• เรื่องเล่าใหม่: อินเดียเตรียมแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริง – เมื่อความสนุกกลายเป็นภัยเงียบ

    ลองนึกภาพว่าคุณเล่นเกมแฟนตาซีคริกเก็ตบนมือถือ จ่ายเงินแค่ 10 เซ็นต์เพื่อสร้างทีม แล้วลุ้นเงินรางวัลหลักหมื่นรูปี ฟังดูน่าสนุกใช่ไหม? แต่สำหรับรัฐบาลอินเดีย นี่คือปัญหาที่กำลังลุกลาม

    ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมาย “Promotion and Regulation of Online Gaming Act” ที่จะห้ามเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกมที่อิงจากทักษะหรือโชค โดยให้เหตุผลว่าเกมเหล่านี้ส่งผลเสียทั้งด้านจิตใจและการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย

    เกมเหล่านี้มักใช้เทคนิคการออกแบบที่กระตุ้นให้เล่นซ้ำ เช่น อัลกอริธึมที่สร้างความรู้สึกใกล้ชนะ หรือการแจกรางวัลแบบสุ่ม ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นติดเกมและเสียเงินจำนวนมาก บางกรณีถึงขั้นเกิดเหตุสลด เช่น การฆ่าตัวตายหลังจากสูญเงินไปกับเกม

    อุตสาหกรรมเกมเงินจริงในอินเดียมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้าน และคาดว่าจะโตถึง $3.6 พันล้านภายในปี 2029 โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Dream11 และ Mobile Premier League ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่หากกฎหมายนี้ผ่าน จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจเหล่านี้ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ

    ร่างกฎหมายยังระบุโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด ₹10 ล้าน สำหรับผู้ให้บริการเกมเงินจริง และแม้แต่คนดังที่โฆษณาเกมเหล่านี้ก็อาจถูกลงโทษเช่นกัน

    ข้อมูลในข่าว
    รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมายแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด
    ร่างกฎหมายชื่อ Promotion and Regulation of Online Gaming Act 2025
    ห้ามโฆษณาเกมเงินจริง และห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมเกี่ยวข้อง
    ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับ ₹10 ล้าน
    คนดังที่โฆษณาเกมเงินจริงอาจถูกปรับ ₹5 ล้าน หรือจำคุก 2 ปี
    อุตสาหกรรมเกมเงินจริงมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้านในปี 2024
    Dream11 มีมูลค่าบริษัท $8 พันล้าน ส่วน Mobile Premier League อยู่ที่ $2.5 พันล้าน
    เกมเหล่านี้ได้รับความนิยมสูงช่วงการแข่งขัน IPL
    กระทรวง IT ของอินเดียจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตามร่างกฎหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เกมเงินจริงมักใช้เทคนิค “near win” และ “variable rewards” เพื่อกระตุ้นให้เล่นต่อ
    การติดเกมสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและปัญหาทางการเงิน
    อินเดียเคยเก็บภาษีเกมออนไลน์ 28% ตั้งแต่ปี 2023 และอาจเพิ่มเป็น 40%
    รัฐบาลอินเดียเคยบล็อกเว็บไซต์พนันกว่า 1,400 แห่งระหว่างปี 2022–2025
    การควบคุมเกมออนไลน์เป็นเรื่องท้าทาย เพราะบางแพลตฟอร์มตั้งเซิร์ฟเวอร์นอกประเทศ
    หลายประเทศ เช่น จีนและเกาหลีใต้ ก็มีมาตรการควบคุมเกมเงินจริงอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/india-plans-to-ban-online-games-played-with-money-citing-addiction-risks
    🎯 เรื่องเล่าใหม่: อินเดียเตรียมแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริง – เมื่อความสนุกกลายเป็นภัยเงียบ ลองนึกภาพว่าคุณเล่นเกมแฟนตาซีคริกเก็ตบนมือถือ จ่ายเงินแค่ 10 เซ็นต์เพื่อสร้างทีม แล้วลุ้นเงินรางวัลหลักหมื่นรูปี ฟังดูน่าสนุกใช่ไหม? แต่สำหรับรัฐบาลอินเดีย นี่คือปัญหาที่กำลังลุกลาม ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมาย “Promotion and Regulation of Online Gaming Act” ที่จะห้ามเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกมที่อิงจากทักษะหรือโชค โดยให้เหตุผลว่าเกมเหล่านี้ส่งผลเสียทั้งด้านจิตใจและการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย เกมเหล่านี้มักใช้เทคนิคการออกแบบที่กระตุ้นให้เล่นซ้ำ เช่น อัลกอริธึมที่สร้างความรู้สึกใกล้ชนะ หรือการแจกรางวัลแบบสุ่ม ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นติดเกมและเสียเงินจำนวนมาก บางกรณีถึงขั้นเกิดเหตุสลด เช่น การฆ่าตัวตายหลังจากสูญเงินไปกับเกม อุตสาหกรรมเกมเงินจริงในอินเดียมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้าน และคาดว่าจะโตถึง $3.6 พันล้านภายในปี 2029 โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Dream11 และ Mobile Premier League ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่หากกฎหมายนี้ผ่าน จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจเหล่านี้ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ร่างกฎหมายยังระบุโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด ₹10 ล้าน สำหรับผู้ให้บริการเกมเงินจริง และแม้แต่คนดังที่โฆษณาเกมเหล่านี้ก็อาจถูกลงโทษเช่นกัน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมายแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด ➡️ ร่างกฎหมายชื่อ Promotion and Regulation of Online Gaming Act 2025 ➡️ ห้ามโฆษณาเกมเงินจริง และห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมเกี่ยวข้อง ➡️ ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับ ₹10 ล้าน ➡️ คนดังที่โฆษณาเกมเงินจริงอาจถูกปรับ ₹5 ล้าน หรือจำคุก 2 ปี ➡️ อุตสาหกรรมเกมเงินจริงมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้านในปี 2024 ➡️ Dream11 มีมูลค่าบริษัท $8 พันล้าน ส่วน Mobile Premier League อยู่ที่ $2.5 พันล้าน ➡️ เกมเหล่านี้ได้รับความนิยมสูงช่วงการแข่งขัน IPL ➡️ กระทรวง IT ของอินเดียจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตามร่างกฎหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เกมเงินจริงมักใช้เทคนิค “near win” และ “variable rewards” เพื่อกระตุ้นให้เล่นต่อ ➡️ การติดเกมสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและปัญหาทางการเงิน ➡️ อินเดียเคยเก็บภาษีเกมออนไลน์ 28% ตั้งแต่ปี 2023 และอาจเพิ่มเป็น 40% ➡️ รัฐบาลอินเดียเคยบล็อกเว็บไซต์พนันกว่า 1,400 แห่งระหว่างปี 2022–2025 ➡️ การควบคุมเกมออนไลน์เป็นเรื่องท้าทาย เพราะบางแพลตฟอร์มตั้งเซิร์ฟเวอร์นอกประเทศ ➡️ หลายประเทศ เช่น จีนและเกาหลีใต้ ก็มีมาตรการควบคุมเกมเงินจริงอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/india-plans-to-ban-online-games-played-with-money-citing-addiction-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    India plans to ban online games played with money, citing addiction risks
    NEW DELHI (Reuters) -India's government plans to ban online games played with money, a proposed bill showed on Tuesday, in what would be a heavy blow for an industry that has attracted billions of dollars of foreign investment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay

    รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ

    โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง

    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด

    หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต

    รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท
    ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน
    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต
    ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO
    เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code
    ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต
    ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ
    การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท
    ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO
    รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
    QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก
    การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก
    การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน
    การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต
    หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    🏖️ เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท ➡️ ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน ➡️ นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต ➡️ ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO ➡️ เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code ➡️ ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต ➡️ ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ ➡️ การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท ➡️ ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO ➡️ รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ➡️ QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก ➡️ การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก ➡️ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน ➡️ การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ➡️ หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Thailand to launch crypto-to-baht conversion for foreign tourists
    BANGKOK (Reuters) -Thailand will launch an 18-month pilot programme to allow foreign visitors to convert cryptocurrencies into baht to make payments locally, officials said on Monday, part of efforts to rejuvenate the country's critical tourist sector.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทดลองคริปโตฯสแกนจ่าย หนุนต่างชาติเที่ยวไทย

    กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมมือเปิดตัวโครงการทดสอบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ หรือ ทัวริสต์ดิจิเพย์ (TouristDigiPay) ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นำสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลที่ถือครองอยู่แปลงเป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาทดสอบเบื้องต้น 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ในไตรมาส 4 ปี 2568

    ทัวริสต์ดิจิเพย์ ไม่ได้เป็นการนำคริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องนำไปแลกผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ออกมาเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ในบัญชีที่ชื่อว่า ทัวริสต์วอลเล็ต (Tourist Wallet) แล้วนำไปสแกนจ่ายตามร้านค้าอีกที จำกัดวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือนสำหรับร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน สำหรับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท เช่นเดียวกับรับเงินโอนทั่วไป หากใช้ไม่หมด แลกคืนได้ไม่เกินวงเงินแลกขาเข้า

    นักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจจะต้องเปิดบัญชีและทำ KYC กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ในไทย และเปิดบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต กับผู้ให้บริการ e-money จากนั้นโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าบัญชี Exchange ในไทย แล้วขายออกมาเป็นเงินบาท รับเงินเข้าบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต ก่อนสแกนจ่ายตามร้านค้า นอกจากจะจำกัดวงเงินต่อเดือนแล้ว สำนักงาน ปปง. จะดูแลธุรกรรมอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นการฟอกเงิน กลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพ มีสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้วมาใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย

    ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บัตรพรีเพดการ์ด (Prepaid Card) ที่ผูกกับสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครือข่ายร้านค้ารับบัตรยอดนิยมในไทยอย่าง VISA และ Mastercard ถือเป็นการจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดใหญ่หรือร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตร (EDC) เท่านั้น แต่เนื่องจากชาวต่างชาติที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลคุ้นเคยกับวิธีการนี้อยู่แล้ว อีกทั้งทุกวันนี้ร้านค้าขนาดเล็กนิยมรับเงินสดเพราะไม่อยากนำรายได้จากการรับเงินโอนไปเข้าระบบภาษี ต้องคอยดูว่าโครงการนี้จะรอดหรือจะแป๊ก เฉกเช่นโครงการอื่นของรัฐบาล เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือไม่?

    #Newskit
    ทดลองคริปโตฯสแกนจ่าย หนุนต่างชาติเที่ยวไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมมือเปิดตัวโครงการทดสอบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ หรือ ทัวริสต์ดิจิเพย์ (TouristDigiPay) ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นำสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลที่ถือครองอยู่แปลงเป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาทดสอบเบื้องต้น 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ในไตรมาส 4 ปี 2568 ทัวริสต์ดิจิเพย์ ไม่ได้เป็นการนำคริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องนำไปแลกผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ออกมาเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ในบัญชีที่ชื่อว่า ทัวริสต์วอลเล็ต (Tourist Wallet) แล้วนำไปสแกนจ่ายตามร้านค้าอีกที จำกัดวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือนสำหรับร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน สำหรับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท เช่นเดียวกับรับเงินโอนทั่วไป หากใช้ไม่หมด แลกคืนได้ไม่เกินวงเงินแลกขาเข้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจจะต้องเปิดบัญชีและทำ KYC กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ในไทย และเปิดบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต กับผู้ให้บริการ e-money จากนั้นโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าบัญชี Exchange ในไทย แล้วขายออกมาเป็นเงินบาท รับเงินเข้าบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต ก่อนสแกนจ่ายตามร้านค้า นอกจากจะจำกัดวงเงินต่อเดือนแล้ว สำนักงาน ปปง. จะดูแลธุรกรรมอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นการฟอกเงิน กลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพ มีสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้วมาใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บัตรพรีเพดการ์ด (Prepaid Card) ที่ผูกกับสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครือข่ายร้านค้ารับบัตรยอดนิยมในไทยอย่าง VISA และ Mastercard ถือเป็นการจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดใหญ่หรือร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตร (EDC) เท่านั้น แต่เนื่องจากชาวต่างชาติที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลคุ้นเคยกับวิธีการนี้อยู่แล้ว อีกทั้งทุกวันนี้ร้านค้าขนาดเล็กนิยมรับเงินสดเพราะไม่อยากนำรายได้จากการรับเงินโอนไปเข้าระบบภาษี ต้องคอยดูว่าโครงการนี้จะรอดหรือจะแป๊ก เฉกเช่นโครงการอื่นของรัฐบาล เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือไม่? #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Quid” vs. “Pound”: What’s The Difference?

    If you aren’t from the United Kingdom, you may be confused by the different words used to refer to money there, including pound and quid.

    In this article, we’ll look at the monetary definitions of the words pound and quid, explain the different contexts in which they’re used, and give examples of how they’re used in everyday speech.

    Quick summary

    A pound is a denomination of UK currency roughly equivalent to the US dollar. Quid is British slang for pound. It’s used in much the same way as buck is used as a slang term for dollar—except that quid is also used for the plural, as in a few quid.

    Is a quid a pound? What’s the difference between a quid and a pound?
    In the context of money, the word pound is used to refer to a denomination of currency used in the United Kingdom. Known casually as the British pound and officially as the pound sterling, the pound is similar to the US dollar, both in value and in how its name is used.

    Based on recent valuation, the pound is worth approximately 1.3 US dollars, but this ratio is highly dependent on fluctuating exchange rates. The pound is produced both in the form of paper bills and metal coins.

    The word quid is an informal British slang term for a pound. It is used in much the same way as the slang word buck is used in the US to refer to a dollar. Like buck, quid is used generally to refer to an amount of money rather than a tangible (or transferable) item of currency, so one pound in the form of a paper note, coin, or electronic payment are all referred to as a quid. Unlike buck, the plural form of quid is just quid, as in Can you lend me 20 quid?

    As a slang term for the pound, quid has been used since the late 1600s. Although there are many popular theories about how the word quid came to be used in relation to money, the origin of the term is uncertain.

    Examples of quid and pound in a sentence

    Let’s look at some examples of sentences that use pound and quid.

    • I bought the book from a British website, so I had to pay for it in pounds.
    • Nate borrowed 10 quid from Lily to buy lunch.
    • She found an old pound coin in her backyard that turned out to be worth 100 quid.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Quid” vs. “Pound”: What’s The Difference? If you aren’t from the United Kingdom, you may be confused by the different words used to refer to money there, including pound and quid. In this article, we’ll look at the monetary definitions of the words pound and quid, explain the different contexts in which they’re used, and give examples of how they’re used in everyday speech. Quick summary A pound is a denomination of UK currency roughly equivalent to the US dollar. Quid is British slang for pound. It’s used in much the same way as buck is used as a slang term for dollar—except that quid is also used for the plural, as in a few quid. Is a quid a pound? What’s the difference between a quid and a pound? In the context of money, the word pound is used to refer to a denomination of currency used in the United Kingdom. Known casually as the British pound and officially as the pound sterling, the pound is similar to the US dollar, both in value and in how its name is used. Based on recent valuation, the pound is worth approximately 1.3 US dollars, but this ratio is highly dependent on fluctuating exchange rates. The pound is produced both in the form of paper bills and metal coins. The word quid is an informal British slang term for a pound. It is used in much the same way as the slang word buck is used in the US to refer to a dollar. Like buck, quid is used generally to refer to an amount of money rather than a tangible (or transferable) item of currency, so one pound in the form of a paper note, coin, or electronic payment are all referred to as a quid. Unlike buck, the plural form of quid is just quid, as in Can you lend me 20 quid? As a slang term for the pound, quid has been used since the late 1600s. Although there are many popular theories about how the word quid came to be used in relation to money, the origin of the term is uncertain. Examples of quid and pound in a sentence Let’s look at some examples of sentences that use pound and quid. • I bought the book from a British website, so I had to pay for it in pounds. • Nate borrowed 10 quid from Lily to buy lunch. • She found an old pound coin in her backyard that turned out to be worth 100 quid. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว

  • ตอน 9

    ระหว่างที่สงครามเวียตนามกำลังเริ่มเข้าขั้นโคม่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 (ค.ศ.1967) พี่เบิ้มเริ่มเป็นฝ่ายรับ พี่เบิ้มจึงเปลี่ยนมาใช้แผน 2 (แผน 2 หน้า)
    หน้าหนึ่งก็เริ่มให้มีการเดินสายเล่นบทเจรจา ระหว่างรัฐมนตรีตปท.คนสำคัญของพี่เบิ้มกับทางเวียตนาม คนมีเสน่ห์ เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger) รมต ตปท ของพี่เบิ้มสมัยนั้น เดินทางเป็นว่าเล่น เหมือนคุณนาย คลินตัน (Clinton) ตอนรัฐบาลโอบามา (Obama 1) นั่นแหละ
    อีกหน้าหนึ่งก็ส่งให้ลูกกะเป๋งทั้งหลาย ก็ใครล่ะ นึกให้ดีนะ ลุยเข้าไปถล่มคอมมี่ต่อ (โปรดสังเกตพวกพี่เบิ้ม เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน รมต.ตปท. ชีพจรลงเท้าทั้งนั้น ตอนนี้ก็เห็นบินกันว่อน ตามดูรอบตัวเรากันบ้างนะครับ)
    ดังนั้นปฏิบัติการลับในประเทศลาว ซึ่งฝ่ายไทยนำโดย รหัสเทพ 333 (ไปหาเอาเองนะครับว่าเป็นใคร) กับฝ่าย CIA อเมริกา จึงทำงานหนัก บินกระหน่ำถล่มคอมมิวนิสต์ที่ลาว ผลลาวแตกเป็น 2 ฝ่าย เมื่อปี พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) พี่น้องเจ้าลาวถูกเสี้ยมให้แตกกันเอง เจ้าสุวรรณภูมา ผู้พี่ วิ่งไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่เบิ้มอเมริกา เจ้าสุภานุวงศ์ คนน้อง เหม็นฝรั่ง จึงไปซบกับฝ่ายจีน
    แล้วลาวก็เปลี่ยนจากประเทศที่ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ เป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบสังคมนิยม ตั้งแต่ครั้งนั้น ฝีมือใครครับ โปรดไปศึกษาต่อน่าสนใจมาก ไม่ใช่เฉพาะที่ลาว ในสงครามเวียตนามเอง หลัง จากทุ่มเงินไปกว่าพันล้านเหรียญ (ใช้เงินมากกว่าตอนอเมริการบในสงครามโลกครั้งที่ 2 !) ใช้ทหารไปรบประมาณ 500,000 นาย เสียชีวิตไประหว่างรบทั้งหมดเกือบ 60,000 คน ยังไม่นับที่สูญหาย ทุพพลภาพทางกายและจิตใจ อเมริกาก็ออกอาการ ยืนพิงเชือก
    ปี พ.ศ.2512 (ค.ศ.1969) อเมริกาเสนอขอเจรจาสงบศึกกับเวียตนาม !!!!
    มันจะเป็นไปได้ยังไง อเมริกา (อ้างว่า) ลงทุนกับสงครามอินโดจีนมากมาย ทั้งด้านอาวุธ กำลังพล และกำลังทรัพย์ …ชาวประชาก็เป็นมึน กำลังรบกันเข้าฝัก ดันถอยทัพเสียอย่างนั้น
    ไทยแลนด์งงเป็นไก่ตาฟาง นักวิ่งผลัดวิ่งพล่านชนกันเอง เฮ้ย เฮ้ย เอาไงวะ พวก! มันเป็นไปแล้ว ก็บอกว่า เล่นแผน 2 วันที่ 25 ก.ค. พ.ศ.2512 ประธานาธิบดีนิกสันก็ประกาศ Guam Doctrine สรุปว่า พี่เบิ้มเปลี่ยนจากเหยี่ยวเป็นพิราบ (เปลี่ยนง่ายดีนะ ลูกกะเป๋งปรับตัวกันไม่ทันเลยว่ะ) จะไม่ส่งทหารไปช่วยทำสงครามกับประเทศที่ถูกรุกราน (โดยคอมมิวนิสต์)
    แต่จะให้ความช่วยเหลือประเทศพันธมิตรด้านเศรษฐกิจ (ฮั่นแน่!) และการทหารแทน
    แหม! นี่มันพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวนี่นา หลอกใครไม่รู้
    แล้วไงล่ะ ไทยแลนด์ตอนให้เขาเข้ามาในบ้าน ใช้เป็นฐานทัพ เขาก็ไม่ถาม ไม่เซ็นสัญญา พอเขาจะไป เขาก็ไม่ปรึกษา บทจะไปก็เก็บฉากไปซะยังงั้น  นักวิ่งผลัดก็หน้ามืดละซิ ที่นี้จะเอาไงดี เงิน MAP ที่พี่เบิ้มเขาเคยให้ปีละ 100 ล้านเหรียญ เขาก็ลดลงเหลือ 20 กว่า ล้านเหรียญ
    ต๊าย ตาย ลดเยอะนะพวกเรา เดี๋ยวตอผุด เอายังไงดี
    อเมริกาก็ยังเป็นอเมริกา ปากบอกว่าถอนทหาร ถอยทัพ แต่ตาก็ขยิบ สั่งให้ลูกกะเป๋งไปถล่มเขมร ก็บินไปจากฐานทัพในไทยนั่นแหละ …เหล่านักวิ่งผลัด ก็เลยเห็นโอกาส ยังไม่อยากให้ยี่เกปิดฉาก นายพลเจ้าของสวนทุเรียน (ไปหาชื่อกันเองแล้วกันนะ เขียนมานี่ก็เสียวหลายเรื่องแล้ว) ก็เลยรับหน้าที่ไปเจรจากับพี่เบิ้ม
    ได้ไง! ยูสั่งให้ไอบิน ไอก็บิน สั่งให้ไอถล่ม ไอก็ถล่ม บอกไม่ทำสัญญา ไอก็ O.K ทหารยูทำผู้หญิงไทยท้อง ชกไอ้หนูหน้าดำผอมเกร็งแถวอีสานจนงอม ไม่ยอมขึ้นศาลไทย ไอก็ยอมหมดแล้ว …แต่เรื่องจะมาลด MAP นี่เรื่องใหญ่นะ (ของมันเคยได้น่ะ) แล้วต่อไปนี้สั่งใครเขาก็ลำบากนะ…ทุกอย่างมันต้องใช้เงินทั้ง นั้นนะ (เอะ เดี๋ยว ๆ นี่มันเรื่องสงครามเวียตนาม หรือสงครามไพร่ครองเมืองนะ คนเล่านิทานชักงง เรื่องมันคล้ายๆ กัน 555)
    ระหว่างเจรจาต่อรองกัน การเจรจาสันติภาพที่ปารีสเกิดสะดุด ฮานอยไม่ยอม อย่านึกว่าหมูนะ พญาอินทรี ที่พยายามจะแปลงกายเป็นนกพิราบก็เลยยั๊วะ งั้นสั่งรบต่อก็ได้ (วะ) คราวนี้ไม่รบแค่ในเวียตนาม ไอ้พวกญวนแดงอยากหนุนเขมรแดงดีนัก บอมบ์เขมรแม่มซะเลย คราวนี้กำลังรำคาญพี่ไทยที่มาแบมือขอเงินเพิ่ม พี่เบิ้มก็เลยใช้เกาะกวมเป็นฐานทัพ
    เจ้าของสวนทุเรียนได้ข่าว ก็รีบถลาไปเจรจาใหม่ (เขาเรียกว่าตื๊อน่ะ ถ้าจะให้พูดตรงๆ) ยูก้อ เราก็คบกันมานาน รู้ใจกัน จะเอาอะไรก็บอก ไอก็จะพยายาม ยูบินจากกวมน่ะ  มันไกลนะ เปลืองน้ำมัน กลับมาใช้ฐานทัพเราเหมือนเดิมเหอะ แต่ไอ้ MAP น่ะ ลดเหลือ 20 ล้าน มันก็เกินไปนะ ไปคิดใหม่ไป๊!
    ไอ้นิสัยที่ชอบใช้แผน 2 (2 หน้า) ของอเมริกานี่แหละ ก็ไม่ใช่ว่า จะรอดหูรอดตาประชาชนและสื่อของตนเองได้ การปฏิบัติการลับในเขมรจึงรั่วออกไปนิวยอร์ก ไทม์ส (N.Y Times) ลงข่าวใส่สีครบ ทำให้สภาสูงของอเมริกาซักฟอกเรื่องนี้ มีการถามถึงแผนตากสิน (Project 22) และบทบาทของไทยในลาวรวมทั้ง ข้อตกลงThanant Rusk
    ถึงกับมีประโยคอมตะออกมาเกี่ยวกับไทยว่า ไทยเป็นพันธมิตรดีสุดที่เงินซื้อได้ (“the Thai are the best allies money can buy”) อันนี้ปรากฏอยู่ในรายงานของอเมริกาเอง ผมไม่ได้แต่งเติม
    เห็นชัดหรือยังเขามองผู้บริหาร หรือรัฐบาลของเราอย่างไร ที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนบ้าง ได้แต่เดินกุมตามก้นเขา แบมือขอเงินเขา เขาต้มแล้วต้มอีก ยังไม่รู้ตัว ล่าสุด ยังแถมไปยืนกระแดะยิ้มเยิ้มให้เขาจนลือกันไปทั้งโลกไม่มียางเหลือเลยนะ
    ระหว่างปี พ.ศ. 2512-2516 (ค.ศ.1969-1973) การเมืองไทยเริ่มมีปัญหาอีกครั้ง
    เริ่มจากนายถนัด คอมันตร์ รมต.ตปท.ของไทยเร่งให้อเมริกาถอนฐานทัพจากไทย เนื่องจากนายถนัด รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ข้อตกลง Thanant Rusk นี่มันของเก๊
    ประโยชน์จริงๆ ของไทยอยู่ตรงไหนหาไม่เจอ อเมริกายิ่งอยู่นานไทยแลนด์ก็ยิ่งตกอยู่ในกรงอินทรีลึกเข้าไปทุกที กระดิกกระเดี้ยไม่ออก จะเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาซะด้วยซ้ำ แต่ด้านรัฐบาลนายกถนอม กลับยังต้องการให้อเมริกาคงฐานทัพและเงินช่วยเหลือต่อไป เพราะอะไร ก็คงพอเข้าใจกัน อย่าให้ต้องพูดชัดกว่านี้เลยนะ
    อเมริกาเองก็ถูกบีบจากสภาสูง (Congress) ให้รีบเร่งลงนามสัญญาสันติภาพกับเวียตนาม.. เพราะที่ลง ทุนไปสร้างเรื่องรบกับเวียตนามเอาใจนักค้าอาวุธที่ควบคุมรัฐบาลอเมริกาอยู่อีกต่อหนึ่งนั่นน่ะ มันชักจะไม่คุ้ม นักค้าอาวุธได้เงินก็จริง แต่ประชาชนชาวดอกไม้บานในอเมริกาเริ่มจะโวยไม่หยุด เพราะทหารอเมริกันตายเป็นเบือ
    แล้วอเมริกาลงนามสัญญาสันติภาพที่ปารีส เมื่อ 28 ม.ค. พ.ศ.2516 (ค.ศ.1973) ขณะเดียวกันยังคงกองกำลังทางอากาศขนาดใหญ่และกองเรือในภูมิภาคต่อไป แต่การให้ความช่วยเหลือไทยถูกตัดลดจากปีละ 100 ล้านเหรียญ เหลือปีละ 38 ล้านเหรียญ!  มันเป็นการลดฮวบ ที่เหล่านักวิ่งผลัด ช็อกจนพูดไม่ออก นักวิ่งผลัดเริ่มแตกคอกัน นักศึกษาและสื่อ เริ่มประท้วงเรื่องรัฐบาลทหารเผด็จการ ต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย
    แปลกดีนะ หลังจากเป็นเผด็จการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 นะ 12 ปี ไม่เคยมีใครประท้วง วันดีคืนดีการประท้วงก็เกิดขึ้น! เริ่มมีนักวิชาการ นักศึกษา เรียกร้องหาประชาธิปไตยของจริง ที่สำคัญมีหมายเหตุในรายงานทูตอเมริกันในไทย ถึงกระทรวงตปท.อเมริกัน บอกว่า นักศึกษาชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ไม่มีใครออกมาโวยเรื่องฐานทัพอเมริกาในไทย จังหวะเวลามันให้บังเอิญดีจริงนึกให้ดีๆ แล้วลองตีโจทก์กันเองบ้าง
    นอกจากนี้ ในรายงานของ CIA ระบุว่า นายคิสซิงเจอร์ ในฐานะรมว. ตปท. อเมริกาได้สนทนากับนายลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ขณะนั้นเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2516
    นายลีบอกว่า สถานการณ์ไทยน่าเป็นห่วงนะ ถ้าเขมรไป ไอว่าถนอม ประภาส คงอยู่ได้ไม่เกิน 18 เดือน ก่อนเก็บของเปิดก้นวิ่งหนีแน่ ยูควรบอกเขานะ ว่ายูจะดูแลเขา ไอคุยกับชาติชายไปแล้ว ว่ายูจะดูแลเขา แต่ยูบอกเองดีกว่า
    นายคิสซิงเจอร์บอกว่า นี่ท่านนายก (ลี) เราก็พยายามอดทนมากนะ เราก็ต้องผ่านความยากลำบากมาเหมือน กัน เราก็ต้องคิดว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร
    นายลีบอก ยูต้องบอกให้ถนอม ประภาส รู้เรื่องนะ ว่ายูไม่สนับสนุนปฏิวัติ หรือยูจะดำเนินการอื่น นายคิสซิงเจอร์ บอกว่า เราไม่สนับสนุนปฏิวัติหรอก แต่เราจะดูหนทางดำเนินการอื่น…(ไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองนะ ครับ บทสนทนาข้างต้นน่ะ อยู่ในรายงานของ CIA ล้วนๆ)


    คนเล่านิทาน
    ๘-๖

    ของแถมประจำวันนี้

    เป็นเอกสารบันทึกการประชุม ที่มีนาย Henry Kissinger รมว ตปท อเมริกา
    กับ คณะ การสนทนาส่วนหนึ่ง ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่อเมริกาเข้ามาใช้บ้านเราเป็น
    ฐานทัพนั้น ไม่มีสัญญา เป็นทางการกับเรา
    นาย Habib ผู้ชี้แจง คือ นาย Philip Habib นักการทูต ผู้ชำนาญเกีี่ยวกับเอเซีย
    และมีอิทธิพลสูงในช่วงสงครามเวียตนาม
    ๙-๒
    ของแถมอีกชิ้น
    เอกสาร อันนี้เป็น Memorandum เมื่อ February 27, 1967
    จาก Asst Secretary of State ถึง Secreatary of State Rusk
    เกี่ยวกับการใช้ฐานทัพไทย แบบใช้ของเถื่อน ไม่มีหลักฐาน
    เชิญอ่านกันครับ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร บอกกันบ้าง
    ๙-๓-1
    ของแถมชิ้นโปรด
    รายงาน ชนิดลับสุดยอด ข้อความกลายแห่งถูกตัดออก
    แต่พอ อ่านได้ ถึงประโยคทอง ..”trust us, we know what to do”
    จาก ทูต Unger ถึง กระทรวง ตปท อเมริกา เมื่อ August 9, 1968
     ตอน 9 ระหว่างที่สงครามเวียตนามกำลังเริ่มเข้าขั้นโคม่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 (ค.ศ.1967) พี่เบิ้มเริ่มเป็นฝ่ายรับ พี่เบิ้มจึงเปลี่ยนมาใช้แผน 2 (แผน 2 หน้า) หน้าหนึ่งก็เริ่มให้มีการเดินสายเล่นบทเจรจา ระหว่างรัฐมนตรีตปท.คนสำคัญของพี่เบิ้มกับทางเวียตนาม คนมีเสน่ห์ เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger) รมต ตปท ของพี่เบิ้มสมัยนั้น เดินทางเป็นว่าเล่น เหมือนคุณนาย คลินตัน (Clinton) ตอนรัฐบาลโอบามา (Obama 1) นั่นแหละ อีกหน้าหนึ่งก็ส่งให้ลูกกะเป๋งทั้งหลาย ก็ใครล่ะ นึกให้ดีนะ ลุยเข้าไปถล่มคอมมี่ต่อ (โปรดสังเกตพวกพี่เบิ้ม เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน รมต.ตปท. ชีพจรลงเท้าทั้งนั้น ตอนนี้ก็เห็นบินกันว่อน ตามดูรอบตัวเรากันบ้างนะครับ) ดังนั้นปฏิบัติการลับในประเทศลาว ซึ่งฝ่ายไทยนำโดย รหัสเทพ 333 (ไปหาเอาเองนะครับว่าเป็นใคร) กับฝ่าย CIA อเมริกา จึงทำงานหนัก บินกระหน่ำถล่มคอมมิวนิสต์ที่ลาว ผลลาวแตกเป็น 2 ฝ่าย เมื่อปี พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) พี่น้องเจ้าลาวถูกเสี้ยมให้แตกกันเอง เจ้าสุวรรณภูมา ผู้พี่ วิ่งไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่เบิ้มอเมริกา เจ้าสุภานุวงศ์ คนน้อง เหม็นฝรั่ง จึงไปซบกับฝ่ายจีน แล้วลาวก็เปลี่ยนจากประเทศที่ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ เป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบสังคมนิยม ตั้งแต่ครั้งนั้น ฝีมือใครครับ โปรดไปศึกษาต่อน่าสนใจมาก ไม่ใช่เฉพาะที่ลาว ในสงครามเวียตนามเอง หลัง จากทุ่มเงินไปกว่าพันล้านเหรียญ (ใช้เงินมากกว่าตอนอเมริการบในสงครามโลกครั้งที่ 2 !) ใช้ทหารไปรบประมาณ 500,000 นาย เสียชีวิตไประหว่างรบทั้งหมดเกือบ 60,000 คน ยังไม่นับที่สูญหาย ทุพพลภาพทางกายและจิตใจ อเมริกาก็ออกอาการ ยืนพิงเชือก ปี พ.ศ.2512 (ค.ศ.1969) อเมริกาเสนอขอเจรจาสงบศึกกับเวียตนาม !!!! มันจะเป็นไปได้ยังไง อเมริกา (อ้างว่า) ลงทุนกับสงครามอินโดจีนมากมาย ทั้งด้านอาวุธ กำลังพล และกำลังทรัพย์ …ชาวประชาก็เป็นมึน กำลังรบกันเข้าฝัก ดันถอยทัพเสียอย่างนั้น ไทยแลนด์งงเป็นไก่ตาฟาง นักวิ่งผลัดวิ่งพล่านชนกันเอง เฮ้ย เฮ้ย เอาไงวะ พวก! มันเป็นไปแล้ว ก็บอกว่า เล่นแผน 2 วันที่ 25 ก.ค. พ.ศ.2512 ประธานาธิบดีนิกสันก็ประกาศ Guam Doctrine สรุปว่า พี่เบิ้มเปลี่ยนจากเหยี่ยวเป็นพิราบ (เปลี่ยนง่ายดีนะ ลูกกะเป๋งปรับตัวกันไม่ทันเลยว่ะ) จะไม่ส่งทหารไปช่วยทำสงครามกับประเทศที่ถูกรุกราน (โดยคอมมิวนิสต์) แต่จะให้ความช่วยเหลือประเทศพันธมิตรด้านเศรษฐกิจ (ฮั่นแน่!) และการทหารแทน แหม! นี่มันพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวนี่นา หลอกใครไม่รู้ แล้วไงล่ะ ไทยแลนด์ตอนให้เขาเข้ามาในบ้าน ใช้เป็นฐานทัพ เขาก็ไม่ถาม ไม่เซ็นสัญญา พอเขาจะไป เขาก็ไม่ปรึกษา บทจะไปก็เก็บฉากไปซะยังงั้น  นักวิ่งผลัดก็หน้ามืดละซิ ที่นี้จะเอาไงดี เงิน MAP ที่พี่เบิ้มเขาเคยให้ปีละ 100 ล้านเหรียญ เขาก็ลดลงเหลือ 20 กว่า ล้านเหรียญ ต๊าย ตาย ลดเยอะนะพวกเรา เดี๋ยวตอผุด เอายังไงดี อเมริกาก็ยังเป็นอเมริกา ปากบอกว่าถอนทหาร ถอยทัพ แต่ตาก็ขยิบ สั่งให้ลูกกะเป๋งไปถล่มเขมร ก็บินไปจากฐานทัพในไทยนั่นแหละ …เหล่านักวิ่งผลัด ก็เลยเห็นโอกาส ยังไม่อยากให้ยี่เกปิดฉาก นายพลเจ้าของสวนทุเรียน (ไปหาชื่อกันเองแล้วกันนะ เขียนมานี่ก็เสียวหลายเรื่องแล้ว) ก็เลยรับหน้าที่ไปเจรจากับพี่เบิ้ม ได้ไง! ยูสั่งให้ไอบิน ไอก็บิน สั่งให้ไอถล่ม ไอก็ถล่ม บอกไม่ทำสัญญา ไอก็ O.K ทหารยูทำผู้หญิงไทยท้อง ชกไอ้หนูหน้าดำผอมเกร็งแถวอีสานจนงอม ไม่ยอมขึ้นศาลไทย ไอก็ยอมหมดแล้ว …แต่เรื่องจะมาลด MAP นี่เรื่องใหญ่นะ (ของมันเคยได้น่ะ) แล้วต่อไปนี้สั่งใครเขาก็ลำบากนะ…ทุกอย่างมันต้องใช้เงินทั้ง นั้นนะ (เอะ เดี๋ยว ๆ นี่มันเรื่องสงครามเวียตนาม หรือสงครามไพร่ครองเมืองนะ คนเล่านิทานชักงง เรื่องมันคล้ายๆ กัน 555) ระหว่างเจรจาต่อรองกัน การเจรจาสันติภาพที่ปารีสเกิดสะดุด ฮานอยไม่ยอม อย่านึกว่าหมูนะ พญาอินทรี ที่พยายามจะแปลงกายเป็นนกพิราบก็เลยยั๊วะ งั้นสั่งรบต่อก็ได้ (วะ) คราวนี้ไม่รบแค่ในเวียตนาม ไอ้พวกญวนแดงอยากหนุนเขมรแดงดีนัก บอมบ์เขมรแม่มซะเลย คราวนี้กำลังรำคาญพี่ไทยที่มาแบมือขอเงินเพิ่ม พี่เบิ้มก็เลยใช้เกาะกวมเป็นฐานทัพ เจ้าของสวนทุเรียนได้ข่าว ก็รีบถลาไปเจรจาใหม่ (เขาเรียกว่าตื๊อน่ะ ถ้าจะให้พูดตรงๆ) ยูก้อ เราก็คบกันมานาน รู้ใจกัน จะเอาอะไรก็บอก ไอก็จะพยายาม ยูบินจากกวมน่ะ  มันไกลนะ เปลืองน้ำมัน กลับมาใช้ฐานทัพเราเหมือนเดิมเหอะ แต่ไอ้ MAP น่ะ ลดเหลือ 20 ล้าน มันก็เกินไปนะ ไปคิดใหม่ไป๊! ไอ้นิสัยที่ชอบใช้แผน 2 (2 หน้า) ของอเมริกานี่แหละ ก็ไม่ใช่ว่า จะรอดหูรอดตาประชาชนและสื่อของตนเองได้ การปฏิบัติการลับในเขมรจึงรั่วออกไปนิวยอร์ก ไทม์ส (N.Y Times) ลงข่าวใส่สีครบ ทำให้สภาสูงของอเมริกาซักฟอกเรื่องนี้ มีการถามถึงแผนตากสิน (Project 22) และบทบาทของไทยในลาวรวมทั้ง ข้อตกลงThanant Rusk ถึงกับมีประโยคอมตะออกมาเกี่ยวกับไทยว่า ไทยเป็นพันธมิตรดีสุดที่เงินซื้อได้ (“the Thai are the best allies money can buy”) อันนี้ปรากฏอยู่ในรายงานของอเมริกาเอง ผมไม่ได้แต่งเติม เห็นชัดหรือยังเขามองผู้บริหาร หรือรัฐบาลของเราอย่างไร ที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนบ้าง ได้แต่เดินกุมตามก้นเขา แบมือขอเงินเขา เขาต้มแล้วต้มอีก ยังไม่รู้ตัว ล่าสุด ยังแถมไปยืนกระแดะยิ้มเยิ้มให้เขาจนลือกันไปทั้งโลกไม่มียางเหลือเลยนะ ระหว่างปี พ.ศ. 2512-2516 (ค.ศ.1969-1973) การเมืองไทยเริ่มมีปัญหาอีกครั้ง เริ่มจากนายถนัด คอมันตร์ รมต.ตปท.ของไทยเร่งให้อเมริกาถอนฐานทัพจากไทย เนื่องจากนายถนัด รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ข้อตกลง Thanant Rusk นี่มันของเก๊ ประโยชน์จริงๆ ของไทยอยู่ตรงไหนหาไม่เจอ อเมริกายิ่งอยู่นานไทยแลนด์ก็ยิ่งตกอยู่ในกรงอินทรีลึกเข้าไปทุกที กระดิกกระเดี้ยไม่ออก จะเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาซะด้วยซ้ำ แต่ด้านรัฐบาลนายกถนอม กลับยังต้องการให้อเมริกาคงฐานทัพและเงินช่วยเหลือต่อไป เพราะอะไร ก็คงพอเข้าใจกัน อย่าให้ต้องพูดชัดกว่านี้เลยนะ อเมริกาเองก็ถูกบีบจากสภาสูง (Congress) ให้รีบเร่งลงนามสัญญาสันติภาพกับเวียตนาม.. เพราะที่ลง ทุนไปสร้างเรื่องรบกับเวียตนามเอาใจนักค้าอาวุธที่ควบคุมรัฐบาลอเมริกาอยู่อีกต่อหนึ่งนั่นน่ะ มันชักจะไม่คุ้ม นักค้าอาวุธได้เงินก็จริง แต่ประชาชนชาวดอกไม้บานในอเมริกาเริ่มจะโวยไม่หยุด เพราะทหารอเมริกันตายเป็นเบือ แล้วอเมริกาลงนามสัญญาสันติภาพที่ปารีส เมื่อ 28 ม.ค. พ.ศ.2516 (ค.ศ.1973) ขณะเดียวกันยังคงกองกำลังทางอากาศขนาดใหญ่และกองเรือในภูมิภาคต่อไป แต่การให้ความช่วยเหลือไทยถูกตัดลดจากปีละ 100 ล้านเหรียญ เหลือปีละ 38 ล้านเหรียญ!  มันเป็นการลดฮวบ ที่เหล่านักวิ่งผลัด ช็อกจนพูดไม่ออก นักวิ่งผลัดเริ่มแตกคอกัน นักศึกษาและสื่อ เริ่มประท้วงเรื่องรัฐบาลทหารเผด็จการ ต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย แปลกดีนะ หลังจากเป็นเผด็จการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 นะ 12 ปี ไม่เคยมีใครประท้วง วันดีคืนดีการประท้วงก็เกิดขึ้น! เริ่มมีนักวิชาการ นักศึกษา เรียกร้องหาประชาธิปไตยของจริง ที่สำคัญมีหมายเหตุในรายงานทูตอเมริกันในไทย ถึงกระทรวงตปท.อเมริกัน บอกว่า นักศึกษาชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ไม่มีใครออกมาโวยเรื่องฐานทัพอเมริกาในไทย จังหวะเวลามันให้บังเอิญดีจริงนึกให้ดีๆ แล้วลองตีโจทก์กันเองบ้าง นอกจากนี้ ในรายงานของ CIA ระบุว่า นายคิสซิงเจอร์ ในฐานะรมว. ตปท. อเมริกาได้สนทนากับนายลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ขณะนั้นเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2516 นายลีบอกว่า สถานการณ์ไทยน่าเป็นห่วงนะ ถ้าเขมรไป ไอว่าถนอม ประภาส คงอยู่ได้ไม่เกิน 18 เดือน ก่อนเก็บของเปิดก้นวิ่งหนีแน่ ยูควรบอกเขานะ ว่ายูจะดูแลเขา ไอคุยกับชาติชายไปแล้ว ว่ายูจะดูแลเขา แต่ยูบอกเองดีกว่า นายคิสซิงเจอร์บอกว่า นี่ท่านนายก (ลี) เราก็พยายามอดทนมากนะ เราก็ต้องผ่านความยากลำบากมาเหมือน กัน เราก็ต้องคิดว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร นายลีบอก ยูต้องบอกให้ถนอม ประภาส รู้เรื่องนะ ว่ายูไม่สนับสนุนปฏิวัติ หรือยูจะดำเนินการอื่น นายคิสซิงเจอร์ บอกว่า เราไม่สนับสนุนปฏิวัติหรอก แต่เราจะดูหนทางดำเนินการอื่น…(ไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองนะ ครับ บทสนทนาข้างต้นน่ะ อยู่ในรายงานของ CIA ล้วนๆ) คนเล่านิทาน ๘-๖ ของแถมประจำวันนี้ เป็นเอกสารบันทึกการประชุม ที่มีนาย Henry Kissinger รมว ตปท อเมริกา กับ คณะ การสนทนาส่วนหนึ่ง ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่อเมริกาเข้ามาใช้บ้านเราเป็น ฐานทัพนั้น ไม่มีสัญญา เป็นทางการกับเรา นาย Habib ผู้ชี้แจง คือ นาย Philip Habib นักการทูต ผู้ชำนาญเกีี่ยวกับเอเซีย และมีอิทธิพลสูงในช่วงสงครามเวียตนาม ๙-๒ ของแถมอีกชิ้น เอกสาร อันนี้เป็น Memorandum เมื่อ February 27, 1967 จาก Asst Secretary of State ถึง Secreatary of State Rusk เกี่ยวกับการใช้ฐานทัพไทย แบบใช้ของเถื่อน ไม่มีหลักฐาน เชิญอ่านกันครับ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร บอกกันบ้าง ๙-๓-1 ของแถมชิ้นโปรด รายงาน ชนิดลับสุดยอด ข้อความกลายแห่งถูกตัดออก แต่พอ อ่านได้ ถึงประโยคทอง ..”trust us, we know what to do” จาก ทูต Unger ถึง กระทรวง ตปท อเมริกา เมื่อ August 9, 1968
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • สอท. คืนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 42,126 บาท ให้ข้าราชการบำนาญเชียงราย! ผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์ผ่าน บช.สอท. หลังถูกหลอก 50,000 บาท ผบช.สอท. นำทีมมอบเงินคืนด้วยตนเอง โครงการ “Money Cash Back” เยียวยาประชาชน แจ้งความได้ที่ www.thaipoliceonline.com หรือโทร 1441

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000072357

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สอท. คืนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 42,126 บาท ให้ข้าราชการบำนาญเชียงราย! ผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์ผ่าน บช.สอท. หลังถูกหลอก 50,000 บาท ผบช.สอท. นำทีมมอบเงินคืนด้วยตนเอง โครงการ “Money Cash Back” เยียวยาประชาชน แจ้งความได้ที่ www.thaipoliceonline.com หรือโทร 1441 อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000072357 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัครสมาชิกช่อง SONDHITALK ใน YouTube เดือนละ 100 บาท เพื่อร่วมสนับสนุนรายการของเราอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

    เปิด YouTube → ไปที่ช่อง SONDHITALK

    1 → Android คลิกปุ่ม “สมัคร” “Join”
    1.2 → (iOS) คลิกคำอธิบาย “เพิ่มเติม” หรือ "...more"
    1.3 → (iOS) เมื่อ popup ขึ้น ให้คลิก Link สมัครสมาชิก Membership
    1.4 → (iOS) แล้วเลือก default browser App หรือ แอปเบราว์เซอร์เริ่มต้น

    2. เมื่อเข้าหน้าสมัคร Join this channel SONDHITALK
    - กรุณาตรวจชื่อ Email
    - เสร็จแล้วคลิก “สมัคร” หรือคลิก “Join”

    3. เลือกวิธีชำระเงินที่รองรับ (Android / iOS)
    - TrueMoney Wallet
    - Shopee Pay
    - บัตรเครดิต / เดบิต
    - เรียกเก็บผ่านเบอร์มือถือ (เฉพาะบน Android เท่านั้น)

    4. เมื่อท่านเลือกข้อมูลที่ต้องการผูกหักเงินได้แล้ว หรือ กรอกข้อมูลถูกต้อง ตามที่ระบบต้องการแล้ว
    - ให้คลิก “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy”
    - เพื่อยืนยันการสมัคร

    5. เมื่อท่านทำรายการ “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy” สำเร็จแล้ว ท่านจะเห็นข้อความ

    "ยินดีต้อนรับ"
    "เรายินดีอย่างยิ่งที่มีคุณเป็นสมาชิก"

    หมายเหตุ
    - ระบบการชำระเงินจะผูกกับ Google Account ของคุณ
    - ระบบจะขอ “ยืนยันตัวตน” หลังคลิก “ซื้อ / สมัครใช้บริการ / Buy”
    - ท่านอาจต้องให้ใส่ รหัสผ่าน ของ Gmail ที่คุณใช้กับ YouTube
    - หรือถ้าใช้มือถือรุ่นใหม่ → ใช้ สแกนนิ้ว / สแกนหน้า (Face ID) แทนได้เลย

    ระบบจะหักเงินอัตโนมัติทุกเดือนจนกว่าจะยกเลิก

    ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนับสนุน
    SONDHITALK
    ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว

    ทางเข้าช่อง >> https://www.youtube.com/@sondhitalk

    ติดต่อสอบถาม Line ID เพิ่มเพื่อนชื่อ @sondhitalk
    หรือคลิกเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/hBk0QJF

    #sondhitalk #สนธิ #youtube #สมัครสมาชิก #membership #thaitimes
    สมัครสมาชิกช่อง SONDHITALK ใน YouTube เดือนละ 100 บาท เพื่อร่วมสนับสนุนรายการของเราอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เปิด YouTube → ไปที่ช่อง SONDHITALK 1 → Android คลิกปุ่ม “สมัคร” “Join” 1.2 → (iOS) คลิกคำอธิบาย “เพิ่มเติม” หรือ "...more" 1.3 → (iOS) เมื่อ popup ขึ้น ให้คลิก Link สมัครสมาชิก Membership 1.4 → (iOS) แล้วเลือก default browser App หรือ แอปเบราว์เซอร์เริ่มต้น 2. เมื่อเข้าหน้าสมัคร Join this channel SONDHITALK - กรุณาตรวจชื่อ Email - เสร็จแล้วคลิก “สมัคร” หรือคลิก “Join” 3. เลือกวิธีชำระเงินที่รองรับ (Android / iOS) - TrueMoney Wallet - Shopee Pay - บัตรเครดิต / เดบิต - เรียกเก็บผ่านเบอร์มือถือ (เฉพาะบน Android เท่านั้น) 4. เมื่อท่านเลือกข้อมูลที่ต้องการผูกหักเงินได้แล้ว หรือ กรอกข้อมูลถูกต้อง ตามที่ระบบต้องการแล้ว - ให้คลิก “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy” - เพื่อยืนยันการสมัคร 5. เมื่อท่านทำรายการ “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy” สำเร็จแล้ว ท่านจะเห็นข้อความ "ยินดีต้อนรับ" "เรายินดีอย่างยิ่งที่มีคุณเป็นสมาชิก" หมายเหตุ - ระบบการชำระเงินจะผูกกับ Google Account ของคุณ - ระบบจะขอ “ยืนยันตัวตน” หลังคลิก “ซื้อ / สมัครใช้บริการ / Buy” - ท่านอาจต้องให้ใส่ รหัสผ่าน ของ Gmail ที่คุณใช้กับ YouTube - หรือถ้าใช้มือถือรุ่นใหม่ → ใช้ สแกนนิ้ว / สแกนหน้า (Face ID) แทนได้เลย 🔁 ระบบจะหักเงินอัตโนมัติทุกเดือนจนกว่าจะยกเลิก ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนับสนุน ✨SONDHITALK✨ ✨ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว✨ ทางเข้าช่อง >> https://www.youtube.com/@sondhitalk ติดต่อสอบถาม Line ID เพิ่มเพื่อนชื่อ @sondhitalk หรือคลิกเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/hBk0QJF #sondhitalk #สนธิ #youtube #สมัครสมาชิก #membership #thaitimes
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1692 มุมมอง 0 รีวิว
  • When To Use “I” Or “Me”

    Is it “my friends and I” or “my friends and me”? Both I and me are pronouns. But there’s a clear difference between the two: I is what is known as a subject pronoun, and me is an object pronoun.

    So what exactly does that mean?

    The difference between I and me
    The pronoun I can be used as the subject of a sentence, and me can only be used as the object of one. I can perform an action, while me can only have actions performed upon it.

    When to use I
    A subject pronoun can replace the noun (person, place, or thing) that’s performing the action (or verb) in any sentence. I is most often used as the subject of a verb. I can do things. You can say things like “I ran” or “I sneezed.” This rules applies when there is more than one noun as the subject. For example: Jennifer and I researched Isabel Allende for class. How do you know whether to use I or me here? First, ignore Jennifer and. Consider each pronoun individually. Is “I researched” or “me researched” correct? The answer is “I researched.” So I is the right pronoun to use in this case.

    Traditionally, the use of I is also appropriate when it follows a linking verb like is, was, or were. Linking verbs express a state of being rather than describing an action. They’re usually paired with subject pronouns. Technically, that means saying it is I is correct, but English speakers tend to use it is me informally as well.

    Examples of I in a sentence
    I fixed the remote control. (subject)
    My husband and I checked into the hotel. (subject)
    Could I speak to Vanessa? – It is I. (after a linking verb)

    When to use me
    An object pronoun may replace a sentence’s direct object, indirect object, or the object of the preposition. The object pronoun me is typically used as the direct or indirect object of a sentence. It receives the action of the verb or shows the result of the action. So you shouldn’t really say “Me ran.” You can say “My dog ran to me,” because in this case me is receiving the action of the dog running.

    As we’ve already noted, the use of me is also appropriate following a linking verb like is, was, or were.

    Examples of me in a sentence
    My grandfather bought me a book. (object)
    Give me the money. (object)
    Albert, is that you? – Yes, it’s me. (after a linking verb)

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    When To Use “I” Or “Me” Is it “my friends and I” or “my friends and me”? Both I and me are pronouns. But there’s a clear difference between the two: I is what is known as a subject pronoun, and me is an object pronoun. So what exactly does that mean? The difference between I and me The pronoun I can be used as the subject of a sentence, and me can only be used as the object of one. I can perform an action, while me can only have actions performed upon it. When to use I A subject pronoun can replace the noun (person, place, or thing) that’s performing the action (or verb) in any sentence. I is most often used as the subject of a verb. I can do things. You can say things like “I ran” or “I sneezed.” This rules applies when there is more than one noun as the subject. For example: Jennifer and I researched Isabel Allende for class. How do you know whether to use I or me here? First, ignore Jennifer and. Consider each pronoun individually. Is “I researched” or “me researched” correct? The answer is “I researched.” So I is the right pronoun to use in this case. Traditionally, the use of I is also appropriate when it follows a linking verb like is, was, or were. Linking verbs express a state of being rather than describing an action. They’re usually paired with subject pronouns. Technically, that means saying it is I is correct, but English speakers tend to use it is me informally as well. Examples of I in a sentence I fixed the remote control. (subject) My husband and I checked into the hotel. (subject) Could I speak to Vanessa? – It is I. (after a linking verb) When to use me An object pronoun may replace a sentence’s direct object, indirect object, or the object of the preposition. The object pronoun me is typically used as the direct or indirect object of a sentence. It receives the action of the verb or shows the result of the action. So you shouldn’t really say “Me ran.” You can say “My dog ran to me,” because in this case me is receiving the action of the dog running. As we’ve already noted, the use of me is also appropriate following a linking verb like is, was, or were. Examples of me in a sentence My grandfather bought me a book. (object) Give me the money. (object) Albert, is that you? – Yes, it’s me. (after a linking verb) © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองจินตนาการว่าเห็นโลโก้บริษัทฉายบนตึก Burj Khalifa ยักษ์สุดหรูในดูไบ — พูดกันตรงๆ ใครจะไม่เชื่อว่า legit! → แต่จริง ๆ แล้ว OmegaPro คือโครงการ Ponzi Scheme ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ "ดูน่าเชื่อถือ" โดยใช้กลยุทธ์ทั้งการฉายโลโก้, จัดงานเทรนนิ่งหรู, และโชว์ชีวิตฟู่ฟ่าเพื่อหลอกผู้คนให้ลงทุน → ผู้เสียหายถูกล่อลวงให้ซื้อ “แพ็กเกจการลงทุนคริปโต” โดยอ้างว่าจะมีการเทรดฟอเร็กซ์โดย “เทรดเดอร์ระดับโลก” → แต่ในความจริง เงินถูกโอนเข้ากระเป๋าเครือข่ายผู้บริหารผ่านวอลเล็ตที่พวกเขาควบคุมเอง!

    เมื่อต้นปี 2023 OmegaPro อ้างว่าระบบถูกแฮ็ก และจะย้ายเงินไปยังแพลตฟอร์มชื่อ “Broker Group” → แต่เหยื่อไม่มีใครถอนเงินได้เลย → สุดท้ายถูก DoJ ตั้งข้อหาหลายกระทง รวมถึง conspiracy to commit wire fraud และ conspiracy to commit money laundering

    ตอนนี้ผู้ต้องหาหลักคือ
    - Michael Shannon Sims → ผู้ก่อตั้งและโปรโมตบริษัท
    - Juan Carlos Reynoso → ผู้นำปฏิบัติการในละตินอเมริกา

    ทั้งสองอาจโดนโทษจำคุกสูงสุด 20 ปีในแต่ละข้อหา หากศาลตัดสินว่าผิดจริง

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) ตั้งข้อหาหลอกลวงคริปโต OmegaPro มูลค่ากว่า $650M
    • หลอกให้ลงทุนโดยอ้างผลตอบแทน 300% ภายใน 16 เดือน  
    • แนะนำให้ชำระเงินด้วยคริปโตเพื่อซื้อ “แพ็กเกจการลงทุน”  
    • อ้างว่ามีเทรดเดอร์มืออาชีพดูแลเงิน

    ผู้ต้องหา:  
    • Michael Shannon Sims → ผู้ก่อตั้ง–โปรโมต OmegaPro  
    • Juan Carlos Reynoso → ผู้นำฝั่งละตินอเมริกา

    กลยุทธ์ลวงตา:  
    • ฉายโลโก้บน Burj Khalifa เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ  
    • โชว์รถหรู–เที่ยวหรูบนโซเชียล  
    • จัดงานเทรนนิ่งระดับโลก

    ปี 2023 OmegaPro อ้างว่าถูก hack → ย้ายเงินไป Broker Group แต่ถอนไม่ได้  
    • เงินถูกล้างผ่านวอลเล็ตของผู้บริหารแล้วโอนเข้ากลุ่ม insider

    ข้อหาที่ได้รับ:  
    • สมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงผ่านระบบสื่อสาร (wire fraud)  
    • สมรู้ร่วมคิดฟอกเงิน → โทษสูงสุด 20 ปี/ข้อหา

    ผู้ร่วมขบวนการอื่น เช่น Andreas Szakacs ถูกจับในตุรกีฐานฉ้อโกง $4B ผ่านระบบ Ponzi คริปโตอีกแห่ง

    https://www.techspot.com/news/108609-doj-charges-two-men-over-650-million-crypto.html
    ลองจินตนาการว่าเห็นโลโก้บริษัทฉายบนตึก Burj Khalifa ยักษ์สุดหรูในดูไบ — พูดกันตรงๆ ใครจะไม่เชื่อว่า legit! → แต่จริง ๆ แล้ว OmegaPro คือโครงการ Ponzi Scheme ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ "ดูน่าเชื่อถือ" โดยใช้กลยุทธ์ทั้งการฉายโลโก้, จัดงานเทรนนิ่งหรู, และโชว์ชีวิตฟู่ฟ่าเพื่อหลอกผู้คนให้ลงทุน → ผู้เสียหายถูกล่อลวงให้ซื้อ “แพ็กเกจการลงทุนคริปโต” โดยอ้างว่าจะมีการเทรดฟอเร็กซ์โดย “เทรดเดอร์ระดับโลก” → แต่ในความจริง เงินถูกโอนเข้ากระเป๋าเครือข่ายผู้บริหารผ่านวอลเล็ตที่พวกเขาควบคุมเอง! เมื่อต้นปี 2023 OmegaPro อ้างว่าระบบถูกแฮ็ก และจะย้ายเงินไปยังแพลตฟอร์มชื่อ “Broker Group” → แต่เหยื่อไม่มีใครถอนเงินได้เลย → สุดท้ายถูก DoJ ตั้งข้อหาหลายกระทง รวมถึง conspiracy to commit wire fraud และ conspiracy to commit money laundering ตอนนี้ผู้ต้องหาหลักคือ - Michael Shannon Sims → ผู้ก่อตั้งและโปรโมตบริษัท - Juan Carlos Reynoso → ผู้นำปฏิบัติการในละตินอเมริกา ทั้งสองอาจโดนโทษจำคุกสูงสุด 20 ปีในแต่ละข้อหา หากศาลตัดสินว่าผิดจริง ✅ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) ตั้งข้อหาหลอกลวงคริปโต OmegaPro มูลค่ากว่า $650M • หลอกให้ลงทุนโดยอ้างผลตอบแทน 300% ภายใน 16 เดือน   • แนะนำให้ชำระเงินด้วยคริปโตเพื่อซื้อ “แพ็กเกจการลงทุน”   • อ้างว่ามีเทรดเดอร์มืออาชีพดูแลเงิน ✅ ผู้ต้องหา:   • Michael Shannon Sims → ผู้ก่อตั้ง–โปรโมต OmegaPro   • Juan Carlos Reynoso → ผู้นำฝั่งละตินอเมริกา ✅ กลยุทธ์ลวงตา:   • ฉายโลโก้บน Burj Khalifa เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ   • โชว์รถหรู–เที่ยวหรูบนโซเชียล   • จัดงานเทรนนิ่งระดับโลก ✅ ปี 2023 OmegaPro อ้างว่าถูก hack → ย้ายเงินไป Broker Group แต่ถอนไม่ได้   • เงินถูกล้างผ่านวอลเล็ตของผู้บริหารแล้วโอนเข้ากลุ่ม insider ✅ ข้อหาที่ได้รับ:   • สมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงผ่านระบบสื่อสาร (wire fraud)   • สมรู้ร่วมคิดฟอกเงิน → โทษสูงสุด 20 ปี/ข้อหา ✅ ผู้ร่วมขบวนการอื่น เช่น Andreas Szakacs ถูกจับในตุรกีฐานฉ้อโกง $4B ผ่านระบบ Ponzi คริปโตอีกแห่ง https://www.techspot.com/news/108609-doj-charges-two-men-over-650-million-crypto.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    DOJ charges two men over $650 million crypto Ponzi scheme that promised 300% returns
    The DoJ writes that an indictment was unsealed yesterday in the District of Puerto Rico charging two men for their alleged roles in operating and promoting OmegaPro.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา Luckin Coffee แบรนด์กาแฟจากจีน เปิด 2 สาขาแรกในนิวยอร์ก มีที่ 755 Broadway (East Village) และ 800 6th Avenue (NoMad)

    Luckin Coffee จำหน่ายกาแฟผ่านแอปเท่านั้น เช่น Drip Coffee ราคา $3.45 และเมนูอื่นเริ่มต้นที่ $2–3 มุ่งเจาะกลุ่ม Gen Z นักศึกษา และนักท่องเที่ยว

    ก่อตั้งในปี 2017 ปัจจุบันมีมากกว่า 24,000 สาขาในจีน กลายเป็นแบรนด์กาแฟใหญ่ที่สุดของประเทศจีนครับ

    ที่มา : USA Today : https://www.usatoday.com/story/money/food/2025/06/30/luckin-coffee-new-york-city/84424643007/
    เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา Luckin Coffee แบรนด์กาแฟจากจีน เปิด 2 สาขาแรกในนิวยอร์ก มีที่ 755 Broadway (East Village) และ 800 6th Avenue (NoMad) Luckin Coffee จำหน่ายกาแฟผ่านแอปเท่านั้น เช่น Drip Coffee ราคา $3.45 และเมนูอื่นเริ่มต้นที่ $2–3 มุ่งเจาะกลุ่ม Gen Z นักศึกษา และนักท่องเที่ยว ก่อตั้งในปี 2017 ปัจจุบันมีมากกว่า 24,000 สาขาในจีน กลายเป็นแบรนด์กาแฟใหญ่ที่สุดของประเทศจีนครับ ที่มา : USA Today : https://www.usatoday.com/story/money/food/2025/06/30/luckin-coffee-new-york-city/84424643007/
    WWW.USATODAY.COM
    China's largest coffee chain known for cashier-less stores opens US locations
    Luckin Coffee, the largest coffee chain in China, has branched into the US with two New York City locations that opened Monday, June 30.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 445 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องราวเริ่มจาก Chetal และพวก 2 คน ใช้เทคนิค social engineering ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ Google/Yahoo หลอกเหยื่อจากวอชิงตัน ดี.ซี. จนสามารถขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 เหรียญ มูลค่าราว $245 ล้าน (และตอนนี้ขึ้นมาเกือบ $440 ล้านแล้ว!)

    จากนั้นเขาใช้เงินที่ได้ไปใช้ชีวิตหรูหราทั้งซื้อรถ, เช่าคฤหาสน์, ปาร์ตี้ไนต์คลับ และเครื่องเพชร — จนกลายเป็นเป้าสายตาแบบเต็ม ๆ

    และเรื่องดันบานปลาย เมื่อ พ่อแม่ของ Chetal ถูกกลุ่มอาชญากรจากฟลอริดารุมทำร้าย-ลักพาตัว แบบกลางวันแสก ๆ ด้วยการเอารถชน, มัดมือ, ยัดใส่รถตู้ — แต่โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ FBI นอกเครื่องแบบอยู่ใกล้ ๆ และช่วยได้ทัน

    ต่อมา FBI บุกค้นบ้าน พบเงินสด $500,000 และคริปโตอีก $39 ล้าน ซ้ำยังพบว่า Chetal เคยก่อเหตุแบบเดียวกันอีกเกือบ 50 ครั้ง รวมรายได้อีก $3 ล้าน

    ตอนนี้ Chetal ยอมรับผิดและให้ความร่วมมือกับทางการ เพื่อแลกกับโทษที่เบาลง — แต่อาจต้องติดคุก 19–24 ปี, ถูกปรับสูงสุด $500,000 และอาจ ถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะเป็นผู้ย้ายถิ่นตั้งแต่ยังเด็ก

    ข้อมูลจากข่าว:
    Veer Chetal และพรรคพวกขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 BTC มูลค่า $245 ล้าน ในเดือนส.ค. 2024  
    • ใช้การหลอกลวงแบบ social engineering ด้วยการปลอมเป็นเจ้าหน้าที่บริการเว็บชื่อดัง

    หลังการขโมย Chetal ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย  
    • ซื้อรถหรู, เครื่องเพชร, เช่าคฤหาสน์ และปาร์ตี้อย่างรื่นเริง

    พ่อแม่ของเขาถูกกลุ่มชายจากฟลอริดาลักพาตัวกลางวันแสก ๆ ด้วยความรุนแรง  
    • โชคดีที่มี FBI อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ช่วยไว้ได้ทัน

    FBI ค้นบ้านพบ $500,000 เงินสด และ crypto อีก $39 ล้าน  
    • ตรวจพบว่ามีคดีคล้ายกันอีก 50 ครั้ง รวมเงิน $3 ล้าน

    Chetal ยอมรับผิดข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน  
    • เตรียมรับโทษจำคุก 19–24 ปี และปรับ $50,000–$500,000 พร้อมชดใช้เหยื่อ  
    • อาจถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ

    พ่อของเขาถูกไล่ออกจาก Morgan Stanley จากเหตุผลเกี่ยวกับคดีนี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/man-behind-usd245m-bitcoin-theft-has-bizarre-tale-that-includes-kidnapped-parents-fraud-and-money-laundering-suspect-now-faces-up-to-24-years-in-prison-half-million-dollar-fine-and-possible-deportation-to-india
    เรื่องราวเริ่มจาก Chetal และพวก 2 คน ใช้เทคนิค social engineering ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ Google/Yahoo หลอกเหยื่อจากวอชิงตัน ดี.ซี. จนสามารถขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 เหรียญ มูลค่าราว $245 ล้าน (และตอนนี้ขึ้นมาเกือบ $440 ล้านแล้ว!) จากนั้นเขาใช้เงินที่ได้ไปใช้ชีวิตหรูหราทั้งซื้อรถ, เช่าคฤหาสน์, ปาร์ตี้ไนต์คลับ และเครื่องเพชร — จนกลายเป็นเป้าสายตาแบบเต็ม ๆ และเรื่องดันบานปลาย เมื่อ พ่อแม่ของ Chetal ถูกกลุ่มอาชญากรจากฟลอริดารุมทำร้าย-ลักพาตัว แบบกลางวันแสก ๆ ด้วยการเอารถชน, มัดมือ, ยัดใส่รถตู้ — แต่โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ FBI นอกเครื่องแบบอยู่ใกล้ ๆ และช่วยได้ทัน ต่อมา FBI บุกค้นบ้าน พบเงินสด $500,000 และคริปโตอีก $39 ล้าน ซ้ำยังพบว่า Chetal เคยก่อเหตุแบบเดียวกันอีกเกือบ 50 ครั้ง รวมรายได้อีก $3 ล้าน ตอนนี้ Chetal ยอมรับผิดและให้ความร่วมมือกับทางการ เพื่อแลกกับโทษที่เบาลง — แต่อาจต้องติดคุก 19–24 ปี, ถูกปรับสูงสุด $500,000 และอาจ ถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะเป็นผู้ย้ายถิ่นตั้งแต่ยังเด็ก ✅ ข้อมูลจากข่าว: ✅ Veer Chetal และพรรคพวกขโมย Bitcoin จำนวน 4,100 BTC มูลค่า $245 ล้าน ในเดือนส.ค. 2024   • ใช้การหลอกลวงแบบ social engineering ด้วยการปลอมเป็นเจ้าหน้าที่บริการเว็บชื่อดัง ✅ หลังการขโมย Chetal ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย   • ซื้อรถหรู, เครื่องเพชร, เช่าคฤหาสน์ และปาร์ตี้อย่างรื่นเริง ✅ พ่อแม่ของเขาถูกกลุ่มชายจากฟลอริดาลักพาตัวกลางวันแสก ๆ ด้วยความรุนแรง   • โชคดีที่มี FBI อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ช่วยไว้ได้ทัน ✅ FBI ค้นบ้านพบ $500,000 เงินสด และ crypto อีก $39 ล้าน   • ตรวจพบว่ามีคดีคล้ายกันอีก 50 ครั้ง รวมเงิน $3 ล้าน ✅ Chetal ยอมรับผิดข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน   • เตรียมรับโทษจำคุก 19–24 ปี และปรับ $50,000–$500,000 พร้อมชดใช้เหยื่อ   • อาจถูกเนรเทศกลับอินเดีย เพราะไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯ ✅ พ่อของเขาถูกไล่ออกจาก Morgan Stanley จากเหตุผลเกี่ยวกับคดีนี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/man-behind-usd245m-bitcoin-theft-has-bizarre-tale-that-includes-kidnapped-parents-fraud-and-money-laundering-suspect-now-faces-up-to-24-years-in-prison-half-million-dollar-fine-and-possible-deportation-to-india
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Man behind $245m Bitcoin theft has bizarre tale that includes kidnapped parents, fraud, and money laundering — suspect now faces up to 24 years in prison, half-million-dollar fine, and possible deportation to India
    Connecticut man’s parents were kidnapped shortly after the BTC theft. The father allegedly lost his job at Morgan Stanley due to his son’s nefarious activities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 551 มุมมอง 0 รีวิว
  • การยื่นขออนุญาตจัดตั้ง Virtual Bank หรือ ธนาคารไร้สาขาในประทเศไทย ล่าสุดเมื่อ19 มิถุนายน 2568 กระทรวงการคลัง โดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ประกาศรายชื่อ 3 กลุ่มที่ได้รับไฟเขียวให้เดินหน้าจัดตั้ง Virtual Bank อย่างเป็นทางการแล้ว .โดย 3 กลุ่มที่ได้รับความเห็นชอบ ได้แก่.1. บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด”.บริษัทนี้คือบริษัทในเครือ Ascend Money ผู้ให้บริการ TrueMoney ที่มีฐานผู้ใช้บริการจำนวนมากและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในระบบธนาคารแบบเดิมได้ ผนึกกำลังกับ CP Group ที่มีความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายค้าปลีก และ Ant Financial บริษัทภายใต้ Alibaba ที่สนับสนุนด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน) กลุ่มนี้เรียกว่าเป็นกลุ่มที่มีฐานผู้ใช้บริการจำนวนมาก การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงินได้ และมีเทคโนโลยีสินเชื่อและเครือข่ายค้าปลีกที่แข็งแกร่งเช่นกัน.2. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน).กลุ่มนี้เป็นการรวมตัวของธนาคารใหญ่ของรัฐอย่างธนาคารกรุงไทย ที่มีฐานลูกค้าจำนวนมากและประสบการณ์ด้านการเงิน พร้อมด้วย AIS ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ ที่มีฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลและเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล รวมถึง PTTOR หรือ โออาร์ ที่มีเครือข่ายปั๊มน้ำมันและร้านค้าปลีกครอบคลุมทั่วประเทศ ลองนึกภาพว่าเราเติมน้ำมันที่ปั๊มโออาร์ แล้วใช้แอป Virtual Bank ของกลุ่มนี้สแกนจ่าย หรือรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ทันที สะดวกสุดๆ เลยใช่ไหมคะ.3. บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ WeTechnology Limited และ KakaoBank Corp..กลุ่มนี้เป็นการรวมตัวกันของ SCBX ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีศักยภาพด้านการเงินและเทคโนโลยีสูง จับมือกับ WeTechnology Limited และ KakaoBank Corp. ซึ่ง KakaoBank เป็นธนาคารดิจิทัลชั้นนำจากเกาหลีใต้ ที่มีประสบการณ์ตรงและเชี่ยวชาญในการทำ Virtual Bank .แล้วยังไงต่อ?.กลุ่มที่ได้รับความเห็นชอบทั้ง 3 รายนี้ จะต้องดำเนินการจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด รวมถึงต้องผ่านการประเมินความพร้อมจาก ธปท. ก่อนที่จะยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Bank จากนั้นจะต้องเปิดดำเนินการภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันนี้ ก็คือภายในวันที่ 19 มิถุนายน 2569 นั่นเอง.สำหรับใครที่สงสัยว่า Virtual Bank คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และจะเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงินไทยได้อย่างไรบ้าง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.marketingoops.com/reports/fast-fact-reports/what-is-virtual-bank-thailand/ ที่มา MarketingOops
    การยื่นขออนุญาตจัดตั้ง Virtual Bank หรือ ธนาคารไร้สาขาในประทเศไทย ล่าสุดเมื่อ19 มิถุนายน 2568 กระทรวงการคลัง โดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ประกาศรายชื่อ 3 กลุ่มที่ได้รับไฟเขียวให้เดินหน้าจัดตั้ง Virtual Bank อย่างเป็นทางการแล้ว .โดย 3 กลุ่มที่ได้รับความเห็นชอบ ได้แก่.1. บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด”.บริษัทนี้คือบริษัทในเครือ Ascend Money ผู้ให้บริการ TrueMoney ที่มีฐานผู้ใช้บริการจำนวนมากและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในระบบธนาคารแบบเดิมได้ ผนึกกำลังกับ CP Group ที่มีความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายค้าปลีก และ Ant Financial บริษัทภายใต้ Alibaba ที่สนับสนุนด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน) กลุ่มนี้เรียกว่าเป็นกลุ่มที่มีฐานผู้ใช้บริการจำนวนมาก การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงินได้ และมีเทคโนโลยีสินเชื่อและเครือข่ายค้าปลีกที่แข็งแกร่งเช่นกัน.2. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน).กลุ่มนี้เป็นการรวมตัวของธนาคารใหญ่ของรัฐอย่างธนาคารกรุงไทย ที่มีฐานลูกค้าจำนวนมากและประสบการณ์ด้านการเงิน พร้อมด้วย AIS ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ ที่มีฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลและเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล รวมถึง PTTOR หรือ โออาร์ ที่มีเครือข่ายปั๊มน้ำมันและร้านค้าปลีกครอบคลุมทั่วประเทศ ลองนึกภาพว่าเราเติมน้ำมันที่ปั๊มโออาร์ แล้วใช้แอป Virtual Bank ของกลุ่มนี้สแกนจ่าย หรือรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ทันที สะดวกสุดๆ เลยใช่ไหมคะ.3. บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ WeTechnology Limited และ KakaoBank Corp..กลุ่มนี้เป็นการรวมตัวกันของ SCBX ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีศักยภาพด้านการเงินและเทคโนโลยีสูง จับมือกับ WeTechnology Limited และ KakaoBank Corp. ซึ่ง KakaoBank เป็นธนาคารดิจิทัลชั้นนำจากเกาหลีใต้ ที่มีประสบการณ์ตรงและเชี่ยวชาญในการทำ Virtual Bank .แล้วยังไงต่อ?.กลุ่มที่ได้รับความเห็นชอบทั้ง 3 รายนี้ จะต้องดำเนินการจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด รวมถึงต้องผ่านการประเมินความพร้อมจาก ธปท. ก่อนที่จะยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Bank จากนั้นจะต้องเปิดดำเนินการภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันนี้ ก็คือภายในวันที่ 19 มิถุนายน 2569 นั่นเอง.สำหรับใครที่สงสัยว่า Virtual Bank คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และจะเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงินไทยได้อย่างไรบ้าง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.marketingoops.com/reports/fast-fact-reports/what-is-virtual-bank-thailand/ ที่มา MarketingOops
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 594 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูม! เงินเปื้อนเลือด: ผู้ทรยศผู้นำสูงสุด — เปิดโปงการจ่ายเงิน 1.7 พันล้านเหรียญของโอบามาให้กับอิหร่าน — ทรัมป์เรียกร้องความยุติธรรมในขณะที่กลุ่มใต้ดินซ่อนตัว [วิดีโอ]

    โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ เปิดโปงการจ่ายเงินสด 1.7 พันล้านเหรียญของบารัค โอบามาให้กับอิหร่าน — การกระทำที่เป็นการทรยศโดยตรงที่รัฐสภา เอฟบีไอ และกระทรวงยุติธรรมเพิกเฉย คนทรยศถูกเปิดเผยชื่อ การทรยศนั้นเป็นเรื่องจริง และความยุติธรรมไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป

    วิดีโอนี้ถูกลบออกจากทุกแพลตฟอร์ม (รวมถึง Google) เมื่อหลายปีก่อน ฉันใช้เวลานานมากในการค้นหา

    นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นั่นคือการลบที่ควบคุมได้ มรดกที่แท้จริงของโอบามาไม่เคยเป็น "ความหวังและการเปลี่ยนแปลง" แต่เป็นการหลอกลวงและทรยศ ห่อหุ้มด้วยการบูชาสื่อและการเซ็นเซอร์ของซิลิคอนวัลเลย์

    พวกเขาล้างอินเทอร์เน็ตให้สะอาดเพราะภาพเผยให้เห็นว่าเขาเป็นใครจริงๆ:

    คอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่ต่อต้านอเมริกา
    ทรัพย์สินของ Deep State ที่ปลอมตัวเป็นประธานาธิบดี

    แต่การลบข้อมูลจำนวนมหาศาลไม่สามารถชำระล้างเงินที่หลั่งไหลมาจากเลือด เงินก้อนโตที่ส่งไปยังอิหร่าน หรือความเงียบที่เขาซื้อมาจากรัฐสภาที่ขายชาติได้

    ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมไปว่าโอบามานั้นต่อต้านอเมริกามากเพียงใด

    เราไม่ลืม ทรัมป์ไม่ลืม และจากนี้ไป โลกก็จะลืมเช่นกัน

    อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/boom-blood-money-traitor-in-chief-obamas-1-7-billion-payoff-to-iran-exposed-trump-demands-justice-while-the-deep-state-hides/
    บูม! เงินเปื้อนเลือด: ผู้ทรยศผู้นำสูงสุด — เปิดโปงการจ่ายเงิน 1.7 พันล้านเหรียญของโอบามาให้กับอิหร่าน — ทรัมป์เรียกร้องความยุติธรรมในขณะที่กลุ่มใต้ดินซ่อนตัว [วิดีโอ] 🚨 โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ เปิดโปงการจ่ายเงินสด 1.7 พันล้านเหรียญของบารัค โอบามาให้กับอิหร่าน — การกระทำที่เป็นการทรยศโดยตรงที่รัฐสภา เอฟบีไอ และกระทรวงยุติธรรมเพิกเฉย คนทรยศถูกเปิดเผยชื่อ การทรยศนั้นเป็นเรื่องจริง และความยุติธรรมไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป วิดีโอนี้ถูกลบออกจากทุกแพลตฟอร์ม (รวมถึง Google) เมื่อหลายปีก่อน ฉันใช้เวลานานมากในการค้นหา นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นั่นคือการลบที่ควบคุมได้ มรดกที่แท้จริงของโอบามาไม่เคยเป็น "ความหวังและการเปลี่ยนแปลง" แต่เป็นการหลอกลวงและทรยศ ห่อหุ้มด้วยการบูชาสื่อและการเซ็นเซอร์ของซิลิคอนวัลเลย์ พวกเขาล้างอินเทอร์เน็ตให้สะอาดเพราะภาพเผยให้เห็นว่าเขาเป็นใครจริงๆ: คอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่ต่อต้านอเมริกา ทรัพย์สินของ Deep State ที่ปลอมตัวเป็นประธานาธิบดี แต่การลบข้อมูลจำนวนมหาศาลไม่สามารถชำระล้างเงินที่หลั่งไหลมาจากเลือด เงินก้อนโตที่ส่งไปยังอิหร่าน หรือความเงียบที่เขาซื้อมาจากรัฐสภาที่ขายชาติได้ ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมไปว่าโอบามานั้นต่อต้านอเมริกามากเพียงใด เราไม่ลืม ทรัมป์ไม่ลืม และจากนี้ไป โลกก็จะลืมเช่นกัน 👉 อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/boom-blood-money-traitor-in-chief-obamas-1-7-billion-payoff-to-iran-exposed-trump-demands-justice-while-the-deep-state-hides/
    AMG-NEWS.COM
    BOOM! BLOOD MONEY: TRAITOR-IN-CHIEF — OBAMA’S $1.7 BILLION PAYOFF TO IRAN EXPOSED — TRUMP DEMANDS JUSTICE WHILE THE DEEP STATE HIDES [VIDEO] - amg-news.com - American Media Group
    Donald J. Trump exposes Barack Obama’s $1.7 billion cash payout to Iran — a direct act of treason ignored by Congress, the FBI, and the DOJ. The traitors are named. The betrayal is real. And justice is no longer optional.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลโกง Bitcoin ATM: วิธีใหม่ในการหลอกลวงทางการเงิน
    Bitcoin ATM กำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของมิจฉาชีพ โดยใช้ กลยุทธ์หลอกลวงทางโทรศัพท์ เพื่อให้เหยื่อ ถอนเงินสดและฝากเข้า Bitcoin ATM ซึ่งทำให้เงินหายไปโดยไม่สามารถติดตามได้

    วิธีการหลอกลวงที่พบในสหรัฐฯ
    มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์หลอกเหยื่อให้ถอนเงินสด
    - เหยื่อได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจาก Apple หรือธนาคาร
    - ถูกข่มขู่ว่าบัญชีของตนมีธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่น การซื้อสื่อลามกอนาจาร
    - มิจฉาชีพอ้างว่าเงินจะถูกยึดหากไม่รีบถอนและฝากเข้า “บัญชีตัวแทน” ผ่าน Bitcoin ATM

    Bitcoin ATM ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน
    - เครื่องเหล่านี้ไม่สามารถถอนเงินสดได้ แต่รับเงินสดเพื่อแลกเป็นคริปโตเคอร์เรนซี
    - เงินที่ฝากเข้าไปจะถูกโอนไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้
    - มีการฟ้องร้องบริษัทผู้ให้บริการ Bitcoin ATM ในหลายรัฐ เช่น นิวเจอร์ซีย์และไอโอวา

    มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - จากปี 2020 ถึง 2023 ความเสียหายจากการหลอกลวงผ่าน Bitcoin ATM เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า
    - ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ผลกระทบต่อความปลอดภัยทางการเงิน
    Bitcoin ATM อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินและฉ้อโกง
    - มิจฉาชีพสามารถใช้เครื่องเหล่านี้เพื่อรับเงินจากเหยื่อโดยไม่สามารถติดตามได้

    การหลอกลวงทางโทรศัพท์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น
    - การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ (spoofing) ทำให้เหยื่อเชื่อว่ากำลังคุยกับบริษัทจริง

    กฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin ATM ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ
    - บางรัฐเริ่มพิจารณาห้ามการติดตั้ง Bitcoin ATM เพื่อป้องกันการฉ้อโกง

    แนวทางป้องกันและอนาคตของ Bitcoin ATM
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน
    - หากได้รับโทรศัพท์ที่น่าสงสัย ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อยืนยัน

    หน่วยงานกำกับดูแลควรเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง
    - ควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้

    ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายควบคุม Bitcoin ATM หรือไม่
    - บางรัฐกำลังพิจารณาห้ามการติดตั้งเครื่องเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/14/she-got-a-phone-call-to-deposit-her-money-the-terrifying-scam-inside-bitcoin-atms-in-the-us
    ⚠️ กลโกง Bitcoin ATM: วิธีใหม่ในการหลอกลวงทางการเงิน Bitcoin ATM กำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของมิจฉาชีพ โดยใช้ กลยุทธ์หลอกลวงทางโทรศัพท์ เพื่อให้เหยื่อ ถอนเงินสดและฝากเข้า Bitcoin ATM ซึ่งทำให้เงินหายไปโดยไม่สามารถติดตามได้ 🔍 วิธีการหลอกลวงที่พบในสหรัฐฯ ✅ มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์หลอกเหยื่อให้ถอนเงินสด - เหยื่อได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจาก Apple หรือธนาคาร - ถูกข่มขู่ว่าบัญชีของตนมีธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่น การซื้อสื่อลามกอนาจาร - มิจฉาชีพอ้างว่าเงินจะถูกยึดหากไม่รีบถอนและฝากเข้า “บัญชีตัวแทน” ผ่าน Bitcoin ATM ✅ Bitcoin ATM ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน - เครื่องเหล่านี้ไม่สามารถถอนเงินสดได้ แต่รับเงินสดเพื่อแลกเป็นคริปโตเคอร์เรนซี - เงินที่ฝากเข้าไปจะถูกโอนไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้ - มีการฟ้องร้องบริษัทผู้ให้บริการ Bitcoin ATM ในหลายรัฐ เช่น นิวเจอร์ซีย์และไอโอวา ✅ มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - จากปี 2020 ถึง 2023 ความเสียหายจากการหลอกลวงผ่าน Bitcoin ATM เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า - ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 🔥 ผลกระทบต่อความปลอดภัยทางการเงิน ‼️ Bitcoin ATM อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินและฉ้อโกง - มิจฉาชีพสามารถใช้เครื่องเหล่านี้เพื่อรับเงินจากเหยื่อโดยไม่สามารถติดตามได้ ‼️ การหลอกลวงทางโทรศัพท์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น - การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ (spoofing) ทำให้เหยื่อเชื่อว่ากำลังคุยกับบริษัทจริง ‼️ กฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin ATM ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ - บางรัฐเริ่มพิจารณาห้ามการติดตั้ง Bitcoin ATM เพื่อป้องกันการฉ้อโกง 🚀 แนวทางป้องกันและอนาคตของ Bitcoin ATM ✅ ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน - หากได้รับโทรศัพท์ที่น่าสงสัย ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อยืนยัน ✅ หน่วยงานกำกับดูแลควรเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง - ควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้ ✅ ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายควบคุม Bitcoin ATM หรือไม่ - บางรัฐกำลังพิจารณาห้ามการติดตั้งเครื่องเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/14/she-got-a-phone-call-to-deposit-her-money-the-terrifying-scam-inside-bitcoin-atms-in-the-us
    WWW.THESTAR.COM.MY
    She got a phone call to deposit her money. The terrifying scam inside bitcoin ATMs in the US
    Bitcoin ATMs – generally found at convenience stores, gas stations and other high-traffic areas – have increasingly become the latest tool to separate people from their money.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 0 รีวิว
  • TNG eWallet เติมเงินด้วยบัตรไทยได้แล้ว

    สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เดินทางไปเที่ยวประเทศมาเลเซียบ่อยครั้ง นอกจากจะต้องมีหัวแปลงปลั๊กไฟมาเลเซีย กับเบอร์มือถือมาเลเซียไว้เล่นเน็ตแทนการซื้อแพ็คเกจโรมมิ่งราคาแพงแล้ว บัตร Touch 'n Go สำหรับใช้บริการขนส่งมวลชน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ จ่ายค่าทางด่วน ที่จอดรถ และร้านค้าก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ยิ่งถ้าใช้ควบคู่กับแอปพลิเคชัน TNG eWallet ก็สามารถทำธุรกรรมกับบัตร Touch 'n Go รุ่น NFC ได้ทันที รวมทั้งใช้จ่ายที่ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ และประเทศไทยได้อีกด้วย

    การเติมเงินถ้าเป็นในประเทศมาเลเซีย มีช่องทางที่หลากหลาย โดยเฉพาะสถานีรถไฟฟ้าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ขั้นต่ำ 10 ริงกิตโดยไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ คนที่อยู่ชายแดนไทย-มาเลเซีย อาจเลือกใช้วิธีแลกเงินที่ร้านแลกเงิน แล้วซื้อรหัสเติมเงิน (Reload PIN) ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นฝั่งประเทศมาเลเซีย หรือหากอยู่ที่ต่างประเทศมักจะซื้อรหัสผ่านตัวแทนจำหน่าย เช่น เว็บไซต์ SEAGM ขั้นต่ำ 10 ริงกิต บวกค่าบริการ 0.10 ริงกิต สำหรับชาวไทยสามารถซื้อรหัสผ่านเว็บไซต์ เลือกสกุลเงิน MYR แล้วเลือกชำระผ่าน DuitNow QR สแกนจ่ายผ่านแอปฯ Krungthai NEXT หรือ CIMB THAI ได้

    อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ผู้ใช้งาน Touch N'Go e-Wallet ที่อยู่ต่างประเทศ สามารถเติมเงินด้วยบัตร VISA, Mastercard และ AMEX ที่ออกจากต่างประเทศได้แล้วบางธนาคารในประเทศไทย ขั้นต่ำ 20 ริงกิต เช่น บัตร YouTrip ของธนาคารกสิกรไทย บัตร Krungthai Travel Debit Card ธนาคารกรุงไทย โดยคิดค่าธรรมเนียม 2.6% ของยอดที่เติม โดยจะเป็นยอดเงินแบบ Transferable สามารถโอนเงินระหว่างบุคคล (Peer-to-Peer) ได้ ต่างจากการเติมเงินผ่าน Reload PIN สามารถเลือกแบบ Non-Transferable สำหรับสแกนจ่ายร้านค้าเท่านั้น ที่ไม่มีค่าธรรมเนียม แต่หากโอนเงินระหว่างบุคคลจะถูกหัก 1% ต่อรายการ

    วิธีการเติมเงิน ให้เข้าไปที่ "Add money" เลือก "Credit Card" ใส่จำนวนเงินที่ต้องการลงไป (ขั้นต่ำ 20 ริงกิต) แล้วกด Continue จากนั้นกรอกเลขที่บัตรเครดิต (Card Number) เดือน/ปีที่หมดอายุบัตร (MM/YY) รหัสความปลอดภัย (CVV/CVV2) แล้วกด Next ระบบจะยืนยันการทำรายการ (Confirm amount) โดยจะแสดงจำนวนเงิน (Amount) และค่าธรรมเนียม (Convenience fee 2.6%) กด Continue ระบบจะเข้าสู่หน้าระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคาร กรอกรหัส OTP ลงไปเหมือนการช้อปปิ้งออนไลน์ เมื่อทำรายการสำเร็จจะมีข้อความแจ้งเตือนและหน้าธุรกรรมสำเร็จ (Successfully added)

    #Newskit
    TNG eWallet เติมเงินด้วยบัตรไทยได้แล้ว สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เดินทางไปเที่ยวประเทศมาเลเซียบ่อยครั้ง นอกจากจะต้องมีหัวแปลงปลั๊กไฟมาเลเซีย กับเบอร์มือถือมาเลเซียไว้เล่นเน็ตแทนการซื้อแพ็คเกจโรมมิ่งราคาแพงแล้ว บัตร Touch 'n Go สำหรับใช้บริการขนส่งมวลชน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ จ่ายค่าทางด่วน ที่จอดรถ และร้านค้าก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ยิ่งถ้าใช้ควบคู่กับแอปพลิเคชัน TNG eWallet ก็สามารถทำธุรกรรมกับบัตร Touch 'n Go รุ่น NFC ได้ทันที รวมทั้งใช้จ่ายที่ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ และประเทศไทยได้อีกด้วย การเติมเงินถ้าเป็นในประเทศมาเลเซีย มีช่องทางที่หลากหลาย โดยเฉพาะสถานีรถไฟฟ้าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ขั้นต่ำ 10 ริงกิตโดยไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ คนที่อยู่ชายแดนไทย-มาเลเซีย อาจเลือกใช้วิธีแลกเงินที่ร้านแลกเงิน แล้วซื้อรหัสเติมเงิน (Reload PIN) ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นฝั่งประเทศมาเลเซีย หรือหากอยู่ที่ต่างประเทศมักจะซื้อรหัสผ่านตัวแทนจำหน่าย เช่น เว็บไซต์ SEAGM ขั้นต่ำ 10 ริงกิต บวกค่าบริการ 0.10 ริงกิต สำหรับชาวไทยสามารถซื้อรหัสผ่านเว็บไซต์ เลือกสกุลเงิน MYR แล้วเลือกชำระผ่าน DuitNow QR สแกนจ่ายผ่านแอปฯ Krungthai NEXT หรือ CIMB THAI ได้ อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ผู้ใช้งาน Touch N'Go e-Wallet ที่อยู่ต่างประเทศ สามารถเติมเงินด้วยบัตร VISA, Mastercard และ AMEX ที่ออกจากต่างประเทศได้แล้วบางธนาคารในประเทศไทย ขั้นต่ำ 20 ริงกิต เช่น บัตร YouTrip ของธนาคารกสิกรไทย บัตร Krungthai Travel Debit Card ธนาคารกรุงไทย โดยคิดค่าธรรมเนียม 2.6% ของยอดที่เติม โดยจะเป็นยอดเงินแบบ Transferable สามารถโอนเงินระหว่างบุคคล (Peer-to-Peer) ได้ ต่างจากการเติมเงินผ่าน Reload PIN สามารถเลือกแบบ Non-Transferable สำหรับสแกนจ่ายร้านค้าเท่านั้น ที่ไม่มีค่าธรรมเนียม แต่หากโอนเงินระหว่างบุคคลจะถูกหัก 1% ต่อรายการ วิธีการเติมเงิน ให้เข้าไปที่ "Add money" เลือก "Credit Card" ใส่จำนวนเงินที่ต้องการลงไป (ขั้นต่ำ 20 ริงกิต) แล้วกด Continue จากนั้นกรอกเลขที่บัตรเครดิต (Card Number) เดือน/ปีที่หมดอายุบัตร (MM/YY) รหัสความปลอดภัย (CVV/CVV2) แล้วกด Next ระบบจะยืนยันการทำรายการ (Confirm amount) โดยจะแสดงจำนวนเงิน (Amount) และค่าธรรมเนียม (Convenience fee 2.6%) กด Continue ระบบจะเข้าสู่หน้าระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคาร กรอกรหัส OTP ลงไปเหมือนการช้อปปิ้งออนไลน์ เมื่อทำรายการสำเร็จจะมีข้อความแจ้งเตือนและหน้าธุรกรรมสำเร็จ (Successfully added) #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 749 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัครสมาชิกช่อง YouTube (SONDHITALK) ด้วย TrueMoney Wallet

    1. เปิด YouTube → ไปที่ช่อง SONDHITALK → คลิก “สมัครสมาชิก”

    2. เลือกวิธีชำระเงิน → เลือก TrueMoney Wallet

    3. กรอกข้อมูล 3 อย่าง
    • เลขบัตรประชาชน
    • เบอร์ที่สมัคร TrueWallet
    • ชื่อ–นามสกุลที่ลงทะเบียนไว้

    4. กดยอมรับเงื่อนไขการเชื่อมบัญชี

    5. กด “ซื้อ / สมัครใช้บริการ” เพื่อยืนยันอีกครั้ง

    6. หากระบบถามหารหัส → ให้ใส่รหัสผ่านของอีเมลที่ใช้กับบัญชี YouTube

    “อย่าลืมเติมเงินไว้ใน TrueMoney Wallet ก่อนสมัคร”

    -----------------------
    ติดต่อสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk
    -----------------------
    #Sondhi #Sondhitalk #ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง #True #Truemoney #Youtube #membership
    📌 สมัครสมาชิกช่อง YouTube (SONDHITALK) ด้วย TrueMoney Wallet 1. เปิด YouTube → ไปที่ช่อง SONDHITALK → คลิก “สมัครสมาชิก” 2. เลือกวิธีชำระเงิน → เลือก TrueMoney Wallet 3. กรอกข้อมูล 3 อย่าง • เลขบัตรประชาชน • เบอร์ที่สมัคร TrueWallet • ชื่อ–นามสกุลที่ลงทะเบียนไว้ 4. กดยอมรับเงื่อนไขการเชื่อมบัญชี 5. กด “ซื้อ / สมัครใช้บริการ” เพื่อยืนยันอีกครั้ง 6. หากระบบถามหารหัส → ให้ใส่รหัสผ่านของอีเมลที่ใช้กับบัญชี YouTube “อย่าลืมเติมเงินไว้ใน TrueMoney Wallet ก่อนสมัคร” ----------------------- ติดต่อสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk ----------------------- #Sondhi #Sondhitalk #ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง #True #Truemoney #Youtube #membership
    Like
    Love
    21
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 3009 มุมมอง 1 รีวิว
  • SME D Bank เปิดกระหึ่มในงาน ‘MONEY EXPO 2025’ ยกทัพสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอีไทย ดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี
    https://www.thai-tai.tv/news/18691/
    SME D Bank เปิดกระหึ่มในงาน ‘MONEY EXPO 2025’ ยกทัพสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอีไทย ดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี https://www.thai-tai.tv/news/18691/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัว CPU เซิร์ฟเวอร์ 128 คอร์ ท้าทาย AMD และ Intel ในตลาดศูนย์ข้อมูล

    บริษัท Hygon ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ได้เปิดตัว C86-5G ซึ่งเป็น CPU เซิร์ฟเวอร์ที่มี 128 คอร์ และ 512 เธรด โดยใช้สถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นเองทั้งหมด แทนที่สถาปัตยกรรม Zen ของ AMD

    C86-5G ใช้สถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นเอง แทนที่ Zen ของ AMD
    - เป็นผลจาก การวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนเป็นเวลาห้าปี

    รองรับ SMT4 ทำให้แต่ละคอร์สามารถรันได้ 4 เธรด รวมเป็น 512 เธรด
    - เทียบกับ SMT2 ของรุ่นก่อนหน้า C86-4G ที่มี 64 คอร์ และ 128 เธรด

    รองรับ AVX-512 สำหรับงาน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการคำนวณทางวิทยาศาสตร์
    - ช่วยให้ ประสิทธิภาพสูงขึ้นในงานที่ต้องการพลังประมวลผลมาก

    รองรับหน่วยความจำ DDR5-5600 สูงสุด 1TB ผ่าน 16 ช่องทาง
    - เพิ่มขึ้นจาก DDR5-4800 และ 12 ช่องทางของรุ่นก่อนหน้า

    รองรับ Compute Express Link 2.0 (CXL 2.0) และ PCIe 5.0
    - คาดว่าจะมี จำนวนเลน PCIe 5.0 เท่ากับหรือมากกว่า 128 เลนของรุ่นก่อนหน้า

    https://www.techradar.com/pro/chinese-cpu-vendor-swaps-amd-zen-architecture-for-homegrown-one-to-deliver-128-core-monster-to-give-epyc-and-xeon-a-run-for-their-money
    จีนเปิดตัว CPU เซิร์ฟเวอร์ 128 คอร์ ท้าทาย AMD และ Intel ในตลาดศูนย์ข้อมูล บริษัท Hygon ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ได้เปิดตัว C86-5G ซึ่งเป็น CPU เซิร์ฟเวอร์ที่มี 128 คอร์ และ 512 เธรด โดยใช้สถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นเองทั้งหมด แทนที่สถาปัตยกรรม Zen ของ AMD ✅ C86-5G ใช้สถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นเอง แทนที่ Zen ของ AMD - เป็นผลจาก การวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนเป็นเวลาห้าปี ✅ รองรับ SMT4 ทำให้แต่ละคอร์สามารถรันได้ 4 เธรด รวมเป็น 512 เธรด - เทียบกับ SMT2 ของรุ่นก่อนหน้า C86-4G ที่มี 64 คอร์ และ 128 เธรด ✅ รองรับ AVX-512 สำหรับงาน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ - ช่วยให้ ประสิทธิภาพสูงขึ้นในงานที่ต้องการพลังประมวลผลมาก ✅ รองรับหน่วยความจำ DDR5-5600 สูงสุด 1TB ผ่าน 16 ช่องทาง - เพิ่มขึ้นจาก DDR5-4800 และ 12 ช่องทางของรุ่นก่อนหน้า ✅ รองรับ Compute Express Link 2.0 (CXL 2.0) และ PCIe 5.0 - คาดว่าจะมี จำนวนเลน PCIe 5.0 เท่ากับหรือมากกว่า 128 เลนของรุ่นก่อนหน้า https://www.techradar.com/pro/chinese-cpu-vendor-swaps-amd-zen-architecture-for-homegrown-one-to-deliver-128-core-monster-to-give-epyc-and-xeon-a-run-for-their-money
    WWW.TECHRADAR.COM
    This new Chinese chip ditches AMD tech, goes full throttle with 128 cores and AVX-512 power
    China has finally built a monster CPU that might just rattle AMD and Intel
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ยังไม่ช่วยให้บริษัทประหยัดเวลาและเงินมากนัก ตามผลการศึกษาล่าสุด แม้ว่า AI จะถูกนำมาใช้ในองค์กรต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ ผลการศึกษาจาก University of Chicago’s Becker Friedman Institute for Economics พบว่า AI ยังไม่ได้ช่วยให้บริษัทประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ

    แม้ว่า Google จะอ้างว่า AI สามารถช่วยลดงานที่น่าเบื่อได้ถึง 122 ชั่วโมงต่อปี และบริษัทสตาร์ทอัพอย่าง Mechanize กำลังพัฒนา AI เพื่อแทนที่พนักงาน แต่ ข้อมูลจากการศึกษาล่าสุดยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่า AI สามารถลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพได้จริง

    ผลการศึกษาจาก University of Chicago พบว่า AI ยังไม่ได้ช่วยให้บริษัทประหยัดเวลาและเงินมากนัก
    - แม้ว่า AI จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์ยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

    Google อ้างว่า AI สามารถช่วยลดงานที่น่าเบื่อได้ถึง 122 ชั่วโมงต่อปี
    - แต่ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการลดเวลานี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กร

    บริษัทสตาร์ทอัพ Mechanize กำลังพัฒนา AI เพื่อแทนที่พนักงาน
    - แต่ ยังไม่ทราบผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน

    AI ยังคงพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีเครื่องมือใหม่ ๆ ถูกเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง
    - อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษามี cutoff point ในปลายปี 2024

    องค์กรควรพิจารณาผลกระทบของ AI ก่อนนำมาใช้ในงานประจำวัน
    - ควร ทดลองใช้ AI ในบางส่วนของงานก่อนนำไปใช้เต็มรูปแบบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/09/not-so-fast-ai-isnt-saving-companies-much-time-or-money-study-says
    AI ยังไม่ช่วยให้บริษัทประหยัดเวลาและเงินมากนัก ตามผลการศึกษาล่าสุด แม้ว่า AI จะถูกนำมาใช้ในองค์กรต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ ผลการศึกษาจาก University of Chicago’s Becker Friedman Institute for Economics พบว่า AI ยังไม่ได้ช่วยให้บริษัทประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่า Google จะอ้างว่า AI สามารถช่วยลดงานที่น่าเบื่อได้ถึง 122 ชั่วโมงต่อปี และบริษัทสตาร์ทอัพอย่าง Mechanize กำลังพัฒนา AI เพื่อแทนที่พนักงาน แต่ ข้อมูลจากการศึกษาล่าสุดยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่า AI สามารถลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพได้จริง ✅ ผลการศึกษาจาก University of Chicago พบว่า AI ยังไม่ได้ช่วยให้บริษัทประหยัดเวลาและเงินมากนัก - แม้ว่า AI จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์ยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ✅ Google อ้างว่า AI สามารถช่วยลดงานที่น่าเบื่อได้ถึง 122 ชั่วโมงต่อปี - แต่ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการลดเวลานี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กร ✅ บริษัทสตาร์ทอัพ Mechanize กำลังพัฒนา AI เพื่อแทนที่พนักงาน - แต่ ยังไม่ทราบผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน ✅ AI ยังคงพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีเครื่องมือใหม่ ๆ ถูกเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง - อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษามี cutoff point ในปลายปี 2024 ✅ องค์กรควรพิจารณาผลกระทบของ AI ก่อนนำมาใช้ในงานประจำวัน - ควร ทดลองใช้ AI ในบางส่วนของงานก่อนนำไปใช้เต็มรูปแบบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/09/not-so-fast-ai-isnt-saving-companies-much-time-or-money-study-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Not so fast! AI isn't saving companies much time or money, study says
    University of Chicago economists say maybe managers shouldn't believe the current AI hype. At least for now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในปี 2025 ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยมีการใช้ มัลแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, ชุดเครื่องมือฟิชชิ่งแบบบริการ (Phishing-as-a-Service) และช่องโหว่ Zero-day ที่สามารถโจมตีได้ตั้งแต่บุคคลทั่วไปไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่

    ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่การตรวจจับไวรัส แต่ต้องเป็น ระบบป้องกันที่ครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่ ไฟล์ส่วนตัวไปจนถึงข้อมูลทางการเงิน และสามารถทำงานได้บน หลายอุปกรณ์และแพลตฟอร์ม

    Bitdefender Total Security – ป้องกันรอบด้านสำหรับทุกอุปกรณ์
    - ใช้ AI ในการตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์
    - มี VPN ปลอดภัย พร้อมตัวจัดการรหัสผ่าน
    - รองรับ Windows, macOS, Android และ iOS

    Kaspersky Internet Security – ประสิทธิภาพสูง ใช้ทรัพยากรระบบน้อย
    - มี Safe Money browser สำหรับธุรกรรมออนไลน์
    - ป้องกัน การโจมตีเครือข่ายและฟิชชิ่ง
    - มี ระบบเข้ารหัสข้อมูลและการตรวจสอบแบบเรียลไทม์

    ESET Smart Security Premium – เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับสูง
    - มี LiveGuard sandboxing สำหรับตรวจจับภัยคุกคามใหม่
    - ป้องกัน การโจมตีระดับเฟิร์มแวร์ด้วย UEFI scanner
    - มี ระบบเข้ารหัสไฟล์และตัวจัดการรหัสผ่าน

    Norton 360 Deluxe – ป้องกันข้อมูลส่วนตัวและการโจมตีทางไซเบอร์
    - มี Dark Web Monitoring และการแจ้งเตือนข้อมูลรั่วไหล
    - รองรับ การสำรองข้อมูลบนคลาวด์ 50GB
    - มี VPN ไม่จำกัดแบนด์วิดท์

    Webroot SecureAnywhere – เหมาะสำหรับระบบที่มีทรัพยากรจำกัด
    - ใช้ การวิเคราะห์ภัยคุกคามบนคลาวด์
    - มี ระบบป้องกันฟิชชิ่งและการโจมตีแบบเรียลไทม์
    - ใช้ทรัพยากรระบบน้อยมาก

    มัลแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อาจทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนมากขึ้น
    - ระบบรักษาความปลอดภัยต้อง สามารถตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติได้

    ช่องโหว่ Zero-day ยังคงเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง
    - ควรใช้ ซอฟต์แวร์ที่มีระบบอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง

    https://computercity.com/software/malware/best-network-security-software-for-protecting-your-digital-assets-2025
    ในปี 2025 ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยมีการใช้ มัลแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, ชุดเครื่องมือฟิชชิ่งแบบบริการ (Phishing-as-a-Service) และช่องโหว่ Zero-day ที่สามารถโจมตีได้ตั้งแต่บุคคลทั่วไปไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่การตรวจจับไวรัส แต่ต้องเป็น ระบบป้องกันที่ครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่ ไฟล์ส่วนตัวไปจนถึงข้อมูลทางการเงิน และสามารถทำงานได้บน หลายอุปกรณ์และแพลตฟอร์ม ✅ Bitdefender Total Security – ป้องกันรอบด้านสำหรับทุกอุปกรณ์ - ใช้ AI ในการตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ - มี VPN ปลอดภัย พร้อมตัวจัดการรหัสผ่าน - รองรับ Windows, macOS, Android และ iOS ✅ Kaspersky Internet Security – ประสิทธิภาพสูง ใช้ทรัพยากรระบบน้อย - มี Safe Money browser สำหรับธุรกรรมออนไลน์ - ป้องกัน การโจมตีเครือข่ายและฟิชชิ่ง - มี ระบบเข้ารหัสข้อมูลและการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ✅ ESET Smart Security Premium – เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับสูง - มี LiveGuard sandboxing สำหรับตรวจจับภัยคุกคามใหม่ - ป้องกัน การโจมตีระดับเฟิร์มแวร์ด้วย UEFI scanner - มี ระบบเข้ารหัสไฟล์และตัวจัดการรหัสผ่าน ✅ Norton 360 Deluxe – ป้องกันข้อมูลส่วนตัวและการโจมตีทางไซเบอร์ - มี Dark Web Monitoring และการแจ้งเตือนข้อมูลรั่วไหล - รองรับ การสำรองข้อมูลบนคลาวด์ 50GB - มี VPN ไม่จำกัดแบนด์วิดท์ ✅ Webroot SecureAnywhere – เหมาะสำหรับระบบที่มีทรัพยากรจำกัด - ใช้ การวิเคราะห์ภัยคุกคามบนคลาวด์ - มี ระบบป้องกันฟิชชิ่งและการโจมตีแบบเรียลไทม์ - ใช้ทรัพยากรระบบน้อยมาก ‼️ มัลแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อาจทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนมากขึ้น - ระบบรักษาความปลอดภัยต้อง สามารถตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติได้ ‼️ ช่องโหว่ Zero-day ยังคงเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง - ควรใช้ ซอฟต์แวร์ที่มีระบบอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง https://computercity.com/software/malware/best-network-security-software-for-protecting-your-digital-assets-2025
    COMPUTERCITY.COM
    Best Network Security Software for Protecting Your Digital Assets (2025)
    In 2025, cyber threats have grown more advanced than ever, with AI-driven malware, phishing-as-a-service kits, and zero-day exploits targeting everyone from
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 449 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานล่าสุดเผยว่า บริษัททั่วโลกกำลังดิ้นรนเพื่อสร้างรายได้จาก AI แม้ว่าจะถือเป็น ภารกิจสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยผลสำรวจจาก DigitalRoute พบว่า 71% ของ CFOs ระบุว่าพวกเขายังไม่สามารถสร้างรายได้จาก AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    แม้ว่า AI จะถูกมองว่าเป็น "ยุคทองดิจิทัลครั้งที่สอง" แต่ปัญหาหลักคือ โมเดลการตั้งราคาที่ล้าสมัย ซึ่งไม่สามารถรองรับ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการใช้งาน AI ได้ CFOs ส่วนใหญ่ยอมรับว่า การตั้งราคาตามการใช้งานจริงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ 70% ของ CFOs ระบุว่าความซับซ้อนของการตั้งราคาคืออุปสรรคใหญ่ที่สุด

    71% ของ CFOs ระบุว่าพวกเขายังไม่สามารถสร้างรายได้จาก AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - แม้ว่า 90% ของบริษัทจะมองว่า AI เป็นภารกิจสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า
    - มีเพียง 29% ของบริษัทที่มีโมเดลการสร้างรายได้จาก AI ที่ใช้งานได้จริง

    ปัญหาหลักคือโมเดลการตั้งราคาที่ล้าสมัย
    - 68% ของบริษัทเทคโนโลยีระบุว่าโมเดลการตั้งราคาดั้งเดิมไม่สามารถใช้กับ AI ได้
    - CFOs ต้องการ ระบบติดตามการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยในการตั้งราคา

    AI Monetization กลายเป็นวาระสำคัญในห้องประชุม
    - 64% ของ CFOs ระบุว่าการสร้างรายได้จาก AI เป็นวาระสำคัญของคณะกรรมการบริษัท
    - แต่มีเพียง 20% ของบริษัทที่สามารถติดตามการใช้งาน AI รายบุคคลได้

    แนวทางแก้ไขที่แนะนำ
    - ติดตามการใช้งาน AI ในระดับฟีเจอร์
    - พัฒนาโมเดลการตั้งราคาตามมูลค่าและการใช้งานจริงก่อนเปิดตัว
    - ปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างทีมผลิตภัณฑ์ การเงิน และรายได้

    https://www.techradar.com/pro/security/global-bean-counters-are-struggling-to-find-value-for-money-in-anything-ai-and-that-is-a-big-big-problem
    รายงานล่าสุดเผยว่า บริษัททั่วโลกกำลังดิ้นรนเพื่อสร้างรายได้จาก AI แม้ว่าจะถือเป็น ภารกิจสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยผลสำรวจจาก DigitalRoute พบว่า 71% ของ CFOs ระบุว่าพวกเขายังไม่สามารถสร้างรายได้จาก AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่า AI จะถูกมองว่าเป็น "ยุคทองดิจิทัลครั้งที่สอง" แต่ปัญหาหลักคือ โมเดลการตั้งราคาที่ล้าสมัย ซึ่งไม่สามารถรองรับ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการใช้งาน AI ได้ CFOs ส่วนใหญ่ยอมรับว่า การตั้งราคาตามการใช้งานจริงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ 70% ของ CFOs ระบุว่าความซับซ้อนของการตั้งราคาคืออุปสรรคใหญ่ที่สุด ✅ 71% ของ CFOs ระบุว่าพวกเขายังไม่สามารถสร้างรายได้จาก AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - แม้ว่า 90% ของบริษัทจะมองว่า AI เป็นภารกิจสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า - มีเพียง 29% ของบริษัทที่มีโมเดลการสร้างรายได้จาก AI ที่ใช้งานได้จริง ✅ ปัญหาหลักคือโมเดลการตั้งราคาที่ล้าสมัย - 68% ของบริษัทเทคโนโลยีระบุว่าโมเดลการตั้งราคาดั้งเดิมไม่สามารถใช้กับ AI ได้ - CFOs ต้องการ ระบบติดตามการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยในการตั้งราคา ✅ AI Monetization กลายเป็นวาระสำคัญในห้องประชุม - 64% ของ CFOs ระบุว่าการสร้างรายได้จาก AI เป็นวาระสำคัญของคณะกรรมการบริษัท - แต่มีเพียง 20% ของบริษัทที่สามารถติดตามการใช้งาน AI รายบุคคลได้ ✅ แนวทางแก้ไขที่แนะนำ - ติดตามการใช้งาน AI ในระดับฟีเจอร์ - พัฒนาโมเดลการตั้งราคาตามมูลค่าและการใช้งานจริงก่อนเปิดตัว - ปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างทีมผลิตภัณฑ์ การเงิน และรายได้ https://www.techradar.com/pro/security/global-bean-counters-are-struggling-to-find-value-for-money-in-anything-ai-and-that-is-a-big-big-problem
    WWW.TECHRADAR.COM
    AI is transforming business - except on the balance sheet
    Second digital gold rush? CFOs say AI isn’t paying off - yet, anyway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mozilla กำลังเผชิญกับ ความท้าทายครั้งใหญ่ หาก Google ถูกบังคับให้ยุติข้อตกลงด้านการค้นหา เนื่องจาก รายได้ของ Mozilla กว่า 80% มาจาก Google ซึ่งอาจส่งผลให้ Firefox และ Gecko engine ต้องลดขนาดการดำเนินงานลง

    Mozilla ระบุว่า Firefox เป็นเบราว์เซอร์อิสระที่ไม่มีระบบปฏิบัติการหรืออุปกรณ์ของตัวเอง ทำให้ต้องพึ่งพารายได้จากการค้นหาเป็นหลัก หากไม่มีเงินทุนจาก Google อาจต้อง ลดการสนับสนุนโครงการสำคัญ เช่น Gecko ซึ่งเป็น browser engine เดียวที่แข่งขันกับ Chromium และ WebKit

    นอกจากนี้ Mozilla ยังเคยทดลองเปลี่ยน เครื่องมือค้นหาหลักจาก Google เป็น Yahoo ระหว่างปี 2014-2017 แต่พบว่าผู้ใช้จำนวนมาก ไม่พอใจกับคุณภาพของ Yahoo และบางส่วนเลือก เปลี่ยนไปใช้เบราว์เซอร์อื่นแทน

    Mozilla พึ่งพารายได้จาก Google เป็นหลัก
    - รายได้กว่า 80% มาจากข้อตกลงกับ Google
    - หาก Google ถูกบังคับให้ยุติข้อตกลง Mozilla อาจต้อง ลดขนาดการดำเนินงาน

    ผลกระทบต่อ Firefox และ Gecko engine
    - Firefox ไม่มี ระบบปฏิบัติการหรืออุปกรณ์ของตัวเอง
    - Gecko เป็น browser engine เดียวที่แข่งขันกับ Chromium และ WebKit

    การทดลองใช้ Yahoo เป็นเครื่องมือค้นหา
    - Mozilla เปลี่ยนจาก Google เป็น Yahoo ระหว่างปี 2014-2017
    - ผู้ใช้จำนวนมาก ไม่พอใจกับคุณภาพของ Yahoo และบางส่วน เปลี่ยนไปใช้เบราว์เซอร์อื่น

    ความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์
    - Mozilla ระบุว่า การบังคับให้ Google ยุติข้อตกลงอาจทำให้ Microsoft ได้เปรียบ
    - อาจส่งผลให้ ตลาดเบราว์เซอร์ถูกครอบงำโดยบริษัทใหญ่เพียงไม่กี่ราย

    https://www.neowin.net/news/senior-mozilla-exec-explains-how-firefox-dies-without-google-and-its-not-just-the-money/
    Mozilla กำลังเผชิญกับ ความท้าทายครั้งใหญ่ หาก Google ถูกบังคับให้ยุติข้อตกลงด้านการค้นหา เนื่องจาก รายได้ของ Mozilla กว่า 80% มาจาก Google ซึ่งอาจส่งผลให้ Firefox และ Gecko engine ต้องลดขนาดการดำเนินงานลง Mozilla ระบุว่า Firefox เป็นเบราว์เซอร์อิสระที่ไม่มีระบบปฏิบัติการหรืออุปกรณ์ของตัวเอง ทำให้ต้องพึ่งพารายได้จากการค้นหาเป็นหลัก หากไม่มีเงินทุนจาก Google อาจต้อง ลดการสนับสนุนโครงการสำคัญ เช่น Gecko ซึ่งเป็น browser engine เดียวที่แข่งขันกับ Chromium และ WebKit นอกจากนี้ Mozilla ยังเคยทดลองเปลี่ยน เครื่องมือค้นหาหลักจาก Google เป็น Yahoo ระหว่างปี 2014-2017 แต่พบว่าผู้ใช้จำนวนมาก ไม่พอใจกับคุณภาพของ Yahoo และบางส่วนเลือก เปลี่ยนไปใช้เบราว์เซอร์อื่นแทน ✅ Mozilla พึ่งพารายได้จาก Google เป็นหลัก - รายได้กว่า 80% มาจากข้อตกลงกับ Google - หาก Google ถูกบังคับให้ยุติข้อตกลง Mozilla อาจต้อง ลดขนาดการดำเนินงาน ✅ ผลกระทบต่อ Firefox และ Gecko engine - Firefox ไม่มี ระบบปฏิบัติการหรืออุปกรณ์ของตัวเอง - Gecko เป็น browser engine เดียวที่แข่งขันกับ Chromium และ WebKit ✅ การทดลองใช้ Yahoo เป็นเครื่องมือค้นหา - Mozilla เปลี่ยนจาก Google เป็น Yahoo ระหว่างปี 2014-2017 - ผู้ใช้จำนวนมาก ไม่พอใจกับคุณภาพของ Yahoo และบางส่วน เปลี่ยนไปใช้เบราว์เซอร์อื่น ✅ ความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ - Mozilla ระบุว่า การบังคับให้ Google ยุติข้อตกลงอาจทำให้ Microsoft ได้เปรียบ - อาจส่งผลให้ ตลาดเบราว์เซอร์ถูกครอบงำโดยบริษัทใหญ่เพียงไม่กี่ราย https://www.neowin.net/news/senior-mozilla-exec-explains-how-firefox-dies-without-google-and-its-not-just-the-money/
    WWW.NEOWIN.NET
    Senior Mozilla exec explains how Firefox dies without Google and it's not just the money
    Things do not look too good for Mozilla. The Firefox browser maker has explained how a lack of Google funding can kill it, and it's not just due to the money.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้เปรียบเทียบแอปพลิเคชันการจัดการการเงินส่วนบุคคลระหว่าง Monarch Money และ Quicken (รวมถึง Simplifi by Quicken) โดยเน้นถึงความแตกต่างในด้านฟีเจอร์ การใช้งาน และกลุ่มเป้าหมาย

    Monarch Money เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การจัดการการเงินที่ทันสมัยและเรียบง่าย โดยเน้นการตั้งเป้าหมายและการทำงานร่วมกัน ขณะที่ Quicken เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มีพอร์ตการเงินซับซ้อน เช่น การติดตามการลงทุนหรือการจัดการทรัพย์สินให้เช่า

    Monarch Money: ทันสมัยและเน้นเป้าหมาย
    - การตั้งเป้าหมายที่ปรับแต่งได้: ช่วยให้ผู้ใช้สร้างเป้าหมายการออมและหนี้สินได้ไม่จำกัด
    - การติดตามมูลค่าสุทธิ: มีกราฟแบบโต้ตอบที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสุทธิ
    - การทำงานร่วมกัน: รองรับการจัดการการเงินร่วมกันในครอบครัวหรือคู่รัก
    - ราคา: $14.99/เดือน หรือ $99.99/ปี พร้อมรหัสส่วนลด MONARCHVIP ลด 50%

    Quicken: สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการรายละเอียด
    - การจัดการการลงทุนขั้นสูง: ติดตามพอร์ตโฟลิโอ กำไรจากการลงทุน และการคาดการณ์การเกษียณ
    - เครื่องมือสำหรับธุรกิจและทรัพย์สินให้เช่า: ช่วยจัดการรายได้ ค่าใช้จ่าย และผู้เช่า
    - การใช้งานแบบออฟไลน์: รองรับการใช้งานโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    - ราคา: Simplifi $71.88/ปี, Quicken Classic $35.99–$93.59/ปี

    การเปรียบเทียบฟีเจอร์
    - Monarch: อินเทอร์เฟซทันสมัย ง่ายต่อการใช้งาน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
    - Quicken: มีฟีเจอร์ที่ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการจัดการการเงินเชิงลึก

    https://computercity.com/software/apps/monarch-vs-quicken
    บทความนี้เปรียบเทียบแอปพลิเคชันการจัดการการเงินส่วนบุคคลระหว่าง Monarch Money และ Quicken (รวมถึง Simplifi by Quicken) โดยเน้นถึงความแตกต่างในด้านฟีเจอร์ การใช้งาน และกลุ่มเป้าหมาย Monarch Money เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การจัดการการเงินที่ทันสมัยและเรียบง่าย โดยเน้นการตั้งเป้าหมายและการทำงานร่วมกัน ขณะที่ Quicken เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มีพอร์ตการเงินซับซ้อน เช่น การติดตามการลงทุนหรือการจัดการทรัพย์สินให้เช่า ✅ Monarch Money: ทันสมัยและเน้นเป้าหมาย - การตั้งเป้าหมายที่ปรับแต่งได้: ช่วยให้ผู้ใช้สร้างเป้าหมายการออมและหนี้สินได้ไม่จำกัด - การติดตามมูลค่าสุทธิ: มีกราฟแบบโต้ตอบที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสุทธิ - การทำงานร่วมกัน: รองรับการจัดการการเงินร่วมกันในครอบครัวหรือคู่รัก - ราคา: $14.99/เดือน หรือ $99.99/ปี พร้อมรหัสส่วนลด MONARCHVIP ลด 50% ✅ Quicken: สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการรายละเอียด - การจัดการการลงทุนขั้นสูง: ติดตามพอร์ตโฟลิโอ กำไรจากการลงทุน และการคาดการณ์การเกษียณ - เครื่องมือสำหรับธุรกิจและทรัพย์สินให้เช่า: ช่วยจัดการรายได้ ค่าใช้จ่าย และผู้เช่า - การใช้งานแบบออฟไลน์: รองรับการใช้งานโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต - ราคา: Simplifi $71.88/ปี, Quicken Classic $35.99–$93.59/ปี ✅ การเปรียบเทียบฟีเจอร์ - Monarch: อินเทอร์เฟซทันสมัย ง่ายต่อการใช้งาน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น - Quicken: มีฟีเจอร์ที่ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการจัดการการเงินเชิงลึก https://computercity.com/software/apps/monarch-vs-quicken
    COMPUTERCITY.COM
    Monarch vs Quicken: Which Personal Finance App Is Best for You?
    Choosing between Monarch Money and Quicken (including Simplifi by Quicken) comes down to what kind of financial life you lead—and what kind of control you
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานจาก Mandiant เปิดเผยว่ากลุ่มแฮกเกอร์ในปี 2024 มีแรงจูงใจทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 55% ของกลุ่มภัยคุกคามมุ่งเน้นการขโมยหรือรีดไถเงินจากเหยื่อ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการบุกรุกทั้งหมด และเกือบสองในสามของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้

    วิธีการโจมตีที่นิยมมากที่สุดคือการใช้ช่องโหว่ (33%) ตามด้วยการใช้ข้อมูลรับรองที่ถูกขโมย (16%) การฟิชชิง (14%) การบุกรุกเว็บไซต์ (9%) และการใช้ช่องโหว่ที่มีอยู่ก่อนหน้า (8%)

    อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุดคือการเงิน (17%) ตามด้วยธุรกิจและบริการวิชาชีพ (11%) อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (10%) รัฐบาล (10%) และการดูแลสุขภาพ (9%)

    นักวิจัยเตือนว่า AI กำลังเพิ่มความซับซ้อนและความสามารถในการโจมตี โดยช่วยให้แฮกเกอร์สามารถดำเนินการโจมตีที่มีเป้าหมายและหลบหลีกได้มากขึ้น

    แรงจูงใจทางการเงินของกลุ่มแฮกเกอร์
    - 55% ของกลุ่มภัยคุกคามมุ่งเน้นการขโมยหรือรีดไถเงินจากเหยื่อ
    - การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการบุกรุกทั้งหมด

    วิธีการโจมตีที่นิยม
    - การใช้ช่องโหว่ (33%)
    - การใช้ข้อมูลรับรองที่ถูกขโมย (16%)
    - การฟิชชิง (14%)

    อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุด
    - การเงิน (17%)
    - ธุรกิจและบริการวิชาชีพ (11%)
    - รัฐบาล (10%)

    ผลกระทบจาก AI
    - AI เพิ่มความซับซ้อนและความสามารถในการโจมตี

    https://www.techradar.com/pro/security/hacking-groups-are-now-increasingly-in-it-for-the-money-not-the-chaos
    รายงานจาก Mandiant เปิดเผยว่ากลุ่มแฮกเกอร์ในปี 2024 มีแรงจูงใจทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 55% ของกลุ่มภัยคุกคามมุ่งเน้นการขโมยหรือรีดไถเงินจากเหยื่อ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการบุกรุกทั้งหมด และเกือบสองในสามของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้ วิธีการโจมตีที่นิยมมากที่สุดคือการใช้ช่องโหว่ (33%) ตามด้วยการใช้ข้อมูลรับรองที่ถูกขโมย (16%) การฟิชชิง (14%) การบุกรุกเว็บไซต์ (9%) และการใช้ช่องโหว่ที่มีอยู่ก่อนหน้า (8%) อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุดคือการเงิน (17%) ตามด้วยธุรกิจและบริการวิชาชีพ (11%) อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (10%) รัฐบาล (10%) และการดูแลสุขภาพ (9%) นักวิจัยเตือนว่า AI กำลังเพิ่มความซับซ้อนและความสามารถในการโจมตี โดยช่วยให้แฮกเกอร์สามารถดำเนินการโจมตีที่มีเป้าหมายและหลบหลีกได้มากขึ้น ✅ แรงจูงใจทางการเงินของกลุ่มแฮกเกอร์ - 55% ของกลุ่มภัยคุกคามมุ่งเน้นการขโมยหรือรีดไถเงินจากเหยื่อ - การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการบุกรุกทั้งหมด ✅ วิธีการโจมตีที่นิยม - การใช้ช่องโหว่ (33%) - การใช้ข้อมูลรับรองที่ถูกขโมย (16%) - การฟิชชิง (14%) ✅ อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุด - การเงิน (17%) - ธุรกิจและบริการวิชาชีพ (11%) - รัฐบาล (10%) ✅ ผลกระทบจาก AI - AI เพิ่มความซับซ้อนและความสามารถในการโจมตี https://www.techradar.com/pro/security/hacking-groups-are-now-increasingly-in-it-for-the-money-not-the-chaos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จีนส่งสัญญาณเปิดกว้างต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐ"

    และทันทีที่มีข่าวนี้ออกมาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หุ้นดีดตัวสูงขึ้นทันที
    ดูเหมือนว่าแหล่งข่าวเดียวที่นำเสนอรายงานนี้มาจากสำนักข่าว Bloomberg

    Bloomberg ยังกล่าวอีกว่า แม้ว่าจีนจะแสดงความพร้อมเข้าสู่การเจรจากับสหรัฐแต่ต้องอยู่บนเงื่อนไขบางประการ:

    ประการที่แรก ปักกิ่งต้องการให้สหรัฐแต่งตั้งบุคคลสำคัญในการเจรจาที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีและสามารถช่วยเตรียมข้อตกลงที่ทรัมป์และสีจิ้นผิง ผู้นำจีนสามารถลงนามได้เมื่อพวกเขาพบกัน

    ประการที่สอง จีนต้องการให้สหรัฐแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและดำเนินการที่สอดคล้องกันให้มากขึ้นในการตอบสนองต่อประเด็นความกังวลของปักกิ่งเกี่ยวกับไต้หวัน

    ประการที่สาม ปักกิ่งต้องการให้รัฐบาลของทรัมป์แสดง "ความเคารพ" ต่อจีนให้มากขึ้น ด้วยการควบคุมคำพูดดูหมิ่นของสมาชิกคณะรัฐมนตรีบางคน

    สำหรับประเด็นที่สาม แม้ว่าจีนไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าคือ รองประธานาธิบดีสหรัฐ "เจดี แวนซ์" เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แวนซ์ เรียกชาวจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกว่าเป็นเพียง "ชาวนาจีน" (“Chinese peasants) ที่ทำหน้าที่ผลิตสิ่งของป้อนให้สหรัฐ “เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีกเล็กน้อย เราขอยืมเงินจากชาวนาจีนเพื่อซื้อสิ่งของที่ชาวนาจีนผลิตขึ้น นั่นไม่ใช่สูตรสำหรับความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ” ( "To make it a little more crystal clear, we borrow money from Chinese peasants to buy the things those Chinese peasants manufacture. That is not a recipe for economic prosperity.")

    คำพูดของแวนซ์ ที่เรียกชาวจีนว่า "ชาวนา" ถือเป็นคำดูหมื่นชาวจีนอย่างมาก เนื่องจากถูกมองว่าเป็นประเทศที่ล้าหลัง ด้อยพัฒนา ทำให้เกิดการต่อต้านจากชาวจีนเป็นจำนวนมาก และมีการโต้กลับคำพูดดูหมิ่นนี้จากชาวเน็ตจีน โดยชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ประเทศของพวกเขาได้พัฒนาในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เช่น การสื่อสาร 5G และรถไฟความเร็วสูง

    นอกจากนี้รัฐบาลจีน โดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน "หลิน เจี้ยน" เรียกคำพูดดังกล่าวของแวนซ์ว่า “ไร้ความรู้และไม่ให้เกียรติ” ซึ่งถือเป็นการตำหนิผู้นำระดับสูงของสหรัฐโดยตรง ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยเท่าไหร่นัก


    เจ้าหน้าที่ปักกิ่งเชื่อว่า ไม่ว่าใครในคณะทำงานของทรัมป์ออกมากล่าวบางอย่างเกี่ยวกับจีน และหากทรัมป์ไม่ปฏิเสธความเห็นเหล่านั้น เจ้าหน้าที่จีนก็ถือว่าทรัมป์เห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเช่นกัน
    "จีนส่งสัญญาณเปิดกว้างต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐ" และทันทีที่มีข่าวนี้ออกมาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หุ้นดีดตัวสูงขึ้นทันที ดูเหมือนว่าแหล่งข่าวเดียวที่นำเสนอรายงานนี้มาจากสำนักข่าว Bloomberg Bloomberg ยังกล่าวอีกว่า แม้ว่าจีนจะแสดงความพร้อมเข้าสู่การเจรจากับสหรัฐแต่ต้องอยู่บนเงื่อนไขบางประการ: 👉ประการที่แรก ปักกิ่งต้องการให้สหรัฐแต่งตั้งบุคคลสำคัญในการเจรจาที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีและสามารถช่วยเตรียมข้อตกลงที่ทรัมป์และสีจิ้นผิง ผู้นำจีนสามารถลงนามได้เมื่อพวกเขาพบกัน 👉ประการที่สอง จีนต้องการให้สหรัฐแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและดำเนินการที่สอดคล้องกันให้มากขึ้นในการตอบสนองต่อประเด็นความกังวลของปักกิ่งเกี่ยวกับไต้หวัน 👉ประการที่สาม ปักกิ่งต้องการให้รัฐบาลของทรัมป์แสดง "ความเคารพ" ต่อจีนให้มากขึ้น ด้วยการควบคุมคำพูดดูหมิ่นของสมาชิกคณะรัฐมนตรีบางคน สำหรับประเด็นที่สาม แม้ว่าจีนไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าคือ รองประธานาธิบดีสหรัฐ "เจดี แวนซ์" เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แวนซ์ เรียกชาวจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกว่าเป็นเพียง "ชาวนาจีน" (“Chinese peasants) ที่ทำหน้าที่ผลิตสิ่งของป้อนให้สหรัฐ “เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีกเล็กน้อย เราขอยืมเงินจากชาวนาจีนเพื่อซื้อสิ่งของที่ชาวนาจีนผลิตขึ้น นั่นไม่ใช่สูตรสำหรับความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ” ( "To make it a little more crystal clear, we borrow money from Chinese peasants to buy the things those Chinese peasants manufacture. That is not a recipe for economic prosperity.") คำพูดของแวนซ์ ที่เรียกชาวจีนว่า "ชาวนา" ถือเป็นคำดูหมื่นชาวจีนอย่างมาก เนื่องจากถูกมองว่าเป็นประเทศที่ล้าหลัง ด้อยพัฒนา ทำให้เกิดการต่อต้านจากชาวจีนเป็นจำนวนมาก และมีการโต้กลับคำพูดดูหมิ่นนี้จากชาวเน็ตจีน โดยชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ประเทศของพวกเขาได้พัฒนาในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เช่น การสื่อสาร 5G และรถไฟความเร็วสูง นอกจากนี้รัฐบาลจีน โดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน "หลิน เจี้ยน" เรียกคำพูดดังกล่าวของแวนซ์ว่า “ไร้ความรู้และไม่ให้เกียรติ” ซึ่งถือเป็นการตำหนิผู้นำระดับสูงของสหรัฐโดยตรง ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยเท่าไหร่นัก เจ้าหน้าที่ปักกิ่งเชื่อว่า ไม่ว่าใครในคณะทำงานของทรัมป์ออกมากล่าวบางอย่างเกี่ยวกับจีน และหากทรัมป์ไม่ปฏิเสธความเห็นเหล่านั้น เจ้าหน้าที่จีนก็ถือว่าทรัมป์เห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเช่นกัน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 662 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts