• ทุกวันนี้ AI Chatbot ส่วนใหญ่ รอให้คนเรียกก่อนค่อยเริ่มตอบใช่ไหมครับ แต่ Meta กำลังจะทำให้มัน “เปลี่ยนขั้ว” กลายเป็นเพื่อนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น โดยในโครงการชื่อว่า “Project Omni” → AI จะสามารถ “ทักเราก่อน” ได้ ถ้าเคยคุยกันมาก่อน และ → ยังสามารถ “ชวนคุยเรื่องเก่า” ที่เคยค้างไว้ เช่น:  – “ได้ลองฟังเพลงจากคอมโพเซอร์ที่คุณเคยพูดถึงไหม?”  – “คืนนี้ว่างไหม อยากให้เราช่วยเลือกหนังดูไหม?”

    Meta บอกว่าแนวคิดนี้จะช่วย เพิ่มคุณค่าของ AI ให้เหมือนเพื่อนสนิทหรือผู้ช่วยที่ใส่ใจ มากกว่าแค่ตอบคำถาม → ยังมีระบบ “สร้างบุคลิก AI” แบบ custom สำหรับแบรนด์หรือแฟนเพจด้วย เช่น เพจนักร้องอาจสร้าง AI ที่ตอบคอมเมนต์แฟนคลับในแบบตัวศิลปินเอง

    ทีมที่ช่วย Meta พัฒนาอยู่คือ Alignerr ซึ่งมีหน้าที่ “ปั้นบุคลิก” ของ AI แต่ละตัวให้หลากหลาย เหมาะกับบริบทต่าง ๆ และตอนนี้ฟีเจอร์กำลังถูกทดลองอยู่ใน Meta AI Studio — โดยมีเงื่อนไขว่า:
    - AI จะ ทักได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มก่อน
    - ถ้าเราไม่ตอบกลับ AI จะไม่ส่งข้อความใหม่อีก
    - ต้องเคยมีประวัติส่งแชตอย่างน้อย 5 ข้อความภายใน 14 วัน
    - AI จะชวนคุยแค่เรื่องเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยคุยไว้
    - ห้ามพูดเรื่องอ่อนไหว–อันตราย–หรือแสดงอารมณ์เชิงลบ

    Meta กำลังทดสอบ Project Omni → ให้ AI ส่งข้อความหาผู้ใช้ก่อนโดยอิงจากบทสนทนาเก่า  
    • ตัวอย่าง: ถามถึงเพลง หนัง หรือสิ่งที่เคยพูดถึง  
    • ใช้ผ่าน Meta AI Studio

    Meta ยืนยันว่า AI จะ “ทักก่อน” ได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มไว้เท่านั้น

    หากผู้ใช้ไม่ตอบกลับข้อความจาก AI → ระบบจะหยุดส่งข้อความใหม่โดยอัตโนมัติ

    ต้องส่งข้อความหา AI อย่างน้อย 5 ข้อความใน 14 วัน ถึงจะเข้าเงื่อนไขรับข้อความ follow-up

    ข้อความ follow-up ต้องเป็นบวก, ไม่อ่อนไหว, และยึดโยงจากบทสนทนาเก่า

    จะมีระบบสร้าง AI assistant แบบมีบุคลิกเฉพาะ สำหรับแบรนด์/ผู้ใช้งานผ่าน Meta AI Studio

    https://www.neowin.net/news/metas-next-chatbot-might-message-you-first-and-want-to-keep-talking-to-you/
    ทุกวันนี้ AI Chatbot ส่วนใหญ่ รอให้คนเรียกก่อนค่อยเริ่มตอบใช่ไหมครับ แต่ Meta กำลังจะทำให้มัน “เปลี่ยนขั้ว” กลายเป็นเพื่อนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น โดยในโครงการชื่อว่า “Project Omni” → AI จะสามารถ “ทักเราก่อน” ได้ ถ้าเคยคุยกันมาก่อน และ → ยังสามารถ “ชวนคุยเรื่องเก่า” ที่เคยค้างไว้ เช่น:  – “ได้ลองฟังเพลงจากคอมโพเซอร์ที่คุณเคยพูดถึงไหม?”  – “คืนนี้ว่างไหม อยากให้เราช่วยเลือกหนังดูไหม?” Meta บอกว่าแนวคิดนี้จะช่วย เพิ่มคุณค่าของ AI ให้เหมือนเพื่อนสนิทหรือผู้ช่วยที่ใส่ใจ มากกว่าแค่ตอบคำถาม → ยังมีระบบ “สร้างบุคลิก AI” แบบ custom สำหรับแบรนด์หรือแฟนเพจด้วย เช่น เพจนักร้องอาจสร้าง AI ที่ตอบคอมเมนต์แฟนคลับในแบบตัวศิลปินเอง ทีมที่ช่วย Meta พัฒนาอยู่คือ Alignerr ซึ่งมีหน้าที่ “ปั้นบุคลิก” ของ AI แต่ละตัวให้หลากหลาย เหมาะกับบริบทต่าง ๆ และตอนนี้ฟีเจอร์กำลังถูกทดลองอยู่ใน Meta AI Studio — โดยมีเงื่อนไขว่า: - AI จะ ทักได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มก่อน - ถ้าเราไม่ตอบกลับ AI จะไม่ส่งข้อความใหม่อีก - ต้องเคยมีประวัติส่งแชตอย่างน้อย 5 ข้อความภายใน 14 วัน - AI จะชวนคุยแค่เรื่องเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยคุยไว้ - ห้ามพูดเรื่องอ่อนไหว–อันตราย–หรือแสดงอารมณ์เชิงลบ ✅ Meta กำลังทดสอบ Project Omni → ให้ AI ส่งข้อความหาผู้ใช้ก่อนโดยอิงจากบทสนทนาเก่า   • ตัวอย่าง: ถามถึงเพลง หนัง หรือสิ่งที่เคยพูดถึง   • ใช้ผ่าน Meta AI Studio ✅ Meta ยืนยันว่า AI จะ “ทักก่อน” ได้เฉพาะแชตที่ผู้ใช้เคยเริ่มไว้เท่านั้น ✅ หากผู้ใช้ไม่ตอบกลับข้อความจาก AI → ระบบจะหยุดส่งข้อความใหม่โดยอัตโนมัติ ✅ ต้องส่งข้อความหา AI อย่างน้อย 5 ข้อความใน 14 วัน ถึงจะเข้าเงื่อนไขรับข้อความ follow-up ✅ ข้อความ follow-up ต้องเป็นบวก, ไม่อ่อนไหว, และยึดโยงจากบทสนทนาเก่า ✅ จะมีระบบสร้าง AI assistant แบบมีบุคลิกเฉพาะ สำหรับแบรนด์/ผู้ใช้งานผ่าน Meta AI Studio https://www.neowin.net/news/metas-next-chatbot-might-message-you-first-and-want-to-keep-talking-to-you/
    WWW.NEOWIN.NET
    Meta's next chatbot might message you first and want to keep talking to you
    Meta is working on "Project Omni"; a new way for AI to engage users by messaging them proactively and keeping conversations with them flowing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 0 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า CAMM2 (Compression Attached Memory Module 2) คือฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่จะมาแทน SO-DIMM และ UDIMM ที่เราใช้กันบนโน้ตบุ๊กและพีซีในปัจจุบัน → มันบางกว่า เสียบแน่นกว่า ต้านทานสัญญาณน้อยกว่า และเร็วกว่าเยอะ! → ผลคือ “โอเวอร์คล็อกได้ดีกว่า” และใช้ในอุปกรณ์บางเฉียบหรือโมดูล AI ที่ต้องการพื้นที่คุมความร้อน

    G.Skill ใช้โมดูล CAMM2 DDR5 ขนาด 64GB บนเมนบอร์ด ASUS ROG Maximus Z890 Hero รุ่นพิเศษที่ดัดแปลงให้รองรับ CAMM2 โดยจับคู่กับ Intel Core Ultra 7 265K → แล้วจัดการโอเวอร์คล็อกจนไปถึง DDR5-10000 MT/s และรัน Memtest แบบเสถียรได้!

    แม้สถิติโลกตอนนี้จะยังสูงกว่า (DDR5-12054 โดย saltycroissant) แต่ความต่างคือ สถิตินั้นใช้แบบ DIMM ปกติ + air cooling, ขณะที่ CAMM2 ยังมีศักยภาพเหลืออีกเยอะ — ถ้าทำตลาดจริงเมื่อไหร่ อาจเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำยุคถัดไปเลยก็ได้

    G.Skill ทำลายสถิติโอเวอร์คล็อกของ CAMM2 ได้ถึง DDR5-10000 MT/s  
    • ใช้กับแรม CAMM2 ความจุ 64GB  
    • ทดสอบบนเมนบอร์ด ASUS Maximus Z890 Hero ที่ดัดแปลงพิเศษ  
    • จับคู่กับซีพียู Intel Core Ultra 7 265K  
    • ผ่านการทดสอบเสถียรด้วย Memtest

    CAMM2 คือฟอร์มแฟกเตอร์หน่วยความจำแบบใหม่แทน SO-DIMM/UDIMM  
    • บางกว่า เร็วกว่า มีศักยภาพ overclock สูง  
    • ถูกนำเสนอครั้งแรกกลางปี 2024  
    • มีแค่ Crucial ที่เริ่มขาย LPCAMM2 LPDDR5X-7500 (32/64GB)

    เหมาะกับโน้ตบุ๊ก/แท็บเล็ตที่ไม่อยากใช้ RAM แบบฝัง (soldered)  
    • ช่วยให้ซ่อม–อัปเกรดได้ง่ายขึ้น  
    • ลดต้นทุนผลิต เพราะใช้สายการผลิตเดียวได้หลายขนาด

    G.Skill, Kingston, TeamGroup เริ่มโชว์ CAMM2 ที่ Computex 2025 แล้ว  
    • แต่ยังไม่มีเมนบอร์ด consumer รุ่น CAMM2 วางจำหน่ายทั่วไป

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr5/g-skill-pushing-new-camm2-ddr5-memory-modules-to-the-overclocking-limit-hits-ddr5-10000-speeds-on-modified-asus-motherboard
    ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า CAMM2 (Compression Attached Memory Module 2) คือฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่จะมาแทน SO-DIMM และ UDIMM ที่เราใช้กันบนโน้ตบุ๊กและพีซีในปัจจุบัน → มันบางกว่า เสียบแน่นกว่า ต้านทานสัญญาณน้อยกว่า และเร็วกว่าเยอะ! → ผลคือ “โอเวอร์คล็อกได้ดีกว่า” และใช้ในอุปกรณ์บางเฉียบหรือโมดูล AI ที่ต้องการพื้นที่คุมความร้อน G.Skill ใช้โมดูล CAMM2 DDR5 ขนาด 64GB บนเมนบอร์ด ASUS ROG Maximus Z890 Hero รุ่นพิเศษที่ดัดแปลงให้รองรับ CAMM2 โดยจับคู่กับ Intel Core Ultra 7 265K → แล้วจัดการโอเวอร์คล็อกจนไปถึง DDR5-10000 MT/s และรัน Memtest แบบเสถียรได้! แม้สถิติโลกตอนนี้จะยังสูงกว่า (DDR5-12054 โดย saltycroissant) แต่ความต่างคือ สถิตินั้นใช้แบบ DIMM ปกติ + air cooling, ขณะที่ CAMM2 ยังมีศักยภาพเหลืออีกเยอะ — ถ้าทำตลาดจริงเมื่อไหร่ อาจเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำยุคถัดไปเลยก็ได้ ✅ G.Skill ทำลายสถิติโอเวอร์คล็อกของ CAMM2 ได้ถึง DDR5-10000 MT/s   • ใช้กับแรม CAMM2 ความจุ 64GB   • ทดสอบบนเมนบอร์ด ASUS Maximus Z890 Hero ที่ดัดแปลงพิเศษ   • จับคู่กับซีพียู Intel Core Ultra 7 265K   • ผ่านการทดสอบเสถียรด้วย Memtest ✅ CAMM2 คือฟอร์มแฟกเตอร์หน่วยความจำแบบใหม่แทน SO-DIMM/UDIMM   • บางกว่า เร็วกว่า มีศักยภาพ overclock สูง   • ถูกนำเสนอครั้งแรกกลางปี 2024   • มีแค่ Crucial ที่เริ่มขาย LPCAMM2 LPDDR5X-7500 (32/64GB) ✅ เหมาะกับโน้ตบุ๊ก/แท็บเล็ตที่ไม่อยากใช้ RAM แบบฝัง (soldered)   • ช่วยให้ซ่อม–อัปเกรดได้ง่ายขึ้น   • ลดต้นทุนผลิต เพราะใช้สายการผลิตเดียวได้หลายขนาด ✅ G.Skill, Kingston, TeamGroup เริ่มโชว์ CAMM2 ที่ Computex 2025 แล้ว   • แต่ยังไม่มีเมนบอร์ด consumer รุ่น CAMM2 วางจำหน่ายทั่วไป https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr5/g-skill-pushing-new-camm2-ddr5-memory-modules-to-the-overclocking-limit-hits-ddr5-10000-speeds-on-modified-asus-motherboard
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • TerraMar เกาะ Epstein การค้ามนุษย์เด็ก การกินเนื้อคน และเพชร

    อย่าลืมเหตุผลที่เราเริ่มต้น
    มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กเสมอมา และยังคงเกี่ยวกับเด็ก

    อาชญากรรมต่อเด็กของเรา

    การทหารเป็นหนทางเดียว

    ไม่มีข้อตกลง

    เราทุกคนมีความรับผิดชอบในการปกป้องเด็กทั่วโลก

    #SpecialQForces
    #EXPOSEthePEDOSendoftheCABAL

    NCSWIC 🕊

    https://rumble.com/v2powy6-terramar-epstein-island-they-eat-our-children-and-after-melt-child-down-int.html

    https://www.memetrunk.com/save-the-children/post/terramar-epstien-island-child-trafficking-cannibalism-and-diamonds-BH7nuB6ANqHaDH4
    TerraMar เกาะ Epstein การค้ามนุษย์เด็ก การกินเนื้อคน และเพชร อย่าลืมเหตุผลที่เราเริ่มต้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กเสมอมา และยังคงเกี่ยวกับเด็ก อาชญากรรมต่อเด็กของเรา การทหารเป็นหนทางเดียว ไม่มีข้อตกลง เราทุกคนมีความรับผิดชอบในการปกป้องเด็กทั่วโลก #SpecialQForces #EXPOSEthePEDOSendoftheCABAL NCSWIC 💞🌹🕊🌍💫 https://rumble.com/v2powy6-terramar-epstein-island-they-eat-our-children-and-after-melt-child-down-int.html https://www.memetrunk.com/save-the-children/post/terramar-epstien-island-child-trafficking-cannibalism-and-diamonds-BH7nuB6ANqHaDH4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ASML คือบริษัทผลิต เครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ที่เป็นหัวใจของการผลิตชิปสมัยใหม่ทุกวันนี้ ยิ่งเทคโนโลยีเล็กลง (เช่น 5nm, 3nm), ความละเอียดของเครื่องก็ยิ่งสำคัญ

    แต่ช่วงหลัง Intel กลับออกมาบอกว่า “เครื่อง High NA EUV รุ่นล่าสุดของ ASML อาจไม่จำเป็นเท่าที่คิดในเทคโนโลยีชิปยุคใหม่” เพราะแนวโน้มตอนนี้คือ “เปลี่ยนจากการลดขนาดทรานซิสเตอร์แนวนอน → ไปเพิ่มชั้นแนวตั้ง (3D stacking)” แทน → ทำให้ความคมชัดของเลนส์ไม่ใช่พระเอกอีกต่อไป

    BofA จึงลดความคาดหวังต่ออุปสงค์ของเครื่อง High NA EUV แม้จะยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้น ASML อยู่ (เพราะยังเชื่อในกระแส AI) แต่ก็มองว่า:
    - ตลาด High NA ยังไม่เติบโตเท่าที่หวัง
    - Intel ยังมีปัญหาผลิต 18A
    - Samsung เองยังไม่สามารถส่งชิปหน่วยความจำให้ NVIDIA ผ่านได้
    - และยังมีความเสี่ยงการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ต่ออุปกรณ์ที่ส่งไปจีน

    BofA ลดเป้าราคาหุ้น ASML จาก €795 → €759  
    • ลดคาดการณ์ EPS ปี 2026–2027 ลง ~5%  
    • แต่ยังคงคำแนะนำ “Buy” อยู่

    เหตุผลที่ลดประมาณการคือการชะลอความต้องการเครื่อง High NA EUV ของ ASML  
    • โดยเฉพาะจาก Intel, Samsung  
    • และการปรับทิศทางดีไซน์ชิปไปสู่แนวตั้งแบบ 3D มากขึ้น

    BofA คาดว่า ASML จะขายเครื่อง High NA ได้แค่ 4 เครื่องในปี 2026  
    • ลดลง ~50% จากที่เคยคาดไว้

    แม้จะเผชิญแรงกดดัน แต่ BofA ยังเชื่อในการเติบโตระยะยาวจากกระแส AI  
    • คาดว่าตลาด AI chip จะโตแตะ $795B ภายในปี 2030  
    • ซึ่งยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีลิทโธกราฟีรุ่นล่าสุดอยู่

    อัตราส่วน EV/Operating Income ของ ASML ยังอยู่ที่ 19.6x  
    • ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 22x แต่ถือว่า “ยังน่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว”

    https://wccftech.com/asmls-price-target-cut-by-bofa-due-to-lower-high-na-machine-demand/
    ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ASML คือบริษัทผลิต เครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ที่เป็นหัวใจของการผลิตชิปสมัยใหม่ทุกวันนี้ ยิ่งเทคโนโลยีเล็กลง (เช่น 5nm, 3nm), ความละเอียดของเครื่องก็ยิ่งสำคัญ แต่ช่วงหลัง Intel กลับออกมาบอกว่า “เครื่อง High NA EUV รุ่นล่าสุดของ ASML อาจไม่จำเป็นเท่าที่คิดในเทคโนโลยีชิปยุคใหม่” เพราะแนวโน้มตอนนี้คือ “เปลี่ยนจากการลดขนาดทรานซิสเตอร์แนวนอน → ไปเพิ่มชั้นแนวตั้ง (3D stacking)” แทน → ทำให้ความคมชัดของเลนส์ไม่ใช่พระเอกอีกต่อไป BofA จึงลดความคาดหวังต่ออุปสงค์ของเครื่อง High NA EUV แม้จะยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้น ASML อยู่ (เพราะยังเชื่อในกระแส AI) แต่ก็มองว่า: - ตลาด High NA ยังไม่เติบโตเท่าที่หวัง - Intel ยังมีปัญหาผลิต 18A - Samsung เองยังไม่สามารถส่งชิปหน่วยความจำให้ NVIDIA ผ่านได้ - และยังมีความเสี่ยงการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ต่ออุปกรณ์ที่ส่งไปจีน ✅ BofA ลดเป้าราคาหุ้น ASML จาก €795 → €759   • ลดคาดการณ์ EPS ปี 2026–2027 ลง ~5%   • แต่ยังคงคำแนะนำ “Buy” อยู่ ✅ เหตุผลที่ลดประมาณการคือการชะลอความต้องการเครื่อง High NA EUV ของ ASML   • โดยเฉพาะจาก Intel, Samsung   • และการปรับทิศทางดีไซน์ชิปไปสู่แนวตั้งแบบ 3D มากขึ้น ✅ BofA คาดว่า ASML จะขายเครื่อง High NA ได้แค่ 4 เครื่องในปี 2026   • ลดลง ~50% จากที่เคยคาดไว้ ✅ แม้จะเผชิญแรงกดดัน แต่ BofA ยังเชื่อในการเติบโตระยะยาวจากกระแส AI   • คาดว่าตลาด AI chip จะโตแตะ $795B ภายในปี 2030   • ซึ่งยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีลิทโธกราฟีรุ่นล่าสุดอยู่ ✅ อัตราส่วน EV/Operating Income ของ ASML ยังอยู่ที่ 19.6x   • ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 22x แต่ถือว่า “ยังน่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว” https://wccftech.com/asmls-price-target-cut-by-bofa-due-to-lower-high-na-machine-demand/
    WCCFTECH.COM
    ASML's Price Target Cut By BofA Due To Lower High NA Machine Demand
    Bank of America cuts ASML share price target on back of lower demand for high NA EUV scanners and Intel's production woes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติสมาร์ตโฟนตอนนี้ใช้ RAM แบบ LPDDR5X กันอยู่ — เร็วก็จริง แต่ยังเทียบไม่ได้กับ HBM ที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์และชิป AI ระดับสูง ทีนี้ Huawei ซึ่งแม้จะโดนคว่ำบาตรจนต้องใช้ชิป 7nm จาก SMIC ก็พยายามหนีขึ้นไปอีกขั้น โดย “ข้าม LPDDR6 ไปใช้ HBM เลย” — โดยใช้เทคนิค 3D Stacking มาซ้อน DRAM หลายชั้นแบบเดียวกับที่ใช้ใน HBM สำหรับ AI chip

    ผลคือ:
    - ได้ความเร็วสูงขึ้น
    - ประหยัดพลังงาน
    - ใช้พื้นที่น้อยลงมากในโทรศัพท์

    Apple เองก็มีข่าวว่าจะใช้ HBM ใน iPhone ฉลอง 20 ปี (ปี 2027) แต่ดูเหมือน Huawei จะเอาจริงก่อนและเร็วกว่า ถึงจะยังไม่ประกาศว่ารุ่นไหนจะได้ใช้ก่อนก็ตาม

    แม้เทคโนโลยีการผลิตของ Huawei จะตามหลัง (เพราะ TSMC และ Samsung ไม่สามารถผลิตให้ได้) — แต่ Huawei ก็ชดเชยด้วยการเร่งนวัตกรรมในองค์ประกอบอื่น เช่น DRAM, โมเด็ม, OS และ AI

    https://wccftech.com/huawei-could-beat-apple-in-bringing-hbm-dram-to-smartphones/
    ปกติสมาร์ตโฟนตอนนี้ใช้ RAM แบบ LPDDR5X กันอยู่ — เร็วก็จริง แต่ยังเทียบไม่ได้กับ HBM ที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์และชิป AI ระดับสูง ทีนี้ Huawei ซึ่งแม้จะโดนคว่ำบาตรจนต้องใช้ชิป 7nm จาก SMIC ก็พยายามหนีขึ้นไปอีกขั้น โดย “ข้าม LPDDR6 ไปใช้ HBM เลย” — โดยใช้เทคนิค 3D Stacking มาซ้อน DRAM หลายชั้นแบบเดียวกับที่ใช้ใน HBM สำหรับ AI chip ผลคือ: - ได้ความเร็วสูงขึ้น - ประหยัดพลังงาน - ใช้พื้นที่น้อยลงมากในโทรศัพท์ Apple เองก็มีข่าวว่าจะใช้ HBM ใน iPhone ฉลอง 20 ปี (ปี 2027) แต่ดูเหมือน Huawei จะเอาจริงก่อนและเร็วกว่า ถึงจะยังไม่ประกาศว่ารุ่นไหนจะได้ใช้ก่อนก็ตาม แม้เทคโนโลยีการผลิตของ Huawei จะตามหลัง (เพราะ TSMC และ Samsung ไม่สามารถผลิตให้ได้) — แต่ Huawei ก็ชดเชยด้วยการเร่งนวัตกรรมในองค์ประกอบอื่น เช่น DRAM, โมเด็ม, OS และ AI https://wccftech.com/huawei-could-beat-apple-in-bringing-hbm-dram-to-smartphones/
    WCCFTECH.COM
    Huawei Rumored To Beat Apple In Bringing HBM DRAM To Smartphones; Technology Will Be Based On A 3D Stacking Approach, Increasing Efficiency And Boosting AI Performance
    In addition to being the first tri-fold smartphone maker, Huawei could beat Apple in adopting HBM DRAM in its smartphones
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแรกไม่มีใครเอะใจว่าทำไม ยอดขายของ NVIDIA ในสิงคโปร์ปี 2024 พุ่งถึง 28% ทั้งที่จัดส่งจริงในประเทศมีแค่ 1% — จนกระทั่ง DeepSeek เปิดตัวโมเดล LLM ระดับเทพในจีน… แล้วคำถามเริ่มตามมาว่า “GPU ที่ใช้เทรนได้มายังไง?”

    คำตอบอาจอยู่ที่คน 3 คนที่โดนจับในสิงคโปร์:
    - Woon Guo Jie (สิงคโปร์, 41 ปี)
    - Alan Wei Zhaolun (สิงคโปร์, 49 ปี)
    - Li Ming (จีน, 51 ปี)

    พวกเขาถูกกล่าวหาว่า แสดงข้อมูลปลอมเกี่ยวกับปลายทางของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อจากสหรัฐฯ แล้วส่งต่อเข้าแดนจีน — ข้ามข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งอุปกรณ์ AI ขั้นสูงเข้าจีนโดยตรง

    การสืบสวนถูกเร่งด่วนขึ้นหลัง DeepSeek เปิดตัว และพบว่า บริษัทใช้ GPU ระดับสูงที่ถูกควบคุมการส่งออก แต่ด้าน NVIDIA ปฏิเสธว่า “ไม่เคยขายให้ผู้ต้องห้าม” และ CEO Jensen Huang ก็ออกมาบอกชัดว่า “ไม่มีหลักฐานชิปหลุดไปถึงมือผิด”

    ปัญหาคือ ช่องทางผ่าน “บริษัทบิลจากสิงคโปร์” แต่จัดส่งสินค้ากลับไปยังจีนหรือมาเลเซีย เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมการค้า → ทำให้สหรัฐฯ เตรียมร่างกฎหมายใหม่ที่บังคับให้ GPU ชั้นสูงต้องมี “ระบบติดตาม GPS” ตลอดการขนส่ง

    สามผู้ต้องหาในสิงคโปร์ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงในปี 2023–2024  
    • แสดงข้อมูลเท็จเกี่ยวกับปลายทางจริงของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อ  
    • เชื่อมโยงกับการส่งมอบชิปให้บริษัทจีน DeepSeek ซึ่งอยู่ระหว่างจับตามอง

    DeepSeek เป็นบริษัท AI สัญชาติจีนที่เปิดตัวโมเดลขนาดใหญ่ปลายปี 2024  
    • เทียบระดับ GPT-4 และ Claude  
    • สหรัฐสงสัยว่า GPU ที่ใช้มาจากแหล่งผิดกฎหมายผ่านชาติที่ 3

    NVIDIA รายงานว่าสิงคโปร์คิดเป็น 28% ของรายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จัดส่งจริงแค่ 1%  
    • จุดชนวนให้เริ่มสืบสวนช่องทางการส่งต่อ

    NVIDIA ปฏิเสธว่าไม่ได้ขายให้รายชื่อที่ถูกแบน และไม่รู้เห็นการลักลอบ  
    • CEO ยืนยัน “ไม่มีหลักฐาน GPU หลุดไปถึง DeepSeek”

    สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมายให้ติดระบบติดตาม (tracking tech) กับ GPU ขั้นสูงที่ส่งออก  
    • เพื่อป้องกันการถูก “เบี่ยงปลายทาง” (diversion) ไปยังประเทศต้องห้าม

    สิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค → การใช้ billing address จากที่นี่แต่จัดส่งที่อื่นเป็นเรื่องปกติ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/singapore-ai-chip-court-case-adjourned-until-august-trio-accused-of-illegally-smuggling-nvidia-chips-to-china-for-use-by-ai-firm-deepseek
    ตอนแรกไม่มีใครเอะใจว่าทำไม ยอดขายของ NVIDIA ในสิงคโปร์ปี 2024 พุ่งถึง 28% ทั้งที่จัดส่งจริงในประเทศมีแค่ 1% — จนกระทั่ง DeepSeek เปิดตัวโมเดล LLM ระดับเทพในจีน… แล้วคำถามเริ่มตามมาว่า “GPU ที่ใช้เทรนได้มายังไง?” คำตอบอาจอยู่ที่คน 3 คนที่โดนจับในสิงคโปร์: - Woon Guo Jie (สิงคโปร์, 41 ปี) - Alan Wei Zhaolun (สิงคโปร์, 49 ปี) - Li Ming (จีน, 51 ปี) พวกเขาถูกกล่าวหาว่า แสดงข้อมูลปลอมเกี่ยวกับปลายทางของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อจากสหรัฐฯ แล้วส่งต่อเข้าแดนจีน — ข้ามข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งอุปกรณ์ AI ขั้นสูงเข้าจีนโดยตรง การสืบสวนถูกเร่งด่วนขึ้นหลัง DeepSeek เปิดตัว และพบว่า บริษัทใช้ GPU ระดับสูงที่ถูกควบคุมการส่งออก แต่ด้าน NVIDIA ปฏิเสธว่า “ไม่เคยขายให้ผู้ต้องห้าม” และ CEO Jensen Huang ก็ออกมาบอกชัดว่า “ไม่มีหลักฐานชิปหลุดไปถึงมือผิด” ปัญหาคือ ช่องทางผ่าน “บริษัทบิลจากสิงคโปร์” แต่จัดส่งสินค้ากลับไปยังจีนหรือมาเลเซีย เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมการค้า → ทำให้สหรัฐฯ เตรียมร่างกฎหมายใหม่ที่บังคับให้ GPU ชั้นสูงต้องมี “ระบบติดตาม GPS” ตลอดการขนส่ง ✅ สามผู้ต้องหาในสิงคโปร์ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงในปี 2023–2024   • แสดงข้อมูลเท็จเกี่ยวกับปลายทางจริงของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อ   • เชื่อมโยงกับการส่งมอบชิปให้บริษัทจีน DeepSeek ซึ่งอยู่ระหว่างจับตามอง ✅ DeepSeek เป็นบริษัท AI สัญชาติจีนที่เปิดตัวโมเดลขนาดใหญ่ปลายปี 2024   • เทียบระดับ GPT-4 และ Claude   • สหรัฐสงสัยว่า GPU ที่ใช้มาจากแหล่งผิดกฎหมายผ่านชาติที่ 3 ✅ NVIDIA รายงานว่าสิงคโปร์คิดเป็น 28% ของรายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จัดส่งจริงแค่ 1%   • จุดชนวนให้เริ่มสืบสวนช่องทางการส่งต่อ ✅ NVIDIA ปฏิเสธว่าไม่ได้ขายให้รายชื่อที่ถูกแบน และไม่รู้เห็นการลักลอบ   • CEO ยืนยัน “ไม่มีหลักฐาน GPU หลุดไปถึง DeepSeek” ✅ สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมายให้ติดระบบติดตาม (tracking tech) กับ GPU ขั้นสูงที่ส่งออก   • เพื่อป้องกันการถูก “เบี่ยงปลายทาง” (diversion) ไปยังประเทศต้องห้าม ✅ สิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค → การใช้ billing address จากที่นี่แต่จัดส่งที่อื่นเป็นเรื่องปกติ https://www.tomshardware.com/tech-industry/singapore-ai-chip-court-case-adjourned-until-august-trio-accused-of-illegally-smuggling-nvidia-chips-to-china-for-use-by-ai-firm-deepseek
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยมีอาจารย์มหาวิทยาลัยในชิคาโกให้เด็กเขียนประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยเห็นการเลือกปฏิบัติ (discrimination) — แต่กลับมีนักศึกษาหลายสิบคนเขียนเรื่องเดียวกันว่า “Sally เป็นผู้หญิงที่เจอเหตุการณ์นี้”

    ฟังดูแปลกไหมครับ?

    อาจารย์จับได้ว่า...เด็กใช้ ChatGPT และ “Sally” คือชื่อที่ AI มักสุ่มมาใช้อัตโนมัติ เพราะเป็นชื่อผู้หญิงยอดนิยมทั่วไป

    แปลว่าเด็กไม่ได้เขียนเรื่องจริงของตัวเอง — ไม่คิด ไม่เชื่อมโยงประสบการณ์ — แต่ปล่อยให้ AI คิดแทนทั้งหมด ซึ่งสะท้อนปัญหาใหญ่ว่า “เด็กกำลังเรียนรู้ผ่านกระบวนการลัด”

    งานวิจัยล่าสุดจาก MIT จึงลองทดสอบอย่างเป็นระบบ โดยให้ผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งเขียนเรียงความ 20 นาที แบ่งเป็น 3 กลุ่ม:
    - กลุ่มใช้ ChatGPT
    - กลุ่มใช้ search engine
    - กลุ่มใช้ความรู้จากสมองตัวเองล้วน ๆ

    ผลคือ: กลุ่มใช้สมองเขียนได้คะแนนดีที่สุด + การเชื่อมโยงสมองผ่าน EEG ดีกว่า กลุ่มใช้ ChatGPT ไม่สามารถจำได้แม้แต่สิ่งที่ตัวเองเพิ่งเขียน! อาจารย์อ่านแล้วบอกว่าเรียงความจาก AI “ไร้จิตวิญญาณ” — เขียนดีแต่ไม่ลึกซึ้ง

    อย่างไรก็ดี นักวิจัยก็ไม่ได้สรุปทันทีว่า AI “ทำให้คนโง่ลง” เพียงแต่เตือนว่า “ควรหาวิธีใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์” — เพื่อให้ยังเกิดการคิด เรียนรู้ และพัฒนา

    อาจารย์พบว่านักศึกษาใช้ ChatGPT เขียนงาน โดยไม่ได้คิดหรือเขียนจากประสบการณ์ของตัวเอง  
    • ตัวอย่างคือใช้ชื่อ “Sally” ซ้ำกันเพราะ AI มักสุ่มชื่อนี้มาเอง  
    • ทำให้งานเขียนขาดตัวตนและการสะท้อนความคิด

    ผลวิจัยจาก MIT พบว่า กลุ่มที่ใช้ ChatGPT เขียนเรียงความ มีคะแนนต่ำกว่ากลุ่มที่ใช้สมองตัวเอง  
    • วัดผ่าน EEG แล้วพบว่าสมองเชื่อมต่อกันน้อยกว่า  
    • 80% ของกลุ่ม ChatGPT จำไม่ได้เลยว่าเพิ่งเขียนอะไร

    อาจารย์ประเมินว่าเรียงความจาก AI “แม้เขียนดี แต่ไร้วิญญาณ”  
    • ขาดความคิดสร้างสรรค์ บริบทส่วนตัว และมุมมองลึก

    แม้ AI จะมีประโยชน์ เช่นใช้สรุปโน้ต ช่วยระดมไอเดีย  
    • แต่นักศึกษาหลายคนใช้เกินเลยไปถึงจุดที่ “ไม่เกิดการเรียนรู้จริง”

    ผู้วิจัยเสนอให้มีการออกแบบการเรียนแบบใหม่ เพื่อใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้แทนการคิด

    สถานศึกษากำลังเผชิญภาวะสับสน เพราะบางวิชา “อนุญาตให้ใช้ AI” บางวิชา “ห้ามเด็ดขาด”  
    • ทำให้นักเรียนไม่แน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/02/039writing-is-thinking039-do-students-who-use-chatgpt-learn-less
    เคยมีอาจารย์มหาวิทยาลัยในชิคาโกให้เด็กเขียนประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยเห็นการเลือกปฏิบัติ (discrimination) — แต่กลับมีนักศึกษาหลายสิบคนเขียนเรื่องเดียวกันว่า “Sally เป็นผู้หญิงที่เจอเหตุการณ์นี้” ฟังดูแปลกไหมครับ? อาจารย์จับได้ว่า...เด็กใช้ ChatGPT และ “Sally” คือชื่อที่ AI มักสุ่มมาใช้อัตโนมัติ เพราะเป็นชื่อผู้หญิงยอดนิยมทั่วไป แปลว่าเด็กไม่ได้เขียนเรื่องจริงของตัวเอง — ไม่คิด ไม่เชื่อมโยงประสบการณ์ — แต่ปล่อยให้ AI คิดแทนทั้งหมด ซึ่งสะท้อนปัญหาใหญ่ว่า “เด็กกำลังเรียนรู้ผ่านกระบวนการลัด” งานวิจัยล่าสุดจาก MIT จึงลองทดสอบอย่างเป็นระบบ โดยให้ผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งเขียนเรียงความ 20 นาที แบ่งเป็น 3 กลุ่ม: - กลุ่มใช้ ChatGPT - กลุ่มใช้ search engine - กลุ่มใช้ความรู้จากสมองตัวเองล้วน ๆ ผลคือ: 🧠 กลุ่มใช้สมองเขียนได้คะแนนดีที่สุด + การเชื่อมโยงสมองผ่าน EEG ดีกว่า 📉 กลุ่มใช้ ChatGPT ไม่สามารถจำได้แม้แต่สิ่งที่ตัวเองเพิ่งเขียน! 🧾 อาจารย์อ่านแล้วบอกว่าเรียงความจาก AI “ไร้จิตวิญญาณ” — เขียนดีแต่ไม่ลึกซึ้ง อย่างไรก็ดี นักวิจัยก็ไม่ได้สรุปทันทีว่า AI “ทำให้คนโง่ลง” เพียงแต่เตือนว่า “ควรหาวิธีใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์” — เพื่อให้ยังเกิดการคิด เรียนรู้ และพัฒนา ✅ อาจารย์พบว่านักศึกษาใช้ ChatGPT เขียนงาน โดยไม่ได้คิดหรือเขียนจากประสบการณ์ของตัวเอง   • ตัวอย่างคือใช้ชื่อ “Sally” ซ้ำกันเพราะ AI มักสุ่มชื่อนี้มาเอง   • ทำให้งานเขียนขาดตัวตนและการสะท้อนความคิด ✅ ผลวิจัยจาก MIT พบว่า กลุ่มที่ใช้ ChatGPT เขียนเรียงความ มีคะแนนต่ำกว่ากลุ่มที่ใช้สมองตัวเอง   • วัดผ่าน EEG แล้วพบว่าสมองเชื่อมต่อกันน้อยกว่า   • 80% ของกลุ่ม ChatGPT จำไม่ได้เลยว่าเพิ่งเขียนอะไร ✅ อาจารย์ประเมินว่าเรียงความจาก AI “แม้เขียนดี แต่ไร้วิญญาณ”   • ขาดความคิดสร้างสรรค์ บริบทส่วนตัว และมุมมองลึก ✅ แม้ AI จะมีประโยชน์ เช่นใช้สรุปโน้ต ช่วยระดมไอเดีย   • แต่นักศึกษาหลายคนใช้เกินเลยไปถึงจุดที่ “ไม่เกิดการเรียนรู้จริง” ✅ ผู้วิจัยเสนอให้มีการออกแบบการเรียนแบบใหม่ เพื่อใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้แทนการคิด ✅ สถานศึกษากำลังเผชิญภาวะสับสน เพราะบางวิชา “อนุญาตให้ใช้ AI” บางวิชา “ห้ามเด็ดขาด”   • ทำให้นักเรียนไม่แน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/02/039writing-is-thinking039-do-students-who-use-chatgpt-learn-less
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Writing is thinking': do students who use ChatGPT learn less?
    "Writing is thinking, thinking is writing, and when we eliminate that process, what does that mean for thinking?"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา

    เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ:
    - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง
    - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที
    - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์

    แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้!

    ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น:
    - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking)
    - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ
    - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ
    - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน

    ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า:
    - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย
    - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์
    - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว

    นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต

    สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ: - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้! ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น: - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking) - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า: - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์ - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How do you teach computer science in the AI era?
    Universities across the United States are scrambling to understand the implications of generative AI's transformation of technology.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในบล็อกล่าสุดของ Microsoft คุณ Yusuf Mehdi รองประธานฝ่าย Windows กล่าวว่า “Windows มีผู้ใช้งานเกิน 1,000 ล้านเครื่องทั่วโลก” — ฟังดูดีใช่ไหมครับ?

    แต่ถ้าเราไล่กลับไปดูรายงานประจำปี 2022 ของ Microsoft จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งาน Windows 10 และ 11 เคยอยู่ที่ 1.4 พันล้านเครื่อง…แปลว่าภายในเวลาแค่ 3 ปี หายไปถึง 400 ล้านเครื่อง!

    เกิดอะไรขึ้น?
    - ไม่ใช่เพราะคนแห่ไปใช้ MacBook เพราะแม้แต่ Apple เองยอดขาย Mac ก็ลดลง
    - แต่คนจำนวนมาก “เลิกใช้พีซีไปเลย” แล้วหันไปใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตแทน
    - เด็ก ๆ ที่โตมากับระบบอย่าง Chromebook ก็อาจเลือก Google แทน Microsoft ในอนาคต
    - แอปอย่าง Google Docs แทนที่ MS Office ได้ฟรี → ไม่จำเป็นต้องใช้ Windows อีกต่อไป

    ขณะเดียวกัน Microsoft ก็เร่งให้คนอัปเกรดจาก Windows 10 ไป 11 ก่อนที่ Win10 จะหมดการสนับสนุน แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยังยึดติดกับ PC เก่า ซึ่งอัปเกรดไม่ได้

    Windows เคยมีผู้ใช้ 1.4 พันล้านเครื่องในปี 2022 → ล่าสุดเหลือราว 1 พันล้านเครื่อง  
    • ลดลงราว 400 ล้านเครื่องในช่วง 3 ปี  
    • ข้อมูลจาก Microsoft เองในบล็อกและรายงานทางการ

    Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Windows 11 เพราะ Windows 10 จะหมดการซัพพอร์ตในปี 2025

    แม้ macOS ของ Apple จะเป็นคู่แข่ง แต่ยอดขาย Mac ลดลงเช่นกัน (เหลือแค่ 7.7% ของรายได้บริษัทในปี 2023)
    • แสดงว่าคน “ไม่ได้ย้าย” ไป Mac แต่เลือกเลิกใช้พีซีแทน

    สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตทำให้ความจำเป็นในการใช้ Windows ลดลง  
    • Chromebook เติบโตในภาคการศึกษา และเป็นระบบที่เด็กยุคใหม่คุ้นเคย  
    • Google Docs และเว็บแอปต่าง ๆ ทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ Windows หรือ Office

    ตลาดที่ยังแข็งแรงของ Windows คือ “เกมเมอร์” และ “มืออาชีพเฉพาะทาง” ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ


    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-seemingly-lost-400-million-users-in-the-past-three-years-official-microsoft-statements-show-hints-of-a-shrinking-user-base
    ในบล็อกล่าสุดของ Microsoft คุณ Yusuf Mehdi รองประธานฝ่าย Windows กล่าวว่า “Windows มีผู้ใช้งานเกิน 1,000 ล้านเครื่องทั่วโลก” — ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่ถ้าเราไล่กลับไปดูรายงานประจำปี 2022 ของ Microsoft จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งาน Windows 10 และ 11 เคยอยู่ที่ 1.4 พันล้านเครื่อง…แปลว่าภายในเวลาแค่ 3 ปี หายไปถึง 400 ล้านเครื่อง! เกิดอะไรขึ้น? - ไม่ใช่เพราะคนแห่ไปใช้ MacBook เพราะแม้แต่ Apple เองยอดขาย Mac ก็ลดลง - แต่คนจำนวนมาก “เลิกใช้พีซีไปเลย” แล้วหันไปใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตแทน - เด็ก ๆ ที่โตมากับระบบอย่าง Chromebook ก็อาจเลือก Google แทน Microsoft ในอนาคต - แอปอย่าง Google Docs แทนที่ MS Office ได้ฟรี → ไม่จำเป็นต้องใช้ Windows อีกต่อไป ขณะเดียวกัน Microsoft ก็เร่งให้คนอัปเกรดจาก Windows 10 ไป 11 ก่อนที่ Win10 จะหมดการสนับสนุน แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยังยึดติดกับ PC เก่า ซึ่งอัปเกรดไม่ได้ ✅ Windows เคยมีผู้ใช้ 1.4 พันล้านเครื่องในปี 2022 → ล่าสุดเหลือราว 1 พันล้านเครื่อง   • ลดลงราว 400 ล้านเครื่องในช่วง 3 ปี   • ข้อมูลจาก Microsoft เองในบล็อกและรายงานทางการ ✅ Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Windows 11 เพราะ Windows 10 จะหมดการซัพพอร์ตในปี 2025 ✅ แม้ macOS ของ Apple จะเป็นคู่แข่ง แต่ยอดขาย Mac ลดลงเช่นกัน (เหลือแค่ 7.7% ของรายได้บริษัทในปี 2023) • แสดงว่าคน “ไม่ได้ย้าย” ไป Mac แต่เลือกเลิกใช้พีซีแทน ✅ สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตทำให้ความจำเป็นในการใช้ Windows ลดลง   • Chromebook เติบโตในภาคการศึกษา และเป็นระบบที่เด็กยุคใหม่คุ้นเคย   • Google Docs และเว็บแอปต่าง ๆ ทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ Windows หรือ Office ✅ ตลาดที่ยังแข็งแรงของ Windows คือ “เกมเมอร์” และ “มืออาชีพเฉพาะทาง” ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-seemingly-lost-400-million-users-in-the-past-three-years-official-microsoft-statements-show-hints-of-a-shrinking-user-base
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร
    แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46

    ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า

    1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย]

    วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า:

    "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม"

    เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ

    2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม

    , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้

    3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย

    Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร

    กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC"

    Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2)

    Bora Touch ทนายความ

    The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates:

    1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.

    Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises:

    "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam"

    Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ.

    Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia.

    Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid.

    Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand.

    Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land.

    Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC."

    Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46 ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า 1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า: "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม" เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ 2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้ 3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC" Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2) Bora Touch ทนายความ The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates: 1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand].. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand] (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand]. Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises: "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand] set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam" Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ. Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia. Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid. Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand. Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land. Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC." Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกาะกูด (Koh Kood) เป็นเกาะสวยงามในจังหวัดตราด ทางภาคตะวันออกของไทย ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ชายหาดขาวสะอาด และน้ำทะเลใสสีมรกต! **นี่คือสถานที่ท่าสนใจและกิจกรรมแนะนำในบริเวณเกาะกูด:**

    1. **ชายหาดสวยงาม:**
    * **หาดตาดใหญ่ (Tad Mai Beach):** หาดหลักที่ยาวและสวยที่สุดของเกาะ มีทรายขาวละเอียด น้ำใส บรรยากาศสงบ ร้านอาหารและที่พักตั้งเรียงราย (แต่ไม่หนาแน่นเหมือนเกาะอื่น) เหมาะสำหรับว่ายน้ำและพักผ่อน
    * **หาดคลองเจ้า (Klong Chao Beach):** เป็นส่วนหนึ่งของอ่าวคลองเจ้า มีทรายขาวนุ่ม น้ำใสเงียบสงบ เป็นที่ตั้งของรีสอร์ทระดับหรูหลายแห่ง และเป็นจุดเริ่มต้นไปน้ำตกคลองเจ้า
    * **หาดบางเบ้า (Bang Bao Beach):** ชายหาดโค้งรูปครึ่งวงกลม น้ำตื้นใสสีฟ้าเขียวสวยมาก เหมาะสำหรับเล่นน้ำและพักผ่อน บรรยากาศโรแมนติก โดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ตก
    * **หาดหมาก (Mak Beach):** หาดยาวเงียบสงบ ทรายขาวละเอียด น้ำใสสวย อยู่ทางตะวันออกของเกาะ บรรยากาศเป็นส่วนตัวมากกว่า
    * **หาดเต่า (Tao Beach):** หาดเล็กสวยรูปทรงโค้งมน ทรายขาวละเอียด น้ำใสมาก เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง

    2. **น้ำตกธรรมชาติ:**
    * **น้ำตกคลองเจ้า (Klong Chao Waterfall):** น้ำตกชื่อดังและสวยที่สุดของเกาะกูด มีถึง 3 ชั้น ชั้นบนสุดสูงประมาณ 15 เมตร สามารถลงเล่นน้ำในแอ่งน้ำกว้างได้ (โดยเฉพาะชั้นล่าง) เดินเท้าเข้าจากหาดคลองเจ้าไม่ไกลมาก หรือล่องเรือคายัคเข้าไปก็ได้
    * **น้ำตกคลองจิต (Klong Jig Waterfall):** น้ำตกขนาดกลางที่สวยงาม มีแอ่งน้ำให้เล่นได้ บรรยากาศร่มรื่น เดินเท้าเข้าไปจากถนนหลัก
    * **น้ำตกค้างคาว (Khao Yai Waterfall):** เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่มีความสูงหลายชั้น บางช่วงต้องปีนป่ายเล็กน้อย เหมาะสำหรับคนชอบผจญภัยเบาๆ

    3. **จุดชมวิวและสถานที่สำคัญ:**
    * **จุดชมวิวอ่าวตานิด (Ao Tanit Viewpoint):** จุดชมวิวมุมสูงที่สวยงามมาก เห็นอ่าวตานิดและทะเลสีฟ้าเข้มสลับฟ้าใส มองเห็นเกาะช้างไกลๆ บางวันเห็นได้ชัดเจน
    * **จุดชมวิวเรือรบหลวงประแส (HTMS Prasae Viewpoint):** จุดชมวิวที่มองเห็นทิวทัศน์ทะเลกว้างและเกาะน้อยใหญ่ รวมถึงเห็นซากเรือรบหลวงประแสที่จมอยู่ใต้น้ำ (ต้องดำน้ำดู)
    * **วัดคลองมาด (Wat Khlong Mad):** วัดเพียงแห่งเดียวบนเกาะกูด สถาปัตยกรรมเรียบง่าย สะท้อนวิถีชีวิตชาวบ้าน สงบร่มเย็น
    * **ประภาคารเกาะกูด (Koh Kood Lighthouse):** ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของเกาะ เป็นจุดชมวิวทะเลและพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง

    4. **เกาะบริวารและจุดดำน้ำ:**
    * **เกาะกระดาด (Koh Kradat):** เกาะเล็กๆ ใกล้เกาะกูด มีหาดทรายขาวยาว น้ำตื้นใสมาก เหมาะสำหรับเล่นน้ำและพักผ่อน (มักรวมอยู่ในทริป Island Hopping)
    * **เกาะไม้ซี้ (Koh Mai Si):** เกาะหินขนาดเล็กที่มีหาดทรายสวยงาม เป็นจุดดำน้ำตื้นดูปะการังน้ำตื้นและฝูงปลา
    * **เกาะรัง (Koh Rang):** เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีแนวปะการังสมบูรณ์สวยงามหลายจุด (เช่น Hin Rap, Hin Sam Sao, Hin Kuak Ma) **เป็นจุดดำน้ำลึก (Scuba Diving) และดำน้ำตื้น (Snorkeling) ที่ดีที่สุดรอบเกาะกูด** มักเห็นเต่าทะเล ปลาสวยงามหลากสี
    * **กองหินริเชลิว (Hin Richelieu Rock):** แหล่งดำน้ำระดับโลกที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะกูดมากนัก (ใช้เวลาเรือเร็วประมาณ 1 ชม.) ขึ้นชื่อเรื่องการพบปลามอร์เรย์ยักษ์ ปลาการ์ตูนหลากชนิด และความหลากหลายทางชีวภาพ (เหมาะสำหรับนักดำน้ำที่มีประสบการณ์)

    5. **กิจกรรมน่าสนใจ:**
    * **ล่องเรือคายัค (Kayaking):** ล่องไปตามคลองชลเจ้า (คลองน้ำเค็ม) ที่มีป่าชายเลนสวยงาม เงียบสงบ เห็นระบบนิเวศชายฝั่ง หรือพายไปตามชายหาดต่างๆ
    * **ทริปตกปลา (Fishing Trip):** ออกไปตกปลาทะเลน้ำลึกรอบๆ เกาะกูด
    * **ปั่นจักรยาน/ขับรถ ATV:** สำรวจธรรมชาติและวิถีชีวิตท้องถิ่นภายในเกาะ ซึ่งมีถนนลาดยางบางส่วนและถนนลูกรัง
    * **นวดสปา:** ผ่อนคลายด้วยการนวดแผนไทยหรือสปาในบรรยากาศรีสอร์ทริมทะเล
    * **ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน:** ดูสวนยางพารา สวนผลไม้ (เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน) หรือชุมชนประมงเล็กๆ

    **คำแนะนำเพิ่มเติม:**

    * **การเดินทาง:** ไปเกาะกูดค่อนข้างใช้เวลา ต้องนั่งเรือจากท่าเรือแหลมงอบ (ตราด) ประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง (แล้วแต่ประเภทเรือ) หรือนั่งเครื่องบินเล็กจากสนามบินอู่ตะเภา (พัทยา) หรือบางแสน มาลงที่เกาะกูดโดยตรง
    * **สภาพเกาะ:** เกาะกูดยังคงความเป็นธรรมชาติสูง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าและภูเขา ถนนบางสายยังเป็นลูกรัง การสัญจรหลักบนเกาะคือรถสองแถวรับจ้าง (Taxi Truck) หรือมอเตอร์ไซค์เช่า
    * **บรรยากาศ:** ค่อนข้างสงบ เงียบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ไม่เหมาะสำหรับคนที่หาความบันเทิงเริงรมย์แบบเกาะพีพีหรือภูเก็ต
    * **ช่วงเวลา:** ฤดูท่องเที่ยวคือช่วง **พฤศจิกายน - เมษายน** (อากาศดี ทะเลสวย น้ำตกมีน้ำ) ควรหลีกเลี่ยงฤดูมรสุม (พฤษภาคม - ตุลาคม) เพราะลมแรง มีฝนตกหนัก และบางที่พัก/เรืออาจปิดให้บริการ

    เกาะกูดคือสวรรค์ของคนรักธรรมชาติและความสงบ หากคุณกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนให้ไกลจากความวุ่นวาย ชายหาดสวยๆ น้ำทะเลใสๆ และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เกาะกูดคือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม!
    เกาะกูด (Koh Kood) เป็นเกาะสวยงามในจังหวัดตราด ทางภาคตะวันออกของไทย ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ชายหาดขาวสะอาด และน้ำทะเลใสสีมรกต! **นี่คือสถานที่ท่าสนใจและกิจกรรมแนะนำในบริเวณเกาะกูด:** 1. **ชายหาดสวยงาม:** * **หาดตาดใหญ่ (Tad Mai Beach):** หาดหลักที่ยาวและสวยที่สุดของเกาะ มีทรายขาวละเอียด น้ำใส บรรยากาศสงบ ร้านอาหารและที่พักตั้งเรียงราย (แต่ไม่หนาแน่นเหมือนเกาะอื่น) เหมาะสำหรับว่ายน้ำและพักผ่อน * **หาดคลองเจ้า (Klong Chao Beach):** เป็นส่วนหนึ่งของอ่าวคลองเจ้า มีทรายขาวนุ่ม น้ำใสเงียบสงบ เป็นที่ตั้งของรีสอร์ทระดับหรูหลายแห่ง และเป็นจุดเริ่มต้นไปน้ำตกคลองเจ้า * **หาดบางเบ้า (Bang Bao Beach):** ชายหาดโค้งรูปครึ่งวงกลม น้ำตื้นใสสีฟ้าเขียวสวยมาก เหมาะสำหรับเล่นน้ำและพักผ่อน บรรยากาศโรแมนติก โดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ตก * **หาดหมาก (Mak Beach):** หาดยาวเงียบสงบ ทรายขาวละเอียด น้ำใสสวย อยู่ทางตะวันออกของเกาะ บรรยากาศเป็นส่วนตัวมากกว่า * **หาดเต่า (Tao Beach):** หาดเล็กสวยรูปทรงโค้งมน ทรายขาวละเอียด น้ำใสมาก เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง 2. **น้ำตกธรรมชาติ:** * **น้ำตกคลองเจ้า (Klong Chao Waterfall):** น้ำตกชื่อดังและสวยที่สุดของเกาะกูด มีถึง 3 ชั้น ชั้นบนสุดสูงประมาณ 15 เมตร สามารถลงเล่นน้ำในแอ่งน้ำกว้างได้ (โดยเฉพาะชั้นล่าง) เดินเท้าเข้าจากหาดคลองเจ้าไม่ไกลมาก หรือล่องเรือคายัคเข้าไปก็ได้ * **น้ำตกคลองจิต (Klong Jig Waterfall):** น้ำตกขนาดกลางที่สวยงาม มีแอ่งน้ำให้เล่นได้ บรรยากาศร่มรื่น เดินเท้าเข้าไปจากถนนหลัก * **น้ำตกค้างคาว (Khao Yai Waterfall):** เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่มีความสูงหลายชั้น บางช่วงต้องปีนป่ายเล็กน้อย เหมาะสำหรับคนชอบผจญภัยเบาๆ 3. **จุดชมวิวและสถานที่สำคัญ:** * **จุดชมวิวอ่าวตานิด (Ao Tanit Viewpoint):** จุดชมวิวมุมสูงที่สวยงามมาก เห็นอ่าวตานิดและทะเลสีฟ้าเข้มสลับฟ้าใส มองเห็นเกาะช้างไกลๆ บางวันเห็นได้ชัดเจน * **จุดชมวิวเรือรบหลวงประแส (HTMS Prasae Viewpoint):** จุดชมวิวที่มองเห็นทิวทัศน์ทะเลกว้างและเกาะน้อยใหญ่ รวมถึงเห็นซากเรือรบหลวงประแสที่จมอยู่ใต้น้ำ (ต้องดำน้ำดู) * **วัดคลองมาด (Wat Khlong Mad):** วัดเพียงแห่งเดียวบนเกาะกูด สถาปัตยกรรมเรียบง่าย สะท้อนวิถีชีวิตชาวบ้าน สงบร่มเย็น * **ประภาคารเกาะกูด (Koh Kood Lighthouse):** ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของเกาะ เป็นจุดชมวิวทะเลและพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง 4. **เกาะบริวารและจุดดำน้ำ:** * **เกาะกระดาด (Koh Kradat):** เกาะเล็กๆ ใกล้เกาะกูด มีหาดทรายขาวยาว น้ำตื้นใสมาก เหมาะสำหรับเล่นน้ำและพักผ่อน (มักรวมอยู่ในทริป Island Hopping) * **เกาะไม้ซี้ (Koh Mai Si):** เกาะหินขนาดเล็กที่มีหาดทรายสวยงาม เป็นจุดดำน้ำตื้นดูปะการังน้ำตื้นและฝูงปลา * **เกาะรัง (Koh Rang):** เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีแนวปะการังสมบูรณ์สวยงามหลายจุด (เช่น Hin Rap, Hin Sam Sao, Hin Kuak Ma) **เป็นจุดดำน้ำลึก (Scuba Diving) และดำน้ำตื้น (Snorkeling) ที่ดีที่สุดรอบเกาะกูด** มักเห็นเต่าทะเล ปลาสวยงามหลากสี * **กองหินริเชลิว (Hin Richelieu Rock):** แหล่งดำน้ำระดับโลกที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะกูดมากนัก (ใช้เวลาเรือเร็วประมาณ 1 ชม.) ขึ้นชื่อเรื่องการพบปลามอร์เรย์ยักษ์ ปลาการ์ตูนหลากชนิด และความหลากหลายทางชีวภาพ (เหมาะสำหรับนักดำน้ำที่มีประสบการณ์) 5. **กิจกรรมน่าสนใจ:** * **ล่องเรือคายัค (Kayaking):** ล่องไปตามคลองชลเจ้า (คลองน้ำเค็ม) ที่มีป่าชายเลนสวยงาม เงียบสงบ เห็นระบบนิเวศชายฝั่ง หรือพายไปตามชายหาดต่างๆ * **ทริปตกปลา (Fishing Trip):** ออกไปตกปลาทะเลน้ำลึกรอบๆ เกาะกูด * **ปั่นจักรยาน/ขับรถ ATV:** สำรวจธรรมชาติและวิถีชีวิตท้องถิ่นภายในเกาะ ซึ่งมีถนนลาดยางบางส่วนและถนนลูกรัง * **นวดสปา:** ผ่อนคลายด้วยการนวดแผนไทยหรือสปาในบรรยากาศรีสอร์ทริมทะเล * **ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน:** ดูสวนยางพารา สวนผลไม้ (เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน) หรือชุมชนประมงเล็กๆ **คำแนะนำเพิ่มเติม:** * **การเดินทาง:** ไปเกาะกูดค่อนข้างใช้เวลา ต้องนั่งเรือจากท่าเรือแหลมงอบ (ตราด) ประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง (แล้วแต่ประเภทเรือ) หรือนั่งเครื่องบินเล็กจากสนามบินอู่ตะเภา (พัทยา) หรือบางแสน มาลงที่เกาะกูดโดยตรง * **สภาพเกาะ:** เกาะกูดยังคงความเป็นธรรมชาติสูง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าและภูเขา ถนนบางสายยังเป็นลูกรัง การสัญจรหลักบนเกาะคือรถสองแถวรับจ้าง (Taxi Truck) หรือมอเตอร์ไซค์เช่า * **บรรยากาศ:** ค่อนข้างสงบ เงียบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ไม่เหมาะสำหรับคนที่หาความบันเทิงเริงรมย์แบบเกาะพีพีหรือภูเก็ต * **ช่วงเวลา:** ฤดูท่องเที่ยวคือช่วง **พฤศจิกายน - เมษายน** (อากาศดี ทะเลสวย น้ำตกมีน้ำ) ควรหลีกเลี่ยงฤดูมรสุม (พฤษภาคม - ตุลาคม) เพราะลมแรง มีฝนตกหนัก และบางที่พัก/เรืออาจปิดให้บริการ เกาะกูดคือสวรรค์ของคนรักธรรมชาติและความสงบ หากคุณกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนให้ไกลจากความวุ่นวาย ชายหาดสวยๆ น้ำทะเลใสๆ และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เกาะกูดคือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference?

    The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin).

    Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three.

    How do you use their, there, and they’re?

    These three words serve many functions.

    When to use their

    Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in:

    • They left their cell phones at home.

    Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone:

    • Someone left their book on the table.

    When to use there

    There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do.

    • She is there now.

    There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause:

    • There is still hope.

    When to use they’re

    They’re is a contraction of the words they and are.

    •They’re mastering the differences between three homophones!

    Take a hint from the spelling!

    If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each:

    • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession.
    • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal.
    • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference? The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin). Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three. How do you use their, there, and they’re? These three words serve many functions. When to use their Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in: • They left their cell phones at home. Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone: • Someone left their book on the table. When to use there There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do. • She is there now. There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause: • There is still hope. When to use they’re They’re is a contraction of the words they and are. •They’re mastering the differences between three homophones! Take a hint from the spelling! If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each: • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession. • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal. • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • AOT อนุมัติ King Power เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ทุกสนามบินออกไป INVX มองเป็นประเด็นลบ สะท้อนความอ่อนแอสถานะทางการเงินของผู้รับสัมปทานหลัก
    https://www.thai-tai.tv/news/19800/
    AOT อนุมัติ King Power เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ทุกสนามบินออกไป INVX มองเป็นประเด็นลบ สะท้อนความอ่อนแอสถานะทางการเงินของผู้รับสัมปทานหลัก https://www.thai-tai.tv/news/19800/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • AOT ขยายเวลาชำระหนี้ King power 8 เดือน 27/06/68 #AOT #King power #ชำระหนี้ #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    AOT ขยายเวลาชำระหนี้ King power 8 เดือน 27/06/68 #AOT #King power #ชำระหนี้ #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • คุณเคยรู้สึกไหมว่าวันทำงานหมดไปกับการ “ตามเรื่อง, ตอบอีเมล, กรอกฟอร์ม” มากกว่าสร้างงานใหม่ ๆ?

    นั่นแหละครับคือปัญหาที่ Dropbox สำรวจพบในสหราชอาณาจักร โดยสรุปว่า คนทำงาน “ติดหล่มงานจุกจิก” จนไม่มีเวลาใช้สมองคิดสร้างสรรค์เลย

    - คนอังกฤษเกือบครึ่ง (45%) บอกว่ามีเวลา “คิดหาวิธีใหม่ ๆ หรือพัฒนางาน” แค่ 0–5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
    - 1 ใน 4 คนใช้เวลา “6–10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” กับงานแอดมินอย่างเดียว — เท่ากับเสียเวลาทำงานเต็มวันไปฟรี ๆ
    - แค่ 42% เท่านั้นที่บอกว่าตนเองมีเวลาพอสำหรับงานสร้างสรรค์

    สิ่งนี้สะท้อนว่าระบบงานแบบเดิม ๆ ที่ใช้วิธี manual, ประสานงานแบบ patchwork และเครื่องมือที่ไม่เชื่อมต่อกัน — กำลังกดทับศักยภาพของพนักงานจำนวนมาก

    ในขณะที่ฝั่ง Dropbox เองบอกว่า พนักงานที่ใช้ AI ช่วยงานอยู่ทุกสัปดาห์ (96%) สามารถประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 7.9 ชั่วโมง/สัปดาห์ — เท่ากับได้วันทำงานคืนมา 1 วันแบบไม่ต้อง OT

    พนักงานออฟฟิศในอังกฤษเสียเวลา 11.3 พันล้านชั่วโมงต่อปีไปกับงานแอดมิน  
    • งานที่กินเวลาคือ อีเมล, นัดหมาย, กรอกฟอร์ม, ค้นหาข้อมูล

    มีเพียง 42% ของคนทำงานอังกฤษที่รู้สึกว่าตนเองมีเวลา “พอ” สำหรับงานสร้างสรรค์  
    • ตัวเลขนี้แย่กว่าประเทศอย่างสหรัฐและเยอรมนี

    พนักงาน Dropbox ที่ใช้ AI ช่วยงานสามารถประหยัดเวลาเฉลี่ย 7.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  
    • ใช้ AI ในการจัดเอกสาร, เขียน, โค้ด, คิดไอเดีย, และค้นข้อมูล

    เกินครึ่งของพนักงานอังกฤษ (51%) คิดว่าตนมีเครื่องมือที่ดีในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  
    • แต่ก็ยังดีกว่าฝรั่งเศสและสหรัฐที่คนจำนวนมากรู้สึกว่า “เครื่องมือยังไม่ช่วยพอ”

    หากมีเวลาเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง/วัน คนทำงาน 27% จะเอาไปเคลียร์งานค้าง, 18% จะลดภาระของตนเอง

    Dropbox เสนอว่าวิธีแก้ที่ยั่งยืนคือ “การเปลี่ยนระบบทั้งองค์กร” เช่น  
    • ใช้เครื่องมือที่ลดงานซ้ำซ้อน  
    • ปรับโมเดลการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น  
    • ให้อิสระแก่พนักงานในการจัดสรรเวลาและงาน

    https://www.techradar.com/pro/uk-workers-are-wasting-billions-of-hours-on-administrative-tasks-no-im-not-joking
    คุณเคยรู้สึกไหมว่าวันทำงานหมดไปกับการ “ตามเรื่อง, ตอบอีเมล, กรอกฟอร์ม” มากกว่าสร้างงานใหม่ ๆ? นั่นแหละครับคือปัญหาที่ Dropbox สำรวจพบในสหราชอาณาจักร โดยสรุปว่า คนทำงาน “ติดหล่มงานจุกจิก” จนไม่มีเวลาใช้สมองคิดสร้างสรรค์เลย - คนอังกฤษเกือบครึ่ง (45%) บอกว่ามีเวลา “คิดหาวิธีใหม่ ๆ หรือพัฒนางาน” แค่ 0–5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ - 1 ใน 4 คนใช้เวลา “6–10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” กับงานแอดมินอย่างเดียว — เท่ากับเสียเวลาทำงานเต็มวันไปฟรี ๆ - แค่ 42% เท่านั้นที่บอกว่าตนเองมีเวลาพอสำหรับงานสร้างสรรค์ สิ่งนี้สะท้อนว่าระบบงานแบบเดิม ๆ ที่ใช้วิธี manual, ประสานงานแบบ patchwork และเครื่องมือที่ไม่เชื่อมต่อกัน — กำลังกดทับศักยภาพของพนักงานจำนวนมาก ในขณะที่ฝั่ง Dropbox เองบอกว่า พนักงานที่ใช้ AI ช่วยงานอยู่ทุกสัปดาห์ (96%) สามารถประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 7.9 ชั่วโมง/สัปดาห์ — เท่ากับได้วันทำงานคืนมา 1 วันแบบไม่ต้อง OT ✅ พนักงานออฟฟิศในอังกฤษเสียเวลา 11.3 พันล้านชั่วโมงต่อปีไปกับงานแอดมิน   • งานที่กินเวลาคือ อีเมล, นัดหมาย, กรอกฟอร์ม, ค้นหาข้อมูล ✅ มีเพียง 42% ของคนทำงานอังกฤษที่รู้สึกว่าตนเองมีเวลา “พอ” สำหรับงานสร้างสรรค์   • ตัวเลขนี้แย่กว่าประเทศอย่างสหรัฐและเยอรมนี ✅ พนักงาน Dropbox ที่ใช้ AI ช่วยงานสามารถประหยัดเวลาเฉลี่ย 7.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์   • ใช้ AI ในการจัดเอกสาร, เขียน, โค้ด, คิดไอเดีย, และค้นข้อมูล ✅ เกินครึ่งของพนักงานอังกฤษ (51%) คิดว่าตนมีเครื่องมือที่ดีในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ   • แต่ก็ยังดีกว่าฝรั่งเศสและสหรัฐที่คนจำนวนมากรู้สึกว่า “เครื่องมือยังไม่ช่วยพอ” ✅ หากมีเวลาเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง/วัน คนทำงาน 27% จะเอาไปเคลียร์งานค้าง, 18% จะลดภาระของตนเอง ✅ Dropbox เสนอว่าวิธีแก้ที่ยั่งยืนคือ “การเปลี่ยนระบบทั้งองค์กร” เช่น   • ใช้เครื่องมือที่ลดงานซ้ำซ้อน   • ปรับโมเดลการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น   • ให้อิสระแก่พนักงานในการจัดสรรเวลาและงาน https://www.techradar.com/pro/uk-workers-are-wasting-billions-of-hours-on-administrative-tasks-no-im-not-joking
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ถูกพูดถึงเสมอว่า “ช่วยให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้น” เช่น ช่วยจัดการงานบ้าน, จ่ายบิล, วางแผนการเดินทาง หรือแม้แต่ช่วยสรุปรายงานต่าง ๆ — แต่คำถามคือ...ใครล่ะที่เข้าถึง AI แบบนั้นได้จริง?

    งานวิจัยจาก Lloyds Bank ในสหราชอาณาจักรพบว่า คนที่มีรายได้มากกว่า £100,000 ส่วนใหญ่ใช้งาน AI ผู้ช่วย, รถไร้คนขับ และอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อประหยัดเวลาจริง — และกว่าครึ่งบอกว่าพวกเขาใช้ AI “แทบทุกวัน” เพื่อเคลียร์งานน่าเบื่อ

    ในขณะที่คนทั่วไปแม้จะเปิดรับเทคโนโลยี แต่ก็มักติดปัญหาเรื่องราคาและทักษะดิจิทัล เช่น ใช้ banking app ได้ แต่ยังไม่คุ้นเคยกับ AI ในรูปแบบซับซ้อน หรือไม่มีอุปกรณ์ที่เข้ากันได้

    คำถามคือ…AI ที่สร้าง “เวลาเพิ่ม” นั้น ทำให้ทุกคนว่างขึ้นเท่ากันไหม หรือแค่ทำให้ “คนที่รวยอยู่แล้ว รวยเวลามากขึ้นอีก”?

    AI ช่วยประหยัดเวลาได้สูงสุดถึง 110 นาทีต่อวัน (ประมาณ 13–14 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)  
    • โดยเฉพาะจากการจัดการงานบ้าน, เดินทาง, การเงิน, หรือกิจกรรมซ้ำซาก

    ผู้มีรายได้สูงกว่า £100,000 มีแนวโน้มใช้ AI มากกว่า  
    • เช่น ผู้ช่วย AI, รถอัตโนมัติ, โดรน, และ smart home devices  
    • 99% ของกลุ่มนี้เห็นว่า “เวลาว่างมีค่ามากที่สุด”

    47% ของคนทั่วไปชี้ว่างานบ้านคือสิ่งกินเวลามากที่สุด  
    • รองลงมาคือการจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว (31%)

    แอปจัดการการเงิน เช่น แอปธนาคาร เป็น AI ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายที่สุด  
    • 48% ของผู้ใหญ่ใน UK ใช้อยู่แล้ว

    เทคโนโลยีที่ใช้ AI เพื่อประหยัดเวลายังต้องการทั้งเงินและทักษะใช้งาน

    https://www.techradar.com/pro/bank-says-people-can-get-almost-14-hours-of-free-time-every-week-thanks-to-ai-but-you-need-to-be-rich
    AI ถูกพูดถึงเสมอว่า “ช่วยให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้น” เช่น ช่วยจัดการงานบ้าน, จ่ายบิล, วางแผนการเดินทาง หรือแม้แต่ช่วยสรุปรายงานต่าง ๆ — แต่คำถามคือ...ใครล่ะที่เข้าถึง AI แบบนั้นได้จริง? งานวิจัยจาก Lloyds Bank ในสหราชอาณาจักรพบว่า คนที่มีรายได้มากกว่า £100,000 ส่วนใหญ่ใช้งาน AI ผู้ช่วย, รถไร้คนขับ และอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อประหยัดเวลาจริง — และกว่าครึ่งบอกว่าพวกเขาใช้ AI “แทบทุกวัน” เพื่อเคลียร์งานน่าเบื่อ ในขณะที่คนทั่วไปแม้จะเปิดรับเทคโนโลยี แต่ก็มักติดปัญหาเรื่องราคาและทักษะดิจิทัล เช่น ใช้ banking app ได้ แต่ยังไม่คุ้นเคยกับ AI ในรูปแบบซับซ้อน หรือไม่มีอุปกรณ์ที่เข้ากันได้ คำถามคือ…AI ที่สร้าง “เวลาเพิ่ม” นั้น ทำให้ทุกคนว่างขึ้นเท่ากันไหม หรือแค่ทำให้ “คนที่รวยอยู่แล้ว รวยเวลามากขึ้นอีก”? ✅ AI ช่วยประหยัดเวลาได้สูงสุดถึง 110 นาทีต่อวัน (ประมาณ 13–14 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)   • โดยเฉพาะจากการจัดการงานบ้าน, เดินทาง, การเงิน, หรือกิจกรรมซ้ำซาก ✅ ผู้มีรายได้สูงกว่า £100,000 มีแนวโน้มใช้ AI มากกว่า   • เช่น ผู้ช่วย AI, รถอัตโนมัติ, โดรน, และ smart home devices   • 99% ของกลุ่มนี้เห็นว่า “เวลาว่างมีค่ามากที่สุด” ✅ 47% ของคนทั่วไปชี้ว่างานบ้านคือสิ่งกินเวลามากที่สุด   • รองลงมาคือการจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว (31%) ✅ แอปจัดการการเงิน เช่น แอปธนาคาร เป็น AI ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายที่สุด   • 48% ของผู้ใหญ่ใน UK ใช้อยู่แล้ว ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ AI เพื่อประหยัดเวลายังต้องการทั้งเงินและทักษะใช้งาน https://www.techradar.com/pro/bank-says-people-can-get-almost-14-hours-of-free-time-every-week-thanks-to-ai-but-you-need-to-be-rich
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟังดูเหมือน Sci-Fi เลยใช่ไหมครับ? X Display คือบริษัทจาก North Carolina ที่ทำเทคโนโลยี MicroLED แต่รอบนี้เขาเอา “แนวคิดจอแสดงผล” มาประยุกต์ใหม่ ไม่ได้ไว้โชว์ภาพให้คนดู แต่กลายเป็นช่องสื่อสารสำหรับ เครื่องคุยกับเครื่อง

    ระบบนี้ประกอบด้วย:
    - ตัวส่งข้อมูล: ใช้ emitters หลายพันตัว ส่งแสงหลายความยาวคลื่นพร้อมกัน → เขียนข้อมูลเป็น “เฟรมของแสง” ต่อเนื่อง
    - ตัวรับข้อมูล: กล้องความเร็วสูงพิเศษ (เหมือน “ตา” ของอีกเครื่อง) จับเฟรมแสง แล้วแปลงกลับเป็นดิจิทัลอีกที

    ผลลัพธ์คือการส่งข้อมูลแบบไร้สายในศูนย์ข้อมูลความเร็วสูง โดย ไม่ต้องใช้สาย fiber เลย และทาง X Display เคลมว่า "ประหยัดพลังงานกว่าทรานซีฟเวอร์ 800G แบบดั้งเดิม 2–3 เท่า"

    เทคโนโลยีนี้ไม่เหมาะกับเกมเมอร์หรืองานกราฟิกทั่วไป — แต่มาเพื่องานใหญ่อย่าง AI data center, supercomputer clusters, optical networking และ ระบบ LiFi (ส่งข้อมูลผ่านแสง)

    https://www.techspot.com/news/108424-x-display-made-ultra-fast-cable-free-display.html
    ฟังดูเหมือน Sci-Fi เลยใช่ไหมครับ? X Display คือบริษัทจาก North Carolina ที่ทำเทคโนโลยี MicroLED แต่รอบนี้เขาเอา “แนวคิดจอแสดงผล” มาประยุกต์ใหม่ ไม่ได้ไว้โชว์ภาพให้คนดู แต่กลายเป็นช่องสื่อสารสำหรับ เครื่องคุยกับเครื่อง ระบบนี้ประกอบด้วย: - ตัวส่งข้อมูล: ใช้ emitters หลายพันตัว ส่งแสงหลายความยาวคลื่นพร้อมกัน → เขียนข้อมูลเป็น “เฟรมของแสง” ต่อเนื่อง - ตัวรับข้อมูล: กล้องความเร็วสูงพิเศษ (เหมือน “ตา” ของอีกเครื่อง) จับเฟรมแสง แล้วแปลงกลับเป็นดิจิทัลอีกที ผลลัพธ์คือการส่งข้อมูลแบบไร้สายในศูนย์ข้อมูลความเร็วสูง โดย ไม่ต้องใช้สาย fiber เลย และทาง X Display เคลมว่า "ประหยัดพลังงานกว่าทรานซีฟเวอร์ 800G แบบดั้งเดิม 2–3 เท่า" เทคโนโลยีนี้ไม่เหมาะกับเกมเมอร์หรืองานกราฟิกทั่วไป — แต่มาเพื่องานใหญ่อย่าง AI data center, supercomputer clusters, optical networking และ ระบบ LiFi (ส่งข้อมูลผ่านแสง) https://www.techspot.com/news/108424-x-display-made-ultra-fast-cable-free-display.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    X Display unveils ultra-fast, cable-free display that turns data into light
    X Display is focused on developing and licensing new intellectual property related to MicroLED and other display technologies. The North Carolina-based developer recently unveiled a novel application...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าใครเคยทำงานคลังสินค้าหรือดูคลิปใน TikTok จะรู้เลยว่างาน “โหลดของขึ้นรถ” คือสุดยอดของความเหนื่อย — ต้องยกกล่องหนัก ๆ ท่ามกลางความร้อน (ในรถไม่มีแอร์), ท่าทางที่ผิดหลักสรีระ และต้องทำให้เร็วมาก

    ที่ผ่านมาแม้คลังสินค้าจะเริ่มอัตโนมัติแล้ว แต่ขั้นตอนนี้กลับ “ยังต้องใช้แรงงานคน” อยู่เป็นด่านสุดท้าย — จนกระทั่งหุ่นยนต์ยุคใหม่เริ่มฉลาดพอจะรับหน้าที่แทน

    ตอนนี้มี 4 บริษัทที่พาหุ่นยนต์เข้าสนามจริง:
    - Ambi Robotics: มีหุ่นยนต์ AmbiStack ใช้ AI วิเคราะห์ “กล่องที่ไม่รู้จักมาก่อน” แล้วเรียงลงพาเลตแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงน้ำหนัก, ความเปราะ, จุดถ่วง — แถมเรียนรู้จากประสบการณ์จริงได้เรื่อย ๆ
    - Boston Dynamics: ส่ง Stretch ลงสนาม มันมีแขนดูดทรงพลัง เก็บกล่องหลากชนิดได้แม้มีรอยขาด แถมมีกล้อง LiDAR ให้มองเห็นรอบตัว และเรียกคนช่วยเมื่อเกิดปัญหา
    - FedEx + Dexterity AI: ทดลอง DexR หุ่นสองแขนที่ใช้ AI คิดผังการวางกล่องแบบ “สร้างกำแพง” ภายในครึ่งวินาที แล้วขยับแขนให้กล่องแน่นสุด ๆ โดยไม่ชนกัน
    - Walmart: ใช้ “FoxBots” รถยกพาเลตอัตโนมัติที่สามารถขนกล่องซ้อนสองชั้นกว่า 60 ชุดต่อชั่วโมง

    แรงงานคนจึงเริ่ม “เปลี่ยนบทบาท” มาเป็นผู้ดูแลหุ่นแทน — คอยตรวจสอบ, แก้ปัญหา และปรับปรุงการทำงาน เป็นสัญญาณว่า…อาจไม่มี “คนยกของ” อีกต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    https://www.techspot.com/news/108425-robots-transforming-warehouse-automation-ending-back-breaking-truck.html
    ถ้าใครเคยทำงานคลังสินค้าหรือดูคลิปใน TikTok จะรู้เลยว่างาน “โหลดของขึ้นรถ” คือสุดยอดของความเหนื่อย — ต้องยกกล่องหนัก ๆ ท่ามกลางความร้อน (ในรถไม่มีแอร์), ท่าทางที่ผิดหลักสรีระ และต้องทำให้เร็วมาก ที่ผ่านมาแม้คลังสินค้าจะเริ่มอัตโนมัติแล้ว แต่ขั้นตอนนี้กลับ “ยังต้องใช้แรงงานคน” อยู่เป็นด่านสุดท้าย — จนกระทั่งหุ่นยนต์ยุคใหม่เริ่มฉลาดพอจะรับหน้าที่แทน ตอนนี้มี 4 บริษัทที่พาหุ่นยนต์เข้าสนามจริง: - Ambi Robotics: มีหุ่นยนต์ AmbiStack ใช้ AI วิเคราะห์ “กล่องที่ไม่รู้จักมาก่อน” แล้วเรียงลงพาเลตแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงน้ำหนัก, ความเปราะ, จุดถ่วง — แถมเรียนรู้จากประสบการณ์จริงได้เรื่อย ๆ - Boston Dynamics: ส่ง Stretch ลงสนาม มันมีแขนดูดทรงพลัง เก็บกล่องหลากชนิดได้แม้มีรอยขาด แถมมีกล้อง LiDAR ให้มองเห็นรอบตัว และเรียกคนช่วยเมื่อเกิดปัญหา - FedEx + Dexterity AI: ทดลอง DexR หุ่นสองแขนที่ใช้ AI คิดผังการวางกล่องแบบ “สร้างกำแพง” ภายในครึ่งวินาที แล้วขยับแขนให้กล่องแน่นสุด ๆ โดยไม่ชนกัน - Walmart: ใช้ “FoxBots” รถยกพาเลตอัตโนมัติที่สามารถขนกล่องซ้อนสองชั้นกว่า 60 ชุดต่อชั่วโมง แรงงานคนจึงเริ่ม “เปลี่ยนบทบาท” มาเป็นผู้ดูแลหุ่นแทน — คอยตรวจสอบ, แก้ปัญหา และปรับปรุงการทำงาน เป็นสัญญาณว่า…อาจไม่มี “คนยกของ” อีกต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า https://www.techspot.com/news/108425-robots-transforming-warehouse-automation-ending-back-breaking-truck.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Robots are transforming warehouse automation and ending back-breaking truck loading
    The last stronghold of human labor in warehouses – the grueling job of loading and unloading trucks – is rapidly giving way to a new generation of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครที่ใช้ Firefox แล้วเปิดแท็บเป็นสิบ ๆ จนเครื่องอืด ตอนนี้หายใจได้โล่งขึ้น! เพราะ Firefox 140 มีฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า Tab Unload ให้คุณกดขวาที่แท็บแล้วเลือก "Unload Tab" เพื่อ “ถอดแท็บนั้นออกจาก RAM” โดยที่ยังอยู่ในแถบเหมือนเดิม — คล้ายกับฟีเจอร์ใน Chrome หรือ Edge ที่ช่วยประหยัดแรมได้ดีมาก ๆ

    นอกจากนี้ Firefox ยังเปิดให้เราตั้ง custom search engine ได้เองแล้ว (ก่อนหน้านี้ต้องแฮกหรือใช้ extension) แค่คลิกขวาที่ช่องค้นหาบนเว็บแล้วเพิ่มเข้าไป หรือใส่เองใน Settings ก็ได้เลย

    ส่วนสาย vertical tabs ก็ถูกใจแน่นอน เพราะ ลากปรับความกว้างของ pinned tab ได้แล้ว ไม่ต้องทนกับความแคบแบบเดิม

    ฝั่ง ESR ก็เปลี่ยนฐานเวอร์ชันไปเป็น Firefox 140 เช่นกัน โดยมัดรวมฟีเจอร์ที่สะสมมาตั้งแต่รุ่น 115 ทั้ง tab group, sidebar ใหม่, และการป้องกัน bounce tracking — เรียกได้ว่าองค์กรที่รอความเสถียร...ได้ของครบทีเดียว

    สุดท้าย Mozilla ยัง ตัด Pocket ออกอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งไอคอนและหน้า New Tab ก็ไม่มีอีกต่อไป เป็นสัญญาณว่ากำลังปรับอินเทอร์เฟซให้เบาขึ้น และไม่พึ่งพาบริการที่เลิกพัฒนา

    ไฮไลต์ฟีเจอร์ใหม่ของ Firefox 140:
    Tab Unload  
    • คลิกขวา > “Unload Tab” เพื่อถอดแท็บออกจาก RAM โดยไม่ต้องปิด  
    • ช่วยให้เบราว์เซอร์เร็วขึ้นหากเปิดแท็บเยอะ

    เพิ่ม custom search engine ด้วยตัวเองได้แล้ว  
    • คลิกขวาที่ช่องค้นหาบนเว็บ > Add to Firefox  
    • หรือเพิ่มเองใน Settings

    ปรับขนาดโซน pinned tabs ได้ (สำหรับผู้ใช้ vertical tab)  
    • ลาก divider เพื่อปรับความกว้างตามใจ

    ลบ Pocket ออกไปอย่างถาวร  
    • ไม่มีใน New Tab และไม่มีไอคอนบน toolbar อีกแล้ว

    Firefox ESR ใหม่ใช้ฐานเวอร์ชัน 140 แล้ว  
    • ได้ฟีเจอร์สะสมจากรุ่นก่อนหน้า เช่น vertical tabs, tab grouping, sidebar ใหม่, bounce tracking protection

    การแปลภาษาแบบเต็มหน้าจอฉลาดขึ้น  
    • จะแปลเนื้อหาที่ผู้ใช้กำลังมองอยู่ก่อน เพิ่มความเร็ว

    Address autofill รองรับประเทศใหม่: อิตาลี, โปแลนด์, ออสเตรีย

    Firefox ภาษาอาหรับมี dictionary สำหรับ spell checker แล้ว

    นักพัฒนาได้ API ใหม่ เช่น CookieStore API และ Service Worker ในโหมด Private

    ลบปุ่ม Extensions ออกจาก toolbar ได้แล้ว (บางคนไม่ได้ใช้อยู่ดี)

    https://www.neowin.net/news/firefox-140-released-bringing-custom-search-engine-new-esr-and-more/
    ใครที่ใช้ Firefox แล้วเปิดแท็บเป็นสิบ ๆ จนเครื่องอืด ตอนนี้หายใจได้โล่งขึ้น! เพราะ Firefox 140 มีฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า Tab Unload ให้คุณกดขวาที่แท็บแล้วเลือก "Unload Tab" เพื่อ “ถอดแท็บนั้นออกจาก RAM” โดยที่ยังอยู่ในแถบเหมือนเดิม — คล้ายกับฟีเจอร์ใน Chrome หรือ Edge ที่ช่วยประหยัดแรมได้ดีมาก ๆ นอกจากนี้ Firefox ยังเปิดให้เราตั้ง custom search engine ได้เองแล้ว (ก่อนหน้านี้ต้องแฮกหรือใช้ extension) แค่คลิกขวาที่ช่องค้นหาบนเว็บแล้วเพิ่มเข้าไป หรือใส่เองใน Settings ก็ได้เลย ส่วนสาย vertical tabs ก็ถูกใจแน่นอน เพราะ ลากปรับความกว้างของ pinned tab ได้แล้ว ไม่ต้องทนกับความแคบแบบเดิม ฝั่ง ESR ก็เปลี่ยนฐานเวอร์ชันไปเป็น Firefox 140 เช่นกัน โดยมัดรวมฟีเจอร์ที่สะสมมาตั้งแต่รุ่น 115 ทั้ง tab group, sidebar ใหม่, และการป้องกัน bounce tracking — เรียกได้ว่าองค์กรที่รอความเสถียร...ได้ของครบทีเดียว สุดท้าย Mozilla ยัง ตัด Pocket ออกอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งไอคอนและหน้า New Tab ก็ไม่มีอีกต่อไป เป็นสัญญาณว่ากำลังปรับอินเทอร์เฟซให้เบาขึ้น และไม่พึ่งพาบริการที่เลิกพัฒนา ☀️☀️ ไฮไลต์ฟีเจอร์ใหม่ของ Firefox 140: ✅ Tab Unload   • คลิกขวา > “Unload Tab” เพื่อถอดแท็บออกจาก RAM โดยไม่ต้องปิด   • ช่วยให้เบราว์เซอร์เร็วขึ้นหากเปิดแท็บเยอะ ✅ เพิ่ม custom search engine ด้วยตัวเองได้แล้ว   • คลิกขวาที่ช่องค้นหาบนเว็บ > Add to Firefox   • หรือเพิ่มเองใน Settings ✅ ปรับขนาดโซน pinned tabs ได้ (สำหรับผู้ใช้ vertical tab)   • ลาก divider เพื่อปรับความกว้างตามใจ ✅ ลบ Pocket ออกไปอย่างถาวร   • ไม่มีใน New Tab และไม่มีไอคอนบน toolbar อีกแล้ว ✅ Firefox ESR ใหม่ใช้ฐานเวอร์ชัน 140 แล้ว   • ได้ฟีเจอร์สะสมจากรุ่นก่อนหน้า เช่น vertical tabs, tab grouping, sidebar ใหม่, bounce tracking protection ✅ การแปลภาษาแบบเต็มหน้าจอฉลาดขึ้น   • จะแปลเนื้อหาที่ผู้ใช้กำลังมองอยู่ก่อน เพิ่มความเร็ว ✅ Address autofill รองรับประเทศใหม่: อิตาลี, โปแลนด์, ออสเตรีย ✅ Firefox ภาษาอาหรับมี dictionary สำหรับ spell checker แล้ว ✅ นักพัฒนาได้ API ใหม่ เช่น CookieStore API และ Service Worker ในโหมด Private ✅ ลบปุ่ม Extensions ออกจาก toolbar ได้แล้ว (บางคนไม่ได้ใช้อยู่ดี) https://www.neowin.net/news/firefox-140-released-bringing-custom-search-engine-new-esr-and-more/
    WWW.NEOWIN.NET
    Firefox 140 released bringing custom search engine, new ESR, and more
    Firefox 140 has been released with several new features, including tab unloading, custom search engines, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • BREAKING: โดนัลด์ ทรัมป์ โกรธจัด ตำหนิอิหร่านและอิสราเอลที่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยเสริมว่าเขา “ไม่พอใจอย่างมาก” กับอิสราเอลโดยเฉพาะ
    ‼️BREAKING: โดนัลด์ ทรัมป์ โกรธจัด ตำหนิอิหร่านและอิสราเอลที่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยเสริมว่าเขา “ไม่พอใจอย่างมาก” กับอิสราเอลโดยเฉพาะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ว่าด้วยเรื่องตังดิจิดัลและสินทรัพย์ดิจิดัลที่อีลิทต้องการผลักดันในยุคอนาคตเพื่อควบคุมมนุษย์ทุกๆคน ติดตามทุกๆกิจกรรมบริบทของมนุษย์,นี้คือผลงานการแฮ็กให้ดูเล่นๆพื้นๆของกิจการแอปอีลิทที่มันเก็บข้อมูลคนทั่วโลกไว้ที่เข้าไปใช้บริการของแอปพวกมันเครือข่ายพวกมัน,มันรู้ตัวตนคุณทุกๆคนนะ.,คุณไม่ปลอดภัยหรอก!!!

    .. BREAKING: รหัสผ่าน 16,000 ล้านรหัสรั่วไหล — ความตื่นตระหนกทางดิจิทัลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินทางไซเบอร์ระดับโลก

    การรั่วไหลของรหัสผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดิจิทัลได้เกิดขึ้นแล้ว: ข้อมูลประจำตัว 16,000 ล้านรหัสถูกเปิดเผยและแพร่กระจาย ผู้ใช้ Apple, Google, Facebook — ไม่มีใครปลอดภัย นี่ไม่ใช่การละเมิด แต่เป็นเส้นทางตรงสู่การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การแฮ็กบัญชี และการสูญเสียทางการเงิน ปกป้องชีวิตดิจิทัลของคุณตอนนี้

    อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/breaking-16-billion-passwords-leaked-digital-panic-has-begun-this-is-a-global-cyber-state-of-emergency/
    ..ว่าด้วยเรื่องตังดิจิดัลและสินทรัพย์ดิจิดัลที่อีลิทต้องการผลักดันในยุคอนาคตเพื่อควบคุมมนุษย์ทุกๆคน ติดตามทุกๆกิจกรรมบริบทของมนุษย์,นี้คือผลงานการแฮ็กให้ดูเล่นๆพื้นๆของกิจการแอปอีลิทที่มันเก็บข้อมูลคนทั่วโลกไว้ที่เข้าไปใช้บริการของแอปพวกมันเครือข่ายพวกมัน,มันรู้ตัวตนคุณทุกๆคนนะ.,คุณไม่ปลอดภัยหรอก!!! ..🚨 BREAKING: รหัสผ่าน 16,000 ล้านรหัสรั่วไหล — ความตื่นตระหนกทางดิจิทัลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินทางไซเบอร์ระดับโลก 🚨 การรั่วไหลของรหัสผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดิจิทัลได้เกิดขึ้นแล้ว: ข้อมูลประจำตัว 16,000 ล้านรหัสถูกเปิดเผยและแพร่กระจาย ผู้ใช้ Apple, Google, Facebook — ไม่มีใครปลอดภัย นี่ไม่ใช่การละเมิด แต่เป็นเส้นทางตรงสู่การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การแฮ็กบัญชี และการสูญเสียทางการเงิน ปกป้องชีวิตดิจิทัลของคุณตอนนี้ 👉 อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/breaking-16-billion-passwords-leaked-digital-panic-has-begun-this-is-a-global-cyber-state-of-emergency/
    AMG-NEWS.COM
    BREAKING: 16 BILLION PASSWORDS LEAKED — DIGITAL PANIC HAS BEGUN. THIS IS A GLOBAL CYBER STATE OF EMERGENCY. - amg-news.com - American Media Group
    The largest password leak in digital history has just detonated: 16 BILLION credentials exposed, live and circulating. Apple, Google, Facebook users — no one is safe. This isn’t a breach. It’s a direct path to identity theft, account hijacking, and financial wipeout. Secure your digital life now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยไหมครับที่ติด Wi-Fi กลางแจ้งแล้วฝนตกทีไรกลัวมันพัง? TP-Link เขาเลยออก Access Point ตัวนี้มาแบบ “ติดตั้งแล้วลืมไปได้เลย” เพราะมันอึดระดับ “จุ่มน้ำลึก 1.5 เมตรก็ยังรอด” (ถึงแม้ Wi-Fi จะใช้ใต้น้ำไม่ได้ก็ตาม )

    เจ้านี่ใช้มาตรฐาน Wi-Fi 7 แบบ Tri-band แรงสูงสุดถึง 9.3 Gbps!
    - 6 GHz ได้สูงสุด 5.76 Gbps
    - 5 GHz ได้ 2.88 Gbps
    - 2.4 GHz ก็ยังมีที่ 688 Mbps

    พื้นที่ครอบคลุมอยู่ที่ประมาณ 300 ตารางเมตร ต่อจุดติดตั้ง และถ้าอยากเพิ่มระยะก็เอาหลายเครื่องมาเชื่อมกันเป็น Mesh Network ได้เลย แถมยังรองรับ Power over Ethernet (PoE) ทำให้ไม่ต้องเดินสายไฟเพิ่มอีกต่างหาก

    ตัวกล่องมาพร้อมอุปกรณ์ติดตั้งครบครัน ทั้งขายึด, ซีลยาง, และฝาครอบกันฝนสำหรับพอร์ต — คือออกแบบให้ทนแดดฝนจริงจัง ไม่ใช่แค่ลุคถึก ๆ เท่านั้น

    TP-Link เปิดตัว EAP772-Outdoor Access Point มาตรฐาน Wi-Fi 7  
    • ใช้เทคโนโลยี Tri-band รวมสปีดสูงสุด 9.3 Gbps  
    • ครอบคลุมพื้นที่กว่า 300 ตร.ม. ต่อเครื่อง

    ทนทานต่อสภาพอากาศด้วยมาตรฐาน IP68 (กันฝุ่น/จมน้ำลึกได้)  
    • วางกลางแจ้งได้โดยไม่ต้องกลัวฝนหรือหิมะ  
    • พอร์ตมีซีลกันน้ำเพิ่มความแน่นหนา

    รองรับ Power over Ethernet (PoE)  
    • ไม่ต้องเดินสายไฟแยก ติดตั้งง่ายขึ้นมาก  
    • มีขายึดสำหรับติดผนัง/เสาติดตั้งในกล่อง

    ทำงานร่วมกับระบบ Omada ของ TP-Link และบริหารจัดการผ่านคลาวด์ได้  
    • ขยายเป็น Mesh Network ได้ง่าย ๆ สำหรับพื้นที่กว้าง

    วางจำหน่ายแล้วในราคา $249.99 (ประมาณ 9,200 บาท)  
    • พร้อมใช้งานกับ Access Point ตัวอื่นในซีรีส์เดียวกัน เช่น EAP772 รุ่นเพดาน

    https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-releases-usd250-wi-fi-7-access-point-that-can-be-submerged-in-1-5-meters-of-water-without-issue-the-heavy-duty-wireless-router-boasts-an-ip68-rating-six-antennas-and-poe
    เคยไหมครับที่ติด Wi-Fi กลางแจ้งแล้วฝนตกทีไรกลัวมันพัง? TP-Link เขาเลยออก Access Point ตัวนี้มาแบบ “ติดตั้งแล้วลืมไปได้เลย” เพราะมันอึดระดับ “จุ่มน้ำลึก 1.5 เมตรก็ยังรอด” (ถึงแม้ Wi-Fi จะใช้ใต้น้ำไม่ได้ก็ตาม 😄) เจ้านี่ใช้มาตรฐาน Wi-Fi 7 แบบ Tri-band แรงสูงสุดถึง 9.3 Gbps! - 6 GHz ได้สูงสุด 5.76 Gbps - 5 GHz ได้ 2.88 Gbps - 2.4 GHz ก็ยังมีที่ 688 Mbps พื้นที่ครอบคลุมอยู่ที่ประมาณ 300 ตารางเมตร ต่อจุดติดตั้ง และถ้าอยากเพิ่มระยะก็เอาหลายเครื่องมาเชื่อมกันเป็น Mesh Network ได้เลย แถมยังรองรับ Power over Ethernet (PoE) ทำให้ไม่ต้องเดินสายไฟเพิ่มอีกต่างหาก ตัวกล่องมาพร้อมอุปกรณ์ติดตั้งครบครัน ทั้งขายึด, ซีลยาง, และฝาครอบกันฝนสำหรับพอร์ต — คือออกแบบให้ทนแดดฝนจริงจัง ไม่ใช่แค่ลุคถึก ๆ เท่านั้น ✅ TP-Link เปิดตัว EAP772-Outdoor Access Point มาตรฐาน Wi-Fi 7   • ใช้เทคโนโลยี Tri-band รวมสปีดสูงสุด 9.3 Gbps   • ครอบคลุมพื้นที่กว่า 300 ตร.ม. ต่อเครื่อง ✅ ทนทานต่อสภาพอากาศด้วยมาตรฐาน IP68 (กันฝุ่น/จมน้ำลึกได้)   • วางกลางแจ้งได้โดยไม่ต้องกลัวฝนหรือหิมะ   • พอร์ตมีซีลกันน้ำเพิ่มความแน่นหนา ✅ รองรับ Power over Ethernet (PoE)   • ไม่ต้องเดินสายไฟแยก ติดตั้งง่ายขึ้นมาก   • มีขายึดสำหรับติดผนัง/เสาติดตั้งในกล่อง ✅ ทำงานร่วมกับระบบ Omada ของ TP-Link และบริหารจัดการผ่านคลาวด์ได้   • ขยายเป็น Mesh Network ได้ง่าย ๆ สำหรับพื้นที่กว้าง ✅ วางจำหน่ายแล้วในราคา $249.99 (ประมาณ 9,200 บาท)   • พร้อมใช้งานกับ Access Point ตัวอื่นในซีรีส์เดียวกัน เช่น EAP772 รุ่นเพดาน https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-releases-usd250-wi-fi-7-access-point-that-can-be-submerged-in-1-5-meters-of-water-without-issue-the-heavy-duty-wireless-router-boasts-an-ip68-rating-six-antennas-and-poe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • The breathtaking landscape rendered entirely in an intricate crochet artwork piece.
    The breathtaking landscape rendered entirely in an intricate crochet artwork piece.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพราะโดนสหรัฐแบนชิปแรง ๆ อย่าง H100 ทำให้ Huawei ต้องหาทางอื่นที่จะสู้ในสนาม AI — เขาเลยเอากลยุทธ์ “ใช้เยอะเข้าไว้” หรือที่เรียกว่า Brute Force Scaling มาใช้ สร้างเป็นคลัสเตอร์ชื่อ CloudMatrix 384 (CM384)

    ไอ้เจ้าตัวนี้คือการรวมพลัง 384 ชิป Ascend 910C (ของ Huawei เอง) กับ CPU อีก 192 ตัว กระจายอยู่ใน 16 rack server แล้วเชื่อมต่อด้วยสายไฟเบอร์ออปติกหมดทุกตัว เพื่อทำให้ interconnect ภายในเร็วแบบสุด ๆ

    เมื่อรันโมเดล LLM อย่าง DeepSeek R1 (ขนาด 671B พารามิเตอร์) ที่เป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ทดสอบ NVIDIA GB200 NVL72 — ปรากฏว่า CM384 สร้าง token ได้มากกว่า ทั้งในตอน generate และ prefill และมีประสิทธิภาพระดับ 300 PFLOPs (BF16) เทียบกับ 180 PFLOPs ของ GB200

    แต่…มันแลกมาด้วยพลังงานระดับ “กินไฟพอๆ กับอาคารทั้งหลัง” — CM384 ใช้ไฟถึง 559 kW เทียบกับ NVIDIA GB200 NVL72 ที่ใช้ 145 kW เท่านั้น เรียกว่าแรงจริงแต่เปลืองไฟมากกว่า 4 เท่า

    Huawei เปิดตัวซูเปอร์คลัสเตอร์ CloudMatrix 384 ใช้ NPU Ascend 910C รวม 384 ตัว  
    • เชื่อมต่อด้วยสายออปติกทั้งหมด ลด latency ระหว่าง node  
    • ใช้ CPU เสริม 192 ตัวในโครงสร้าง 16 rack

    CM384 รันโมเดล DeepSeek R1 ได้เร็วกว่า NVIDIA H800 และ H100  
    • มี performance สูงถึง 300 PFLOPs (BF16)  
    • เมื่อเทียบกับ NVIDIA GB200 NVL72 ที่ให้ 180 PFLOPs

    ซอฟต์แวร์ CloudMatrix-Infer มีประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA SGLang ในงาน LLM  
    • สร้าง token ได้เร็วขึ้น ทั้งตอน prefill และ generate  
    • เหมาะกับงาน AI inferencing ขนาดใหญ่มาก

    CM384 ออกแบบมาเพื่อสร้าง ecosystem ทางเลือกในจีน โดยไม่ต้องใช้ NVIDIA  
    • ได้รับการเผยแพร่ร่วมกับ AI startup จีนชื่อ SiliconFlow  
    • มีเป้าหมายเพื่อ “เพิ่มความมั่นใจให้ ecosystem ภายในประเทศจีน”

    พลังงานในจีนราคาต่ำลงเกือบ 40% ใน 3 ปี ทำให้การใช้พลังงานมากไม่ใช่จุดอ่อนใหญ่  
    • ทำให้จีนสามารถเลือก “สเกลแรงเข้าไว้” ได้โดยไม่กลัวค่าไฟพุ่ง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/huaweis-brute-force-ai-tactic-seems-to-be-working-cloudmatrix-384-claimed-to-outperform-nvidia-processors-running-deepseek-r1
    เพราะโดนสหรัฐแบนชิปแรง ๆ อย่าง H100 ทำให้ Huawei ต้องหาทางอื่นที่จะสู้ในสนาม AI — เขาเลยเอากลยุทธ์ “ใช้เยอะเข้าไว้” หรือที่เรียกว่า Brute Force Scaling มาใช้ สร้างเป็นคลัสเตอร์ชื่อ CloudMatrix 384 (CM384) ไอ้เจ้าตัวนี้คือการรวมพลัง 384 ชิป Ascend 910C (ของ Huawei เอง) กับ CPU อีก 192 ตัว กระจายอยู่ใน 16 rack server แล้วเชื่อมต่อด้วยสายไฟเบอร์ออปติกหมดทุกตัว เพื่อทำให้ interconnect ภายในเร็วแบบสุด ๆ เมื่อรันโมเดล LLM อย่าง DeepSeek R1 (ขนาด 671B พารามิเตอร์) ที่เป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ทดสอบ NVIDIA GB200 NVL72 — ปรากฏว่า CM384 สร้าง token ได้มากกว่า ทั้งในตอน generate และ prefill และมีประสิทธิภาพระดับ 300 PFLOPs (BF16) เทียบกับ 180 PFLOPs ของ GB200 แต่…มันแลกมาด้วยพลังงานระดับ “กินไฟพอๆ กับอาคารทั้งหลัง” — CM384 ใช้ไฟถึง 559 kW เทียบกับ NVIDIA GB200 NVL72 ที่ใช้ 145 kW เท่านั้น เรียกว่าแรงจริงแต่เปลืองไฟมากกว่า 4 เท่า ✅ Huawei เปิดตัวซูเปอร์คลัสเตอร์ CloudMatrix 384 ใช้ NPU Ascend 910C รวม 384 ตัว   • เชื่อมต่อด้วยสายออปติกทั้งหมด ลด latency ระหว่าง node   • ใช้ CPU เสริม 192 ตัวในโครงสร้าง 16 rack ✅ CM384 รันโมเดล DeepSeek R1 ได้เร็วกว่า NVIDIA H800 และ H100   • มี performance สูงถึง 300 PFLOPs (BF16)   • เมื่อเทียบกับ NVIDIA GB200 NVL72 ที่ให้ 180 PFLOPs ✅ ซอฟต์แวร์ CloudMatrix-Infer มีประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA SGLang ในงาน LLM   • สร้าง token ได้เร็วขึ้น ทั้งตอน prefill และ generate   • เหมาะกับงาน AI inferencing ขนาดใหญ่มาก ✅ CM384 ออกแบบมาเพื่อสร้าง ecosystem ทางเลือกในจีน โดยไม่ต้องใช้ NVIDIA   • ได้รับการเผยแพร่ร่วมกับ AI startup จีนชื่อ SiliconFlow   • มีเป้าหมายเพื่อ “เพิ่มความมั่นใจให้ ecosystem ภายในประเทศจีน” ✅ พลังงานในจีนราคาต่ำลงเกือบ 40% ใน 3 ปี ทำให้การใช้พลังงานมากไม่ใช่จุดอ่อนใหญ่   • ทำให้จีนสามารถเลือก “สเกลแรงเข้าไว้” ได้โดยไม่กลัวค่าไฟพุ่ง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/huaweis-brute-force-ai-tactic-seems-to-be-working-cloudmatrix-384-claimed-to-outperform-nvidia-processors-running-deepseek-r1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • การใช้ Generative AI (โดยเฉพาะ LLM อย่าง ChatGPT) ขณะทำงานเขียนบทความ อาจลดการทำงานของสมองในหลายด้าน โดยเฉพาะความจำและความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูล

    นักวิจัยจาก MIT ทำการทดลองกับกลุ่มคน 3 กลุ่ม ให้เขียนเรียงความ 3 ฉบับ:
    - กลุ่ม A: ใช้ LLM ช่วย (เช่น ChatGPT)
    - กลุ่ม B: ใช้ search engine (เช่น Google)
    - กลุ่ม C: เขียนโดยไม่ใช้อะไรเลย (ใช้สมองล้วน ๆ)

    จากนั้นกลุ่ม A กับ C สลับกันในบทความที่ 4 เพื่อดูว่า “พอเปลี่ยนวิธีแล้ว สมองเปลี่ยนยังไงบ้าง”

    ผลปรากฏว่า:
    - กลุ่ม C ที่ใช้แต่สมอง มีการเชื่อมต่อระหว่างสมองส่วนต่าง ๆ มากที่สุด
    - กลุ่ม A ที่ใช้ AI นั้น มีสมอง “เงียบกว่า” อย่างเห็นได้ชัด และจำอะไรไม่ค่อยได้ แม้จะเขียนบทความได้เนียนจน AI กับคนให้คะแนนสูง
    - กลุ่ม B ที่ใช้ search ก็อยู่กลาง ๆ: เนื้อหาออกแนว “เหมือนกันหมด” แต่ยังพอจำได้

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ AI จะช่วยเขียนให้ “ดูดี” แต่สมองคนเขียนกลับ “ไม่จำ” หรือมีการใช้พลังงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ ช่วงที่ต้องวางโครงคิดเอง

    MIT ทดลองให้ผู้เข้าร่วมเขียนเรียงความ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม: ใช้ LLM, ใช้ search engine และไม่ใช้อะไรเลย  
    • กลุ่มไม่ใช้อะไรเลยแสดงกิจกรรมของสมองที่เชื่อมโยงกันสูงกว่ากลุ่มอื่น  
    • กลุ่มใช้ LLM มีการเชื่อมโยงของสมองลดลง และมีความจำระยะสั้นด้อยลง

    งานเขียนจาก LLM ถูกให้คะแนนสูง แต่กลับขาดมิติคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking)  
    • ผู้ใช้ LLM แก้ไขงานน้อย, copy-paste เยอะ, และจำไม่ได้ว่าเขียนอะไรไป

    ในรอบสุดท้าย กลุ่มที่เปลี่ยนจาก AI → สมองเอง มีการเชื่อมต่อของสมองเพิ่มขึ้น  
    • แสดงให้เห็นว่าเราสามารถ "ฟื้นการทำงานของสมอง" ได้ถ้าหยุดพึ่ง AI

    กลุ่มที่ใช้ search engine ได้ผลลัพธ์ “กลาง ๆ”  
    • เนื้อหาเหมือนกันมาก แต่ความจำยังดีพอสมควร

    ผลวิจัยชี้ว่า การใช้ digital tool ใด ๆ ก็มีผลต่อสมอง — แต่ LLM มีผลมากที่สุด  
    • โดยเฉพาะเมื่อใช้เพียงอย่างเดียว โดยไม่เสริมการคิด

    https://www.techspot.com/news/108386-mit-brain-scans-suggest-using-genai-tools-reduces.html
    การใช้ Generative AI (โดยเฉพาะ LLM อย่าง ChatGPT) ขณะทำงานเขียนบทความ อาจลดการทำงานของสมองในหลายด้าน โดยเฉพาะความจำและความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูล นักวิจัยจาก MIT ทำการทดลองกับกลุ่มคน 3 กลุ่ม ให้เขียนเรียงความ 3 ฉบับ: - กลุ่ม A: ใช้ LLM ช่วย (เช่น ChatGPT) - กลุ่ม B: ใช้ search engine (เช่น Google) - กลุ่ม C: เขียนโดยไม่ใช้อะไรเลย (ใช้สมองล้วน ๆ) จากนั้นกลุ่ม A กับ C สลับกันในบทความที่ 4 เพื่อดูว่า “พอเปลี่ยนวิธีแล้ว สมองเปลี่ยนยังไงบ้าง” ผลปรากฏว่า: - กลุ่ม C ที่ใช้แต่สมอง มีการเชื่อมต่อระหว่างสมองส่วนต่าง ๆ มากที่สุด - กลุ่ม A ที่ใช้ AI นั้น มีสมอง “เงียบกว่า” อย่างเห็นได้ชัด และจำอะไรไม่ค่อยได้ แม้จะเขียนบทความได้เนียนจน AI กับคนให้คะแนนสูง - กลุ่ม B ที่ใช้ search ก็อยู่กลาง ๆ: เนื้อหาออกแนว “เหมือนกันหมด” แต่ยังพอจำได้ สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ AI จะช่วยเขียนให้ “ดูดี” แต่สมองคนเขียนกลับ “ไม่จำ” หรือมีการใช้พลังงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ ช่วงที่ต้องวางโครงคิดเอง ✅ MIT ทดลองให้ผู้เข้าร่วมเขียนเรียงความ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม: ใช้ LLM, ใช้ search engine และไม่ใช้อะไรเลย   • กลุ่มไม่ใช้อะไรเลยแสดงกิจกรรมของสมองที่เชื่อมโยงกันสูงกว่ากลุ่มอื่น   • กลุ่มใช้ LLM มีการเชื่อมโยงของสมองลดลง และมีความจำระยะสั้นด้อยลง ✅ งานเขียนจาก LLM ถูกให้คะแนนสูง แต่กลับขาดมิติคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking)   • ผู้ใช้ LLM แก้ไขงานน้อย, copy-paste เยอะ, และจำไม่ได้ว่าเขียนอะไรไป ✅ ในรอบสุดท้าย กลุ่มที่เปลี่ยนจาก AI → สมองเอง มีการเชื่อมต่อของสมองเพิ่มขึ้น   • แสดงให้เห็นว่าเราสามารถ "ฟื้นการทำงานของสมอง" ได้ถ้าหยุดพึ่ง AI ✅ กลุ่มที่ใช้ search engine ได้ผลลัพธ์ “กลาง ๆ”   • เนื้อหาเหมือนกันมาก แต่ความจำยังดีพอสมควร ✅ ผลวิจัยชี้ว่า การใช้ digital tool ใด ๆ ก็มีผลต่อสมอง — แต่ LLM มีผลมากที่สุด   • โดยเฉพาะเมื่อใช้เพียงอย่างเดียว โดยไม่เสริมการคิด https://www.techspot.com/news/108386-mit-brain-scans-suggest-using-genai-tools-reduces.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    MIT brain scans suggest that using GenAI tools reduces cognitive activity
    The newly published paper explains that as participants in an experiment wrote a series of essays, electronic brain monitoring revealed substantially weaker connections between regions of the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts