• Musk ปั้นซัพพลายเชนชิปในสหรัฐ: จาก PCB สู่แพ็คเกจชิปขั้นสูง

    วิสัยทัศน์ “TeraFab” ของ Elon Musk เริ่มเห็นรูปธรรม: รายงานระบุว่ากำลังพัฒนาโรงงาน Advanced Packaging แบบ FOPLP ในเท็กซัส โดยมี SpaceX เป็นผู้จัดการเริ่มต้น ผลิตคอมโพเนนต์ RF สำหรับ Starlink เป้าหมายเดินเครื่องผลิตช่วงไตรมาส 3 ปี 2026 เพื่อแก้คอขวดซัพพลายเชนในสหรัฐและยกระดับอินทิเกรชันของโมดูล RF/พาวเวอร์ให้แน่นขึ้น ลดต้นทุนและเวลานำส่ง.

    สิ่งนี้สอดคล้องกับการสร้างฐาน PCB ขนาดมหึมาใน Bastrop, Texas ที่ประกาศว่าจะเป็น “โรงงาน PCB ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ” ผลิตอุปกรณ์ Starlink มหาศาล มีแผนเพิ่มดาวเทียมและลูกค้าอีกมาก โครงสร้างพื้นฐาน PCB ทำให้การต่อยอดสู่ FOPLP เป็นธรรมชาติ ทั้งกระบวนการผลิตมีส่วนร่วมกัน และช่วยเร่งสปรินต์ดีไซน์—ผลิต สำหรับระบบดาวเทียม.

    รายงานอีกฉบับชี้ว่าไลน์ FOPLP อาจใช้แผงขนาด 700×700 มม. ซึ่งท้าทายเรื่องการแอ่น/บิด แต่หากสเกลสำเร็จจะลดต้นทุนอย่างมาก และเพิ่มความเร็วการผลิต นอกจากนี้ การผลิตในประเทศช่วยตอบโจทย์สัญญาเชิงความมั่นคงและลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สำหรับเครือข่ายดาวเทียมที่มีการขยายตัวรวดเร็วของ SpaceX.

    ทั้งหมดตั้งอยู่บนภูมิทัศน์การผลิตที่กว้างขึ้นในเท็กซัส—ตั้งแต่ Starbase ที่เป็นฐานทดสอบ/ผลิต Starship ไปจนถึงฐานอุตสาหกรรมในหลายเมือง โครงสร้างพื้นฐานและแรงงานที่เพิ่มขึ้นช่วยโอบอุ้มแผน vertical integration ของ Musk ให้ขับเคลื่อนเร็วขึ้นในห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์จาก PCB ถึงแพ็คเกจชิปขั้นสูง.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    FOPLP กำลังมา: โรงงานแพ็คเกจชิปขั้นสูงในเท็กซัส ตั้งเป้าเริ่มผลิต Q3 2026
    โฟกัสแรก: โมดูล RF/พาวเวอร์สำหรับ Starlink แบบแพ็คเกจอินทิเกรตแน่น ลดต้นทุนเวลานำส่ง

    ฐาน PCB มหึมา: Bastrop จะเป็นโรงงาน PCB ใหญ่สุดในสหรัฐ ผลิตอุปกรณ์ Starlink
    ผลกระทบ: เพิ่มความพึ่งพาตนเอง ลดการเอาท์ซอร์สเอเชีย และเร่งขยายเครือข่ายผู้ใช้

    สเกล 700×700 มม.: พยายามสเกล FOPLP บนแผงขนาดใหญ่อุตสาหกรรม
    ข้อดี: หากสำเร็จ ลดต้นทุนและเพิ่ม throughput อย่างมีนัยสำคัญ

    ระบบนิเวศเท็กซัส: โครงสร้างพื้นฐาน Starbase/โรงงานต่างๆ หนุน vertical integration
    ภาพรวม: สายการผลิตในประเทศสอดคล้องข้อกำหนดสัญญารัฐและลดเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

    ความท้าทายเทคนิค: แผง FOPLP ใหญ่เสี่ยงการแอ่น/บิด และ yield ต่ำในช่วงแรก
    แนวทาง: ต้องลงทุนเครื่องมือ/กระบวนการควบคุมความเรียบและความแม่นยำขั้นสูง

    ไทม์ไลน์ผลิต: Q3 2026 เป็นกรอบเริ่มต้นที่อาจเลื่อนจากการติดตั้ง/ปรับจูน
    ข้อควรเฝ้าระวัง: ความพร้อมเครื่องจักร ซัพพลายเออร์ และทีมกระบวนการอาจกระทบกำลังผลิตเริ่มต้น

    https://wccftech.com/elon-musk-dramatic-chip-ambitions-have-already-started-to-play-out/
    🙎‍♂️ Musk ปั้นซัพพลายเชนชิปในสหรัฐ: จาก PCB สู่แพ็คเกจชิปขั้นสูง 🚀 วิสัยทัศน์ “TeraFab” ของ Elon Musk เริ่มเห็นรูปธรรม: รายงานระบุว่ากำลังพัฒนาโรงงาน Advanced Packaging แบบ FOPLP ในเท็กซัส โดยมี SpaceX เป็นผู้จัดการเริ่มต้น ผลิตคอมโพเนนต์ RF สำหรับ Starlink เป้าหมายเดินเครื่องผลิตช่วงไตรมาส 3 ปี 2026 เพื่อแก้คอขวดซัพพลายเชนในสหรัฐและยกระดับอินทิเกรชันของโมดูล RF/พาวเวอร์ให้แน่นขึ้น ลดต้นทุนและเวลานำส่ง. สิ่งนี้สอดคล้องกับการสร้างฐาน PCB ขนาดมหึมาใน Bastrop, Texas ที่ประกาศว่าจะเป็น “โรงงาน PCB ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ” ผลิตอุปกรณ์ Starlink มหาศาล มีแผนเพิ่มดาวเทียมและลูกค้าอีกมาก โครงสร้างพื้นฐาน PCB ทำให้การต่อยอดสู่ FOPLP เป็นธรรมชาติ ทั้งกระบวนการผลิตมีส่วนร่วมกัน และช่วยเร่งสปรินต์ดีไซน์—ผลิต สำหรับระบบดาวเทียม. รายงานอีกฉบับชี้ว่าไลน์ FOPLP อาจใช้แผงขนาด 700×700 มม. ซึ่งท้าทายเรื่องการแอ่น/บิด แต่หากสเกลสำเร็จจะลดต้นทุนอย่างมาก และเพิ่มความเร็วการผลิต นอกจากนี้ การผลิตในประเทศช่วยตอบโจทย์สัญญาเชิงความมั่นคงและลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สำหรับเครือข่ายดาวเทียมที่มีการขยายตัวรวดเร็วของ SpaceX. ทั้งหมดตั้งอยู่บนภูมิทัศน์การผลิตที่กว้างขึ้นในเท็กซัส—ตั้งแต่ Starbase ที่เป็นฐานทดสอบ/ผลิต Starship ไปจนถึงฐานอุตสาหกรรมในหลายเมือง โครงสร้างพื้นฐานและแรงงานที่เพิ่มขึ้นช่วยโอบอุ้มแผน vertical integration ของ Musk ให้ขับเคลื่อนเร็วขึ้นในห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์จาก PCB ถึงแพ็คเกจชิปขั้นสูง. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ FOPLP กำลังมา: โรงงานแพ็คเกจชิปขั้นสูงในเท็กซัส ตั้งเป้าเริ่มผลิต Q3 2026 ➡️ โฟกัสแรก: โมดูล RF/พาวเวอร์สำหรับ Starlink แบบแพ็คเกจอินทิเกรตแน่น ลดต้นทุนเวลานำส่ง ✅ ฐาน PCB มหึมา: Bastrop จะเป็นโรงงาน PCB ใหญ่สุดในสหรัฐ ผลิตอุปกรณ์ Starlink ➡️ ผลกระทบ: เพิ่มความพึ่งพาตนเอง ลดการเอาท์ซอร์สเอเชีย และเร่งขยายเครือข่ายผู้ใช้ ✅ สเกล 700×700 มม.: พยายามสเกล FOPLP บนแผงขนาดใหญ่อุตสาหกรรม ➡️ ข้อดี: หากสำเร็จ ลดต้นทุนและเพิ่ม throughput อย่างมีนัยสำคัญ ✅ ระบบนิเวศเท็กซัส: โครงสร้างพื้นฐาน Starbase/โรงงานต่างๆ หนุน vertical integration ➡️ ภาพรวม: สายการผลิตในประเทศสอดคล้องข้อกำหนดสัญญารัฐและลดเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ‼️ ความท้าทายเทคนิค: แผง FOPLP ใหญ่เสี่ยงการแอ่น/บิด และ yield ต่ำในช่วงแรก ⛔ แนวทาง: ต้องลงทุนเครื่องมือ/กระบวนการควบคุมความเรียบและความแม่นยำขั้นสูง ‼️ ไทม์ไลน์ผลิต: Q3 2026 เป็นกรอบเริ่มต้นที่อาจเลื่อนจากการติดตั้ง/ปรับจูน ⛔ ข้อควรเฝ้าระวัง: ความพร้อมเครื่องจักร ซัพพลายเออร์ และทีมกระบวนการอาจกระทบกำลังผลิตเริ่มต้น https://wccftech.com/elon-musk-dramatic-chip-ambitions-have-already-started-to-play-out/
    WCCFTECH.COM
    Elon Musk’s Dramatic Chip Ambitions Are Already Taking Shape — And the Early Signs Look Highly Optimistic
    Elon Musk's statements around building up a chip supply were seen as 'ambitious', but it appears that Tesla already has efforts in place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD Zen 6 “EPYC Venice” – ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของโลกเซิร์ฟเวอร์

    AMD ได้เปิดเผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับซีพียูรุ่นถัดไป Zen 6 ภายใต้ชื่อรหัส “EPYC Venice” ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 โดยชูจุดเด่นคือ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้นกว่า 70% เมื่อเทียบกับรุ่น Zen 5 และยังเพิ่มความหนาแน่นของเธรดขึ้นอีก 30% ทำให้รองรับงานในศูนย์ข้อมูลและ AI ได้ดียิ่งขึ้น ซีพียูนี้จะใช้เทคโนโลยีการผลิต 2nm จาก TSMC ที่เปลี่ยนจาก FinFET ไปสู่ Nanosheet (GAA) ซึ่งช่วยให้ได้ทั้งความเร็วสูงขึ้นและการใช้พลังงานที่ลดลง

    นอกจากนี้ EPYC Venice จะมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ และ 512 เธรด ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนที่มี 192 คอร์เท่านั้น การปรับปรุงไม่ได้มาจากจำนวนคอร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเพิ่ม IPC (Instructions per Cycle) และสถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้การประมวลผลต่อคอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังรองรับหน่วยความจำ DDR5 รุ่นใหม่และแบนด์วิดท์ที่สูงขึ้น ซึ่งเหมาะกับงานจำลองทางวิศวกรรมและการประมวลผล AI ขนาดใหญ่

    สิ่งที่น่าสนใจคือ AMD ไม่ได้หยุดแค่ซีพียู แต่ยังเตรียมเปิดตัว Instinct MI400 AI Accelerator ที่มาพร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 19.6TB/s เพื่อรองรับการฝึกและการประมวลผลโมเดล AI ขนาดมหึมา ทำให้ AMD มีแนวโน้มจะขยายส่วนแบ่งตลาดในศูนย์ข้อมูลได้มากกว่า 50%

    สรุป
    จุดเด่นของ Zen 6
    ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้นกว่า 70%
    ความหนาแน่นของเธรดสูงขึ้น 30%
    ใช้เทคโนโลยีการผลิต 2nm จาก TSMC

    ข้อมูลเพิ่มเติม
    สูงสุด 256 คอร์ / 512 เธรด
    รองรับ DDR5 และ PCIe 6.0

    คำเตือน
    การใช้พลังงานอาจสูงขึ้นในบางรุ่น (TDP สูงถึง 600W)
    ซอฟต์แวร์บางประเภทอาจยังไม่รองรับจำนวนคอร์มหาศาล

    https://wccftech.com/amd-next-gen-zen-6-cpus-over-70-percent-performance-efficiency-improvement/
    🖥️ AMD Zen 6 “EPYC Venice” – ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของโลกเซิร์ฟเวอร์ AMD ได้เปิดเผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับซีพียูรุ่นถัดไป Zen 6 ภายใต้ชื่อรหัส “EPYC Venice” ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 โดยชูจุดเด่นคือ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้นกว่า 70% เมื่อเทียบกับรุ่น Zen 5 และยังเพิ่มความหนาแน่นของเธรดขึ้นอีก 30% ทำให้รองรับงานในศูนย์ข้อมูลและ AI ได้ดียิ่งขึ้น ซีพียูนี้จะใช้เทคโนโลยีการผลิต 2nm จาก TSMC ที่เปลี่ยนจาก FinFET ไปสู่ Nanosheet (GAA) ซึ่งช่วยให้ได้ทั้งความเร็วสูงขึ้นและการใช้พลังงานที่ลดลง นอกจากนี้ EPYC Venice จะมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ และ 512 เธรด ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนที่มี 192 คอร์เท่านั้น การปรับปรุงไม่ได้มาจากจำนวนคอร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเพิ่ม IPC (Instructions per Cycle) และสถาปัตยกรรมใหม่ที่ช่วยให้การประมวลผลต่อคอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังรองรับหน่วยความจำ DDR5 รุ่นใหม่และแบนด์วิดท์ที่สูงขึ้น ซึ่งเหมาะกับงานจำลองทางวิศวกรรมและการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ สิ่งที่น่าสนใจคือ AMD ไม่ได้หยุดแค่ซีพียู แต่ยังเตรียมเปิดตัว Instinct MI400 AI Accelerator ที่มาพร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 19.6TB/s เพื่อรองรับการฝึกและการประมวลผลโมเดล AI ขนาดมหึมา ทำให้ AMD มีแนวโน้มจะขยายส่วนแบ่งตลาดในศูนย์ข้อมูลได้มากกว่า 50% 📌 สรุป ✅ จุดเด่นของ Zen 6 ➡️ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้นกว่า 70% ➡️ ความหนาแน่นของเธรดสูงขึ้น 30% ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิต 2nm จาก TSMC ✅ ข้อมูลเพิ่มเติม ➡️ สูงสุด 256 คอร์ / 512 เธรด ➡️ รองรับ DDR5 และ PCIe 6.0 ‼️ คำเตือน ⛔ การใช้พลังงานอาจสูงขึ้นในบางรุ่น (TDP สูงถึง 600W) ⛔ ซอฟต์แวร์บางประเภทอาจยังไม่รองรับจำนวนคอร์มหาศาล https://wccftech.com/amd-next-gen-zen-6-cpus-over-70-percent-performance-efficiency-improvement/
    WCCFTECH.COM
    AMD Promises Big Gains With Next-Gen Zen 6 CPUs: Over 70% Performance & Efficiency Uplift
    AMD's Zen 6 CPUs will deliver over 70% improvement in performance and efficiency versus the existing Zen 5 lineups.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD และปัญหา SSD เขียนข้อมูลไม่หยุด

    เรื่องนี้เริ่มจากผู้ใช้รายหนึ่งพบว่าไดรเวอร์ของ AMD มีพฤติกรรมแปลก ๆ คือทุกครั้งที่ขยับหรือปรับขนาดหน้าต่างบนจอ ระบบจะเขียนข้อมูลลงไฟล์ log อย่างต่อเนื่องราวกับ “ยิงกระสุนข้อมูล” ไปที่ SSD ตลอดเวลา แม้จะเป็นข้อมูลเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้หลายคนกังวลว่าอาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของ SSD ได้ในระยะยาว

    นักวิศวกรบางคนอธิบายว่า การเขียนข้อมูลลักษณะนี้อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะ SSD สมัยใหม่มีระบบ cache ที่ช่วยลดการเขียนจริงลงแผ่น NAND แต่สิ่งที่น่าสนใจคือไฟล์ log นี้เกี่ยวข้องกับบริการที่ชื่อว่า AMD External Events Utility ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับฟีเจอร์ FreeSync หากปิดบริการนี้ก็จะหยุดการเขียนไฟล์ได้ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะกระทบกับการทำงานของ FreeSync หรือไม่

    AMD ยังไม่ได้ออกคำชี้แจงอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ใช้บางรายก็หาทางแก้ชั่วคราว เช่น redirect การเขียนไฟล์ไปที่ nul: เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกบันทึกลง SSD จริง ๆ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็มีความเสี่ยง เพราะอาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาดในบางกรณี

    สรุปประเด็น
    พฤติกรรมไดรเวอร์ AMD เขียนไฟล์ log ทุกครั้งที่ขยับหน้าต่าง
    เกิดจากบริการ AMD External Events Utility

    การเขียนข้อมูลมีขนาดเล็กและอาจไม่กระทบ SSD มากนัก
    SSD รุ่นใหม่มีระบบ cache ลดการเขียนจริง

    การปิดบริการอาจกระทบ FreeSync
    ยังไม่มีการยืนยันผลกระทบจาก AMD

    การ redirect ไฟล์ไป nul: อาจเสี่ยงต่อระบบ
    ผู้ใช้ควรระวังและทดสอบก่อนใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/software/windows/amd-users-flag-heavy-ssd-write-activity-tied-to-chipset-driver-incessant-log-file-writes-observed-every-time-a-window-is-moved-or-resized
    🖥️ AMD และปัญหา SSD เขียนข้อมูลไม่หยุด เรื่องนี้เริ่มจากผู้ใช้รายหนึ่งพบว่าไดรเวอร์ของ AMD มีพฤติกรรมแปลก ๆ คือทุกครั้งที่ขยับหรือปรับขนาดหน้าต่างบนจอ ระบบจะเขียนข้อมูลลงไฟล์ log อย่างต่อเนื่องราวกับ “ยิงกระสุนข้อมูล” ไปที่ SSD ตลอดเวลา แม้จะเป็นข้อมูลเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้หลายคนกังวลว่าอาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของ SSD ได้ในระยะยาว นักวิศวกรบางคนอธิบายว่า การเขียนข้อมูลลักษณะนี้อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะ SSD สมัยใหม่มีระบบ cache ที่ช่วยลดการเขียนจริงลงแผ่น NAND แต่สิ่งที่น่าสนใจคือไฟล์ log นี้เกี่ยวข้องกับบริการที่ชื่อว่า AMD External Events Utility ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับฟีเจอร์ FreeSync หากปิดบริการนี้ก็จะหยุดการเขียนไฟล์ได้ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะกระทบกับการทำงานของ FreeSync หรือไม่ AMD ยังไม่ได้ออกคำชี้แจงอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ใช้บางรายก็หาทางแก้ชั่วคราว เช่น redirect การเขียนไฟล์ไปที่ nul: เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกบันทึกลง SSD จริง ๆ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็มีความเสี่ยง เพราะอาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาดในบางกรณี 📌 สรุปประเด็น ✅ พฤติกรรมไดรเวอร์ AMD เขียนไฟล์ log ทุกครั้งที่ขยับหน้าต่าง ➡️ เกิดจากบริการ AMD External Events Utility ✅ การเขียนข้อมูลมีขนาดเล็กและอาจไม่กระทบ SSD มากนัก ➡️ SSD รุ่นใหม่มีระบบ cache ลดการเขียนจริง ‼️ การปิดบริการอาจกระทบ FreeSync ⛔ ยังไม่มีการยืนยันผลกระทบจาก AMD ‼️ การ redirect ไฟล์ไป nul: อาจเสี่ยงต่อระบบ ⛔ ผู้ใช้ควรระวังและทดสอบก่อนใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/software/windows/amd-users-flag-heavy-ssd-write-activity-tied-to-chipset-driver-incessant-log-file-writes-observed-every-time-a-window-is-moved-or-resized
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD users flag heavy SSD write activity tied to chipset driver — incessant log file writes observed every time a window is moved or resized
    Disabling the AMD External Events Utility service appears to be a workaround, but with modern disk caching, we aren’t sure there’s a tangible problem.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศ สร้าง “T-Dome” ป้องกันขีปนาวุธ

    ไต้หวันประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP พร้อมพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล โดยตั้งชื่อว่า T-Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนที่อาจใช้ขีปนาวุธโจมตี

    สิ่งที่ทำให้โลกจับตามองคือคำเตือนจากนักวิจัยว่า หากจีนยิงขีปนาวุธเพียงลูกเดียวใส่ Hsinchu Science Park ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปของ TSMC ผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ GDP โลกหดตัว 6–10% และการผลิต iPhone อาจหยุดชะงักไปนานถึง 3 ปีเต็ม

    แม้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรพยายามสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น TSMC ที่ลงทุนในรัฐแอริโซนา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวันได้ นี่ทำให้ไต้หวันยังคงเป็น “จุดเปราะบางที่สุด” ของห่วงโซ่อุปทานโลก

    สรุปประเด็น
    ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP
    พัฒนาระบบ T-Dome ป้องกันภัยทางอากาศ

    Hsinchu Science Park เป็นหัวใจการผลิตชิปโลก
    มี TSMC และบริษัทกว่า 600 แห่งตั้งอยู่

    สหรัฐฯ พยายามสร้างโรงงานชิปในประเทศ
    แต่ต้องใช้เวลา 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวัน

    หากจีนโจมตี Hsinchu จะกระทบเศรษฐกิจโลกทันที
    GDP โลกอาจหดตัว 6–10% และ iPhone ขาดตลาด 3 ปี

    ความเสี่ยงสูงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    ทำให้ทั้ง AI, รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมไฮเทคหยุดชะงัก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-to-up-defense-spending-and-develop-iron-dome-inspired-missile-protection-expert-warns-one-well-placed-chinese-missile-could-make-it-impossible-to-get-a-new-iphone-for-three-years
    🚀 ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศ สร้าง “T-Dome” ป้องกันขีปนาวุธ ไต้หวันประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP พร้อมพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล โดยตั้งชื่อว่า T-Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนที่อาจใช้ขีปนาวุธโจมตี สิ่งที่ทำให้โลกจับตามองคือคำเตือนจากนักวิจัยว่า หากจีนยิงขีปนาวุธเพียงลูกเดียวใส่ Hsinchu Science Park ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปของ TSMC ผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ GDP โลกหดตัว 6–10% และการผลิต iPhone อาจหยุดชะงักไปนานถึง 3 ปีเต็ม แม้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรพยายามสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น TSMC ที่ลงทุนในรัฐแอริโซนา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวันได้ นี่ทำให้ไต้หวันยังคงเป็น “จุดเปราะบางที่สุด” ของห่วงโซ่อุปทานโลก 📌 สรุปประเด็น ✅ ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP ➡️ พัฒนาระบบ T-Dome ป้องกันภัยทางอากาศ ✅ Hsinchu Science Park เป็นหัวใจการผลิตชิปโลก ➡️ มี TSMC และบริษัทกว่า 600 แห่งตั้งอยู่ ✅ สหรัฐฯ พยายามสร้างโรงงานชิปในประเทศ ➡️ แต่ต้องใช้เวลา 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวัน ‼️ หากจีนโจมตี Hsinchu จะกระทบเศรษฐกิจโลกทันที ⛔ GDP โลกอาจหดตัว 6–10% และ iPhone ขาดตลาด 3 ปี ‼️ ความเสี่ยงสูงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ⛔ ทำให้ทั้ง AI, รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมไฮเทคหยุดชะงัก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-to-up-defense-spending-and-develop-iron-dome-inspired-missile-protection-expert-warns-one-well-placed-chinese-missile-could-make-it-impossible-to-get-a-new-iphone-for-three-years
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • Checkout.com ยืนหยัดต่อกรกับการขู่กรรโชกไซเบอร์

    Checkout.com บริษัทด้านการชำระเงินระดับโลกออกแถลงการณ์ว่าเพิ่งถูกกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ “ShinyHunters” พยายามขู่กรรโชก โดยเจาะเข้าระบบเก็บไฟล์เก่าที่เคยใช้ในปี 2020 แต่ไม่ได้ปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ แม้ข้อมูลบางส่วนของลูกค้าอาจได้รับผลกระทบ แต่ระบบประมวลผลการชำระเงินสดใหม่ยังปลอดภัย ไม่ถูกแตะต้อง และไม่มีเงินหรือข้อมูลบัตรเครดิตรั่วไหล

    สิ่งที่น่าสนใจคือบริษัทเลือกที่จะไม่จ่ายค่าไถ่ แต่กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ Oxford เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ถือเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และสร้างภาพลักษณ์ด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม

    จากข้อมูลเพิ่มเติมในโลกไซเบอร์ปี 2025 กลุ่ม ShinyHunters ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่มีการจับมือกับกลุ่ม Scattered Spider และ LAPSUS$ เพื่อทำการโจมตีเชิงสังคมวิศวกรรม (social engineering) เช่นการโทรหลอก (vishing) และสร้างแอปปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูล สิ่งนี้สะท้อนว่าการโจมตีไซเบอร์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น

    สรุป
    เหตุการณ์การขู่กรรโชก
    กลุ่ม ShinyHunters เจาะระบบไฟล์เก่า ไม่กระทบระบบจ่ายเงินสดใหม่

    การตอบสนองของบริษัท
    ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่บริจาคเงินเพื่อวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์

    ความเคลื่อนไหวในโลกไซเบอร์
    ShinyHunters จับมือกับกลุ่มอื่น ใช้เทคนิค vishing และ phishing ที่ซับซ้อน

    คำเตือน
    ธุรกิจที่ยังใช้ระบบเก่าโดยไม่ปิดอย่างถูกต้องเสี่ยงต่อการถูกเจาะข้อมูล
    การโจมตีเชิงสังคมวิศวกรรมกำลังเป็นภัยที่ยากต่อการป้องกัน

    https://www.checkout.com/blog/protecting-our-merchants-standing-up-to-extortion
    🛡️ Checkout.com ยืนหยัดต่อกรกับการขู่กรรโชกไซเบอร์ Checkout.com บริษัทด้านการชำระเงินระดับโลกออกแถลงการณ์ว่าเพิ่งถูกกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ “ShinyHunters” พยายามขู่กรรโชก โดยเจาะเข้าระบบเก็บไฟล์เก่าที่เคยใช้ในปี 2020 แต่ไม่ได้ปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ แม้ข้อมูลบางส่วนของลูกค้าอาจได้รับผลกระทบ แต่ระบบประมวลผลการชำระเงินสดใหม่ยังปลอดภัย ไม่ถูกแตะต้อง และไม่มีเงินหรือข้อมูลบัตรเครดิตรั่วไหล สิ่งที่น่าสนใจคือบริษัทเลือกที่จะไม่จ่ายค่าไถ่ แต่กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ Oxford เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ถือเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และสร้างภาพลักษณ์ด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม จากข้อมูลเพิ่มเติมในโลกไซเบอร์ปี 2025 กลุ่ม ShinyHunters ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่มีการจับมือกับกลุ่ม Scattered Spider และ LAPSUS$ เพื่อทำการโจมตีเชิงสังคมวิศวกรรม (social engineering) เช่นการโทรหลอก (vishing) และสร้างแอปปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูล สิ่งนี้สะท้อนว่าการโจมตีไซเบอร์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น 📌 สรุป ✅ เหตุการณ์การขู่กรรโชก ➡️ กลุ่ม ShinyHunters เจาะระบบไฟล์เก่า ไม่กระทบระบบจ่ายเงินสดใหม่ ✅ การตอบสนองของบริษัท ➡️ ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่บริจาคเงินเพื่อวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ ความเคลื่อนไหวในโลกไซเบอร์ ➡️ ShinyHunters จับมือกับกลุ่มอื่น ใช้เทคนิค vishing และ phishing ที่ซับซ้อน ‼️ คำเตือน ⛔ ธุรกิจที่ยังใช้ระบบเก่าโดยไม่ปิดอย่างถูกต้องเสี่ยงต่อการถูกเจาะข้อมูล ⛔ การโจมตีเชิงสังคมวิศวกรรมกำลังเป็นภัยที่ยากต่อการป้องกัน https://www.checkout.com/blog/protecting-our-merchants-standing-up-to-extortion
    WWW.CHECKOUT.COM
    Protecting our Merchants: Standing up to Extortion
    Our statement detailing an incident concerning a legacy system. We outline our commitment to transparency, accountability, and planned investment in cyber security research.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Zed คือสำนักงานเสมือนจริง"

    Zed Industries พัฒนาโปรแกรมแก้ไขโค้ดที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนโปรแกรม แต่กลายเป็น “สำนักงานเสมือนจริง” ที่ทีมงานใช้ทำงานร่วมกันทั้งหมด ตั้งแต่การประชุม ไปจนถึงการแก้ไขโค้ดพร้อมกันแบบเรียลไทม์ จุดเด่นคือการทำงานร่วมกันที่ไร้รอยต่อ ไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินหรือแชร์ลิงก์ซ้ำซ้อน ทุกอย่างถูกออกแบบมาให้เหมือนนั่งทำงานข้างกัน แม้จะอยู่คนละซีกโลก

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Zed ใช้เทคโนโลยี CRDTs เพื่อให้การแก้ไขไฟล์หลายคนพร้อมกันไม่เกิดความขัดแย้ง และยังมีระบบช่อง (channels) ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องประชุมเสมือนจริง มีทั้งพื้นที่สำหรับการประชุมใหญ่ การทำงานโครงการ และแม้แต่ “โต๊ะทำงานส่วนตัว” ของแต่ละคน ทำให้การทำงานแบบ remote มีความใกล้เคียงกับการทำงานในออฟฟิศจริงมากขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    Zed เป็นสำนักงานเสมือนจริง
    ใช้สำหรับประชุม all-hands, retrospectives, demos
    มีระบบ channels และ subchannels สำหรับโครงการและงานส่วนตัว

    จุดเด่นของ Zed
    ใช้ CRDTs ป้องกันความขัดแย้งในการแก้ไขไฟล์
    มีระบบเสียงและแชร์หน้าจอในตัว ไม่ต้องใช้ Zoom/Slack

    การใช้งานจริง
    ทีมงานใช้ Zed สร้าง Zed เอง
    มีการเปิดช่องสาธารณะให้คนภายนอกเข้ามาดูการทำงาน

    คำเตือน
    หากระบบ collaboration ล้มเหลว อาจกระทบการทำงานทั้งบริษัท
    การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อความยืดหยุ่น

    https://zed.dev/blog/zed-is-our-office
    💻 "Zed คือสำนักงานเสมือนจริง" Zed Industries พัฒนาโปรแกรมแก้ไขโค้ดที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนโปรแกรม แต่กลายเป็น “สำนักงานเสมือนจริง” ที่ทีมงานใช้ทำงานร่วมกันทั้งหมด ตั้งแต่การประชุม ไปจนถึงการแก้ไขโค้ดพร้อมกันแบบเรียลไทม์ จุดเด่นคือการทำงานร่วมกันที่ไร้รอยต่อ ไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินหรือแชร์ลิงก์ซ้ำซ้อน ทุกอย่างถูกออกแบบมาให้เหมือนนั่งทำงานข้างกัน แม้จะอยู่คนละซีกโลก สิ่งที่น่าสนใจคือ Zed ใช้เทคโนโลยี CRDTs เพื่อให้การแก้ไขไฟล์หลายคนพร้อมกันไม่เกิดความขัดแย้ง และยังมีระบบช่อง (channels) ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องประชุมเสมือนจริง มีทั้งพื้นที่สำหรับการประชุมใหญ่ การทำงานโครงการ และแม้แต่ “โต๊ะทำงานส่วนตัว” ของแต่ละคน ทำให้การทำงานแบบ remote มีความใกล้เคียงกับการทำงานในออฟฟิศจริงมากขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ Zed เป็นสำนักงานเสมือนจริง ➡️ ใช้สำหรับประชุม all-hands, retrospectives, demos ➡️ มีระบบ channels และ subchannels สำหรับโครงการและงานส่วนตัว ✅ จุดเด่นของ Zed ➡️ ใช้ CRDTs ป้องกันความขัดแย้งในการแก้ไขไฟล์ ➡️ มีระบบเสียงและแชร์หน้าจอในตัว ไม่ต้องใช้ Zoom/Slack ✅ การใช้งานจริง ➡️ ทีมงานใช้ Zed สร้าง Zed เอง ➡️ มีการเปิดช่องสาธารณะให้คนภายนอกเข้ามาดูการทำงาน ‼️ คำเตือน ⛔ หากระบบ collaboration ล้มเหลว อาจกระทบการทำงานทั้งบริษัท ⛔ การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อความยืดหยุ่น https://zed.dev/blog/zed-is-our-office
    ZED.DEV
    Zed Is Our Office - Zed Blog
    From the Zed Blog: A look at how we use Zed's native collaboration features to run our entire company.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • “การแปรรูปรถไฟอังกฤษที่ล้มเหลว”

    เรื่องราวนี้เล่าถึงการแปรรูปรถไฟอังกฤษในช่วงปี 1990s ที่ถูกขายออกไปให้เอกชน โดยหวังว่าจะสร้างการแข่งขันและยกระดับคุณภาพ แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ระบบรถไฟที่เคยมีประสิทธิภาพสูงกลับเผชิญปัญหามากมาย ทั้งอุบัติเหตุร้ายแรง การขาดการลงทุน และการจัดการที่ซับซ้อนเกินไป จนท้ายที่สุดต้องกลับเข้าสู่การดูแลของรัฐอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่ชื่อว่า Great British Railways (GBR)

    การเล่าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า การแปรรูปไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยและความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ แต่กลับเน้นผลประโยชน์ทางการเงินของเอกชน ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพยากรอย่างมหาศาล ปัจจุบันแม้ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนการกลับมาเป็นของรัฐ แต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจว่าระบบใหม่จะสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    การแปรรูปรถไฟอังกฤษในปี 1990s
    ถูกขายให้เอกชนหลายบริษัท ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและขบวนรถ
    เกิดการจัดการที่ซับซ้อนและไม่ต่อเนื่อง

    ผลกระทบหลังแปรรูป
    เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้ง เช่น Southall, Ladbroke Grove, Hatfield
    ผู้โดยสารเผชิญปัญหาความปลอดภัยและความล่าช้า

    การกลับสู่รัฐ
    ก่อตั้ง Network Rail และต่อมา Great British Railways
    ประชาชน 75% สนับสนุนการเป็นของรัฐ

    คำเตือน
    การแปรรูปโดยไม่คำนึงถึงบริการสาธารณะอาจสร้างหายนะ
    การเมืองและผลประโยชน์อาจทำให้การปฏิรูปไม่ยั่งยืน

    https://www.rosalux.de/en/news/id/53917/britains-railway-privatization-was-an-abject-failure
    🚆 “การแปรรูปรถไฟอังกฤษที่ล้มเหลว” เรื่องราวนี้เล่าถึงการแปรรูปรถไฟอังกฤษในช่วงปี 1990s ที่ถูกขายออกไปให้เอกชน โดยหวังว่าจะสร้างการแข่งขันและยกระดับคุณภาพ แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ระบบรถไฟที่เคยมีประสิทธิภาพสูงกลับเผชิญปัญหามากมาย ทั้งอุบัติเหตุร้ายแรง การขาดการลงทุน และการจัดการที่ซับซ้อนเกินไป จนท้ายที่สุดต้องกลับเข้าสู่การดูแลของรัฐอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่ชื่อว่า Great British Railways (GBR) การเล่าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า การแปรรูปไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยและความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ แต่กลับเน้นผลประโยชน์ทางการเงินของเอกชน ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพยากรอย่างมหาศาล ปัจจุบันแม้ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนการกลับมาเป็นของรัฐ แต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจว่าระบบใหม่จะสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ การแปรรูปรถไฟอังกฤษในปี 1990s ➡️ ถูกขายให้เอกชนหลายบริษัท ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและขบวนรถ ➡️ เกิดการจัดการที่ซับซ้อนและไม่ต่อเนื่อง ✅ ผลกระทบหลังแปรรูป ➡️ เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้ง เช่น Southall, Ladbroke Grove, Hatfield ➡️ ผู้โดยสารเผชิญปัญหาความปลอดภัยและความล่าช้า ✅ การกลับสู่รัฐ ➡️ ก่อตั้ง Network Rail และต่อมา Great British Railways ➡️ ประชาชน 75% สนับสนุนการเป็นของรัฐ ‼️ คำเตือน ⛔ การแปรรูปโดยไม่คำนึงถึงบริการสาธารณะอาจสร้างหายนะ ⛔ การเมืองและผลประโยชน์อาจทำให้การปฏิรูปไม่ยั่งยืน https://www.rosalux.de/en/news/id/53917/britains-railway-privatization-was-an-abject-failure
    WWW.ROSALUX.DE
    Britain’s Railway Privatization Was an Abject Failure - Rosa-Luxemburg-Stiftung
    Sold off in the 1990s, the UK’s railways are returning to public hands — but at what cost?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • "MCP Servers – เทคโนโลยีใหม่ที่มาแรง แต่ยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย"

    MCP (Model Context Protocol) กำลังกลายเป็นมาตรฐานสำคัญที่ช่วยให้ AI agents สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลและเครื่องมือภายนอกได้สะดวกขึ้น แต่ความนิยมที่เพิ่มขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย เช่น prompt injection, token theft และการโจมตีข้ามเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลภายในองค์กรรั่วไหลได้หากไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ

    ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงมาตรฐาน MCP อย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มการรองรับ OAuth และระบบ third-party authentication อย่าง Auth0 หรือ Okta รวมถึงการเปิดตัว MCP Registry เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเซิร์ฟเวอร์ อย่างไรก็ตาม การยืนยันตัวตนยังคงเป็นเพียง "ทางเลือก" ไม่ใช่ข้อบังคับ ทำให้หลายองค์กรยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง

    ผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น AWS, Microsoft และ Google Cloud ต่างก็ออกเครื่องมือเสริมเพื่อช่วยป้องกัน MCP servers เช่น ระบบ Zero Trust, การตรวจจับ prompt injection และการจัดเก็บข้อมูลลับใน Secret Manager ขณะเดียวกัน ผู้เล่นหน้าใหม่และสตาร์ทอัพก็เข้ามาเสนอโซลูชันเฉพาะทาง เช่น การสแกนหา MCP servers ที่ซ่อนอยู่ในองค์กร หรือการสร้าง proxy เพื่อกันข้อมูลรั่วไหล

    สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายบริษัทใหญ่ เช่น PayPal, Slack และ GitHub ได้เปิดตัว MCP servers ของตนเองแล้ว เพื่อให้ AI agents เชื่อมต่อกับบริการได้โดยตรง ขณะที่ผู้ให้บริการ third-party อย่าง Zapier ก็เปิดให้เชื่อมต่อกับแอปกว่า 8,000 ตัว ซึ่งสะท้อนว่า MCP กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลก AI แต่ก็ยังต้องการการป้องกันที่เข้มงวดกว่านี้

    สรุปสาระสำคัญ
    การพัฒนาและการใช้งาน MCP Servers
    MCP ช่วยให้ AI agents เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้สะดวก
    มีการเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันตัวตนจาก third-party เช่น Okta, Auth0
    เปิดตัว MCP Registry เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเซิร์ฟเวอร์

    ผู้ให้บริการรายใหญ่และสตาร์ทอัพเข้ามาเสริมความปลอดภัย
    AWS, Microsoft, Google Cloud เพิ่มระบบ Zero Trust และการตรวจจับ prompt injection
    สตาร์ทอัพเสนอเครื่องมือสแกน MCP servers และ proxy ป้องกันข้อมูลรั่วไหล

    การใช้งานจริงในองค์กรและแพลตฟอร์มต่างๆ
    PayPal, Slack, GitHub เปิดตัว MCP servers ของตนเอง
    Zapier ให้เชื่อมต่อกับกว่า 8,000 แอปพลิเคชัน

    ความเสี่ยงและช่องโหว่ที่ยังคงอยู่
    Authentication ยังเป็นเพียงทางเลือก ไม่ใช่ข้อบังคับ
    เสี่ยงต่อ prompt injection, token theft และการโจมตีข้ามเซิร์ฟเวอร์
    MCP servers ที่ไม่เป็นทางการอาจไม่ปลอดภัยและเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล

    https://www.csoonline.com/article/4087656/what-cisos-need-to-know-about-new-tools-for-securing-mcp-servers.html
    🛡️ "MCP Servers – เทคโนโลยีใหม่ที่มาแรง แต่ยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย" MCP (Model Context Protocol) กำลังกลายเป็นมาตรฐานสำคัญที่ช่วยให้ AI agents สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลและเครื่องมือภายนอกได้สะดวกขึ้น แต่ความนิยมที่เพิ่มขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย เช่น prompt injection, token theft และการโจมตีข้ามเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลภายในองค์กรรั่วไหลได้หากไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงมาตรฐาน MCP อย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มการรองรับ OAuth และระบบ third-party authentication อย่าง Auth0 หรือ Okta รวมถึงการเปิดตัว MCP Registry เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเซิร์ฟเวอร์ อย่างไรก็ตาม การยืนยันตัวตนยังคงเป็นเพียง "ทางเลือก" ไม่ใช่ข้อบังคับ ทำให้หลายองค์กรยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง ผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น AWS, Microsoft และ Google Cloud ต่างก็ออกเครื่องมือเสริมเพื่อช่วยป้องกัน MCP servers เช่น ระบบ Zero Trust, การตรวจจับ prompt injection และการจัดเก็บข้อมูลลับใน Secret Manager ขณะเดียวกัน ผู้เล่นหน้าใหม่และสตาร์ทอัพก็เข้ามาเสนอโซลูชันเฉพาะทาง เช่น การสแกนหา MCP servers ที่ซ่อนอยู่ในองค์กร หรือการสร้าง proxy เพื่อกันข้อมูลรั่วไหล สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายบริษัทใหญ่ เช่น PayPal, Slack และ GitHub ได้เปิดตัว MCP servers ของตนเองแล้ว เพื่อให้ AI agents เชื่อมต่อกับบริการได้โดยตรง ขณะที่ผู้ให้บริการ third-party อย่าง Zapier ก็เปิดให้เชื่อมต่อกับแอปกว่า 8,000 ตัว ซึ่งสะท้อนว่า MCP กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลก AI แต่ก็ยังต้องการการป้องกันที่เข้มงวดกว่านี้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การพัฒนาและการใช้งาน MCP Servers ➡️ MCP ช่วยให้ AI agents เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้สะดวก ➡️ มีการเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันตัวตนจาก third-party เช่น Okta, Auth0 ➡️ เปิดตัว MCP Registry เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเซิร์ฟเวอร์ ✅ ผู้ให้บริการรายใหญ่และสตาร์ทอัพเข้ามาเสริมความปลอดภัย ➡️ AWS, Microsoft, Google Cloud เพิ่มระบบ Zero Trust และการตรวจจับ prompt injection ➡️ สตาร์ทอัพเสนอเครื่องมือสแกน MCP servers และ proxy ป้องกันข้อมูลรั่วไหล ✅ การใช้งานจริงในองค์กรและแพลตฟอร์มต่างๆ ➡️ PayPal, Slack, GitHub เปิดตัว MCP servers ของตนเอง ➡️ Zapier ให้เชื่อมต่อกับกว่า 8,000 แอปพลิเคชัน ‼️ ความเสี่ยงและช่องโหว่ที่ยังคงอยู่ ⛔ Authentication ยังเป็นเพียงทางเลือก ไม่ใช่ข้อบังคับ ⛔ เสี่ยงต่อ prompt injection, token theft และการโจมตีข้ามเซิร์ฟเวอร์ ⛔ MCP servers ที่ไม่เป็นทางการอาจไม่ปลอดภัยและเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล https://www.csoonline.com/article/4087656/what-cisos-need-to-know-about-new-tools-for-securing-mcp-servers.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What CISOs need to know about new tools for securing MCP servers
    As MCP servers become more popular, so do the risks. To address some of the risks many vendors have started to offer products meant to secure the use of MCP servers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • มิจฉาชีพใช้ฟีเจอร์ Screen Sharing บน WhatsApp ขโมย OTP และเงิน

    ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วคือการหลอกให้เหยื่อแชร์หน้าจอผ่าน WhatsApp โดยมิจฉาชีพจะโทรเข้ามาในรูปแบบวิดีโอคอล แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือฝ่ายสนับสนุนของ Meta แล้วสร้างความตื่นตระหนกว่าบัญชีถูกแฮ็กหรือมีการใช้บัตรเครดิตผิดปกติ จากนั้นจึงขอให้เหยื่อแชร์หน้าจอหรือแม้แต่ติดตั้งแอปควบคุมระยะไกลอย่าง AnyDesk หรือ TeamViewer

    เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและแชร์หน้าจอ มิจฉาชีพสามารถเห็นรหัสผ่าน ข้อมูลธนาคาร และที่สำคัญคือ OTP (One-Time Password) ที่ปรากฏขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงบัญชีและเงินได้ทันที มีกรณีในฮ่องกงที่เหยื่อสูญเงินกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ

    Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ หากผู้ใช้แชร์หน้าจอกับเบอร์ที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ พร้อมทั้งลบแอคเคานต์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงไปแล้วหลายล้านราย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่แชร์หน้าจอหรือรหัสใด ๆ กับคนแปลกหน้า และควรเปิดการยืนยันสองขั้นตอนใน WhatsApp เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ
    โทรวิดีโอคอล, แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่, ขอแชร์หน้าจอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
    สูญเงินมหาศาล, ขโมย OTP และข้อมูลส่วนตัว

    การตอบโต้ของ Meta
    ระบบแจ้งเตือน, ลบแอคเคานต์ปลอม, ใช้ AI ตรวจสอบ

    ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง
    อย่าแชร์หน้าจอหรือรหัสกับคนแปลกหน้า, เปิด Two-Step Verification

    https://hackread.com/whatsapp-screen-sharing-scammers-steal-otps-funds/
    📱 มิจฉาชีพใช้ฟีเจอร์ Screen Sharing บน WhatsApp ขโมย OTP และเงิน ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วคือการหลอกให้เหยื่อแชร์หน้าจอผ่าน WhatsApp โดยมิจฉาชีพจะโทรเข้ามาในรูปแบบวิดีโอคอล แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือฝ่ายสนับสนุนของ Meta แล้วสร้างความตื่นตระหนกว่าบัญชีถูกแฮ็กหรือมีการใช้บัตรเครดิตผิดปกติ จากนั้นจึงขอให้เหยื่อแชร์หน้าจอหรือแม้แต่ติดตั้งแอปควบคุมระยะไกลอย่าง AnyDesk หรือ TeamViewer เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและแชร์หน้าจอ มิจฉาชีพสามารถเห็นรหัสผ่าน ข้อมูลธนาคาร และที่สำคัญคือ OTP (One-Time Password) ที่ปรากฏขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงบัญชีและเงินได้ทันที มีกรณีในฮ่องกงที่เหยื่อสูญเงินกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ หากผู้ใช้แชร์หน้าจอกับเบอร์ที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ พร้อมทั้งลบแอคเคานต์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงไปแล้วหลายล้านราย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่แชร์หน้าจอหรือรหัสใด ๆ กับคนแปลกหน้า และควรเปิดการยืนยันสองขั้นตอนใน WhatsApp เพื่อเพิ่มความปลอดภัย 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ➡️ โทรวิดีโอคอล, แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่, ขอแชร์หน้าจอ ✅ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง ➡️ สูญเงินมหาศาล, ขโมย OTP และข้อมูลส่วนตัว ✅ การตอบโต้ของ Meta ➡️ ระบบแจ้งเตือน, ลบแอคเคานต์ปลอม, ใช้ AI ตรวจสอบ ‼️ ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง ⛔ อย่าแชร์หน้าจอหรือรหัสกับคนแปลกหน้า, เปิด Two-Step Verification https://hackread.com/whatsapp-screen-sharing-scammers-steal-otps-funds/
    HACKREAD.COM
    Scammers Abuse WhatsApp Screen Sharing to Steal OTPs and Funds
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ในกลยุทธ์ EASM – เมื่อผู้โจมตีใช้ประโยชน์จาก “Blind Spots”

    เรื่องราวนี้เล่าถึงการจัดการ External Attack Surface Management (EASM) ที่หลายองค์กรใช้เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ แต่กลับมีจุดบอดที่ผู้โจมตีสามารถเจาะเข้ามาได้ง่าย ๆ เช่น เซิร์ฟเวอร์เก่าที่ไม่ได้อัปเดต, อุปกรณ์ที่พนักงานนำมาใช้เองโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ หรือแม้แต่ระบบของพันธมิตรที่องค์กรไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เหตุการณ์จริงที่สะท้อนความร้ายแรงคือการโจมตี Oracle ในปี 2025 ที่เกิดจากเพียงซับโดเมนที่ไม่มีการจัดการ แต่กลับนำไปสู่การรั่วไหลข้อมูลลูกค้านับล้านราย

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงบทบาทของ AI ที่ทั้งช่วยและทำร้ายได้ในเวลาเดียวกัน ฝั่งผู้โจมตีใช้ AI เพื่อเร่งการสแกนและสร้างสคริปต์โจมตี ส่วนฝั่งป้องกันก็ใช้ AI เพื่อค้นหาและจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว AI ไม่ได้สร้างความได้เปรียบที่ชัดเจน เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็พัฒนาแข่งกันอยู่ตลอดเวลา

    สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคือการสแกนระบบอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงรายไตรมาส และควรลบโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ได้ใช้งานออกไป รวมถึงการเสริมชั้นการตรวจสอบเพิ่มเติมนอกเหนือจาก Microsoft Defender เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมเชื่อมโยงเข้ากับระบบ SIEM และ SOAR เพื่อให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    จุดบอดของ EASM ที่ผู้โจมตีใช้ประโยชน์
    เซิร์ฟเวอร์เก่า, Shadow IT, ระบบพันธมิตรที่ไม่ปลอดภัย

    AI มีบทบาททั้งช่วยและทำร้าย
    ผู้โจมตีใช้เพื่อเร่งการโจมตี, ฝั่งป้องกันใช้เพื่อค้นหาช่องโหว่

    วิธีเสริมความปลอดภัย
    สแกนต่อเนื่อง, ลบระบบที่ไม่ได้ใช้งาน, เพิ่มชั้นตรวจสอบ

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาเครื่องมือเดียว
    Defender เพียงอย่างเดียวอาจสร้างความมั่นใจผิด ๆ

    https://hackread.com/how-adversaries-exploit-blind-spots-easm-strategy/
    🛡️ ช่องโหว่ในกลยุทธ์ EASM – เมื่อผู้โจมตีใช้ประโยชน์จาก “Blind Spots” เรื่องราวนี้เล่าถึงการจัดการ External Attack Surface Management (EASM) ที่หลายองค์กรใช้เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ แต่กลับมีจุดบอดที่ผู้โจมตีสามารถเจาะเข้ามาได้ง่าย ๆ เช่น เซิร์ฟเวอร์เก่าที่ไม่ได้อัปเดต, อุปกรณ์ที่พนักงานนำมาใช้เองโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ หรือแม้แต่ระบบของพันธมิตรที่องค์กรไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เหตุการณ์จริงที่สะท้อนความร้ายแรงคือการโจมตี Oracle ในปี 2025 ที่เกิดจากเพียงซับโดเมนที่ไม่มีการจัดการ แต่กลับนำไปสู่การรั่วไหลข้อมูลลูกค้านับล้านราย นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงบทบาทของ AI ที่ทั้งช่วยและทำร้ายได้ในเวลาเดียวกัน ฝั่งผู้โจมตีใช้ AI เพื่อเร่งการสแกนและสร้างสคริปต์โจมตี ส่วนฝั่งป้องกันก็ใช้ AI เพื่อค้นหาและจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว AI ไม่ได้สร้างความได้เปรียบที่ชัดเจน เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็พัฒนาแข่งกันอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคือการสแกนระบบอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงรายไตรมาส และควรลบโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ได้ใช้งานออกไป รวมถึงการเสริมชั้นการตรวจสอบเพิ่มเติมนอกเหนือจาก Microsoft Defender เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมเชื่อมโยงเข้ากับระบบ SIEM และ SOAR เพื่อให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ จุดบอดของ EASM ที่ผู้โจมตีใช้ประโยชน์ ➡️ เซิร์ฟเวอร์เก่า, Shadow IT, ระบบพันธมิตรที่ไม่ปลอดภัย ✅ AI มีบทบาททั้งช่วยและทำร้าย ➡️ ผู้โจมตีใช้เพื่อเร่งการโจมตี, ฝั่งป้องกันใช้เพื่อค้นหาช่องโหว่ ✅ วิธีเสริมความปลอดภัย ➡️ สแกนต่อเนื่อง, ลบระบบที่ไม่ได้ใช้งาน, เพิ่มชั้นตรวจสอบ ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาเครื่องมือเดียว ⛔ Defender เพียงอย่างเดียวอาจสร้างความมั่นใจผิด ๆ https://hackread.com/how-adversaries-exploit-blind-spots-easm-strategy/
    HACKREAD.COM
    How Adversaries Exploit the Blind Spots in Your EASM Strategy
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • Thunderbird 145 รองรับ DNS over HTTPS และยุติ 32-bit

    Thunderbird 145 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญคือ DNS over HTTPS (DoH) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังเพิ่มการตั้งค่า manual สำหรับ Exchange Web Services (EWS) และปรับปรุงการจัดการบัญชีอีเมล

    สิ่งที่น่าสังเกตคือ Thunderbird 145 ได้ยุติการรองรับ 32-bit Linux binaries อย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์ที่หันไปใช้ 64-bit เป็นมาตรฐานแล้ว

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง UX เช่น การเปลี่ยนคำว่า “Junk” เป็น “Spam”, การจัดการ emoji ใน subject line, และการแก้บั๊กหลายจุด เช่น ปัญหาไฟล์แนบ overwrite โดยไม่เตือน และการตรวจสอบ spam ที่ผิดพลาด

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Thunderbird 145
    รองรับ DNS over HTTPS
    ปรับปรุงการตั้งค่า EWS และบัญชีอีเมล

    การปรับปรุง UX และแก้บั๊ก
    เปลี่ยน “Junk” เป็น “Spam”
    แก้บั๊กไฟล์แนบ overwrite

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux 32-bit
    Thunderbird 145 ไม่รองรับอีกต่อไป

    https://9to5linux.com/thunderbird-145-enables-support-for-dns-over-https-drops-32-bit-linux-binaries
    📧 Thunderbird 145 รองรับ DNS over HTTPS และยุติ 32-bit Thunderbird 145 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญคือ DNS over HTTPS (DoH) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังเพิ่มการตั้งค่า manual สำหรับ Exchange Web Services (EWS) และปรับปรุงการจัดการบัญชีอีเมล สิ่งที่น่าสังเกตคือ Thunderbird 145 ได้ยุติการรองรับ 32-bit Linux binaries อย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์ที่หันไปใช้ 64-bit เป็นมาตรฐานแล้ว นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง UX เช่น การเปลี่ยนคำว่า “Junk” เป็น “Spam”, การจัดการ emoji ใน subject line, และการแก้บั๊กหลายจุด เช่น ปัญหาไฟล์แนบ overwrite โดยไม่เตือน และการตรวจสอบ spam ที่ผิดพลาด 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Thunderbird 145 ➡️ รองรับ DNS over HTTPS ➡️ ปรับปรุงการตั้งค่า EWS และบัญชีอีเมล ✅ การปรับปรุง UX และแก้บั๊ก ➡️ เปลี่ยน “Junk” เป็น “Spam” ➡️ แก้บั๊กไฟล์แนบ overwrite ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux 32-bit ⛔ Thunderbird 145 ไม่รองรับอีกต่อไป https://9to5linux.com/thunderbird-145-enables-support-for-dns-over-https-drops-32-bit-linux-binaries
    9TO5LINUX.COM
    Thunderbird 145 Enables Support for DNS over HTTPS, Drops 32-Bit Linux Binaries - 9to5Linux
    Mozilla Thunderbird 145 open-source email client is now available for download with support for DNS over HTTPS and other changes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • LibreOffice 25.8.3 แก้บั๊กกว่า 70 จุด

    LibreOffice 25.8.3 เปิดตัวเป็นการอัปเดตบำรุงรักษา โดยแก้ไขบั๊กกว่า 70 จุด เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของชุดโปรแกรมสำนักงานโอเพ่นซอร์สยอดนิยมนี้

    ฟีเจอร์หลักของ LibreOffice 25.8 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้คือการรองรับ PDF 2.0, การเปิดไฟล์เร็วขึ้นถึง 30%, และการจัดการหน่วยความจำที่ดีขึ้นสำหรับ thin clients และ virtual desktops รวมถึงการปรับปรุงการเลื่อนเอกสารขนาดใหญ่และการจัดการการเว้นวรรคคำ

    ผู้ใช้ทั่วไปควรรีบอัปเดตเพื่อหลีกเลี่ยงบั๊กที่อาจทำให้โปรแกรม crash หรือทำงานผิดพลาด โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ LibreOffice ในงานเอกสารสำคัญ

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    การแก้บั๊กใน LibreOffice 25.8.3
    รวมกว่า 70 จุด
    ปรับปรุงเสถียรภาพและความเร็ว

    ฟีเจอร์หลักของ LibreOffice 25.8
    รองรับ PDF 2.0
    เปิดไฟล์เร็วขึ้น 30%

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากไม่อัปเดต อาจเจอ crash หรือบั๊กเดิม

    https://9to5linux.com/libreoffice-25-8-3-office-suite-is-now-available-for-download-with-70-bug-fixes
    📑 LibreOffice 25.8.3 แก้บั๊กกว่า 70 จุด LibreOffice 25.8.3 เปิดตัวเป็นการอัปเดตบำรุงรักษา โดยแก้ไขบั๊กกว่า 70 จุด เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของชุดโปรแกรมสำนักงานโอเพ่นซอร์สยอดนิยมนี้ ฟีเจอร์หลักของ LibreOffice 25.8 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้คือการรองรับ PDF 2.0, การเปิดไฟล์เร็วขึ้นถึง 30%, และการจัดการหน่วยความจำที่ดีขึ้นสำหรับ thin clients และ virtual desktops รวมถึงการปรับปรุงการเลื่อนเอกสารขนาดใหญ่และการจัดการการเว้นวรรคคำ ผู้ใช้ทั่วไปควรรีบอัปเดตเพื่อหลีกเลี่ยงบั๊กที่อาจทำให้โปรแกรม crash หรือทำงานผิดพลาด โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ LibreOffice ในงานเอกสารสำคัญ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ การแก้บั๊กใน LibreOffice 25.8.3 ➡️ รวมกว่า 70 จุด ➡️ ปรับปรุงเสถียรภาพและความเร็ว ✅ ฟีเจอร์หลักของ LibreOffice 25.8 ➡️ รองรับ PDF 2.0 ➡️ เปิดไฟล์เร็วขึ้น 30% ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเจอ crash หรือบั๊กเดิม https://9to5linux.com/libreoffice-25-8-3-office-suite-is-now-available-for-download-with-70-bug-fixes
    9TO5LINUX.COM
    LibreOffice 25.8.3 Office Suite Is Now Available for Download with 70 Bug Fixes - 9to5Linux
    LibreOffice 25.8.3 is now available for download as the third update to the latest LibreOffice 25.8 office suite series with 70 bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tails 7.2 พร้อม Tor Browser 15

    Tails 7.2 เป็นดิสโทรที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการป้องกันการสอดส่อง โดยอัปเดตครั้งนี้มาพร้อม Tor Browser 15 ที่มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น vertical tabs, tab groups และ unified search button ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นมาก

    นอกจากนี้ยังอัปเดต Thunderbird 140.4.0 และ kernel 6.12.57 LTS พร้อมปรับปรุงการแจ้งเตือนและปิดการเชื่อมต่อ telemetry ของ Thunderbird เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ การเปิด root console ก็เปลี่ยนวิธีใหม่ โดยใช้คำสั่ง sudo -i แทนเมนูเดิม

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Tails 7.2 สามารถอัปเกรดอัตโนมัติจากเวอร์ชัน 7.0 และ 7.1 ได้ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด ถือเป็นการพัฒนาเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยที่ต่อเนื่อง

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Tor Browser 15
    รองรับ vertical tabs และ tab groups
    ปุ่มค้นหาแบบ unified

    การอัปเดตระบบ
    Thunderbird 140.4.0
    Kernel 6.12.57 LTS

    การเปลี่ยนแปลงการใช้งาน root console
    ต้องใช้ sudo -i แทนเมนูเดิม

    https://9to5linux.com/debian-based-tails-7-2-released-with-tor-browser-15-anonymous-web-browser
    🛡️ Tails 7.2 พร้อม Tor Browser 15 Tails 7.2 เป็นดิสโทรที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการป้องกันการสอดส่อง โดยอัปเดตครั้งนี้มาพร้อม Tor Browser 15 ที่มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น vertical tabs, tab groups และ unified search button ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นมาก นอกจากนี้ยังอัปเดต Thunderbird 140.4.0 และ kernel 6.12.57 LTS พร้อมปรับปรุงการแจ้งเตือนและปิดการเชื่อมต่อ telemetry ของ Thunderbird เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ การเปิด root console ก็เปลี่ยนวิธีใหม่ โดยใช้คำสั่ง sudo -i แทนเมนูเดิม สิ่งที่น่าสนใจคือ Tails 7.2 สามารถอัปเกรดอัตโนมัติจากเวอร์ชัน 7.0 และ 7.1 ได้ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด ถือเป็นการพัฒนาเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยที่ต่อเนื่อง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Tor Browser 15 ➡️ รองรับ vertical tabs และ tab groups ➡️ ปุ่มค้นหาแบบ unified ✅ การอัปเดตระบบ ➡️ Thunderbird 140.4.0 ➡️ Kernel 6.12.57 LTS ‼️ การเปลี่ยนแปลงการใช้งาน root console ⛔ ต้องใช้ sudo -i แทนเมนูเดิม https://9to5linux.com/debian-based-tails-7-2-released-with-tor-browser-15-anonymous-web-browser
    9TO5LINUX.COM
    Debian-Based Tails 7.2 Released with Tor Browser 15 Anonymous Web Browser - 9to5Linux
    Tails 7.2 anonymous Linux OS is now available for download with Tor Browser 15.0.1, Mozilla Thunderbird 140.4, and Linux kernel 6.12.57 LTS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • openSUSE Tumbleweed เปลี่ยนมาใช้ GRUB2-BLS เป็นค่าเริ่มต้นใน UEFI

    เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ openSUSE Tumbleweed ที่หันมาใช้ GRUB2-BLS แทน GRUB2 แบบดั้งเดิมสำหรับเครื่องที่ติดตั้งในโหมด UEFI โดย GRUB2-BLS ถูกพัฒนาโดย Fedora เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐาน Boot Loader Specification (BLS) ซึ่งช่วยให้ระบบจัดการ boot entries ได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ Full Disk Encryption (FDE) ที่ต้องการความเข้ากันได้กับ systemd

    ข้อดีคือผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสร้างไฟล์ config ใหม่ทุกครั้งที่อัปเดต kernel เพราะ GRUB2-BLS จะสร้างเมนู boot แบบไดนามิกจากไฟล์ที่อยู่ใน /boot/efi/loader/entries ทำให้การจัดการระบบสะดวกขึ้นมาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออย่าง sdbootutil ที่ช่วยอัปเดต boot entries อัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง

    แต่ก็มีข้อควรระวัง หากผู้ใช้ต้องการอัปเกรดจาก GRUB2 เดิมไป GRUB2-BLS อาจเจอปัญหาพื้นที่ EFI System Partition (ESP) ไม่เพียงพอ จึงไม่แนะนำให้อัปเกรดตรง ๆ โดยไม่มีการปรับขนาดพาร์ทิชัน

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    การเปลี่ยนมาใช้ GRUB2-BLS
    รองรับ Full Disk Encryption ได้ดีขึ้น
    ไม่ต้องสร้าง config ใหม่ทุกครั้ง

    คำเตือนเรื่องการอัปเกรด
    ESP อาจมีพื้นที่ไม่พอ ทำให้ระบบ boot ล้มเหลว

    https://9to5linux.com/opensuse-tumbleweed-now-defaults-to-grub2-bls-bootloader-for-uefi-installs
    🖥️ openSUSE Tumbleweed เปลี่ยนมาใช้ GRUB2-BLS เป็นค่าเริ่มต้นใน UEFI เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ openSUSE Tumbleweed ที่หันมาใช้ GRUB2-BLS แทน GRUB2 แบบดั้งเดิมสำหรับเครื่องที่ติดตั้งในโหมด UEFI โดย GRUB2-BLS ถูกพัฒนาโดย Fedora เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐาน Boot Loader Specification (BLS) ซึ่งช่วยให้ระบบจัดการ boot entries ได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ Full Disk Encryption (FDE) ที่ต้องการความเข้ากันได้กับ systemd ข้อดีคือผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสร้างไฟล์ config ใหม่ทุกครั้งที่อัปเดต kernel เพราะ GRUB2-BLS จะสร้างเมนู boot แบบไดนามิกจากไฟล์ที่อยู่ใน /boot/efi/loader/entries ทำให้การจัดการระบบสะดวกขึ้นมาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออย่าง sdbootutil ที่ช่วยอัปเดต boot entries อัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีข้อควรระวัง หากผู้ใช้ต้องการอัปเกรดจาก GRUB2 เดิมไป GRUB2-BLS อาจเจอปัญหาพื้นที่ EFI System Partition (ESP) ไม่เพียงพอ จึงไม่แนะนำให้อัปเกรดตรง ๆ โดยไม่มีการปรับขนาดพาร์ทิชัน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ การเปลี่ยนมาใช้ GRUB2-BLS ➡️ รองรับ Full Disk Encryption ได้ดีขึ้น ➡️ ไม่ต้องสร้าง config ใหม่ทุกครั้ง ‼️ คำเตือนเรื่องการอัปเกรด ⛔ ESP อาจมีพื้นที่ไม่พอ ทำให้ระบบ boot ล้มเหลว https://9to5linux.com/opensuse-tumbleweed-now-defaults-to-grub2-bls-bootloader-for-uefi-installs
    9TO5LINUX.COM
    openSUSE Tumbleweed Now Defaults to GRUB2-BLS Bootloader for New UEFI Installs - 9to5Linux
    openSUSE Tumbleweed distribution switches from GRUB2 to GRUB2-BLS as default bootloader when installed via YaST.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ PAN-OS (CVE-2025-4619) เสี่ยงรีบูต Firewall ด้วยแพ็กเก็ตเดียว

    Palo Alto Networks ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-4619 ซึ่งเป็น Denial-of-Service (DoS) บนระบบปฏิบัติการ PAN-OS ที่ใช้ใน Firewall หลายรุ่น (PA-Series, VM-Series และ Prisma Access) โดยผู้โจมตีสามารถส่ง แพ็กเก็ตที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะ ผ่าน dataplane เพื่อทำให้ Firewall รีบูตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ

    ความรุนแรงและผลกระทบ
    แม้ช่องโหว่นี้จะถูกจัดระดับ CVSS 6.6 (Medium Severity) แต่หากผู้โจมตีส่งแพ็กเก็ตซ้ำ ๆ จะทำให้ Firewall เข้าสู่ Maintenance Mode ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำงาน เช่น การหยุดการไหลของทราฟฟิก การสูญเสียการบังคับใช้นโยบายความปลอดภัย และอาจต้องใช้การกู้คืนด้วยมือ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสูงสำหรับองค์กรที่พึ่งพา Firewall ในการป้องกันภัยคุกคาม

    เงื่อนไขการโจมตี
    ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่มีการตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy ไม่ว่าจะเป็น explicit decrypt, explicit no-decrypt หรือการตั้งค่าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถอดรหัสทราฟฟิก หากไม่มีการตั้งค่าเหล่านี้ ระบบจะไม่ถูกโจมตี

    แนวทางแก้ไข
    Palo Alto Networks ได้ออก Hotfix และ Maintenance Release สำหรับ PAN-OS เวอร์ชัน 11.2, 11.1 และ 10.2 รวมถึง Prisma Access โดยแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-4619
    เป็น DoS ที่ทำให้ Firewall รีบูตด้วยแพ็กเก็ตเดียว
    ไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการโจมตี

    ผลกระทบต่อระบบ
    Firewall อาจเข้าสู่ Maintenance Mode หากถูกโจมตีซ้ำ
    ส่งผลให้ทราฟฟิกหยุดชะงักและต้องกู้คืนด้วยมือ

    เงื่อนไขการโจมตี
    เกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่ตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy
    Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบ

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น Hotfix หรือ Maintenance Release ที่ Palo Alto Networks แนะนำ
    ตรวจสอบการตั้งค่า Decrypt Policy เพื่อลดความเสี่ยง

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต Firewall อาจถูกโจมตีจนระบบหยุดทำงาน
    การโจมตีซ้ำ ๆ สามารถทำให้ระบบเข้าสู่ Maintenance Mode และหยุดการป้องกันภัย

    https://securityonline.info/pan-os-flaw-cve-2025-4619-allows-unauthenticated-firewall-reboot-via-single-crafted-packet/
    🔥 ช่องโหว่ PAN-OS (CVE-2025-4619) เสี่ยงรีบูต Firewall ด้วยแพ็กเก็ตเดียว Palo Alto Networks ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-4619 ซึ่งเป็น Denial-of-Service (DoS) บนระบบปฏิบัติการ PAN-OS ที่ใช้ใน Firewall หลายรุ่น (PA-Series, VM-Series และ Prisma Access) โดยผู้โจมตีสามารถส่ง แพ็กเก็ตที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะ ผ่าน dataplane เพื่อทำให้ Firewall รีบูตได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ ⚠️ ความรุนแรงและผลกระทบ แม้ช่องโหว่นี้จะถูกจัดระดับ CVSS 6.6 (Medium Severity) แต่หากผู้โจมตีส่งแพ็กเก็ตซ้ำ ๆ จะทำให้ Firewall เข้าสู่ Maintenance Mode ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำงาน เช่น การหยุดการไหลของทราฟฟิก การสูญเสียการบังคับใช้นโยบายความปลอดภัย และอาจต้องใช้การกู้คืนด้วยมือ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสูงสำหรับองค์กรที่พึ่งพา Firewall ในการป้องกันภัยคุกคาม 🔧 เงื่อนไขการโจมตี ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่มีการตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy ไม่ว่าจะเป็น explicit decrypt, explicit no-decrypt หรือการตั้งค่าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถอดรหัสทราฟฟิก หากไม่มีการตั้งค่าเหล่านี้ ระบบจะไม่ถูกโจมตี 🛠️ แนวทางแก้ไข Palo Alto Networks ได้ออก Hotfix และ Maintenance Release สำหรับ PAN-OS เวอร์ชัน 11.2, 11.1 และ 10.2 รวมถึง Prisma Access โดยแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-4619 ➡️ เป็น DoS ที่ทำให้ Firewall รีบูตด้วยแพ็กเก็ตเดียว ➡️ ไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการโจมตี ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ Firewall อาจเข้าสู่ Maintenance Mode หากถูกโจมตีซ้ำ ➡️ ส่งผลให้ทราฟฟิกหยุดชะงักและต้องกู้คืนด้วยมือ ✅ เงื่อนไขการโจมตี ➡️ เกิดขึ้นเฉพาะ Firewall ที่ตั้งค่า URL Proxy หรือ Decrypt Policy ➡️ Cloud NGFW และ PAN-OS 12.1 ไม่ได้รับผลกระทบ ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น Hotfix หรือ Maintenance Release ที่ Palo Alto Networks แนะนำ ➡️ ตรวจสอบการตั้งค่า Decrypt Policy เพื่อลดความเสี่ยง ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต Firewall อาจถูกโจมตีจนระบบหยุดทำงาน ⛔ การโจมตีซ้ำ ๆ สามารถทำให้ระบบเข้าสู่ Maintenance Mode และหยุดการป้องกันภัย https://securityonline.info/pan-os-flaw-cve-2025-4619-allows-unauthenticated-firewall-reboot-via-single-crafted-packet/
    SECURITYONLINE.INFO
    PAN-OS Flaw (CVE-2025-4619) Allows Unauthenticated Firewall Reboot via Single Crafted Packet
    Palo Alto patched a DoS flaw (CVE-2025-4619) in PAN-OS. An unauthenticated attacker can remotely reboot the firewall if URL proxy or decryption policies are enabled.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • การกลับมาของ Valve ในตลาด VR

    หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Steam Deck และ Steam Deck OLED ล่าสุด Valve ได้เปิดตัว Steam Frame VR ซึ่งเคยถูกเรียกในโค้ดเนมว่า “Deckard” โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2026 ตัวเครื่องถูกออกแบบให้เป็น อุปกรณ์ VR แบบไร้สายและทำงานได้ด้วยตัวเอง (standalone) แต่ยังคงรองรับการสตรีมเกมจาก PC ผ่านอะแดปเตอร์ไร้สาย 6GHz ที่มีระบบ dual-radio เพื่อลดการรบกวนสัญญาณ

    สเปกและฟีเจอร์ที่โดดเด่น
    Steam Frame ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB และมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB พร้อมช่อง microSD สำหรับขยายเพิ่ม รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ SteamOS และมีโปรแกรม Steam Frame Verified เพื่อบอกว่ามีเกมใดที่สามารถเล่นได้ในโหมด standalone นอกจากนี้ยังรองรับเกม Android เพื่อดึงดูดนักพัฒนาที่เคยทำงานบนแพลตฟอร์ม Quest

    เทคโนโลยี Foveated Streaming
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่สร้างความตื่นเต้นคือ Foveated Streaming ซึ่งใช้กล้องติดตามดวงตา 2 ตัวเพื่อเพิ่มความละเอียดภาพเฉพาะบริเวณที่ผู้เล่นกำลังมองอยู่ Valve อ้างว่าสามารถเพิ่มคุณภาพภาพและประสิทธิภาพแบนด์วิดท์ได้ถึง 10 เท่า ทำให้การสตรีมเกมจาก PC มีความคมชัดและลื่นไหลมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่งจากนักพัฒนาเกม

    การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน
    ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 440 กรัม โดยแบตเตอรี่ 21.6Wh ถูกติดตั้งไว้ด้านหลังเพื่อถ่วงน้ำหนักให้สมดุล รองรับการชาร์จเร็ว 45W และมีเลนส์แบบ pancake ที่ให้ภาพคมชัดทั่วทั้งขอบ พร้อมจอ LCD คู่ความละเอียด 2160 × 2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz และมุมมองกว้าง 110 องศา ด้านเสียงมีลำโพงสเตอริโอคู่ที่ให้เสียงคุณภาพสูง ขณะที่คอนโทรลเลอร์ถูกออกแบบใหม่ให้มีระบบติดตาม 6-DOF และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว Steam Frame VR
    เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กำหนดวางจำหน่ายต้นปี 2026
    เป็นอุปกรณ์ VR แบบ standalone และรองรับการสตรีมจาก PC

    สเปกและระบบภายใน
    Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 1TB
    รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.3 และ SteamOS

    ฟีเจอร์ใหม่ Foveated Streaming
    ใช้กล้องติดตามดวงตาเพื่อเพิ่มคุณภาพภาพเฉพาะจุดที่มอง
    Valve เคลมว่าประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 10 เท่า

    การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน
    น้ำหนักรวม 440 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ด้านหลังเพื่อสมดุล
    จอ LCD คู่ 2160 × 2160, รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ยังไม่ประกาศราคาและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่แน่นอน
    ประสิทธิภาพเกม PC VR ที่ต้องการสเปกสูงอาจยังไม่สมบูรณ์ในโหมด standalone

    https://securityonline.info/steam-frame-vr-unveiled-valves-standalone-headset-targets-quest-with-snapdragon-foveated-streaming/
    🎮 การกลับมาของ Valve ในตลาด VR หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Steam Deck และ Steam Deck OLED ล่าสุด Valve ได้เปิดตัว Steam Frame VR ซึ่งเคยถูกเรียกในโค้ดเนมว่า “Deckard” โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2026 ตัวเครื่องถูกออกแบบให้เป็น อุปกรณ์ VR แบบไร้สายและทำงานได้ด้วยตัวเอง (standalone) แต่ยังคงรองรับการสตรีมเกมจาก PC ผ่านอะแดปเตอร์ไร้สาย 6GHz ที่มีระบบ dual-radio เพื่อลดการรบกวนสัญญาณ ⚡ สเปกและฟีเจอร์ที่โดดเด่น Steam Frame ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB และมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB พร้อมช่อง microSD สำหรับขยายเพิ่ม รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ SteamOS และมีโปรแกรม Steam Frame Verified เพื่อบอกว่ามีเกมใดที่สามารถเล่นได้ในโหมด standalone นอกจากนี้ยังรองรับเกม Android เพื่อดึงดูดนักพัฒนาที่เคยทำงานบนแพลตฟอร์ม Quest 👀 เทคโนโลยี Foveated Streaming หนึ่งในฟีเจอร์ที่สร้างความตื่นเต้นคือ Foveated Streaming ซึ่งใช้กล้องติดตามดวงตา 2 ตัวเพื่อเพิ่มความละเอียดภาพเฉพาะบริเวณที่ผู้เล่นกำลังมองอยู่ Valve อ้างว่าสามารถเพิ่มคุณภาพภาพและประสิทธิภาพแบนด์วิดท์ได้ถึง 10 เท่า ทำให้การสตรีมเกมจาก PC มีความคมชัดและลื่นไหลมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่งจากนักพัฒนาเกม 🔊 การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 440 กรัม โดยแบตเตอรี่ 21.6Wh ถูกติดตั้งไว้ด้านหลังเพื่อถ่วงน้ำหนักให้สมดุล รองรับการชาร์จเร็ว 45W และมีเลนส์แบบ pancake ที่ให้ภาพคมชัดทั่วทั้งขอบ พร้อมจอ LCD คู่ความละเอียด 2160 × 2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz และมุมมองกว้าง 110 องศา ด้านเสียงมีลำโพงสเตอริโอคู่ที่ให้เสียงคุณภาพสูง ขณะที่คอนโทรลเลอร์ถูกออกแบบใหม่ให้มีระบบติดตาม 6-DOF และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว Steam Frame VR ➡️ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กำหนดวางจำหน่ายต้นปี 2026 ➡️ เป็นอุปกรณ์ VR แบบ standalone และรองรับการสตรีมจาก PC ✅ สเปกและระบบภายใน ➡️ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 1TB ➡️ รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.3 และ SteamOS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ Foveated Streaming ➡️ ใช้กล้องติดตามดวงตาเพื่อเพิ่มคุณภาพภาพเฉพาะจุดที่มอง ➡️ Valve เคลมว่าประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 10 เท่า ✅ การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน ➡️ น้ำหนักรวม 440 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ด้านหลังเพื่อสมดุล ➡️ จอ LCD คู่ 2160 × 2160, รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่ประกาศราคาและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่แน่นอน ⛔ ประสิทธิภาพเกม PC VR ที่ต้องการสเปกสูงอาจยังไม่สมบูรณ์ในโหมด standalone https://securityonline.info/steam-frame-vr-unveiled-valves-standalone-headset-targets-quest-with-snapdragon-foveated-streaming/
    SECURITYONLINE.INFO
    Steam Frame VR Unveiled: Valve's Standalone Headset Targets Quest with Snapdragon & Foveated Streaming
    Valve unveiled Steam Frame VR, a standalone headset with Snapdragon 8 Gen 3, SteamOS, and Foveated Streaming, set to launch in early 2026.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังผลักดัน Windows 11 ให้กลายเป็น Agentic OS

    Microsoft กำลังผลักดัน Windows 11 ให้กลายเป็น Agentic OS ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ผ่าน Copilot Vision และ Model Context Protocol (MCP) แต่แนวคิดนี้กำลังเผชิญกระแสต้านจากผู้ใช้จำนวนมากที่กังวลเรื่องความซับซ้อน ความบวมของระบบ และความปลอดภัย.

    Windows Agentic OS: ยุคใหม่ของระบบปฏิบัติการ
    Microsoft เปิดตัวแนวคิด Agentic OS โดยมีเป้าหมายให้ Windows 11 ไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ AI สามารถ “เข้าใจเจตนา” ของผู้ใช้และทำงานแทนได้ เช่น การจัดการไฟล์ การเปิดแอป หรือแม้แต่การวิเคราะห์ข้อมูลบนหน้าจอผ่าน Copilot Vision. ฟีเจอร์นี้จะทำให้ Windows สามารถ “เห็น” และ “ช่วยคิด” ได้มากกว่าที่เคย.

    Model Context Protocol (MCP): กุญแจเชื่อมต่อ AI กับแอป
    หัวใจสำคัญของ Agentic OS คือ MCP ซึ่งเป็นโปรโตคอลมาตรฐานที่เปิดโอกาสให้ AI agents เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Windows ได้โดยตรง เช่น Word, Excel หรือแม้แต่แอป third-party. MCP จะทำให้ AI สามารถเรียกใช้ฟังก์ชันของแอปได้อย่างปลอดภัยและมีการควบคุม. อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าหากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด อาจเกิดการโจมตีรูปแบบใหม่ เช่น prompt injection หรือ tool poisoning.

    Copilot Vision: ผู้ช่วยที่มี “ตา”
    Copilot Vision เป็นฟีเจอร์ที่ให้ AI “มองเห็น” สิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เพื่อช่วยอธิบายหรือแนะนำขั้นตอนการใช้งานแบบเรียลไทม์. Microsoft ยืนยันว่า Vision จะไม่เก็บข้อมูลภาพหรือเสียงหลังจบเซสชัน แต่ผู้ใช้บางส่วนยังคงกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและการถูกติดตามโดยไม่ตั้งใจ.

    กระแสต้านจากผู้ใช้
    แม้ Microsoft จะมองว่า Agentic OS คืออนาคต แต่ผู้ใช้จำนวนมากกลับไม่เห็นด้วย. บนโซเชียลมีเดียมีเสียงวิจารณ์ว่า Windows ควรแก้ไขปัญหาพื้นฐาน เช่น UI ที่ไม่เสถียรและบั๊กต่าง ๆ ก่อนจะเพิ่มฟีเจอร์ AI ที่ทำให้ระบบ “บวม” และซับซ้อนขึ้น. บางคนถึงขั้นประกาศเลิกใช้ Windows และหันไปใช้ Linux หรือ macOS แทน.

    Windows Agentic OS กำลังมา
    เปลี่ยน Windows 11 ให้เป็นแพลตฟอร์ม AI-first
    ใช้ Copilot Vision และ MCP เป็นแกนหลัก

    Model Context Protocol (MCP)
    เชื่อมต่อ AI agents กับแอป Windows ได้โดยตรง
    เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสร้าง agentic experiences

    Copilot Vision
    ให้ AI “เห็น” หน้าจอและช่วยผู้ใช้แบบเรียลไทม์
    ไม่เก็บข้อมูลภาพหรือเสียงหลังจบเซสชัน

    ความเสี่ยงและข้อกังวล
    อาจเกิดการโจมตีใหม่ เช่น prompt injection หรือ credential leakage
    ผู้ใช้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและระบบที่บวมเกินไป
    กระแสต้านแรงบนโซเชียลมีเดีย ถึงขั้นมีผู้ใช้ย้ายไป Linux/macOS

    https://securityonline.info/windows-agentic-os-revealed-microsoft-aims-to-transform-windows-11-into-an-ai-first-platform/
    🪟 Microsoft กำลังผลักดัน Windows 11 ให้กลายเป็น Agentic OS Microsoft กำลังผลักดัน Windows 11 ให้กลายเป็น Agentic OS ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ผ่าน Copilot Vision และ Model Context Protocol (MCP) แต่แนวคิดนี้กำลังเผชิญกระแสต้านจากผู้ใช้จำนวนมากที่กังวลเรื่องความซับซ้อน ความบวมของระบบ และความปลอดภัย. 🖥️ Windows Agentic OS: ยุคใหม่ของระบบปฏิบัติการ Microsoft เปิดตัวแนวคิด Agentic OS โดยมีเป้าหมายให้ Windows 11 ไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ AI สามารถ “เข้าใจเจตนา” ของผู้ใช้และทำงานแทนได้ เช่น การจัดการไฟล์ การเปิดแอป หรือแม้แต่การวิเคราะห์ข้อมูลบนหน้าจอผ่าน Copilot Vision. ฟีเจอร์นี้จะทำให้ Windows สามารถ “เห็น” และ “ช่วยคิด” ได้มากกว่าที่เคย. 🔗 Model Context Protocol (MCP): กุญแจเชื่อมต่อ AI กับแอป หัวใจสำคัญของ Agentic OS คือ MCP ซึ่งเป็นโปรโตคอลมาตรฐานที่เปิดโอกาสให้ AI agents เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Windows ได้โดยตรง เช่น Word, Excel หรือแม้แต่แอป third-party. MCP จะทำให้ AI สามารถเรียกใช้ฟังก์ชันของแอปได้อย่างปลอดภัยและมีการควบคุม. อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าหากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด อาจเกิดการโจมตีรูปแบบใหม่ เช่น prompt injection หรือ tool poisoning. 👁️ Copilot Vision: ผู้ช่วยที่มี “ตา” Copilot Vision เป็นฟีเจอร์ที่ให้ AI “มองเห็น” สิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เพื่อช่วยอธิบายหรือแนะนำขั้นตอนการใช้งานแบบเรียลไทม์. Microsoft ยืนยันว่า Vision จะไม่เก็บข้อมูลภาพหรือเสียงหลังจบเซสชัน แต่ผู้ใช้บางส่วนยังคงกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและการถูกติดตามโดยไม่ตั้งใจ. ⚡ กระแสต้านจากผู้ใช้ แม้ Microsoft จะมองว่า Agentic OS คืออนาคต แต่ผู้ใช้จำนวนมากกลับไม่เห็นด้วย. บนโซเชียลมีเดียมีเสียงวิจารณ์ว่า Windows ควรแก้ไขปัญหาพื้นฐาน เช่น UI ที่ไม่เสถียรและบั๊กต่าง ๆ ก่อนจะเพิ่มฟีเจอร์ AI ที่ทำให้ระบบ “บวม” และซับซ้อนขึ้น. บางคนถึงขั้นประกาศเลิกใช้ Windows และหันไปใช้ Linux หรือ macOS แทน. ✅ Windows Agentic OS กำลังมา ➡️ เปลี่ยน Windows 11 ให้เป็นแพลตฟอร์ม AI-first ➡️ ใช้ Copilot Vision และ MCP เป็นแกนหลัก ✅ Model Context Protocol (MCP) ➡️ เชื่อมต่อ AI agents กับแอป Windows ได้โดยตรง ➡️ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสร้าง agentic experiences ✅ Copilot Vision ➡️ ให้ AI “เห็น” หน้าจอและช่วยผู้ใช้แบบเรียลไทม์ ➡️ ไม่เก็บข้อมูลภาพหรือเสียงหลังจบเซสชัน ‼️ ความเสี่ยงและข้อกังวล ⛔ อาจเกิดการโจมตีใหม่ เช่น prompt injection หรือ credential leakage ⛔ ผู้ใช้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและระบบที่บวมเกินไป ⛔ กระแสต้านแรงบนโซเชียลมีเดีย ถึงขั้นมีผู้ใช้ย้ายไป Linux/macOS https://securityonline.info/windows-agentic-os-revealed-microsoft-aims-to-transform-windows-11-into-an-ai-first-platform/
    SECURITYONLINE.INFO
    Windows Agentic OS Revealed: Microsoft Aims to Transform Windows 11 into an AI-First Platform
    Microsoft revealed plans for an "Agentic OS," transforming Windows 11 into an AI-first platform using the Model Context Protocol (MCP) to let AI agents interact with native apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวเด่น: Google เตรียมตรวจสอบการ Sideload แอป Android พร้อมช่องทางพิเศษสำหรับ Power Users

    Google ประกาศนโยบายใหม่ที่จะบังคับให้แอปที่ติดตั้งนอก Play Store ต้องผ่านการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย โดยมีการเตรียม “ช่องทางพิเศษ” สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ระดับสูงที่ยังต้องการติดตั้งแอปโดยไม่ผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ

    นโยบายนี้สร้างเสียงวิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากอาจกระทบต่อความเปิดกว้างของระบบ Android ที่เคยเป็นจุดแข็ง แต่ Google ยืนยันว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลอกลวงและการโจมตีทางไซเบอร์ที่กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ผู้ใช้ใหม่จำนวนมากเพิ่งเข้าถึงโลกดิจิทัล

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่า Google จะจัดทำบัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการทดลอง เพื่อให้สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ

    สาระเพิ่มเติมจาก Internet
    แนวโน้มการควบคุมการ sideload แอปกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น Apple ก็มีมาตรการเข้มงวดกับการติดตั้งแอปนอก App Store
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการบังคับตรวจสอบอาจช่วยลดการโจมตีแบบ phishing และ malware ได้ แต่ก็อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียเสรีภาพในการเลือกใช้แอป
    มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมแอปพลิเคชันอิสระ (indie apps) อาจได้รับผลกระทบหนัก เพราะต้นทุนการตรวจสอบและการยืนยันตัวตนสูงขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    นโยบายใหม่ของ Google เกี่ยวกับการ sideload แอป Android
    ต้องมีการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อนติดตั้ง
    มีช่องทางพิเศษสำหรับนักพัฒนาและ Power Users

    บัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไป
    สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องตรวจสอบเต็มรูปแบบ

    เป้าหมายหลักของนโยบาย
    ลดการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย
    ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และการหลอกลวง

    คำเตือนจากนักวิจัยด้านความปลอดภัย
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจสูญเสียเสรีภาพในการติดตั้งแอปจากแหล่งใดก็ได้
    อุตสาหกรรมแอปอิสระอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการตรวจสอบที่สูงขึ้น

    https://securityonline.info/android-sideloading-crackdown-google-to-verify-all-apps-but-promises-power-user-bypass/
    🛡️ ข่าวเด่น: Google เตรียมตรวจสอบการ Sideload แอป Android พร้อมช่องทางพิเศษสำหรับ Power Users Google ประกาศนโยบายใหม่ที่จะบังคับให้แอปที่ติดตั้งนอก Play Store ต้องผ่านการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย โดยมีการเตรียม “ช่องทางพิเศษ” สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ระดับสูงที่ยังต้องการติดตั้งแอปโดยไม่ผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ นโยบายนี้สร้างเสียงวิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากอาจกระทบต่อความเปิดกว้างของระบบ Android ที่เคยเป็นจุดแข็ง แต่ Google ยืนยันว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลอกลวงและการโจมตีทางไซเบอร์ที่กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ผู้ใช้ใหม่จำนวนมากเพิ่งเข้าถึงโลกดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่า Google จะจัดทำบัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการทดลอง เพื่อให้สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบเต็มรูปแบบ 🔎 สาระเพิ่มเติมจาก Internet 🔰 แนวโน้มการควบคุมการ sideload แอปกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น Apple ก็มีมาตรการเข้มงวดกับการติดตั้งแอปนอก App Store 🔰 นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการบังคับตรวจสอบอาจช่วยลดการโจมตีแบบ phishing และ malware ได้ แต่ก็อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียเสรีภาพในการเลือกใช้แอป 🔰 มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมแอปพลิเคชันอิสระ (indie apps) อาจได้รับผลกระทบหนัก เพราะต้นทุนการตรวจสอบและการยืนยันตัวตนสูงขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ นโยบายใหม่ของ Google เกี่ยวกับการ sideload แอป Android ➡️ ต้องมีการตรวจสอบตัวตนและการเซ็นโค้ดก่อนติดตั้ง ➡️ มีช่องทางพิเศษสำหรับนักพัฒนาและ Power Users ✅ บัญชีพิเศษสำหรับนักเรียนและผู้ใช้ทั่วไป ➡️ สามารถแจกจ่ายแอปได้ในวงจำกัดโดยไม่ต้องตรวจสอบเต็มรูปแบบ ✅ เป้าหมายหลักของนโยบาย ➡️ ลดการแพร่กระจายของแอปที่เป็นอันตราย ➡️ ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และการหลอกลวง ‼️ คำเตือนจากนักวิจัยด้านความปลอดภัย ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจสูญเสียเสรีภาพในการติดตั้งแอปจากแหล่งใดก็ได้ ⛔ อุตสาหกรรมแอปอิสระอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการตรวจสอบที่สูงขึ้น https://securityonline.info/android-sideloading-crackdown-google-to-verify-all-apps-but-promises-power-user-bypass/
    SECURITYONLINE.INFO
    Android Sideloading Crackdown: Google to Verify All Apps, But Promises Power-User Bypass
    Google will soon require all sideloaded Android apps to pass verification and code signing to combat fraud. However, the company is developing an "advanced process" for power users to bypass this.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/M4SSgQqLiEA?si=xUPr2QhJnL7NEc_V
    https://youtube.com/shorts/M4SSgQqLiEA?si=xUPr2QhJnL7NEc_V
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://pvaoutlets.com/product/buy-verified-cash-app-accounts/
    https://pvaoutlets.com/product/buy-verified-cash-app-accounts/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าว Techradar

    Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่
    ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้

    Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง
    Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้

    iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์
    ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก

    หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด
    โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย

    VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ
    อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ

    มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง
    หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่

    Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์
    มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์

    แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี
    แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่

    Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก
    กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง

    PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร
    หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP

    🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต
    บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์

    ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว
    บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก

    Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้
    Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    🔰📌 รวมข่าว Techradar 📌🔰 📺 Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่ ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้ 💻 Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้ 📱 iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์ ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก 🤖 หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย 🔒 VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ 🦠 มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่ 🕵️ Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ 🛡️ แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่ 📸 Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง 💳 PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP 🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์ 🧑‍💻 ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก 🎧 Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้ Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tachyum เปิดตัวชิป Prodigy 2nm – 1024 คอร์ แรงกว่า NVIDIA Rubin Ultra

    บริษัท Tachyum ได้เผยโฉมชิป Prodigy รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี 2nm โดยมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 1024 คอร์ และความเร็วสัญญาณนาฬิกา 6 GHz พร้อมแคชรวม 1 GB ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในโลกของเซิร์ฟเวอร์และ AI ชิปนี้ยังรองรับ DDR5-17600 และ PCIe 7.0 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ยังไม่แพร่หลายในตลาดปัจจุบัน

    Tachyum อ้างว่าชิป Prodigy สามารถทำงานด้าน AI inference ได้ถึง 1000 PFLOPs ซึ่งสูงกว่า NVIDIA Rubin Ultra ที่คาดว่าจะทำได้เพียง 50 PFLOPs นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้รองรับระบบหลายซ็อกเก็ต ทำให้สามารถขยายได้ถึง 8192 คอร์ในระบบเดียว ถือเป็นการท้าทายยักษ์ใหญ่ในตลาด GPU อย่าง NVIDIA

    อย่างไรก็ตาม แม้สเปกจะดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการผลิตจริง และบริษัทเคยมีประวัติเลื่อนการเปิดตัวหลายครั้ง ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าชิปนี้จะสามารถออกสู่ตลาดได้ตามกำหนดหรือไม่ แม้จะมีเงินลงทุนกว่า 220 ล้านดอลลาร์เพื่อผลักดันโครงการ แต่ความเสี่ยงยังคงสูง

    จุดเด่นของ Tachyum Prodigy 2nm
    1024 คอร์ ความเร็ว 6 GHz
    รองรับ DDR5-17600 และ PCIe 7.0
    AI inference สูงถึง 1000 PFLOPs

    ข้อควรระวัง
    ยังไม่มีการผลิตจริง เป็นเพียงการประกาศสเปก
    ประวัติการเลื่อนเปิดตัวทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง

    https://wccftech.com/tachyums-2nm-prodigy-chips-1024-cores-6-ghz-1-gb-cache-ddr5-17600-21x-faster-vs-nvidia-rubin-ultra/
    ⚡Tachyum เปิดตัวชิป Prodigy 2nm – 1024 คอร์ แรงกว่า NVIDIA Rubin Ultra บริษัท Tachyum ได้เผยโฉมชิป Prodigy รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี 2nm โดยมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 1024 คอร์ และความเร็วสัญญาณนาฬิกา 6 GHz พร้อมแคชรวม 1 GB ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในโลกของเซิร์ฟเวอร์และ AI ชิปนี้ยังรองรับ DDR5-17600 และ PCIe 7.0 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ยังไม่แพร่หลายในตลาดปัจจุบัน Tachyum อ้างว่าชิป Prodigy สามารถทำงานด้าน AI inference ได้ถึง 1000 PFLOPs ซึ่งสูงกว่า NVIDIA Rubin Ultra ที่คาดว่าจะทำได้เพียง 50 PFLOPs นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้รองรับระบบหลายซ็อกเก็ต ทำให้สามารถขยายได้ถึง 8192 คอร์ในระบบเดียว ถือเป็นการท้าทายยักษ์ใหญ่ในตลาด GPU อย่าง NVIDIA อย่างไรก็ตาม แม้สเปกจะดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการผลิตจริง และบริษัทเคยมีประวัติเลื่อนการเปิดตัวหลายครั้ง ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าชิปนี้จะสามารถออกสู่ตลาดได้ตามกำหนดหรือไม่ แม้จะมีเงินลงทุนกว่า 220 ล้านดอลลาร์เพื่อผลักดันโครงการ แต่ความเสี่ยงยังคงสูง ✅ จุดเด่นของ Tachyum Prodigy 2nm ➡️ 1024 คอร์ ความเร็ว 6 GHz ➡️ รองรับ DDR5-17600 และ PCIe 7.0 ➡️ AI inference สูงถึง 1000 PFLOPs ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่มีการผลิตจริง เป็นเพียงการประกาศสเปก ⛔ ประวัติการเลื่อนเปิดตัวทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง https://wccftech.com/tachyums-2nm-prodigy-chips-1024-cores-6-ghz-1-gb-cache-ddr5-17600-21x-faster-vs-nvidia-rubin-ultra/
    WCCFTECH.COM
    Tachyum's 2nm Prodigy Chips Are Insane: 1024 Cores Running at 6 GHz, 1 GB Cache, 24-Channel DDR5-17600 Support, & 21x Faster Than NVIDIA Rubin Ultra
    Tachyum unveils 2nm Prodigy chips, offering up to 1024 cores & support super-fast DDR5 memory, and will compete against NVIDIA's Rubin Ultra.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • Unreal Engine 5.7 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ Nanite Foliage และ MegaLights

    Epic Games ได้ปล่อย Unreal Engine 5.7 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่นักพัฒนาเกมรอคอยกันมานาน จุดเด่นคือการยกระดับระบบแสงและการเรนเดอร์วัตถุให้สมจริงมากขึ้น ฟีเจอร์ MegaLights ที่เคยอยู่ในสถานะทดลอง ตอนนี้ถูกยกระดับเป็น Beta ทำให้สามารถใส่แสงเงาแบบไดนามิกจำนวนมากลงในฉากได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการแสดงผลของเส้นผม วัตถุโปร่งใส และอนุภาค Niagara ให้สมจริงกว่าเดิม

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือ Nanite Foliage ที่ช่วยให้การเรนเดอร์พืชพรรณ เช่น ต้นไม้หรือหญ้า มีความละเอียดสูงโดยไม่ต้องสร้าง LODs เอง ระบบนี้ใช้ Nanite Voxels และ Assemblies เพื่อลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเสถียรของเฟรมเรต พร้อมทั้งรองรับการเคลื่อนไหวแบบไดนามิก เช่น การตอบสนองต่อแรงลม ทำให้โลกในเกมดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

    นอกจากนี้ Unreal Engine 5.7 ยังมาพร้อม AI Assistant ที่ฝังอยู่ในตัว Editor นักพัฒนาสามารถถามคำถาม สร้างโค้ด C++ หรือขอคำแนะนำแบบ step-by-step ได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากโปรแกรม ถือเป็นการผสมผสาน AI เข้ากับการพัฒนาเกมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่กำลังใช้ AI เพื่อเร่งการสร้างคอนเทนต์

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Unreal Engine 5.7
    MegaLights เพิ่มความสมจริงของแสงเงา
    Nanite Foliage ทำให้พืชพรรณในเกมสมจริงโดยไม่กระทบเฟรมเรต
    AI Assistant ช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดและแก้ปัญหาใน Editor

    ข้อควรระวัง
    ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในสถานะทดลอง อาจมีบั๊กหรือไม่เสถียร
    การใช้แสงจำนวนมากอาจทำให้ฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าไม่รองรับเต็มที่

    https://wccftech.com/unreal-engine-5-7-out-now-with-nanite-foliage-and-megalights-powered-stunning-dynamic-shadow-casting-lights/
    🕹️ Unreal Engine 5.7 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ Nanite Foliage และ MegaLights Epic Games ได้ปล่อย Unreal Engine 5.7 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่นักพัฒนาเกมรอคอยกันมานาน จุดเด่นคือการยกระดับระบบแสงและการเรนเดอร์วัตถุให้สมจริงมากขึ้น ฟีเจอร์ MegaLights ที่เคยอยู่ในสถานะทดลอง ตอนนี้ถูกยกระดับเป็น Beta ทำให้สามารถใส่แสงเงาแบบไดนามิกจำนวนมากลงในฉากได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการแสดงผลของเส้นผม วัตถุโปร่งใส และอนุภาค Niagara ให้สมจริงกว่าเดิม อีกหนึ่งไฮไลต์คือ Nanite Foliage ที่ช่วยให้การเรนเดอร์พืชพรรณ เช่น ต้นไม้หรือหญ้า มีความละเอียดสูงโดยไม่ต้องสร้าง LODs เอง ระบบนี้ใช้ Nanite Voxels และ Assemblies เพื่อลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเสถียรของเฟรมเรต พร้อมทั้งรองรับการเคลื่อนไหวแบบไดนามิก เช่น การตอบสนองต่อแรงลม ทำให้โลกในเกมดูมีชีวิตชีวามากขึ้น นอกจากนี้ Unreal Engine 5.7 ยังมาพร้อม AI Assistant ที่ฝังอยู่ในตัว Editor นักพัฒนาสามารถถามคำถาม สร้างโค้ด C++ หรือขอคำแนะนำแบบ step-by-step ได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากโปรแกรม ถือเป็นการผสมผสาน AI เข้ากับการพัฒนาเกมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่กำลังใช้ AI เพื่อเร่งการสร้างคอนเทนต์ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Unreal Engine 5.7 ➡️ MegaLights เพิ่มความสมจริงของแสงเงา ➡️ Nanite Foliage ทำให้พืชพรรณในเกมสมจริงโดยไม่กระทบเฟรมเรต ➡️ AI Assistant ช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดและแก้ปัญหาใน Editor ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในสถานะทดลอง อาจมีบั๊กหรือไม่เสถียร ⛔ การใช้แสงจำนวนมากอาจทำให้ฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าไม่รองรับเต็มที่ https://wccftech.com/unreal-engine-5-7-out-now-with-nanite-foliage-and-megalights-powered-stunning-dynamic-shadow-casting-lights/
    WCCFTECH.COM
    Unreal Engine 5.7 Out Now with Nanite Foliage and MegaLights-Powered Stunning Dynamic Shadow-Casting Lights
    Epic has released Unreal Engine 5.7. The new build of the game making engine adds Nanite Foliage, MegaLights, and much more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโอไฮโอ

    Google ลงนามสัญญากับ TotalEnergies เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากฟาร์ม Montpelier ในรัฐโอไฮโอ เป็นเวลา 15 ปี รวมปริมาณกว่า 1.5 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี ฟาร์มนี้มีขนาด 50 เมกะวัตต์ และจะส่งพลังงานส่วนใหญ่ไปยังศูนย์ข้อมูลของ Google

    แม้จะเป็นข่าวดีด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีข้อกังวลว่าพลังงานที่ผลิตได้อาจไม่เหลือให้ชุมชนท้องถิ่นใช้ เนื่องจากศูนย์ข้อมูลต้องใช้พลังงานมหาศาล อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ซึ่งอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

    อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานหมุนเวียนถือเป็นสัญญาณบวกที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และ TotalEnergies เองก็มีแผนลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ รวมกว่า 10 กิกะวัตต์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/google-strikes-massive-deal-to-buy-1-5-terawatt-hours-of-ohio-solar-capacity-15-year-deal-will-see-most-of-50-megawatt-solar-farms-capacity-diverted-to-data-centers
    ☀️ Google ซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโอไฮโอ Google ลงนามสัญญากับ TotalEnergies เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากฟาร์ม Montpelier ในรัฐโอไฮโอ เป็นเวลา 15 ปี รวมปริมาณกว่า 1.5 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี ฟาร์มนี้มีขนาด 50 เมกะวัตต์ และจะส่งพลังงานส่วนใหญ่ไปยังศูนย์ข้อมูลของ Google แม้จะเป็นข่าวดีด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีข้อกังวลว่าพลังงานที่ผลิตได้อาจไม่เหลือให้ชุมชนท้องถิ่นใช้ เนื่องจากศูนย์ข้อมูลต้องใช้พลังงานมหาศาล อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ซึ่งอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานหมุนเวียนถือเป็นสัญญาณบวกที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และ TotalEnergies เองก็มีแผนลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ รวมกว่า 10 กิกะวัตต์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/google-strikes-massive-deal-to-buy-1-5-terawatt-hours-of-ohio-solar-capacity-15-year-deal-will-see-most-of-50-megawatt-solar-farms-capacity-diverted-to-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ออกแพตช์แก้บั๊กใหญ่ในซอฟต์แวร์และไมโครโค้ด

    Intel จัดการอัปเดตครั้งใหญ่คล้ายกับ “Patch Tuesday” ของ Microsoft โดยแก้ไขช่องโหว่กว่า 30 จุด ทั้งในซอฟต์แวร์และไมโครโค้ดของซีพียูรุ่นใหม่ ๆ การอัปเดตนี้มีทั้งการแก้บั๊กเล็ก ๆ และการปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โจมตีเพื่อยกระดับสิทธิ์การเข้าถึงระบบ หนึ่งในช่องโหว่ที่น่ากังวลคือ UEFI Server Firmware ที่อาจทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถเข้าถึงระบบทั้งหมดได้ ซึ่งถือว่าอันตรายมากในสภาพแวดล้อมเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กในไดรเวอร์ Wi-Fi และ GPU ของ Intel ที่อาจทำให้การเชื่อมต่อหลุดหรือข้อมูลรั่วไหลได้ ส่วนไมโครโค้ดก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ปัญหาการทำงานของคำสั่ง REP SCASB และ REP CMPSB ที่อาจให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อมีการเข้าถึงหน่วยความจำพร้อมกันจากหลายคอร์ รวมถึงการแก้ไขฟีเจอร์ประหยัดพลังงานในซีพียู Xeon และ Arrow Lake

    การอัปเดตนี้ยังครอบคลุมถึงการแก้ปัญหากับอุปกรณ์ USB 3.2 ที่อาจทำให้การส่งข้อมูลเสียงหรือภาพสะดุด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานกับอุปกรณ์ A/V เช่น กล้องและไมโครโฟน

    Intel ปล่อยแพตช์แก้ช่องโหว่กว่า 30 จุด
    รวมถึง UEFI Server Firmware ที่มีความเสี่ยงสูง

    การแก้ไขบั๊กในไดรเวอร์ Wi-Fi และ GPU
    ลดโอกาสการหลุดของการเชื่อมต่อและการรั่วไหลของข้อมูล

    ปรับปรุงไมโครโค้ดของซีพียูหลายรุ่น
    แก้ปัญหาคำสั่ง REP SCASB/CMPSB และฟีเจอร์ประหยัดพลังงาน

    ช่องโหว่ UEFI อาจทำให้ผู้ดูแลระบบที่ไม่หวังดีเข้าถึงเครื่องทั้งหมด
    เสี่ยงต่อการโจมตีในเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์

    บั๊ก Wi-Fi อาจทำให้การเชื่อมต่อหลุด
    กระทบผู้ใช้ทั่วไปหากไม่อัปเดตไดรเวอร์ทันที

    https://www.tomshardware.com/software/intel-software-fixes-stamp-down-privilege-escalation-vulnerabilities-while-microcode-updates-clean-up-cpu-messes-chipmaker-has-its-own-patch-tuesday-as-it-stomps-down-30-bugs
    🖥️ Intel ออกแพตช์แก้บั๊กใหญ่ในซอฟต์แวร์และไมโครโค้ด Intel จัดการอัปเดตครั้งใหญ่คล้ายกับ “Patch Tuesday” ของ Microsoft โดยแก้ไขช่องโหว่กว่า 30 จุด ทั้งในซอฟต์แวร์และไมโครโค้ดของซีพียูรุ่นใหม่ ๆ การอัปเดตนี้มีทั้งการแก้บั๊กเล็ก ๆ และการปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โจมตีเพื่อยกระดับสิทธิ์การเข้าถึงระบบ หนึ่งในช่องโหว่ที่น่ากังวลคือ UEFI Server Firmware ที่อาจทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถเข้าถึงระบบทั้งหมดได้ ซึ่งถือว่าอันตรายมากในสภาพแวดล้อมเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กในไดรเวอร์ Wi-Fi และ GPU ของ Intel ที่อาจทำให้การเชื่อมต่อหลุดหรือข้อมูลรั่วไหลได้ ส่วนไมโครโค้ดก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ปัญหาการทำงานของคำสั่ง REP SCASB และ REP CMPSB ที่อาจให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อมีการเข้าถึงหน่วยความจำพร้อมกันจากหลายคอร์ รวมถึงการแก้ไขฟีเจอร์ประหยัดพลังงานในซีพียู Xeon และ Arrow Lake การอัปเดตนี้ยังครอบคลุมถึงการแก้ปัญหากับอุปกรณ์ USB 3.2 ที่อาจทำให้การส่งข้อมูลเสียงหรือภาพสะดุด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานกับอุปกรณ์ A/V เช่น กล้องและไมโครโฟน ✅ Intel ปล่อยแพตช์แก้ช่องโหว่กว่า 30 จุด ➡️ รวมถึง UEFI Server Firmware ที่มีความเสี่ยงสูง ✅ การแก้ไขบั๊กในไดรเวอร์ Wi-Fi และ GPU ➡️ ลดโอกาสการหลุดของการเชื่อมต่อและการรั่วไหลของข้อมูล ✅ ปรับปรุงไมโครโค้ดของซีพียูหลายรุ่น ➡️ แก้ปัญหาคำสั่ง REP SCASB/CMPSB และฟีเจอร์ประหยัดพลังงาน ‼️ ช่องโหว่ UEFI อาจทำให้ผู้ดูแลระบบที่ไม่หวังดีเข้าถึงเครื่องทั้งหมด ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีในเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์ ‼️ บั๊ก Wi-Fi อาจทำให้การเชื่อมต่อหลุด ⛔ กระทบผู้ใช้ทั่วไปหากไม่อัปเดตไดรเวอร์ทันที https://www.tomshardware.com/software/intel-software-fixes-stamp-down-privilege-escalation-vulnerabilities-while-microcode-updates-clean-up-cpu-messes-chipmaker-has-its-own-patch-tuesday-as-it-stomps-down-30-bugs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts