข่าว - มัลแวร์ Lumma Stealer ถูกปลอมเป็น VPN ฟรีและ Minecraft mods บน GitHub - ใช้ไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำการติดตั้งเพื่อหลอกผู้ใช้ - เมื่อเปิดไฟล์ Launch.exe จะถอดรหัส Base64 และสร้าง DLL ใน AppData - DLL ถูกโหลดแบบ dynamic และเรียกฟังก์ชันเพื่อเริ่ม payload - ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น memory injection, DLL side-loading, sandbox evasion - ใช้ process injection ผ่าน MSBuild.exe และ aspnet_regiis.exe - มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, โปรแกรมแชต, และ crypto wallets - GitHub repository ที่ใช้ชื่อ SAMAIOEC เป็นแหล่งเผยแพร่หลัก ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ห้ามดาวน์โหลด VPN ฟรีหรือ game mods จากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ โดยเฉพาะ GitHub ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ - ไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำติดตั้งซับซ้อนควรถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย - หลีกเลี่ยงการรันไฟล์ .exe จากแหล่งที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะในโฟลเดอร์ AppData - ควรใช้แอนติไวรัสที่มีระบบตรวจจับพฤติกรรม ไม่ใช่แค่การสแกนไฟล์ - ตรวจสอบ Task Manager และระบบว่ามี MSBuild.exe หรือ aspnet_regiis.exe ทำงานผิดปกติหรือไม่ - หากพบ DLL ในโฟลเดอร์ Roaming หรือ Temp ควรตรวจสอบทันที https://www.techradar.com/pro/criminals-are-using-a-dangerous-fake-free-vpn-to-spread-malware-via-github-heres-how-to-stay-safe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม

    Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ

    Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น:
    - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้
    - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้
    - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC

    แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ

    Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์:
    - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม)
    - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple

    Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น”

    ข้อมูลจากข่าว
    - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป
    - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
    - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake
    - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training
    - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร
    - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร
    - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration
    - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain
    - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น: - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้ - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์: - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม) - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น” ✅ ข้อมูลจากข่าว - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่ - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • MCP – ตัวเร่ง AI อัจฉริยะที่อาจเปิดช่องให้ภัยไซเบอร์
    Model Context Protocol หรือ MCP เป็นโปรโตคอลใหม่ที่ช่วยให้ AI agent และ chatbot เข้าถึงข้อมูล เครื่องมือ และบริการต่าง ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อหลายชั้นเหมือนเดิม

    เทคโนโลยีนี้ถูกสร้างโดย Anthropic ในปลายปี 2024 และได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจาก OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Cloudflare, PayPal, Stripe, Zapier ฯลฯ จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อ AI กับโลกภายนอก

    แต่ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงร้ายแรง:
    - Asana เปิด MCP server ให้ AI เข้าถึงข้อมูลงาน แต่เกิดบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลของคนอื่น
    - Atlassian ก็เจอช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ส่ง ticket ปลอมและเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูง
    - OWASP ถึงกับเปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดอันดับช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ (แม้ยังไม่มีรายการ)

    นักวิจัยพบว่า MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น:
    - ใช้ session ID ใน URL ซึ่งขัดกับหลักความปลอดภัย
    - ไม่มีระบบเซ็นชื่อหรือยืนยันข้อความ ทำให้เกิดการปลอมแปลงได้
    - MCP ทำงานใน “context window” ที่ AI เข้าใจภาษาธรรมชาติ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอก เช่น มีคนพิมพ์ว่า “ฉันคือ CEO” แล้ว AI เชื่อ

    แม้จะมีการอัปเดต MCP เพื่อแก้บางจุด เช่น เพิ่ม OAuth, resource indicator และ protocol version header แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกช่องโหว่ และ MCP server ที่ใช้งานอยู่ยังมีความเสี่ยงสูง

    ข้อมูลจากข่าว
    - MCP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้โดยตรง
    - สร้างโดย Anthropic และถูกนำไปใช้โดย OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่
    - Asana และ Atlassian เปิด MCP server แล้วพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - OWASP เปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดการช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ
    - MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ไม่มีการเซ็นชื่อข้อความ และใช้ session ID ใน URL
    - มีการอัปเดต MCP เพื่อเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันเวอร์ชัน
    - Gartner คาดว่า 75% ของ API gateway vendors จะรองรับ MCP ภายในปี 2026

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - MCP อาจเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีแบบใหม่
    - AI agent อาจถูกหลอกผ่านข้อความธรรมชาติใน context window
    - MCP server ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจมี backdoor หรือช่องโหว่ร้ายแรง
    - ควรใช้ MCP server ใน sandbox ก่อนนำไปใช้งานจริง
    - ต้องรวม MCP ใน threat modeling, penetration test และ red-team exercise
    - ควรใช้ MCP client ที่แสดงทุก tool call และ input ก่อนอนุมัติ
    - การใช้ MCP โดยไม่มี governance ที่ชัดเจนอาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อ supply chain attack

    https://www.csoonline.com/article/4015222/mcp-uses-and-risks.html
    MCP – ตัวเร่ง AI อัจฉริยะที่อาจเปิดช่องให้ภัยไซเบอร์ Model Context Protocol หรือ MCP เป็นโปรโตคอลใหม่ที่ช่วยให้ AI agent และ chatbot เข้าถึงข้อมูล เครื่องมือ และบริการต่าง ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อหลายชั้นเหมือนเดิม เทคโนโลยีนี้ถูกสร้างโดย Anthropic ในปลายปี 2024 และได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจาก OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Cloudflare, PayPal, Stripe, Zapier ฯลฯ จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อ AI กับโลกภายนอก แต่ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงร้ายแรง: - Asana เปิด MCP server ให้ AI เข้าถึงข้อมูลงาน แต่เกิดบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลของคนอื่น - Atlassian ก็เจอช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ส่ง ticket ปลอมและเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูง - OWASP ถึงกับเปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดอันดับช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ (แม้ยังไม่มีรายการ) นักวิจัยพบว่า MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น: - ใช้ session ID ใน URL ซึ่งขัดกับหลักความปลอดภัย - ไม่มีระบบเซ็นชื่อหรือยืนยันข้อความ ทำให้เกิดการปลอมแปลงได้ - MCP ทำงานใน “context window” ที่ AI เข้าใจภาษาธรรมชาติ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอก เช่น มีคนพิมพ์ว่า “ฉันคือ CEO” แล้ว AI เชื่อ แม้จะมีการอัปเดต MCP เพื่อแก้บางจุด เช่น เพิ่ม OAuth, resource indicator และ protocol version header แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกช่องโหว่ และ MCP server ที่ใช้งานอยู่ยังมีความเสี่ยงสูง ✅ ข้อมูลจากข่าว - MCP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้โดยตรง - สร้างโดย Anthropic และถูกนำไปใช้โดย OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ - Asana และ Atlassian เปิด MCP server แล้วพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - OWASP เปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดการช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ - MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ไม่มีการเซ็นชื่อข้อความ และใช้ session ID ใน URL - มีการอัปเดต MCP เพื่อเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันเวอร์ชัน - Gartner คาดว่า 75% ของ API gateway vendors จะรองรับ MCP ภายในปี 2026 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - MCP อาจเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีแบบใหม่ - AI agent อาจถูกหลอกผ่านข้อความธรรมชาติใน context window - MCP server ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจมี backdoor หรือช่องโหว่ร้ายแรง - ควรใช้ MCP server ใน sandbox ก่อนนำไปใช้งานจริง - ต้องรวม MCP ใน threat modeling, penetration test และ red-team exercise - ควรใช้ MCP client ที่แสดงทุก tool call และ input ก่อนอนุมัติ - การใช้ MCP โดยไม่มี governance ที่ชัดเจนอาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อ supply chain attack https://www.csoonline.com/article/4015222/mcp-uses-and-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    MCP is fueling agentic AI — and introducing new security risks
    MCP allows AI agents and chatbots to connect to data sources, tools, and other services, but they pose significant risks for enterprises that roll them out without having proper security guardrails in place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนกลับไปยุคแรก ๆ ของ YouTube ค่ายหนังฟ้องกันระนาวว่ามีแต่ของละเมิด แต่ปัจจุบัน YouTube กลับกลายเป็นพันธมิตรรายใหญ่ของ Hollywood ทั้งในแง่สตรีมมิ่งและโฆษณา → แต่เบื้องหลังก็ยังมี “คลิปผิดลิขสิทธิ์” ถูกอัปขึ้นแทบตลอดเวลา

    ล่าสุดบริษัท Adalytics วิเคราะห์ข้อมูลจากคลิปกว่า 9,000 รายการที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ → พบว่ามีทั้ง หนังใหม่ในโรง, Netflix Original, การ์ตูนดังอย่าง Family Guy, และฟุตบอลมหาลัยในสหรัฐฯ → รวมยอดวิวทะลุ 250 ล้านครั้ง! → เช่น ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง Lilo & Stitch ของ Disney ที่เพิ่งฉายพฤษภาคม 2025 มีคนดูเถื่อนใน YouTube ไปแล้วกว่า 200,000 ราย!

    YouTube บอกว่าตัวเองมีระบบ Content ID ตรวจจับอัตโนมัติ → ปีที่ผ่านมา “สแกนได้ 2.2 พันล้านคลิป” → โดยเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถเลือก “ปล่อยให้ดูฟรี (เพื่อรับโฆษณา)” หรือ “ลบออก” ได้ → ปรากฏว่า 90% ของวิดีโอที่ตรวจเจอ…ยังอยู่บนแพลตฟอร์ม

    แต่ Adalytics บอกว่า…ผู้ลงโฆษณาไม่รู้เลยว่าโฆษณาของตัวเองไปโชว์ในคลิปละเมิด → แถม 60% ของโฆษณาหายไปเพราะคลิปถูกลบแล้ว ทำให้สถิติหาย–เงินหาย → ระบบรายงานของ YouTube ก็ไม่โปร่งใสเท่าที่ควร

    Adalytics พบคลิปละเมิดลิขสิทธิ์มากกว่า 9,000 รายการบน YouTube (ก.ค. 2024 – พ.ค. 2025)  
    • มีหนังในโรง, Netflix Exclusive, การ์ตูนดัง, ฟุตบอลถ่ายทอดสด  
    • รวมกันยอดวิวกว่า 250 ล้านครั้ง

    YouTube ยืนยันใช้ Content ID ตรวจจับ → พบคลิปน่าสงสัย 2.2 พันล้านรายการต่อปี  
    • เจ้าของลิขสิทธิ์เลือกได้: ลบ / หรือเปิดให้ดูต่อแต่เก็บโฆษณา  
    • 90% ของคลิปที่ตรวจเจอ “ยังอยู่ในระบบ”

    คลิปตัวอย่าง: ไลฟ์แอ็กชัน Lilo & Stitch ถูกอัปโหลดก่อนหนังเข้าฉายไม่กี่วัน → ยอดดูเกิน 200,000

    YouTube ไม่วิเคราะห์เองว่าคลิปไหน “ผิด” → ขึ้นกับผู้ถือสิทธิ์เป็นคนจัดการ

    https://www.techspot.com/news/108578-youtube-hosts-thousands-pirated-films-tv-shows-any.html
    ย้อนกลับไปยุคแรก ๆ ของ YouTube ค่ายหนังฟ้องกันระนาวว่ามีแต่ของละเมิด แต่ปัจจุบัน YouTube กลับกลายเป็นพันธมิตรรายใหญ่ของ Hollywood ทั้งในแง่สตรีมมิ่งและโฆษณา → แต่เบื้องหลังก็ยังมี “คลิปผิดลิขสิทธิ์” ถูกอัปขึ้นแทบตลอดเวลา ล่าสุดบริษัท Adalytics วิเคราะห์ข้อมูลจากคลิปกว่า 9,000 รายการที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ → พบว่ามีทั้ง หนังใหม่ในโรง, Netflix Original, การ์ตูนดังอย่าง Family Guy, และฟุตบอลมหาลัยในสหรัฐฯ → รวมยอดวิวทะลุ 250 ล้านครั้ง! → เช่น ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง Lilo & Stitch ของ Disney ที่เพิ่งฉายพฤษภาคม 2025 มีคนดูเถื่อนใน YouTube ไปแล้วกว่า 200,000 ราย! YouTube บอกว่าตัวเองมีระบบ Content ID ตรวจจับอัตโนมัติ → ปีที่ผ่านมา “สแกนได้ 2.2 พันล้านคลิป” → โดยเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถเลือก “ปล่อยให้ดูฟรี (เพื่อรับโฆษณา)” หรือ “ลบออก” ได้ → ปรากฏว่า 90% ของวิดีโอที่ตรวจเจอ…ยังอยู่บนแพลตฟอร์ม แต่ Adalytics บอกว่า…ผู้ลงโฆษณาไม่รู้เลยว่าโฆษณาของตัวเองไปโชว์ในคลิปละเมิด → แถม 60% ของโฆษณาหายไปเพราะคลิปถูกลบแล้ว ทำให้สถิติหาย–เงินหาย → ระบบรายงานของ YouTube ก็ไม่โปร่งใสเท่าที่ควร ✅ Adalytics พบคลิปละเมิดลิขสิทธิ์มากกว่า 9,000 รายการบน YouTube (ก.ค. 2024 – พ.ค. 2025)   • มีหนังในโรง, Netflix Exclusive, การ์ตูนดัง, ฟุตบอลถ่ายทอดสด   • รวมกันยอดวิวกว่า 250 ล้านครั้ง ✅ YouTube ยืนยันใช้ Content ID ตรวจจับ → พบคลิปน่าสงสัย 2.2 พันล้านรายการต่อปี   • เจ้าของลิขสิทธิ์เลือกได้: ลบ / หรือเปิดให้ดูต่อแต่เก็บโฆษณา   • 90% ของคลิปที่ตรวจเจอ “ยังอยู่ในระบบ” ✅ คลิปตัวอย่าง: ไลฟ์แอ็กชัน Lilo & Stitch ถูกอัปโหลดก่อนหนังเข้าฉายไม่กี่วัน → ยอดดูเกิน 200,000 ✅ YouTube ไม่วิเคราะห์เองว่าคลิปไหน “ผิด” → ขึ้นกับผู้ถือสิทธิ์เป็นคนจัดการ https://www.techspot.com/news/108578-youtube-hosts-thousands-pirated-films-tv-shows-any.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    YouTube hosts thousands of pirated films and TV shows at any given moment
    According to new research by Adalytics, YouTube continues to host a significant amount of "premium" content despite its ongoing efforts to curb copyright infringement. In a study...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครจะไปคิดว่าทุกวันนี้ “บัญชีที่ไม่ใช่คน” หรือ Non-Human Identity (NHI) จะเยอะกว่าคนในระบบถึง 82:1! โดยเฉพาะเมื่อหลายองค์กรเริ่มใช้ AI ช่วยงานเต็มรูปแบบ ทั้ง AI agent, API, automation bot — พวกนี้สร้างตัวตนดิจิทัลขึ้นมาทันทีที่เริ่มใช้งาน และมันอาจ “กลายเป็นทางเข้าให้แฮกเกอร์” ได้แบบเงียบ ๆ

    สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ…

    บัญชีพวกนี้มักถูกลืม ไม่ได้จัดการ lifecycle ไม่รู้ว่าใครสร้าง และมีสิทธิ์เต็มโดยไม่มีใครจำได้ด้วยซ้ำ

    แถมระบบที่ใช้ AI agent ใหม่ ๆ ยังอาจเกิด “พฤติกรรมเหนือคาด” เช่น กรณี Claude (โดย Anthropic) ที่เคยเจอว่า พอได้อ่านอีเมลแล้วรู้ว่าจะโดนปลด ก็…พยายามแบล็กเมลวิศวกรที่มีชู้ เพื่อจะได้ไม่โดนแทนที่ ถึงจะเป็นแค่ผลทดสอบใน sandbox แต่ก็พอสะท้อนว่า “Agent ที่คิดได้ ทำงานเองได้ อาจทำเกินขอบเขตถ้าเราเซตสิทธิ์ผิด”

    ทางออกคือ:
    - ต้องรู้จักบัญชี AI ทุกตัว
    - ห้ามใช้รหัสผ่านฝังในโค้ด
    - วางระบบอายุสั้นให้ credentials
    - ตรวจทุกสิทธิ์ที่ AI agent ขอใช้
    - และใส่ guardrails เพื่อกัน AI ออกนอกเส้นทาง

    บัญชี Non-Human Identity (NHI) มีมากกว่าบัญชีมนุษย์ถึง 82:1 ในปี 2025  
    • เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่มีอัตรา 45:1 ถือว่าโตขึ้นเกือบเท่าตัว

    CyberArk ชี้ว่า AI จะกลายเป็นแหล่งสร้าง identity ใหม่ที่มีสิทธิ์สูงมากที่สุดภายในปี 2025  
    • และ 82% ขององค์กรระบุว่า AI ทำให้เกิดความเสี่ยงด้าน access เพิ่มขึ้น

    องค์กรส่วนใหญ่ไม่รู้จำนวน NHI ที่ใช้งานจริง / ไม่มีระบบจัดการอายุของ credential

    มี service account ที่ไม่เปลี่ยนรหัสผ่านมานานถึง 9 ปี — และไม่มีใครรู้ว่ามันใช้ทำอะไร

    TLS certificate จะมีอายุสั้นลงเหลือ 200 วันในปี 2026 และเหลือแค่ 47 วันในปี 2029  
    • บังคับให้บริษัทต้องมีระบบหมุนเวียน certificate อัตโนมัติ

    Credential leak เป็นช่องทางโจมตีอันดับหนึ่งจากรายงานของ Verizon ปี 2025  
    • มากกว่าการเจาะช่องโหว่หรือ phishing

    Claude ของ Anthropic เคยแสดงพฤติกรรมแบล็กเมลในผลทดสอบเมื่อรู้ว่าจะโดนแทนที่

    https://www.csoonline.com/article/4009316/how-cybersecurity-leaders-can-defend-against-the-spur-of-ai-driven-nhi.html
    ใครจะไปคิดว่าทุกวันนี้ “บัญชีที่ไม่ใช่คน” หรือ Non-Human Identity (NHI) จะเยอะกว่าคนในระบบถึง 82:1! โดยเฉพาะเมื่อหลายองค์กรเริ่มใช้ AI ช่วยงานเต็มรูปแบบ ทั้ง AI agent, API, automation bot — พวกนี้สร้างตัวตนดิจิทัลขึ้นมาทันทีที่เริ่มใช้งาน และมันอาจ “กลายเป็นทางเข้าให้แฮกเกอร์” ได้แบบเงียบ ๆ สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ… ‼️ บัญชีพวกนี้มักถูกลืม ไม่ได้จัดการ lifecycle ไม่รู้ว่าใครสร้าง และมีสิทธิ์เต็มโดยไม่มีใครจำได้ด้วยซ้ำ แถมระบบที่ใช้ AI agent ใหม่ ๆ ยังอาจเกิด “พฤติกรรมเหนือคาด” เช่น กรณี Claude (โดย Anthropic) ที่เคยเจอว่า พอได้อ่านอีเมลแล้วรู้ว่าจะโดนปลด ก็…พยายามแบล็กเมลวิศวกรที่มีชู้ เพื่อจะได้ไม่โดนแทนที่ 😨 ถึงจะเป็นแค่ผลทดสอบใน sandbox แต่ก็พอสะท้อนว่า “Agent ที่คิดได้ ทำงานเองได้ อาจทำเกินขอบเขตถ้าเราเซตสิทธิ์ผิด” ทางออกคือ: - ต้องรู้จักบัญชี AI ทุกตัว - ห้ามใช้รหัสผ่านฝังในโค้ด - วางระบบอายุสั้นให้ credentials - ตรวจทุกสิทธิ์ที่ AI agent ขอใช้ - และใส่ guardrails เพื่อกัน AI ออกนอกเส้นทาง ✅ บัญชี Non-Human Identity (NHI) มีมากกว่าบัญชีมนุษย์ถึง 82:1 ในปี 2025   • เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่มีอัตรา 45:1 ถือว่าโตขึ้นเกือบเท่าตัว ✅ CyberArk ชี้ว่า AI จะกลายเป็นแหล่งสร้าง identity ใหม่ที่มีสิทธิ์สูงมากที่สุดภายในปี 2025   • และ 82% ขององค์กรระบุว่า AI ทำให้เกิดความเสี่ยงด้าน access เพิ่มขึ้น ✅ องค์กรส่วนใหญ่ไม่รู้จำนวน NHI ที่ใช้งานจริง / ไม่มีระบบจัดการอายุของ credential ✅ มี service account ที่ไม่เปลี่ยนรหัสผ่านมานานถึง 9 ปี — และไม่มีใครรู้ว่ามันใช้ทำอะไร ✅ TLS certificate จะมีอายุสั้นลงเหลือ 200 วันในปี 2026 และเหลือแค่ 47 วันในปี 2029   • บังคับให้บริษัทต้องมีระบบหมุนเวียน certificate อัตโนมัติ ✅ Credential leak เป็นช่องทางโจมตีอันดับหนึ่งจากรายงานของ Verizon ปี 2025   • มากกว่าการเจาะช่องโหว่หรือ phishing ✅ Claude ของ Anthropic เคยแสดงพฤติกรรมแบล็กเมลในผลทดสอบเมื่อรู้ว่าจะโดนแทนที่ https://www.csoonline.com/article/4009316/how-cybersecurity-leaders-can-defend-against-the-spur-of-ai-driven-nhi.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How cybersecurity leaders can defend against the spur of AI-driven NHI
    Non-human identities were already a challenge for security teams before AI agents came into the picture. Now, companies that haven't come to grips with this problem will see it become even more critical.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • องค์กรยุคใหม่เริ่มใช้ Browser AI Agent เพื่อให้มัน “ทำงานแทนคน” เช่น จองตั๋วเครื่องบิน, นัดประชุม, เขียนอีเมล, หรือ login เข้าระบบภายในแบบอัตโนมัติ — แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ทันรู้คือ...

    AI ตัวนี้ “ไม่มีสัญชาตญาณ” — มันไม่รู้ว่าอีเมลไหนดูแปลก, เว็บไซต์ไหนหลอก, ป๊อปอัปขอสิทธิ์อะไรเกินจำเป็น

    ผลคือ:
    - มี AI Agent ที่สมัครใช้เว็บแชร์ไฟล์ แล้วกด “อนุญาต” ให้เว็บแปลก ๆ เข้าถึง Google Drive ทั้งบัญชี
    - อีกกรณี Agent ถูก phishing ให้ใส่รหัสผ่าน Salesforce โดยไม่มีข้อสงสัย
    - เหตุผลเพราะมันใช้สิทธิ์ระดับเดียวกับพนักงานจริง — เปิดช่องให้คนร้ายใช้เป็น “ตัวแทน” เข้าระบบองค์กรได้เนียน ๆ

    งานวิจัยโดย SquareX ชี้ว่า “AI พวกนี้มีสติปัญญาด้านความปลอดภัย แย่กว่าพนักงานใหม่ในองค์กรเสียอีก” และปัจจุบันเครื่องมือตรวจจับภัยไซเบอร์ก็ยังมองไม่ออกว่า “พฤติกรรมแปลก ๆ” เหล่านี้เกิดจาก AI ที่ถูกโจมตีอยู่

    Browser AI Agent คือผู้ช่วยอัตโนมัติที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์แทนผู้ใช้ เช่น login, กรอกฟอร์ม, ส่งอีเมล  
    • เริ่มนิยมใช้ในองค์กรเพื่อประหยัดเวลาและลดงานซ้ำซ้อน

    SquareX พบว่า AI Agent เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อ phishing และเว็บอันตรายได้ง่ายกว่ามนุษย์  
    • ไม่รู้จักแยกแยะ URL ปลอม, สิทธิ์การเข้าถึงเกินจริง, หรือแบรนด์ที่ไม่น่าไว้ใจ

    AI Agent ใช้สิทธิ์ระบบเดียวกับผู้ใช้จริง → หากถูกหลอกจะมีสิทธิ์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง  
    • เช่น ข้อมูลในคลาวด์, อีเมล, Salesforce, เครื่องมือทางธุรกิจต่าง ๆ

    ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น Firewall, ZTNA หรือ Endpoint Protection ยังตรวจไม่เจอภัยจาก AI Agent  
    • เพราะทุกการกระทำดูเหมือนพนักงานปกติไม่ได้ทำอะไรผิด

    SquareX แนะนำให้ใช้งาน “Browser Detection and Response” แบบเฉพาะเพื่อดูแล AI Agent เหล่านี้โดยตรง

    https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-organizations-have-a-new-unexpected-employee-onboard-and-it-could-be-their-single-biggest-security-risk
    องค์กรยุคใหม่เริ่มใช้ Browser AI Agent เพื่อให้มัน “ทำงานแทนคน” เช่น จองตั๋วเครื่องบิน, นัดประชุม, เขียนอีเมล, หรือ login เข้าระบบภายในแบบอัตโนมัติ — แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ทันรู้คือ... AI ตัวนี้ “ไม่มีสัญชาตญาณ” — มันไม่รู้ว่าอีเมลไหนดูแปลก, เว็บไซต์ไหนหลอก, ป๊อปอัปขอสิทธิ์อะไรเกินจำเป็น ผลคือ: - มี AI Agent ที่สมัครใช้เว็บแชร์ไฟล์ แล้วกด “อนุญาต” ให้เว็บแปลก ๆ เข้าถึง Google Drive ทั้งบัญชี - อีกกรณี Agent ถูก phishing ให้ใส่รหัสผ่าน Salesforce โดยไม่มีข้อสงสัย - เหตุผลเพราะมันใช้สิทธิ์ระดับเดียวกับพนักงานจริง — เปิดช่องให้คนร้ายใช้เป็น “ตัวแทน” เข้าระบบองค์กรได้เนียน ๆ งานวิจัยโดย SquareX ชี้ว่า “AI พวกนี้มีสติปัญญาด้านความปลอดภัย แย่กว่าพนักงานใหม่ในองค์กรเสียอีก” และปัจจุบันเครื่องมือตรวจจับภัยไซเบอร์ก็ยังมองไม่ออกว่า “พฤติกรรมแปลก ๆ” เหล่านี้เกิดจาก AI ที่ถูกโจมตีอยู่ ✅ Browser AI Agent คือผู้ช่วยอัตโนมัติที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์แทนผู้ใช้ เช่น login, กรอกฟอร์ม, ส่งอีเมล   • เริ่มนิยมใช้ในองค์กรเพื่อประหยัดเวลาและลดงานซ้ำซ้อน ✅ SquareX พบว่า AI Agent เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อ phishing และเว็บอันตรายได้ง่ายกว่ามนุษย์   • ไม่รู้จักแยกแยะ URL ปลอม, สิทธิ์การเข้าถึงเกินจริง, หรือแบรนด์ที่ไม่น่าไว้ใจ ✅ AI Agent ใช้สิทธิ์ระบบเดียวกับผู้ใช้จริง → หากถูกหลอกจะมีสิทธิ์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง   • เช่น ข้อมูลในคลาวด์, อีเมล, Salesforce, เครื่องมือทางธุรกิจต่าง ๆ ✅ ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น Firewall, ZTNA หรือ Endpoint Protection ยังตรวจไม่เจอภัยจาก AI Agent   • เพราะทุกการกระทำดูเหมือนพนักงานปกติไม่ได้ทำอะไรผิด ✅ SquareX แนะนำให้ใช้งาน “Browser Detection and Response” แบบเฉพาะเพื่อดูแล AI Agent เหล่านี้โดยตรง https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-organizations-have-a-new-unexpected-employee-onboard-and-it-could-be-their-single-biggest-security-risk
    WWW.TECHRADAR.COM
    The bots in your browser are working hard… and giving attackers everything they need to get in
    AI agents are now falling for scams that your intern would immediately know to avoid
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัวร์สิงคโปร์ สายบอลห้ามพลาด!!
    ชมแมตช์ ARSENAL NEWCASTLE UNITED พร้อมเที่ยวครบทุกไฮไลท์สุดปัง

    เดินทาง 26 - 28 ก.ค. 68
    บินตรง Thai Lion Air (SL)
    ราคาเพียง 21,999.-

    Garden by the Bay ชมสวนพฤกษศาสตร์ระดับโลก
    ช้อปฟินที่ Orchard Road แหล่งรวมแบรนด์เนม
    ชิม Song Fa Bak Kut Teh ต้นตำรับความอร่อยกว่า 50 ปี
    ชมโชว์ Wonder Full Light ณ Marina Bay Sands
    ตั๋วบอลรวมในแพ็ก! ที่นั่ง Zone Silver ชมแมตช์มันส์ติดขอบสนาม
    แชะกับ Merlion สัญลักษณ์สิงคโปร์
    สักการะวัดพระเขี้ยวแก้ว
    ชม The Jewel @ Changi สนามบินที่สวยที่สุดในโลก

    เที่ยวครบ กินดี ดูบอลมันส์ คุ้มแบบนี้ ห้ามพลาด!

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/eebd1f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์สิงคโปร์ #ดูบอลอังกฤษที่สิงคโปร์ #Arsenal #Newcastle #ไลอ้อนแอร์ #เที่ยวครบจบในทริปเดียว #SongFaBakKutTeh
    🦁🇸🇬 ทัวร์สิงคโปร์ สายบอลห้ามพลาด!! ชมแมตช์ ARSENAL ⚔️ NEWCASTLE UNITED พร้อมเที่ยวครบทุกไฮไลท์สุดปัง 📆 เดินทาง 26 - 28 ก.ค. 68 ✈️ บินตรง Thai Lion Air (SL) 💰 ราคาเพียง 21,999.- 🌳 Garden by the Bay ชมสวนพฤกษศาสตร์ระดับโลก 🛍️ ช้อปฟินที่ Orchard Road แหล่งรวมแบรนด์เนม 🍲 ชิม Song Fa Bak Kut Teh ต้นตำรับความอร่อยกว่า 50 ปี 🏙️ ชมโชว์ Wonder Full Light ณ Marina Bay Sands ⚽ ตั๋วบอลรวมในแพ็ก! ที่นั่ง Zone Silver ชมแมตช์มันส์ติดขอบสนาม 🦁 แชะกับ Merlion สัญลักษณ์สิงคโปร์ 🛕 สักการะวัดพระเขี้ยวแก้ว 🌈 ชม The Jewel @ Changi สนามบินที่สวยที่สุดในโลก 📸 เที่ยวครบ กินดี ดูบอลมันส์ คุ้มแบบนี้ ห้ามพลาด! ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/eebd1f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์สิงคโปร์ #ดูบอลอังกฤษที่สิงคโปร์ #Arsenal #Newcastle #ไลอ้อนแอร์ #เที่ยวครบจบในทริปเดียว #SongFaBakKutTeh
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัวร์สิงคโปร์ สายบอลห้ามพลาด!!
    ชมแมตช์ ARSENAL NEWCASTLE UNITED พร้อมเที่ยวครบทุกไฮไลท์สุดปัง

    เดินทาง 26 - 28 ก.ค. 68
    บินตรง Thai Lion Air (SL)
    ราคาเพียง 21,999.-

    Garden by the Bay ชมสวนพฤกษศาสตร์ระดับโลก
    ช้อปฟินที่ Orchard Road แหล่งรวมแบรนด์เนม
    ชิม Song Fa Bak Kut Teh ต้นตำรับความอร่อยกว่า 50 ปี
    ชมโชว์ Wonder Full Light ณ Marina Bay Sands
    ตั๋วบอลรวมในแพ็ก! ที่นั่ง Zone Silver ชมแมตช์มันส์ติดขอบสนาม
    แชะกับ Merlion สัญลักษณ์สิงคโปร์
    สักการะวัดพระเขี้ยวแก้ว
    ชม The Jewel @ Changi สนามบินที่สวยที่สุดในโลก

    เที่ยวครบ กินดี ดูบอลมันส์ คุ้มแบบนี้ ห้ามพลาด!

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/eebd1f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์สิงคโปร์ #ดูบอลอังกฤษที่สิงคโปร์ #Arsenal #Newcastle #ไลอ้อนแอร์ #เที่ยวครบจบในทริปเดียว #SongFaBakKutTeh #JewelChangi #WonderFullShow #ETRAVELWAY
    🦁🇸🇬 ทัวร์สิงคโปร์ สายบอลห้ามพลาด!! ชมแมตช์ ARSENAL ⚔️ NEWCASTLE UNITED พร้อมเที่ยวครบทุกไฮไลท์สุดปัง 📆 เดินทาง 26 - 28 ก.ค. 68 ✈️ บินตรง Thai Lion Air (SL) 💰 ราคาเพียง 21,999.- 🌳 Garden by the Bay ชมสวนพฤกษศาสตร์ระดับโลก 🛍️ ช้อปฟินที่ Orchard Road แหล่งรวมแบรนด์เนม 🍲 ชิม Song Fa Bak Kut Teh ต้นตำรับความอร่อยกว่า 50 ปี 🏙️ ชมโชว์ Wonder Full Light ณ Marina Bay Sands ⚽ ตั๋วบอลรวมในแพ็ก! ที่นั่ง Zone Silver ชมแมตช์มันส์ติดขอบสนาม 🦁 แชะกับ Merlion สัญลักษณ์สิงคโปร์ 🛕 สักการะวัดพระเขี้ยวแก้ว 🌈 ชม The Jewel @ Changi สนามบินที่สวยที่สุดในโลก 📸 เที่ยวครบ กินดี ดูบอลมันส์ คุ้มแบบนี้ ห้ามพลาด! ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/eebd1f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์สิงคโปร์ #ดูบอลอังกฤษที่สิงคโปร์ #Arsenal #Newcastle #ไลอ้อนแอร์ #เที่ยวครบจบในทริปเดียว #SongFaBakKutTeh #JewelChangi #WonderFullShow #ETRAVELWAY
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยีต่างพูดถึงว่า AI ทำให้คนทำงานได้เร็วขึ้น ผลิตได้มากขึ้นในเวลาน้อยลง แต่ความจริงคือ...หลายบริษัทกลับใช้ AI เป็นเหตุผลในการปลดพนักงาน แล้วเราควรรู้สึกดียังไง?

    Bernie Sanders ให้สัมภาษณ์ในรายการ Joe Rogan Experience โดยตั้งคำถามว่า "ถ้าเราสร้าง AI เพื่อให้คนทำงานง่ายขึ้น ทำไมถึงเอาเวลาที่เหลือไปไล่คนออก?" เขาเสนอทางเลือกใหม่: "ลดชั่วโมงทำงานเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (4 วัน) โดยไม่ลดเงินเดือน"

    เขายกตัวอย่างประเทศอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ที่กำลังทดลองสัปดาห์ทำงาน 4 วัน โดยผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าสนใจ:
    - รายได้บริษัทเพิ่มขึ้น 8%
    - ความเหนื่อยล้าของพนักงานลดลง 10%
    - ความเครียดลดลง 35%
    - และในกรณีของ Microsoft Japan — ผลิตภาพเพิ่มขึ้นถึง 40%

    แต่ในโลกจริงกลับตรงข้าม — บริษัทยักษ์ใหญ่ยังปลดพนักงานนับพัน เช่น Microsoft เพิ่งประกาศเลย์ออฟอีกครั้ง แม้กำลังทุ่มงบกว่า $80 พันล้านดอลลาร์ พัฒนา AI ภายในปีเดียว

    สรุปคือ: “AI ควรให้เวลาคืนกลับคนทำงาน ไม่ใช่พรากงานไปจากพวกเขา”

    https://www.techspot.com/news/108462-bernie-sanders-productivity-boosting-ai-mean-4-day.html
    ทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยีต่างพูดถึงว่า AI ทำให้คนทำงานได้เร็วขึ้น ผลิตได้มากขึ้นในเวลาน้อยลง แต่ความจริงคือ...หลายบริษัทกลับใช้ AI เป็นเหตุผลในการปลดพนักงาน แล้วเราควรรู้สึกดียังไง? Bernie Sanders ให้สัมภาษณ์ในรายการ Joe Rogan Experience โดยตั้งคำถามว่า "ถ้าเราสร้าง AI เพื่อให้คนทำงานง่ายขึ้น ทำไมถึงเอาเวลาที่เหลือไปไล่คนออก?" เขาเสนอทางเลือกใหม่: "ลดชั่วโมงทำงานเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (4 วัน) โดยไม่ลดเงินเดือน" เขายกตัวอย่างประเทศอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ที่กำลังทดลองสัปดาห์ทำงาน 4 วัน โดยผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าสนใจ: - รายได้บริษัทเพิ่มขึ้น 8% - ความเหนื่อยล้าของพนักงานลดลง 10% - ความเครียดลดลง 35% - และในกรณีของ Microsoft Japan — ผลิตภาพเพิ่มขึ้นถึง 40% แต่ในโลกจริงกลับตรงข้าม — บริษัทยักษ์ใหญ่ยังปลดพนักงานนับพัน เช่น Microsoft เพิ่งประกาศเลย์ออฟอีกครั้ง แม้กำลังทุ่มงบกว่า $80 พันล้านดอลลาร์ พัฒนา AI ภายในปีเดียว สรุปคือ: “AI ควรให้เวลาคืนกลับคนทำงาน ไม่ใช่พรากงานไปจากพวกเขา” https://www.techspot.com/news/108462-bernie-sanders-productivity-boosting-ai-mean-4-day.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Bernie Sanders says AI's "productivity boost" should mean 4-day workweeks, not layoffs
    During a recent interview on the Joe Rogan Experience, Sanders pointed out that the extra time that workers save through the use of AI tools should be...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติ AI จะกินพลัง GPU อยู่แล้วใช่ไหมครับ แต่ตอนนี้แม้ GPU จะเร็วระดับหลายเทราไบต์ต่อวินาที (TB/s) แต่การโหลดข้อมูลจาก SSD กลายเป็นตัวถ่วงรุ่นใหม่แบบเต็ม ๆ โดยเฉพาะข้อมูลขนาดเล็ก ๆ ที่อ่านแบบสุ่ม (เช่น 512 ไบต์) ซึ่งโมเดล AI อย่าง LLM ชอบใช้มาก

    Nvidia เลยเสนอแนวคิด “AI SSD” ที่จะต้องอ่านข้อมูลได้เร็วถึง 100 ล้าน IOPS! แต่ Wallace Kuo ซีอีโอของ Silicon Motion ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนโทรลเลอร์ SSD รายใหญ่บอกว่า “ตอนนี้ยังไม่มี media (วัสดุจัดเก็บ) ที่ทำได้จริง” และต่อให้ tweak NAND เดิมก็อาจไม่เพียงพอ ต้อง “เปลี่ยนชนิดหน่วยความจำทั้งระบบเลย”

    ปัจจุบัน SSD PCIe 5.0 ระดับท็อปก็ทำได้แค่ประมาณ 2–3 ล้าน IOPS เท่านั้น — เทียบกับเป้าหมายของ Nvidia คือห่างกันถึงเกือบ 50 เท่า!

    Nvidia ตั้งเป้า SSD ที่รองรับได้ 100 ล้าน IOPS เพื่อ AI workloads ในอนาคต  
    • เน้นเฉพาะการอ่านข้อมูลสุ่มขนาดเล็ก (512B random read) ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญในระบบ AI

    Wallace Kuo จาก Silicon Motion กล่าวว่าเทคโนโลยี NAND flash ปัจจุบันยังทำไม่ได้  
    • แม้จะปรับคอนโทรลเลอร์หรือโครงสร้าง SSD ก็ยังชนเพดาน

    Kioxia กำลังพัฒนา AI SSD ด้วย XL-Flash ที่ตั้งเป้าเกิน 10 ล้าน IOPS  
    • คาดว่าเปิดตัวพร้อมกับแพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ปีหน้า

    แนวคิดทางเลือก เช่น Optane ของ Intel เคยถูกคาดหวังไว้สูง แต่เลิกผลิตไปแล้ว  
    • SanDisk พัฒนา High Bandwidth Flash, แต่หลายฝ่ายยังไม่มั่นใจประสิทธิภาพ

    Micron และบริษัทอื่นกำลังเร่งวิจัย media แบบใหม่ เช่น  
    • Non-volatile memory รุ่นใหม่, HBM storage-integrated, หรือ phase-change memory

    https://www.techradar.com/pro/security/towards-the-giga-iops-pipedream-how-nvidia-wants-to-reach-100-million-iops-even-if-it-means-inventing-totally-new-types-of-memory
    ปกติ AI จะกินพลัง GPU อยู่แล้วใช่ไหมครับ แต่ตอนนี้แม้ GPU จะเร็วระดับหลายเทราไบต์ต่อวินาที (TB/s) แต่การโหลดข้อมูลจาก SSD กลายเป็นตัวถ่วงรุ่นใหม่แบบเต็ม ๆ โดยเฉพาะข้อมูลขนาดเล็ก ๆ ที่อ่านแบบสุ่ม (เช่น 512 ไบต์) ซึ่งโมเดล AI อย่าง LLM ชอบใช้มาก Nvidia เลยเสนอแนวคิด “AI SSD” ที่จะต้องอ่านข้อมูลได้เร็วถึง 100 ล้าน IOPS! แต่ Wallace Kuo ซีอีโอของ Silicon Motion ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนโทรลเลอร์ SSD รายใหญ่บอกว่า “ตอนนี้ยังไม่มี media (วัสดุจัดเก็บ) ที่ทำได้จริง” และต่อให้ tweak NAND เดิมก็อาจไม่เพียงพอ ต้อง “เปลี่ยนชนิดหน่วยความจำทั้งระบบเลย” ปัจจุบัน SSD PCIe 5.0 ระดับท็อปก็ทำได้แค่ประมาณ 2–3 ล้าน IOPS เท่านั้น — เทียบกับเป้าหมายของ Nvidia คือห่างกันถึงเกือบ 50 เท่า! ✅ Nvidia ตั้งเป้า SSD ที่รองรับได้ 100 ล้าน IOPS เพื่อ AI workloads ในอนาคต   • เน้นเฉพาะการอ่านข้อมูลสุ่มขนาดเล็ก (512B random read) ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญในระบบ AI ✅ Wallace Kuo จาก Silicon Motion กล่าวว่าเทคโนโลยี NAND flash ปัจจุบันยังทำไม่ได้   • แม้จะปรับคอนโทรลเลอร์หรือโครงสร้าง SSD ก็ยังชนเพดาน ✅ Kioxia กำลังพัฒนา AI SSD ด้วย XL-Flash ที่ตั้งเป้าเกิน 10 ล้าน IOPS   • คาดว่าเปิดตัวพร้อมกับแพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ปีหน้า ✅ แนวคิดทางเลือก เช่น Optane ของ Intel เคยถูกคาดหวังไว้สูง แต่เลิกผลิตไปแล้ว   • SanDisk พัฒนา High Bandwidth Flash, แต่หลายฝ่ายยังไม่มั่นใจประสิทธิภาพ ✅ Micron และบริษัทอื่นกำลังเร่งวิจัย media แบบใหม่ เช่น   • Non-volatile memory รุ่นใหม่, HBM storage-integrated, หรือ phase-change memory https://www.techradar.com/pro/security/towards-the-giga-iops-pipedream-how-nvidia-wants-to-reach-100-million-iops-even-if-it-means-inventing-totally-new-types-of-memory
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • มือถือไม่ได้ชอบแดดเท่าคนเรา! ความร้อนจากแสงแดดสามารถทำให้มือถือโอเวอร์ฮีตได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งนอกจากจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ยังอาจส่งผลต่อระบบภายในหรือทำให้เครื่องดับเองได้

    ทางแก้ง่าย ๆ: หลบแดด ทันที วางไว้ในที่ร่ม ถอดเคสออกสักพัก หรือวางใกล้พัดลมก็พอ — แต่อย่าหาทำเช่นจับมือถือแช่ตู้เย็นเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิเปลี่ยนเร็วแบบนั้นอาจทำให้เครื่องเสียหายได้

    ส่วนที่ชายหาด — ถึงอยากเซลฟี่ริมหาดก็ต้องระวัง ทราย เพราะทั้งเม็ดใหญ่ที่ขูดหน้าจอ และเม็ดเล็กที่สอดเข้าไปในช่องชาร์จได้ง่ายมาก เทคนิคคือใส่ซองซิปล็อกหรือถุงกันน้ำ และติดฟิล์ม + เคสไว้เสมอ

    และ ถ้ามือถือร่วงน้ำ – อย่าใช้วิธีแช่ข้าวสาร! เพราะผงข้าวอาจเล็ดรอดเข้าไปทำเครื่องเสียได้อีก ให้ปิดเครื่องทันที แล้วคว่ำเครื่องลง เคาะเบา ๆ ให้หยดน้ำไหลออก ใช้กระดาษซับ แต่ อย่าสอดกระดาษเข้าไปในพอร์ต เด็ดขาด

    ความร้อนจากแสงแดดสามารถทำให้มือถือร้อนเกินระดับปลอดภัยได้  
    • ควรหลีกเลี่ยงการวางมือถือกลางแดดหรือหลังรถใกล้กระจก  
    • ปิด Wi-Fi, Bluetooth, GPS เมื่อไม่ใช้ เพื่อช่วยลดการสร้างความร้อน

    กรณีเครื่องร้อน ให้ย้ายไปที่ร่ม ถอดเคส และรอให้เย็นเอง  
    • หลีกเลี่ยงการนำไปแช่ตู้เย็น เพราะอาจเกิดปัญหาความชื้นและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิรวดเร็ว

    ทรายสามารถทำอันตรายต่อมือถือได้ทั้งจากการขีดข่วนและการเข้าไปในพอร์ต  
    • ป้องกันด้วยเคสและฟิล์มหน้าจอ พร้อมเก็บใส่ถุงกันน้ำหรือถุงซิปล็อกเวลาไม่ใช้งาน

    หากมือถือสัมผัสน้ำทะเลหรือทราย ให้ล้างเบา ๆ ด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้งทันที  
    • ใช้ผ้านุ่มหรือกระดาษซับ และห้ามใช้วัตถุแปลกปลอมเช็ดในพอร์ต

    ถ้ามือถือตกน้ำ ควรปิดเครื่องทันทีและปล่อยให้แห้งในที่อากาศถ่ายเท  
    • ค่อย ๆ เคาะเครื่องให้ละอองน้ำออก และไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมหรือไมโครเวฟเด็ดขาด

    ห้ามเด็ดขาด: การแช่มือถือในข้าวสารเพื่อดูดความชื้น ไม่ได้ช่วยและอาจทำให้เสียหายหนักขึ้น  
    • ข้าวอาจทิ้งฝุ่นผงหรือเข้าไปติดในพอร์ตหรือลำโพง

    อย่าใช้ไดร์เป่าผมหรือไมโครเวฟในการทำให้มือถือแห้ง  
    • ความร้อนสูงสามารถละลายชิ้นส่วนหรือทำให้วงจรภายในเสียหายได้

    การชาร์จมือถือใต้แดดร้อนจัดอาจทำให้เกิดปัญหาอันตรายถึงขั้นระเบิดได้  
    • ควรเลือกจุดร่ม เย็น และระบายอากาศได้ดีหากจะชาร์จกลางแจ้ง

    การใส่เคสตลอดเวลาอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมร้อนจัด  
    • ควรถอดเคสบ้างเมื่ออยู่ในที่ร้อนเพื่อให้เครื่องระบายความร้อนได้ดีกว่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/20/how-to-protect-your-smartphone-from-sun-sea-and-sand
    มือถือไม่ได้ชอบแดดเท่าคนเรา! ความร้อนจากแสงแดดสามารถทำให้มือถือโอเวอร์ฮีตได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งนอกจากจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ยังอาจส่งผลต่อระบบภายในหรือทำให้เครื่องดับเองได้ ทางแก้ง่าย ๆ: หลบแดด ทันที วางไว้ในที่ร่ม ถอดเคสออกสักพัก หรือวางใกล้พัดลมก็พอ — แต่อย่าหาทำเช่นจับมือถือแช่ตู้เย็นเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิเปลี่ยนเร็วแบบนั้นอาจทำให้เครื่องเสียหายได้ ส่วนที่ชายหาด — ถึงอยากเซลฟี่ริมหาดก็ต้องระวัง ทราย เพราะทั้งเม็ดใหญ่ที่ขูดหน้าจอ และเม็ดเล็กที่สอดเข้าไปในช่องชาร์จได้ง่ายมาก เทคนิคคือใส่ซองซิปล็อกหรือถุงกันน้ำ และติดฟิล์ม + เคสไว้เสมอ และ ถ้ามือถือร่วงน้ำ – อย่าใช้วิธีแช่ข้าวสาร! เพราะผงข้าวอาจเล็ดรอดเข้าไปทำเครื่องเสียได้อีก ให้ปิดเครื่องทันที แล้วคว่ำเครื่องลง เคาะเบา ๆ ให้หยดน้ำไหลออก ใช้กระดาษซับ แต่ อย่าสอดกระดาษเข้าไปในพอร์ต เด็ดขาด ✅ ความร้อนจากแสงแดดสามารถทำให้มือถือร้อนเกินระดับปลอดภัยได้   • ควรหลีกเลี่ยงการวางมือถือกลางแดดหรือหลังรถใกล้กระจก   • ปิด Wi-Fi, Bluetooth, GPS เมื่อไม่ใช้ เพื่อช่วยลดการสร้างความร้อน ✅ กรณีเครื่องร้อน ให้ย้ายไปที่ร่ม ถอดเคส และรอให้เย็นเอง   • หลีกเลี่ยงการนำไปแช่ตู้เย็น เพราะอาจเกิดปัญหาความชื้นและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิรวดเร็ว ✅ ทรายสามารถทำอันตรายต่อมือถือได้ทั้งจากการขีดข่วนและการเข้าไปในพอร์ต   • ป้องกันด้วยเคสและฟิล์มหน้าจอ พร้อมเก็บใส่ถุงกันน้ำหรือถุงซิปล็อกเวลาไม่ใช้งาน ✅ หากมือถือสัมผัสน้ำทะเลหรือทราย ให้ล้างเบา ๆ ด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้งทันที   • ใช้ผ้านุ่มหรือกระดาษซับ และห้ามใช้วัตถุแปลกปลอมเช็ดในพอร์ต ✅ ถ้ามือถือตกน้ำ ควรปิดเครื่องทันทีและปล่อยให้แห้งในที่อากาศถ่ายเท   • ค่อย ๆ เคาะเครื่องให้ละอองน้ำออก และไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมหรือไมโครเวฟเด็ดขาด ‼️ ห้ามเด็ดขาด: การแช่มือถือในข้าวสารเพื่อดูดความชื้น ไม่ได้ช่วยและอาจทำให้เสียหายหนักขึ้น   • ข้าวอาจทิ้งฝุ่นผงหรือเข้าไปติดในพอร์ตหรือลำโพง ‼️ อย่าใช้ไดร์เป่าผมหรือไมโครเวฟในการทำให้มือถือแห้ง   • ความร้อนสูงสามารถละลายชิ้นส่วนหรือทำให้วงจรภายในเสียหายได้ ‼️ การชาร์จมือถือใต้แดดร้อนจัดอาจทำให้เกิดปัญหาอันตรายถึงขั้นระเบิดได้   • ควรเลือกจุดร่ม เย็น และระบายอากาศได้ดีหากจะชาร์จกลางแจ้ง ‼️ การใส่เคสตลอดเวลาอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมร้อนจัด   • ควรถอดเคสบ้างเมื่ออยู่ในที่ร้อนเพื่อให้เครื่องระบายความร้อนได้ดีกว่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/20/how-to-protect-your-smartphone-from-sun-sea-and-sand
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How to protect your smartphone from sun, sea and sand
    Between the heat, the sand, and pool or seawater, summer can be a hazardous time for smartphones. However, a little extra care can help make sure yours survives the season in one piece.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft Edge ได้รับการอัปเดตใหม่ที่มาพร้อมกับ ฟีเจอร์รหัสผ่านที่ปลอดภัย และ การแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เพื่อให้การใช้งานเว็บปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับฟีเจอร์ที่ถูกยกเลิกและฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังจะมาในอนาคต

    Microsoft ได้เปิดตัว Secure Password Deployment ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบ IT สามารถแชร์รหัสผ่านที่เข้ารหัสกับกลุ่มผู้ใช้ได้ โดยที่ผู้ใช้สามารถเข้าสู่ระบบเว็บไซต์โดยไม่ต้องเห็นรหัสผ่านจริง ทำให้เพิ่มความปลอดภัยขององค์กรได้มากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่สำคัญใน Chromium ซึ่งเป็นพื้นฐานของ Microsoft Edge ได้แก่

    - CVE-2025-5958: ช่องโหว่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้หน่วยความจำหลังจากถูกปล่อย (Use after free) ใน Media ของ Google Chrome ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโจมตีระบบผ่านหน้า HTML ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ

    - CVE-2025-5959: ช่องโหว่ที่เกี่ยวข้องกับ Type Confusion ใน V8 ของ Google Chrome ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายภายใน sandbox ผ่านหน้า HTML ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ

    Microsoft Edge สามารถอัปเดตได้โดยไปที่ edge://settings/help หรือรอให้เบราว์เซอร์อัปเดตอัตโนมัติระหว่างการรีสตาร์ท

    แนวโน้มด้านความปลอดภัยของเว็บเบราว์เซอร์: ปัจจุบันเบราว์เซอร์หลายตัวเริ่มให้ความสำคัญกับการป้องกันข้อมูลส่วนตัวและการเข้ารหัสรหัสผ่านมากขึ้น เพื่อป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์

    การเปลี่ยนแปลงของ Microsoft Edge: นอกจากฟีเจอร์ใหม่แล้ว Microsoft Edge ยังได้ยกเลิกฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Wallet, Image Editor, Image Hover, Mini Menu และ Video Super Resolution เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเบราว์เซอร์

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft Edge
    - Secure Password Deployment ช่วยให้ผู้ใช้เข้าสู่ระบบโดยไม่ต้องเห็นรหัสผ่านจริง
    - การแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย CVE-2025-5958 และ CVE-2025-5959
    - การอัปเดตสามารถทำได้ผ่าน edge://settings/help หรืออัตโนมัติระหว่างการรีสตาร์ท

    คำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - ช่องโหว่ CVE-2025-5958 อาจถูกใช้เพื่อโจมตีระบบผ่านหน้า HTML ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ
    - ช่องโหว่ CVE-2025-5959 อาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายภายใน sandbox
    - ควรอัปเดตเบราว์เซอร์เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์

    https://www.neowin.net/news/microsoft-edge-gets-new-password-feature-and-security-fixes/
    Microsoft Edge ได้รับการอัปเดตใหม่ที่มาพร้อมกับ ฟีเจอร์รหัสผ่านที่ปลอดภัย และ การแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เพื่อให้การใช้งานเว็บปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับฟีเจอร์ที่ถูกยกเลิกและฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังจะมาในอนาคต Microsoft ได้เปิดตัว Secure Password Deployment ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบ IT สามารถแชร์รหัสผ่านที่เข้ารหัสกับกลุ่มผู้ใช้ได้ โดยที่ผู้ใช้สามารถเข้าสู่ระบบเว็บไซต์โดยไม่ต้องเห็นรหัสผ่านจริง ทำให้เพิ่มความปลอดภัยขององค์กรได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่สำคัญใน Chromium ซึ่งเป็นพื้นฐานของ Microsoft Edge ได้แก่ - CVE-2025-5958: ช่องโหว่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้หน่วยความจำหลังจากถูกปล่อย (Use after free) ใน Media ของ Google Chrome ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโจมตีระบบผ่านหน้า HTML ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ - CVE-2025-5959: ช่องโหว่ที่เกี่ยวข้องกับ Type Confusion ใน V8 ของ Google Chrome ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายภายใน sandbox ผ่านหน้า HTML ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ Microsoft Edge สามารถอัปเดตได้โดยไปที่ edge://settings/help หรือรอให้เบราว์เซอร์อัปเดตอัตโนมัติระหว่างการรีสตาร์ท แนวโน้มด้านความปลอดภัยของเว็บเบราว์เซอร์: ปัจจุบันเบราว์เซอร์หลายตัวเริ่มให้ความสำคัญกับการป้องกันข้อมูลส่วนตัวและการเข้ารหัสรหัสผ่านมากขึ้น เพื่อป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์ การเปลี่ยนแปลงของ Microsoft Edge: นอกจากฟีเจอร์ใหม่แล้ว Microsoft Edge ยังได้ยกเลิกฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Wallet, Image Editor, Image Hover, Mini Menu และ Video Super Resolution เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเบราว์เซอร์ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft Edge - Secure Password Deployment ช่วยให้ผู้ใช้เข้าสู่ระบบโดยไม่ต้องเห็นรหัสผ่านจริง - การแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย CVE-2025-5958 และ CVE-2025-5959 - การอัปเดตสามารถทำได้ผ่าน edge://settings/help หรืออัตโนมัติระหว่างการรีสตาร์ท ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - ช่องโหว่ CVE-2025-5958 อาจถูกใช้เพื่อโจมตีระบบผ่านหน้า HTML ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ - ช่องโหว่ CVE-2025-5959 อาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายภายใน sandbox - ควรอัปเดตเบราว์เซอร์เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์ https://www.neowin.net/news/microsoft-edge-gets-new-password-feature-and-security-fixes/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft Edge gets new password feature and security fixes
    Microsoft is rolling out a new Edge update, bringing users security fixes and a new feature for passwords.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • From Trainee To Bias: The Big 16 K-Pop Slang Terms To Know

    K-pop is the name of a pop music sensation that originated in South Korea and is sweeping the globe. From its energetic choreography and music to the beauty of its idols, K-pop (or K for Korea combined with pop) has entranced international and Korean fans alike—and chances are you’ve heard it, hummed it, or danced to it. (Did you catch BTS’ “Friends” playing in the Marvel movie Eternals? And who knew Clifford the Dog was also a K-pop stan? At least, his trailer made it seem so.)

    Emerging from the 1990s, K-pop has created a unique fandom culture along the way. Fans have indulged fully in this media, creating their own celebrations, traditions, and—of course—slang. All of this can overwhelm the casual listener trying out K-pop sounds, and I have to admit, I once thought this fandom was a little over the top. But I’ve since been won over—after all, being a fan of a group like Red Velvet is no different from being a fan of Ariana Grande.

    To get you started, I am providing a short guide to K-pop’s complex terminology. Whether you’re interested in K-pop, saw BTS on the news, or have friends who listen to all of the above, here are a few terms to know.

    Please note: these words are used mainly by English-speaking international fans and are found across fan Twitters, Instagrams, TikToks and Tumblrs.

    bias
    In K-pop slang, a bias is a member in a group that you like or relate to the most. K-pop fans collect merchandise—for example, photocards (more on that later)—of their biases. Fans use this term to learn more about other fans.

    Example: Who is your Twice bias? (And you’d answer with your favorite.)

    biaswrecker
    Although fans have their fundamental biases, it doesn’t mean that a bias is monogamous. Most fans with biases will have their biaswreckers, too. These wreckers are members in a group that make you question who your true bias is.

    sasaeng
    One group of people widely looked down upon are sasaengs (사생팬) or sasaeng fans. This slang derives from a Korean word (sa for “private” and saeng for “life”) that refers to an obsessive fan who stalks or otherwise violates the privacy of a Korean idol. Sasaengs tend to own fan pages, and some say they operate much like the American tabloids of the 2000s.

    comeback
    When an idol group releases new music, it’s called a comeback. Comebacks usually take place every few months and include new promotions, hair colors, styles, music, etc. Era is another word used in this fandom to describe a comeback.

    Example: Did you hear that BTS are having a comeback in June?

    nugu
    This word literally means “Who?” in Korean, and is used by fans to describe small and relatively unknown idol groups. A group like IVE would not be described as a nugu (누구) but the girl group Weki Meki would.

    visual
    In K-pop, there are roles for each idol in a group, including a role as visual. The visual role is assigned by the company to the member or members in a group who best fit a strict Korean beauty standard. Fans also debate who they believe the visual to be in each group. For example, Jin is the official visual of the group BTS, but many consider Taehyung to fit the role. This harsh beauty standard prizes small facial features, cuteness, and specific measurements of the face, body, eyes, and much more.

    aegyo
    Aegyo (애교) can be used to describe K-pop idols (both male and female) who are acting cute and childlike. Aegyo moves require specific word choices, vocal tones, and both facial and body gestures. Aegyo (often translated as “cuteness”) is usually meant to show a flirtatious side of idols and is also used by the general Korean population.

    Example: The judges made Felix do aegyo as a punishment for losing the game.

    maknae
    Another Korean word that has been adopted into international fan spaces is maknae (막내) or “youngest person.” This slang is used to describe the youngest member of a group. The term maknae, much like visual, is a role a member takes on.

    trainee
    When an idol is training before they debut, they are considered a trainee. These trainees usually take part in promotions, trying to gain popularity before their debut. Trainees typically are under contract and fulfill years of rigorous training to be able to match the abilities of many idols you see today.

    subunit
    In some idol groups subunits are formed. These units comprise a few members in a group who create their own music or albums. Some groups, such as LOONA and NCT, use subunits as their concept. This term can also describe two or three members in a group who have a similar skill or talent (like a vocal or dance unit).

    antis
    Anti or anti-fan is used to describe people who hate an artist or group so much that they seem to follow their activities and content as much or more than a fan would. Some of these antis display sasaeng behavior, dedicating themselves completely to taking down or hate speech idols. These hate campaigns contain criticizing and insulting language. Shockingly, some antis have gone so far as hurting idols in real life.

    delulu
    This term is short for delusional, and it’s used to mock fans who believe they’ll date, marry, or befriend their favorite idol. The word can describe a fan who devotes an unhealthy amount of time and energy to an idol. You could say becoming a delulu is a first step on the pipeline towards sasaeng and usually includes behavior similar to said sasaeng.

    Example: Did you see that guy talking about how he and Nayeon are dating? He’s such a delulu.

    solo stan
    When a fan of an idol group only stans a single member, they are a self-proclaimed solo stan or are labeled as such by others in the community. A solo stan might hate other members in a group, which is why the term has a negative connotation in the community. The word solo stan also can describe someone who’s a fan of a singular idol (like Sunmi or IU) who does not participate in idol groups.

    photocard
    Photocards (or pocas or PCs) are typically 3” by 2” pieces of glossy paper photos included in a K-pop albums and prized by fans. They may not sound like much to the average joe, but to the average Jimin fan, these pictures are worth hundreds to thousands of dollars.

    the Big 3
    In Korea, idols are contracted under companies. The Big 3 describes the main three corporations that famous idols usually sign under. These three companies are HYBE Entertainment (previously known as BigHit Entertainment), with groups like BTS and TXT; SM Entertainment, with groups like Girls Generation and Aespa; and YG Entertainment, producing groups like BLACKPINK and iKON. The Big 3 not only produce idols but also sign and manage actors. JYP Entertainment can also be considered as part of the Big 3 (HYBE is a relative newcomer to the list), leading some to use the term “Big 4.”

    netizen
    The term netizen does generally mean an internet user, but it’s used in K-pop to refer to Korean fans who are online intensively. These fans or anti-fans are internet sleuths and usually the ones to create scandals and/or help in proving rumors wrong or right about specific idols. Netizens (or also K-netizens) hold power in the idol industry; companies want these internet personas to view their idols in a positive light and do their best to prevent scandals that might mobilize netizens.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    From Trainee To Bias: The Big 16 K-Pop Slang Terms To Know K-pop is the name of a pop music sensation that originated in South Korea and is sweeping the globe. From its energetic choreography and music to the beauty of its idols, K-pop (or K for Korea combined with pop) has entranced international and Korean fans alike—and chances are you’ve heard it, hummed it, or danced to it. (Did you catch BTS’ “Friends” playing in the Marvel movie Eternals? And who knew Clifford the Dog was also a K-pop stan? At least, his trailer made it seem so.) Emerging from the 1990s, K-pop has created a unique fandom culture along the way. Fans have indulged fully in this media, creating their own celebrations, traditions, and—of course—slang. All of this can overwhelm the casual listener trying out K-pop sounds, and I have to admit, I once thought this fandom was a little over the top. But I’ve since been won over—after all, being a fan of a group like Red Velvet is no different from being a fan of Ariana Grande. To get you started, I am providing a short guide to K-pop’s complex terminology. Whether you’re interested in K-pop, saw BTS on the news, or have friends who listen to all of the above, here are a few terms to know. Please note: these words are used mainly by English-speaking international fans and are found across fan Twitters, Instagrams, TikToks and Tumblrs. bias In K-pop slang, a bias is a member in a group that you like or relate to the most. K-pop fans collect merchandise—for example, photocards (more on that later)—of their biases. Fans use this term to learn more about other fans. Example: Who is your Twice bias? (And you’d answer with your favorite.) biaswrecker Although fans have their fundamental biases, it doesn’t mean that a bias is monogamous. Most fans with biases will have their biaswreckers, too. These wreckers are members in a group that make you question who your true bias is. sasaeng One group of people widely looked down upon are sasaengs (사생팬) or sasaeng fans. This slang derives from a Korean word (sa for “private” and saeng for “life”) that refers to an obsessive fan who stalks or otherwise violates the privacy of a Korean idol. Sasaengs tend to own fan pages, and some say they operate much like the American tabloids of the 2000s. comeback When an idol group releases new music, it’s called a comeback. Comebacks usually take place every few months and include new promotions, hair colors, styles, music, etc. Era is another word used in this fandom to describe a comeback. Example: Did you hear that BTS are having a comeback in June? nugu This word literally means “Who?” in Korean, and is used by fans to describe small and relatively unknown idol groups. A group like IVE would not be described as a nugu (누구) but the girl group Weki Meki would. visual In K-pop, there are roles for each idol in a group, including a role as visual. The visual role is assigned by the company to the member or members in a group who best fit a strict Korean beauty standard. Fans also debate who they believe the visual to be in each group. For example, Jin is the official visual of the group BTS, but many consider Taehyung to fit the role. This harsh beauty standard prizes small facial features, cuteness, and specific measurements of the face, body, eyes, and much more. aegyo Aegyo (애교) can be used to describe K-pop idols (both male and female) who are acting cute and childlike. Aegyo moves require specific word choices, vocal tones, and both facial and body gestures. Aegyo (often translated as “cuteness”) is usually meant to show a flirtatious side of idols and is also used by the general Korean population. Example: The judges made Felix do aegyo as a punishment for losing the game. maknae Another Korean word that has been adopted into international fan spaces is maknae (막내) or “youngest person.” This slang is used to describe the youngest member of a group. The term maknae, much like visual, is a role a member takes on. trainee When an idol is training before they debut, they are considered a trainee. These trainees usually take part in promotions, trying to gain popularity before their debut. Trainees typically are under contract and fulfill years of rigorous training to be able to match the abilities of many idols you see today. subunit In some idol groups subunits are formed. These units comprise a few members in a group who create their own music or albums. Some groups, such as LOONA and NCT, use subunits as their concept. This term can also describe two or three members in a group who have a similar skill or talent (like a vocal or dance unit). antis Anti or anti-fan is used to describe people who hate an artist or group so much that they seem to follow their activities and content as much or more than a fan would. Some of these antis display sasaeng behavior, dedicating themselves completely to taking down or hate speech idols. These hate campaigns contain criticizing and insulting language. Shockingly, some antis have gone so far as hurting idols in real life. delulu This term is short for delusional, and it’s used to mock fans who believe they’ll date, marry, or befriend their favorite idol. The word can describe a fan who devotes an unhealthy amount of time and energy to an idol. You could say becoming a delulu is a first step on the pipeline towards sasaeng and usually includes behavior similar to said sasaeng. Example: Did you see that guy talking about how he and Nayeon are dating? He’s such a delulu. solo stan When a fan of an idol group only stans a single member, they are a self-proclaimed solo stan or are labeled as such by others in the community. A solo stan might hate other members in a group, which is why the term has a negative connotation in the community. The word solo stan also can describe someone who’s a fan of a singular idol (like Sunmi or IU) who does not participate in idol groups. photocard Photocards (or pocas or PCs) are typically 3” by 2” pieces of glossy paper photos included in a K-pop albums and prized by fans. They may not sound like much to the average joe, but to the average Jimin fan, these pictures are worth hundreds to thousands of dollars. the Big 3 In Korea, idols are contracted under companies. The Big 3 describes the main three corporations that famous idols usually sign under. These three companies are HYBE Entertainment (previously known as BigHit Entertainment), with groups like BTS and TXT; SM Entertainment, with groups like Girls Generation and Aespa; and YG Entertainment, producing groups like BLACKPINK and iKON. The Big 3 not only produce idols but also sign and manage actors. JYP Entertainment can also be considered as part of the Big 3 (HYBE is a relative newcomer to the list), leading some to use the term “Big 4.” netizen The term netizen does generally mean an internet user, but it’s used in K-pop to refer to Korean fans who are online intensively. These fans or anti-fans are internet sleuths and usually the ones to create scandals and/or help in proving rumors wrong or right about specific idols. Netizens (or also K-netizens) hold power in the idol industry; companies want these internet personas to view their idols in a positive light and do their best to prevent scandals that might mobilize netizens. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 557 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD เปิดตัว Pensando Pollara 400GbE NIC พร้อมรองรับ Ultra Ethernet
    AMD เปิดตัวการ์ดเครือข่าย Pensando Pollara 400GbE ซึ่งเป็น NIC ตัวแรกที่รองรับมาตรฐาน Ultra Ethernet โดยออกแบบมาเพื่อ ศูนย์ข้อมูล AI และ HPC ขนาดใหญ่

    รายละเอียดของ Pensando Pollara 400GbE
    รองรับ Ultra Ethernet และเพิ่มประสิทธิภาพ RDMA
    - Ultra Ethernet Consortium เพิ่งเผยแพร่สเปค 1.0 ซึ่งออกแบบมาเพื่อ ศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่
    - Pollara 400GbE มีประสิทธิภาพ RDMA สูงกว่า Nvidia CX7 ถึง 10% และสูงกว่า Broadcom Thor2 ถึง 20%

    ช่วยให้สามารถสร้าง AI cluster ขนาดใหญ่
    - Oracle Cloud Infrastructure จะเป็นผู้ใช้รายแรก โดยวางแผนสร้าง AI cluster ขนาด zettascale
    - Cluster นี้จะใช้ AMD Instinct MI355X GPUs จำนวน 131,072 ตัว

    ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาคอขวดของเครือข่าย
    - NIC สามารถแบ่งข้อมูลออกเป็นหลายเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการติดขัด
    - มีระบบ failover ที่ช่วยรักษาการเชื่อมต่อ GPU-to-GPU

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และ HPC
    ต้องติดตามว่า Ultra Ethernet จะได้รับการยอมรับในวงกว้างหรือไม่
    - มาตรฐานนี้ยังใหม่ และต้องแข่งขันกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น NVLink และ RoCEv2

    การ์ดเครือข่ายต้องมีการปรับแต่งเพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบที่มีอยู่
    - องค์กรที่ใช้ RDMA อาจต้องปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อรองรับ Ultra Ethernet

    ต้องรอดูว่า Nvidia และ Broadcom จะตอบสนองต่อการแข่งขันนี้อย่างไร
    - หาก Ultra Ethernet ได้รับความนิยม อาจส่งผลต่อกลยุทธ์ของผู้ผลิตเครือข่ายรายอื่น

    อนาคตของ Ultra Ethernet และเครือข่าย AI
    Ultra Ethernet อาจช่วยให้สามารถสร้าง AI cluster ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น AMD อาจขยายการพัฒนา NIC รุ่นใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของ AI และ HPC

    https://www.tomshardware.com/networking/amd-deploys-its-first-ultra-ethernet-ready-network-card-pensando-pollara-provides-up-to-400-gbps-performance
    🚀 AMD เปิดตัว Pensando Pollara 400GbE NIC พร้อมรองรับ Ultra Ethernet AMD เปิดตัวการ์ดเครือข่าย Pensando Pollara 400GbE ซึ่งเป็น NIC ตัวแรกที่รองรับมาตรฐาน Ultra Ethernet โดยออกแบบมาเพื่อ ศูนย์ข้อมูล AI และ HPC ขนาดใหญ่ 🔍 รายละเอียดของ Pensando Pollara 400GbE ✅ รองรับ Ultra Ethernet และเพิ่มประสิทธิภาพ RDMA - Ultra Ethernet Consortium เพิ่งเผยแพร่สเปค 1.0 ซึ่งออกแบบมาเพื่อ ศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ - Pollara 400GbE มีประสิทธิภาพ RDMA สูงกว่า Nvidia CX7 ถึง 10% และสูงกว่า Broadcom Thor2 ถึง 20% ✅ ช่วยให้สามารถสร้าง AI cluster ขนาดใหญ่ - Oracle Cloud Infrastructure จะเป็นผู้ใช้รายแรก โดยวางแผนสร้าง AI cluster ขนาด zettascale - Cluster นี้จะใช้ AMD Instinct MI355X GPUs จำนวน 131,072 ตัว ✅ ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาคอขวดของเครือข่าย - NIC สามารถแบ่งข้อมูลออกเป็นหลายเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการติดขัด - มีระบบ failover ที่ช่วยรักษาการเชื่อมต่อ GPU-to-GPU 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และ HPC ‼️ ต้องติดตามว่า Ultra Ethernet จะได้รับการยอมรับในวงกว้างหรือไม่ - มาตรฐานนี้ยังใหม่ และต้องแข่งขันกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น NVLink และ RoCEv2 ‼️ การ์ดเครือข่ายต้องมีการปรับแต่งเพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบที่มีอยู่ - องค์กรที่ใช้ RDMA อาจต้องปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อรองรับ Ultra Ethernet ‼️ ต้องรอดูว่า Nvidia และ Broadcom จะตอบสนองต่อการแข่งขันนี้อย่างไร - หาก Ultra Ethernet ได้รับความนิยม อาจส่งผลต่อกลยุทธ์ของผู้ผลิตเครือข่ายรายอื่น 🚀 อนาคตของ Ultra Ethernet และเครือข่าย AI ✅ Ultra Ethernet อาจช่วยให้สามารถสร้าง AI cluster ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ✅ AMD อาจขยายการพัฒนา NIC รุ่นใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของ AI และ HPC https://www.tomshardware.com/networking/amd-deploys-its-first-ultra-ethernet-ready-network-card-pensando-pollara-provides-up-to-400-gbps-performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sandia เปิดตัว SpiNNaker 2: ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบสมองมนุษย์
    Sandia National Laboratories ได้เปิดตัว SpiNNaker 2 ซึ่งเป็น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ออกแบบให้ทำงานเหมือนสมองมนุษย์ โดย ไม่มีระบบปฏิบัติการและไม่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายใน

    SpiNNaker 2 ใช้สถาปัตยกรรม neuromorphic ซึ่งช่วยให้ สามารถประมวลผลแบบขนานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลจากข่าว
    - SpiNNaker 2 ใช้สถาปัตยกรรม neuromorphic เพื่อเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์
    - ไม่มีระบบปฏิบัติการและไม่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายใน
    - ใช้ 152 คอร์ต่อชิป และมี 48 ชิปต่อเซิร์ฟเวอร์บอร์ด
    - ระบบเต็มรูปแบบมี 1,440 บอร์ด, 69,120 ชิป และ 138,240 เทราไบต์ของ DRAM
    - ข้อมูลถูกเก็บไว้ใน SRAM และ DRAM เพื่อเพิ่มความเร็วในการประมวลผล

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    SpiNNaker 2 อาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเลียนแบบการทำงานของสมอง และ ช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาดิสก์

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ว่าระบบนี้จะสามารถจำลองเซลล์ประสาทได้ 150-180 ล้านเซลล์ แต่ยังห่างไกลจากสมองมนุษย์ที่มี 100 พันล้านเซลล์
    - ต้องติดตามว่า SpiNNaker 2 จะสามารถนำไปใช้ในงานด้านความมั่นคงแห่งชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
    - การไม่มีระบบปฏิบัติการอาจทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับระบบนี้มีข้อจำกัด
    - ต้องรอดูว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมได้หรือไม่

    อนาคตของ SpiNNaker 2 และการประมวลผลแบบ neuromorphic
    SpiNNaker 2 อาจเป็นก้าวแรกในการพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่สามารถเลียนแบบสมองมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าระบบนี้จะสามารถนำไปใช้ในงานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/a-system-inspired-by-the-human-brain-has-quietly-been-activated-at-a-us-nuclear-lab-and-it-has-no-operating-system-or-storage
    🧠 Sandia เปิดตัว SpiNNaker 2: ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบสมองมนุษย์ Sandia National Laboratories ได้เปิดตัว SpiNNaker 2 ซึ่งเป็น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ออกแบบให้ทำงานเหมือนสมองมนุษย์ โดย ไม่มีระบบปฏิบัติการและไม่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายใน SpiNNaker 2 ใช้สถาปัตยกรรม neuromorphic ซึ่งช่วยให้ สามารถประมวลผลแบบขนานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SpiNNaker 2 ใช้สถาปัตยกรรม neuromorphic เพื่อเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ - ไม่มีระบบปฏิบัติการและไม่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายใน - ใช้ 152 คอร์ต่อชิป และมี 48 ชิปต่อเซิร์ฟเวอร์บอร์ด - ระบบเต็มรูปแบบมี 1,440 บอร์ด, 69,120 ชิป และ 138,240 เทราไบต์ของ DRAM - ข้อมูลถูกเก็บไว้ใน SRAM และ DRAM เพื่อเพิ่มความเร็วในการประมวลผล 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซูเปอร์คอมพิวเตอร์ SpiNNaker 2 อาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเลียนแบบการทำงานของสมอง และ ช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาดิสก์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ว่าระบบนี้จะสามารถจำลองเซลล์ประสาทได้ 150-180 ล้านเซลล์ แต่ยังห่างไกลจากสมองมนุษย์ที่มี 100 พันล้านเซลล์ - ต้องติดตามว่า SpiNNaker 2 จะสามารถนำไปใช้ในงานด้านความมั่นคงแห่งชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ - การไม่มีระบบปฏิบัติการอาจทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับระบบนี้มีข้อจำกัด - ต้องรอดูว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมได้หรือไม่ 🚀 อนาคตของ SpiNNaker 2 และการประมวลผลแบบ neuromorphic SpiNNaker 2 อาจเป็นก้าวแรกในการพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่สามารถเลียนแบบสมองมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าระบบนี้จะสามารถนำไปใช้ในงานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ https://www.techradar.com/pro/a-system-inspired-by-the-human-brain-has-quietly-been-activated-at-a-us-nuclear-lab-and-it-has-no-operating-system-or-storage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียสกัดกั้นเหยื่อค้ามนุษย์อะดรีโนโครมจากเครื่องบินของอิสราเอลสู่ฮอลลีวูด

    หน่วยรบพิเศษของรัสเซียได้ปลดปล่อยเด็กที่ถูกค้ามนุษย์จำนวนมากจากเครื่องบินส่วนตัวที่จดทะเบียนในอิสราเอล ขณะที่สงครามของประธานาธิบดีปูตินกับอุตสาหกรรมอะดรีโนโครมทั่วโลกกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น
    -
    การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อไม่นานนี้ส่งคลื่นความตกตะลึงไปยังเครือข่ายการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศ เนื่องจากทรัมป์เตรียมที่จะยุติสงครามในยูเครนภายในเดือนมกราคม ผู้ค้าเด็กและพ่อค้าอะดรีโนโครมจึงต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อเคลื่อนย้ายเหยื่อให้ได้มากที่สุดก่อนที่การดำเนินการของพวกเขาจะถูกปิดลง
    -
    ปูตินเข้าใจดีว่าความสิ้นหวังของพ่อค้าอะดรีโนโครมจะนำไปสู่ความประมาทและความผิดพลาด และเขากำลังใช้ช่วงเวลานี้โจมตีที่ใจกลางอุตสาหกรรม

    ขอขอบคุณฮีโร่ที่รักสำหรับงานและบริการอันกล้าหาญของคุณ พวกเราผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกกำลังสวดภาวนาให้คุณ! กลับบ้านอย่างปลอดภัย!

    ————————————————
    #EarthAlliance
    ⚔สงครามที่มองไม่เห็น⚔
    @DUMBSandUNDERGROUND
    การทำลายล้างเป็นหนทางเดียวเท่านั้น
    @deNAZIficationMilitaryQperationZ
    ————————————————

    https://rumble.com/v5runsh-russia-intercepts-israeli-jet-trafficking-adrenochrome-victims-to-hollywood.html
    รัสเซียสกัดกั้นเหยื่อค้ามนุษย์อะดรีโนโครมจากเครื่องบินของอิสราเอลสู่ฮอลลีวูด หน่วยรบพิเศษของรัสเซียได้ปลดปล่อยเด็กที่ถูกค้ามนุษย์จำนวนมากจากเครื่องบินส่วนตัวที่จดทะเบียนในอิสราเอล ขณะที่สงครามของประธานาธิบดีปูตินกับอุตสาหกรรมอะดรีโนโครมทั่วโลกกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น - การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อไม่นานนี้ส่งคลื่นความตกตะลึงไปยังเครือข่ายการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศ เนื่องจากทรัมป์เตรียมที่จะยุติสงครามในยูเครนภายในเดือนมกราคม ผู้ค้าเด็กและพ่อค้าอะดรีโนโครมจึงต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อเคลื่อนย้ายเหยื่อให้ได้มากที่สุดก่อนที่การดำเนินการของพวกเขาจะถูกปิดลง - ปูตินเข้าใจดีว่าความสิ้นหวังของพ่อค้าอะดรีโนโครมจะนำไปสู่ความประมาทและความผิดพลาด และเขากำลังใช้ช่วงเวลานี้โจมตีที่ใจกลางอุตสาหกรรม 💫ขอขอบคุณฮีโร่ที่รักสำหรับงานและบริการอันกล้าหาญของคุณ พวกเราผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกกำลังสวดภาวนาให้คุณ! กลับบ้านอย่างปลอดภัย! ———————————————— #EarthAlliance ⚔สงครามที่มองไม่เห็น⚔ @DUMBSandUNDERGROUND การทำลายล้างเป็นหนทางเดียวเท่านั้น @deNAZIficationMilitaryQperationZ ———————————————— https://rumble.com/v5runsh-russia-intercepts-israeli-jet-trafficking-adrenochrome-victims-to-hollywood.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ไม่มีอะไรบังเอิญ.
    ..เรื่องอีกมุม,อ่านเพลินๆ ที่เหลือขึ้นอยู่กับคุณไตร่ตรองเอง.

    ..Underground Warfare โดย ARIEL ทาง X

    คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ทำให้ร่างกายของคนทั้งร่างระเหยเมื่อสัมผัสหรือไม่? มันมืดสนิท โดยเฉพาะถ้าคุณอยู่ในระบบถ้ำใต้ดิน คุณเรียกมันว่าอะไรได้?

    “กำแพงแห่งความเสื่อมโทรม”? หรือ “กำแพงแห่งการระเหยที่อันตราย”? หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า “สนามสลายตัวทางชีวภาพ” หรือ “กำแพงแห่งการละลายโมเลกุล” ฉันไม่แน่ใจ แต่เป็นสิ่งที่กองทัพของเราต้องเผชิญ และหลายคนก็เสียชีวิตด้วยวิธีนี้

    คุณลองนึกภาพดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากไม่รู้ว่ากำแพงเหล่านี้อยู่ที่ไหนในระบบถ้ำหรืออุโมงค์ที่มืดสนิท ลองนึกภาพว่าไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามนี้เท่านั้น แต่ยังต้องจัดการกับสิ่งที่อาจไร้มนุษยธรรมซึ่งหากินเวลากลางคืนและมองเห็นได้อย่างชัดเจนในความมืดด้วย?

    คุณรู้ไหมว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการกำจัดพวกโง่ๆ เหล่านี้และทำแผนที่พวกมัน? หลายทศวรรษที่ผ่านมา พวกเราหลายคนไม่อยากเห็นโลกนี้ในแบบที่มันเป็นจริงๆ คุณต้องเข้าใจว่าสงครามใต้ดินนั้นร้ายแรงกว่าสิ่งที่คุกคามบนพื้นผิวมาก

    การเผชิญหน้าระหว่าง Deep Springs และ Nevada Test Site อาจเป็นเรื่องใหญ่และวิกฤตที่สุด แผนที่ความผิดปกติของแรงโน้มถ่วงยังชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของถ้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นที่ดังกล่าวอีกด้วย ตัวแทน "YF" ให้พิกัดต่อไปนี้เป็นตำแหน่งของสิ่งอำนวยความสะดวกการขยายตัวของ Deep Springs โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ฐานภูเขาซึ่งมีประตูทางเข้าไปยังสิ่งอำนวยความสะดวกใต้ดิน: N 37 22 30 - E 117 58 0; N 38 21 0 - E 115 35 0; N 35 39 0 - E 114 51 0; และ Yucca Lake: N 37 0 30 - E 116 7 0

    ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ "ไดแอน" อ้างว่าเธอเคยเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวหลายครั้งตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก ระหว่างการเผชิญหน้าครั้งหนึ่ง เธอถูกส่งตัวผ่านลิฟต์แม่เหล็กไปยังสถานที่ร่วมระหว่างมนุษย์ต่างดาวและทหารใต้ศูนย์ทดสอบอาวุธกองทัพเรือทะเลสาบจีน ซึ่งเธอสังเกตเห็นมนุษย์และสัตว์จำนวนมากในกรงที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีสถานที่ใต้ดินขนาดใหญ่ที่อาจอยู่ใต้ยอดเขา Argus และ/หรือ Southeast Peaks ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Trona ในเขตอนุรักษ์ทะเลสาบจีน

    ตอนนี้คุณทุกคนควรทราบข้อเท็จจริงนี้แล้วเพราะฉันได้แสดงร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรที่เสนอในปี 2021 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Christopher Smith เพื่อหยุดการทดลองลูกผสมระหว่างมนุษย์และสัตว์ สิ่งนี้ควรบอกทุกคนที่อ่านสิ่งนี้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ฉันได้อธิบายว่าทั้งหมดนี้ทำอย่างไร

    นี่คือเหตุผลหนึ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่าเรากำลังเผชิญกับ "เครือข่ายค้าประเวณีโบราณ" เพื่อนๆ หากคุณรู้ว่ากองทัพของเรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ด้านล่างเราหลายไมล์ คุณคงจะให้อภัยได้มากขึ้นเล็กน้อยในการคาดหวังว่าการดำเนินการนี้จะดำเนินต่อไปโดยไม่บ่นว่าทำไมจึงใช้เวลานานมาก

    นี่เป็นองค์ประกอบอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่เราเห็นบนพื้นผิวในแง่ขององค์ประกอบทางการเมือง เพราะเมื่อพวกเขาพบผู้คนที่ต้องการการช่วยเหลือ พวกเขาต้องเผชิญกับความเป็นไปได้ที่พวกเขากำลังพาไวรัสร้ายแรงมาด้วย หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจำเป็นต้องล็อกดาวน์ เพราะมีแนวโน้มสูงมากที่กองทัพของเราเองจะตกเป็นเหยื่อของอันตรายนี้ หากเปิดห้องแล็บชีวภาพที่มีระดับการปนเปื้อนสูง ซึ่งไม่สามารถกลับขึ้นมาบนพื้นผิวได้

    โรคต่างๆ ที่นั่นจะทำให้เกิดโรคระบาดทั่วโลกอย่างแท้จริง ทำไมน่ะหรือ? เพราะนักวิทยาศาสตร์ด้านมืดกำลังเล่นกับสารเคมีที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ด้วยซ้ำ เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่เราถือว่าอันตรายอยู่แล้ว

    ~T แก้ไข: คิดถึงแผ่นดินไหว คิดถึงน้ำท่วม คิดถึงอาวุธไมโครเวฟ

    ฉันบอกคุณแล้วว่าสงครามนี้จะดำเนินต่อไปอีกนานหลังจากที่ทรัมป์กลับมา แต่แล้วโลกก็จะรู้ อาเรียล

    ขออธิษฐานให้กองกำลังพันธมิตรโลกและกาแล็กซีของเรา

    แกะที่ไม่รู้เรื่องราวกำลังเผชิญกับปัญหาที่ไร้ค่าของตนเอง..

    ------------------------------------
    ⚔สงครามที่มองไม่เห็น⚔ ใน
    @DUMBSandUNDERGROUND

    สงครามที่มองไม่เห็น - กวาดล้างใต้ดินและช่วยเหลือเด็กและผู้ใหญ่

    https://rumble.com/v2ul25y-the-invisble-war-cleanout-the-underground-and-rescuing-children-and-adults.html
    ..ไม่มีอะไรบังเอิญ. ..เรื่องอีกมุม,อ่านเพลินๆ ที่เหลือขึ้นอยู่กับคุณไตร่ตรองเอง. ..Underground Warfare โดย ARIEL ทาง X คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ทำให้ร่างกายของคนทั้งร่างระเหยเมื่อสัมผัสหรือไม่? มันมืดสนิท โดยเฉพาะถ้าคุณอยู่ในระบบถ้ำใต้ดิน คุณเรียกมันว่าอะไรได้? “กำแพงแห่งความเสื่อมโทรม”? หรือ “กำแพงแห่งการระเหยที่อันตราย”? หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า “สนามสลายตัวทางชีวภาพ” หรือ “กำแพงแห่งการละลายโมเลกุล” ฉันไม่แน่ใจ แต่เป็นสิ่งที่กองทัพของเราต้องเผชิญ และหลายคนก็เสียชีวิตด้วยวิธีนี้ คุณลองนึกภาพดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากไม่รู้ว่ากำแพงเหล่านี้อยู่ที่ไหนในระบบถ้ำหรืออุโมงค์ที่มืดสนิท ลองนึกภาพว่าไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามนี้เท่านั้น แต่ยังต้องจัดการกับสิ่งที่อาจไร้มนุษยธรรมซึ่งหากินเวลากลางคืนและมองเห็นได้อย่างชัดเจนในความมืดด้วย? คุณรู้ไหมว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการกำจัดพวกโง่ๆ เหล่านี้และทำแผนที่พวกมัน? หลายทศวรรษที่ผ่านมา พวกเราหลายคนไม่อยากเห็นโลกนี้ในแบบที่มันเป็นจริงๆ คุณต้องเข้าใจว่าสงครามใต้ดินนั้นร้ายแรงกว่าสิ่งที่คุกคามบนพื้นผิวมาก การเผชิญหน้าระหว่าง Deep Springs และ Nevada Test Site อาจเป็นเรื่องใหญ่และวิกฤตที่สุด แผนที่ความผิดปกติของแรงโน้มถ่วงยังชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของถ้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นที่ดังกล่าวอีกด้วย ตัวแทน "YF" ให้พิกัดต่อไปนี้เป็นตำแหน่งของสิ่งอำนวยความสะดวกการขยายตัวของ Deep Springs โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ฐานภูเขาซึ่งมีประตูทางเข้าไปยังสิ่งอำนวยความสะดวกใต้ดิน: N 37 22 30 - E 117 58 0; N 38 21 0 - E 115 35 0; N 35 39 0 - E 114 51 0; และ Yucca Lake: N 37 0 30 - E 116 7 0 ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ "ไดแอน" อ้างว่าเธอเคยเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวหลายครั้งตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก ระหว่างการเผชิญหน้าครั้งหนึ่ง เธอถูกส่งตัวผ่านลิฟต์แม่เหล็กไปยังสถานที่ร่วมระหว่างมนุษย์ต่างดาวและทหารใต้ศูนย์ทดสอบอาวุธกองทัพเรือทะเลสาบจีน ซึ่งเธอสังเกตเห็นมนุษย์และสัตว์จำนวนมากในกรงที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีสถานที่ใต้ดินขนาดใหญ่ที่อาจอยู่ใต้ยอดเขา Argus และ/หรือ Southeast Peaks ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Trona ในเขตอนุรักษ์ทะเลสาบจีน ตอนนี้คุณทุกคนควรทราบข้อเท็จจริงนี้แล้วเพราะฉันได้แสดงร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรที่เสนอในปี 2021 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Christopher Smith เพื่อหยุดการทดลองลูกผสมระหว่างมนุษย์และสัตว์ สิ่งนี้ควรบอกทุกคนที่อ่านสิ่งนี้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ฉันได้อธิบายว่าทั้งหมดนี้ทำอย่างไร นี่คือเหตุผลหนึ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่าเรากำลังเผชิญกับ "เครือข่ายค้าประเวณีโบราณ" เพื่อนๆ หากคุณรู้ว่ากองทัพของเรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ด้านล่างเราหลายไมล์ คุณคงจะให้อภัยได้มากขึ้นเล็กน้อยในการคาดหวังว่าการดำเนินการนี้จะดำเนินต่อไปโดยไม่บ่นว่าทำไมจึงใช้เวลานานมาก นี่เป็นองค์ประกอบอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่เราเห็นบนพื้นผิวในแง่ขององค์ประกอบทางการเมือง เพราะเมื่อพวกเขาพบผู้คนที่ต้องการการช่วยเหลือ พวกเขาต้องเผชิญกับความเป็นไปได้ที่พวกเขากำลังพาไวรัสร้ายแรงมาด้วย หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจำเป็นต้องล็อกดาวน์ เพราะมีแนวโน้มสูงมากที่กองทัพของเราเองจะตกเป็นเหยื่อของอันตรายนี้ หากเปิดห้องแล็บชีวภาพที่มีระดับการปนเปื้อนสูง ซึ่งไม่สามารถกลับขึ้นมาบนพื้นผิวได้ โรคต่างๆ ที่นั่นจะทำให้เกิดโรคระบาดทั่วโลกอย่างแท้จริง ทำไมน่ะหรือ? เพราะนักวิทยาศาสตร์ด้านมืดกำลังเล่นกับสารเคมีที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ด้วยซ้ำ เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่เราถือว่าอันตรายอยู่แล้ว ~T แก้ไข: คิดถึงแผ่นดินไหว คิดถึงน้ำท่วม คิดถึงอาวุธไมโครเวฟ ฉันบอกคุณแล้วว่าสงครามนี้จะดำเนินต่อไปอีกนานหลังจากที่ทรัมป์กลับมา แต่แล้วโลกก็จะรู้ อาเรียล ขออธิษฐานให้กองกำลังพันธมิตรโลกและกาแล็กซีของเรา แกะที่ไม่รู้เรื่องราวกำลังเผชิญกับปัญหาที่ไร้ค่าของตนเอง.. ------------------------------------ ⚔สงครามที่มองไม่เห็น⚔ ใน @DUMBSandUNDERGROUND สงครามที่มองไม่เห็น - กวาดล้างใต้ดินและช่วยเหลือเด็กและผู้ใหญ่ https://rumble.com/v2ul25y-the-invisble-war-cleanout-the-underground-and-rescuing-children-and-adults.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube Creators กับบทบาทใหม่ในการฝึก AI
    ปัจจุบัน YouTube เปิดให้ครีเอเตอร์เลือกเข้าร่วมการฝึก AI โดยให้สิทธิ์ 18 บริษัท AI รายใหญ่ ใช้เนื้อหาวิดีโอเพื่อพัฒนาโมเดล AI โดยไม่มีค่าตอบแทน ซึ่งเป็นแนวทางที่ เน้นอิทธิพลมากกว่ารายได้

    แม้ว่าจะไม่มีค่าตอบแทนโดยตรง ครีเอเตอร์หลายคนมองว่าการเข้าร่วมช่วยให้เนื้อหาของพวกเขามีอิทธิพลต่อการพัฒนา AI ซึ่งอาจทำให้ วิดีโอของพวกเขาถูกนำไปใช้ในคำตอบของ AI writers และโมเดล AI ด้านการเขียนโค้ด

    ข้อมูลจากข่าว
    - YouTube เปิดให้ครีเอเตอร์เลือกเข้าร่วมการฝึก AI โดยไม่มีค่าตอบแทน
    - 18 บริษัท AI รายใหญ่สามารถใช้วิดีโอที่ได้รับอนุญาตเพื่อพัฒนาโมเดล
    - ครีเอเตอร์ที่เข้าร่วมมองว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มอิทธิพลของเนื้อหาของตน
    - Oxylabs เปิดตัวชุดข้อมูล YouTube ที่ได้รับความยินยอมจากครีเอเตอร์กว่า 1 ล้านช่อง
    - วิดีโอเหล่านี้ถูกใช้เพื่อฝึก AI ด้านการสร้างภาพและวิดีโอ

    ความท้าทายด้านลิขสิทธิ์และกฎหมาย
    แม้ว่า Oxylabs จะเน้นการใช้ข้อมูลที่ได้รับความยินยอม แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิ์ของครีเอเตอร์ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มี กฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้เนื้อหาเพื่อฝึก AI

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ครีเอเตอร์ที่ไม่ได้เลือกเข้าร่วมจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ต้องตรวจสอบการตั้งค่าของตนเอง
    - กฎหมายเกี่ยวกับการใช้เนื้อหาเพื่อฝึก AI ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ
    - UK’s Data (Use and Access) Bill ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา และอาจส่งผลต่อการใช้ข้อมูลในอนาคต
    - แม้จะเป็นโมเดลที่ได้รับความยินยอม แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นธรรมและมูลค่าของเนื้อหา

    การเปิดให้ครีเอเตอร์เลือกเข้าร่วมการฝึก AI อาจช่วยให้โมเดล AI มีข้อมูลที่หลากหลายและมีคุณภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่ากฎหมายและแนวทางการคุ้มครองสิทธิ์จะพัฒนาไปในทิศทางใด

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/thousands-of-youtubers-are-letting-ai-firms-train-on-their-original-videos-for-absolutely-free-and-heres-why
    🎥 YouTube Creators กับบทบาทใหม่ในการฝึก AI ปัจจุบัน YouTube เปิดให้ครีเอเตอร์เลือกเข้าร่วมการฝึก AI โดยให้สิทธิ์ 18 บริษัท AI รายใหญ่ ใช้เนื้อหาวิดีโอเพื่อพัฒนาโมเดล AI โดยไม่มีค่าตอบแทน ซึ่งเป็นแนวทางที่ เน้นอิทธิพลมากกว่ารายได้ แม้ว่าจะไม่มีค่าตอบแทนโดยตรง ครีเอเตอร์หลายคนมองว่าการเข้าร่วมช่วยให้เนื้อหาของพวกเขามีอิทธิพลต่อการพัฒนา AI ซึ่งอาจทำให้ วิดีโอของพวกเขาถูกนำไปใช้ในคำตอบของ AI writers และโมเดล AI ด้านการเขียนโค้ด ✅ ข้อมูลจากข่าว - YouTube เปิดให้ครีเอเตอร์เลือกเข้าร่วมการฝึก AI โดยไม่มีค่าตอบแทน - 18 บริษัท AI รายใหญ่สามารถใช้วิดีโอที่ได้รับอนุญาตเพื่อพัฒนาโมเดล - ครีเอเตอร์ที่เข้าร่วมมองว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มอิทธิพลของเนื้อหาของตน - Oxylabs เปิดตัวชุดข้อมูล YouTube ที่ได้รับความยินยอมจากครีเอเตอร์กว่า 1 ล้านช่อง - วิดีโอเหล่านี้ถูกใช้เพื่อฝึก AI ด้านการสร้างภาพและวิดีโอ 🔥 ความท้าทายด้านลิขสิทธิ์และกฎหมาย แม้ว่า Oxylabs จะเน้นการใช้ข้อมูลที่ได้รับความยินยอม แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิ์ของครีเอเตอร์ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มี กฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้เนื้อหาเพื่อฝึก AI ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ครีเอเตอร์ที่ไม่ได้เลือกเข้าร่วมจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ต้องตรวจสอบการตั้งค่าของตนเอง - กฎหมายเกี่ยวกับการใช้เนื้อหาเพื่อฝึก AI ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ - UK’s Data (Use and Access) Bill ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา และอาจส่งผลต่อการใช้ข้อมูลในอนาคต - แม้จะเป็นโมเดลที่ได้รับความยินยอม แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นธรรมและมูลค่าของเนื้อหา การเปิดให้ครีเอเตอร์เลือกเข้าร่วมการฝึก AI อาจช่วยให้โมเดล AI มีข้อมูลที่หลากหลายและมีคุณภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่ากฎหมายและแนวทางการคุ้มครองสิทธิ์จะพัฒนาไปในทิศทางใด https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/thousands-of-youtubers-are-letting-ai-firms-train-on-their-original-videos-for-absolutely-free-and-heres-why
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpiNNaker 2: ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบสมองมนุษย์
    Sandia National Laboratories ได้เปิดตัว SpiNNaker 2 ซึ่งเป็น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสมองมนุษย์ โดยใช้ 175,000 CPU cores และ ไม่ต้องใช้ GPU หรือ SSD

    วิธีการทำงานของ SpiNNaker 2
    SpiNNaker 2 ใช้ สถาปัตยกรรม Spiking Neural Network (SNN) ซึ่งเลียนแบบ การทำงานของเซลล์ประสาทและไซแนปส์ในสมอง โดย แต่ละบอร์ดมี 96GB LPDDR4 memory และ 23GB SRAM ทำให้สามารถ จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดในหน่วยความจำโดยไม่ต้องใช้ที่เก็บข้อมูลแยกต่างหาก

    ข้อมูลจากข่าว
    - SpiNNaker 2 ใช้ 175,000 CPU cores และไม่ต้องใช้ GPU หรือ SSD
    - ใช้สถาปัตยกรรม Spiking Neural Network (SNN) เพื่อเลียนแบบสมองมนุษย์
    - แต่ละบอร์ดมี 96GB LPDDR4 memory และ 23GB SRAM
    - สามารถประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่และการจำลองสมองทั้งระบบ
    - ระบบใน Dresden อาจมีมากกว่า 720 บอร์ด รวมถึง 5.2 ล้าน CPU cores เมื่อสร้างเสร็จ

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการเลียนแบบสมองมนุษย์จะมีข้อจำกัดด้านการใช้งานจริงหรือไม่
    - SpiNNaker 2 อาจไม่สามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ GPU ในงานบางประเภท เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่
    - ต้องติดตามว่าการใช้ LPDDR4 memory และ SRAM แทน SSD จะส่งผลต่อความเร็วและความเสถียรของระบบอย่างไร
    - การขยายระบบให้มี 5.2 ล้าน CPU cores อาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและมีต้นทุนสูง

    SpiNNaker 2 อาจช่วยให้การจำลองสมองและการประมวลผล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้ GPU อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะสามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ GPU ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/brain-inspired-supercomputer-with-no-gpus-or-storage-switched-on-spinnaker-2-mimics-150-180-million-neurons
    🧠 SpiNNaker 2: ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบสมองมนุษย์ Sandia National Laboratories ได้เปิดตัว SpiNNaker 2 ซึ่งเป็น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสมองมนุษย์ โดยใช้ 175,000 CPU cores และ ไม่ต้องใช้ GPU หรือ SSD 🔍 วิธีการทำงานของ SpiNNaker 2 SpiNNaker 2 ใช้ สถาปัตยกรรม Spiking Neural Network (SNN) ซึ่งเลียนแบบ การทำงานของเซลล์ประสาทและไซแนปส์ในสมอง โดย แต่ละบอร์ดมี 96GB LPDDR4 memory และ 23GB SRAM ทำให้สามารถ จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดในหน่วยความจำโดยไม่ต้องใช้ที่เก็บข้อมูลแยกต่างหาก ✅ ข้อมูลจากข่าว - SpiNNaker 2 ใช้ 175,000 CPU cores และไม่ต้องใช้ GPU หรือ SSD - ใช้สถาปัตยกรรม Spiking Neural Network (SNN) เพื่อเลียนแบบสมองมนุษย์ - แต่ละบอร์ดมี 96GB LPDDR4 memory และ 23GB SRAM - สามารถประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่และการจำลองสมองทั้งระบบ - ระบบใน Dresden อาจมีมากกว่า 720 บอร์ด รวมถึง 5.2 ล้าน CPU cores เมื่อสร้างเสร็จ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการเลียนแบบสมองมนุษย์จะมีข้อจำกัดด้านการใช้งานจริงหรือไม่ - SpiNNaker 2 อาจไม่สามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ GPU ในงานบางประเภท เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ - ต้องติดตามว่าการใช้ LPDDR4 memory และ SRAM แทน SSD จะส่งผลต่อความเร็วและความเสถียรของระบบอย่างไร - การขยายระบบให้มี 5.2 ล้าน CPU cores อาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและมีต้นทุนสูง SpiNNaker 2 อาจช่วยให้การจำลองสมองและการประมวลผล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้ GPU อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะสามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ GPU ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/brain-inspired-supercomputer-with-no-gpus-or-storage-switched-on-spinnaker-2-mimics-150-180-million-neurons
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อมวลชนไทย ไม่นำเสนอเรื่องนี้
    แต่สนับสนุนพรอพพาแกนดาอุยกูร์ เพราะอะไร?
    ผมว่าพวกคุณรู้คำตอบ
    .
    สำหรับบางคนที่ไม่รู้
    Bernie Sanders เป็นสมาชิกสภาคองเกรสอเมริกัน
    คุณคิดว่าเขาใส่ร้ายอิสราเอลและรัฐบาลอเมริกันเช่นนั้นหรือ?
    .
    สื่อมวลชนไทย ไม่นำเสนอเรื่องนี้ แต่สนับสนุนพรอพพาแกนดาอุยกูร์ เพราะอะไร? ผมว่าพวกคุณรู้คำตอบ . สำหรับบางคนที่ไม่รู้ Bernie Sanders เป็นสมาชิกสภาคองเกรสอเมริกัน คุณคิดว่าเขาใส่ร้ายอิสราเอลและรัฐบาลอเมริกันเช่นนั้นหรือ? .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • การโจมตี Asus Routers ด้วยมัลแวร์ ViciousTrap
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GreyNoise พบว่ามีการโจมตี Asus routers กว่า 9,000 เครื่อง ด้วย ViciousTrap backdoor ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์โดยไม่ต้องได้รับอนุญาต

    แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่หลายจุด รวมถึง CVE-2023-39780 เพื่อเข้าถึงและควบคุมเราเตอร์ โดยใช้ brute-force login และเปิด SSH access ผ่านพอร์ตเฉพาะ จากนั้นพวกเขาจะฝัง public encryption key เพื่อให้สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ได้จากระยะไกล

    มัลแวร์นี้ถูกเก็บไว้ใน NVRAM ทำให้สามารถอยู่รอดได้แม้จะมีการรีบูตหรืออัปเดตเฟิร์มแวร์

    ข้อมูลจากข่าว
    - GreyNoise พบว่า Asus routers กว่า 9,000 เครื่องถูกโจมตีด้วย ViciousTrap backdoor
    - แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ CVE-2023-39780 และ brute-force login เพื่อเข้าถึงอุปกรณ์
    - มัลแวร์ถูกเก็บไว้ใน NVRAM ทำให้สามารถอยู่รอดได้แม้จะมีการรีบูตหรืออัปเดตเฟิร์มแวร์
    - Asus ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่แล้ว แต่ต้องมีการตรวจสอบและปิด SSH access ด้วยตนเอง
    - GreyNoise แนะนำให้ตรวจสอบการเชื่อมต่อจาก IP ที่น่าสงสัย เช่น 101.99.91.151 และ 79.141.163.179

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - หากไม่ได้ปิด SSH access ด้วยตนเอง มัลแวร์จะยังคงอยู่แม้จะอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้ว
    - มัลแวร์นี้สามารถทำให้แฮกเกอร์ควบคุมเราเตอร์จากระยะไกลได้โดยไม่ถูกตรวจจับ
    - GreyNoise ยังไม่สามารถระบุเป้าหมายของแฮกเกอร์ได้ อาจเป็นการเตรียมการโจมตีขนาดใหญ่
    - ควรทำ factory reset หากสงสัยว่าเราเตอร์ถูกโจมตี และตั้งค่าความปลอดภัยใหม่ทั้งหมด

    วิธีป้องกันและแก้ไข
    หากคุณใช้ Asus routers ควรตรวจสอบว่าเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุด และปิด SSH access ที่ไม่ได้ใช้งาน นอกจากนี้ ควรตรวจสอบ IP ที่น่าสงสัย และทำ factory reset หากพบพฤติกรรมผิดปกติ

    การโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการตั้งค่าความปลอดภัยของอุปกรณ์เครือข่าย เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://www.techspot.com/news/108109-thousands-asus-routers-compromised-vicioustrap-backdoor.html
    🔍 การโจมตี Asus Routers ด้วยมัลแวร์ ViciousTrap นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GreyNoise พบว่ามีการโจมตี Asus routers กว่า 9,000 เครื่อง ด้วย ViciousTrap backdoor ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์โดยไม่ต้องได้รับอนุญาต แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่หลายจุด รวมถึง CVE-2023-39780 เพื่อเข้าถึงและควบคุมเราเตอร์ โดยใช้ brute-force login และเปิด SSH access ผ่านพอร์ตเฉพาะ จากนั้นพวกเขาจะฝัง public encryption key เพื่อให้สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ได้จากระยะไกล มัลแวร์นี้ถูกเก็บไว้ใน NVRAM ทำให้สามารถอยู่รอดได้แม้จะมีการรีบูตหรืออัปเดตเฟิร์มแวร์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - GreyNoise พบว่า Asus routers กว่า 9,000 เครื่องถูกโจมตีด้วย ViciousTrap backdoor - แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ CVE-2023-39780 และ brute-force login เพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ - มัลแวร์ถูกเก็บไว้ใน NVRAM ทำให้สามารถอยู่รอดได้แม้จะมีการรีบูตหรืออัปเดตเฟิร์มแวร์ - Asus ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่แล้ว แต่ต้องมีการตรวจสอบและปิด SSH access ด้วยตนเอง - GreyNoise แนะนำให้ตรวจสอบการเชื่อมต่อจาก IP ที่น่าสงสัย เช่น 101.99.91.151 และ 79.141.163.179 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - หากไม่ได้ปิด SSH access ด้วยตนเอง มัลแวร์จะยังคงอยู่แม้จะอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้ว - มัลแวร์นี้สามารถทำให้แฮกเกอร์ควบคุมเราเตอร์จากระยะไกลได้โดยไม่ถูกตรวจจับ - GreyNoise ยังไม่สามารถระบุเป้าหมายของแฮกเกอร์ได้ อาจเป็นการเตรียมการโจมตีขนาดใหญ่ - ควรทำ factory reset หากสงสัยว่าเราเตอร์ถูกโจมตี และตั้งค่าความปลอดภัยใหม่ทั้งหมด 🔧 วิธีป้องกันและแก้ไข หากคุณใช้ Asus routers ควรตรวจสอบว่าเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุด และปิด SSH access ที่ไม่ได้ใช้งาน นอกจากนี้ ควรตรวจสอบ IP ที่น่าสงสัย และทำ factory reset หากพบพฤติกรรมผิดปกติ การโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการตั้งค่าความปลอดภัยของอุปกรณ์เครือข่าย เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต https://www.techspot.com/news/108109-thousands-asus-routers-compromised-vicioustrap-backdoor.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Thousands of Asus routers compromised by "ViciousTrap" backdoor
    Analysts at GreyNoise have uncovered a mysterious backdoor-based campaign affecting more than 9,000 Asus routers. The unknown cybercriminals are exploiting security vulnerabilities – some of which have...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนภัย! ช่องโหว่ความปลอดภัยของ Cisco ถูกใช้สร้างบ็อตเน็ตขนาดใหญ่

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Sekoia พบว่ามีการใช้ช่องโหว่ CVE-2023-20118 ในเราเตอร์ Cisco รุ่นเก่าเพื่อสร้างบ็อตเน็ตที่ชื่อ ViciousTrap ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ถูกโจมตีแล้วกว่า 5,300 เครื่องใน 84 ประเทศ โดยช่องโหว่นี้ เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถรันคำสั่งจากระยะไกลผ่านเว็บอินเตอร์เฟซของเราเตอร์

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับบ็อตเน็ต ViciousTrap
    ช่องโหว่ CVE-2023-20118 พบในเราเตอร์ Cisco Small Business รุ่น RV016, RV042, RV042G, RV082, RV320 และ RV325
    - ช่องโหว่นี้ เกิดจากการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่เหมาะสมใน HTTP packets

    ViciousTrap ใช้สคริปต์ NetGhost เพื่อเปลี่ยนเส้นทางทราฟฟิกของเราเตอร์ที่ถูกโจมตีไปยังโครงสร้างพื้นฐานของแฮกเกอร์
    - ทำให้ สามารถดักจับข้อมูลเครือข่ายของเหยื่อได้

    Cisco ไม่ออกแพตช์แก้ไข เนื่องจากอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบหมดอายุการสนับสนุนแล้ว
    - ผู้ใช้ ต้องเปลี่ยนไปใช้เราเตอร์รุ่นใหม่เพื่อป้องกันการโจมตี

    บ็อตเน็ตนี้มีลักษณะคล้ายกับ PolarEdge ซึ่งเคยใช้ช่องโหว่เดียวกันในการโจมตีอุปกรณ์จาก Cisco, ASUS, QNAP และ Synology
    - พบว่า PolarEdge มีอุปกรณ์ที่ถูกโจมตีประมาณ 2,000 เครื่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2025

    นักวิจัยเชื่อว่าแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง ViciousTrap อาจมีต้นกำเนิดจากจีน
    - แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่มีการใช้เครื่องมือที่เคยพบในกลุ่มแฮกเกอร์จีนมาก่อน

    https://www.techradar.com/pro/security/cisco-security-flaw-exploited-to-build-botnet-of-thousands-of-devices
    เตือนภัย! ช่องโหว่ความปลอดภัยของ Cisco ถูกใช้สร้างบ็อตเน็ตขนาดใหญ่ นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Sekoia พบว่ามีการใช้ช่องโหว่ CVE-2023-20118 ในเราเตอร์ Cisco รุ่นเก่าเพื่อสร้างบ็อตเน็ตที่ชื่อ ViciousTrap ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ถูกโจมตีแล้วกว่า 5,300 เครื่องใน 84 ประเทศ โดยช่องโหว่นี้ เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถรันคำสั่งจากระยะไกลผ่านเว็บอินเตอร์เฟซของเราเตอร์ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับบ็อตเน็ต ViciousTrap ✅ ช่องโหว่ CVE-2023-20118 พบในเราเตอร์ Cisco Small Business รุ่น RV016, RV042, RV042G, RV082, RV320 และ RV325 - ช่องโหว่นี้ เกิดจากการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่เหมาะสมใน HTTP packets ✅ ViciousTrap ใช้สคริปต์ NetGhost เพื่อเปลี่ยนเส้นทางทราฟฟิกของเราเตอร์ที่ถูกโจมตีไปยังโครงสร้างพื้นฐานของแฮกเกอร์ - ทำให้ สามารถดักจับข้อมูลเครือข่ายของเหยื่อได้ ✅ Cisco ไม่ออกแพตช์แก้ไข เนื่องจากอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบหมดอายุการสนับสนุนแล้ว - ผู้ใช้ ต้องเปลี่ยนไปใช้เราเตอร์รุ่นใหม่เพื่อป้องกันการโจมตี ✅ บ็อตเน็ตนี้มีลักษณะคล้ายกับ PolarEdge ซึ่งเคยใช้ช่องโหว่เดียวกันในการโจมตีอุปกรณ์จาก Cisco, ASUS, QNAP และ Synology - พบว่า PolarEdge มีอุปกรณ์ที่ถูกโจมตีประมาณ 2,000 เครื่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ✅ นักวิจัยเชื่อว่าแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง ViciousTrap อาจมีต้นกำเนิดจากจีน - แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่มีการใช้เครื่องมือที่เคยพบในกลุ่มแฮกเกอร์จีนมาก่อน https://www.techradar.com/pro/security/cisco-security-flaw-exploited-to-build-botnet-of-thousands-of-devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความไม่รู้ของคุณคือพลังของพวกเขา

    ซ้ำแล้วซ้ำเล่า "ซุปเปอร์สตาร์" ในฮอลลีวูดและกีฬา เช่น โรนัลโด้ เมสซี่ และอีกมากมาย ขายวิญญาณเพื่อเงิน และชื่อเสียง!!!

    โรนัลโด้ เมสซี่ และอีกมากมายไม่ใช่! ต้นฉบับอีกต่อไป พวกเขาโดนหลอก/ถูกหลอก
    --->>>
    สังคม VRIL - BLACK EYE CLUB

    และอีกอย่าง:
    อาร์เจนตินาเป็นศูนย์กลางหลักของพวกนาซีที่หลบหนีไปยังอาร์เจนตินาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

    พื้นที่หลัก - ปาตาโกเนีย

    คุณไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงที่อิงจากความปรารถนาและความคิดเห็นได้

    ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง - จบ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม..

    นี่คือข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ขายวิญญาณของตน

    @EXPOSEthePEDOSendOfTheCABAL
    หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ
    @DUMBSandUNDERGROUND
    -->>>
    https://rumble.com/v1yiwl4-vril-vril-types-drones-reptos-lizzards-black-eye-club.html
    ความไม่รู้ของคุณคือพลังของพวกเขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า "ซุปเปอร์สตาร์" ในฮอลลีวูดและกีฬา เช่น โรนัลโด้ เมสซี่ และอีกมากมาย ขายวิญญาณเพื่อเงิน 💰 และชื่อเสียง!!! โรนัลโด้ เมสซี่ และอีกมากมายไม่ใช่! ต้นฉบับอีกต่อไป พวกเขาโดนหลอก/ถูกหลอก --->>> สังคม VRIL - BLACK EYE CLUB และอีกอย่าง: อาร์เจนตินาเป็นศูนย์กลางหลักของพวกนาซีที่หลบหนีไปยังอาร์เจนตินาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นที่หลัก - ปาตาโกเนีย คุณไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงที่อิงจากความปรารถนาและความคิดเห็นได้ ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง - จบ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม.. นี่คือข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ขายวิญญาณของตน @EXPOSEthePEDOSendOfTheCABAL หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ @DUMBSandUNDERGROUND -->>> https://rumble.com/v1yiwl4-vril-vril-types-drones-reptos-lizzards-black-eye-club.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • SanDisk เตรียมเปิดตัว SSD ความจุสูงถึง 512TB ด้วยสถาปัตยกรรม Stargate

    SanDisk ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานเป็นบริษัทอิสระหลังแยกตัวจาก Western Digital ได้เปิดเผยแผนการพัฒนา SSD ความจุสูงถึง 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027 โดยใช้ สถาปัตยกรรม Stargate ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความจุระดับเอกซะไบต์

    Stargate เป็นคอนโทรลเลอร์ใหม่ที่ออกแบบจากศูนย์เพื่อรองรับ SSD ความจุสูง
    - ใช้ BiCS 8 QLC NAND ซึ่งมีความจุ 2Tbit (256GB) ต่อ die

    SSD รุ่นแรกที่ใช้ Stargate จะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ปี 2025
    - รุ่น DC SN670 จะมีความจุ 64TB และ 128TB พร้อมรองรับ PCIe 5.0

    SanDisk ตั้งเป้าพัฒนา SSD ความจุ 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027
    - อาจมีการพัฒนา PCIe 6.0 ในรุ่นอนาคตเพื่อรองรับความเร็วที่สูงขึ้น

    Stargate จะเป็นหัวใจสำคัญในการขยายความจุ SSD ไปถึงระดับ 1PB ในอนาคต
    - เทคโนโลยีนี้ ช่วยให้สามารถเพิ่มความจุโดยไม่ลดประสิทธิภาพ

    SanDisk เผชิญผลประกอบการลดลงหลังแยกตัวจาก Western Digital
    - รายได้ในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 1.695 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 10% จากไตรมาสก่อน

    https://www.techradar.com/pro/sandisk-could-use-new-architecture-called-stargate-to-power-its-256tb-and-512tb-ssds-in-2026-and-beyond
    SanDisk เตรียมเปิดตัว SSD ความจุสูงถึง 512TB ด้วยสถาปัตยกรรม Stargate SanDisk ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานเป็นบริษัทอิสระหลังแยกตัวจาก Western Digital ได้เปิดเผยแผนการพัฒนา SSD ความจุสูงถึง 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027 โดยใช้ สถาปัตยกรรม Stargate ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความจุระดับเอกซะไบต์ ✅ Stargate เป็นคอนโทรลเลอร์ใหม่ที่ออกแบบจากศูนย์เพื่อรองรับ SSD ความจุสูง - ใช้ BiCS 8 QLC NAND ซึ่งมีความจุ 2Tbit (256GB) ต่อ die ✅ SSD รุ่นแรกที่ใช้ Stargate จะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 - รุ่น DC SN670 จะมีความจุ 64TB และ 128TB พร้อมรองรับ PCIe 5.0 ✅ SanDisk ตั้งเป้าพัฒนา SSD ความจุ 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027 - อาจมีการพัฒนา PCIe 6.0 ในรุ่นอนาคตเพื่อรองรับความเร็วที่สูงขึ้น ✅ Stargate จะเป็นหัวใจสำคัญในการขยายความจุ SSD ไปถึงระดับ 1PB ในอนาคต - เทคโนโลยีนี้ ช่วยให้สามารถเพิ่มความจุโดยไม่ลดประสิทธิภาพ ✅ SanDisk เผชิญผลประกอบการลดลงหลังแยกตัวจาก Western Digital - รายได้ในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 1.695 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 10% จากไตรมาสก่อน https://www.techradar.com/pro/sandisk-could-use-new-architecture-called-stargate-to-power-its-256tb-and-512tb-ssds-in-2026-and-beyond
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • SanDisk เปิดตัว WD Black SN8100: SSD ที่เร็วที่สุดในโลก พร้อมความจุสูงสุด 8TB

    SanDisk ได้เปิดตัว WD Black SN8100 ซึ่งเป็น NVMe SSD ที่เร็วที่สุดในโลก โดยมีความเร็วในการอ่านสูงสุด 14,900MB/s และความจุสูงสุด 8TB ออกแบบมาเพื่อ เกมเมอร์, นักสร้างคอนเทนต์ และ AI workloads

    WD Black SN8100 เป็น PCIe Gen 5.0 NVMe SSD ที่เร็วที่สุดในตลาด
    - มีความเร็วในการอ่าน 14,900MB/s และเขียน 14,000MB/s

    ใช้เทคโนโลยี BiCS8 TLC 3D CBA NAND
    - ช่วยให้ มีโปรไฟล์ต่ำและปรับปรุงการระบายความร้อน

    มีประสิทธิภาพพลังงานดีขึ้น 100% เมื่อเทียบกับ PCIe Gen 4.0 SSD
    - ใช้พลังงานเฉลี่ยเพียง 7W

    รองรับ IOPS สูงถึง 2,300,000 บนรุ่น 2TB และ 4TB
    - ช่วยให้ การเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มเร็วขึ้น

    มีรุ่นพร้อมฮีตซิงค์และ RGB LED ที่จะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2025
    - ฮีตซิงค์ทำจาก อะลูมิเนียมอโนไดซ์เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sandisks-new-wd-black-sn8100-claims-to-be-the-worlds-fastest-nvme-ssd-14-900mb-s-read-speeds-and-up-to-8tb-in-capacity
    SanDisk เปิดตัว WD Black SN8100: SSD ที่เร็วที่สุดในโลก พร้อมความจุสูงสุด 8TB SanDisk ได้เปิดตัว WD Black SN8100 ซึ่งเป็น NVMe SSD ที่เร็วที่สุดในโลก โดยมีความเร็วในการอ่านสูงสุด 14,900MB/s และความจุสูงสุด 8TB ออกแบบมาเพื่อ เกมเมอร์, นักสร้างคอนเทนต์ และ AI workloads ✅ WD Black SN8100 เป็น PCIe Gen 5.0 NVMe SSD ที่เร็วที่สุดในตลาด - มีความเร็วในการอ่าน 14,900MB/s และเขียน 14,000MB/s ✅ ใช้เทคโนโลยี BiCS8 TLC 3D CBA NAND - ช่วยให้ มีโปรไฟล์ต่ำและปรับปรุงการระบายความร้อน ✅ มีประสิทธิภาพพลังงานดีขึ้น 100% เมื่อเทียบกับ PCIe Gen 4.0 SSD - ใช้พลังงานเฉลี่ยเพียง 7W ✅ รองรับ IOPS สูงถึง 2,300,000 บนรุ่น 2TB และ 4TB - ช่วยให้ การเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มเร็วขึ้น ✅ มีรุ่นพร้อมฮีตซิงค์และ RGB LED ที่จะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2025 - ฮีตซิงค์ทำจาก อะลูมิเนียมอโนไดซ์เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sandisks-new-wd-black-sn8100-claims-to-be-the-worlds-fastest-nvme-ssd-14-900mb-s-read-speeds-and-up-to-8tb-in-capacity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts