• รัฐบาลจีนมีคำสั่งให้นักวิจัยและบรรดาผู้นำธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ของจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) โดย WSJ อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลจีนเกรงว่าผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอเหล่านี้อาจจะไปเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับความคืบหน้าด้านเอไอของจีนให้ประเทศคู่แข่งรับรู้
    .
    ทางการปักกิ่งยังกลัวว่า พวกผู้บริหารเหล่านี้อาจจะถูกจับและถูกใช้เป็นชิปต่อรองในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เหมือนเช่นกรณีของ เมิ่ง หว่านโจว ผู้บริหารหัวเว่ย (Huawei) ที่เคยถูกแคนาดากักขังตามใบสั่งสหรัฐฯ มาแล้วในช่วงรัฐบาลทรัมป์หนึ่ง
    .
    ทำเนียบขาวและสำนักงานสารนิเทศแห่งคณะรัฐมนตรีจีน (China’s State Council Information Office) ยังไม่ออกมาตอบข้อซักถามของรอยเตอร์ในประเด็นนี้
    .
    ผู้บริหารบริษัทเอไอชั้นนำของจีนและอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อื่นๆ เช่น หุ่นยนต์ เป็นต้น ต่างก็ได้รับคำสั่งให้งดเว้นการเดินทางไปสหรัฐฯ รวมถึงประเทศพันธมิตรอื่นๆ ของอเมริกา เว้นแต่จะมีความจำเป็นยิ่งยวดจริงๆ ตามรายงานของ WSJ
    .
    สำหรับผู้บริหารที่ตัดสินใจเดินทางจะต้องมีการแจ้งแผนการเดินทางให้รัฐบาลทราบล่วงหน้า และเมื่อกลับมาแล้วก็จะต้องแจ้งต่อทางการจีนว่าไปทำอะไร และพบใครมาบ้าง
    .
    ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัปเอไอ DeepSeek ก็เคยปฏิเสธหนังสือเชิญไปเข้าร่วมการประชุมซัมมิตเอไอที่กรุงปารีสเมื่อเดือน ก.พ. มาแล้ว ขณะที่ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัปเอไอชั้นนำอีกรายหนึ่งก็ยกเลิกแผนเยือนสหรัฐฯ เมื่อปี 2024 หลังได้รับใบสั่งจากปักกิ่ง ตามข้อมูลของ WSJ
    .
    จีนและสหรัฐฯ กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในด้านเทคโนโลยีเอไอ โดยเมื่อไม่นานมานี้ DeepSeek ได้เปิดตัวโมเดลเอไอหลายรุ่นที่อ้างว่ามีศักยภาพเทียบเคียงหรือเหนือกว่าโมเดลเอไอของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ อย่าง OpenAI และ Google โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่ากันหลายเท่า
    .
    เมื่อเดือน ก.พ. ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เรียกประชุมผู้นำภาคธุรกิจเทคโนโลยีของจีน และเรียกร้องให้นักธุรกิจเหล่านี้ "แสดงพรสวรรค์" ออกตนออกมา และขอให้เชื่อมั่นในพลังของรูปแบบและตลาดจีน
    .
    คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000020106
    .......
    Sondhi X
    รัฐบาลจีนมีคำสั่งให้นักวิจัยและบรรดาผู้นำธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ของจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) โดย WSJ อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลจีนเกรงว่าผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอเหล่านี้อาจจะไปเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับความคืบหน้าด้านเอไอของจีนให้ประเทศคู่แข่งรับรู้ . ทางการปักกิ่งยังกลัวว่า พวกผู้บริหารเหล่านี้อาจจะถูกจับและถูกใช้เป็นชิปต่อรองในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เหมือนเช่นกรณีของ เมิ่ง หว่านโจว ผู้บริหารหัวเว่ย (Huawei) ที่เคยถูกแคนาดากักขังตามใบสั่งสหรัฐฯ มาแล้วในช่วงรัฐบาลทรัมป์หนึ่ง . ทำเนียบขาวและสำนักงานสารนิเทศแห่งคณะรัฐมนตรีจีน (China’s State Council Information Office) ยังไม่ออกมาตอบข้อซักถามของรอยเตอร์ในประเด็นนี้ . ผู้บริหารบริษัทเอไอชั้นนำของจีนและอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อื่นๆ เช่น หุ่นยนต์ เป็นต้น ต่างก็ได้รับคำสั่งให้งดเว้นการเดินทางไปสหรัฐฯ รวมถึงประเทศพันธมิตรอื่นๆ ของอเมริกา เว้นแต่จะมีความจำเป็นยิ่งยวดจริงๆ ตามรายงานของ WSJ . สำหรับผู้บริหารที่ตัดสินใจเดินทางจะต้องมีการแจ้งแผนการเดินทางให้รัฐบาลทราบล่วงหน้า และเมื่อกลับมาแล้วก็จะต้องแจ้งต่อทางการจีนว่าไปทำอะไร และพบใครมาบ้าง . ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัปเอไอ DeepSeek ก็เคยปฏิเสธหนังสือเชิญไปเข้าร่วมการประชุมซัมมิตเอไอที่กรุงปารีสเมื่อเดือน ก.พ. มาแล้ว ขณะที่ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัปเอไอชั้นนำอีกรายหนึ่งก็ยกเลิกแผนเยือนสหรัฐฯ เมื่อปี 2024 หลังได้รับใบสั่งจากปักกิ่ง ตามข้อมูลของ WSJ . จีนและสหรัฐฯ กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในด้านเทคโนโลยีเอไอ โดยเมื่อไม่นานมานี้ DeepSeek ได้เปิดตัวโมเดลเอไอหลายรุ่นที่อ้างว่ามีศักยภาพเทียบเคียงหรือเหนือกว่าโมเดลเอไอของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ อย่าง OpenAI และ Google โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่ากันหลายเท่า . เมื่อเดือน ก.พ. ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เรียกประชุมผู้นำภาคธุรกิจเทคโนโลยีของจีน และเรียกร้องให้นักธุรกิจเหล่านี้ "แสดงพรสวรรค์" ออกตนออกมา และขอให้เชื่อมั่นในพลังของรูปแบบและตลาดจีน . คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000020106 ....... Sondhi X
    SONDHITALK.COM
    หวั่นซ้ำรอยลูกสาวหัวเว่ย! จีนสั่ง ‘นักวิจัย-ผู้นำธุรกิจเอไอ’ หลีกเลี่ยงเดินทางไปสหรัฐฯ-ชาติพันธมิตร
    รัฐบาลจีนมีคำสั่งให้นักวิจัยและบรรดาผู้นำธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ของจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ)
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณมีผิวหน้าประเภทไหน
    direct IG Instagram: lookatmebybp
    facebook fanpage: Look At Me by BP
    LINE OFFICIAL: @lookatme_bp
    Tiktok: look@me by BP
    คุณมีผิวหน้าประเภทไหน direct IG Instagram: lookatmebybp facebook fanpage: Look At Me by BP LINE OFFICIAL: @lookatme_bp Tiktok: look@me by BP
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • อยากรู้ไหม๊คะ สิวอักเสบคืออะไร ตามมาดูกันค่ะ
    direct IG Instagram: lookatmebybp
    facebook fanpage: Look At Me by BP
    LINE OFFICIAL: @lookatme_bp
    Tiktok: look@me by BP
    อยากรู้ไหม๊คะ สิวอักเสบคืออะไร ตามมาดูกันค่ะ direct IG Instagram: lookatmebybp facebook fanpage: Look At Me by BP LINE OFFICIAL: @lookatme_bp Tiktok: look@me by BP
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 11 0 รีวิว
  • The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans
    by Tyler Durden
    Friday, Feb 28, 2025
    Authored by Ryan McMaken via The Mises Institute,

    In recent days, President Donald Trump, Elon Musk, Senator Rand Paul, and some others have pressed for an audit of the US gold reserves, with a special focus on the gold at Fort Knox. This is perfectly reasonable given that the US gold reserves - which are the property of the US Treasury and not the Federal Reserve - have not undergone even a partial audit in at least forty years.



    Part of the reason for the audit is to discover if any of the gold has been stolen. The US Mint, the government agency that acts as custodian of the gold, has reported for many years that the official size of the gold reserve is 8,133.46 metric tons of gold. Since there has been no audit in so many decades, though, the Mint’s position is essentially “trust us, bro.” Trusting federal bureaucrats has never been a particularly wise policy, and this is why there are ongoing demands for some sort of transparent audit.

    If the total size of the US’s gold holdings is revealed to be a number below the official number, then it will just be the latest reminder that there a great many thieves and incompetents among the people running the US federal government. After all, if there is less gold than reported in the US gold reserves, it was presumably stolen at some point.

    This would be a fitting destiny for the US government’s gold since much of that was stolen to begin with. When I say “stolen,” I don’t even mean in the sense that “taxation is theft” and that the US bought the gold using tax dollars. In truth, the way the US Treasury acquired much of its gold hoard is even more underhanded than ordinary taxation.

    Rather, it is likely that most of the gold at Fort Knox, as with the US regime’s gold in general, is gold stolen from ordinary Americans as a part of Franklin Roosevelt’s efforts to end the gold standard and confiscate private gold holdings in the United States. That is, the US gold reserves are a legacy of the way the US government reneged on its promises to redeem US dollars in gold. Rather than pay out the gold that was owed to holders of US dollars, the US government hoarded it instead. That stolen gold is what the auditors will be counting if the US government ever allows an honest accounting of the Treasury’s gold reserves.

    Where Did the Gold at Fort Knox Come From?
    In his 1994 article for The Journal of Economic Education, economist William C. Wood writes that “the Fort Knox depository is now an artifact of gold standard days.“ He then adds, “The gold currently in Fort Knox came from the melting of Depression-era gold coins, from lend-lease arrangements in War II, and from government operations under the gold standard.”

    That reference to “Depression-era gold coins” is telling. Most of those gold coins were likely the coins confiscated from private owners by the US government following Roosevelt’s Executive Order 6102 which outlawed the private ownership of gold. Few Americans owned gold bars, of course, and the gold that was in non-institutional private hands was mostly gold coin. Roosevelt’s edict required that private citizens hand this gold over to the US government in exchange for what was effectively below-market prices. And what if you would rather not give up your property to the US government? Too bad.

    Moreover, private banks and the central bank held gold in the form of coins for dollar holders who, prior to confiscation, would occasionally present US dollars for redemption in gold. This is, in part, the gold in Fort Knox that that Wood classifies as gold held for “government operations under the gold standard.” After 1933, however, banks did not need to hold onto any gold coins for this purpose since Roosevelt’s effort to end the gold standard included a prohibition on banks paying out gold.

    So, these coins ceased to have an immediate market value among banks. Where did all these gold coins end up? Most ended up with the US Treasury after the Treasury seized the Federal Reserve’s gold in 1934.

    Evidence of this can be found in the nature of the gold that is now held at Fort Knox. Wood further explains that the gold there is not the type of gold usually found in gold bars used for international transactions: “The gold resulting from melting of coinage has considerably lower quality than the ‘fine’ or ‘good delivery’ gold commonly used in international trade. The majority of the gold in Fort Knox is the lower-quality coin gold.”

    The legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933, however. Much of the gold that is in the US gold reserves today is gold that would have been paid out to the private sector had the US government not reneged in its promises to pay war bonds in gold.

    The 1934 Default on Gold-Based Liberty Bonds
    Every time there is a debate over the so-called “debt ceiling,” various servants of the US regime like Jerome Powell or Janet Yellen claim that “the United States has never defaulted.” This is a lie.

    Arguably, it was a default, in the broad sense, when Roosevelt’s regime refused to make good on its obligations to dollar holders under the gold standard. The US also defaulted in a formal and legal sense when it refused to pay its World War I Liberty Bonds in gold as promised. Specifically, in 1934, the United States defaulted on the fourth Liberty Bond. The contracts between debtor and creditor on these bonds was clear. The bonds were to be payable in gold. This presented a big problem for the US, which was facing big debts into the 1930s after the First World War. As described by John Chamberlain:

    By the time Franklin Roosevelt entered office in 1933, the interest payments alone were draining the treasury of gold; and because the treasury had only $4.2 billion in gold it was obvious there would be no way to pay the principal when it became due in 1938, not to mention meet expenses and other debt obligations. These other debt obligations were substantial. Ever since the 1890s the Treasury had been gold short and had financed this deficit by making new bond issues to attract gold for paying the interest of previous issues. The result was that by 1933 the total debt was $22 billion and the amount of gold needed to pay even the interest on it was soon going to be insufficient.

    So how did the US government deal with this? Chamberlain notes “Roosevelt decided to default on the whole of the domestically-held debt by refusing to redeem in gold to Americans.”

    In other words, thanks to its profligate deficit spending, the US government was running out of gold by the early 1930s. So, the regime defaulted on the gold bonds. The gold that would have passed into private hands was hoarded by the federal government and declared off limits to the public. Much of that gold remains in the US gold reserves today.

    Defaulting on International Gold Obligations
    Not all of the US Treasury’s gold is stolen from ordinary Americans. Some is stolen from foreign governments. Another illustration of the dishonesty of the “we never defaulted” narrative is the fact that the US government defaulted in 1971 on its obligations to foreign government under the Bretton Woods system. That is, rather than pay what was owed to foreign governments, the US government once again decided to steal this gold and simply said “tough luck” to everyone with a legal claim to the gold. Or, as Treasury Secretary John Connally said at the time, the dollar “is our currency, but it’s your problem.”

    US Gold Reserves: A Legacy of Theft and Lies
    The gold reserve was never supposed to be a static, untouchable hoard of the US federal government, as it is now. It was supposed to be there for Americans and other users of dollars who traded in their dollars for gold. Gold was supposed to flow in and out. Then, the US government slammed the doors of the federal gold vaults shut and declared “the gold is all ours forever.”

    Like most everything else the US government “owns,” the gold in the US gold reserves is there due to many years of lies, gaslighting, and deception. The gold is there because the US regime defaulted on its debts and reneged on its promises to back dollars in gold.

    If a true auditing team is ever allowed to actually examine the US regime’s gold, it will be examining the evidence of crimes from long ago. The auditors will be counting the gold stolen from our ancestors to enrich the state and its friends.

    https://www.zerohedge.com/precious-metals/gold-fort-knox-was-stolen-americans
    The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans by Tyler Durden Friday, Feb 28, 2025 Authored by Ryan McMaken via The Mises Institute, In recent days, President Donald Trump, Elon Musk, Senator Rand Paul, and some others have pressed for an audit of the US gold reserves, with a special focus on the gold at Fort Knox. This is perfectly reasonable given that the US gold reserves - which are the property of the US Treasury and not the Federal Reserve - have not undergone even a partial audit in at least forty years. Part of the reason for the audit is to discover if any of the gold has been stolen. The US Mint, the government agency that acts as custodian of the gold, has reported for many years that the official size of the gold reserve is 8,133.46 metric tons of gold. Since there has been no audit in so many decades, though, the Mint’s position is essentially “trust us, bro.” Trusting federal bureaucrats has never been a particularly wise policy, and this is why there are ongoing demands for some sort of transparent audit. If the total size of the US’s gold holdings is revealed to be a number below the official number, then it will just be the latest reminder that there a great many thieves and incompetents among the people running the US federal government. After all, if there is less gold than reported in the US gold reserves, it was presumably stolen at some point. This would be a fitting destiny for the US government’s gold since much of that was stolen to begin with. When I say “stolen,” I don’t even mean in the sense that “taxation is theft” and that the US bought the gold using tax dollars. In truth, the way the US Treasury acquired much of its gold hoard is even more underhanded than ordinary taxation. Rather, it is likely that most of the gold at Fort Knox, as with the US regime’s gold in general, is gold stolen from ordinary Americans as a part of Franklin Roosevelt’s efforts to end the gold standard and confiscate private gold holdings in the United States. That is, the US gold reserves are a legacy of the way the US government reneged on its promises to redeem US dollars in gold. Rather than pay out the gold that was owed to holders of US dollars, the US government hoarded it instead. That stolen gold is what the auditors will be counting if the US government ever allows an honest accounting of the Treasury’s gold reserves. Where Did the Gold at Fort Knox Come From? In his 1994 article for The Journal of Economic Education, economist William C. Wood writes that “the Fort Knox depository is now an artifact of gold standard days.“ He then adds, “The gold currently in Fort Knox came from the melting of Depression-era gold coins, from lend-lease arrangements in War II, and from government operations under the gold standard.” That reference to “Depression-era gold coins” is telling. Most of those gold coins were likely the coins confiscated from private owners by the US government following Roosevelt’s Executive Order 6102 which outlawed the private ownership of gold. Few Americans owned gold bars, of course, and the gold that was in non-institutional private hands was mostly gold coin. Roosevelt’s edict required that private citizens hand this gold over to the US government in exchange for what was effectively below-market prices. And what if you would rather not give up your property to the US government? Too bad. Moreover, private banks and the central bank held gold in the form of coins for dollar holders who, prior to confiscation, would occasionally present US dollars for redemption in gold. This is, in part, the gold in Fort Knox that that Wood classifies as gold held for “government operations under the gold standard.” After 1933, however, banks did not need to hold onto any gold coins for this purpose since Roosevelt’s effort to end the gold standard included a prohibition on banks paying out gold. So, these coins ceased to have an immediate market value among banks. Where did all these gold coins end up? Most ended up with the US Treasury after the Treasury seized the Federal Reserve’s gold in 1934. Evidence of this can be found in the nature of the gold that is now held at Fort Knox. Wood further explains that the gold there is not the type of gold usually found in gold bars used for international transactions: “The gold resulting from melting of coinage has considerably lower quality than the ‘fine’ or ‘good delivery’ gold commonly used in international trade. The majority of the gold in Fort Knox is the lower-quality coin gold.” The legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933, however. Much of the gold that is in the US gold reserves today is gold that would have been paid out to the private sector had the US government not reneged in its promises to pay war bonds in gold. The 1934 Default on Gold-Based Liberty Bonds Every time there is a debate over the so-called “debt ceiling,” various servants of the US regime like Jerome Powell or Janet Yellen claim that “the United States has never defaulted.” This is a lie. Arguably, it was a default, in the broad sense, when Roosevelt’s regime refused to make good on its obligations to dollar holders under the gold standard. The US also defaulted in a formal and legal sense when it refused to pay its World War I Liberty Bonds in gold as promised. Specifically, in 1934, the United States defaulted on the fourth Liberty Bond. The contracts between debtor and creditor on these bonds was clear. The bonds were to be payable in gold. This presented a big problem for the US, which was facing big debts into the 1930s after the First World War. As described by John Chamberlain: By the time Franklin Roosevelt entered office in 1933, the interest payments alone were draining the treasury of gold; and because the treasury had only $4.2 billion in gold it was obvious there would be no way to pay the principal when it became due in 1938, not to mention meet expenses and other debt obligations. These other debt obligations were substantial. Ever since the 1890s the Treasury had been gold short and had financed this deficit by making new bond issues to attract gold for paying the interest of previous issues. The result was that by 1933 the total debt was $22 billion and the amount of gold needed to pay even the interest on it was soon going to be insufficient. So how did the US government deal with this? Chamberlain notes “Roosevelt decided to default on the whole of the domestically-held debt by refusing to redeem in gold to Americans.” In other words, thanks to its profligate deficit spending, the US government was running out of gold by the early 1930s. So, the regime defaulted on the gold bonds. The gold that would have passed into private hands was hoarded by the federal government and declared off limits to the public. Much of that gold remains in the US gold reserves today. Defaulting on International Gold Obligations Not all of the US Treasury’s gold is stolen from ordinary Americans. Some is stolen from foreign governments. Another illustration of the dishonesty of the “we never defaulted” narrative is the fact that the US government defaulted in 1971 on its obligations to foreign government under the Bretton Woods system. That is, rather than pay what was owed to foreign governments, the US government once again decided to steal this gold and simply said “tough luck” to everyone with a legal claim to the gold. Or, as Treasury Secretary John Connally said at the time, the dollar “is our currency, but it’s your problem.” US Gold Reserves: A Legacy of Theft and Lies The gold reserve was never supposed to be a static, untouchable hoard of the US federal government, as it is now. It was supposed to be there for Americans and other users of dollars who traded in their dollars for gold. Gold was supposed to flow in and out. Then, the US government slammed the doors of the federal gold vaults shut and declared “the gold is all ours forever.” Like most everything else the US government “owns,” the gold in the US gold reserves is there due to many years of lies, gaslighting, and deception. The gold is there because the US regime defaulted on its debts and reneged on its promises to back dollars in gold. If a true auditing team is ever allowed to actually examine the US regime’s gold, it will be examining the evidence of crimes from long ago. The auditors will be counting the gold stolen from our ancestors to enrich the state and its friends. https://www.zerohedge.com/precious-metals/gold-fort-knox-was-stolen-americans
    WWW.ZEROHEDGE.COM
    The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans
    ...the legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • anti aging คืออะไร??? ได้ยินบ่อยเหลือเกิน
    direct IG Instagram: lookatmebybp
    facebook fanpage: Look At Me by BP
    LINE OFFICIAL: @lookatme_bp
    Tiktok: look@me by BP
    Shopee:look@me by BP
    anti aging คืออะไร??? ได้ยินบ่อยเหลือเกิน direct IG Instagram: lookatmebybp facebook fanpage: Look At Me by BP LINE OFFICIAL: @lookatme_bp Tiktok: look@me by BP Shopee:look@me by BP
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรอาจเผชิญกับความตึงเครียดมากขึ้น หลังจากที่มีข่าวว่าหน่วยงานของสหรัฐฯ กำลังสอบสวนว่าพันธมิตรของตนละเมิดข้อตกลงด้านข้อมูลหรือไม่ โดยการเรียกร้องให้ Apple สร้างทางเข้าสำหรับการสอดแนมใน iCloud

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Apple ได้ลบฟีเจอร์ Advanced Data Protection สำหรับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มชั้นการเข้ารหัสข้อมูลให้กับเนื้อหาที่ซิงค์ใน iCloud เช่น รูปถ่าย, โน้ต, การเตือนความจำ, ที่คั่นหน้า, และการสำรองข้อมูล iCloud ทำให้มีเพียงผู้ใช้เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้บนอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ แม้ว่า Apple เองจะไม่สามารถถอดรหัสข้อมูลลูกค้าได้ก็ตาม

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก Apple ได้ใช้เวลาหลายเดือนปฏิเสธคำขอจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรในการสร้างทางเข้าสำหรับให้หน่วยงานสามารถสอดแนมข้อมูลที่เข้ารหัสของผู้ใช้ได้ กรมมหาดไทยของสหราชอาณาจักรได้ออกประกาศความสามารถทางเทคนิคภายใต้กฎหมาย Investigatory Powers Act ปี 2016 หรือที่เรียกกันว่า "Snoopers' Charter"

    แทนที่จะปฏิบัติตามคำขอที่อาจส่งผลกระทบในระดับโลกต่อมาตรฐานความปลอดภัยของตน Apple เลือกที่จะลบตัวเลือก Advanced Data Protection สำหรับผู้ใช้ใหม่ในสหราชอาณาจักร – ผู้ใช้ ADP ที่มีอยู่แล้วจะต้องปิดฟีเจอร์นี้ด้วยตนเองในช่วงเวลาผ่อนผัน

    ตอนนี้ Reuters รายงานว่า Tulsi Gabbard ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้กล่าวในจดหมายถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ สองคนว่า สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรละเมิดข้อตกลง Cloud Act หรือไม่

    ข้อตกลง Cloud Act ระบุว่าสหราชอาณาจักรไม่สามารถออกคำขอข้อมูลของพลเมืองสหรัฐฯ หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรอย่างถูกกฎหมาย และไม่สามารถเรียกร้องข้อมูลจากบุคคลที่อยู่ในสหรัฐฯ ได้

    https://www.techspot.com/news/106948-us-officials-reviewing-whether-uk-violated-treaty-apple.html
    ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรอาจเผชิญกับความตึงเครียดมากขึ้น หลังจากที่มีข่าวว่าหน่วยงานของสหรัฐฯ กำลังสอบสวนว่าพันธมิตรของตนละเมิดข้อตกลงด้านข้อมูลหรือไม่ โดยการเรียกร้องให้ Apple สร้างทางเข้าสำหรับการสอดแนมใน iCloud เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Apple ได้ลบฟีเจอร์ Advanced Data Protection สำหรับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มชั้นการเข้ารหัสข้อมูลให้กับเนื้อหาที่ซิงค์ใน iCloud เช่น รูปถ่าย, โน้ต, การเตือนความจำ, ที่คั่นหน้า, และการสำรองข้อมูล iCloud ทำให้มีเพียงผู้ใช้เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้บนอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ แม้ว่า Apple เองจะไม่สามารถถอดรหัสข้อมูลลูกค้าได้ก็ตาม การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก Apple ได้ใช้เวลาหลายเดือนปฏิเสธคำขอจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรในการสร้างทางเข้าสำหรับให้หน่วยงานสามารถสอดแนมข้อมูลที่เข้ารหัสของผู้ใช้ได้ กรมมหาดไทยของสหราชอาณาจักรได้ออกประกาศความสามารถทางเทคนิคภายใต้กฎหมาย Investigatory Powers Act ปี 2016 หรือที่เรียกกันว่า "Snoopers' Charter" แทนที่จะปฏิบัติตามคำขอที่อาจส่งผลกระทบในระดับโลกต่อมาตรฐานความปลอดภัยของตน Apple เลือกที่จะลบตัวเลือก Advanced Data Protection สำหรับผู้ใช้ใหม่ในสหราชอาณาจักร – ผู้ใช้ ADP ที่มีอยู่แล้วจะต้องปิดฟีเจอร์นี้ด้วยตนเองในช่วงเวลาผ่อนผัน ตอนนี้ Reuters รายงานว่า Tulsi Gabbard ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้กล่าวในจดหมายถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ สองคนว่า สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรละเมิดข้อตกลง Cloud Act หรือไม่ ข้อตกลง Cloud Act ระบุว่าสหราชอาณาจักรไม่สามารถออกคำขอข้อมูลของพลเมืองสหรัฐฯ หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรอย่างถูกกฎหมาย และไม่สามารถเรียกร้องข้อมูลจากบุคคลที่อยู่ในสหรัฐฯ ได้ https://www.techspot.com/news/106948-us-officials-reviewing-whether-uk-violated-treaty-apple.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    US investigates UK's push for Apple backdoor amid data treaty concerns
    Last week, Apple removed its Advanced Data Protection feature for UK users. The extra layer of security encrypted synced iCloud content such as photos, notes, reminders, bookmarks,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าเพิ่งซื้อสกินแคร์ ถ้ายังไม่รู้สิ่งนี้
    direct IG Instagram: lookatmebybp
    facebook fanpage: Look At Me by BP
    LINE OFFICIAL: @lookatme_bp
    Tiktok: look@me by BP
    Shopee:look@me by BP
    อย่าเพิ่งซื้อสกินแคร์ ถ้ายังไม่รู้สิ่งนี้ direct IG Instagram: lookatmebybp facebook fanpage: Look At Me by BP LINE OFFICIAL: @lookatme_bp Tiktok: look@me by BP Shopee:look@me by BP
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • ทรัมป์กำลังกดดันเซเลนสกีอย่างหนัก!

    ทรัมป์เชิญให้เซเลนสกีมาที่ห้องทำงานรูปไข่ หรือ The Oval Office ในทำเนียบขาว สัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้าเพื่อลงนามข้อตกลงด้านแร่ธาตุ
    ทรัมป์กำลังกดดันเซเลนสกีอย่างหนัก! ทรัมป์เชิญให้เซเลนสกีมาที่ห้องทำงานรูปไข่ หรือ The Oval Office ในทำเนียบขาว สัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้าเพื่อลงนามข้อตกลงด้านแร่ธาตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • Microsoft เพิ่งเปิดตัวแอป Office เวอร์ชันฟรีที่รองรับโฆษณา สำหรับผู้ใช้ Windows 11 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Microsoft นำเสนอบริการนี้ฟรี นอกจากการใช้งานผ่านเว็บ ซึ่งมีให้ใช้ฟรีมาระยะหนึ่งแล้ว ผู้ใช้สามารถใช้งาน Word, Excel, และ PowerPoint ได้ฟรี แต่จะมีโฆษณาแบบแบนเนอร์และวิดีโอ 15 วินาทีเล่นเป็นระยะ

    อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดหลายประการในการใช้แอปฟรีนี้ เช่น ผู้ใช้ไม่สามารถบันทึกไฟล์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ แต่ต้องบันทึกใน OneDrive แทน และยังมีการตัดฟีเจอร์การจัดรูปแบบและตกแต่งเอกสารออกไปมากกว่า 30 ฟีเจอร์ เช่น การจัดช่องว่างระหว่างบรรทัด การห่อข้อความ หัวกระดาษและท้ายกระดาษ การบุ๊คมาร์ค และฟิลด์วันที่และเวลา เป็นต้น

    แม้แอปนี้จะมีฟีเจอร์พื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่การขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่างทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการใช้งานแอป Office เพื่อความเข้ากันได้กับงานที่ต้องการความเรียบร้อยในรูปแบบเดิม หากต้องการฟีเจอร์ที่ครบครัน ผู้ใช้ยังคงต้องหันไปใช้แอป Office แบบเสียเงิน หรือเลือกใช้แอปฟรีอื่นๆ อย่าง LibreOffice หรือ Google Docs

    การเปิดตัวแอป Office ฟรีที่รองรับโฆษณานี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อจำกัดหลายประการที่มาพร้อมกับแอปเวอร์ชันนี้

    https://www.tomshardware.com/software/microsoft-office/microsofts-ad-supported-version-of-office-only-saves-to-onedrive
    Microsoft เพิ่งเปิดตัวแอป Office เวอร์ชันฟรีที่รองรับโฆษณา สำหรับผู้ใช้ Windows 11 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Microsoft นำเสนอบริการนี้ฟรี นอกจากการใช้งานผ่านเว็บ ซึ่งมีให้ใช้ฟรีมาระยะหนึ่งแล้ว ผู้ใช้สามารถใช้งาน Word, Excel, และ PowerPoint ได้ฟรี แต่จะมีโฆษณาแบบแบนเนอร์และวิดีโอ 15 วินาทีเล่นเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดหลายประการในการใช้แอปฟรีนี้ เช่น ผู้ใช้ไม่สามารถบันทึกไฟล์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ แต่ต้องบันทึกใน OneDrive แทน และยังมีการตัดฟีเจอร์การจัดรูปแบบและตกแต่งเอกสารออกไปมากกว่า 30 ฟีเจอร์ เช่น การจัดช่องว่างระหว่างบรรทัด การห่อข้อความ หัวกระดาษและท้ายกระดาษ การบุ๊คมาร์ค และฟิลด์วันที่และเวลา เป็นต้น แม้แอปนี้จะมีฟีเจอร์พื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่การขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่างทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการใช้งานแอป Office เพื่อความเข้ากันได้กับงานที่ต้องการความเรียบร้อยในรูปแบบเดิม หากต้องการฟีเจอร์ที่ครบครัน ผู้ใช้ยังคงต้องหันไปใช้แอป Office แบบเสียเงิน หรือเลือกใช้แอปฟรีอื่นๆ อย่าง LibreOffice หรือ Google Docs การเปิดตัวแอป Office ฟรีที่รองรับโฆษณานี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อจำกัดหลายประการที่มาพร้อมกับแอปเวอร์ชันนี้ https://www.tomshardware.com/software/microsoft-office/microsofts-ad-supported-version-of-office-only-saves-to-onedrive
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่องเที่ยวTikTok@offthemap_official #นอกพื้นที่ #ไทย #ท่องเที่ยว #ว่างว่างก็แวะมา
    ท่องเที่ยวTikTok@offthemap_official #นอกพื้นที่ #ไทย #ท่องเที่ยว #ว่างว่างก็แวะมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 1 รีวิว
  • Intel ได้ประกาศว่าขั้นตอนการผลิตชิปที่เรียกว่า Intel 18A พร้อมสำหรับโปรเจกต์สำหรับลูกค้าภายนอกแล้ว โดยโปรเจกต์แรกจะเริ่มต้นในครึ่งแรกของปี 2025 มีการกล่าวว่า 18A มีคุณสมบัติล้ำสมัยเช่น SRAM Density Scaling ที่เทียบเท่ากับ TSMC's N2, ประสิทธิภาพต่อวัตต์เพิ่มขึ้น 15%, และความหนาแน่นของชิปเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเปรียบเทียบกับ Intel 3 ซึ่งใช้ใน Intel Xeon 6 นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี PowerVia สำหรับการส่งพลังงานด้านหลังที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ รวมถึงเทคโนโลยี RibbonFET ที่ใช้แทนทรานซิสเตอร์แบบ FinFET เพื่อควบคุมการรั่วของเกตให้เข้มงวดขึ้น

    ผลิตภัณฑ์แรกของ Intel ที่ใช้เทคโนโลยี 18A นี้คือ Panther Lake และ Clearwater Forest Xeon CPUs สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ลูกค้าภายนอกที่ใช้ 18A ได้แก่ Amazon's AWS, Microsoft สำหรับ Azure, และ Broadcom ที่กำลังพัฒนาดีไซน์ตามเทคโนโลยี 18A

    การได้ลูกค้าสำหรับการผลิตขั้นสูงเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เนื่องจากลูกค้าของ Samsung และ TSMC ที่มีอยู่ไม่ต้องการเสี่ยงกับการส่งกำลังการผลิตและสัญญาที่มีอยู่ หากลูกค้ารายแรกของ Intel ประสบความสำเร็จ ลูกค้าอื่น ๆ อาจหันมาสนใจโรงงานของ Intel มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อความเป็นไปได้ของโมเดลการจัดหาชิปในอนาคต

    หากบริษัทและสตาร์ทอัพในสหรัฐฯ ตัดสินใจร่วมงานกับ Intel ในการผลิตชิป Intel อาจฟื้นตัวกลับมาได้อย่างเต็มที่

    https://www.techpowerup.com/332917/intel-18a-is-officially-ready-for-customer-projects
    Intel ได้ประกาศว่าขั้นตอนการผลิตชิปที่เรียกว่า Intel 18A พร้อมสำหรับโปรเจกต์สำหรับลูกค้าภายนอกแล้ว โดยโปรเจกต์แรกจะเริ่มต้นในครึ่งแรกของปี 2025 มีการกล่าวว่า 18A มีคุณสมบัติล้ำสมัยเช่น SRAM Density Scaling ที่เทียบเท่ากับ TSMC's N2, ประสิทธิภาพต่อวัตต์เพิ่มขึ้น 15%, และความหนาแน่นของชิปเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเปรียบเทียบกับ Intel 3 ซึ่งใช้ใน Intel Xeon 6 นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี PowerVia สำหรับการส่งพลังงานด้านหลังที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ รวมถึงเทคโนโลยี RibbonFET ที่ใช้แทนทรานซิสเตอร์แบบ FinFET เพื่อควบคุมการรั่วของเกตให้เข้มงวดขึ้น ผลิตภัณฑ์แรกของ Intel ที่ใช้เทคโนโลยี 18A นี้คือ Panther Lake และ Clearwater Forest Xeon CPUs สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ลูกค้าภายนอกที่ใช้ 18A ได้แก่ Amazon's AWS, Microsoft สำหรับ Azure, และ Broadcom ที่กำลังพัฒนาดีไซน์ตามเทคโนโลยี 18A การได้ลูกค้าสำหรับการผลิตขั้นสูงเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เนื่องจากลูกค้าของ Samsung และ TSMC ที่มีอยู่ไม่ต้องการเสี่ยงกับการส่งกำลังการผลิตและสัญญาที่มีอยู่ หากลูกค้ารายแรกของ Intel ประสบความสำเร็จ ลูกค้าอื่น ๆ อาจหันมาสนใจโรงงานของ Intel มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อความเป็นไปได้ของโมเดลการจัดหาชิปในอนาคต หากบริษัทและสตาร์ทอัพในสหรัฐฯ ตัดสินใจร่วมงานกับ Intel ในการผลิตชิป Intel อาจฟื้นตัวกลับมาได้อย่างเต็มที่ https://www.techpowerup.com/332917/intel-18a-is-officially-ready-for-customer-projects
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel 18A Is Officially Ready for Customer Projects
    Intel has updated its 18A node website with the message, "Intel 18A is now ready for customer projects with the tape outs beginning in the first half of 2025: contact us for more information." The contact hyperlink includes an email where future customers can direct their questions to Intel. Designe...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้มัลแวร์ประเภท Infostealer ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานทหารและผู้รับเหมาด้านกลาโหมของสหรัฐฯ เช่น Lockheed Martin, BAE Systems, Boeing, Honeywell, L3Harris, และ Leidos โดยมัลแวร์นี้มีความสามารถในการขโมยข้อมูลที่สำคัญจากอุปกรณ์ของผู้ที่ถูกโจมตี

    จากรายงานของ Hudson Rock ระบุว่า อาชญากรสามารถซื้อข้อมูลที่ขโมยจากพนักงานที่ทำงานในภาคการป้องกันและกองทัพได้ในราคาประมาณ $10 ต่อคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นรวมถึงรหัสผ่านและข้อมูลการเข้าสู่ระบบของระบบสำคัญ เช่น Active Directory Federation Services (ADFS), Identity and Access Management (IAM) ของ Honeywell รวมถึงการแทรกซึมเข้าสู่ระบบ intranet ภายในองค์กร

    นอกจากนี้ยังพบการโจมตีที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น US Army, US Navy, FBI และ Government Accountability Office (GAO) โดยผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลการยืนยันตัวตนภายในระบบเช่น OWA, Confluence, Citrix, และ FTP ทำให้ผู้โจมตีสามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบทหารได้

    Infostealer เป็นมัลแวร์ที่อาศัยความผิดพลาดของผู้ใช้ เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ PDF ที่ติดไวรัส หรือการคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย ดังนั้นการมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับพนักงานทุกระดับขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะนี้

    การโจมตีแบบ Infostealer ไม่ได้ใช้การโจมตีแบบ brute-force แต่เน้นการใช้ความผิดพลาดของมนุษย์เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ ทำให้เห็นว่าการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน

    https://www.techradar.com/pro/security/us-military-and-defense-contractors-hit-with-infostealer-malware
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้มัลแวร์ประเภท Infostealer ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานทหารและผู้รับเหมาด้านกลาโหมของสหรัฐฯ เช่น Lockheed Martin, BAE Systems, Boeing, Honeywell, L3Harris, และ Leidos โดยมัลแวร์นี้มีความสามารถในการขโมยข้อมูลที่สำคัญจากอุปกรณ์ของผู้ที่ถูกโจมตี จากรายงานของ Hudson Rock ระบุว่า อาชญากรสามารถซื้อข้อมูลที่ขโมยจากพนักงานที่ทำงานในภาคการป้องกันและกองทัพได้ในราคาประมาณ $10 ต่อคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นรวมถึงรหัสผ่านและข้อมูลการเข้าสู่ระบบของระบบสำคัญ เช่น Active Directory Federation Services (ADFS), Identity and Access Management (IAM) ของ Honeywell รวมถึงการแทรกซึมเข้าสู่ระบบ intranet ภายในองค์กร นอกจากนี้ยังพบการโจมตีที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น US Army, US Navy, FBI และ Government Accountability Office (GAO) โดยผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลการยืนยันตัวตนภายในระบบเช่น OWA, Confluence, Citrix, และ FTP ทำให้ผู้โจมตีสามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบทหารได้ Infostealer เป็นมัลแวร์ที่อาศัยความผิดพลาดของผู้ใช้ เช่น การดาวน์โหลดไฟล์ PDF ที่ติดไวรัส หรือการคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย ดังนั้นการมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับพนักงานทุกระดับขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะนี้ การโจมตีแบบ Infostealer ไม่ได้ใช้การโจมตีแบบ brute-force แต่เน้นการใช้ความผิดพลาดของมนุษย์เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ ทำให้เห็นว่าการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน https://www.techradar.com/pro/security/us-military-and-defense-contractors-hit-with-infostealer-malware
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Samsung Electronics ประกาศเสนอชื่อผู้บริหารฝ่ายธุรกิจชิป Jun Young-hyun และ Chief Technology Officer Song Jai-hyuk เข้าร่วมคณะกรรมการบริหารของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังประสบปัญหา นอกจากนี้ยังเสนอชื่อ ศาสตราจารย์ Lee Hyuk-jae จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลเป็นกรรมการบริหารภายนอก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชิปและเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยเซมิคอนดักเตอร์ของมหาวิทยาลัย

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ของ Samsung ที่พยายามกลับมาเป็นผู้นำตลาดอีกครั้ง หลังจากที่เสียตำแหน่งให้กับคู่แข่งภายในประเทศอย่าง SK Hynix ในด้านชิป HBM ที่ใช้ในหน่วยประมวลผลกราฟิก AI ของ Nvidia การเสนอชื่อผู้บริหารใหม่จะต้องผ่านการอนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 มีนาคม

    เรื่องที่น่าสนใจคือการที่ Samsung พยายามกลับมาเป็นผู้นำในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเซมิคอนดักเตอร์เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีหลายๆ อย่างในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงรถยนต์อัจฉริยะ ความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจนี้จึงมีผลกระทบอย่างมากต่อทั้งบริษัทและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั้งหมด

    ในขณะนี้ Samsung กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นจากคู่แข่งหลายราย ไม่ว่าจะเป็นในประเทศอย่าง SK Hynix หรือบริษัทระดับโลกอย่าง Intel และ TSMC การเสริมความแข็งแกร่งในการบริหารธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อความอยู่รอดและความสำเร็จในอนาคตของบริษัท.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/18/samsung-electronics-nominates-chip-execs-as-new-board-members
    บริษัท Samsung Electronics ประกาศเสนอชื่อผู้บริหารฝ่ายธุรกิจชิป Jun Young-hyun และ Chief Technology Officer Song Jai-hyuk เข้าร่วมคณะกรรมการบริหารของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังประสบปัญหา นอกจากนี้ยังเสนอชื่อ ศาสตราจารย์ Lee Hyuk-jae จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลเป็นกรรมการบริหารภายนอก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชิปและเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยเซมิคอนดักเตอร์ของมหาวิทยาลัย การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ของ Samsung ที่พยายามกลับมาเป็นผู้นำตลาดอีกครั้ง หลังจากที่เสียตำแหน่งให้กับคู่แข่งภายในประเทศอย่าง SK Hynix ในด้านชิป HBM ที่ใช้ในหน่วยประมวลผลกราฟิก AI ของ Nvidia การเสนอชื่อผู้บริหารใหม่จะต้องผ่านการอนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 มีนาคม เรื่องที่น่าสนใจคือการที่ Samsung พยายามกลับมาเป็นผู้นำในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเซมิคอนดักเตอร์เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีหลายๆ อย่างในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงรถยนต์อัจฉริยะ ความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจนี้จึงมีผลกระทบอย่างมากต่อทั้งบริษัทและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั้งหมด ในขณะนี้ Samsung กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นจากคู่แข่งหลายราย ไม่ว่าจะเป็นในประเทศอย่าง SK Hynix หรือบริษัทระดับโลกอย่าง Intel และ TSMC การเสริมความแข็งแกร่งในการบริหารธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อความอยู่รอดและความสำเร็จในอนาคตของบริษัท. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/18/samsung-electronics-nominates-chip-execs-as-new-board-members
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Samsung Electronics nominates chip execs as new board members
    SEOUL (Reuters) - Samsung Electronics on Tuesday nominated its chip business chief Jun Young-hyun and Chief Technology Officer Song Jai-hyuk to join its board, as the tech giant looks to boost competitiveness in its struggling semiconductor business.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา Wu Cheng-wen หัวหน้าสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติของไต้หวัน กล่าวว่าการควบคุมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพียงประเทศเดียวนั้นไม่จำเป็น และว่าการผลิตเซมิคอนดักเตอร์เป็นเรื่องซับซ้อนที่ต้องการการแบ่งงานกันทำโดยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในแต่ละประเทศ เขาไม่กล่าวถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตรง แต่พูดถึงคำพูดของประธานาธิบดีไต้หวัน Lai Ching-te ที่ย้ำว่าไต้หวันพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรในโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก

    Wu กล่าวเสริมว่าไต้หวันได้พัฒนาภาคส่วนนี้มาเป็นเวลาครึ่งศตวรรษและได้กลายเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมในระดับนานาชาติ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ได้มาอย่างง่ายดายจากประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ เขายังเน้นว่าประเทศแต่ละประเทศมีความเชี่ยวชาญของตัวเองในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อาทิ ญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญด้านเคมีและอุปกรณ์ สหรัฐอเมริกามีความเป็นเลิศด้านการออกแบบและการประยุกต์ใช้ระบบที่มีนวัตกรรมขั้นสูง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/15/no-need-for-one-country-to-control-chip-industry-taiwan-official-says
    ในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา Wu Cheng-wen หัวหน้าสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติของไต้หวัน กล่าวว่าการควบคุมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพียงประเทศเดียวนั้นไม่จำเป็น และว่าการผลิตเซมิคอนดักเตอร์เป็นเรื่องซับซ้อนที่ต้องการการแบ่งงานกันทำโดยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในแต่ละประเทศ เขาไม่กล่าวถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตรง แต่พูดถึงคำพูดของประธานาธิบดีไต้หวัน Lai Ching-te ที่ย้ำว่าไต้หวันพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรในโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก Wu กล่าวเสริมว่าไต้หวันได้พัฒนาภาคส่วนนี้มาเป็นเวลาครึ่งศตวรรษและได้กลายเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมในระดับนานาชาติ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ได้มาอย่างง่ายดายจากประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ เขายังเน้นว่าประเทศแต่ละประเทศมีความเชี่ยวชาญของตัวเองในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อาทิ ญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญด้านเคมีและอุปกรณ์ สหรัฐอเมริกามีความเป็นเลิศด้านการออกแบบและการประยุกต์ใช้ระบบที่มีนวัตกรรมขั้นสูง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/15/no-need-for-one-country-to-control-chip-industry-taiwan-official-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    No need for one country to control chip industry, Taiwan official says
    TAIPEI (Reuters) - There is no need for one country to control the semiconductor industry, which is complex and needs a division of labour, Taiwan's top technology official said on Saturday after U.S. President Donald Trump criticised the island's chip dominance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่?

    มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม

    การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024
    ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่
    นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi
    และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project
    ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ

    รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง

    หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง
    และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย

    ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ

    ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน
    ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด
    อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง
    ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019

    เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด

    จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม
    ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่

    ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด
    นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น

    • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว

    ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก.

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ประธาน
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    เพิ่มเติม
    ประชาชาติธุรกิจ
    30 ตค 2566
    เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง
    ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน
    https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่? มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024 ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019 เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก. ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธาน ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เพิ่มเติม ประชาชาติธุรกิจ 30 ตค 2566 เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🍊 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
    Thaiganphun Line Official 🔺
    🍊 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Thaiganphun Line Official 🔺
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 7 0 รีวิว
  • The feasibility of restructuring the cooperative supervision system in Thailand.

    This research delves into the feasibility of restructuring the cooperative supervision system in Thailand, focusing on the Cooperative Promotion Office and the Cooperative Audit Office under the Ministry of Agriculture and Cooperatives.

    The study employed a combination of documentary research and survey research to analyze the current system and explore potential changes in governance models. The findings indicate that transitioning to a more flexible and independent structure could enhance efficiency, knowledge transfer, and regulatory effectiveness.
    The feasibility of restructuring the cooperative supervision system in Thailand. This research delves into the feasibility of restructuring the cooperative supervision system in Thailand, focusing on the Cooperative Promotion Office and the Cooperative Audit Office under the Ministry of Agriculture and Cooperatives. The study employed a combination of documentary research and survey research to analyze the current system and explore potential changes in governance models. The findings indicate that transitioning to a more flexible and independent structure could enhance efficiency, knowledge transfer, and regulatory effectiveness.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าว Associated Press ( #AP ) เปิดเผยว่า พวกเขาถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมรายงานข่าวที่ห้องโอวัลออฟฟิศ (Oval Office ) หรือห้องทำงานรูปไข่ ซึ่งเป็นที่ทํางานอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสหรัฐที่ทำเนียบขาวในวันอังคาร หลังจากที่ AP ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ในการเปลี่ยนชื่อ อ่าวเม็กซิโก เป็นอ่าวอเมริกา
    สำนักข่าว Associated Press ( #AP ) เปิดเผยว่า พวกเขาถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมรายงานข่าวที่ห้องโอวัลออฟฟิศ (Oval Office ) หรือห้องทำงานรูปไข่ ซึ่งเป็นที่ทํางานอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสหรัฐที่ทำเนียบขาวในวันอังคาร หลังจากที่ AP ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ในการเปลี่ยนชื่อ อ่าวเม็กซิโก เป็นอ่าวอเมริกา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมพัฒนา KDE ได้ทำการเปิดตัว KDE Plasma 6.3 ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมเดสก์ท็อปที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ด้วยการปรับปรุงและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่จะทำให้ประสบการณ์การใช้งานของคุณดียิ่งขึ้นกว่าที่เคย!

    การปรับปรุงการใช้แท็บเล็ตวาดภาพ (Drawing Tablet): ศิลปินจะต้องหลงรักกับฟีเจอร์ใหม่นี้ที่ช่วยให้สามารถปรับแต่งแท็บเล็ตวาดภาพได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดพื้นที่การวาดให้ตรงกับพื้นที่หน้าจอทั้งหมด การสอบเทียบแท็บเล็ตให้แม่นยำมากขึ้น หรือการปรับแต่งแรงกดและการเอียงของปากกา

    กราฟิกที่คมชัดยิ่งขึ้น: Plasma 6.3 มาพร้อมกับการปรับปรุงการปรับขนาดแบบเศษส่วน (fractional scaling) ที่ทำให้ภาพคมชัด ลดความเบลอและช่องว่างระหว่างพิกเซล เหมาะสำหรับศิลปินและนักออกแบบ

    การติดตามการใช้งานฮาร์ดแวร์: ระบบการติดตามการใช้งานฮาร์ดแวร์ใน Plasma 6.3 มีการพัฒนาใหม่ ที่สามารถติดตามการใช้งาน CPU และ GPU ได้แม่นยำยิ่งขึ้น และใช้ทรัพยากรน้อยลง ทำให้คุณได้รับข้อมูลที่จำเป็นโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ

    ฟีเจอร์การตั้งค่าใหม่ ๆ: Plasma 6.3 ยังมาพร้อมกับการตั้งค่าที่ใช้งานง่าย เช่น การปิดทัชแพดอัตโนมัติเมื่อใช้เมาส์ การสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มสำหรับเครือข่ายฮอตสปอต และการแจ้งเตือนเมื่อแอปพลิเคชันถูกหยุดทำงานเนื่องจากหน่วยความจำหมด

    ระบบที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้: Plasma 6.3 ทำให้การปรับแต่งระบบเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น คุณสามารถโคลนแผงควบคุม (panel) ใช้สคริปต์เปลี่ยนระดับความทึบของแผงควบคุม และยังสามารถกำหนดค่าไอคอนในเมนูได้ตามต้องการ

    ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปิน นักออกแบบ หรือผู้ใช้ทั่วไป KDE Plasma 6.3 คือคำตอบสำหรับการใช้งานที่ยืดหยุ่นและเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ลองใช้ Plasma 6.3 วันนี้ แล้วคุณจะหลงรักกับประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยม!

    https://www.techpowerup.com/332394/kde-plasma-6-3-officially-released
    ทีมพัฒนา KDE ได้ทำการเปิดตัว KDE Plasma 6.3 ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมเดสก์ท็อปที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ด้วยการปรับปรุงและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่จะทำให้ประสบการณ์การใช้งานของคุณดียิ่งขึ้นกว่าที่เคย! การปรับปรุงการใช้แท็บเล็ตวาดภาพ (Drawing Tablet): ศิลปินจะต้องหลงรักกับฟีเจอร์ใหม่นี้ที่ช่วยให้สามารถปรับแต่งแท็บเล็ตวาดภาพได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดพื้นที่การวาดให้ตรงกับพื้นที่หน้าจอทั้งหมด การสอบเทียบแท็บเล็ตให้แม่นยำมากขึ้น หรือการปรับแต่งแรงกดและการเอียงของปากกา กราฟิกที่คมชัดยิ่งขึ้น: Plasma 6.3 มาพร้อมกับการปรับปรุงการปรับขนาดแบบเศษส่วน (fractional scaling) ที่ทำให้ภาพคมชัด ลดความเบลอและช่องว่างระหว่างพิกเซล เหมาะสำหรับศิลปินและนักออกแบบ การติดตามการใช้งานฮาร์ดแวร์: ระบบการติดตามการใช้งานฮาร์ดแวร์ใน Plasma 6.3 มีการพัฒนาใหม่ ที่สามารถติดตามการใช้งาน CPU และ GPU ได้แม่นยำยิ่งขึ้น และใช้ทรัพยากรน้อยลง ทำให้คุณได้รับข้อมูลที่จำเป็นโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ ฟีเจอร์การตั้งค่าใหม่ ๆ: Plasma 6.3 ยังมาพร้อมกับการตั้งค่าที่ใช้งานง่าย เช่น การปิดทัชแพดอัตโนมัติเมื่อใช้เมาส์ การสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มสำหรับเครือข่ายฮอตสปอต และการแจ้งเตือนเมื่อแอปพลิเคชันถูกหยุดทำงานเนื่องจากหน่วยความจำหมด ระบบที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้: Plasma 6.3 ทำให้การปรับแต่งระบบเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น คุณสามารถโคลนแผงควบคุม (panel) ใช้สคริปต์เปลี่ยนระดับความทึบของแผงควบคุม และยังสามารถกำหนดค่าไอคอนในเมนูได้ตามต้องการ ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปิน นักออกแบบ หรือผู้ใช้ทั่วไป KDE Plasma 6.3 คือคำตอบสำหรับการใช้งานที่ยืดหยุ่นและเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ลองใช้ Plasma 6.3 วันนี้ แล้วคุณจะหลงรักกับประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยม! https://www.techpowerup.com/332394/kde-plasma-6-3-officially-released
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    KDE Plasma 6.3 Officially Released
    One year on, with the teething problems a major new release inevitably brings firmly behind us, Plasma's developers have worked on fine-tuning, squashing bugs and adding features to Plasma 6—turning it into the best desktop environment for everyone! Read on to discover all the exciting new changes l...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังปรับราคาการใช้งาน Office-Teams เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับในกรณีการผูกขาดตลาดในสหภาพยุโรป

    สาเหตุที่เกิดขึ้นนี้มาจากการที่ Salesforce เจ้าของ Slack ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อห้าปีก่อนเกี่ยวกับการที่ Microsoft นำ Teams มารวมกับ Office โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การร้องเรียนนี้ถูกติดตามโดยบริษัทคู่แข่งจากเยอรมนีที่ชื่อว่า alfaview ในปี 2023

    Microsoft ได้เริ่มแยกการขาย Teams ออกจาก Office ในปี 2023 โดยขาย Office ที่ไม่มี Teams ในราคาถูกกว่า 2 ยูโร และขาย Teams แบบแยกออกมาในราคา 5 ยูโรต่อเดือน ขณะนี้ทางสหภาพยุโรปกำลังพิจารณาข้อเสนอของ Microsoft เพื่อดูว่าจะยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่โดยไม่ต้องมีการปรับ

    ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ: Microsoft เคยถูกปรับในกรณีผูกขาดตลาดถึง 2.2 พันล้านยูโรเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว การปรับเปลี่ยนราคาของ Office-Teams ในครั้งนี้อาจช่วยให้คู่แข่งสามารถแข่งขันได้มากขึ้น และช่วยให้สหภาพยุโรปสามารถใช้ทรัพยากรไปตรวจสอบบริษัทอื่นๆ อย่าง Apple และ Google แทน

    สรุปคือ Microsoft กำลังพยายามปรับราคา Office-Teams เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับจากกรณีการผูกขาดตลาดในสหภาพยุโรป โดยที่การปรับราคานี้จะช่วยให้คู่แข่งสามารถแข่งขันได้มากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/11/microsoft-to-adjust-office-teams-pricing-in-bid-to-avoid-eu-antitrust-fine-sources-say
    Microsoft กำลังปรับราคาการใช้งาน Office-Teams เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับในกรณีการผูกขาดตลาดในสหภาพยุโรป สาเหตุที่เกิดขึ้นนี้มาจากการที่ Salesforce เจ้าของ Slack ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อห้าปีก่อนเกี่ยวกับการที่ Microsoft นำ Teams มารวมกับ Office โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การร้องเรียนนี้ถูกติดตามโดยบริษัทคู่แข่งจากเยอรมนีที่ชื่อว่า alfaview ในปี 2023 Microsoft ได้เริ่มแยกการขาย Teams ออกจาก Office ในปี 2023 โดยขาย Office ที่ไม่มี Teams ในราคาถูกกว่า 2 ยูโร และขาย Teams แบบแยกออกมาในราคา 5 ยูโรต่อเดือน ขณะนี้ทางสหภาพยุโรปกำลังพิจารณาข้อเสนอของ Microsoft เพื่อดูว่าจะยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่โดยไม่ต้องมีการปรับ ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ: Microsoft เคยถูกปรับในกรณีผูกขาดตลาดถึง 2.2 พันล้านยูโรเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว การปรับเปลี่ยนราคาของ Office-Teams ในครั้งนี้อาจช่วยให้คู่แข่งสามารถแข่งขันได้มากขึ้น และช่วยให้สหภาพยุโรปสามารถใช้ทรัพยากรไปตรวจสอบบริษัทอื่นๆ อย่าง Apple และ Google แทน สรุปคือ Microsoft กำลังพยายามปรับราคา Office-Teams เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับจากกรณีการผูกขาดตลาดในสหภาพยุโรป โดยที่การปรับราคานี้จะช่วยให้คู่แข่งสามารถแข่งขันได้มากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/11/microsoft-to-adjust-office-teams-pricing-in-bid-to-avoid-eu-antitrust-fine-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft to adjust Office-Teams pricing in bid to avoid EU antitrust fine, sources say
    BRUSSELS (Reuters) - Microsoft has offered to widen the price differential between its Office product sold with its chat and video app Teams and its software sold without the app in a bid to avert a possible EU antitrust fine, according to three sources.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองดู📌 [Official Store] Omedo Medical Face Mask มาตรฐานมอก.ระดับที่ 1 หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 3 ชั้น บรรจุ 50 ชิ้นต่อกล่อง
    📣 สั่งซื้อกดลิงค์เลยค่ะ มีรูปสินค้าอยู่ในคอมเม้น
    ✅️✅️ในราคา ฿104
    📌ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/4q0RksiGJj
    ลองดู📌 [Official Store] Omedo Medical Face Mask มาตรฐานมอก.ระดับที่ 1 หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 3 ชั้น บรรจุ 50 ชิ้นต่อกล่อง 📣 สั่งซื้อกดลิงค์เลยค่ะ มีรูปสินค้าอยู่ในคอมเม้น ✅️✅️ในราคา ฿104 📌ที่ Shopee https://s.shopee.co.th/4q0RksiGJj
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🍊 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
    Thaiganphun Line Official 🔺
    🍊 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Thaiganphun Line Official 🔺
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • “Council” vs. “Counsel”: Get Guidance On The Difference

    It’s no wonder you might need advice when it comes to the difference between council and counsel. Not only are they pronounced identically, but they are both often used in the same contexts and sometimes even in the same sentence! However, these words do have different meanings, and one of them is always a noun while the other can be a noun or a verb.

    In this article, we’ll explain the difference between council and counsel, clarify which one is used to refer to a lawyer or legal advice, and give examples of how we often use these two words.

    Quick summary

    Council is always a noun, and it most often refers to an official group that makes decisions. Counsel is commonly used as a noun to mean “advice” and as a verb to mean “to give advice to.” The term legal counsel most commonly refers to a person’s legal representation (that is, their attorney or team or attorneys) or to the services or advice provided as part of such representation.

    Should you use council or counsel?

    The word council is a noun—and only a noun. It most commonly refers to “a body of people who have been officially designated or selected to act in an advisory, administrative, or legislative capacity.” A council isn’t always official, but the word usually implies that it is.

    For example, a city council is a city’s legislative body—the elected officials whose job is to enact the laws and other policies of a city. An example that uses the word in its official name is the Council of Europe, a European international organization that makes declarations and decisions regarding human rights.

    The word counsel can be used as a verb and a noun. As a noun, it is most commonly used to mean “advice,” as in I always value the wise counsel that you give me. As a verb, it means “to give advice to,” as in I’ve been trying to counsel my kids about their careers.

    Is it legal counsel or council?

    In law, the phrase legal counsel is a set phrase that refers to a person’s legal representation (that is, their attorney or team or attorneys), as in The defendant opted not to retain legal counsel. It can also refer to the services provided as part of such representation, and it can simply mean “legal advice.”

    Although legal counsel is the commonly used phrase, it is certainly possible for a group that discusses law or makes legal decisions to be called a “legal council.” Of course, use of this phrase could potentially be confusing given the existence of the more established term legal counsel.

    How to use council and counsel in a sentence

    The following examples show the different ways that counsel and council are often used.

    - The queen’s advisors always gave her wise counsel.
    - The ad-hoc council decided to recruit new members.
    - Jenny counseled me about how to handle myself during a job interview.
    - A council of elders provided counsel to the emperor.
    - I’m not a lawyer, so I strongly advise you to seek legal counsel.

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    “Council” vs. “Counsel”: Get Guidance On The Difference It’s no wonder you might need advice when it comes to the difference between council and counsel. Not only are they pronounced identically, but they are both often used in the same contexts and sometimes even in the same sentence! However, these words do have different meanings, and one of them is always a noun while the other can be a noun or a verb. In this article, we’ll explain the difference between council and counsel, clarify which one is used to refer to a lawyer or legal advice, and give examples of how we often use these two words. Quick summary Council is always a noun, and it most often refers to an official group that makes decisions. Counsel is commonly used as a noun to mean “advice” and as a verb to mean “to give advice to.” The term legal counsel most commonly refers to a person’s legal representation (that is, their attorney or team or attorneys) or to the services or advice provided as part of such representation. Should you use council or counsel? The word council is a noun—and only a noun. It most commonly refers to “a body of people who have been officially designated or selected to act in an advisory, administrative, or legislative capacity.” A council isn’t always official, but the word usually implies that it is. For example, a city council is a city’s legislative body—the elected officials whose job is to enact the laws and other policies of a city. An example that uses the word in its official name is the Council of Europe, a European international organization that makes declarations and decisions regarding human rights. The word counsel can be used as a verb and a noun. As a noun, it is most commonly used to mean “advice,” as in I always value the wise counsel that you give me. As a verb, it means “to give advice to,” as in I’ve been trying to counsel my kids about their careers. Is it legal counsel or council? In law, the phrase legal counsel is a set phrase that refers to a person’s legal representation (that is, their attorney or team or attorneys), as in The defendant opted not to retain legal counsel. It can also refer to the services provided as part of such representation, and it can simply mean “legal advice.” Although legal counsel is the commonly used phrase, it is certainly possible for a group that discusses law or makes legal decisions to be called a “legal council.” Of course, use of this phrase could potentially be confusing given the existence of the more established term legal counsel. How to use council and counsel in a sentence The following examples show the different ways that counsel and council are often used. - The queen’s advisors always gave her wise counsel. - The ad-hoc council decided to recruit new members. - Jenny counseled me about how to handle myself during a job interview. - A council of elders provided counsel to the emperor. - I’m not a lawyer, so I strongly advise you to seek legal counsel. Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงใน Microsoft Outlook ที่สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลได้ โดยช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Haifei Li นักวิจัยจาก Check Point และได้รับการติดตามด้วยรหัส CVE-2024-21413 ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบข้อมูลเข้าไม่ถูกต้องเมื่อเปิดอีเมลที่มีลิงก์อันตรายโดยใช้เวอร์ชันของ Outlook ที่มีช่องโหว่

    การโจมตีสามารถทำให้ผู้โจมตีมีความสามารถในการรันโค้ดจากระยะไกลได้ เนื่องจากช่องโหว่นี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถข้ามการตรวจสอบของ Protected View และเปิดไฟล์อันตรายในโหมดแก้ไข ช่องโหว่นี้ยังคงเป็นปัญหาแม้เพียงแค่พรีวิวอีเมลที่มีเอกสาร Office ที่ถูกสร้างมาอย่างอันตราย

    ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อหลายผลิตภัณฑ์ Office รวมถึง Microsoft Office LTSC 2021, Microsoft 365 Apps for Enterprise, Microsoft Outlook 2016, และ Microsoft Office 2019 การโจมตีที่สำเร็จสามารถทำให้ข้อมูลรับรอง NTLM ถูกขโมยและโค้ดที่ไม่พึงประสงค์ถูกดำเนินการผ่านเอกสาร Office ที่ถูกสร้างมาอย่างอันตราย

    หน่วยงานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐฯ (CISA) ได้เตือนหน่วยงานรัฐบาลให้ทำการอัปเดตและป้องกันระบบจากการโจมตีที่ใช้ช่องโหว่นี้ หน่วยงานเอกชนก็ถูกแนะนำให้ทำการอัปเดตเช่นกันเพื่อป้องกันการโจมตี

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/critical-rce-bug-in-microsoft-outlook-now-exploited-in-attacks/
    มีรายงานเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงใน Microsoft Outlook ที่สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลได้ โดยช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Haifei Li นักวิจัยจาก Check Point และได้รับการติดตามด้วยรหัส CVE-2024-21413 ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบข้อมูลเข้าไม่ถูกต้องเมื่อเปิดอีเมลที่มีลิงก์อันตรายโดยใช้เวอร์ชันของ Outlook ที่มีช่องโหว่ การโจมตีสามารถทำให้ผู้โจมตีมีความสามารถในการรันโค้ดจากระยะไกลได้ เนื่องจากช่องโหว่นี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถข้ามการตรวจสอบของ Protected View และเปิดไฟล์อันตรายในโหมดแก้ไข ช่องโหว่นี้ยังคงเป็นปัญหาแม้เพียงแค่พรีวิวอีเมลที่มีเอกสาร Office ที่ถูกสร้างมาอย่างอันตราย ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อหลายผลิตภัณฑ์ Office รวมถึง Microsoft Office LTSC 2021, Microsoft 365 Apps for Enterprise, Microsoft Outlook 2016, และ Microsoft Office 2019 การโจมตีที่สำเร็จสามารถทำให้ข้อมูลรับรอง NTLM ถูกขโมยและโค้ดที่ไม่พึงประสงค์ถูกดำเนินการผ่านเอกสาร Office ที่ถูกสร้างมาอย่างอันตราย หน่วยงานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐฯ (CISA) ได้เตือนหน่วยงานรัฐบาลให้ทำการอัปเดตและป้องกันระบบจากการโจมตีที่ใช้ช่องโหว่นี้ หน่วยงานเอกชนก็ถูกแนะนำให้ทำการอัปเดตเช่นกันเพื่อป้องกันการโจมตี https://www.bleepingcomputer.com/news/security/critical-rce-bug-in-microsoft-outlook-now-exploited-in-attacks/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Critical RCE bug in Microsoft Outlook now exploited in attacks
    CISA warned U.S. federal agencies on Thursday to secure their systems against ongoing attacks targeting a critical Microsoft Outlook remote code execution (RCE) vulnerability.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • Look@Me ดูแลผิวง่ายๆแต่ปัง!!
    ขอขอบคุณ มี๊พลอยกับน้องชิลลี่ มากนะคะ
    direct IG Instagram: lookatmebybp
    facebook fanpage: Look At Me by BP
    LINE OFFICIAL: @lookatme_bp
    Tiktok: look@me by BP
    Shopee:look@me by BP
    https://th.shp.ee/YtwyjJb
    ทางลัดสู่ Shopee ค่ะ
    #glassskin #ผิวโกลว์ #ผิวชุ่มชื้น #สกินแคร์ #skincare #serum #ผิวกระจ่างใส #รูขุมขนกระชับ #รูขุมขนเล็กลง #ริ้วรอยตื้นขึ้น #คุมมัน #lookatme #lookatmebybp #ย้อนวัย #ย้อนวัยให้ผิว #หน้าเด็กลง #กระฝ้าจาง #ทุบฝ้า #ปราบฝ้ากระจุดด่างดํา #look @mebybp @lookatmebybp
    Look@Me ดูแลผิวง่ายๆแต่ปัง!! ขอขอบคุณ มี๊พลอยกับน้องชิลลี่ มากนะคะ direct IG Instagram: lookatmebybp facebook fanpage: Look At Me by BP LINE OFFICIAL: @lookatme_bp Tiktok: look@me by BP Shopee:look@me by BP https://th.shp.ee/YtwyjJb ทางลัดสู่ Shopee ค่ะ #glassskin #ผิวโกลว์ #ผิวชุ่มชื้น #สกินแคร์ #skincare #serum #ผิวกระจ่างใส #รูขุมขนกระชับ #รูขุมขนเล็กลง #ริ้วรอยตื้นขึ้น #คุมมัน #lookatme #lookatmebybp #ย้อนวัย #ย้อนวัยให้ผิว #หน้าเด็กลง #กระฝ้าจาง #ทุบฝ้า #ปราบฝ้ากระจุดด่างดํา #look @mebybp @lookatmebybp
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 548 มุมมอง 30 0 รีวิว
Pages Boosts