• BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ

    BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่

    Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น

    Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา

    ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การเปิดตัว Note Air5 C
    หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา
    รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่
    ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1
    รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี
    เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา

    การเปิดตัว Palma 2 Pro
    ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก
    รองรับ 5G และ Android 15
    ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต
    มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง
    เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง

    เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น
    BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น
    Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด
    รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU
    มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ
    ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99
    อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ
    การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe
    หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง

    https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    📚 BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่ Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ การเปิดตัว Note Air5 C ➡️ หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา ➡️ รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่ ➡️ ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1 ➡️ รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี ➡️ เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา ✅ การเปิดตัว Palma 2 Pro ➡️ ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก ➡️ รองรับ 5G และ Android 15 ➡️ ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต ➡️ มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง ➡️ เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง ✅ เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น ➡️ BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น ➡️ Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด ➡️ รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU ➡️ มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ ➡️ ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99 ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ ⛔ การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe ⛔ หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    BOOX Introduces New Color ePaper Devices: Note Air5 C and Palma 2 Pro
    BOOX, a global leader in E Ink technology and innovation, has announced the launch of two new additions to its product lineup: the Note Air5 C, a 10.3-inch color ePaper tablet designed for light productivity and creativity, and the Palma 2 Pro, a 6.13-inch color mobile ePaper device that brings true...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • TP-Link เปิดตัว Archer GE800 และ GE400 – เราเตอร์ Wi-Fi 7 สำหรับเกมเมอร์ พร้อมดีไซน์ RGB และราคาจับต้องได้

    TP-Link เปิดตัวเราเตอร์เกมมิ่งรุ่นใหม่ในงาน Computex 2024 ได้แก่ Archer GE800 และ Archer GE400 โดยทั้งสองรุ่นรองรับ Wi-Fi 7 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูง

    Archer GE800 เป็นรุ่นเรือธงแบบ Tri-band ที่ให้ความเร็วรวมสูงสุดถึง 19 Gbps พร้อมพอร์ต 10G และ 2.5G รวมถึงดีไซน์ RGB ที่ปรับแต่งได้ ส่วน Archer GE400 เป็นรุ่นรองที่มีราคาย่อมเยา แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงด้วย Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps และพอร์ต 2.5G สองช่อง

    ทั้งสองรุ่นมาพร้อมฟีเจอร์ Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกมโดยเฉพาะ และรองรับเทคโนโลยี Multi-Link Operation (MLO) ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรในการเล่นเกมและสตรีมมิ่ง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อแบบ bullet:

    การเปิดตัว Archer GE800 และ GE400
    GE800 เป็นรุ่น Tri-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 19 Gbps
    GE400 เป็นรุ่น Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps
    ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต 2.5G และดีไซน์ RGB ปรับแต่งได้
    มาพร้อม Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกม

    เทคโนโลยี Wi-Fi 7 และฟีเจอร์เด่น
    รองรับ Multi-Link Operation (MLO) เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน
    ลด latency และเพิ่มความเสถียรในการเล่นเกม
    เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูงที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ

    ความคุ้มค่าและการใช้งาน
    GE400 เป็นตัวเลือกที่ราคาย่อมเยาแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง
    GE800 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและพอร์ตระดับ 10G
    ดีไซน์ RGB เพิ่มความโดดเด่นให้กับเซ็ตอัปเกมมิ่ง

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อุปกรณ์ที่รองรับอาจยังมีจำกัด
    การใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูงต้องมีการตั้งค่าและอุปกรณ์ที่รองรับ
    ราคาของ GE800 อาจสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    การใช้งานพอร์ต 10G ต้องมีอุปกรณ์เครือข่ายที่รองรับด้วย

    https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-launches-archer-ge400-wi-fi-7-gaming-router-dual-band-router-hits-more-affordable-price-point-includes-2-5-gbe-ports-and-rgb-lighting
    📶 TP-Link เปิดตัว Archer GE800 และ GE400 – เราเตอร์ Wi-Fi 7 สำหรับเกมเมอร์ พร้อมดีไซน์ RGB และราคาจับต้องได้ TP-Link เปิดตัวเราเตอร์เกมมิ่งรุ่นใหม่ในงาน Computex 2024 ได้แก่ Archer GE800 และ Archer GE400 โดยทั้งสองรุ่นรองรับ Wi-Fi 7 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูง Archer GE800 เป็นรุ่นเรือธงแบบ Tri-band ที่ให้ความเร็วรวมสูงสุดถึง 19 Gbps พร้อมพอร์ต 10G และ 2.5G รวมถึงดีไซน์ RGB ที่ปรับแต่งได้ ส่วน Archer GE400 เป็นรุ่นรองที่มีราคาย่อมเยา แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงด้วย Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps และพอร์ต 2.5G สองช่อง ทั้งสองรุ่นมาพร้อมฟีเจอร์ Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกมโดยเฉพาะ และรองรับเทคโนโลยี Multi-Link Operation (MLO) ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรในการเล่นเกมและสตรีมมิ่ง สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อแบบ bullet: ✅ การเปิดตัว Archer GE800 และ GE400 ➡️ GE800 เป็นรุ่น Tri-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 19 Gbps ➡️ GE400 เป็นรุ่น Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps ➡️ ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต 2.5G และดีไซน์ RGB ปรับแต่งได้ ➡️ มาพร้อม Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกม ✅ เทคโนโลยี Wi-Fi 7 และฟีเจอร์เด่น ➡️ รองรับ Multi-Link Operation (MLO) เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน ➡️ ลด latency และเพิ่มความเสถียรในการเล่นเกม ➡️ เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูงที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ ✅ ความคุ้มค่าและการใช้งาน ➡️ GE400 เป็นตัวเลือกที่ราคาย่อมเยาแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง ➡️ GE800 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและพอร์ตระดับ 10G ➡️ ดีไซน์ RGB เพิ่มความโดดเด่นให้กับเซ็ตอัปเกมมิ่ง ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อุปกรณ์ที่รองรับอาจยังมีจำกัด ⛔ การใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูงต้องมีการตั้งค่าและอุปกรณ์ที่รองรับ ⛔ ราคาของ GE800 อาจสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ การใช้งานพอร์ต 10G ต้องมีอุปกรณ์เครือข่ายที่รองรับด้วย https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-launches-archer-ge400-wi-fi-7-gaming-router-dual-band-router-hits-more-affordable-price-point-includes-2-5-gbe-ports-and-rgb-lighting
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง

    Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ

    SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้

    นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา

    ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung
    พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง
    ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์
    รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่
    ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า
    คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า
    รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้

    การลงทุนของ SpaceX
    ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G
    มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก

    การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น
    โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์
    ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ
    ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ
    การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม
    การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    🚀 Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้ นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา ✅ ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung ➡️ พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง ➡️ ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) ✅ ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า ➡️ คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า ➡️ รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้ ✅ การลงทุนของ SpaceX ➡️ ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G ➡️ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ➡️ โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ ⛔ ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ ⛔ การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม ⛔ การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Elon Musk's Starlink reportedly tasks Samsung to build AI-powered modem — space-based 6G service could revolutionize satellite-to-device connectivity
    The modem’s NPU will be used to ‘predict satellite trajectories and optimize signal links in real time,’ it is claimed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • KDE Plasma 6.5 มาแล้ว! อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น

    หลังจากหลายสัปดาห์ของการพัฒนา KDE Plasma 6.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความลื่นไหล ความสามารถในการปรับแต่ง และการเข้าถึงที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือสาย power user

    การอัปเดตครั้งนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ตั้งแต่การปรับปรุงหน้าตา UI ไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น การสลับธีมอัตโนมัติตามเวลา การปักหมุดข้อความใน clipboard และการค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ที่ช่วยให้ค้นหาแอปได้แม้พิมพ์ผิด

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ widget ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น sticky notes ที่ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ทันที รวมถึงการเพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับผู้ชอบความเรียบง่าย

    ด้านเสียงก็มีการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การเตือนเมื่อเปิดเสียงสูงสุดนานเกินไป และการ mute ไมโครโฟนแบบรวมทุกตัวในระบบ

    สำหรับผู้ที่อยากลอง KDE Plasma 6.5 สามารถติดตั้งผ่าน KDE Neon หรือคอมไพล์จากซอร์สได้โดยตรง

    ฟีเจอร์ใหม่ใน KDE Plasma 6.5
    สลับธีมอัตโนมัติตามเวลา
    ปักหมุดข้อความใน clipboard
    ค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner
    รองรับการตั้งค่าปากกาและแท็บเล็ตแบบ rotary dial และ touch ring
    เพิ่ม grayscale filter และปรับปรุง screen reader สำหรับผู้พิการ

    การปรับปรุง UI
    หน้าต่าง Breeze มีมุมโค้งทั้ง 4 ด้าน
    หน้า Wi-Fi & Networking แสดงเครือข่ายทันที
    แชร์ Wi-Fi ผ่าน QR code พร้อมรหัสผ่าน
    หน้า Flatpak Permissions เปลี่ยนเป็น Application Permissions

    การปรับปรุง widget
    Sticky notes ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้
    เพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับ widget
    KRunner แสดงผลตั้งแต่พิมพ์ตัวแรก พร้อมเรียงลำดับใหม่

    การปรับปรุงระบบเสียง
    เตือนเมื่อเปิด “Raise maximum volume” นานเกินไป
    ปรับพฤติกรรม mute ไมโครโฟนให้รวมทุกตัว
    ปรับระดับเสียงขณะ mute จะ unmute อัตโนมัติ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้เวอร์ชันเก่า
    หากยังใช้ Plasma 5 อาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้
    การอัปเดตจากซอร์สต้องมีความรู้ด้านการคอมไพล์
    การเปลี่ยนธีมอัตโนมัติอาจไม่ทำงานหากตั้งค่าผิด

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ใช้ KDE Neon เพื่อทดลอง Plasma 6.5 ได้ง่ายที่สุด
    ตรวจสอบการตั้งค่าธีมและ wallpaper ให้ตรงกับช่วงเวลาที่ต้องการ
    ลองใช้ฟีเจอร์ clipboard ปักหมุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

    https://news.itsfoss.com/kde-plasma-6-5-release/
    🖥️ KDE Plasma 6.5 มาแล้ว! อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น หลังจากหลายสัปดาห์ของการพัฒนา KDE Plasma 6.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความลื่นไหล ความสามารถในการปรับแต่ง และการเข้าถึงที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือสาย power user การอัปเดตครั้งนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ตั้งแต่การปรับปรุงหน้าตา UI ไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น การสลับธีมอัตโนมัติตามเวลา การปักหมุดข้อความใน clipboard และการค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ที่ช่วยให้ค้นหาแอปได้แม้พิมพ์ผิด นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ widget ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น sticky notes ที่ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ทันที รวมถึงการเพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับผู้ชอบความเรียบง่าย ด้านเสียงก็มีการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การเตือนเมื่อเปิดเสียงสูงสุดนานเกินไป และการ mute ไมโครโฟนแบบรวมทุกตัวในระบบ สำหรับผู้ที่อยากลอง KDE Plasma 6.5 สามารถติดตั้งผ่าน KDE Neon หรือคอมไพล์จากซอร์สได้โดยตรง ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน KDE Plasma 6.5 ➡️ สลับธีมอัตโนมัติตามเวลา ➡️ ปักหมุดข้อความใน clipboard ➡️ ค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ➡️ รองรับการตั้งค่าปากกาและแท็บเล็ตแบบ rotary dial และ touch ring ➡️ เพิ่ม grayscale filter และปรับปรุง screen reader สำหรับผู้พิการ ✅ การปรับปรุง UI ➡️ หน้าต่าง Breeze มีมุมโค้งทั้ง 4 ด้าน ➡️ หน้า Wi-Fi & Networking แสดงเครือข่ายทันที ➡️ แชร์ Wi-Fi ผ่าน QR code พร้อมรหัสผ่าน ➡️ หน้า Flatpak Permissions เปลี่ยนเป็น Application Permissions ✅ การปรับปรุง widget ➡️ Sticky notes ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ ➡️ เพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับ widget ➡️ KRunner แสดงผลตั้งแต่พิมพ์ตัวแรก พร้อมเรียงลำดับใหม่ ✅ การปรับปรุงระบบเสียง ➡️ เตือนเมื่อเปิด “Raise maximum volume” นานเกินไป ➡️ ปรับพฤติกรรม mute ไมโครโฟนให้รวมทุกตัว ➡️ ปรับระดับเสียงขณะ mute จะ unmute อัตโนมัติ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้เวอร์ชันเก่า ⛔ หากยังใช้ Plasma 5 อาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ ⛔ การอัปเดตจากซอร์สต้องมีความรู้ด้านการคอมไพล์ ⛔ การเปลี่ยนธีมอัตโนมัติอาจไม่ทำงานหากตั้งค่าผิด ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ใช้ KDE Neon เพื่อทดลอง Plasma 6.5 ได้ง่ายที่สุด ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่าธีมและ wallpaper ให้ตรงกับช่วงเวลาที่ต้องการ ⛔ ลองใช้ฟีเจอร์ clipboard ปักหมุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน https://news.itsfoss.com/kde-plasma-6-5-release/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    KDE Plasma 6.5 Released: Let Me Walk You Through What's New
    Rounded corners, auto dark mode, pinned clipboard, and a whole lot more in this update!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ROG Xbox Ally รัน Linux แรงกว่า Windows – เฟรมเรตพุ่ง 32% พร้อมปลุกเครื่องเร็วกว่าเดิม!”

    ROG Xbox Ally ซึ่งเป็นเครื่องเกมพกพาจาก ASUS ที่มาพร้อม Windows 11 โดยตรง กลับทำงานได้ดีกว่าเมื่อเปลี่ยนไปใช้ Linux! YouTuber ชื่อ Cyber Dopamine ได้ทดสอบโดยติดตั้ง Linux ดิสโทรชื่อ Bazzite ซึ่งออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์โดยเฉพาะ และพบว่าเฟรมเรตในหลายเกมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

    ตัวอย่างเช่นในเกม Kingdom Come: Deliverance 2 ที่รันบน Windows ได้ 47 FPS แต่เมื่อใช้ Bazzite กลับได้ถึง 62 FPS — เพิ่มขึ้นถึง 32% โดยไม่ต้องเพิ่มพลังงานหรือปรับแต่งฮาร์ดแวร์เลย

    นอกจากนี้ยังพบว่า Linux มีความเสถียรของเฟรมเรตมากกว่า Windows ซึ่งมีการแกว่งขึ้นลงตลอดเวลา และที่น่าประทับใจคือ การปลุกเครื่องจาก sleep mode บน Linux ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ในขณะที่ Windows ใช้เวลานานถึง 40 วินาทีในการเข้าสู่ sleep และอีก 15 วินาทีในการปลุกกลับ

    Cyber Dopamine ยังรายงานว่า ทีมพัฒนา Bazzite มีการแก้บั๊กแบบเรียลไทม์ระหว่างที่เขาทดสอบ โดยส่ง feedback แล้วได้รับ patch ทันที ซึ่งแสดงถึงความคล่องตัวและความใส่ใจของทีม dev

    แม้ว่า Windows จะยังจำเป็นสำหรับบางเกมที่ใช้ระบบ anticheat แต่ผู้ใช้สามารถตั้งค่า dual-boot เพื่อสลับไปมาระหว่าง Windows และ Linux ได้อย่างสะดวก

    ผลการทดสอบ ROG Xbox Ally บน Linux
    เฟรมเรตเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 32% เมื่อใช้ Bazzite
    ความเสถียรของเฟรมเรตดีกว่า Windows
    ปลุกเครื่องจาก sleep mode ได้เร็วกว่า
    ใช้ Steam Big Picture Mode เป็น launcher หลัก

    ข้อดีของ Bazzite บนเครื่องเกมพกพา
    รองรับการปรับแต่ง power profile แบบละเอียด
    UI คล้ายคอนโซล ใช้งานง่าย
    ทีม dev แก้บั๊กแบบเรียลไทม์
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์แบบ Steam Deck

    ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    สามารถ dual-boot กลับไปใช้ Windows ได้
    เหมาะสำหรับเกมที่ต้องใช้ anticheat
    ไม่จำเป็นต้อง root หรือ flash เครื่อง
    รองรับการอัปเดตผ่านระบบของ Bazzite

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    เกมบางเกมอาจไม่รองรับ Linux หรือมีปัญหาเรื่อง anticheat
    การตั้งค่า dual-boot ต้องระวังเรื่อง partition และ bootloader
    หากไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาปรับตัว
    การอัปเดต firmware หรือ driver บางตัวอาจยังต้องใช้ Windows
    ควรสำรองข้อมูลก่อนติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/rog-xbox-ally-runs-better-on-linux-than-the-windows-it-ships-with-new-test-shows-up-to-32-percent-higher-fps-with-more-stable-framerates-and-quicker-sleep-resume-times
    🎮 “ROG Xbox Ally รัน Linux แรงกว่า Windows – เฟรมเรตพุ่ง 32% พร้อมปลุกเครื่องเร็วกว่าเดิม!” ROG Xbox Ally ซึ่งเป็นเครื่องเกมพกพาจาก ASUS ที่มาพร้อม Windows 11 โดยตรง กลับทำงานได้ดีกว่าเมื่อเปลี่ยนไปใช้ Linux! YouTuber ชื่อ Cyber Dopamine ได้ทดสอบโดยติดตั้ง Linux ดิสโทรชื่อ Bazzite ซึ่งออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์โดยเฉพาะ และพบว่าเฟรมเรตในหลายเกมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่นในเกม Kingdom Come: Deliverance 2 ที่รันบน Windows ได้ 47 FPS แต่เมื่อใช้ Bazzite กลับได้ถึง 62 FPS — เพิ่มขึ้นถึง 32% โดยไม่ต้องเพิ่มพลังงานหรือปรับแต่งฮาร์ดแวร์เลย นอกจากนี้ยังพบว่า Linux มีความเสถียรของเฟรมเรตมากกว่า Windows ซึ่งมีการแกว่งขึ้นลงตลอดเวลา และที่น่าประทับใจคือ การปลุกเครื่องจาก sleep mode บน Linux ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ในขณะที่ Windows ใช้เวลานานถึง 40 วินาทีในการเข้าสู่ sleep และอีก 15 วินาทีในการปลุกกลับ Cyber Dopamine ยังรายงานว่า ทีมพัฒนา Bazzite มีการแก้บั๊กแบบเรียลไทม์ระหว่างที่เขาทดสอบ โดยส่ง feedback แล้วได้รับ patch ทันที ซึ่งแสดงถึงความคล่องตัวและความใส่ใจของทีม dev แม้ว่า Windows จะยังจำเป็นสำหรับบางเกมที่ใช้ระบบ anticheat แต่ผู้ใช้สามารถตั้งค่า dual-boot เพื่อสลับไปมาระหว่าง Windows และ Linux ได้อย่างสะดวก ✅ ผลการทดสอบ ROG Xbox Ally บน Linux ➡️ เฟรมเรตเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 32% เมื่อใช้ Bazzite ➡️ ความเสถียรของเฟรมเรตดีกว่า Windows ➡️ ปลุกเครื่องจาก sleep mode ได้เร็วกว่า ➡️ ใช้ Steam Big Picture Mode เป็น launcher หลัก ✅ ข้อดีของ Bazzite บนเครื่องเกมพกพา ➡️ รองรับการปรับแต่ง power profile แบบละเอียด ➡️ UI คล้ายคอนโซล ใช้งานง่าย ➡️ ทีม dev แก้บั๊กแบบเรียลไทม์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์แบบ Steam Deck ✅ ความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ สามารถ dual-boot กลับไปใช้ Windows ได้ ➡️ เหมาะสำหรับเกมที่ต้องใช้ anticheat ➡️ ไม่จำเป็นต้อง root หรือ flash เครื่อง ➡️ รองรับการอัปเดตผ่านระบบของ Bazzite ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ เกมบางเกมอาจไม่รองรับ Linux หรือมีปัญหาเรื่อง anticheat ⛔ การตั้งค่า dual-boot ต้องระวังเรื่อง partition และ bootloader ⛔ หากไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาปรับตัว ⛔ การอัปเดต firmware หรือ driver บางตัวอาจยังต้องใช้ Windows ⛔ ควรสำรองข้อมูลก่อนติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/rog-xbox-ally-runs-better-on-linux-than-the-windows-it-ships-with-new-test-shows-up-to-32-percent-higher-fps-with-more-stable-framerates-and-quicker-sleep-resume-times
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Lam Research คาดรายได้พุ่ง – อานิสงส์จากความต้องการชิป AI ดันยอดขายเครื่องผลิตเซมิคอนดักเตอร์”

    Lam Research บริษัทจากแคลิฟอร์เนียที่ผลิตเครื่องมือสำหรับการสร้างเซมิคอนดักเตอร์ คาดว่ารายได้ไตรมาสหน้าจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยมีแรงหนุนจากความต้องการชิปที่ใช้ในงานปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ $5.20 พันล้านดอลลาร์ (บวกลบ $300 ล้าน) สำหรับไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 28 ธันวาคม 2025 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ $4.81 พันล้าน ส่วนกำไรต่อหุ้นแบบปรับปรุงคาดว่าจะอยู่ที่ $1.15 (บวกลบ 10 เซนต์) เทียบกับประมาณการที่ $1.04

    ในไตรมาสก่อนหน้า Lam ทำรายได้ไปแล้ว $5.32 พันล้าน ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ $5.23 พันล้าน และมีกำไรต่อหุ้นที่ $1.26 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $1.22

    ความต้องการเครื่องมือผลิตชิป (Wafer Fabrication Equipment – WFE) เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะบริษัทออกแบบชิปต้องการสร้างโปรเซสเซอร์ที่รองรับงาน AI ซึ่งต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนและมีความแม่นยำสูง

    แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Analog Devices, Applied Materials และ ASML จากเนเธอร์แลนด์ แต่ Lam ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การประมวลผลแผ่นเวเฟอร์ไปจนถึงการเดินสายภายในชิป

    รายได้และกำไรของ Lam Research
    คาดรายได้ไตรมาสหน้า $5.20 พันล้าน (± $300 ล้าน)
    สูงกว่าประมาณการนักวิเคราะห์ที่ $4.81 พันล้าน
    กำไรต่อหุ้นคาด $1.15 (± $0.10) เทียบกับคาดการณ์ $1.04
    ไตรมาสก่อนหน้าทำรายได้ $5.32 พันล้าน และกำไรต่อหุ้น $1.26

    ปัจจัยหนุนการเติบโต
    ความต้องการชิป AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    บริษัทออกแบบชิปต้องการเครื่องมือผลิตที่แม่นยำ
    ตลาด WFE เติบโตตามการขยายตัวของ AI และ HPC
    Lam เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องมือหลักสำหรับเซมิคอนดักเตอร์

    ตำแหน่งในตลาดและการแข่งขัน
    แข่งขันกับ Analog Devices, Applied Materials และ ASML
    Lam มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทั้ง wafer processing และ wiring
    หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 2.2% หลังประกาศแนวโน้มรายได้
    ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2025 จากแรงหนุนของตลาด AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/lam-research-expects-upbeat-quarterly-revenue-on-demand-for-chipmaking-tools
    🔧 “Lam Research คาดรายได้พุ่ง – อานิสงส์จากความต้องการชิป AI ดันยอดขายเครื่องผลิตเซมิคอนดักเตอร์” Lam Research บริษัทจากแคลิฟอร์เนียที่ผลิตเครื่องมือสำหรับการสร้างเซมิคอนดักเตอร์ คาดว่ารายได้ไตรมาสหน้าจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยมีแรงหนุนจากความต้องการชิปที่ใช้ในงานปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ $5.20 พันล้านดอลลาร์ (บวกลบ $300 ล้าน) สำหรับไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 28 ธันวาคม 2025 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ $4.81 พันล้าน ส่วนกำไรต่อหุ้นแบบปรับปรุงคาดว่าจะอยู่ที่ $1.15 (บวกลบ 10 เซนต์) เทียบกับประมาณการที่ $1.04 ในไตรมาสก่อนหน้า Lam ทำรายได้ไปแล้ว $5.32 พันล้าน ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ $5.23 พันล้าน และมีกำไรต่อหุ้นที่ $1.26 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $1.22 ความต้องการเครื่องมือผลิตชิป (Wafer Fabrication Equipment – WFE) เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะบริษัทออกแบบชิปต้องการสร้างโปรเซสเซอร์ที่รองรับงาน AI ซึ่งต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนและมีความแม่นยำสูง แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Analog Devices, Applied Materials และ ASML จากเนเธอร์แลนด์ แต่ Lam ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การประมวลผลแผ่นเวเฟอร์ไปจนถึงการเดินสายภายในชิป ✅ รายได้และกำไรของ Lam Research ➡️ คาดรายได้ไตรมาสหน้า $5.20 พันล้าน (± $300 ล้าน) ➡️ สูงกว่าประมาณการนักวิเคราะห์ที่ $4.81 พันล้าน ➡️ กำไรต่อหุ้นคาด $1.15 (± $0.10) เทียบกับคาดการณ์ $1.04 ➡️ ไตรมาสก่อนหน้าทำรายได้ $5.32 พันล้าน และกำไรต่อหุ้น $1.26 ✅ ปัจจัยหนุนการเติบโต ➡️ ความต้องการชิป AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ บริษัทออกแบบชิปต้องการเครื่องมือผลิตที่แม่นยำ ➡️ ตลาด WFE เติบโตตามการขยายตัวของ AI และ HPC ➡️ Lam เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องมือหลักสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ตำแหน่งในตลาดและการแข่งขัน ➡️ แข่งขันกับ Analog Devices, Applied Materials และ ASML ➡️ Lam มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทั้ง wafer processing และ wiring ➡️ หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 2.2% หลังประกาศแนวโน้มรายได้ ➡️ ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2025 จากแรงหนุนของตลาด AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/lam-research-expects-upbeat-quarterly-revenue-on-demand-for-chipmaking-tools
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Lam Research expects upbeat quarterly revenue on demand for chipmaking tools
    (Reuters) -Lam Research forecast second-quarter revenue above Wall Street estimates on Wednesday, as chipmakers ordered more of its equipment used to manufacture semiconductors for artificial intelligence applications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Idealist.org ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน – เปลี่ยนจาก Heroku มาใช้เซิร์ฟเวอร์เดียวกับ Disco!”

    Idealist.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์หางานด้าน nonprofit ที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนต่อเดือน เคยใช้ Heroku สำหรับ staging environment โดยเสียค่าใช้จ่ายถึง $500 ต่อ environment และมีทั้งหมด 6 environment รวมแล้วจ่ายถึง $3,000 ต่อเดือน แค่เพื่อการทดสอบก่อนปล่อยจริง!

    ทีมงานจึงทดลองย้าย staging environment ไปยังเซิร์ฟเวอร์เดียวบน Hetzner ราคาเพียง $55 ต่อเดือน โดยใช้เครื่องมือชื่อว่า Disco ซึ่งช่วยให้ยังคง workflow แบบ “git push to deploy” ได้เหมือนเดิม

    Disco ไม่ใช่แค่ docker-compose ธรรมดา แต่ให้ฟีเจอร์แบบ PaaS เช่น deploy อัตโนมัติ, SSL certificate, UI สำหรับดู log และจัดการ environment ได้ง่าย ๆ ทำให้ทีมสามารถสร้าง staging ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตหรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย

    ผลลัพธ์คือจากเดิมที่มีแค่ 2 environment (dev และ main) ตอนนี้มีถึง 6 environment บนเซิร์ฟเวอร์เดียว โดยใช้ CPU แค่ ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB เท่านั้น

    แม้จะต้องจัดการ DNS, CDN และดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง แต่ทีมยอมรับได้ เพราะประหยัดงบมหาศาล และได้ความคล่องตัวในการพัฒนาเพิ่มขึ้น

    ปัญหาที่พบจากการใช้ Heroku
    ค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ต่อ staging environment
    ต้องจำกัดจำนวน environment เพราะงบประมาณ
    ระบบ staging กลายเป็นทรัพยากรที่หายากและต้องขออนุญาตก่อนใช้

    แนวทางใหม่ที่ใช้ Disco บนเซิร์ฟเวอร์เดียว
    ใช้ Hetzner CCX33 ราคา $55/เดือน
    ใช้ Disco เพื่อรักษา workflow แบบ git push to deploy
    แชร์ Postgres instance เดียวกันสำหรับ staging ทั้งหมด
    สร้าง environment ใหม่ได้ง่ายและรวดเร็ว
    ใช้ CPU ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB

    ฟีเจอร์ของ Disco ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย
    deploy อัตโนมัติแบบ zero-downtime
    SSL certificate อัตโนมัติสำหรับทุก branch
    UI สำหรับดู log และจัดการ environment
    ไม่ต้องเขียน automation เองเหมือนใช้ VPS แบบดิบ ๆ

    ผลลัพธ์ที่ได้
    ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน
    สร้าง staging ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาต
    เพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและทดสอบ
    เปลี่ยน mindset จาก “staging เป็นของแพง” เป็น “staging เป็นของฟรี”

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ต้องจัดการ DNS และ CDN ด้วยตัวเอง
    ต้องดูแลเรื่อง security และ monitoring ของเซิร์ฟเวอร์
    หากเซิร์ฟเวอร์ล่ม ต้อง reprovision ใหม่เอง
    ต้องปรับ networking ของแอปให้เข้ากับ Docker
    Disco ยังไม่เหมาะกับ workload ที่ต้อง redundancy สูง

    https://disco.cloud/blog/how-idealistorg-replaced-a-3000mo-heroku-bill-with-a-55mo-server/
    💸 “Idealist.org ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน – เปลี่ยนจาก Heroku มาใช้เซิร์ฟเวอร์เดียวกับ Disco!” Idealist.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์หางานด้าน nonprofit ที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนต่อเดือน เคยใช้ Heroku สำหรับ staging environment โดยเสียค่าใช้จ่ายถึง $500 ต่อ environment และมีทั้งหมด 6 environment รวมแล้วจ่ายถึง $3,000 ต่อเดือน แค่เพื่อการทดสอบก่อนปล่อยจริง! ทีมงานจึงทดลองย้าย staging environment ไปยังเซิร์ฟเวอร์เดียวบน Hetzner ราคาเพียง $55 ต่อเดือน โดยใช้เครื่องมือชื่อว่า Disco ซึ่งช่วยให้ยังคง workflow แบบ “git push to deploy” ได้เหมือนเดิม Disco ไม่ใช่แค่ docker-compose ธรรมดา แต่ให้ฟีเจอร์แบบ PaaS เช่น deploy อัตโนมัติ, SSL certificate, UI สำหรับดู log และจัดการ environment ได้ง่าย ๆ ทำให้ทีมสามารถสร้าง staging ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตหรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ผลลัพธ์คือจากเดิมที่มีแค่ 2 environment (dev และ main) ตอนนี้มีถึง 6 environment บนเซิร์ฟเวอร์เดียว โดยใช้ CPU แค่ ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB เท่านั้น แม้จะต้องจัดการ DNS, CDN และดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง แต่ทีมยอมรับได้ เพราะประหยัดงบมหาศาล และได้ความคล่องตัวในการพัฒนาเพิ่มขึ้น ✅ ปัญหาที่พบจากการใช้ Heroku ➡️ ค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ต่อ staging environment ➡️ ต้องจำกัดจำนวน environment เพราะงบประมาณ ➡️ ระบบ staging กลายเป็นทรัพยากรที่หายากและต้องขออนุญาตก่อนใช้ ✅ แนวทางใหม่ที่ใช้ Disco บนเซิร์ฟเวอร์เดียว ➡️ ใช้ Hetzner CCX33 ราคา $55/เดือน ➡️ ใช้ Disco เพื่อรักษา workflow แบบ git push to deploy ➡️ แชร์ Postgres instance เดียวกันสำหรับ staging ทั้งหมด ➡️ สร้าง environment ใหม่ได้ง่ายและรวดเร็ว ➡️ ใช้ CPU ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB ✅ ฟีเจอร์ของ Disco ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย ➡️ deploy อัตโนมัติแบบ zero-downtime ➡️ SSL certificate อัตโนมัติสำหรับทุก branch ➡️ UI สำหรับดู log และจัดการ environment ➡️ ไม่ต้องเขียน automation เองเหมือนใช้ VPS แบบดิบ ๆ ✅ ผลลัพธ์ที่ได้ ➡️ ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน ➡️ สร้าง staging ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาต ➡️ เพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและทดสอบ ➡️ เปลี่ยน mindset จาก “staging เป็นของแพง” เป็น “staging เป็นของฟรี” ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ต้องจัดการ DNS และ CDN ด้วยตัวเอง ⛔ ต้องดูแลเรื่อง security และ monitoring ของเซิร์ฟเวอร์ ⛔ หากเซิร์ฟเวอร์ล่ม ต้อง reprovision ใหม่เอง ⛔ ต้องปรับ networking ของแอปให้เข้ากับ Docker ⛔ Disco ยังไม่เหมาะกับ workload ที่ต้อง redundancy สูง https://disco.cloud/blog/how-idealistorg-replaced-a-3000mo-heroku-bill-with-a-55mo-server/
    DISCO.CLOUD
    How Idealist.org Replaced a $3,000/mo Heroku Bill with a $55/mo Server
    At Disco, we help teams escape expensive PaaS pricing while keeping the developer experience they love. This is the story of how Idealist.org, the world's largest nonprofit job board, tackled a common and expensive challenge: the rising cost of staging environments on Heroku. To give a sense of scale …
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Socket แฉแพ็กเกจ NuGet ปลอม ‘Netherеum.All’ – ขโมยคีย์กระเป๋าคริปโตผ่าน C2 ธีม Solana!”

    ทีมนักวิจัยจาก Socket พบแพ็กเกจอันตรายบน NuGet ที่ชื่อว่า Netherеum.All ซึ่งแอบอ้างเป็นไลบรารี Nethereum ของ .NET โดยใช้เทคนิค homoglyph typosquatting คือเปลี่ยนตัวอักษร “e” ให้เป็นตัวอักษรซีริลลิกที่หน้าตาเหมือนกัน (U+0435) เพื่อหลอกสายตานักพัฒนา

    แพ็กเกจนี้ถูกเผยแพร่ภายใต้ชื่อผู้ใช้ “nethereumgroup” และมีโครงสร้างเหมือนของจริงทุกประการ ทั้ง namespace, metadata และคำสั่งติดตั้ง ทำให้แม้แต่นักพัฒนาที่มีประสบการณ์ก็อาจตกเป็นเหยื่อได้

    เมื่อถูกติดตั้ง แพ็กเกจจะรันฟังก์ชันชื่อว่า Shuffle() ซึ่งใช้เทคนิค XOR masking เพื่อถอดรหัส URL สำหรับส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ C2 ที่ชื่อว่า solananetworkinstance[.]info/api/gads โดยข้อมูลที่ส่งออกไปมีชื่อฟิลด์ว่า message ซึ่งอาจเป็น mnemonic, private key, keystore JSON หรือแม้แต่ transaction ที่เซ็นแล้ว

    Socket ระบุว่าแพ็กเกจนี้ใช้เทคนิค download inflation เพื่อดันอันดับใน NuGet โดยสร้างยอดดาวน์โหลดปลอมให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยให้แพ็กเกจขึ้นอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา

    นอกจากนี้ยังพบว่าแพ็กเกจนี้มีความเชื่อมโยงกับแพ็กเกจอันตรายก่อนหน้าอย่าง NethereumNet ซึ่งใช้โค้ด exfiltration แบบเดียวกันและเชื่อมต่อกับ C2 เดียวกัน โดยเผยแพร่ภายใต้ชื่อผู้ใช้ “NethereumCsharp”

    Socket ยืนยันว่าแพ็กเกจเหล่านี้มี backdoor ฝังอยู่ในฟังก์ชันที่ดูเหมือน transaction helper ของจริง ทำให้การขโมยข้อมูลเกิดขึ้นแบบเงียบ ๆ ระหว่างการใช้งานปกติ

    รายละเอียดของแพ็กเกจปลอม
    ชื่อแพ็กเกจคือ Netherеum.All (ใช้ตัวอักษรซีริลลิก)
    แอบอ้างเป็นไลบรารี Nethereum ของ .NET
    เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ “nethereumgroup”
    ใช้เทคนิค homoglyph typosquatting และ download inflation
    โครงสร้างและ metadata เหมือนของจริงทุกประการ

    พฤติกรรมการขโมยข้อมูล
    รันฟังก์ชัน Shuffle() ที่ใช้ XOR mask ถอดรหัส URL
    ส่งข้อมูลไปยัง C2 solananetworkinstance[.]info/api/gads
    ฟิลด์ message อาจบรรจุ mnemonic, private key หรือ keystore
    ฝังอยู่ใน transaction helper ที่ดูเหมือนของจริง
    ทำงานเงียบ ๆ ระหว่างการใช้งานปกติ

    ความเชื่อมโยงกับแพ็กเกจอื่น
    มีความคล้ายกับแพ็กเกจ NethereumNet ที่ถูกลบไปแล้ว
    ใช้โค้ด exfiltration และ C2 เดียวกัน
    เผยแพร่โดยผู้ใช้ “NethereumCsharp”
    เป็นแคมเปญแบบ coordinated supply chain attack

    https://securityonline.info/socket-uncovers-malicious-nuget-typosquat-nether%d0%b5um-all-exfiltrating-wallet-keys-via-solana-themed-c2/
    🎯 “Socket แฉแพ็กเกจ NuGet ปลอม ‘Netherеum.All’ – ขโมยคีย์กระเป๋าคริปโตผ่าน C2 ธีม Solana!” ทีมนักวิจัยจาก Socket พบแพ็กเกจอันตรายบน NuGet ที่ชื่อว่า Netherеum.All ซึ่งแอบอ้างเป็นไลบรารี Nethereum ของ .NET โดยใช้เทคนิค homoglyph typosquatting คือเปลี่ยนตัวอักษร “e” ให้เป็นตัวอักษรซีริลลิกที่หน้าตาเหมือนกัน (U+0435) เพื่อหลอกสายตานักพัฒนา แพ็กเกจนี้ถูกเผยแพร่ภายใต้ชื่อผู้ใช้ “nethereumgroup” และมีโครงสร้างเหมือนของจริงทุกประการ ทั้ง namespace, metadata และคำสั่งติดตั้ง ทำให้แม้แต่นักพัฒนาที่มีประสบการณ์ก็อาจตกเป็นเหยื่อได้ เมื่อถูกติดตั้ง แพ็กเกจจะรันฟังก์ชันชื่อว่า Shuffle() ซึ่งใช้เทคนิค XOR masking เพื่อถอดรหัส URL สำหรับส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ C2 ที่ชื่อว่า solananetworkinstance[.]info/api/gads โดยข้อมูลที่ส่งออกไปมีชื่อฟิลด์ว่า message ซึ่งอาจเป็น mnemonic, private key, keystore JSON หรือแม้แต่ transaction ที่เซ็นแล้ว Socket ระบุว่าแพ็กเกจนี้ใช้เทคนิค download inflation เพื่อดันอันดับใน NuGet โดยสร้างยอดดาวน์โหลดปลอมให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยให้แพ็กเกจขึ้นอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา นอกจากนี้ยังพบว่าแพ็กเกจนี้มีความเชื่อมโยงกับแพ็กเกจอันตรายก่อนหน้าอย่าง NethereumNet ซึ่งใช้โค้ด exfiltration แบบเดียวกันและเชื่อมต่อกับ C2 เดียวกัน โดยเผยแพร่ภายใต้ชื่อผู้ใช้ “NethereumCsharp” Socket ยืนยันว่าแพ็กเกจเหล่านี้มี backdoor ฝังอยู่ในฟังก์ชันที่ดูเหมือน transaction helper ของจริง ทำให้การขโมยข้อมูลเกิดขึ้นแบบเงียบ ๆ ระหว่างการใช้งานปกติ ✅ รายละเอียดของแพ็กเกจปลอม ➡️ ชื่อแพ็กเกจคือ Netherеum.All (ใช้ตัวอักษรซีริลลิก) ➡️ แอบอ้างเป็นไลบรารี Nethereum ของ .NET ➡️ เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ “nethereumgroup” ➡️ ใช้เทคนิค homoglyph typosquatting และ download inflation ➡️ โครงสร้างและ metadata เหมือนของจริงทุกประการ ✅ พฤติกรรมการขโมยข้อมูล ➡️ รันฟังก์ชัน Shuffle() ที่ใช้ XOR mask ถอดรหัส URL ➡️ ส่งข้อมูลไปยัง C2 solananetworkinstance[.]info/api/gads ➡️ ฟิลด์ message อาจบรรจุ mnemonic, private key หรือ keystore ➡️ ฝังอยู่ใน transaction helper ที่ดูเหมือนของจริง ➡️ ทำงานเงียบ ๆ ระหว่างการใช้งานปกติ ✅ ความเชื่อมโยงกับแพ็กเกจอื่น ➡️ มีความคล้ายกับแพ็กเกจ NethereumNet ที่ถูกลบไปแล้ว ➡️ ใช้โค้ด exfiltration และ C2 เดียวกัน ➡️ เผยแพร่โดยผู้ใช้ “NethereumCsharp” ➡️ เป็นแคมเปญแบบ coordinated supply chain attack https://securityonline.info/socket-uncovers-malicious-nuget-typosquat-nether%d0%b5um-all-exfiltrating-wallet-keys-via-solana-themed-c2/
    SECURITYONLINE.INFO
    Socket Uncovers Malicious NuGet Typosquat “Netherеum.All” Exfiltrating Wallet Keys via Solana-Themed C2
    A NuGet typosquat named Netherеum.All used a Cyrillic homoglyph to fool 11M+ downloads. The malicious package injected an XOR-decoded backdoor to steal crypto wallet and private key data.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์จีนใช้คีย์ ASP.NET ที่หลุด – ฝัง TOLLBOOTH Backdoor และ Rootkit บน IIS Server ทั่วโลก!”

    Elastic Security Labs และ Texas A&M University System Cybersecurity เผยการค้นพบแคมเปญโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาจีน ซึ่งใช้คีย์ ASP.NET ที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในการเจาะระบบ Microsoft IIS Server ที่ตั้งค่าผิดพลาด

    แฮกเกอร์ใช้คีย์ machineKey ที่หลุดจากเอกสาร Microsoft และ StackOverflow เพื่อสร้าง payload ที่สามารถ deserialization ผ่าน ViewState ได้ ทำให้สามารถรันคำสั่งบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    หลังจากเจาะระบบได้แล้ว พวกเขาจะติดตั้ง backdoor ชื่อว่า TOLLBOOTH ซึ่งเป็น IIS module ที่มีความสามารถทั้ง SEO cloaking, webshell, และ command execution โดยมี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน hack123456!

    TOLLBOOTH ยังสามารถแยกแยะระหว่าง bot ของ search engine กับผู้ใช้จริง เพื่อแสดงเนื้อหาหลอกลวงให้ bot เห็น (เพื่อดัน SEO) และ redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อันตราย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า link farm network

    หากวิธีฝัง backdoor ล้มเหลว แฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือ Remote Monitoring & Management (RMM) ชื่อ GotoHTTP เพื่อควบคุมเครื่องผ่านเบราว์เซอร์โดยตรง

    นอกจากนี้ยังพบ rootkit ระดับ kernel ที่ชื่อว่า HIDDENDRIVER ซึ่งดัดแปลงจากโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อ “Hidden” โดยใช้เทคนิค DKOM (Direct Kernel Object Manipulation) เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry key จากเครื่องมือวิเคราะห์ระบบ

    การโจมตีนี้ถูกจัดกลุ่มเป็น REF3927 และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับแคมเปญที่ Microsoft และ AhnLab เคยรายงานมาก่อน โดยมีเป้าหมายเป็นเซิร์ฟเวอร์ IIS กว่า 571 เครื่องทั่วโลก ยกเว้นในประเทศจีน ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มแฮกเกอร์จีนที่มักหลีกเลี่ยงการโจมตีภายในประเทศตัวเอง

    วิธีการโจมตี
    ใช้คีย์ ASP.NET machineKey ที่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ
    สร้าง ViewState payload เพื่อรันคำสั่งบน IIS Server
    ติดตั้ง TOLLBOOTH IIS module เป็น backdoor
    ใช้ GotoHTTP หากฝัง backdoor ไม่สำเร็จ
    ติดตั้ง rootkit HIDDENDRIVER เพื่อซ่อนการทำงาน

    ความสามารถของ TOLLBOOTH
    มี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน
    รองรับการอัปโหลดไฟล์และรันคำสั่ง
    มี endpoint สำหรับ health check, debug และ clean
    มี SEO cloaking engine เพื่อหลอก bot และ redirect ผู้ใช้
    ใช้ JSON config จากเซิร์ฟเวอร์ควบคุม

    ความสามารถของ HIDDENDRIVER
    ใช้เทคนิค DKOM เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry
    มี companion app ชื่อ HIDDENCLI เขียนด้วยภาษาจีน
    ปรับปรุงจากโปรเจกต์ “Hidden” ด้วยฟีเจอร์ AMSI bypass และ whitelist process
    ซ่อนตัวจากเครื่องมืออย่าง Process Explorer ได้

    ขอบเขตของการโจมตี
    พบการติดเชื้อใน IIS Server อย่างน้อย 571 เครื่อง
    ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน โลจิสติกส์ การศึกษา
    ไม่มีเหยื่อในประเทศจีน – สะท้อนการใช้ geofencing
    พบการติดตั้งซ้ำในหลายองค์กร แสดงว่าปัญหายังไม่ถูกแก้ที่ต้นเหตุ

    https://securityonline.info/chinese-hackers-exploit-exposed-asp-net-keys-to-deploy-tollbooth-iis-backdoor-and-kernel-rootkit/
    🕳️ “แฮกเกอร์จีนใช้คีย์ ASP.NET ที่หลุด – ฝัง TOLLBOOTH Backdoor และ Rootkit บน IIS Server ทั่วโลก!” Elastic Security Labs และ Texas A&M University System Cybersecurity เผยการค้นพบแคมเปญโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาจีน ซึ่งใช้คีย์ ASP.NET ที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในการเจาะระบบ Microsoft IIS Server ที่ตั้งค่าผิดพลาด แฮกเกอร์ใช้คีย์ machineKey ที่หลุดจากเอกสาร Microsoft และ StackOverflow เพื่อสร้าง payload ที่สามารถ deserialization ผ่าน ViewState ได้ ทำให้สามารถรันคำสั่งบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน หลังจากเจาะระบบได้แล้ว พวกเขาจะติดตั้ง backdoor ชื่อว่า TOLLBOOTH ซึ่งเป็น IIS module ที่มีความสามารถทั้ง SEO cloaking, webshell, และ command execution โดยมี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน hack123456! TOLLBOOTH ยังสามารถแยกแยะระหว่าง bot ของ search engine กับผู้ใช้จริง เพื่อแสดงเนื้อหาหลอกลวงให้ bot เห็น (เพื่อดัน SEO) และ redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อันตราย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า link farm network หากวิธีฝัง backdoor ล้มเหลว แฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือ Remote Monitoring & Management (RMM) ชื่อ GotoHTTP เพื่อควบคุมเครื่องผ่านเบราว์เซอร์โดยตรง นอกจากนี้ยังพบ rootkit ระดับ kernel ที่ชื่อว่า HIDDENDRIVER ซึ่งดัดแปลงจากโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อ “Hidden” โดยใช้เทคนิค DKOM (Direct Kernel Object Manipulation) เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry key จากเครื่องมือวิเคราะห์ระบบ การโจมตีนี้ถูกจัดกลุ่มเป็น REF3927 และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับแคมเปญที่ Microsoft และ AhnLab เคยรายงานมาก่อน โดยมีเป้าหมายเป็นเซิร์ฟเวอร์ IIS กว่า 571 เครื่องทั่วโลก ยกเว้นในประเทศจีน ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มแฮกเกอร์จีนที่มักหลีกเลี่ยงการโจมตีภายในประเทศตัวเอง ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้คีย์ ASP.NET machineKey ที่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ ➡️ สร้าง ViewState payload เพื่อรันคำสั่งบน IIS Server ➡️ ติดตั้ง TOLLBOOTH IIS module เป็น backdoor ➡️ ใช้ GotoHTTP หากฝัง backdoor ไม่สำเร็จ ➡️ ติดตั้ง rootkit HIDDENDRIVER เพื่อซ่อนการทำงาน ✅ ความสามารถของ TOLLBOOTH ➡️ มี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน ➡️ รองรับการอัปโหลดไฟล์และรันคำสั่ง ➡️ มี endpoint สำหรับ health check, debug และ clean ➡️ มี SEO cloaking engine เพื่อหลอก bot และ redirect ผู้ใช้ ➡️ ใช้ JSON config จากเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ✅ ความสามารถของ HIDDENDRIVER ➡️ ใช้เทคนิค DKOM เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry ➡️ มี companion app ชื่อ HIDDENCLI เขียนด้วยภาษาจีน ➡️ ปรับปรุงจากโปรเจกต์ “Hidden” ด้วยฟีเจอร์ AMSI bypass และ whitelist process ➡️ ซ่อนตัวจากเครื่องมืออย่าง Process Explorer ได้ ✅ ขอบเขตของการโจมตี ➡️ พบการติดเชื้อใน IIS Server อย่างน้อย 571 เครื่อง ➡️ ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน โลจิสติกส์ การศึกษา ➡️ ไม่มีเหยื่อในประเทศจีน – สะท้อนการใช้ geofencing ➡️ พบการติดตั้งซ้ำในหลายองค์กร แสดงว่าปัญหายังไม่ถูกแก้ที่ต้นเหตุ https://securityonline.info/chinese-hackers-exploit-exposed-asp-net-keys-to-deploy-tollbooth-iis-backdoor-and-kernel-rootkit/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chinese Hackers Exploit Exposed ASP.NET Keys to Deploy TOLLBOOTH IIS Backdoor and Kernel Rootkit
    Elastic exposed Chinese threat actors exploiting public ASP.NET machine keys to deploy TOLLBOOTH IIS backdoor and HIDDENDRIVER kernel rootkit. The malware performs stealthy SEO cloaking.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • He is now meant to be in charge of Gaza. Do you still not see the link between Digital ID at home & the industrial slaughter required to achieve Greater Israel abroad?

    Grater Israel was the real reason for Covid. That is why the US military ran it (on behalf of Mossad). The Digital ID is meant to punish those who protest against the violence. The war in Ukraine was meant to tie down Russia & prevent it coming to the side of the slaughtered populations where Israel is meant to expand. BlackRock, Palantir, all headed by Greater Israel advocates.

    That is why the US Military ran Operation Warp Speed, that is why Israel was the first country to embrace Pfizer injections, it was all part of the Greater Israel plan.

    They have been working at this since 1948. It was/ is all meant to come to fruition with Digital ID.

    https://x.com/robinmonotti/status/1974786611532460445

    ROBINMG
    He is now meant to be in charge of Gaza. Do you still not see the link between Digital ID at home & the industrial slaughter required to achieve Greater Israel abroad? Grater Israel was the real reason for Covid. That is why the US military ran it (on behalf of Mossad). The Digital ID is meant to punish those who protest against the violence. The war in Ukraine was meant to tie down Russia & prevent it coming to the side of the slaughtered populations where Israel is meant to expand. BlackRock, Palantir, all headed by Greater Israel advocates. That is why the US Military ran Operation Warp Speed, that is why Israel was the first country to embrace Pfizer injections, it was all part of the Greater Israel plan. They have been working at this since 1948. It was/ is all meant to come to fruition with Digital ID. https://x.com/robinmonotti/status/1974786611532460445 📱 ROBINMG
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GitLab ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ Runner Hijacking (CVE-2025-11702) และ DoS หลายรายการ – เสี่ยงโดนแฮก CI/CD Pipeline”

    GitLab ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 18.5.1, 18.4.3 และ 18.3.5 สำหรับทั้ง Community Edition (CE) และ Enterprise Edition (EE) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-11702 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับสูง (CVSS 8.5) ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สามารถ “แฮกรันเนอร์” จากโปรเจกต์อื่นใน GitLab instance เดียวกันได้

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการควบคุมสิทธิ์ใน API ของ runner ที่ไม่รัดกุม ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุม runner ที่ใช้ในการ build และ deploy ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมย secrets, การ inject โค้ดอันตราย หรือการควบคุม pipeline ทั้งระบบ

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ DoS อีก 3 รายการที่เปิดให้ผู้ใช้ที่ไม่ได้รับการยืนยันตัวตนสามารถโจมตีระบบให้ล่มได้ เช่น การส่ง payload พิเศษผ่าน event collector, การใช้ GraphQL ร่วมกับ JSON ที่ผิดรูปแบบ และการอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ไปยัง endpoint เฉพาะ

    GitLab ยังแก้ไขช่องโหว่อื่น ๆ เช่น การอนุญาต pipeline โดยไม่ได้รับสิทธิ์ (CVE-2025-11971) และการขอเข้าร่วมโปรเจกต์ผ่าน workflow ที่ผิดพลาด (CVE-2025-6601)

    ช่องโหว่หลักที่ถูกแก้ไข
    CVE-2025-11702 – Runner Hijacking ผ่าน API (CVSS 8.5)
    CVE-2025-10497 – DoS ผ่าน event collector (CVSS 7.5)
    CVE-2025-11447 – DoS ผ่าน GraphQL JSON validation (CVSS 7.5)
    CVE-2025-11974 – DoS ผ่านการอัปโหลดไฟล์ใหญ่ (CVSS 6.5)
    CVE-2025-11971 – Trigger pipeline โดยไม่ได้รับอนุญาต
    CVE-2025-6601 – Workflow error ทำให้เข้าถึงโปรเจกต์โดยไม่ได้รับอนุญาต

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    GitLab CE/EE ตั้งแต่ 11.0 ถึงก่อน 18.3.5
    เวอร์ชัน 18.4 ก่อน 18.4.3 และ 18.5 ก่อน 18.5.1
    ผู้ใช้ควรอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที

    ความเสี่ยงต่อระบบ CI/CD
    ผู้โจมตีสามารถควบคุม runner และ pipeline ได้
    อาจขโมย secrets หรือ inject โค้ดอันตราย
    DoS ทำให้ระบบไม่สามารถให้บริการได้
    ส่งผลต่อความต่อเนื่องและความปลอดภัยของการ deploy

    https://securityonline.info/gitlab-patches-high-runner-hijacking-flaw-cve-2025-11702-and-multiple-dos-vulnerabilities/
    🛠️ “GitLab ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ Runner Hijacking (CVE-2025-11702) และ DoS หลายรายการ – เสี่ยงโดนแฮก CI/CD Pipeline” GitLab ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 18.5.1, 18.4.3 และ 18.3.5 สำหรับทั้ง Community Edition (CE) และ Enterprise Edition (EE) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-11702 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับสูง (CVSS 8.5) ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สามารถ “แฮกรันเนอร์” จากโปรเจกต์อื่นใน GitLab instance เดียวกันได้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการควบคุมสิทธิ์ใน API ของ runner ที่ไม่รัดกุม ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุม runner ที่ใช้ในการ build และ deploy ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมย secrets, การ inject โค้ดอันตราย หรือการควบคุม pipeline ทั้งระบบ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ DoS อีก 3 รายการที่เปิดให้ผู้ใช้ที่ไม่ได้รับการยืนยันตัวตนสามารถโจมตีระบบให้ล่มได้ เช่น การส่ง payload พิเศษผ่าน event collector, การใช้ GraphQL ร่วมกับ JSON ที่ผิดรูปแบบ และการอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ไปยัง endpoint เฉพาะ GitLab ยังแก้ไขช่องโหว่อื่น ๆ เช่น การอนุญาต pipeline โดยไม่ได้รับสิทธิ์ (CVE-2025-11971) และการขอเข้าร่วมโปรเจกต์ผ่าน workflow ที่ผิดพลาด (CVE-2025-6601) ✅ ช่องโหว่หลักที่ถูกแก้ไข ➡️ CVE-2025-11702 – Runner Hijacking ผ่าน API (CVSS 8.5) ➡️ CVE-2025-10497 – DoS ผ่าน event collector (CVSS 7.5) ➡️ CVE-2025-11447 – DoS ผ่าน GraphQL JSON validation (CVSS 7.5) ➡️ CVE-2025-11974 – DoS ผ่านการอัปโหลดไฟล์ใหญ่ (CVSS 6.5) ➡️ CVE-2025-11971 – Trigger pipeline โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ CVE-2025-6601 – Workflow error ทำให้เข้าถึงโปรเจกต์โดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ GitLab CE/EE ตั้งแต่ 11.0 ถึงก่อน 18.3.5 ➡️ เวอร์ชัน 18.4 ก่อน 18.4.3 และ 18.5 ก่อน 18.5.1 ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที ✅ ความเสี่ยงต่อระบบ CI/CD ➡️ ผู้โจมตีสามารถควบคุม runner และ pipeline ได้ ➡️ อาจขโมย secrets หรือ inject โค้ดอันตราย ➡️ DoS ทำให้ระบบไม่สามารถให้บริการได้ ➡️ ส่งผลต่อความต่อเนื่องและความปลอดภัยของการ deploy https://securityonline.info/gitlab-patches-high-runner-hijacking-flaw-cve-2025-11702-and-multiple-dos-vulnerabilities/
    SECURITYONLINE.INFO
    GitLab Patches High Runner Hijacking Flaw (CVE-2025-11702) and Multiple DoS Vulnerabilities
    GitLab patched a critical runner hijacking flaw (CVE-2025-11702) allowing authenticated users to compromise CI/CD pipelines, plus three unauthenticated DoS vulnerabilities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Xbox รุ่นใหม่จะเป็น ‘ประสบการณ์พรีเมียม’ – Microsoft อาจกำลังเปลี่ยนคอนโซลให้กลายเป็นพีซีเต็มตัว!”

    Sarah Bond ประธาน Xbox ให้สัมภาษณ์กับ Mashable ว่าเครื่อง Xbox รุ่นถัดไปจะเป็น “ประสบการณ์ที่คัดสรรมาอย่างดี ระดับพรีเมียมและไฮเอนด์” ซึ่งเป็นคำพูดที่จุดกระแสข่าวลือว่า Microsoft อาจกำลังพัฒนา Xbox รุ่นใหม่ให้กลายเป็นลูกผสมระหว่างคอนโซลกับพีซี

    คำใบ้สำคัญคือ ROG Xbox Ally ซึ่งเป็นเครื่องเกมพกพาที่รัน Windows ได้เต็มรูปแบบ แม้จะผลิตโดย ASUS แต่ Sarah ยืนยันว่า “นี่คือ Xbox เครื่องแรกแบบ handheld” และเป็นตัวอย่างของทิศทางในอนาคตของ Xbox ที่จะเปิดกว้างมากขึ้น

    Sarah ยังเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า “Windows คือแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งของเกม” ซึ่งหาก Xbox รุ่นใหม่รัน Windows จริง ก็อาจหมายถึงการเข้าถึงร้านค้าเกมอย่าง Steam, Epic Games Store หรือแม้แต่ Battle.net ได้โดยตรง

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Microsoft อาจกำลังเปลี่ยนแนวทางจากคอนโซลราคาประหยัดอย่าง Xbox Series S ไปสู่เครื่องที่มีราคาสูงระดับพีซีระดับกลาง (ประมาณ $1000) เพื่อดึงดูดผู้เล่นสายพีซีที่ต้องการประสบการณ์ที่ “เรียบง่ายแต่ทรงพลัง” แบบคอนโซล

    อย่างไรก็ตาม ทิศทางใหม่นี้อาจทำให้แฟน Xbox ดั้งเดิมรู้สึกถูกทอดทิ้ง เพราะไม่มีรุ่นราคาประหยัดให้เลือกอีกต่อไป ขณะเดียวกัน Microsoft ก็เพิ่งขึ้นราคาทั้ง Game Pass และ dev kits ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของ Xbox ในช่วงหลังดูไม่ค่อยสดใสนัก

    ทิศทางใหม่ของ Xbox
    Sarah Bond ยืนยันว่า Xbox รุ่นถัดไปจะเป็น “พรีเมียมและไฮเอนด์”
    อาจรัน Windows เต็มรูปแบบเพื่อเข้าถึงหลาย storefronts
    ROG Xbox Ally ถูกมองว่าเป็นต้นแบบของ Xbox ยุคใหม่
    Microsoft ต้องการให้ Xbox เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น
    อาจเปลี่ยนจากคอนโซลเป็นอุปกรณ์ลูกผสม PC-console

    ผลกระทบต่อผู้เล่น
    ผู้เล่นสายพีซีอาจสนใจ Xbox มากขึ้น
    การเข้าถึง Steam และร้านค้าอื่น ๆ จะเพิ่มความยืดหยุ่น
    ประสบการณ์แบบ “curated” อาจหมายถึง UI ใหม่ที่เรียบง่าย
    ราคาของเครื่องอาจสูงขึ้นใกล้เคียงพีซีระดับกลาง
    Xbox อาจกลายเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับทั้งเกมเมอร์ทั่วไปและสายเทคนิค

    https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/next-gen-xbox-will-be-very-premium-high-end-experience-says-xbox-president-stoking-pc-console-hybrid-speculation
    🎮 “Xbox รุ่นใหม่จะเป็น ‘ประสบการณ์พรีเมียม’ – Microsoft อาจกำลังเปลี่ยนคอนโซลให้กลายเป็นพีซีเต็มตัว!” Sarah Bond ประธาน Xbox ให้สัมภาษณ์กับ Mashable ว่าเครื่อง Xbox รุ่นถัดไปจะเป็น “ประสบการณ์ที่คัดสรรมาอย่างดี ระดับพรีเมียมและไฮเอนด์” ซึ่งเป็นคำพูดที่จุดกระแสข่าวลือว่า Microsoft อาจกำลังพัฒนา Xbox รุ่นใหม่ให้กลายเป็นลูกผสมระหว่างคอนโซลกับพีซี คำใบ้สำคัญคือ ROG Xbox Ally ซึ่งเป็นเครื่องเกมพกพาที่รัน Windows ได้เต็มรูปแบบ แม้จะผลิตโดย ASUS แต่ Sarah ยืนยันว่า “นี่คือ Xbox เครื่องแรกแบบ handheld” และเป็นตัวอย่างของทิศทางในอนาคตของ Xbox ที่จะเปิดกว้างมากขึ้น Sarah ยังเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า “Windows คือแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งของเกม” ซึ่งหาก Xbox รุ่นใหม่รัน Windows จริง ก็อาจหมายถึงการเข้าถึงร้านค้าเกมอย่าง Steam, Epic Games Store หรือแม้แต่ Battle.net ได้โดยตรง สิ่งที่น่าสนใจคือ Microsoft อาจกำลังเปลี่ยนแนวทางจากคอนโซลราคาประหยัดอย่าง Xbox Series S ไปสู่เครื่องที่มีราคาสูงระดับพีซีระดับกลาง (ประมาณ $1000) เพื่อดึงดูดผู้เล่นสายพีซีที่ต้องการประสบการณ์ที่ “เรียบง่ายแต่ทรงพลัง” แบบคอนโซล อย่างไรก็ตาม ทิศทางใหม่นี้อาจทำให้แฟน Xbox ดั้งเดิมรู้สึกถูกทอดทิ้ง เพราะไม่มีรุ่นราคาประหยัดให้เลือกอีกต่อไป ขณะเดียวกัน Microsoft ก็เพิ่งขึ้นราคาทั้ง Game Pass และ dev kits ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของ Xbox ในช่วงหลังดูไม่ค่อยสดใสนัก ✅ ทิศทางใหม่ของ Xbox ➡️ Sarah Bond ยืนยันว่า Xbox รุ่นถัดไปจะเป็น “พรีเมียมและไฮเอนด์” ➡️ อาจรัน Windows เต็มรูปแบบเพื่อเข้าถึงหลาย storefronts ➡️ ROG Xbox Ally ถูกมองว่าเป็นต้นแบบของ Xbox ยุคใหม่ ➡️ Microsoft ต้องการให้ Xbox เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น ➡️ อาจเปลี่ยนจากคอนโซลเป็นอุปกรณ์ลูกผสม PC-console ✅ ผลกระทบต่อผู้เล่น ➡️ ผู้เล่นสายพีซีอาจสนใจ Xbox มากขึ้น ➡️ การเข้าถึง Steam และร้านค้าอื่น ๆ จะเพิ่มความยืดหยุ่น ➡️ ประสบการณ์แบบ “curated” อาจหมายถึง UI ใหม่ที่เรียบง่าย ➡️ ราคาของเครื่องอาจสูงขึ้นใกล้เคียงพีซีระดับกลาง ➡️ Xbox อาจกลายเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับทั้งเกมเมอร์ทั่วไปและสายเทคนิค https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/next-gen-xbox-will-be-very-premium-high-end-experience-says-xbox-president-stoking-pc-console-hybrid-speculation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://telegra.ph/title-Unlocking-Success-The-Insiders-Guide-to-Buying-Naver-Accounts-03-22
    https://telegra.ph/title-Unlocking-Success-The-Insiders-Guide-to-Buying-Naver-Accounts-03-22
    TELEGRA.PH
    title: Unlocking Success: The Insider's Guide to Buying Naver Accounts
    description: Looking to unlock success with Naver Accounts? Discover the insider's guide to buying them in this detailed article. Unlocking Success: The Insider's Guide to Buying Naver Accounts In today's digital world, having a strong online presence is essential for any business looking to succeed. One platform that is gaining popularity, especially in South Korea, is Naver. With over 70% of the search engine market share in the country, Naver is a valuable tool for businesses looking to reach their target…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!”

    ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ

    บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง

    อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens

    ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง

    นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้

    นวัตกรรมจาก Amies Technologies
    เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP
    ระบบ laser annealing และ wafer inspection
    ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก

    นวัตกรรมจาก SiCarrier
    ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด
    เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30%
    ลดเวลา hardware development 40%
    มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน
    ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง

    วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology
    photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster
    สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm
    แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว
    มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ
    รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย

    อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight
    ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz
    ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้
    เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    🇨🇳 “จีนโชว์นวัตกรรมชิปครั้งใหญ่ – เปิดตัวเครื่อง Lithography, EDA และวัสดุ EUV ฝีมือคนจีนล้วน!” ในงาน WeSemiBay Semiconductor Ecosystem Expo ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน บริษัทจีนหลายแห่งได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ด้านการผลิตชิปที่น่าทึ่งมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันความสามารถในการผลิตชิปแบบพึ่งพาตนเองให้ได้เต็มรูปแบบ บริษัท Amies Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SMEE (Shanghai Micro Electronics Equipment) ได้เปิดตัวเครื่อง Lithography สำหรับสารกึ่งตัวนำแบบ compound เช่น GaAs, GaN และ InP รวมถึงระบบ laser annealing และเครื่องตรวจสอบ wafer ขั้นสูง โดย Amies เพิ่งก่อตั้งเมื่อต้นปี 2025 แต่สามารถส่งมอบเครื่อง Lithography ไปแล้วกว่า 500 เครื่อง อีกด้านหนึ่ง SiCarrier ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Huawei และรัฐบาลจีน ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA tools) ที่พัฒนาเองทั้งหมด โดยอ้างว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบได้ถึง 30% และลดเวลาในการพัฒนา hardware ลง 40% เมื่อเทียบกับเครื่องมือจาก Cadence, Synopsys และ Siemens ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ Skyverse Technology ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SiCarrier ได้เปิดตัววัสดุ photoresist ที่สามารถใช้กับ EUV lithography ได้ แม้จีนจะยังไม่มีเครื่อง EUV จาก ASML ก็ตาม โดยวัสดุนี้ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster และสามารถสร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ได้ ซึ่งใกล้เคียงกับวัสดุจาก JSR ที่ใช้ในระบบ EUV จริง นอกจากนี้ Long Sight ซึ่งเป็นอีกบริษัทลูกของ SiCarrier ก็เปิดตัวออสซิลโลสโคปแบบ real-time ที่ทำงานได้ถึง 90GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าของจีนถึง 5 เท่า และสามารถใช้วิเคราะห์สัญญาณในชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ✅ นวัตกรรมจาก Amies Technologies ➡️ เครื่อง Lithography สำหรับ GaAs, GaN, InP ➡️ ระบบ laser annealing และ wafer inspection ➡️ ส่งมอบเครื่องไปแล้วกว่า 500 เครื่องในปีแรก ✅ นวัตกรรมจาก SiCarrier ➡️ ซอฟต์แวร์ EDA พัฒนาเองทั้งหมด ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ 30% ➡️ ลดเวลา hardware development 40% ➡️ มีวิศวกรใช้งานแล้วกว่า 20,000 คน ➡️ ความสามารถด้าน EDA ยังต่ำกว่า 10% ของการพึ่งพาตนเอง ✅ วัสดุ EUV จาก Skyverse Technology ➡️ photoresist ใช้เคมี tin-oxide metal-cluster ➡️ สร้างลวดลายระดับ 3nm–50nm ➡️ แม้ไม่มีเครื่อง EUV แต่วัสดุพร้อมแล้ว ➡️ มีการจดสิทธิบัตรหลายฉบับ ➡️ รายชื่อผู้คิดค้นส่วนใหญ่ไม่เปิดเผย ✅ อุปกรณ์วิเคราะห์จาก Long Sight ➡️ ออสซิลโลสโคป real-time 90GHz ➡️ ใช้กับชิประดับ 3nm และ 5nm ได้ ➡️ เหมาะกับโรงงาน SMIC และ Huawei ในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-companies-unveil-a-swathe-of-breakthrough-chipmaking-innovations-at-tradeshow-chipmaking-lithography-tools-software-design-tools-and-resists-all-on-display-as-the-nation-pursues-self-sufficiency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Starlink จับมือ Muon เปิดตัว ‘เลเซอร์อวกาศ’ เชื่อมดาวเทียมแบบเรียลไทม์ – ส่งข้อมูลเร็วถึง 25Gbps ไกล 4,000 กม.”

    Muon Space บริษัทด้านเทคโนโลยีดาวเทียม ประกาศความร่วมมือกับ Starlink ของ SpaceX เพื่อสร้างระบบเชื่อมต่อข้อมูลแบบใหม่ในอวกาศ โดยใช้ “เลเซอร์อวกาศ” เชื่อมโยงดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink โดยตรง ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้ดาวเทียมบินผ่านสถานีภาคพื้นอีกต่อไป

    ระบบใหม่นี้จะใช้ Starlink Mini Laser Terminals ที่ติดตั้งบนแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 25Gbps และครอบคลุมระยะทางไกลถึง 4,000 กิโลเมตร โดย Muon ระบุว่า latency จากเดิมที่เฉลี่ย 20 นาที จะลดลงเหลือ “เกือบเรียลไทม์”

    หนึ่งในภารกิจแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือ FireSat ซึ่งเป็นโครงการร่วมกับ Earth Fire Alliance เพื่อเฝ้าระวังไฟป่าแบบทันที โดยดาวเทียมจะสามารถแจ้งเตือนการเกิดไฟใหม่ได้ทันที ช่วยลดโอกาสที่ไฟจะลุกลามเป็นภัยพิบัติขนาดใหญ่

    นอกจากนี้ Muon ยังเผยว่าเทคโนโลยีนี้จะเปิดทางให้เกิด “Data center-class pipelines” ในอวกาศ เช่น การประมวลผล edge computing, AI inference และการสร้างผลิตภัณฑ์ข้อมูลแบบทันทีจากอวกาศ

    ระบบนี้ยังมีความปลอดภัยสูง โดยใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และการยืนยันตัวตนด้วยฮาร์ดแวร์ พร้อม uptime สูงถึง 99% แม้จะมีการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียม

    ความร่วมมือระหว่าง Muon และ Starlink
    ใช้ Starlink Mini Laser Terminals เชื่อมดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink
    ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 25Gbps และไกลถึง 4,000 กม.
    ลด latency จาก 20 นาที เหลือเกือบเรียลไทม์
    ใช้กับแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon
    เตรียมเปิดตัวดาวเทียมรุ่นแรกใน Q1 ปี 2027

    ภารกิจและการใช้งาน
    FireSat ใช้เลเซอร์อวกาศแจ้งเตือนไฟป่าแบบทันที
    ช่วยลดโอกาสเกิดไฟป่าขนาดใหญ่
    รองรับการประมวลผล edge computing และ AI inference ในอวกาศ
    สร้างระบบข้อมูลแบบ real-time จากอวกาศสู่โลก

    ความปลอดภัยและความเสถียร
    ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และ hardware authentication
    ออกแบบให้มี uptime สูงถึง 99%
    รองรับการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียมแบบไร้รอยต่อ

    https://www.tomshardware.com/networking/starlink-and-muon-fuse-space-lasers-and-satellites-to-deliver-industry-first-persistent-optical-connectivity-in-orbit-will-enable-25-gbps-data-transfer-at-distances-up-to-4-000km
    🚀 “Starlink จับมือ Muon เปิดตัว ‘เลเซอร์อวกาศ’ เชื่อมดาวเทียมแบบเรียลไทม์ – ส่งข้อมูลเร็วถึง 25Gbps ไกล 4,000 กม.” Muon Space บริษัทด้านเทคโนโลยีดาวเทียม ประกาศความร่วมมือกับ Starlink ของ SpaceX เพื่อสร้างระบบเชื่อมต่อข้อมูลแบบใหม่ในอวกาศ โดยใช้ “เลเซอร์อวกาศ” เชื่อมโยงดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink โดยตรง ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้ดาวเทียมบินผ่านสถานีภาคพื้นอีกต่อไป ระบบใหม่นี้จะใช้ Starlink Mini Laser Terminals ที่ติดตั้งบนแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 25Gbps และครอบคลุมระยะทางไกลถึง 4,000 กิโลเมตร โดย Muon ระบุว่า latency จากเดิมที่เฉลี่ย 20 นาที จะลดลงเหลือ “เกือบเรียลไทม์” หนึ่งในภารกิจแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือ FireSat ซึ่งเป็นโครงการร่วมกับ Earth Fire Alliance เพื่อเฝ้าระวังไฟป่าแบบทันที โดยดาวเทียมจะสามารถแจ้งเตือนการเกิดไฟใหม่ได้ทันที ช่วยลดโอกาสที่ไฟจะลุกลามเป็นภัยพิบัติขนาดใหญ่ นอกจากนี้ Muon ยังเผยว่าเทคโนโลยีนี้จะเปิดทางให้เกิด “Data center-class pipelines” ในอวกาศ เช่น การประมวลผล edge computing, AI inference และการสร้างผลิตภัณฑ์ข้อมูลแบบทันทีจากอวกาศ ระบบนี้ยังมีความปลอดภัยสูง โดยใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และการยืนยันตัวตนด้วยฮาร์ดแวร์ พร้อม uptime สูงถึง 99% แม้จะมีการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียม ✅ ความร่วมมือระหว่าง Muon และ Starlink ➡️ ใช้ Starlink Mini Laser Terminals เชื่อมดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink ➡️ ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 25Gbps และไกลถึง 4,000 กม. ➡️ ลด latency จาก 20 นาที เหลือเกือบเรียลไทม์ ➡️ ใช้กับแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon ➡️ เตรียมเปิดตัวดาวเทียมรุ่นแรกใน Q1 ปี 2027 ✅ ภารกิจและการใช้งาน ➡️ FireSat ใช้เลเซอร์อวกาศแจ้งเตือนไฟป่าแบบทันที ➡️ ช่วยลดโอกาสเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ ➡️ รองรับการประมวลผล edge computing และ AI inference ในอวกาศ ➡️ สร้างระบบข้อมูลแบบ real-time จากอวกาศสู่โลก ✅ ความปลอดภัยและความเสถียร ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และ hardware authentication ➡️ ออกแบบให้มี uptime สูงถึง 99% ➡️ รองรับการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียมแบบไร้รอยต่อ https://www.tomshardware.com/networking/starlink-and-muon-fuse-space-lasers-and-satellites-to-deliver-industry-first-persistent-optical-connectivity-in-orbit-will-enable-25-gbps-data-transfer-at-distances-up-to-4-000km
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Starlink and Muon fuse space lasers and satellites to deliver ‘industry-first’ persistent optical connectivity in orbit — will enable 25 Gbps data transfer at distances up to 4,000km
    Traditional comms satellites rely on intermittent links with ground stations, but Muon Halo satellites will stay continuously connected with integrated Starlink Mini lasers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Tiny Corp ปลดล็อก Nvidia GPU บน MacBook ARM ผ่าน USB4 – เปิดทางใหม่ให้สาย AI บน macOS!”

    ใครที่ใช้ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M-series อาจเคยรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถใช้การ์ดจอแยกจาก Nvidia ได้ เพราะ macOS บน ARM ไม่มีไดรเวอร์รองรับแบบเป็นทางการ แต่ล่าสุด Tiny Corp สตาร์ทอัพสาย AI ได้สร้างความฮือฮา ด้วยการพัฒนาไดรเวอร์ที่ทำให้ MacBook ARM สามารถใช้งาน Nvidia GPU ได้ผ่าน USB4 หรือ Thunderbolt 4 โดยใช้ eGPU docking station!

    ก่อนหน้านี้ Tiny Corp เคยทำให้ AMD GPU ทำงานบน MacBook ARM ผ่าน USB3 ได้สำเร็จมาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งแรกในโลก และครั้งนี้พวกเขาได้ต่อยอดไปยัง Nvidia โดยรองรับการ์ด RTX รุ่น 30, 40 และ 50 series ส่วน RTX 20 series อาจใช้ได้ แต่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ส่วน GTX series ไม่รองรับ เพราะไม่มี GPU system processor

    การใช้งาน Nvidia GPU บน MacBook นี้ไม่ได้เพื่อการแสดงผลกราฟิก แต่เน้นสำหรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่น การรันโมเดล LLM หรืองาน inference ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูง ซึ่งการ์ดจอของ Apple ยังไม่สามารถเทียบได้ในด้านนี้

    Tiny Corp ได้โชว์ตัวอย่างการใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม X โดยใช้ MacBook Pro M3 Max เชื่อมต่อกับ RTX GPU ผ่าน dock รุ่น ADT-UT3G และรัน Tinygrad ได้อย่างลื่นไหล ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับนักพัฒนา AI ที่ใช้ macOS

    ความสำเร็จของ Tiny Corp
    พัฒนาไดรเวอร์ให้ MacBook ARM ใช้งาน Nvidia GPU ผ่าน USB4/Thunderbolt 4
    รองรับ RTX 30, 40, 50 series สำหรับงาน AI
    RTX 20 series อาจใช้ได้ แต่ต้องปรับแต่งเอง
    GTX series ไม่รองรับ เพราะไม่มี GPU system processor
    ใช้ dock รุ่น ADT-UT3G เชื่อมต่อผ่าน USB4
    รัน Tinygrad บน MacBook Pro M3 Max ได้สำเร็จ
    ไม่รองรับการแสดงผลกราฟิก แต่เน้นงาน AI เช่น LLM และ inference

    ความเป็นมาของเทคโนโลยี
    ก่อนหน้านี้เคยทำให้ AMD GPU ทำงานบน MacBook ARM ผ่าน USB3
    USB4/Thunderbolt 4 รองรับ PCIe โดยตรง ทำให้เชื่อมต่อ eGPU ได้ง่ายขึ้น
    Apple ไม่เคยรองรับ Nvidia GPU บน macOS ARM อย่างเป็นทางการ
    นักพัฒนาต้องสร้างไดรเวอร์เองเพื่อใช้งาน eGPU บน MacBook

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ใช้งานได้เฉพาะสำหรับงาน AI ไม่รองรับการแสดงผลหน้าจอ
    ต้องใช้การ์ดที่มี GPU system processor เท่านั้น
    RTX 20 series ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ไม่ใช่ plug-and-play
    GTX series ไม่สามารถใช้งานได้เลย
    การติดตั้งไดรเวอร์ต้องใช้ความเข้าใจเชิงเทคนิคพอสมควร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/tiny-corp-successfully-runs-an-nvidia-gpu-on-arm-macbook-through-usb4-using-an-external-gpu-docking-station
    🔌 “Tiny Corp ปลดล็อก Nvidia GPU บน MacBook ARM ผ่าน USB4 – เปิดทางใหม่ให้สาย AI บน macOS!” ใครที่ใช้ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M-series อาจเคยรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถใช้การ์ดจอแยกจาก Nvidia ได้ เพราะ macOS บน ARM ไม่มีไดรเวอร์รองรับแบบเป็นทางการ แต่ล่าสุด Tiny Corp สตาร์ทอัพสาย AI ได้สร้างความฮือฮา ด้วยการพัฒนาไดรเวอร์ที่ทำให้ MacBook ARM สามารถใช้งาน Nvidia GPU ได้ผ่าน USB4 หรือ Thunderbolt 4 โดยใช้ eGPU docking station! ก่อนหน้านี้ Tiny Corp เคยทำให้ AMD GPU ทำงานบน MacBook ARM ผ่าน USB3 ได้สำเร็จมาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งแรกในโลก และครั้งนี้พวกเขาได้ต่อยอดไปยัง Nvidia โดยรองรับการ์ด RTX รุ่น 30, 40 และ 50 series ส่วน RTX 20 series อาจใช้ได้ แต่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ส่วน GTX series ไม่รองรับ เพราะไม่มี GPU system processor การใช้งาน Nvidia GPU บน MacBook นี้ไม่ได้เพื่อการแสดงผลกราฟิก แต่เน้นสำหรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่น การรันโมเดล LLM หรืองาน inference ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูง ซึ่งการ์ดจอของ Apple ยังไม่สามารถเทียบได้ในด้านนี้ Tiny Corp ได้โชว์ตัวอย่างการใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม X โดยใช้ MacBook Pro M3 Max เชื่อมต่อกับ RTX GPU ผ่าน dock รุ่น ADT-UT3G และรัน Tinygrad ได้อย่างลื่นไหล ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับนักพัฒนา AI ที่ใช้ macOS ✅ ความสำเร็จของ Tiny Corp ➡️ พัฒนาไดรเวอร์ให้ MacBook ARM ใช้งาน Nvidia GPU ผ่าน USB4/Thunderbolt 4 ➡️ รองรับ RTX 30, 40, 50 series สำหรับงาน AI ➡️ RTX 20 series อาจใช้ได้ แต่ต้องปรับแต่งเอง ➡️ GTX series ไม่รองรับ เพราะไม่มี GPU system processor ➡️ ใช้ dock รุ่น ADT-UT3G เชื่อมต่อผ่าน USB4 ➡️ รัน Tinygrad บน MacBook Pro M3 Max ได้สำเร็จ ➡️ ไม่รองรับการแสดงผลกราฟิก แต่เน้นงาน AI เช่น LLM และ inference ✅ ความเป็นมาของเทคโนโลยี ➡️ ก่อนหน้านี้เคยทำให้ AMD GPU ทำงานบน MacBook ARM ผ่าน USB3 ➡️ USB4/Thunderbolt 4 รองรับ PCIe โดยตรง ทำให้เชื่อมต่อ eGPU ได้ง่ายขึ้น ➡️ Apple ไม่เคยรองรับ Nvidia GPU บน macOS ARM อย่างเป็นทางการ ➡️ นักพัฒนาต้องสร้างไดรเวอร์เองเพื่อใช้งาน eGPU บน MacBook ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ใช้งานได้เฉพาะสำหรับงาน AI ไม่รองรับการแสดงผลหน้าจอ ⛔ ต้องใช้การ์ดที่มี GPU system processor เท่านั้น ⛔ RTX 20 series ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ไม่ใช่ plug-and-play ⛔ GTX series ไม่สามารถใช้งานได้เลย ⛔ การติดตั้งไดรเวอร์ต้องใช้ความเข้าใจเชิงเทคนิคพอสมควร https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/tiny-corp-successfully-runs-an-nvidia-gpu-on-arm-macbook-through-usb4-using-an-external-gpu-docking-station
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ByteDance จับมือ AMD, Intel, Arm และ Google สร้างมาตรฐานใหม่ให้เฟิร์มแวร์ – เปิดตัวโครงการ openSFI”

    ใครจะคิดว่าเจ้าของ TikTok อย่าง ByteDance จะมาร่วมวงกับยักษ์ใหญ่สายฮาร์ดแวร์อย่าง AMD, Intel, Arm และ Google ในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ระดับล่างของระบบคอมพิวเตอร์ ล่าสุดพวกเขาร่วมกันเปิดตัวโครงการชื่อว่า “openSFI” (Open Silicon Firmware Interface) ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU

    openSFI มีเป้าหมายเพื่อให้เฟิร์มแวร์สามารถทำงานร่วมกับชิปจากผู้ผลิตต่าง ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ลดเวลาในการพัฒนา และเพิ่มความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม

    โครงการนี้ต่อยอดจากความพยายามของ AMD ที่ชื่อว่า openSIL ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์แบบโอเพ่นซอร์สที่มาแทน AGESA และของ Intel ที่ชื่อว่า FSP (Firmware Support Package) โดย openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่นั่งอยู่เหนือ openSIL และ FSP เพื่อให้เฟิร์มแวร์เรียกใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ได้แบบมาตรฐานเดียว

    ที่น่าสนใจคือ ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวที่เข้าร่วมโครงการนี้ ท่ามกลางบริษัทตะวันตกยักษ์ใหญ่มากมาย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC และ Google ซึ่งถือเป็นความร่วมมือข้ามชาติที่หาได้ยากในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์

    โครงการ openSFI คืออะไร
    เป็นมาตรฐานกลางสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU
    ช่วยให้เฟิร์มแวร์ทำงานร่วมกับชิปจากหลายค่ายได้ง่ายขึ้น
    ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาเฟิร์มแวร์
    เพิ่มความสามารถในการนำกลับมาใช้ซ้ำ (reusability)
    ส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์

    ความร่วมมือระดับโลก
    นำโดย AMD, Intel, Arm, Google และ ByteDance
    ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวในโครงการ
    มีบริษัทอื่นร่วมด้วย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC
    โครงการต่อยอดจาก AMD openSIL และ Intel FSP
    openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่เชื่อมทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน

    เป้าหมายของ openSFI
    สร้าง API ที่เสถียรและเป็นมาตรฐาน
    ให้ host firmware เรียกใช้ฟังก์ชันของชิปได้แบบไม่ขึ้นกับผู้ผลิต
    ลดความซ้ำซ้อนในการพัฒนาและการตรวจสอบระบบ
    สนับสนุนการพัฒนาเฟิร์มแวร์แบบโมดูลาร์และขยายได้

    https://www.techradar.com/pro/tiktok-owner-is-collaborating-with-amd-arm-and-intel-on-making-firmware-solutions-better-bytedance-is-the-only-chinese-company-participating-in-this-major-project
    🤝 “ByteDance จับมือ AMD, Intel, Arm และ Google สร้างมาตรฐานใหม่ให้เฟิร์มแวร์ – เปิดตัวโครงการ openSFI” ใครจะคิดว่าเจ้าของ TikTok อย่าง ByteDance จะมาร่วมวงกับยักษ์ใหญ่สายฮาร์ดแวร์อย่าง AMD, Intel, Arm และ Google ในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ระดับล่างของระบบคอมพิวเตอร์ ล่าสุดพวกเขาร่วมกันเปิดตัวโครงการชื่อว่า “openSFI” (Open Silicon Firmware Interface) ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU openSFI มีเป้าหมายเพื่อให้เฟิร์มแวร์สามารถทำงานร่วมกับชิปจากผู้ผลิตต่าง ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ลดเวลาในการพัฒนา และเพิ่มความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม โครงการนี้ต่อยอดจากความพยายามของ AMD ที่ชื่อว่า openSIL ซึ่งเป็นเฟิร์มแวร์แบบโอเพ่นซอร์สที่มาแทน AGESA และของ Intel ที่ชื่อว่า FSP (Firmware Support Package) โดย openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่นั่งอยู่เหนือ openSIL และ FSP เพื่อให้เฟิร์มแวร์เรียกใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ได้แบบมาตรฐานเดียว ที่น่าสนใจคือ ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวที่เข้าร่วมโครงการนี้ ท่ามกลางบริษัทตะวันตกยักษ์ใหญ่มากมาย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC และ Google ซึ่งถือเป็นความร่วมมือข้ามชาติที่หาได้ยากในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ✅ โครงการ openSFI คืออะไร ➡️ เป็นมาตรฐานกลางสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างเฟิร์มแวร์กับชิป CPU ➡️ ช่วยให้เฟิร์มแวร์ทำงานร่วมกับชิปจากหลายค่ายได้ง่ายขึ้น ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาเฟิร์มแวร์ ➡️ เพิ่มความสามารถในการนำกลับมาใช้ซ้ำ (reusability) ➡️ ส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ ✅ ความร่วมมือระดับโลก ➡️ นำโดย AMD, Intel, Arm, Google และ ByteDance ➡️ ByteDance เป็นบริษัทจีนเพียงรายเดียวในโครงการ ➡️ มีบริษัทอื่นร่วมด้วย เช่น Microsoft, HPE, MiTAC ➡️ โครงการต่อยอดจาก AMD openSIL และ Intel FSP ➡️ openSFI จะเป็นเลเยอร์กลางที่เชื่อมทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน ✅ เป้าหมายของ openSFI ➡️ สร้าง API ที่เสถียรและเป็นมาตรฐาน ➡️ ให้ host firmware เรียกใช้ฟังก์ชันของชิปได้แบบไม่ขึ้นกับผู้ผลิต ➡️ ลดความซ้ำซ้อนในการพัฒนาและการตรวจสอบระบบ ➡️ สนับสนุนการพัฒนาเฟิร์มแวร์แบบโมดูลาร์และขยายได้ https://www.techradar.com/pro/tiktok-owner-is-collaborating-with-amd-arm-and-intel-on-making-firmware-solutions-better-bytedance-is-the-only-chinese-company-participating-in-this-major-project
    WWW.TECHRADAR.COM
    Firmware wars take a new turn as openSFI promises to break vendor barriers
    OpenSFI layers above AMD’s openSIL and Intel’s FSP for unified function calls
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://telegra.ph/Unlocking-Success-The-Power-of-Purchasing-Verified-Gmail-Accounts-03-23
    https://telegra.ph/Unlocking-Success-The-Power-of-Purchasing-Verified-Gmail-Accounts-03-23
    TELEGRA.PH
    Unlocking Success: The Power of Purchasing Verified Gmail Accounts
    Unlock the power of success with verified Gmail accounts. Increase credibility, visibility, and traffic to your website with this valuable asset. So, why wait any longer? Purchase your verified Gmail accounts today and start unlocking success! Are you looking to take your online presence to the next level and unlock the full potential of your business or personal brand? One powerful way to do so is by purchasing verified Gmail accounts. In this article, we will explore the benefits of using verified Gmail accounts…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ESUN: พันธมิตรเทคโนโลยีใหญ่เปิดตัว Ethernet มาตรฐานใหม่ ท้าชน InfiniBand สำหรับยุค AI”

    Meta, Nvidia, OpenAI และ AMD รวมพลังกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอีกหลายราย เปิดตัวโครงการ ESUN (Ethernet for Scale-Up Networking) ภายใต้การนำของ Open Compute Project (OCP) เพื่อพัฒนา Ethernet แบบเปิดสำหรับการเชื่อมต่อภายในคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ InfiniBand ซึ่งครองตลาดอยู่กว่า 80% ในระบบ GPU และ accelerator

    ESUN จะทำงานร่วมกับ Ultra Ethernet Consortium และ IEEE 802.3 เพื่อกำหนดมาตรฐานใหม่ที่ครอบคลุมพฤติกรรมของสวิตช์ โปรโตคอล header การจัดการ error และการส่งข้อมูลแบบ lossless พร้อมศึกษาผลกระทบต่อ load balancing และ memory ordering ในระบบที่ใช้ GPU เป็นหลัก

    จุดประสงค์ของ ESUN
    พัฒนา Ethernet แบบเปิดสำหรับคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่
    ลดความซับซ้อนของระบบ interconnect ด้วยมาตรฐานที่คุ้นเคย
    ลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการปรับขยายระบบ

    พันธมิตรในโครงการ ESUN
    Meta, Nvidia, OpenAI, AMD, Cisco, Microsoft, Oracle
    Arista, ARM, Broadcom, HPE, Marvell และอื่น ๆ
    ทำงานร่วมกับ Ultra Ethernet Consortium และ IEEE 802.3

    เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
    Broadcom Tomahawk Ultra switch รองรับ 77 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที
    Nvidia Spectrum-X รวม Ethernet กับ acceleration hardware
    OCP เคยทดลอง Ethernet transport ผ่าน SUE-T (SUE-Transport)

    ข้อดีของ Ethernet สำหรับ AI
    คุ้นเคยกับวิศวกรทั่วไปมากกว่า InfiniBand
    มีความสามารถในการปรับขยายและ interoperability สูง
    ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการจัดการระบบ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    InfiniBand ยังเหนือกว่าในด้าน latency และ reliability สำหรับงาน AI หนัก
    ESUN ต้องพิสูจน์ตัวเองใน workload ที่ต้องการความแม่นยำสูง
    การเปลี่ยนจากระบบเดิมต้องใช้เวลาและการลงทุนมหาศาล

    https://www.techradar.com/pro/meta-joins-nvidia-openai-and-amd-to-launch-ethernet-for-scale-up-network-esun-competes-with-infiniband-but-will-work-with-ultra-ethernet-consortium
    🌐 “ESUN: พันธมิตรเทคโนโลยีใหญ่เปิดตัว Ethernet มาตรฐานใหม่ ท้าชน InfiniBand สำหรับยุค AI” Meta, Nvidia, OpenAI และ AMD รวมพลังกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอีกหลายราย เปิดตัวโครงการ ESUN (Ethernet for Scale-Up Networking) ภายใต้การนำของ Open Compute Project (OCP) เพื่อพัฒนา Ethernet แบบเปิดสำหรับการเชื่อมต่อภายในคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับ InfiniBand ซึ่งครองตลาดอยู่กว่า 80% ในระบบ GPU และ accelerator ESUN จะทำงานร่วมกับ Ultra Ethernet Consortium และ IEEE 802.3 เพื่อกำหนดมาตรฐานใหม่ที่ครอบคลุมพฤติกรรมของสวิตช์ โปรโตคอล header การจัดการ error และการส่งข้อมูลแบบ lossless พร้อมศึกษาผลกระทบต่อ load balancing และ memory ordering ในระบบที่ใช้ GPU เป็นหลัก ✅ จุดประสงค์ของ ESUN ➡️ พัฒนา Ethernet แบบเปิดสำหรับคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ ➡️ ลดความซับซ้อนของระบบ interconnect ด้วยมาตรฐานที่คุ้นเคย ➡️ ลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการปรับขยายระบบ ✅ พันธมิตรในโครงการ ESUN ➡️ Meta, Nvidia, OpenAI, AMD, Cisco, Microsoft, Oracle ➡️ Arista, ARM, Broadcom, HPE, Marvell และอื่น ๆ ➡️ ทำงานร่วมกับ Ultra Ethernet Consortium และ IEEE 802.3 ✅ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ➡️ Broadcom Tomahawk Ultra switch รองรับ 77 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที ➡️ Nvidia Spectrum-X รวม Ethernet กับ acceleration hardware ➡️ OCP เคยทดลอง Ethernet transport ผ่าน SUE-T (SUE-Transport) ✅ ข้อดีของ Ethernet สำหรับ AI ➡️ คุ้นเคยกับวิศวกรทั่วไปมากกว่า InfiniBand ➡️ มีความสามารถในการปรับขยายและ interoperability สูง ➡️ ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการจัดการระบบ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ InfiniBand ยังเหนือกว่าในด้าน latency และ reliability สำหรับงาน AI หนัก ⛔ ESUN ต้องพิสูจน์ตัวเองใน workload ที่ต้องการความแม่นยำสูง ⛔ การเปลี่ยนจากระบบเดิมต้องใช้เวลาและการลงทุนมหาศาล https://www.techradar.com/pro/meta-joins-nvidia-openai-and-amd-to-launch-ethernet-for-scale-up-network-esun-competes-with-infiniband-but-will-work-with-ultra-ethernet-consortium
    WWW.TECHRADAR.COM
    Tech bigwigs want to rewrite the future of AI networking with open Ethernet
    Engineers hope Ethernet can simplify complex GPU interconnect systems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Broadcom Thor Ultra 800G: การ์ด Ethernet ที่เร็วที่สุดในโลกเพื่อยุค AI”

    Broadcom เปิดตัว Thor Ultra 800G NIC ซึ่งเป็นการ์ด Ethernet ที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงานในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในการประมวลผลข้อมูลระดับหลายแสน XPU

    การ์ดนี้ใช้ PCIe Gen6 x16 ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟซที่เร็วที่สุดในตลาดปัจจุบัน พร้อมรองรับฟีเจอร์ล้ำ ๆ เช่น Packet-Level Multipathing, Out-of-Order Packet Delivery และ Selective Retransmission ที่ช่วยลด latency และเพิ่มความเสถียรในการส่งข้อมูล

    Thor Ultra ยังใช้มาตรฐานเปิดจาก Ultra Ethernet Consortium (UEC) ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์จากหลายผู้ผลิตได้โดยไม่ต้องผูกขาดกับระบบเฉพาะของ Broadcom

    สเปกและเทคโนโลยีของ Thor Ultra 800G
    ใช้ PCIe Gen6 x16 เพื่อความเร็วสูงสุดในการส่งข้อมูล
    รองรับ 200G และ 100G PAM4 SerDes พร้อมสายทองแดงแบบ passive ระยะไกล
    มี bit error rate ต่ำมาก ลดความไม่เสถียรของการเชื่อมต่อ

    ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น
    Packet-Level Multipathing: ส่งข้อมูลหลายเส้นทางพร้อมกัน
    Out-of-Order Packet Delivery: รับข้อมูลที่ไม่เรียงลำดับได้
    Selective Retransmission: ส่งเฉพาะแพ็กเก็ตที่เสียหายใหม่
    Programmable Congestion Control: ปรับการควบคุมความแออัดของเครือข่ายได้

    ความปลอดภัยและความยืดหยุ่น
    รองรับ line-rate encryption/decryption ด้วย PSP offload
    มี secure boot และ signed firmware เพื่อความปลอดภัย
    ใช้มาตรฐานเปิดจาก UEC ไม่ผูกขาดกับระบบเฉพาะ

    การใช้งานในศูนย์ข้อมูล AI
    ออกแบบมาเพื่อใช้งานใน data center ที่มี XPU จำนวนมาก
    รองรับการทำงานร่วมกับ Broadcom Tomahawk 5/6 และ Jericho 4
    เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Ethernet AI Networking ของ Broadcom

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ยังอยู่ในช่วง sampling เท่านั้น ยังไม่วางจำหน่ายทั่วไป
    การใช้งานอาจต้องปรับระบบให้รองรับ PCIe Gen6 และมาตรฐานใหม่
    การ์ดนี้ออกแบบมาเฉพาะสำหรับศูนย์ข้อมูล AI ไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-fastest-ethernet-card-ever-produced-broadcom-thor-ultra-800g-nic-uses-pcie-gen6-x16-and-will-only-be-used-in-ai-datacenters
    🚀 “Broadcom Thor Ultra 800G: การ์ด Ethernet ที่เร็วที่สุดในโลกเพื่อยุค AI” Broadcom เปิดตัว Thor Ultra 800G NIC ซึ่งเป็นการ์ด Ethernet ที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงานในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในการประมวลผลข้อมูลระดับหลายแสน XPU การ์ดนี้ใช้ PCIe Gen6 x16 ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟซที่เร็วที่สุดในตลาดปัจจุบัน พร้อมรองรับฟีเจอร์ล้ำ ๆ เช่น Packet-Level Multipathing, Out-of-Order Packet Delivery และ Selective Retransmission ที่ช่วยลด latency และเพิ่มความเสถียรในการส่งข้อมูล Thor Ultra ยังใช้มาตรฐานเปิดจาก Ultra Ethernet Consortium (UEC) ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์จากหลายผู้ผลิตได้โดยไม่ต้องผูกขาดกับระบบเฉพาะของ Broadcom ✅ สเปกและเทคโนโลยีของ Thor Ultra 800G ➡️ ใช้ PCIe Gen6 x16 เพื่อความเร็วสูงสุดในการส่งข้อมูล ➡️ รองรับ 200G และ 100G PAM4 SerDes พร้อมสายทองแดงแบบ passive ระยะไกล ➡️ มี bit error rate ต่ำมาก ลดความไม่เสถียรของการเชื่อมต่อ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น ➡️ Packet-Level Multipathing: ส่งข้อมูลหลายเส้นทางพร้อมกัน ➡️ Out-of-Order Packet Delivery: รับข้อมูลที่ไม่เรียงลำดับได้ ➡️ Selective Retransmission: ส่งเฉพาะแพ็กเก็ตที่เสียหายใหม่ ➡️ Programmable Congestion Control: ปรับการควบคุมความแออัดของเครือข่ายได้ ✅ ความปลอดภัยและความยืดหยุ่น ➡️ รองรับ line-rate encryption/decryption ด้วย PSP offload ➡️ มี secure boot และ signed firmware เพื่อความปลอดภัย ➡️ ใช้มาตรฐานเปิดจาก UEC ไม่ผูกขาดกับระบบเฉพาะ ✅ การใช้งานในศูนย์ข้อมูล AI ➡️ ออกแบบมาเพื่อใช้งานใน data center ที่มี XPU จำนวนมาก ➡️ รองรับการทำงานร่วมกับ Broadcom Tomahawk 5/6 และ Jericho 4 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Ethernet AI Networking ของ Broadcom ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ยังอยู่ในช่วง sampling เท่านั้น ยังไม่วางจำหน่ายทั่วไป ⛔ การใช้งานอาจต้องปรับระบบให้รองรับ PCIe Gen6 และมาตรฐานใหม่ ⛔ การ์ดนี้ออกแบบมาเฉพาะสำหรับศูนย์ข้อมูล AI ไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป https://www.techradar.com/pro/this-is-the-fastest-ethernet-card-ever-produced-broadcom-thor-ultra-800g-nic-uses-pcie-gen6-x16-and-will-only-be-used-in-ai-datacenters
    WWW.TECHRADAR.COM
    Broadcom’s Thor Ultra just made PCIe Gen6 Ethernet real for AI tools
    Thor Ultra’s open UEC standard opens new paths for multi-vendor network systems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia DGX Spark: เดสก์ท็อป AI ที่อาจเป็น ‘Apple Mac Moment’ ของ Nvidia”

    Nvidia เปิดตัว DGX Spark ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากนักรีวิวว่าเป็น “เครื่องมือ AI ระดับวิจัยที่อยู่บนโต๊ะทำงาน” ด้วยขนาดเล็กแต่ทรงพลัง DGX Spark ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 ที่รวม CPU และ GPU พร้อมหน่วยความจำ unified ขนาด 128GB ทำให้สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    รีวิวจากหลายสำนักชี้ว่า DGX Spark มีประสิทธิภาพสูงในการรันโมเดล Llama 3.1 70B และ Gemma 3 27B โดยตรงจากหน่วยความจำภายใน พร้อมระบบระบายความร้อนที่เงียบและเสถียร แม้จะมีข้อจำกัดด้าน bandwidth จาก LPDDR5X แต่ก็ยังถือว่าเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับนักพัฒนาและนักวิจัยที่ต้องการทดลอง AI แบบ local

    สเปกและความสามารถของ DGX Spark
    ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 รวม CPU + GPU
    หน่วยความจำ unified 128GB รองรับโมเดลขนาดใหญ่
    รัน Llama 3.1 70B และ Gemma 3 27B ได้โดยตรงจาก RAM
    มี batching efficiency และ throughput consistency สูง

    จุดเด่นด้านการใช้งาน
    ขนาดเล็ก วางบนโต๊ะทำงานได้
    เสียงเงียบและระบบระบายความร้อนมีประสิทธิภาพ
    ใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึงครึ่งหนึ่ง
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Nvidia Sync จากเครื่องอื่น

    ความเห็นจากนักรีวิว
    LMSYS: “เครื่องวิจัยที่สวยงามและทรงพลัง”
    ServeTheHome: “จะทำให้การรันโมเดลขนาดใหญ่เป็นเรื่องของทุกคน”
    HotHardware: “เหมาะเป็นเครื่องเสริมสำหรับนักพัฒนา ไม่ใช่แทนที่ workstation”
    The Register: “เหมาะกับงานทดลอง ไม่ใช่สำหรับ productivity หรือ gaming”

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Bandwidth ของ LPDDR5X ยังเป็นคอขวดเมื่อเทียบกับ GPU แยก
    Driver และซอฟต์แวร์บางส่วนยังไม่สมบูรณ์
    ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการเครื่องสำหรับงานทั่วไปหรือเล่นเกม
    หากต้องการประสิทธิภาพสูงสุด อาจต้องรอเวอร์ชันที่ใช้ GB200 ในเครื่อง Windows

    https://www.techradar.com/pro/so-freaking-cool-first-reviews-of-nvidia-dgx-spark-leave-absolutely-no-doubt-this-may-be-nvidias-apple-mac-moment
    🖥️ “Nvidia DGX Spark: เดสก์ท็อป AI ที่อาจเป็น ‘Apple Mac Moment’ ของ Nvidia” Nvidia เปิดตัว DGX Spark ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากนักรีวิวว่าเป็น “เครื่องมือ AI ระดับวิจัยที่อยู่บนโต๊ะทำงาน” ด้วยขนาดเล็กแต่ทรงพลัง DGX Spark ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 ที่รวม CPU และ GPU พร้อมหน่วยความจำ unified ขนาด 128GB ทำให้สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ รีวิวจากหลายสำนักชี้ว่า DGX Spark มีประสิทธิภาพสูงในการรันโมเดล Llama 3.1 70B และ Gemma 3 27B โดยตรงจากหน่วยความจำภายใน พร้อมระบบระบายความร้อนที่เงียบและเสถียร แม้จะมีข้อจำกัดด้าน bandwidth จาก LPDDR5X แต่ก็ยังถือว่าเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับนักพัฒนาและนักวิจัยที่ต้องการทดลอง AI แบบ local ✅ สเปกและความสามารถของ DGX Spark ➡️ ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 รวม CPU + GPU ➡️ หน่วยความจำ unified 128GB รองรับโมเดลขนาดใหญ่ ➡️ รัน Llama 3.1 70B และ Gemma 3 27B ได้โดยตรงจาก RAM ➡️ มี batching efficiency และ throughput consistency สูง ✅ จุดเด่นด้านการใช้งาน ➡️ ขนาดเล็ก วางบนโต๊ะทำงานได้ ➡️ เสียงเงียบและระบบระบายความร้อนมีประสิทธิภาพ ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึงครึ่งหนึ่ง ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Nvidia Sync จากเครื่องอื่น ✅ ความเห็นจากนักรีวิว ➡️ LMSYS: “เครื่องวิจัยที่สวยงามและทรงพลัง” ➡️ ServeTheHome: “จะทำให้การรันโมเดลขนาดใหญ่เป็นเรื่องของทุกคน” ➡️ HotHardware: “เหมาะเป็นเครื่องเสริมสำหรับนักพัฒนา ไม่ใช่แทนที่ workstation” ➡️ The Register: “เหมาะกับงานทดลอง ไม่ใช่สำหรับ productivity หรือ gaming” ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Bandwidth ของ LPDDR5X ยังเป็นคอขวดเมื่อเทียบกับ GPU แยก ⛔ Driver และซอฟต์แวร์บางส่วนยังไม่สมบูรณ์ ⛔ ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการเครื่องสำหรับงานทั่วไปหรือเล่นเกม ⛔ หากต้องการประสิทธิภาพสูงสุด อาจต้องรอเวอร์ชันที่ใช้ GB200 ในเครื่อง Windows https://www.techradar.com/pro/so-freaking-cool-first-reviews-of-nvidia-dgx-spark-leave-absolutely-no-doubt-this-may-be-nvidias-apple-mac-moment
    WWW.TECHRADAR.COM
    Reviews praise Nvidia DGX Spark as a compact local AI workstation
    Early hardware and software quirks do raise concerns, however
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Intel Ultra 9 285HX: สุดยอดชิปมือถือที่มีแค่ 4 แบรนด์ใช้—และ 2 รุ่นลดราคาแรงเกินคาด”

    Intel เปิดตัวชิป Ultra 9 285HX ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์มือถือที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา และตอนนี้มีเพียง 4 แบรนด์เท่านั้นที่นำมาใช้ในแล็ปท็อประดับสูง ได้แก่ Dell, HP, MSI และ Lenovo โดยแต่ละรุ่นมาพร้อมสเปกสุดโหดที่เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ 4K, การเรนเดอร์ 3D และการประมวลผล AI

    ที่น่าตกใจคือ มีถึง 2 รุ่นที่ลดราคาหนักมาก ทั้ง MSI Raider 18 HX AI และ HP ZBook Fury G1i ซึ่งลดราคาจากหลักหมื่นเหลือเพียงครึ่งเดียวในบางร้านค้า ทำให้เป็นโอกาสทองสำหรับผู้ที่ต้องการแล็ปท็อปประสิทธิภาพสูงในราคาคุ้มค่า

    Intel Ultra 9 285HX คืออะไร
    เป็นชิปมือถือที่เร็วที่สุดของ Intel ณ ปัจจุบัน
    ใช้ในแล็ปท็อประดับ workstation สำหรับงานหนัก
    รองรับการใช้งานร่วมกับ GPU ระดับสูง เช่น RTX Pro 5000 และ RTX 5080

    แบรนด์ที่ใช้ชิปนี้
    Dell: รุ่น Pro Max 18 Plus พร้อม RTX Pro 5000, RAM 128GB, SSD 4TB
    MSI: รุ่น Raider 18 HX AI พร้อม RTX 5080, RAM 64GB, SSD 2TB
    HP: รุ่น ZBook Fury G1i พร้อม RTX Pro 5000, RAM 128GB ECC
    Lenovo: รุ่น ThinkPad T16g Gen 3 พร้อม RTX 5080/5090, RAM สูงสุด 192GB

    รุ่นที่ลดราคาหนัก
    MSI Raider 18 HX AI ลดเหลือ ~$2,699 จาก ~$3,399
    HP ZBook Fury G1i ลดเหลือ ~$6,999 จาก ~$14,212
    Dell ยังราคาเต็ม ~$9,458 ส่วน Lenovo ยังไม่เปิดราคา

    จุดเด่นของแต่ละรุ่น
    MSI: เหมาะกับงานสร้างสรรค์และมัลติทาสก์
    HP: มี RAM ECC เหมาะกับงานที่ต้องการความเสถียรสูง
    Dell: สเปกสูงสุด เหมาะกับงานวิจัยและ simulation
    Lenovo: รองรับ SSD สูงสุด 12TB เหมาะกับงานเก็บข้อมูลขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/pro/only-4-brands-sell-laptops-with-intels-fastest-ever-mobile-cpu-the-ultra-9-285-hx-and-shockingly-two-are-already-massively-discounted
    💻 หัวข้อข่าว: “Intel Ultra 9 285HX: สุดยอดชิปมือถือที่มีแค่ 4 แบรนด์ใช้—และ 2 รุ่นลดราคาแรงเกินคาด” Intel เปิดตัวชิป Ultra 9 285HX ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์มือถือที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา และตอนนี้มีเพียง 4 แบรนด์เท่านั้นที่นำมาใช้ในแล็ปท็อประดับสูง ได้แก่ Dell, HP, MSI และ Lenovo โดยแต่ละรุ่นมาพร้อมสเปกสุดโหดที่เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ 4K, การเรนเดอร์ 3D และการประมวลผล AI ที่น่าตกใจคือ มีถึง 2 รุ่นที่ลดราคาหนักมาก ทั้ง MSI Raider 18 HX AI และ HP ZBook Fury G1i ซึ่งลดราคาจากหลักหมื่นเหลือเพียงครึ่งเดียวในบางร้านค้า ทำให้เป็นโอกาสทองสำหรับผู้ที่ต้องการแล็ปท็อปประสิทธิภาพสูงในราคาคุ้มค่า ✅ Intel Ultra 9 285HX คืออะไร ➡️ เป็นชิปมือถือที่เร็วที่สุดของ Intel ณ ปัจจุบัน ➡️ ใช้ในแล็ปท็อประดับ workstation สำหรับงานหนัก ➡️ รองรับการใช้งานร่วมกับ GPU ระดับสูง เช่น RTX Pro 5000 และ RTX 5080 ✅ แบรนด์ที่ใช้ชิปนี้ ➡️ Dell: รุ่น Pro Max 18 Plus พร้อม RTX Pro 5000, RAM 128GB, SSD 4TB ➡️ MSI: รุ่น Raider 18 HX AI พร้อม RTX 5080, RAM 64GB, SSD 2TB ➡️ HP: รุ่น ZBook Fury G1i พร้อม RTX Pro 5000, RAM 128GB ECC ➡️ Lenovo: รุ่น ThinkPad T16g Gen 3 พร้อม RTX 5080/5090, RAM สูงสุด 192GB ✅ รุ่นที่ลดราคาหนัก ➡️ MSI Raider 18 HX AI ลดเหลือ ~$2,699 จาก ~$3,399 ➡️ HP ZBook Fury G1i ลดเหลือ ~$6,999 จาก ~$14,212 ➡️ Dell ยังราคาเต็ม ~$9,458 ส่วน Lenovo ยังไม่เปิดราคา ✅ จุดเด่นของแต่ละรุ่น ➡️ MSI: เหมาะกับงานสร้างสรรค์และมัลติทาสก์ ➡️ HP: มี RAM ECC เหมาะกับงานที่ต้องการความเสถียรสูง ➡️ Dell: สเปกสูงสุด เหมาะกับงานวิจัยและ simulation ➡️ Lenovo: รองรับ SSD สูงสุด 12TB เหมาะกับงานเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/pro/only-4-brands-sell-laptops-with-intels-fastest-ever-mobile-cpu-the-ultra-9-285-hx-and-shockingly-two-are-already-massively-discounted
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Intel i386 ครบรอบ 40 ปี: จุดเปลี่ยนของโลกคอมพิวเตอร์ที่ยังส่งผลถึงทุกวันนี้"

    ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคมปี 1985 Intel ได้เปิดตัวชิป i386 หรือที่รู้จักกันในชื่อ 80386 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ x86 รุ่นที่สาม และเป็นชิป 32 บิตตัวแรกในสายผลิตภัณฑ์ของ Intel จุดเริ่มต้นของชุดคำสั่ง IA-32 ที่กลายเป็นรากฐานของระบบปฏิบัติการ Windows และ Linux มานานหลายทศวรรษ

    i386 มีทรานซิสเตอร์ถึง 275,000 ตัว และทำงานที่ความเร็วสูงสุด 16 MHz ซึ่งถือว่าเร็วมากในยุคนั้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนโลกจริง ๆ คือการรองรับ protected mode, virtual 8086 mode และ hardware paging ซึ่งเปิดทางให้ระบบ multitasking และ virtual memory บน x86 เป็นไปได้จริง

    Compaq เป็นบริษัทแรกที่นำ i386 มาใช้ในเครื่อง Deskpro i386 โดยเอาชนะ IBM ที่ปฏิเสธชิปนี้ไปก่อนหน้า ทำให้ Compaq กลายเป็นผู้นำตลาด PC ในช่วงเวลานั้น

    Linux เองก็ถือกำเนิดบน i386 โดย Linus Torvalds พัฒนา kernel แรกให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์ 386-AT โดยเฉพาะ ก่อนจะยุติการรองรับในปี 2012 หลังจากใช้งานมานานกว่า 20 ปี

    แม้ i386 จะถูกแทนที่ด้วย i486 และรุ่นใหม่ ๆ แต่สถาปัตยกรรม IA-32 ที่มันวางรากฐานไว้ยังคงปรากฏอยู่ใน emulator, VM และระบบ legacy จนถึงทุกวันนี้

    จุดเด่นของ Intel i386
    เปิดตัวในปี 1985 เป็นชิป 32 บิตตัวแรกของ Intel
    มี 275,000 ทรานซิสเตอร์ ทำงานที่ 16 MHz
    รองรับ protected mode, virtual 8086 และ paging

    ผลกระทบต่อระบบปฏิบัติการ
    Windows 3.0 ใช้ฟีเจอร์ “386 Enhanced Mode” เพื่อรันหลาย DOS session พร้อมกัน
    Linux kernel รุ่นแรกพัฒนาสำหรับ i386 โดยเฉพาะ

    การนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์
    Compaq เปิดตัว Deskpro i386 ก่อน IBM ถึง 1 ปี
    ราคาเริ่มต้นที่ $6,499 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด PC

    มรดกของ i386
    IA-32 กลายเป็นพื้นฐานของ Windows และ Linux จนถึงยุค 2010s
    ยังปรากฏใน emulator, VM และระบบ legacy
    Intel ยุติการผลิตชิป i386 ในปี 2007
    🎇 "Intel i386 ครบรอบ 40 ปี: จุดเปลี่ยนของโลกคอมพิวเตอร์ที่ยังส่งผลถึงทุกวันนี้" ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคมปี 1985 Intel ได้เปิดตัวชิป i386 หรือที่รู้จักกันในชื่อ 80386 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ x86 รุ่นที่สาม และเป็นชิป 32 บิตตัวแรกในสายผลิตภัณฑ์ของ Intel จุดเริ่มต้นของชุดคำสั่ง IA-32 ที่กลายเป็นรากฐานของระบบปฏิบัติการ Windows และ Linux มานานหลายทศวรรษ i386 มีทรานซิสเตอร์ถึง 275,000 ตัว และทำงานที่ความเร็วสูงสุด 16 MHz ซึ่งถือว่าเร็วมากในยุคนั้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนโลกจริง ๆ คือการรองรับ protected mode, virtual 8086 mode และ hardware paging ซึ่งเปิดทางให้ระบบ multitasking และ virtual memory บน x86 เป็นไปได้จริง Compaq เป็นบริษัทแรกที่นำ i386 มาใช้ในเครื่อง Deskpro i386 โดยเอาชนะ IBM ที่ปฏิเสธชิปนี้ไปก่อนหน้า ทำให้ Compaq กลายเป็นผู้นำตลาด PC ในช่วงเวลานั้น Linux เองก็ถือกำเนิดบน i386 โดย Linus Torvalds พัฒนา kernel แรกให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์ 386-AT โดยเฉพาะ ก่อนจะยุติการรองรับในปี 2012 หลังจากใช้งานมานานกว่า 20 ปี แม้ i386 จะถูกแทนที่ด้วย i486 และรุ่นใหม่ ๆ แต่สถาปัตยกรรม IA-32 ที่มันวางรากฐานไว้ยังคงปรากฏอยู่ใน emulator, VM และระบบ legacy จนถึงทุกวันนี้ ✅ จุดเด่นของ Intel i386 ➡️ เปิดตัวในปี 1985 เป็นชิป 32 บิตตัวแรกของ Intel ➡️ มี 275,000 ทรานซิสเตอร์ ทำงานที่ 16 MHz ➡️ รองรับ protected mode, virtual 8086 และ paging ✅ ผลกระทบต่อระบบปฏิบัติการ ➡️ Windows 3.0 ใช้ฟีเจอร์ “386 Enhanced Mode” เพื่อรันหลาย DOS session พร้อมกัน ➡️ Linux kernel รุ่นแรกพัฒนาสำหรับ i386 โดยเฉพาะ ✅ การนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์ ➡️ Compaq เปิดตัว Deskpro i386 ก่อน IBM ถึง 1 ปี ➡️ ราคาเริ่มต้นที่ $6,499 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด PC ✅ มรดกของ i386 ➡️ IA-32 กลายเป็นพื้นฐานของ Windows และ Linux จนถึงยุค 2010s ➡️ ยังปรากฏใน emulator, VM และระบบ legacy ➡️ Intel ยุติการผลิตชิป i386 ในปี 2007
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ย้อนรอย IDE ยุค DOS — 30 ปีก่อนเรามีอะไรที่วันนี้ยังตามไม่ทัน” — เมื่อ Turbo C++ เคยให้ประสบการณ์ที่ IDE สมัยใหม่ยังเทียบไม่ได้

    Julio Merino ผู้เขียนบล็อก Blog System/5 พาเราย้อนเวลากลับไปสู่ยุค 1980s–1990s เพื่อสำรวจโลกของ IDE (Integrated Development Environment) แบบข้อความ (TUI) ที่รุ่งเรืองบนระบบปฏิบัติการ DOS ก่อนที่ Windows จะครองโลก

    เขาเริ่มจากความทรงจำในวัยเด็กที่เรียนรู้การเขียนโปรแกรมผ่านเครื่องมืออย่าง MS-DOS Editor และ SideKick Plus ซึ่งแม้จะไม่ใช่ IDE เต็มรูปแบบ แต่ก็มีฟีเจอร์อย่างเมนู, การใช้เมาส์, และการสลับหน้าจอแบบ rudimentary multitasking ผ่านเทคนิค TSR (Terminate and Stay Resident)

    จุดเปลี่ยนสำคัญคือการมาถึงของ Borland Turbo series เช่น Turbo Pascal และ Turbo C++ ที่รวมทุกอย่างไว้ในหน้าจอเดียว: การเขียนโค้ด, คอมไพล์, ดีบัก, จัดการโปรเจกต์, และแม้แต่คู่มือภาษา C++ แบบ built-in ทั้งหมดนี้ทำงานได้ใน RAM เพียง 640KB และใช้พื้นที่ไม่ถึง 9MB

    Julio เปรียบเทียบกับเครื่องมือยุคใหม่ เช่น Emacs, Vim, Neovim, Doom Emacs, Helix และ VSCode ซึ่งแม้จะทรงพลังและมีปลั๊กอินมากมาย แต่กลับไม่สามารถให้ประสบการณ์ที่ “ครบ จบในตัว” แบบ Turbo IDE ได้ โดยเฉพาะในแง่ของความเรียบง่าย, การค้นพบฟีเจอร์ด้วยตัวเอง, และการใช้ทรัพยากรที่เบาอย่างเหลือเชื่อ

    เขายังชี้ให้เห็นว่า IDE แบบ TUI มีข้อได้เปรียบในงาน remote development ผ่าน SSH โดยไม่ต้องพึ่ง GUI หรือ remote desktop ที่มักช้าและกินทรัพยากร

    ท้ายที่สุด เขาตั้งคำถามว่า “เราก้าวหน้าจริงหรือ?” เพราะแม้ IDE สมัยใหม่จะมี refactoring และ AI coding assistant แต่ก็แลกมาด้วยความซับซ้อน, ขนาดไฟล์ระดับ GB, และการพึ่งพา cloud services

    IDE ยุค DOS มี TUI เต็มรูปแบบ เช่น Turbo Pascal, Turbo C++
    รวมฟีเจอร์ครบทั้ง editor, compiler, debugger, project manager และ help

    โปรแกรมอย่าง SideKick Plus ใช้เทคนิค TSR เพื่อสลับหน้าจอได้
    เป็น multitasking แบบพื้นฐานในยุคที่ DOS ยังไม่มีฟีเจอร์นี้

    Turbo IDE ใช้ RAM เพียง 640KB และพื้นที่ไม่ถึง 9MB
    แต่ให้ประสบการณ์ที่ครบถ้วนและใช้งานง่าย

    Emacs, Vim, Neovim, Helix และ Doom Emacs แม้จะทรงพลัง
    แต่ยังไม่สามารถให้ประสบการณ์ IDE ที่สมบูรณ์แบบแบบ Turbo ได้

    IDE แบบ TUI เหมาะกับงาน remote development ผ่าน SSH
    ใช้งานได้แม้บนระบบที่ไม่มี GUI เช่น FreeBSD

    LSP (Language Server Protocol) ช่วยให้ TUI editors มีฟีเจอร์ IDE มากขึ้น
    และ BSP (Build Server Protocol) อาจช่วยเติมเต็มในอนาคต

    https://blogsystem5.substack.com/p/the-ides-we-had-30-years-ago-and
    🧵 “ย้อนรอย IDE ยุค DOS — 30 ปีก่อนเรามีอะไรที่วันนี้ยังตามไม่ทัน” — เมื่อ Turbo C++ เคยให้ประสบการณ์ที่ IDE สมัยใหม่ยังเทียบไม่ได้ Julio Merino ผู้เขียนบล็อก Blog System/5 พาเราย้อนเวลากลับไปสู่ยุค 1980s–1990s เพื่อสำรวจโลกของ IDE (Integrated Development Environment) แบบข้อความ (TUI) ที่รุ่งเรืองบนระบบปฏิบัติการ DOS ก่อนที่ Windows จะครองโลก เขาเริ่มจากความทรงจำในวัยเด็กที่เรียนรู้การเขียนโปรแกรมผ่านเครื่องมืออย่าง MS-DOS Editor และ SideKick Plus ซึ่งแม้จะไม่ใช่ IDE เต็มรูปแบบ แต่ก็มีฟีเจอร์อย่างเมนู, การใช้เมาส์, และการสลับหน้าจอแบบ rudimentary multitasking ผ่านเทคนิค TSR (Terminate and Stay Resident) จุดเปลี่ยนสำคัญคือการมาถึงของ Borland Turbo series เช่น Turbo Pascal และ Turbo C++ ที่รวมทุกอย่างไว้ในหน้าจอเดียว: การเขียนโค้ด, คอมไพล์, ดีบัก, จัดการโปรเจกต์, และแม้แต่คู่มือภาษา C++ แบบ built-in ทั้งหมดนี้ทำงานได้ใน RAM เพียง 640KB และใช้พื้นที่ไม่ถึง 9MB Julio เปรียบเทียบกับเครื่องมือยุคใหม่ เช่น Emacs, Vim, Neovim, Doom Emacs, Helix และ VSCode ซึ่งแม้จะทรงพลังและมีปลั๊กอินมากมาย แต่กลับไม่สามารถให้ประสบการณ์ที่ “ครบ จบในตัว” แบบ Turbo IDE ได้ โดยเฉพาะในแง่ของความเรียบง่าย, การค้นพบฟีเจอร์ด้วยตัวเอง, และการใช้ทรัพยากรที่เบาอย่างเหลือเชื่อ เขายังชี้ให้เห็นว่า IDE แบบ TUI มีข้อได้เปรียบในงาน remote development ผ่าน SSH โดยไม่ต้องพึ่ง GUI หรือ remote desktop ที่มักช้าและกินทรัพยากร ท้ายที่สุด เขาตั้งคำถามว่า “เราก้าวหน้าจริงหรือ?” เพราะแม้ IDE สมัยใหม่จะมี refactoring และ AI coding assistant แต่ก็แลกมาด้วยความซับซ้อน, ขนาดไฟล์ระดับ GB, และการพึ่งพา cloud services ✅ IDE ยุค DOS มี TUI เต็มรูปแบบ เช่น Turbo Pascal, Turbo C++ ➡️ รวมฟีเจอร์ครบทั้ง editor, compiler, debugger, project manager และ help ✅ โปรแกรมอย่าง SideKick Plus ใช้เทคนิค TSR เพื่อสลับหน้าจอได้ ➡️ เป็น multitasking แบบพื้นฐานในยุคที่ DOS ยังไม่มีฟีเจอร์นี้ ✅ Turbo IDE ใช้ RAM เพียง 640KB และพื้นที่ไม่ถึง 9MB ➡️ แต่ให้ประสบการณ์ที่ครบถ้วนและใช้งานง่าย ✅ Emacs, Vim, Neovim, Helix และ Doom Emacs แม้จะทรงพลัง ➡️ แต่ยังไม่สามารถให้ประสบการณ์ IDE ที่สมบูรณ์แบบแบบ Turbo ได้ ✅ IDE แบบ TUI เหมาะกับงาน remote development ผ่าน SSH ➡️ ใช้งานได้แม้บนระบบที่ไม่มี GUI เช่น FreeBSD ✅ LSP (Language Server Protocol) ช่วยให้ TUI editors มีฟีเจอร์ IDE มากขึ้น ➡️ และ BSP (Build Server Protocol) อาจช่วยเติมเต็มในอนาคต https://blogsystem5.substack.com/p/the-ides-we-had-30-years-ago-and
    BLOGSYSTEM5.SUBSTACK.COM
    The IDEs we had 30 years ago... and we lost
    A deep dive into the text mode editors we had and how they compare to today's
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ครูเคมีใช้เลเซอร์และแผงโซลาร์ส่งเสียงไร้สาย — โปรเจกต์บ้าน ๆ ที่เข้าใจฟิสิกส์ลึกซึ้ง”

    Phil ครูสอนเคมีระดับมัธยมและยูทูบเบอร์สายวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่าแผงโซลาร์เซลล์เล็ก ๆ ที่เขาเชื่อมต่อกับลำโพงจะส่งเสียงออกมาเบา ๆ เมื่อโดนแสง เขาจึงเกิดไอเดียสร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง โดยใช้เพียง iPad, ลำโพงราคาถูก, แผงโซลาร์ และเลเซอร์

    เขาเริ่มจากการต่อ iPad เข้ากับแอมป์ขนาดเล็ก แล้วเชื่อมต่อกับหลอด LED ที่จะกระพริบตามสัญญาณเสียง เมื่อเปิดเพลงจาก iPad แสงจาก LED จะกระพริบตามจังหวะเพลง ซึ่งแผงโซลาร์สามารถ “รับรู้” การเปลี่ยนแปลงของแสงนี้และแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อไปยังลำโพงให้เกิดเสียง

    อย่างไรก็ตาม ระยะส่งสัญญาณของ LED มีจำกัด เพราะความเข้มของแสงลดลงตามกฎกำลังสองผกผัน (inverse square law) เมื่ออยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดแสง เขาจึงเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกแทน ซึ่งสามารถส่งแสงได้ไกลและเข้มกว่า

    ผลลัพธ์คือเสียงเพลงจาก iPad ถูกส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ไปยังแผงโซลาร์ที่อยู่อีกฟากของห้อง และเล่นออกลำโพงได้อย่างชัดเจน แม้คุณภาพเสียงจะไม่ถึงระดับ Hi-Fi แต่ก็ฟังรู้เรื่องและน่าทึ่งมาก

    Phil ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — กองทัพใช้เลเซอร์สื่อสารมาตั้งแต่ยุค 1970 แล้ว — แต่การนำมาทำเป็นโปรเจกต์ DIY แบบนี้ช่วยให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียน ได้เข้าใจฟิสิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อย่างสนุกและจับต้องได้

    ครูเคมีชื่อ Phil สร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง
    ใช้ iPad, แอมป์, LED/เลเซอร์, แผงโซลาร์ และลำโพง

    แสงจาก LED หรือเลเซอร์กระพริบตามสัญญาณเสียง
    แผงโซลาร์รับแสงและแปลงกลับเป็นเสียงผ่านลำโพง

    ใช้กฎ inverse square law อธิบายการลดลงของความเข้มแสง
    ระยะทางส่งสัญญาณมีผลต่อคุณภาพเสียง

    เปลี่ยนจาก LED เป็นเลเซอร์เพื่อเพิ่มระยะและความชัด
    ส่งเสียงได้ไกลขึ้นและชัดเจนขึ้น

    โปรเจกต์นี้เป็นการสาธิตเทคโนโลยีที่กองทัพเคยใช้
    เช่น การสื่อสารด้วยเลเซอร์ในยุค 1970

    จุดประสงค์คือการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน
    เข้าใจฟิสิกส์, อิเล็กทรอนิกส์ และการทดลอง

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/teacher-uses-cheap-laser-and-solar-panel-to-transmit-wireless-sound-ipad-powers-home-project-that-was-inspired-by-solar-panel-making-noise-when-attached-to-speaker
    🔊 “ครูเคมีใช้เลเซอร์และแผงโซลาร์ส่งเสียงไร้สาย — โปรเจกต์บ้าน ๆ ที่เข้าใจฟิสิกส์ลึกซึ้ง” Phil ครูสอนเคมีระดับมัธยมและยูทูบเบอร์สายวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่าแผงโซลาร์เซลล์เล็ก ๆ ที่เขาเชื่อมต่อกับลำโพงจะส่งเสียงออกมาเบา ๆ เมื่อโดนแสง เขาจึงเกิดไอเดียสร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง โดยใช้เพียง iPad, ลำโพงราคาถูก, แผงโซลาร์ และเลเซอร์ เขาเริ่มจากการต่อ iPad เข้ากับแอมป์ขนาดเล็ก แล้วเชื่อมต่อกับหลอด LED ที่จะกระพริบตามสัญญาณเสียง เมื่อเปิดเพลงจาก iPad แสงจาก LED จะกระพริบตามจังหวะเพลง ซึ่งแผงโซลาร์สามารถ “รับรู้” การเปลี่ยนแปลงของแสงนี้และแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อไปยังลำโพงให้เกิดเสียง อย่างไรก็ตาม ระยะส่งสัญญาณของ LED มีจำกัด เพราะความเข้มของแสงลดลงตามกฎกำลังสองผกผัน (inverse square law) เมื่ออยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดแสง เขาจึงเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกแทน ซึ่งสามารถส่งแสงได้ไกลและเข้มกว่า ผลลัพธ์คือเสียงเพลงจาก iPad ถูกส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ไปยังแผงโซลาร์ที่อยู่อีกฟากของห้อง และเล่นออกลำโพงได้อย่างชัดเจน แม้คุณภาพเสียงจะไม่ถึงระดับ Hi-Fi แต่ก็ฟังรู้เรื่องและน่าทึ่งมาก Phil ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — กองทัพใช้เลเซอร์สื่อสารมาตั้งแต่ยุค 1970 แล้ว — แต่การนำมาทำเป็นโปรเจกต์ DIY แบบนี้ช่วยให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียน ได้เข้าใจฟิสิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อย่างสนุกและจับต้องได้ ✅ ครูเคมีชื่อ Phil สร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง ➡️ ใช้ iPad, แอมป์, LED/เลเซอร์, แผงโซลาร์ และลำโพง ✅ แสงจาก LED หรือเลเซอร์กระพริบตามสัญญาณเสียง ➡️ แผงโซลาร์รับแสงและแปลงกลับเป็นเสียงผ่านลำโพง ✅ ใช้กฎ inverse square law อธิบายการลดลงของความเข้มแสง ➡️ ระยะทางส่งสัญญาณมีผลต่อคุณภาพเสียง ✅ เปลี่ยนจาก LED เป็นเลเซอร์เพื่อเพิ่มระยะและความชัด ➡️ ส่งเสียงได้ไกลขึ้นและชัดเจนขึ้น ✅ โปรเจกต์นี้เป็นการสาธิตเทคโนโลยีที่กองทัพเคยใช้ ➡️ เช่น การสื่อสารด้วยเลเซอร์ในยุค 1970 ✅ จุดประสงค์คือการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน ➡️ เข้าใจฟิสิกส์, อิเล็กทรอนิกส์ และการทดลอง https://www.tomshardware.com/maker-stem/teacher-uses-cheap-laser-and-solar-panel-to-transmit-wireless-sound-ipad-powers-home-project-that-was-inspired-by-solar-panel-making-noise-when-attached-to-speaker
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts