• Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ
    .
    ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน
    ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง
    รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน
    โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain
    ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย
    อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023
    นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน
    แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน
    แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด
    ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต
    อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan
    โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2%
    แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก
    Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
    หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่
    1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน
    2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น
    3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์
    4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho
    5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์
    6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน
    7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ
    ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก
    ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก
    พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง
    ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย
    ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย
    แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด


    อ้างอิง :
    • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    https://www.bbc.com/thai/international-53264790
    • EarthRights International, Global Witness
    Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ . ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2% แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่ 1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน 2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น 3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์ 4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho 5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์ 6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน 7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด อ้างอิง : • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ • https://www.bbc.com/thai/international-53264790 • EarthRights International, Global Witness
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • บริษัท Laboratory Services Cooperative (LSC) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล ส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนตัวของ 1.6 ล้านคน โดยข้อมูลที่ถูกขโมยอาจรวมถึง ข้อมูลทางการแพทย์, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลระบุตัวตน

    ✅ LSC ตรวจพบกิจกรรมต้องสงสัยในระบบเมื่อเดือนตุลาคม 2024
    - บริษัทแจ้งตำรวจและนำผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เข้ามาตรวจสอบ
    - การสอบสวนเสร็จสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และพบว่าข้อมูลบางส่วนอาจได้รับผลกระทบ

    ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยมีหลายประเภท
    - ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล
    - ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น วันที่รับบริการ, การวินิจฉัยโรค, ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
    - ข้อมูลประกันสุขภาพ เช่น ชื่อแผนประกัน, หมายเลขสมาชิก
    - ข้อมูลการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร, รายละเอียดบัตรเครดิต

    ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ
    - ผู้ที่เข้ารับการตรวจผ่าน Planned Parenthood ซึ่งใช้บริการของ LSC อาจได้รับผลกระทบ
    - ข้อมูลของพนักงาน LSC และบุคคลในครอบครัวของพนักงานอาจถูกขโมยด้วย

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ข้อมูลยังไม่ถูกเผยแพร่บน Dark Web
    - ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าข้อมูลที่ถูกขโมยถูกนำไปขายหรือเผยแพร่
    - แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวังการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านการเงินและการฉ้อโกง
    - ข้อมูลการชำระเงินที่ถูกขโมยอาจถูกนำไปใช้ในการฉ้อโกง
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบบัญชีธนาคารและบัตรเครดิตอย่างสม่ำเสมอ

    ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์ในอุตสาหกรรมสุขภาพ
    - การโจมตีทางไซเบอร์ต่อองค์กรด้านสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    - บริษัทต่างๆ ต้องลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลมากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/top-us-lab-testing-firm-hit-with-major-data-leak-exposes-health-info-on-1-6-million-users
    บริษัท Laboratory Services Cooperative (LSC) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล ส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนตัวของ 1.6 ล้านคน โดยข้อมูลที่ถูกขโมยอาจรวมถึง ข้อมูลทางการแพทย์, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลระบุตัวตน ✅ LSC ตรวจพบกิจกรรมต้องสงสัยในระบบเมื่อเดือนตุลาคม 2024 - บริษัทแจ้งตำรวจและนำผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เข้ามาตรวจสอบ - การสอบสวนเสร็จสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และพบว่าข้อมูลบางส่วนอาจได้รับผลกระทบ ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยมีหลายประเภท - ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล - ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น วันที่รับบริการ, การวินิจฉัยโรค, ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ - ข้อมูลประกันสุขภาพ เช่น ชื่อแผนประกัน, หมายเลขสมาชิก - ข้อมูลการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร, รายละเอียดบัตรเครดิต ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ - ผู้ที่เข้ารับการตรวจผ่าน Planned Parenthood ซึ่งใช้บริการของ LSC อาจได้รับผลกระทบ - ข้อมูลของพนักงาน LSC และบุคคลในครอบครัวของพนักงานอาจถูกขโมยด้วย ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ข้อมูลยังไม่ถูกเผยแพร่บน Dark Web - ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าข้อมูลที่ถูกขโมยถูกนำไปขายหรือเผยแพร่ - แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวังการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว ℹ️ ความเสี่ยงด้านการเงินและการฉ้อโกง - ข้อมูลการชำระเงินที่ถูกขโมยอาจถูกนำไปใช้ในการฉ้อโกง - ผู้ใช้ควรตรวจสอบบัญชีธนาคารและบัตรเครดิตอย่างสม่ำเสมอ ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์ในอุตสาหกรรมสุขภาพ - การโจมตีทางไซเบอร์ต่อองค์กรด้านสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น - บริษัทต่างๆ ต้องลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/top-us-lab-testing-firm-hit-with-major-data-leak-exposes-health-info-on-1-6-million-users
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • AMD กำลังเตรียมเปิดตัว Radeon RX 9060 XT ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 โดยมีข่าวลือว่าการ์ดรุ่นนี้สามารถ เพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาได้สูงสุดถึง 3.3 GHz และอาจเปิดตัวในงาน Computex 2025

    ✅ สเปคและประสิทธิภาพของ RX 9060 XT
    - ใช้ชิป Navi 44 XT ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปคจาก Navi 48
    - มี 2048 Stream Processors ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของ Navi 48
    - ความเร็วสัญญาณนาฬิกา Game Clock อยู่ที่ 2620 MHz และ Boost Clock สูงสุด 3230 MHz
    - รุ่นที่โอเวอร์คล็อกอาจสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึง 3.3 GHz

    ✅ การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    - คาดว่า RX 9060 XT จะถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ NVIDIA GeForce RTX 5060 Ti
    - อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4070 Non-SUPER ในบางสถานการณ์

    ✅ ข้อกำหนดด้านพลังงาน
    - ต้องใช้ Power Supply ขั้นต่ำ 500W และอาจต้องใช้ 550W สำหรับรุ่นที่โอเวอร์คล็อก
    - ใช้ 8-pin power connectors เป็นมาตรฐาน

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อการตลาดของ AMD
    - หากราคาสูงเกินไป อาจทำให้ RX 9060 XT สูญเสียความได้เปรียบด้านความคุ้มค่า
    - ต้องจับตาว่า AMD จะตั้งราคาที่แข่งขันได้หรือไม่

    ℹ️ ความท้าทายด้านการผลิต
    - การใช้ชิป Navi 44 XT อาจหมายถึงการนำชิปที่มีข้อบกพร่องจาก RX 9070 มาใช้ใหม่
    - ต้องดูว่า AMD จะสามารถรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้ดีแค่ไหน

    ℹ️ แนวโน้มของตลาด GPU ในปี 2025
    - NVIDIA และ AMD ต่างกำลังแข่งขันกันในตลาดกราฟิกการ์ดระดับกลาง
    - อาจมีการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ เช่น FSR 4 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม

    https://www.techpowerup.com/335455/amd-radeon-rx-9060-xt-reportedly-capable-of-boosting-up-to-3-3-ghz-new-leak-suggests-navi-44-xt-gpu
    AMD กำลังเตรียมเปิดตัว Radeon RX 9060 XT ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 โดยมีข่าวลือว่าการ์ดรุ่นนี้สามารถ เพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาได้สูงสุดถึง 3.3 GHz และอาจเปิดตัวในงาน Computex 2025 ✅ สเปคและประสิทธิภาพของ RX 9060 XT - ใช้ชิป Navi 44 XT ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปคจาก Navi 48 - มี 2048 Stream Processors ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของ Navi 48 - ความเร็วสัญญาณนาฬิกา Game Clock อยู่ที่ 2620 MHz และ Boost Clock สูงสุด 3230 MHz - รุ่นที่โอเวอร์คล็อกอาจสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึง 3.3 GHz ✅ การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง - คาดว่า RX 9060 XT จะถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ NVIDIA GeForce RTX 5060 Ti - อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4070 Non-SUPER ในบางสถานการณ์ ✅ ข้อกำหนดด้านพลังงาน - ต้องใช้ Power Supply ขั้นต่ำ 500W และอาจต้องใช้ 550W สำหรับรุ่นที่โอเวอร์คล็อก - ใช้ 8-pin power connectors เป็นมาตรฐาน ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อการตลาดของ AMD - หากราคาสูงเกินไป อาจทำให้ RX 9060 XT สูญเสียความได้เปรียบด้านความคุ้มค่า - ต้องจับตาว่า AMD จะตั้งราคาที่แข่งขันได้หรือไม่ ℹ️ ความท้าทายด้านการผลิต - การใช้ชิป Navi 44 XT อาจหมายถึงการนำชิปที่มีข้อบกพร่องจาก RX 9070 มาใช้ใหม่ - ต้องดูว่า AMD จะสามารถรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้ดีแค่ไหน ℹ️ แนวโน้มของตลาด GPU ในปี 2025 - NVIDIA และ AMD ต่างกำลังแข่งขันกันในตลาดกราฟิกการ์ดระดับกลาง - อาจมีการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ เช่น FSR 4 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม https://www.techpowerup.com/335455/amd-radeon-rx-9060-xt-reportedly-capable-of-boosting-up-to-3-3-ghz-new-leak-suggests-navi-44-xt-gpu
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Radeon RX 9060 XT Reportedly Capable of Boosting Up To 3.3 GHz, New Leak Suggests "Navi 44 XT" GPU
    AMD has not publicly announced its Radeon RX 9060 XT 16 GB and 8 GB graphics cards, but board partners have inadvertently "revealed" the existence of forthcoming custom designs. Team Red's RDNA 4 kick-off events did tease a second quarter launch of a Radeon RX 9060 Series cards, but have remained co...
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • AMD ได้ปรับโครงสร้าง ROCm toolkit โดยแยกส่วน ROCm AMDGPU drivers ออกมาเป็น Instinct driver ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล

    ✅ การแยก ROCm toolkit ออกเป็นสองส่วน
    - ROCm 6.4 แบ่งออกเป็น Instinct Driver และ ROCm Toolkit
    - Instinct Driver จะเป็นชุดไดรเวอร์ที่รองรับ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ
    - ROCm Toolkit จะดูแลทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์โดยตรง

    ✅ ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงนี้
    - เพิ่มความยืดหยุ่นในการอัปเดตไดรเวอร์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเวอร์ชันของ ROCm Toolkit
    - ลดความซับซ้อนในการติดตั้งและจัดการสิทธิ์ของผู้ใช้
    - เพิ่มระยะเวลาการสนับสนุนไดรเวอร์จาก 6 เดือนเป็น 12 เดือน

    ✅ การพัฒนาในอนาคต
    - AMD วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การติดตั้งแบบลดขนาด เพื่อลด footprint ของไดรเวอร์
    - อาจมีการพัฒนาไดรเวอร์ที่เน้นความเสถียรระยะยาวสำหรับศูนย์ข้อมูล

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป
    - ROCm Toolkit จะยังคงรองรับ GPU สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่การแยกไดรเวอร์อาจทำให้การติดตั้งซับซ้อนขึ้น
    - ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ amdgpu จาก Linux kernel อาจต้องปรับการตั้งค่าใหม่

    ℹ️ ความสับสนเรื่องเวอร์ชันไดรเวอร์
    - AMD ยืนยันว่า เวอร์ชันของ Instinct Driver จะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ ROCm Toolkit จะอัปเดต
    - อาจเกิดความสับสนในการเลือกเวอร์ชันที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน

    ℹ️ แนวโน้มของ ROCm และการสนับสนุน GPU รุ่นใหม่
    - AMD ยังไม่ได้ประกาศการรองรับ RDNA 4 ใน ROCm Toolkit
    - ผู้ใช้ต้องติดตามการอัปเดตเพื่อดูว่า GPU รุ่นใหม่จะได้รับการสนับสนุนเมื่อใด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-splits-rocm-toolkit-into-two-parts-rocm-amdgpu-drivers-get-their-own-branch-under-instinct-datacenter-gpu-moniker
    AMD ได้ปรับโครงสร้าง ROCm toolkit โดยแยกส่วน ROCm AMDGPU drivers ออกมาเป็น Instinct driver ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล ✅ การแยก ROCm toolkit ออกเป็นสองส่วน - ROCm 6.4 แบ่งออกเป็น Instinct Driver และ ROCm Toolkit - Instinct Driver จะเป็นชุดไดรเวอร์ที่รองรับ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ - ROCm Toolkit จะดูแลทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์โดยตรง ✅ ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงนี้ - เพิ่มความยืดหยุ่นในการอัปเดตไดรเวอร์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเวอร์ชันของ ROCm Toolkit - ลดความซับซ้อนในการติดตั้งและจัดการสิทธิ์ของผู้ใช้ - เพิ่มระยะเวลาการสนับสนุนไดรเวอร์จาก 6 เดือนเป็น 12 เดือน ✅ การพัฒนาในอนาคต - AMD วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การติดตั้งแบบลดขนาด เพื่อลด footprint ของไดรเวอร์ - อาจมีการพัฒนาไดรเวอร์ที่เน้นความเสถียรระยะยาวสำหรับศูนย์ข้อมูล ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป - ROCm Toolkit จะยังคงรองรับ GPU สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่การแยกไดรเวอร์อาจทำให้การติดตั้งซับซ้อนขึ้น - ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ amdgpu จาก Linux kernel อาจต้องปรับการตั้งค่าใหม่ ℹ️ ความสับสนเรื่องเวอร์ชันไดรเวอร์ - AMD ยืนยันว่า เวอร์ชันของ Instinct Driver จะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ ROCm Toolkit จะอัปเดต - อาจเกิดความสับสนในการเลือกเวอร์ชันที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ℹ️ แนวโน้มของ ROCm และการสนับสนุน GPU รุ่นใหม่ - AMD ยังไม่ได้ประกาศการรองรับ RDNA 4 ใน ROCm Toolkit - ผู้ใช้ต้องติดตามการอัปเดตเพื่อดูว่า GPU รุ่นใหม่จะได้รับการสนับสนุนเมื่อใด https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-splits-rocm-toolkit-into-two-parts-rocm-amdgpu-drivers-get-their-own-branch-under-instinct-datacenter-gpu-moniker
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD splits ROCm toolkit into two parts – ROCm AMDGPU drivers get their own branch under Instinct datacenter GPU moniker
    AMD's datacenter-focused Instinct GPUs get their own-branded Linux GPU drivers that support significantly more versions of the ROCm toolkit.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลเยอรมนีกำลังวางแผนจัดตั้ง "ซูเปอร์กระทรวงไฮเทค" เพื่อส่งเสริมการวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ นักวิจัยจากสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายงบประมาณของรัฐบาลทรัมป์เข้ามาทำงานในยุโรป

    ✅ การจัดตั้งกระทรวงไฮเทคใหม่
    - กระทรวงใหม่นี้จะดูแลด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัมคอมพิวติ้ง, เทคโนโลยีชีวภาพ, การพัฒนาชิป และพลังงานฟิวชัน
    - มีแผนแยกงานวิจัยออกจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - เป้าหมายสำคัญคือการสร้าง เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของพลังงานสะอาด

    ✅ การเพิ่มงบประมาณสนับสนุนการวิจัย
    - รัฐบาลเยอรมนีให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณสนับสนุนองค์กรวิจัย ปีละ 3% จนถึงปี 2030
    - นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้เยอรมนีเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก

    ✅ โครงการ "1000 Minds" ดึงดูดนักวิจัยจากสหรัฐฯ
    - เยอรมนีเตรียมเปิดโครงการ "1000 Minds" เพื่อดึงดูดนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ
    - นักวิจัยในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับ การตัดงบประมาณครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขา
    - มีรายงานว่าบางหน่วยงาน เช่น NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ต้องลดงบประมาณจนถึงขั้นให้ นักวิจัยทำงานด้านอื่น เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำ

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อสหรัฐฯ และการแข่งขันด้านเทคโนโลยี
    - การดึงนักวิจัยจากสหรัฐฯ อาจทำให้เกิด การสูญเสียบุคลากรสำคัญ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของอเมริกา
    - อาจส่งผลต่อการแข่งขันด้าน AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ

    ℹ️ ความท้าทายในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชัน
    - แม้จะมีเป้าหมายสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง แต่เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดลอง และต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล
    - การพัฒนาอาจใช้เวลาหลายสิบปี ก่อนที่จะสามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมได้

    ℹ️ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมวิจัยโลก
    - หากเยอรมนีประสบความสำเร็จ อาจทำให้ยุโรปกลายเป็น ศูนย์กลางวิจัยระดับโลก แทนที่สหรัฐฯ
    - ประเทศอื่นๆ อาจต้องปรับนโยบายเพื่อแข่งขันกับเยอรมนีในการดึงดูดนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์

    https://www.techspot.com/news/107547-germany-new-government-planning-super-high-tech-ministry.html
    รัฐบาลเยอรมนีกำลังวางแผนจัดตั้ง "ซูเปอร์กระทรวงไฮเทค" เพื่อส่งเสริมการวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ นักวิจัยจากสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายงบประมาณของรัฐบาลทรัมป์เข้ามาทำงานในยุโรป ✅ การจัดตั้งกระทรวงไฮเทคใหม่ - กระทรวงใหม่นี้จะดูแลด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัมคอมพิวติ้ง, เทคโนโลยีชีวภาพ, การพัฒนาชิป และพลังงานฟิวชัน - มีแผนแยกงานวิจัยออกจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น - เป้าหมายสำคัญคือการสร้าง เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของพลังงานสะอาด ✅ การเพิ่มงบประมาณสนับสนุนการวิจัย - รัฐบาลเยอรมนีให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณสนับสนุนองค์กรวิจัย ปีละ 3% จนถึงปี 2030 - นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้เยอรมนีเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก ✅ โครงการ "1000 Minds" ดึงดูดนักวิจัยจากสหรัฐฯ - เยอรมนีเตรียมเปิดโครงการ "1000 Minds" เพื่อดึงดูดนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ - นักวิจัยในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับ การตัดงบประมาณครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขา - มีรายงานว่าบางหน่วยงาน เช่น NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ต้องลดงบประมาณจนถึงขั้นให้ นักวิจัยทำงานด้านอื่น เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อสหรัฐฯ และการแข่งขันด้านเทคโนโลยี - การดึงนักวิจัยจากสหรัฐฯ อาจทำให้เกิด การสูญเสียบุคลากรสำคัญ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของอเมริกา - อาจส่งผลต่อการแข่งขันด้าน AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ ℹ️ ความท้าทายในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชัน - แม้จะมีเป้าหมายสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง แต่เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดลอง และต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล - การพัฒนาอาจใช้เวลาหลายสิบปี ก่อนที่จะสามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมได้ ℹ️ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมวิจัยโลก - หากเยอรมนีประสบความสำเร็จ อาจทำให้ยุโรปกลายเป็น ศูนย์กลางวิจัยระดับโลก แทนที่สหรัฐฯ - ประเทศอื่นๆ อาจต้องปรับนโยบายเพื่อแข่งขันกับเยอรมนีในการดึงดูดนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ https://www.techspot.com/news/107547-germany-new-government-planning-super-high-tech-ministry.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New German "super-ministry" hopes to lure US researchers with cutting-edge science agenda
    Germany's three largest political parties have agreed to form a new government, uniting the center-right Christian Democrats and Christian Social Union with the center-left Social Democrats. While...
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • Apple กำลังปรับกลยุทธ์ในการพัฒนา AI โดยเปลี่ยนจากการใช้ข้อมูลสังเคราะห์เพียงอย่างเดียว มาเป็นการตรวจสอบข้อมูลจริงจากอีเมลที่อยู่บนอุปกรณ์ของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple วิธีนี้ช่วยให้ AI สามารถปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียนได้ดีขึ้น

    Apple อธิบายว่า ข้อมูลสังเคราะห์ ที่ใช้ในการฝึก AI นั้นมีข้อจำกัด เพราะแม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็อาจไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง ส่งผลให้ AI ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เช่น Siri ที่ยังมีข้อผิดพลาดในการตอบคำถาม และระบบแจ้งเตือนที่ไม่แม่นยำ

    เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Apple จะเริ่มใช้ระบบใหม่ใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5 ที่ช่วยให้ AI สามารถตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, การแนะนำการเขียน, Image Playground, และ Memories Creation

    นอกจากนี้ Apple ยังใช้ Differential Privacy เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน

    ✅ แนวทางใหม่ของ Apple ในการฝึก AI
    - ใช้ข้อมูลจากอีเมลของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์
    - ช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียน

    ✅ ข้อจำกัดของข้อมูลสังเคราะห์
    - แม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง
    - ส่งผลให้ Siri และระบบแจ้งเตือนทำงานได้ไม่สมบูรณ์

    ✅ การอัปเดตใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5
    - ระบบใหม่ช่วยให้ AI ตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์
    - ปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, Image Playground, และ Memories Creation

    ✅ การใช้ Differential Privacy
    - วิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    - ปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    - แม้ Apple จะเน้นความเป็นส่วนตัว แต่การใช้ข้อมูลจากอีเมลอาจทำให้เกิดข้อกังวล
    - ผู้ใช้ต้องเลือกเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ผ่าน Device Analytics และ Product Improvement Settings

    ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI
    - Apple พยายามไล่ตาม OpenAI, Microsoft และ Google ในการพัฒนา AI
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Apple Intelligence แข่งขันได้ดีขึ้น

    https://www.neowin.net/news/apple-wants-to-train-ai-on-your-emails-in-a-way-that-protects-your-privacy/
    Apple กำลังปรับกลยุทธ์ในการพัฒนา AI โดยเปลี่ยนจากการใช้ข้อมูลสังเคราะห์เพียงอย่างเดียว มาเป็นการตรวจสอบข้อมูลจริงจากอีเมลที่อยู่บนอุปกรณ์ของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple วิธีนี้ช่วยให้ AI สามารถปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียนได้ดีขึ้น Apple อธิบายว่า ข้อมูลสังเคราะห์ ที่ใช้ในการฝึก AI นั้นมีข้อจำกัด เพราะแม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็อาจไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง ส่งผลให้ AI ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เช่น Siri ที่ยังมีข้อผิดพลาดในการตอบคำถาม และระบบแจ้งเตือนที่ไม่แม่นยำ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Apple จะเริ่มใช้ระบบใหม่ใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5 ที่ช่วยให้ AI สามารถตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, การแนะนำการเขียน, Image Playground, และ Memories Creation นอกจากนี้ Apple ยังใช้ Differential Privacy เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน ✅ แนวทางใหม่ของ Apple ในการฝึก AI - ใช้ข้อมูลจากอีเมลของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ - ช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียน ✅ ข้อจำกัดของข้อมูลสังเคราะห์ - แม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง - ส่งผลให้ Siri และระบบแจ้งเตือนทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ✅ การอัปเดตใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5 - ระบบใหม่ช่วยให้ AI ตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ - ปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, Image Playground, และ Memories Creation ✅ การใช้ Differential Privacy - วิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล - ปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน ℹ️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว - แม้ Apple จะเน้นความเป็นส่วนตัว แต่การใช้ข้อมูลจากอีเมลอาจทำให้เกิดข้อกังวล - ผู้ใช้ต้องเลือกเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ผ่าน Device Analytics และ Product Improvement Settings ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI - Apple พยายามไล่ตาม OpenAI, Microsoft และ Google ในการพัฒนา AI - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Apple Intelligence แข่งขันได้ดีขึ้น https://www.neowin.net/news/apple-wants-to-train-ai-on-your-emails-in-a-way-that-protects-your-privacy/
    WWW.NEOWIN.NET
    Apple wants to train AI on your emails in a way that protects your privacy
    Apple has lagged behind in AI, but now it's using user data to improve its models while "protecting privacy."
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/pHqpLLbbSa0?si=267ovd7EvY8UfMRN
    https://youtube.com/shorts/pHqpLLbbSa0?si=267ovd7EvY8UfMRN
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • “โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเข้าถึงง่าย”: กระจกบานใหญ่จาก Bundestag สู่สภาไทย

    ในขณะที่การเมืองไทยยังคงติดหล่มแห่งความไม่โปร่งใส การซื้อเสียง ความไม่รับผิดชอบ และการลอยตัวของผู้มีอำนาจเหนือประชาชน ประเทศเยอรมนีกลับสร้างต้นแบบของความซื่อสัตย์สุจริตไว้ตรงกลางกรุงเบอร์ลิน

    Bundestag หรือรัฐสภาเยอรมัน ที่สะท้อนหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

    ตัวอาคาร Reichstag ไม่ได้มีดีแค่ความอลังการทางสถาปัตยกรรม แต่คือคำประกาศเจตนารมณ์แห่งความโปร่งใส โดมแก้วเหนือห้องประชุมคือการบอกกับประชาชนว่า “พวกคุณมีสิทธิ์รู้ เห็น และตรวจสอบได้ทุกการเคลื่อนไหวของเรา” ผู้แทนราษฎรที่นั่งอยู่ภายใต้แสงธรรมชาติจากโดมแก้วนั้น จึงไม่มีที่ให้ซ่อน ไม่มีเงามืดให้แอบแฝง

    ขณะที่เมืองไทยกลับเต็มไปด้วย "โดมทึบ" ที่ประชาชนไม่มีวันมองผ่านได้ ห้องประชุมที่ถูกใช้เป็นเวทีลิเก ผลาญงบประมาณและโต้เถียงกันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม มากกว่าจะออกกฎหมายที่ตอบสนองต่อเสียงของประชาชน

    นักการเมืองไทยบางคนกลัวความโปร่งใสเหมือนผีเห็นแสงแดด กลัวการตรวจสอบเหมือนขโมยกลัวกล้องวงจรปิด เพราะพวกเขาไม่ได้มองว่าตัวเองเป็น "ผู้รับใช้ประชาชน" แต่เป็นเจ้าของอำนาจ

    ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะสร้าง "Reichstag ทางจิตวิญญาณ" — ที่ไม่ต้องใช้กระจกจริงมาติด แต่ใช้หลักคิดแห่งความโปร่งใส เปิดเผย และเคารพประชาชนอย่างแท้จริง

    ความโปร่งใสไม่ใช่แค่เครื่องประดับของระบอบประชาธิปไตย แต่มันคือหัวใจของมัน ถ้าไม่มีหัวใจนี้ สภาก็ไม่ต่างอะไรจากโรงละครที่แสดงละครซ้ำซากเรื่องเดียว — “อำนาจเป็นของข้า ประชาชนจงเงียบ”

    #thawornboonyawan
    #คนไทยต้องรอด
    #คนดีสำคัญกว่าทุกสิ่ง
    Credit image : Twontrot Boon

    “Transparency, Accountability, and Accessibility”: A Giant Mirror from the Bundestag to Thailand’s Parliament

    While Thai politics remains mired in a culture of opacity, vote-buying, irresponsibility, and the detachment of power from the people, Germany has built a powerful symbol of integrity in the heart of Berlin — the Bundestag, or German federal parliament, which embodies the true essence of democracy.

    The Reichstag building is more than an architectural marvel; it is a declaration of transparency. The glass dome above the parliamentary chamber sends a clear message to the public: “You have the right to see, know, and scrutinize every action we take.” Lawmakers sit beneath natural light, visible from above — there is nowhere to hide, no shadow to scheme in.

    In contrast, Thailand is shrouded in “opaque domes” through which the people can never see. Parliamentary halls have become theatrical stages — wasting public funds and bickering over special interests rather than legislating in the people's best interest.

    Some Thai politicians fear transparency like ghosts fear daylight. They fear scrutiny the way thieves fear surveillance cameras. Because deep down, they don't see themselves as public servants — but as power-holders.

    Isn’t it time for Thailand to build its own “spiritual Reichstag”? Not with physical glass, but with a mindset rooted in openness, honesty, and deep respect for the people.

    Transparency is not a decorative feature of democracy — it is its heart. Without that heart, the parliament is nothing more than a stage for a tired play, endlessly repeating the same act: “Power belongs to us; the people must stay silent.”
    “โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเข้าถึงง่าย”: กระจกบานใหญ่จาก Bundestag สู่สภาไทย ในขณะที่การเมืองไทยยังคงติดหล่มแห่งความไม่โปร่งใส การซื้อเสียง ความไม่รับผิดชอบ และการลอยตัวของผู้มีอำนาจเหนือประชาชน ประเทศเยอรมนีกลับสร้างต้นแบบของความซื่อสัตย์สุจริตไว้ตรงกลางกรุงเบอร์ลิน Bundestag หรือรัฐสภาเยอรมัน ที่สะท้อนหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตัวอาคาร Reichstag ไม่ได้มีดีแค่ความอลังการทางสถาปัตยกรรม แต่คือคำประกาศเจตนารมณ์แห่งความโปร่งใส โดมแก้วเหนือห้องประชุมคือการบอกกับประชาชนว่า “พวกคุณมีสิทธิ์รู้ เห็น และตรวจสอบได้ทุกการเคลื่อนไหวของเรา” ผู้แทนราษฎรที่นั่งอยู่ภายใต้แสงธรรมชาติจากโดมแก้วนั้น จึงไม่มีที่ให้ซ่อน ไม่มีเงามืดให้แอบแฝง ขณะที่เมืองไทยกลับเต็มไปด้วย "โดมทึบ" ที่ประชาชนไม่มีวันมองผ่านได้ ห้องประชุมที่ถูกใช้เป็นเวทีลิเก ผลาญงบประมาณและโต้เถียงกันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม มากกว่าจะออกกฎหมายที่ตอบสนองต่อเสียงของประชาชน นักการเมืองไทยบางคนกลัวความโปร่งใสเหมือนผีเห็นแสงแดด กลัวการตรวจสอบเหมือนขโมยกลัวกล้องวงจรปิด เพราะพวกเขาไม่ได้มองว่าตัวเองเป็น "ผู้รับใช้ประชาชน" แต่เป็นเจ้าของอำนาจ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะสร้าง "Reichstag ทางจิตวิญญาณ" — ที่ไม่ต้องใช้กระจกจริงมาติด แต่ใช้หลักคิดแห่งความโปร่งใส เปิดเผย และเคารพประชาชนอย่างแท้จริง ความโปร่งใสไม่ใช่แค่เครื่องประดับของระบอบประชาธิปไตย แต่มันคือหัวใจของมัน ถ้าไม่มีหัวใจนี้ สภาก็ไม่ต่างอะไรจากโรงละครที่แสดงละครซ้ำซากเรื่องเดียว — “อำนาจเป็นของข้า ประชาชนจงเงียบ” #thawornboonyawan #คนไทยต้องรอด #คนดีสำคัญกว่าทุกสิ่ง Credit image : Twontrot Boon “Transparency, Accountability, and Accessibility”: A Giant Mirror from the Bundestag to Thailand’s Parliament While Thai politics remains mired in a culture of opacity, vote-buying, irresponsibility, and the detachment of power from the people, Germany has built a powerful symbol of integrity in the heart of Berlin — the Bundestag, or German federal parliament, which embodies the true essence of democracy. The Reichstag building is more than an architectural marvel; it is a declaration of transparency. The glass dome above the parliamentary chamber sends a clear message to the public: “You have the right to see, know, and scrutinize every action we take.” Lawmakers sit beneath natural light, visible from above — there is nowhere to hide, no shadow to scheme in. In contrast, Thailand is shrouded in “opaque domes” through which the people can never see. Parliamentary halls have become theatrical stages — wasting public funds and bickering over special interests rather than legislating in the people's best interest. Some Thai politicians fear transparency like ghosts fear daylight. They fear scrutiny the way thieves fear surveillance cameras. Because deep down, they don't see themselves as public servants — but as power-holders. Isn’t it time for Thailand to build its own “spiritual Reichstag”? Not with physical glass, but with a mindset rooted in openness, honesty, and deep respect for the people. Transparency is not a decorative feature of democracy — it is its heart. Without that heart, the parliament is nothing more than a stage for a tired play, endlessly repeating the same act: “Power belongs to us; the people must stay silent.”
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/T0JdtSaU-No?si=KzsYAt7Zns3mpliX
    https://youtu.be/T0JdtSaU-No?si=KzsYAt7Zns3mpliX
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนที่ 1
    .
    ฉากทัศน์ปัจจุบันในลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ต่างมากนักกับหนังเรื่อง Blood Diamond ที่สร้างจากเรื่องจริงที่ที่แอฟริกา ว่าด้วยการด้านมืดของทำเหมืองเพชร ฉายในปีค.ศ. 2006 ดารานำคือ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ แสดงคู่กับ โซโลมอน แวนดี้ ชาวประมงผู้ถูกจับตัวไปเป็นแรงงานในเหมืองเพชรของกลุ่มกบฏ
    .
    Blood Diamond ในเรื่องถือเป็นขุมทรัพย์ของกลุ่มกบฏ กระบวนการคือการกดขี่แรงงาน สังหารชาวบ้าน ที่ต่อต้าน ล้างสมองใช้แรงงานเด็กถืออาวุธเคี่ยวเข่น ฟอกเงินจากขายเพชรไปซื้ออาวุธ เสริมสร้างกองทัพ การค้าอาวุธและของเถื่อน เรียกว่าเถื่อนครบวงจร
    .
    หลังจากน้ำท่วมแม่สายอย่างสาหัส ด้วยมวลขุ่นชี้โคลนมหาศาลโถมทับพื้นที่ลุ่มน้ำแม่สาย ท่าขี้เหล็ก ทางมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation ; SHRF) ได้เปิดผลการศึกษา ว่าด้วย “การขยายตัวของเหมืองแร่ในรัฐฉาน เมียนมา กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในเมียนมาและไทย”
    .
    เสียงสะท้อนจากเรื่องนี้ดังมาจากฝั่งเมียนมาร์ถือเป็นครั้งแรกห้วงเดือนพฤศจิกายน 2567 นอกจากโคลนคือการได้รับของแถมคือ สารหนู นิเกิลและสังกะสีปนเปื้อนในระดับสูง โดยระดับปนเปื้อนของสังกะสีในแม่น้ำสายสูงงกว่าระดับปลอดภัยถึง 18 เท่า
    .
    ประเด็นชี้เป้าไปที่ 4 พื้นที่หลักภายใต้การคือ การขยายตัวของเหมืองทองคำด้านตะวันออกของเมืองสาด รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ริมฝั่งแม่น้ำกก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำรวก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ตามริมฝั่งน้ำเลน รัฐฉาน
    .
    Deep State ที่ตัวแสดงหลักคือกองทัพสหรัฐว้า United Wa State Army ทำขอตกลงกับรัฐบาลเมียนมาคือ เขตปกครองพิเศษที่ 2 มีพื้นที่อิทธิพลในเขตเปกครองตนเองว้า ภาคเหนือติดชายแดนจีน และทางภาคใต้-ตะวันออกของรัฐฉาน ติดกับประเทศไทย และการพันลึกกับจีน
    .
    ปมปัญหามลพิษทางน้ำข้ามพรมแดนไทย-เมียนมาร์ ประเด็นร้อนล่าสุดที่ผลกระทบได้ขยายวงแผ่ไปตามกระแสน้ำที่มีมลพิษจากการทำเหมืองทองคำเป็นต้นเหตุหลักในพื้นที่รัฐฉาน ที่ไหลลงแม่น้ำลัดเลาะลงอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านจังหวัดเชียงราย ลงแม่น้ำโขง
    .
    เรื่องนี้มีความน่าสนใจเชิงทรัพยากรเหมืองแร่ที่มีทุนจีนเข้ามาโอบล้อมภาคเหนือของไทยสูบแร่ ที่คิดว่าไม่ใช่เฉพาะทองคำ แต่จะกินไปถึงถ่านหิน และแมงกานีส เป็นอุตสาหกรรมที่มีความลึกลับซับซ้อนเป็นทองคำสีเลือดที่สร้างผลกระทบชีวิตคนลุ่มแม่น้ำโขง สุขภาพตายผ่อนส่ง ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่ยังไม่รวมเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนจากการบายพาสสินค้าไปตลาดจีน คาสิโน บ่อนที่ประชิดชายแดนไทย ทั้งพม่าและคิงส์โรมัน
    .
    ทั้งหมดล้วนพัวพันเป็นเนื้อเดียวที่ส่งสัญญาณอนาคตประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ลุ่มนํ้าสาละวิน กก สาย และอิง ไม่รวมแม่น้ำสาขา น้ำแม่ฝาง น้ำแม่ลาว และน้ำแม่สรวย กำลังเผชิญวิกฤติที่ลุกลามเป็นกินพื้นที่ภาคเหนือ
    .
    ต้องยอมรับว่าการ Reaction ของรัฐไทยช้า และไม่มีพลังที่จะชน Deep State ประเทศเพื่อนบ้าน ภาพปรากฎเป็นการตั้งรับเกือบ 100% และไม่ทันการณ์
    .
    ความอ่อนแอเชิงพื้นที่ที่ได้ถูกกัดกร่อน ทำให้พลังการแสดงออกของพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ทั้งภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาชน มิได้ส่งเสียงส่งพลังให้เกิดการมีปฏิกิริยาเชิงรุกกับรัฐบาลไทยเพื่อปกป้องผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของภาคเหนือ
    .
    หากประมวลมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของไทย นอกจากการเกาะติดของสื่อ ก็จะมีข้อเรียกร้องทางให้เปิดโต๊ะเจรจาจีน-เมียนมา-ว้า ประสานพี่ใหญ่จีนด้วยที่มีบริษัทจีนส่วนใหญ่เข้าไปสัมปทาน ทั้งรูปแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ร่วมกันหาทางออกทั้งการยุติการทำเหมืองทอง หรือการควบคุมการปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ
    .
    จังหวัดเชียงรายต้องทำฉากทัศน์ (Scenarios) หลายระดับ 1.ในช่วง 5 ปี หน้าดินที่เสื่อมสลายไป จะทำอย่างไรในเรื่องตะกอน น้ำท่วม และสารพิษในแม่น้ำ 2.ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หากเหมืองทองขยายตัวมากกว่านี้ ขยายเหมือนไร่ข้าวโพดในเมียนมา จะมีการบริหารจัดการอย่างไร 3.ประเด็นการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA)
    .
    ก่อนหน้านี้กลางเดือนมีนาคมมีการรวมตัวของชุมชน 700 คน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ปกป้องแม่น้ำกก ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองคำบนต้นน้ำกกที่ห่างจากชายแดนไทยไป 30 กิโลเมตรทางทิศใต้ของเมืองสาด ที่ดำเนินขุดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยให้ข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดทองในวงกว้างเกิดขึ้นริมแม่น้ำกกในเมืองยอน ตอนใต้ของอำเภอเมืองสาด
    .
    ในแถลงการณ์ระบุว่ามีบริษัทจีนหลัก 4 แห่ง ที่ดำเนินการขุดเหมือง มีซับคอนแทรกอีก 20 ราย มีพนักงานมากกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน บริษัทเหล่านี้ทำเหมืองบนเนินเขาและริมฝั่งแม่น้ำกก รวมถึงการใช้เรือขุดทองและสกัดบนแม่น้ำกกโดยตรง ทำให้ชาวบ้านไม่มั่นใจการบริโภคในครัวเรือน และทำให้ปลาแทบสูญพันธุ์
    .
    ล่าสุดมีการขยับของ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกหนังสือไปยังหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong Committee Secretariat: MRCS) เสนอจัดตั้ง “กลไกความร่วมมือทวิภาคี” สำหรับการตรวจสอบคุณภาพน้ำ โดยมี MRCS ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งต้องติดตามต่อไป
    .
    หลังจากการเปิดฉากเรื่อง Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนต่อไปคือการเจาะลึกการขยายอุตสาหกรรมเหมืองทองคำในลุ่มแม่น้ำโขงในเงื้อมมือทุนจีน การเล่นแร่แปรธาตุสู่อาวุธ บ่อน และสงคราม ไปจนทางถึง Supply Chain การเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการเหมืองในลุ่มแม่น้ำโขง ผลประโยชน์ขนาดไหน ความสูญเสียของคนลุ่มแม่น้ำโขงในอนาคตภายใต้ความเสี่ยงของมลพิษข้ามแดนจะวิกฤติอย่างไร มีทางออกอย่างไรโปรดติดตาม

    อ้างอิง :
    • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ https://shanhumanrights.org/
    • วิกฤตสารหนู ‘แม่น้ำกก’ จี้รัฐถก 3 ชาติ ป้องเศรษฐกิจเชียงรายพัง https://www.prachachat.net/local-economy/news-1792140
    • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 https://www.facebook.com/share/p/1D8ZwWYsN1/
    • ไทยกับว้าแดง https://www.facebook.com/share/p/15KvYRaDH1/
    • Toxic Waters, Dysfunctional States The Destruction of the Kok and Sai Rivers
    By Paskorn Jumlongrach https://transbordernews.in.th/home/?p=42108
    Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนที่ 1 . ฉากทัศน์ปัจจุบันในลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ต่างมากนักกับหนังเรื่อง Blood Diamond ที่สร้างจากเรื่องจริงที่ที่แอฟริกา ว่าด้วยการด้านมืดของทำเหมืองเพชร ฉายในปีค.ศ. 2006 ดารานำคือ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ แสดงคู่กับ โซโลมอน แวนดี้ ชาวประมงผู้ถูกจับตัวไปเป็นแรงงานในเหมืองเพชรของกลุ่มกบฏ . Blood Diamond ในเรื่องถือเป็นขุมทรัพย์ของกลุ่มกบฏ กระบวนการคือการกดขี่แรงงาน สังหารชาวบ้าน ที่ต่อต้าน ล้างสมองใช้แรงงานเด็กถืออาวุธเคี่ยวเข่น ฟอกเงินจากขายเพชรไปซื้ออาวุธ เสริมสร้างกองทัพ การค้าอาวุธและของเถื่อน เรียกว่าเถื่อนครบวงจร . หลังจากน้ำท่วมแม่สายอย่างสาหัส ด้วยมวลขุ่นชี้โคลนมหาศาลโถมทับพื้นที่ลุ่มน้ำแม่สาย ท่าขี้เหล็ก ทางมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation ; SHRF) ได้เปิดผลการศึกษา ว่าด้วย “การขยายตัวของเหมืองแร่ในรัฐฉาน เมียนมา กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในเมียนมาและไทย” . เสียงสะท้อนจากเรื่องนี้ดังมาจากฝั่งเมียนมาร์ถือเป็นครั้งแรกห้วงเดือนพฤศจิกายน 2567 นอกจากโคลนคือการได้รับของแถมคือ สารหนู นิเกิลและสังกะสีปนเปื้อนในระดับสูง โดยระดับปนเปื้อนของสังกะสีในแม่น้ำสายสูงงกว่าระดับปลอดภัยถึง 18 เท่า . ประเด็นชี้เป้าไปที่ 4 พื้นที่หลักภายใต้การคือ การขยายตัวของเหมืองทองคำด้านตะวันออกของเมืองสาด รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ริมฝั่งแม่น้ำกก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำรวก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ตามริมฝั่งน้ำเลน รัฐฉาน . Deep State ที่ตัวแสดงหลักคือกองทัพสหรัฐว้า United Wa State Army ทำขอตกลงกับรัฐบาลเมียนมาคือ เขตปกครองพิเศษที่ 2 มีพื้นที่อิทธิพลในเขตเปกครองตนเองว้า ภาคเหนือติดชายแดนจีน และทางภาคใต้-ตะวันออกของรัฐฉาน ติดกับประเทศไทย และการพันลึกกับจีน . ปมปัญหามลพิษทางน้ำข้ามพรมแดนไทย-เมียนมาร์ ประเด็นร้อนล่าสุดที่ผลกระทบได้ขยายวงแผ่ไปตามกระแสน้ำที่มีมลพิษจากการทำเหมืองทองคำเป็นต้นเหตุหลักในพื้นที่รัฐฉาน ที่ไหลลงแม่น้ำลัดเลาะลงอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านจังหวัดเชียงราย ลงแม่น้ำโขง . เรื่องนี้มีความน่าสนใจเชิงทรัพยากรเหมืองแร่ที่มีทุนจีนเข้ามาโอบล้อมภาคเหนือของไทยสูบแร่ ที่คิดว่าไม่ใช่เฉพาะทองคำ แต่จะกินไปถึงถ่านหิน และแมงกานีส เป็นอุตสาหกรรมที่มีความลึกลับซับซ้อนเป็นทองคำสีเลือดที่สร้างผลกระทบชีวิตคนลุ่มแม่น้ำโขง สุขภาพตายผ่อนส่ง ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่ยังไม่รวมเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนจากการบายพาสสินค้าไปตลาดจีน คาสิโน บ่อนที่ประชิดชายแดนไทย ทั้งพม่าและคิงส์โรมัน . ทั้งหมดล้วนพัวพันเป็นเนื้อเดียวที่ส่งสัญญาณอนาคตประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ลุ่มนํ้าสาละวิน กก สาย และอิง ไม่รวมแม่น้ำสาขา น้ำแม่ฝาง น้ำแม่ลาว และน้ำแม่สรวย กำลังเผชิญวิกฤติที่ลุกลามเป็นกินพื้นที่ภาคเหนือ . ต้องยอมรับว่าการ Reaction ของรัฐไทยช้า และไม่มีพลังที่จะชน Deep State ประเทศเพื่อนบ้าน ภาพปรากฎเป็นการตั้งรับเกือบ 100% และไม่ทันการณ์ . ความอ่อนแอเชิงพื้นที่ที่ได้ถูกกัดกร่อน ทำให้พลังการแสดงออกของพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ทั้งภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาชน มิได้ส่งเสียงส่งพลังให้เกิดการมีปฏิกิริยาเชิงรุกกับรัฐบาลไทยเพื่อปกป้องผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของภาคเหนือ . หากประมวลมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของไทย นอกจากการเกาะติดของสื่อ ก็จะมีข้อเรียกร้องทางให้เปิดโต๊ะเจรจาจีน-เมียนมา-ว้า ประสานพี่ใหญ่จีนด้วยที่มีบริษัทจีนส่วนใหญ่เข้าไปสัมปทาน ทั้งรูปแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ร่วมกันหาทางออกทั้งการยุติการทำเหมืองทอง หรือการควบคุมการปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ . จังหวัดเชียงรายต้องทำฉากทัศน์ (Scenarios) หลายระดับ 1.ในช่วง 5 ปี หน้าดินที่เสื่อมสลายไป จะทำอย่างไรในเรื่องตะกอน น้ำท่วม และสารพิษในแม่น้ำ 2.ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หากเหมืองทองขยายตัวมากกว่านี้ ขยายเหมือนไร่ข้าวโพดในเมียนมา จะมีการบริหารจัดการอย่างไร 3.ประเด็นการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) . ก่อนหน้านี้กลางเดือนมีนาคมมีการรวมตัวของชุมชน 700 คน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ปกป้องแม่น้ำกก ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองคำบนต้นน้ำกกที่ห่างจากชายแดนไทยไป 30 กิโลเมตรทางทิศใต้ของเมืองสาด ที่ดำเนินขุดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยให้ข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดทองในวงกว้างเกิดขึ้นริมแม่น้ำกกในเมืองยอน ตอนใต้ของอำเภอเมืองสาด . ในแถลงการณ์ระบุว่ามีบริษัทจีนหลัก 4 แห่ง ที่ดำเนินการขุดเหมือง มีซับคอนแทรกอีก 20 ราย มีพนักงานมากกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน บริษัทเหล่านี้ทำเหมืองบนเนินเขาและริมฝั่งแม่น้ำกก รวมถึงการใช้เรือขุดทองและสกัดบนแม่น้ำกกโดยตรง ทำให้ชาวบ้านไม่มั่นใจการบริโภคในครัวเรือน และทำให้ปลาแทบสูญพันธุ์ . ล่าสุดมีการขยับของ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกหนังสือไปยังหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong Committee Secretariat: MRCS) เสนอจัดตั้ง “กลไกความร่วมมือทวิภาคี” สำหรับการตรวจสอบคุณภาพน้ำ โดยมี MRCS ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งต้องติดตามต่อไป . หลังจากการเปิดฉากเรื่อง Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนต่อไปคือการเจาะลึกการขยายอุตสาหกรรมเหมืองทองคำในลุ่มแม่น้ำโขงในเงื้อมมือทุนจีน การเล่นแร่แปรธาตุสู่อาวุธ บ่อน และสงคราม ไปจนทางถึง Supply Chain การเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการเหมืองในลุ่มแม่น้ำโขง ผลประโยชน์ขนาดไหน ความสูญเสียของคนลุ่มแม่น้ำโขงในอนาคตภายใต้ความเสี่ยงของมลพิษข้ามแดนจะวิกฤติอย่างไร มีทางออกอย่างไรโปรดติดตาม อ้างอิง : • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ https://shanhumanrights.org/ • วิกฤตสารหนู ‘แม่น้ำกก’ จี้รัฐถก 3 ชาติ ป้องเศรษฐกิจเชียงรายพัง https://www.prachachat.net/local-economy/news-1792140 • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 https://www.facebook.com/share/p/1D8ZwWYsN1/ • ไทยกับว้าแดง https://www.facebook.com/share/p/15KvYRaDH1/ • Toxic Waters, Dysfunctional States The Destruction of the Kok and Sai Rivers By Paskorn Jumlongrach https://transbordernews.in.th/home/?p=42108
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่น่าสนใจใน Silicon Valley ซึ่งมีการแฮกระบบเสียงของปุ่มข้ามถนนในพื้นที่ เช่น Redwood City, Menlo Park และ Palo Alto โดยเสียงที่ถูกเปลี่ยนเป็นข้อความเสียดสีที่เลียนแบบเสียงของ Elon Musk และ Mark Zuckerberg

    เสียงที่ถูกแฮกนี้ไม่ได้ให้คำเตือนเกี่ยวกับการจราจรตามปกติ แต่กลับเป็นข้อความเสียดสี เช่น เสียงที่เลียนแบบ Zuckerberg กล่าวถึงการนำ AI เข้ามาในชีวิตประจำวันอย่างประชดประชัน หรือเสียงที่เลียนแบบ Musk ที่พูดถึงเรื่องต่างๆ ในลักษณะตลกร้าย แม้ว่าการแฮกครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบสัญญาณไฟจราจร แต่เจ้าหน้าที่ได้ปิดการใช้งานระบบเสียงเพื่อความปลอดภัย

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในระบบ IoT (Internet of Things) ที่อาจถูกโจมตีได้ง่าย และยังเป็นการเตือนถึงความสำคัญของการป้องกันระบบที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยสาธารณะ

    ✅ เหตุการณ์แฮกปุ่มข้ามถนนใน Silicon Valley
    - ระบบเสียงของปุ่มข้ามถนนในพื้นที่ Redwood City, Menlo Park และ Palo Alto ถูกแฮก
    - เสียงที่ถูกเปลี่ยนเป็นข้อความเสียดสีที่เลียนแบบเสียงของ Elon Musk และ Mark Zuckerberg

    ✅ ผลกระทบของการแฮก
    - ระบบสัญญาณไฟจราจรไม่ได้รับผลกระทบ
    - เจ้าหน้าที่ปิดการใช้งานระบบเสียงเพื่อความปลอดภัย

    ✅ ข้อความเสียดสีที่ถูกแฮก
    - Zuckerberg: กล่าวถึงการนำ AI เข้ามาในชีวิตประจำวันอย่างประชดประชัน
    - Musk: พูดถึงเรื่องต่างๆ ในลักษณะตลกร้าย

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในระบบ IoT
    - ระบบ IoT ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยสาธารณะอาจถูกโจมตีได้ง่าย
    - การแฮกอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบสาธารณะ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/crosswalks-in-silicon-valley-hacked-to-play-satirical-messages-from-musk-and-zuckerberg-sound-a-likes
    ข่าวนี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่น่าสนใจใน Silicon Valley ซึ่งมีการแฮกระบบเสียงของปุ่มข้ามถนนในพื้นที่ เช่น Redwood City, Menlo Park และ Palo Alto โดยเสียงที่ถูกเปลี่ยนเป็นข้อความเสียดสีที่เลียนแบบเสียงของ Elon Musk และ Mark Zuckerberg เสียงที่ถูกแฮกนี้ไม่ได้ให้คำเตือนเกี่ยวกับการจราจรตามปกติ แต่กลับเป็นข้อความเสียดสี เช่น เสียงที่เลียนแบบ Zuckerberg กล่าวถึงการนำ AI เข้ามาในชีวิตประจำวันอย่างประชดประชัน หรือเสียงที่เลียนแบบ Musk ที่พูดถึงเรื่องต่างๆ ในลักษณะตลกร้าย แม้ว่าการแฮกครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบสัญญาณไฟจราจร แต่เจ้าหน้าที่ได้ปิดการใช้งานระบบเสียงเพื่อความปลอดภัย เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในระบบ IoT (Internet of Things) ที่อาจถูกโจมตีได้ง่าย และยังเป็นการเตือนถึงความสำคัญของการป้องกันระบบที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยสาธารณะ ✅ เหตุการณ์แฮกปุ่มข้ามถนนใน Silicon Valley - ระบบเสียงของปุ่มข้ามถนนในพื้นที่ Redwood City, Menlo Park และ Palo Alto ถูกแฮก - เสียงที่ถูกเปลี่ยนเป็นข้อความเสียดสีที่เลียนแบบเสียงของ Elon Musk และ Mark Zuckerberg ✅ ผลกระทบของการแฮก - ระบบสัญญาณไฟจราจรไม่ได้รับผลกระทบ - เจ้าหน้าที่ปิดการใช้งานระบบเสียงเพื่อความปลอดภัย ✅ ข้อความเสียดสีที่ถูกแฮก - Zuckerberg: กล่าวถึงการนำ AI เข้ามาในชีวิตประจำวันอย่างประชดประชัน - Musk: พูดถึงเรื่องต่างๆ ในลักษณะตลกร้าย ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในระบบ IoT - ระบบ IoT ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยสาธารณะอาจถูกโจมตีได้ง่าย - การแฮกอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบสาธารณะ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/crosswalks-in-silicon-valley-hacked-to-play-satirical-messages-from-musk-and-zuckerberg-sound-a-likes
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • Apple ได้เปิดตัว Apple Maps Web App ที่สามารถใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์ โดยไม่จำกัดเฉพาะอุปกรณ์ของ Apple อีกต่อไป ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหาและการนำทาง รวมถึงฟีเจอร์ Look Around ที่คล้ายกับ Google Street View อย่างไรก็ตาม Web App นี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล ไม่มีแผนที่การเดินทาง และไม่มีอาคาร 3D

    การเปิดตัวนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของ Apple ในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่เรียกร้องให้ Apple เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น

    ✅ การเปิดตัว Apple Maps Web App
    - Apple Maps Web App สามารถใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์ รวมถึง Android
    - รองรับฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหา การนำทาง และ Look Around

    ✅ ข้อจำกัดของ Web App
    - ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล
    - ไม่มีแผนที่การเดินทางและอาคาร 3D

    ✅ แรงผลักดันจากหน่วยงานกำกับดูแล
    - การเปิดตัวนี้เป็นผลมาจากแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป
    - Apple ถูกเรียกร้องให้เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อการใช้งาน
    - Web App อาจไม่สามารถแข่งขันกับ Google Maps ในด้านฟีเจอร์และความสะดวก
    - ผู้ใช้งานอาจไม่เลือกใช้ Apple Maps หากไม่มีฟีเจอร์ที่ครบครัน

    ℹ️ ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Apple
    - การเปิดตัว Web App ที่มีข้อจำกัดอาจลดความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของ Apple
    - Apple อาจต้องพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติมเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน

    https://www.techspot.com/news/107529-android-users-can-now-use-apple-maps-web.html
    Apple ได้เปิดตัว Apple Maps Web App ที่สามารถใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์ โดยไม่จำกัดเฉพาะอุปกรณ์ของ Apple อีกต่อไป ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหาและการนำทาง รวมถึงฟีเจอร์ Look Around ที่คล้ายกับ Google Street View อย่างไรก็ตาม Web App นี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล ไม่มีแผนที่การเดินทาง และไม่มีอาคาร 3D การเปิดตัวนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของ Apple ในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่เรียกร้องให้ Apple เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น ✅ การเปิดตัว Apple Maps Web App - Apple Maps Web App สามารถใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์ รวมถึง Android - รองรับฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหา การนำทาง และ Look Around ✅ ข้อจำกัดของ Web App - ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล - ไม่มีแผนที่การเดินทางและอาคาร 3D ✅ แรงผลักดันจากหน่วยงานกำกับดูแล - การเปิดตัวนี้เป็นผลมาจากแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป - Apple ถูกเรียกร้องให้เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น ℹ️ ความเสี่ยงต่อการใช้งาน - Web App อาจไม่สามารถแข่งขันกับ Google Maps ในด้านฟีเจอร์และความสะดวก - ผู้ใช้งานอาจไม่เลือกใช้ Apple Maps หากไม่มีฟีเจอร์ที่ครบครัน ℹ️ ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Apple - การเปิดตัว Web App ที่มีข้อจำกัดอาจลดความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของ Apple - Apple อาจต้องพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติมเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน https://www.techspot.com/news/107529-android-users-can-now-use-apple-maps-web.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Apple Maps web app is now available on all devices, including Android
    Initially, users could only access the Maps web app from desktops or tablets. Now, Apple has quietly dropped the beta tag from the URL and opened the...
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • The genius behind Eternal Genesis lies in its seamless integration of several tracks into one cohesive whole. Each section flows effortlessly into the next, and together, they create a piece that’s much more than just music; it’s an experience. The production is rich, layering lush synths over gentle vocals that, when combined, feel like an atmospheric embrace.

    @kindlinemagazine.com

    https://kindlinemagazine.com/sweet-nation-shines-bright-with-new-single-eternal-genesis/

    Kindline Magazine highlights the "lush, immersive soundscape" and "emotional depth" of Sweet Nation's "Eternal Genesis." Want to explore the influences and artistic perspectives that contribute to such powerful music? Discover more about the author's insights on my Amazon Author Page: 📚— Ekarach Chandon

    https://www.amazon.com/stores/Ekarach-Chandon/author/B0C72VBBMZ?ccs_id=72a6ccc5-c11e-46af-a506-2c08e49d3e3a

    #EternalGenesis #SweetNation #NewMusic #AmazonBooks
    The genius behind Eternal Genesis lies in its seamless integration of several tracks into one cohesive whole. Each section flows effortlessly into the next, and together, they create a piece that’s much more than just music; it’s an experience. The production is rich, layering lush synths over gentle vocals that, when combined, feel like an atmospheric embrace. @kindlinemagazine.com https://kindlinemagazine.com/sweet-nation-shines-bright-with-new-single-eternal-genesis/ Kindline Magazine highlights the "lush, immersive soundscape" and "emotional depth" of Sweet Nation's "Eternal Genesis." Want to explore the influences and artistic perspectives that contribute to such powerful music? Discover more about the author's insights on my Amazon Author Page: 📚— Ekarach Chandon https://www.amazon.com/stores/Ekarach-Chandon/author/B0C72VBBMZ?ccs_id=72a6ccc5-c11e-46af-a506-2c08e49d3e3a #EternalGenesis #SweetNation #NewMusic #AmazonBooks
    KINDLINEMAGAZINE.COM
    Sweet Nation Shines Bright with New Single "Eternal Genesis" - Kindline Magazine
    Sweet Nation, the family-born collective made up of a father, mother, daughter, and son, has unveiled their latest single, "Eternal Genesis", a hauntingly
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • Apple Vision Pro ซึ่งเปิดตัวด้วยราคาสูงถึง $3,500 และน้ำหนัก 1.5 ปอนด์ (680 กรัม) ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่ Apple จึงตัดสินใจพัฒนารุ่นใหม่ที่มีน้ำหนักเบาและราคาถูกกว่า โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027

    นอกจากนี้ Apple ยังพัฒนารุ่นที่สามารถเชื่อมต่อกับ Mac เพื่อใช้งานในระดับองค์กร เช่น การดูภาพในระหว่างการผ่าตัด หรือการใช้ในเครื่องจำลองการบิน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบที่มีความหน่วงต่ำมากสำหรับการสตรีมหน้าจอ Mac

    ในระยะยาว Apple มีเป้าหมายที่จะพัฒนาแว่นตา AR ที่สามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายกับแว่นตา Meta Ray-Ban แต่เพิ่มความสามารถของ Siri และ AI

    ✅ การพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่
    - Apple พัฒนารุ่นราคาถูกและน้ำหนักเบาเพื่อแก้ไขปัญหาของรุ่นปัจจุบัน
    - รุ่นราคาถูกคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027

    ✅ Vision Pro รุ่นเชื่อมต่อกับ Mac
    - สามารถเชื่อมต่อกับ Mac เพื่อใช้งานในระดับองค์กร
    - มีระบบที่มีความหน่วงต่ำสำหรับการสตรีมหน้าจอ Mac

    ✅ เป้าหมายระยะยาวของ Apple
    - พัฒนาแว่นตา AR ที่สามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน
    - เพิ่มความสามารถของ Siri และ AI

    ℹ️ ความท้าทายในการพัฒนา
    - การลดน้ำหนักและราคาของ Vision Pro อาจต้องใช้ทรัพยากรและเวลา
    - การพัฒนาแว่นตา AR ที่สวมใส่ได้ตลอดทั้งวันอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี

    ℹ️ ผลกระทบต่อคู่แข่งในตลาด
    - การพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่อาจเพิ่มแรงกดดันให้คู่แข่ง เช่น Meta และ LG
    - การแข่งขันในตลาด AR และ VR อาจเข้มข้นขึ้น

    https://www.neowin.net/news/apple-is-reportedly-developing-a-cheaper-vision-pro-and-a-new-mac-connected-version/
    Apple Vision Pro ซึ่งเปิดตัวด้วยราคาสูงถึง $3,500 และน้ำหนัก 1.5 ปอนด์ (680 กรัม) ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่ Apple จึงตัดสินใจพัฒนารุ่นใหม่ที่มีน้ำหนักเบาและราคาถูกกว่า โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027 นอกจากนี้ Apple ยังพัฒนารุ่นที่สามารถเชื่อมต่อกับ Mac เพื่อใช้งานในระดับองค์กร เช่น การดูภาพในระหว่างการผ่าตัด หรือการใช้ในเครื่องจำลองการบิน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบที่มีความหน่วงต่ำมากสำหรับการสตรีมหน้าจอ Mac ในระยะยาว Apple มีเป้าหมายที่จะพัฒนาแว่นตา AR ที่สามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายกับแว่นตา Meta Ray-Ban แต่เพิ่มความสามารถของ Siri และ AI ✅ การพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่ - Apple พัฒนารุ่นราคาถูกและน้ำหนักเบาเพื่อแก้ไขปัญหาของรุ่นปัจจุบัน - รุ่นราคาถูกคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027 ✅ Vision Pro รุ่นเชื่อมต่อกับ Mac - สามารถเชื่อมต่อกับ Mac เพื่อใช้งานในระดับองค์กร - มีระบบที่มีความหน่วงต่ำสำหรับการสตรีมหน้าจอ Mac ✅ เป้าหมายระยะยาวของ Apple - พัฒนาแว่นตา AR ที่สามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน - เพิ่มความสามารถของ Siri และ AI ℹ️ ความท้าทายในการพัฒนา - การลดน้ำหนักและราคาของ Vision Pro อาจต้องใช้ทรัพยากรและเวลา - การพัฒนาแว่นตา AR ที่สวมใส่ได้ตลอดทั้งวันอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ℹ️ ผลกระทบต่อคู่แข่งในตลาด - การพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่อาจเพิ่มแรงกดดันให้คู่แข่ง เช่น Meta และ LG - การแข่งขันในตลาด AR และ VR อาจเข้มข้นขึ้น https://www.neowin.net/news/apple-is-reportedly-developing-a-cheaper-vision-pro-and-a-new-mac-connected-version/
    WWW.NEOWIN.NET
    Apple is reportedly developing a cheaper Vision Pro and a new Mac-connected version
    The latest reports suggest that upcoming Vision Pro models aim to be cheaper and lighter while allowing you to connect the headset to a Mac device.
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time

    How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot.

    Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing?

    Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean.

    1. Catch yourself in the act.
    Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it.

    2. Think about why you apologize.
    Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead.

    3. Say “thank you,” not “sorry.”
    When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples:

    - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting.
    - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it.
    - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening.
    - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that.

    4. Use a different word.
    Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas:

    - pardon
    - excuse me
    - after you
    - oops

    5. Focus on solutions.
    We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives:

    - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take].
    - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it.
    - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right.
    - Can you give me feedback on how I can do this differently?

    6. Ask a question.
    Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives:

    - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk?
    - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that?
    - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you?
    - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions?

    7. Ban sorry from your emails.
    In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured.

    8. Practice empathy, not sympathy.
    Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include:

    - That must have been really difficult.
    - I know you’re really hurting right now.
    - Thank you for trusting me with this.
    - What can I do to make this easier for you?

    9. Prep before important conversations.
    If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally.

    10. Get an accountability partner.
    It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot. Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing? Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean. 1. Catch yourself in the act. Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it. 2. Think about why you apologize. Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead. 3. Say “thank you,” not “sorry.” When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples: - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting. - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it. - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening. - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that. 4. Use a different word. Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas: - pardon - excuse me - after you - oops 5. Focus on solutions. We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives: - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take]. - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it. - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right. - Can you give me feedback on how I can do this differently? 6. Ask a question. Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives: - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk? - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that? - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you? - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions? 7. Ban sorry from your emails. In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured. 8. Practice empathy, not sympathy. Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include: - That must have been really difficult. - I know you’re really hurting right now. - Thank you for trusting me with this. - What can I do to make this easier for you? 9. Prep before important conversations. If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally. 10. Get an accountability partner. It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/DAhXNc8Titc?si=pqjhOe_wwGHxFPli
    https://youtu.be/DAhXNc8Titc?si=pqjhOe_wwGHxFPli
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • ผลสำรวจออนไลน์โดย Talker Research พบว่าคนส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มรู้สึกกังวลเมื่อแบตเตอรี่โทรศัพท์ลดลงเหลือ 38% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงกว่าการแจ้งเตือนของ iPhone ที่มักเกิดขึ้นเมื่อแบตเตอรี่ลดลงต่ำกว่า 20% นอกจากนี้ยังพบว่าคนรุ่น Millennials และ Generation Z มีความกังวลมากกว่าคนรุ่น Boomers โดยเริ่มรู้สึกกังวลเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 43%

    การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ (61%) เลือกแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่บนหน้าจอ ขณะที่อีก 39% เลือกใช้ไอคอนรูปแบตเตอรี่แบบง่ายๆ

    ในด้านเทคโนโลยี ผู้ผลิตยังคงพยายามแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ เช่น Apple ที่มีโหมดการชาร์จแบบปรับแต่งเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ หรือ Google ที่ลดความจุแบตเตอรี่สูงสุดใน Pixel 9a หลังการชาร์จครบ 200 รอบ

    ✅ ผลสำรวจเกี่ยวกับความกังวลเรื่องแบตเตอรี่
    - คนส่วนใหญ่เริ่มกังวลเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 38%
    - Millennials และ Generation Z กังวลมากกว่าคนรุ่น Boomers

    ✅ การแสดงผลแบตเตอรี่บนหน้าจอ
    - 61% เลือกแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่
    - 39% เลือกใช้ไอคอนรูปแบตเตอรี่แบบง่ายๆ

    ✅ การแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
    - Apple มีโหมดการชาร์จแบบปรับแต่งเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่
    - Google ลดความจุแบตเตอรี่สูงสุดใน Pixel 9a หลังการชาร์จครบ 200 รอบ

    ℹ️ ความเสี่ยงจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
    - แบตเตอรี่เสื่อมสภาพอาจลดประสิทธิภาพการใช้งานโทรศัพท์
    - การชาร์จแบตเตอรี่บ่อยครั้งอาจส่งผลต่ออายุการใช้งาน

    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้
    - ความกังวลเรื่องแบตเตอรี่อาจเพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวัน
    - การเลือกใช้แบตเตอรี่สำรองหรือโทรศัพท์ที่มีความจุสูงอาจช่วยลดความกังวล

    https://www.techspot.com/news/107518-americans-panic-when-their-phone-battery-hits-38.html
    ผลสำรวจออนไลน์โดย Talker Research พบว่าคนส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มรู้สึกกังวลเมื่อแบตเตอรี่โทรศัพท์ลดลงเหลือ 38% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงกว่าการแจ้งเตือนของ iPhone ที่มักเกิดขึ้นเมื่อแบตเตอรี่ลดลงต่ำกว่า 20% นอกจากนี้ยังพบว่าคนรุ่น Millennials และ Generation Z มีความกังวลมากกว่าคนรุ่น Boomers โดยเริ่มรู้สึกกังวลเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 43% การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ (61%) เลือกแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่บนหน้าจอ ขณะที่อีก 39% เลือกใช้ไอคอนรูปแบตเตอรี่แบบง่ายๆ ในด้านเทคโนโลยี ผู้ผลิตยังคงพยายามแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ เช่น Apple ที่มีโหมดการชาร์จแบบปรับแต่งเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ หรือ Google ที่ลดความจุแบตเตอรี่สูงสุดใน Pixel 9a หลังการชาร์จครบ 200 รอบ ✅ ผลสำรวจเกี่ยวกับความกังวลเรื่องแบตเตอรี่ - คนส่วนใหญ่เริ่มกังวลเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 38% - Millennials และ Generation Z กังวลมากกว่าคนรุ่น Boomers ✅ การแสดงผลแบตเตอรี่บนหน้าจอ - 61% เลือกแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ - 39% เลือกใช้ไอคอนรูปแบตเตอรี่แบบง่ายๆ ✅ การแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ - Apple มีโหมดการชาร์จแบบปรับแต่งเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ - Google ลดความจุแบตเตอรี่สูงสุดใน Pixel 9a หลังการชาร์จครบ 200 รอบ ℹ️ ความเสี่ยงจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ - แบตเตอรี่เสื่อมสภาพอาจลดประสิทธิภาพการใช้งานโทรศัพท์ - การชาร์จแบตเตอรี่บ่อยครั้งอาจส่งผลต่ออายุการใช้งาน ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ - ความกังวลเรื่องแบตเตอรี่อาจเพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวัน - การเลือกใช้แบตเตอรี่สำรองหรือโทรศัพท์ที่มีความจุสูงอาจช่วยลดความกังวล https://www.techspot.com/news/107518-americans-panic-when-their-phone-battery-hits-38.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Survey reveals most people panic when their phone battery drops to 38%
    An online survey by Talker Research found that Americans begin worrying about phone battery life when it hits 38 percent on average. Some might view that threshold...
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • วันเกิดปีนี้ เชื่อว่าเกินครึ่งชีวิตแล้ว เห็นคำอวยพรมากมายจาก social net work ซึ่งก็ทำให้ประทับเสมอ ขอให้ทุกคนที่อวยพรก็ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงยิ่ง ๆ ขึ้นไปเช่นกัน แค่ส่งข้อความหากันเล็กน้อย ก็ทำให้รู้ว่ายังจำกันได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งการที่อยู่ในความทรงจำของใครสักคน มันก็เพียงพอแล้ว

    ปล.ขอโทษ ที่รีช้า เมื่อคืนไฟดับทั้งคืน แบตหมดเลย 555

    ขอบคุณภาพจาก coco

    This birthday aniversary. I believe it passed half of my life already. I saw many people give me blessing in many platform of social network, it's always make me touch. Thank you for you all blessing, I wish all you guy more and more happy and healthy. This short massage revealed that we still remember each orther. At one point to realized that someone remember you is enough.

    PS1. Sorry for delayed response last night power down. I cannot even charge my phone. HA HA HA.
    PS2 . Sorry about wrong grammar. I will not check with AI. Because I would like you guy remember the way I speak wrong english. HA HA HA

    Thank you picture of mama Coco
    วันเกิดปีนี้ เชื่อว่าเกินครึ่งชีวิตแล้ว เห็นคำอวยพรมากมายจาก social net work ซึ่งก็ทำให้ประทับเสมอ ขอให้ทุกคนที่อวยพรก็ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงยิ่ง ๆ ขึ้นไปเช่นกัน แค่ส่งข้อความหากันเล็กน้อย ก็ทำให้รู้ว่ายังจำกันได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งการที่อยู่ในความทรงจำของใครสักคน มันก็เพียงพอแล้ว ปล.ขอโทษ ที่รีช้า เมื่อคืนไฟดับทั้งคืน แบตหมดเลย 555 ขอบคุณภาพจาก coco This birthday aniversary. I believe it passed half of my life already. I saw many people give me blessing in many platform of social network, it's always make me touch. Thank you for you all blessing, I wish all you guy more and more happy and healthy. This short massage revealed that we still remember each orther. At one point to realized that someone remember you is enough. PS1. Sorry for delayed response last night power down. I cannot even charge my phone. HA HA HA. PS2 . Sorry about wrong grammar. I will not check with AI. Because I would like you guy remember the way I speak wrong english. HA HA HA Thank you picture of mama Coco
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • The purple water lilies and the giant bubble bees.
    #AiImage #IamAmatureAiCreator #ตามหากลุ่มAiCreator
    The purple water lilies and the giant bubble bees. #AiImage #IamAmatureAiCreator #ตามหากลุ่มAiCreator
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • Google ลดราคาชุดเครื่องมือ Google Workspace สำหรับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 71% เพื่อแข่งขันกับ Microsoft ในตลาดซอฟต์แวร์สำหรับรัฐบาล

    Google ได้ประกาศข้อตกลงใหม่ที่มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าในหน่วยงานรัฐบาล โดยเสนอราคาที่ลดลงอย่างมากสำหรับ Google Workspace Enterprise Plus และ Assured Controls Plus Editions ข้อตกลงนี้จะมีผลจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2025 และคาดว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐบาลได้ถึง 2 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 3 ปี

    Google ยังเน้นย้ำถึงความปลอดภัยของระบบ โดย Google Workspace ได้รับการรับรอง FedRAMP High ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่สำคัญสำหรับระบบ IT ของรัฐบาล นอกจากนี้ Gemini ซึ่งเป็น AI Assistant ของ Google ก็ได้รับการรับรองนี้เช่นกัน

    การลดราคาครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังผลักดันการรวมศูนย์การจัดซื้อ IT เพื่อประหยัดงบประมาณและลดความซ้ำซ้อน

    ✅ การลดราคาครั้งใหญ่ของ Google Workspace
    - Google ลดราคาชุดเครื่องมือ Google Workspace สำหรับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 71%
    - ข้อตกลงนี้มีผลจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2025

    ✅ การรับรองความปลอดภัย
    - Google Workspace และ Gemini ได้รับการรับรอง FedRAMP High
    - การรับรองนี้ช่วยให้มั่นใจว่าระบบมีความปลอดภัยสูง

    ✅ เป้าหมายของการลดราคา
    - Google ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าในหน่วยงานรัฐบาล
    - คาดว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐบาลได้ถึง 2 พันล้านดอลลาร์ใน 3 ปี

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านการแข่งขัน
    - การลดราคาครั้งนี้อาจเพิ่มแรงกดดันให้ Microsoft ต้องปรับกลยุทธ์
    - การแข่งขันที่รุนแรงอาจส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมในระยะยาว

    ℹ️ ผลกระทบต่อการรวมศูนย์การจัดซื้อ IT
    - การรวมศูนย์การจัดซื้อ IT อาจลดความยืดหยุ่นของหน่วยงานรัฐบาลบางแห่ง
    - อาจเกิดความเสี่ยงหากระบบที่รวมศูนย์มีปัญหาด้านความปลอดภัย

    https://www.techspot.com/news/107516-google-undercuts-microsoft-71-workspace-discount-us-government.html
    Google ลดราคาชุดเครื่องมือ Google Workspace สำหรับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 71% เพื่อแข่งขันกับ Microsoft ในตลาดซอฟต์แวร์สำหรับรัฐบาล Google ได้ประกาศข้อตกลงใหม่ที่มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าในหน่วยงานรัฐบาล โดยเสนอราคาที่ลดลงอย่างมากสำหรับ Google Workspace Enterprise Plus และ Assured Controls Plus Editions ข้อตกลงนี้จะมีผลจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2025 และคาดว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐบาลได้ถึง 2 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 3 ปี Google ยังเน้นย้ำถึงความปลอดภัยของระบบ โดย Google Workspace ได้รับการรับรอง FedRAMP High ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่สำคัญสำหรับระบบ IT ของรัฐบาล นอกจากนี้ Gemini ซึ่งเป็น AI Assistant ของ Google ก็ได้รับการรับรองนี้เช่นกัน การลดราคาครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังผลักดันการรวมศูนย์การจัดซื้อ IT เพื่อประหยัดงบประมาณและลดความซ้ำซ้อน ✅ การลดราคาครั้งใหญ่ของ Google Workspace - Google ลดราคาชุดเครื่องมือ Google Workspace สำหรับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 71% - ข้อตกลงนี้มีผลจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2025 ✅ การรับรองความปลอดภัย - Google Workspace และ Gemini ได้รับการรับรอง FedRAMP High - การรับรองนี้ช่วยให้มั่นใจว่าระบบมีความปลอดภัยสูง ✅ เป้าหมายของการลดราคา - Google ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าในหน่วยงานรัฐบาล - คาดว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐบาลได้ถึง 2 พันล้านดอลลาร์ใน 3 ปี ℹ️ ความเสี่ยงด้านการแข่งขัน - การลดราคาครั้งนี้อาจเพิ่มแรงกดดันให้ Microsoft ต้องปรับกลยุทธ์ - การแข่งขันที่รุนแรงอาจส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมในระยะยาว ℹ️ ผลกระทบต่อการรวมศูนย์การจัดซื้อ IT - การรวมศูนย์การจัดซื้อ IT อาจลดความยืดหยุ่นของหน่วยงานรัฐบาลบางแห่ง - อาจเกิดความเสี่ยงหากระบบที่รวมศูนย์มีปัญหาด้านความปลอดภัย https://www.techspot.com/news/107516-google-undercuts-microsoft-71-workspace-discount-us-government.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google Workspace undercuts Microsoft offer with 71% discount for US government agencies
    Tony Orlando, GM of specialty sales for Google Public Sector, positioned Workspace as a secure, AI-powered alternative to Microsoft's offerings.
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023

    ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI

    ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร

    ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม

    ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ

    ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ

    ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023 ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Group of ex-OpenAI employees back Musk's lawsuit to halt OpenAI restructure
    SAN FRANCISCO (Reuters) - A dozen former OpenAI employees filed a legal brief on Friday backing co-founder Elon Musk's lawsuit aimed at keeping the non-profit status of OpenAI, marking the latest development in the dispute over the future of the artificial intelligence firm.
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • Meta Platforms ได้ประกาศเพิ่มสมาชิกใหม่สองคนเข้าสู่คณะกรรมการบริหาร ได้แก่ Dina Powell McCormick และ Patrick Collison โดยการเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างและการขยายมุมมองของบริษัทในด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ

    ✅ การเพิ่มสมาชิกใหม่ในคณะกรรมการ:
    - Dina Powell McCormick เคยดำรงตำแหน่งรองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในรัฐบาลของ Donald Trump และมีประสบการณ์ในตำแหน่งผู้นำที่ Goldman Sachs
    - Patrick Collison เป็น CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Stripe ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคที่มีชื่อเสียง และเคยเป็นสมาชิกของ Meta Advisory Group

    ✅ การขยายคณะกรรมการ:
    - Meta ได้เพิ่มจำนวนสมาชิกในคณะกรรมการเป็น 15 คน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนานโยบายใหม่ ๆ

    ✅ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Meta:
    - ก่อนหน้านี้ Meta ได้ยกเลิกโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐฯ และยุติโครงการด้านความหลากหลาย

    ✅ ความคิดเห็นจาก Mark Zuckerberg:
    - Zuckerberg กล่าวถึงสมาชิกใหม่ว่า Dina มีประสบการณ์ในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและผู้ประกอบการ ส่วน Patrick มีความมุ่งมั่นในการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/meta-to-add-dina-powell-mccormick-patrick-collison-to-board
    Meta Platforms ได้ประกาศเพิ่มสมาชิกใหม่สองคนเข้าสู่คณะกรรมการบริหาร ได้แก่ Dina Powell McCormick และ Patrick Collison โดยการเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างและการขยายมุมมองของบริษัทในด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ✅ การเพิ่มสมาชิกใหม่ในคณะกรรมการ: - Dina Powell McCormick เคยดำรงตำแหน่งรองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในรัฐบาลของ Donald Trump และมีประสบการณ์ในตำแหน่งผู้นำที่ Goldman Sachs - Patrick Collison เป็น CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Stripe ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคที่มีชื่อเสียง และเคยเป็นสมาชิกของ Meta Advisory Group ✅ การขยายคณะกรรมการ: - Meta ได้เพิ่มจำนวนสมาชิกในคณะกรรมการเป็น 15 คน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนานโยบายใหม่ ๆ ✅ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Meta: - ก่อนหน้านี้ Meta ได้ยกเลิกโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐฯ และยุติโครงการด้านความหลากหลาย ✅ ความคิดเห็นจาก Mark Zuckerberg: - Zuckerberg กล่าวถึงสมาชิกใหม่ว่า Dina มีประสบการณ์ในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและผู้ประกอบการ ส่วน Patrick มีความมุ่งมั่นในการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/meta-to-add-dina-powell-mccormick-patrick-collison-to-board
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta to add Dina Powell McCormick, Patrick Collison to board
    (Reuters) - Meta Platforms will add former Republican official Dina Powell McCormick and fintech firm Stripe's CEO Patrick Collison to its board, effective April 15, the social media company said on Friday.
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • Apple Maps บนเว็บได้ออกจากสถานะเบต้าและเปิดให้ใช้งานสำหรับทุกคน โดยมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการขยายการเข้าถึงบริการของ Apple

    ✅ การออกจากสถานะเบต้า:
    - Apple Maps บนเว็บเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2024 ในสถานะเบต้า และตอนนี้ได้ออกจากสถานะเบต้าแล้ว
    - ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Apple Maps บนเว็บได้ที่ maps.apple.com

    ✅ การรองรับอุปกรณ์มือถือ:
    - Apple Maps บนเว็บสามารถใช้งานได้ทั้งบน Android และ iPhone ซึ่งก่อนหน้านี้รองรับเฉพาะเดสก์ท็อปและแท็บเล็ต

    ✅ ฟีเจอร์ Look Around:
    - ฟีเจอร์ Look Around ช่วยให้ผู้ใช้งานสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงในมุมมองพาโนรามา 360 องศา โดยสามารถเข้าถึงได้ผ่านไอคอนกล้องส่องทางไกล

    ✅ ข้อจำกัดของฟีเจอร์:
    - ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น แผนที่ขนส่งอัตโนมัติ อาคาร 3D และการลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Apple เพื่อเข้าถึงสถานที่ที่บันทึกไว้ ยังไม่พร้อมใช้งาน

    https://www.neowin.net/news/apple-maps-on-the-web-leaves-beta-and-launches-with-support-for-mobile-devices/
    Apple Maps บนเว็บได้ออกจากสถานะเบต้าและเปิดให้ใช้งานสำหรับทุกคน โดยมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการขยายการเข้าถึงบริการของ Apple ✅ การออกจากสถานะเบต้า: - Apple Maps บนเว็บเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2024 ในสถานะเบต้า และตอนนี้ได้ออกจากสถานะเบต้าแล้ว - ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Apple Maps บนเว็บได้ที่ maps.apple.com ✅ การรองรับอุปกรณ์มือถือ: - Apple Maps บนเว็บสามารถใช้งานได้ทั้งบน Android และ iPhone ซึ่งก่อนหน้านี้รองรับเฉพาะเดสก์ท็อปและแท็บเล็ต ✅ ฟีเจอร์ Look Around: - ฟีเจอร์ Look Around ช่วยให้ผู้ใช้งานสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงในมุมมองพาโนรามา 360 องศา โดยสามารถเข้าถึงได้ผ่านไอคอนกล้องส่องทางไกล ✅ ข้อจำกัดของฟีเจอร์: - ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น แผนที่ขนส่งอัตโนมัติ อาคาร 3D และการลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Apple เพื่อเข้าถึงสถานที่ที่บันทึกไว้ ยังไม่พร้อมใช้งาน https://www.neowin.net/news/apple-maps-on-the-web-leaves-beta-and-launches-with-support-for-mobile-devices/
    WWW.NEOWIN.NET
    Apple Maps on the web leaves beta and launches with support for mobile devices
    While Apple Maps previously worked only on desktop and tablet web browsers in beta, it now supports mobile devices.
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • Whisky ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้เล่นเกม Windows บน Mac ได้ฟรี กำลังจะหยุดพัฒนา เนื่องจากนักพัฒนาที่เป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวได้ประกาศยุติโครงการนี้

    ✅ การทำงานของ Whisky:
    - Whisky ใช้ Apple Game Porting Toolkit (GPTK) และ Wine compatibility layer เพื่อรันเกม Windows บน macOS
    - เป็นตัวเลือกฟรีที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้งาน Mac ที่ต้องการเล่นเกม Windows

    ✅ การยุติโครงการ:
    - นักพัฒนาประกาศยุติโครงการเนื่องจากขาดความสนใจและไม่มีรายได้จากการทำงาน
    - Whisky จะไม่ได้รับการอัปเดตในอนาคต ยกเว้นในกรณีที่ macOS อัปเดตแล้วทำให้แอปใช้งานไม่ได้

    ✅ ความสัมพันธ์กับ CrossOver:
    - Whisky ถูกพัฒนาบนพื้นฐานของ CrossOver และไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ
    - นักพัฒนามองว่า Whisky มีความสัมพันธ์แบบ parasitic กับ CrossOver ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของ CrossOver

    ✅ โครงการในอนาคตของนักพัฒนา:
    - นักพัฒนากำลังมุ่งเน้นไปที่โครงการใหม่ เช่น การพอร์ตเกม Sonic Unleashed Recompiled ไปยัง macOS



    https://www.neowin.net/news/whisky-a-popular-tool-for-playing-windows-games-on-mac-is-almost-dead/
    Whisky ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้เล่นเกม Windows บน Mac ได้ฟรี กำลังจะหยุดพัฒนา เนื่องจากนักพัฒนาที่เป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวได้ประกาศยุติโครงการนี้ ✅ การทำงานของ Whisky: - Whisky ใช้ Apple Game Porting Toolkit (GPTK) และ Wine compatibility layer เพื่อรันเกม Windows บน macOS - เป็นตัวเลือกฟรีที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้งาน Mac ที่ต้องการเล่นเกม Windows ✅ การยุติโครงการ: - นักพัฒนาประกาศยุติโครงการเนื่องจากขาดความสนใจและไม่มีรายได้จากการทำงาน - Whisky จะไม่ได้รับการอัปเดตในอนาคต ยกเว้นในกรณีที่ macOS อัปเดตแล้วทำให้แอปใช้งานไม่ได้ ✅ ความสัมพันธ์กับ CrossOver: - Whisky ถูกพัฒนาบนพื้นฐานของ CrossOver และไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ - นักพัฒนามองว่า Whisky มีความสัมพันธ์แบบ parasitic กับ CrossOver ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของ CrossOver ✅ โครงการในอนาคตของนักพัฒนา: - นักพัฒนากำลังมุ่งเน้นไปที่โครงการใหม่ เช่น การพอร์ตเกม Sonic Unleashed Recompiled ไปยัง macOS https://www.neowin.net/news/whisky-a-popular-tool-for-playing-windows-games-on-mac-is-almost-dead/
    WWW.NEOWIN.NET
    Whisky, a popular tool for playing Windows games on Mac, is almost dead
    The solo developer behind the popular open source tool Whisky, who was keeping the light burning, ends the project, and offers some suggestions.
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลทรัมป์ได้เสนอร่างงบประมาณปี 2026 ที่มีการลดงบประมาณของ NASA ลงถึง 20% หรือประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงการวิทยาศาสตร์และความเป็นผู้นำด้านอวกาศของสหรัฐฯ

    ✅ การลดงบประมาณของ NASA:
    - งบประมาณของ NASA จะลดลงจาก 25 พันล้านดอลลาร์เหลือ 20 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในส่วนของ Science Mission Directorate
    - การลดงบประมาณนี้จะส่งผลให้โครงการวิทยาศาสตร์ เช่น Astrophysics, Planetary Science และ Earth Science ถูกลดงบประมาณลงถึง 50%

    ✅ โครงการที่อาจถูกยกเลิก:
    - Nancy Grace Roman Space Telescope ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับ Hubble และ James Webb อาจถูกยกเลิก
    - โครงการสำคัญอื่น ๆ เช่น Mars Sample Return และ DAVINCI Mission to Venus ก็อาจได้รับผลกระทบ

    ✅ ผลกระทบต่อศูนย์ NASA:
    - การลดงบประมาณอาจนำไปสู่การปิดศูนย์ Goddard Space Flight Center ในรัฐแมริแลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานกว่า 10,000 คน

    ✅ การตอบสนองของนักวิจารณ์:
    - นักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายวิทยาศาสตร์เรียกการลดงบประมาณนี้ว่าเป็น "เหตุการณ์ระดับการสูญพันธุ์" สำหรับโครงการวิทยาศาสตร์ของ NASA

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ℹ️ การรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศ:
    - สหรัฐฯ ควรพิจารณาเพิ่มงบประมาณเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศและสนับสนุนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์

    ℹ️ การสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์:
    - ควรมีการสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการค้นพบใหม่ ๆ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี

    ℹ️ การสื่อสารกับสาธารณะ:
    - NASA ควรสื่อสารกับสาธารณะเกี่ยวกับความสำคัญของโครงการวิทยาศาสตร์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการลดงบประมาณ

    https://www.neowin.net/news/trump-white-houses-proposed-huge-nasa-budget-cut-could-decimate-american-space-leadership/
    รัฐบาลทรัมป์ได้เสนอร่างงบประมาณปี 2026 ที่มีการลดงบประมาณของ NASA ลงถึง 20% หรือประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงการวิทยาศาสตร์และความเป็นผู้นำด้านอวกาศของสหรัฐฯ ✅ การลดงบประมาณของ NASA: - งบประมาณของ NASA จะลดลงจาก 25 พันล้านดอลลาร์เหลือ 20 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในส่วนของ Science Mission Directorate - การลดงบประมาณนี้จะส่งผลให้โครงการวิทยาศาสตร์ เช่น Astrophysics, Planetary Science และ Earth Science ถูกลดงบประมาณลงถึง 50% ✅ โครงการที่อาจถูกยกเลิก: - Nancy Grace Roman Space Telescope ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับ Hubble และ James Webb อาจถูกยกเลิก - โครงการสำคัญอื่น ๆ เช่น Mars Sample Return และ DAVINCI Mission to Venus ก็อาจได้รับผลกระทบ ✅ ผลกระทบต่อศูนย์ NASA: - การลดงบประมาณอาจนำไปสู่การปิดศูนย์ Goddard Space Flight Center ในรัฐแมริแลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานกว่า 10,000 คน ✅ การตอบสนองของนักวิจารณ์: - นักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายวิทยาศาสตร์เรียกการลดงบประมาณนี้ว่าเป็น "เหตุการณ์ระดับการสูญพันธุ์" สำหรับโครงการวิทยาศาสตร์ของ NASA == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ℹ️ การรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศ: - สหรัฐฯ ควรพิจารณาเพิ่มงบประมาณเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศและสนับสนุนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ℹ️ การสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์: - ควรมีการสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการค้นพบใหม่ ๆ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี ℹ️ การสื่อสารกับสาธารณะ: - NASA ควรสื่อสารกับสาธารณะเกี่ยวกับความสำคัญของโครงการวิทยาศาสตร์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการลดงบประมาณ https://www.neowin.net/news/trump-white-houses-proposed-huge-nasa-budget-cut-could-decimate-american-space-leadership/
    WWW.NEOWIN.NET
    Trump White House's proposed huge NASA budget cut could "decimate American space leadership"
    A massive cut to the budget spending for NASA science research has been proposed by The White House that "could decimate American leadership in space".
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
More Results