• Kirin 9020 – ชิปที่ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือสัญลักษณ์ของการยืนหยัด

    Huawei กลับมาอย่างสง่างามในเวทีสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ ด้วยการเปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งเป็นชิป SoC ที่รวมโมเด็ม 5G และโมดูล RF front-end ที่ผลิตในประเทศจีนทั้งหมด ถือเป็นครั้งแรกที่ Huawei สามารถรวมเทคโนโลยี 5G แบบครบวงจรไว้ในชิปเดียวได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก

    Kirin 9020 ถูกใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 70 และ Pura 80 โดยมีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei หลังจากเก็บงำข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี การเปิดเผยครั้งนี้ไม่ใช่แค่การโชว์เทคโนโลยี แต่เป็นการประกาศความมั่นใจในความสามารถด้านการออกแบบและผลิตชิปของจีน

    ชิปนี้ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยีระดับ 7 นาโนเมตร แม้จะไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูงจากตะวันตก แต่ก็สามารถผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ โดยเฉพาะการรวมโมเด็ม 5G ซึ่งต้องรองรับคลื่นความถี่หลากหลาย, การจัดการสัญญาณแบบ beamforming และการเข้ารหัสขั้นสูง

    นอกจากโมเด็มแล้ว Huawei ยังสามารถผลิต RF front-end module ได้เอง ซึ่งรวมถึง power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter ที่เคยถูกครอบครองโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Broadcom และ Qorvo

    ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเอง และ Kirin 9020 ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดท่ามกลางการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Huawei เปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งรวมโมเด็ม 5G และ RF front-end module ที่ผลิตในจีน
    ใช้ในสมาร์ตโฟน Mate 70 และ Pura 80 พร้อมการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei
    ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm-class แม้ไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูง
    โมเด็ม 5G รองรับคลื่น sub-6 GHz และ mmWave พร้อมเทคนิค OFDM, MU-MIMO, beamforming
    RF front-end module รวม power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter
    Huawei เคยปิดบังข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี ก่อนจะเปิดเผยอย่างมั่นใจในปี 2025
    Kirin 9020 เป็นการพัฒนาแบบ incremental จาก Kirin 9010 ไม่ใช่การออกแบบใหม่ทั้งหมด
    การรวมโมเด็ม 5G เข้ากับ SoC เป็นสิ่งที่แม้แต่ Apple ยังไม่สามารถทำได้
    ชิปนี้แสดงถึงความสามารถของจีนในการผลิตชิป RF-intensive โดยไม่พึ่งพาตะวันตก
    Kirin 9020 กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดต่อการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huawei ยืนยันชื่อชิปผ่านภาพหน้าจอหลังอัปเดตระบบของผู้ใช้ Pura 80
    SMIC เคยผลิตชิป 7nm ให้ Huawei ตั้งแต่ Kirin 980 โดยใช้เทคโนโลยีของ TSMC
    การเปิดเผยข้อมูลชิปครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์จาก “ความลับ” สู่ “ความมั่นใจ”
    จีนมีแผนสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเองเต็มรูปแบบ
    การผลิต RF front-end module เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในอุปกรณ์ 5G เพราะต้องใช้วัสดุเฉพาะและเทคนิคขั้นสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/huaweis-kirin-9020-integrates-5g-modem-china-made-5g-fem-chip-symbolizes-resilience-to-u-s-sanctions
    🎙️ Kirin 9020 – ชิปที่ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือสัญลักษณ์ของการยืนหยัด Huawei กลับมาอย่างสง่างามในเวทีสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ ด้วยการเปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งเป็นชิป SoC ที่รวมโมเด็ม 5G และโมดูล RF front-end ที่ผลิตในประเทศจีนทั้งหมด ถือเป็นครั้งแรกที่ Huawei สามารถรวมเทคโนโลยี 5G แบบครบวงจรไว้ในชิปเดียวได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก Kirin 9020 ถูกใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 70 และ Pura 80 โดยมีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei หลังจากเก็บงำข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี การเปิดเผยครั้งนี้ไม่ใช่แค่การโชว์เทคโนโลยี แต่เป็นการประกาศความมั่นใจในความสามารถด้านการออกแบบและผลิตชิปของจีน ชิปนี้ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยีระดับ 7 นาโนเมตร แม้จะไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูงจากตะวันตก แต่ก็สามารถผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ โดยเฉพาะการรวมโมเด็ม 5G ซึ่งต้องรองรับคลื่นความถี่หลากหลาย, การจัดการสัญญาณแบบ beamforming และการเข้ารหัสขั้นสูง นอกจากโมเด็มแล้ว Huawei ยังสามารถผลิต RF front-end module ได้เอง ซึ่งรวมถึง power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter ที่เคยถูกครอบครองโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Broadcom และ Qorvo ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเอง และ Kirin 9020 ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดท่ามกลางการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Huawei เปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งรวมโมเด็ม 5G และ RF front-end module ที่ผลิตในจีน ➡️ ใช้ในสมาร์ตโฟน Mate 70 และ Pura 80 พร้อมการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei ➡️ ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm-class แม้ไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูง ➡️ โมเด็ม 5G รองรับคลื่น sub-6 GHz และ mmWave พร้อมเทคนิค OFDM, MU-MIMO, beamforming ➡️ RF front-end module รวม power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter ➡️ Huawei เคยปิดบังข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี ก่อนจะเปิดเผยอย่างมั่นใจในปี 2025 ➡️ Kirin 9020 เป็นการพัฒนาแบบ incremental จาก Kirin 9010 ไม่ใช่การออกแบบใหม่ทั้งหมด ➡️ การรวมโมเด็ม 5G เข้ากับ SoC เป็นสิ่งที่แม้แต่ Apple ยังไม่สามารถทำได้ ➡️ ชิปนี้แสดงถึงความสามารถของจีนในการผลิตชิป RF-intensive โดยไม่พึ่งพาตะวันตก ➡️ Kirin 9020 กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดต่อการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huawei ยืนยันชื่อชิปผ่านภาพหน้าจอหลังอัปเดตระบบของผู้ใช้ Pura 80 ➡️ SMIC เคยผลิตชิป 7nm ให้ Huawei ตั้งแต่ Kirin 980 โดยใช้เทคโนโลยีของ TSMC ➡️ การเปิดเผยข้อมูลชิปครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์จาก “ความลับ” สู่ “ความมั่นใจ” ➡️ จีนมีแผนสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเองเต็มรูปแบบ ➡️ การผลิต RF front-end module เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในอุปกรณ์ 5G เพราะต้องใช้วัสดุเฉพาะและเทคนิคขั้นสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/huaweis-kirin-9020-integrates-5g-modem-china-made-5g-fem-chip-symbolizes-resilience-to-u-s-sanctions
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • Nvidia B30A – ชิป AI สำหรับจีนที่แรงกว่าเดิม แต่ยังอยู่ในกรอบควบคุมของสหรัฐฯ

    ในโลกที่เทคโนโลยี AI กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Nvidia กำลังเดินเกมใหม่เพื่อรักษาตลาดจีน ซึ่งคิดเป็น 13% ของรายได้บริษัท ด้วยการพัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “B30A” ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ

    B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุด และเป็นชิปแบบ “single-die” ซึ่งมีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของรุ่นเรือธง B300 ที่ใช้แบบ “dual-die” แต่ยังแรงกว่า H20 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia ได้รับอนุญาตให้ขายในจีนก่อนหน้านี้

    ชิป B30A มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 4TB/s พร้อมเทคโนโลยี NVLink สำหรับเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่างในจำนวน NVLink ที่อนุญาต

    นอกจากนี้ Nvidia ยังเตรียมเปิดตัว RTX 6000D สำหรับงาน inference ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปกจาก RTX 6000 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ควบคุมการส่งออก โดยทั้งสองรุ่นคาดว่าจะเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าในจีนได้ภายในเดือนกันยายน 2025 หากได้รับอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ

    แนวทางนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้ Nvidia และ AMD จ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ที่ “ลดประสิทธิภาพลง” ประมาณ 30–50%

    ข้อมูลในข่าว
    Nvidia พัฒนา B30A ชิป AI สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell
    B30A เป็นชิปแบบ single-die ที่มีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของ B300
    ประสิทธิภาพของ B30A สูงกว่า H20 และใกล้เคียงกับ H100
    มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์ 4TB/s
    ใช้เทคโนโลยี NVLink สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์
    ออกแบบให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ
    Nvidia เตรียมส่งมอบตัวอย่าง B30A และ RTX 6000D ให้ลูกค้าในจีนภายในกันยายน 2025
    RTX 6000D เป็นรุ่นลดสเปกสำหรับ inference และกราฟิกระดับมืออาชีพ
    รัฐบาลสหรัฐฯ อาจอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ในจีน หากมีการแบ่งรายได้ 15%

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    H20 ถูกพัฒนาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกในปี 2023 แต่ถูกระงับการขายในเมษายน 2025
    B30A ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S ซึ่งถูกกว่ารุ่น CoWoS-L ที่ใช้ใน B300
    การออกแบบ single-die ช่วยลดกำลังไฟและเหมาะกับอุปกรณ์ PCIe
    Nvidia ต้องรักษาฐานลูกค้าในจีนเพื่อคง ecosystem ของ CUDA
    Huawei กำลังพัฒนา GPU แข่งกับ Nvidia แม้ยังด้อยในด้านซอฟต์แวร์และแบนด์วิดท์
    การออกแบบชิปเฉพาะตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น อินเดียและรัสเซีย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-could-be-readying-b30a-accelerator-for-chinese-market-new-blackwell-chip-reportedly-beats-h20-and-even-h100-while-complying-with-u-s-export-controls
    🧠 Nvidia B30A – ชิป AI สำหรับจีนที่แรงกว่าเดิม แต่ยังอยู่ในกรอบควบคุมของสหรัฐฯ ในโลกที่เทคโนโลยี AI กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Nvidia กำลังเดินเกมใหม่เพื่อรักษาตลาดจีน ซึ่งคิดเป็น 13% ของรายได้บริษัท ด้วยการพัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “B30A” ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุด และเป็นชิปแบบ “single-die” ซึ่งมีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของรุ่นเรือธง B300 ที่ใช้แบบ “dual-die” แต่ยังแรงกว่า H20 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia ได้รับอนุญาตให้ขายในจีนก่อนหน้านี้ ชิป B30A มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 4TB/s พร้อมเทคโนโลยี NVLink สำหรับเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่างในจำนวน NVLink ที่อนุญาต นอกจากนี้ Nvidia ยังเตรียมเปิดตัว RTX 6000D สำหรับงาน inference ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปกจาก RTX 6000 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ควบคุมการส่งออก โดยทั้งสองรุ่นคาดว่าจะเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าในจีนได้ภายในเดือนกันยายน 2025 หากได้รับอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ แนวทางนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้ Nvidia และ AMD จ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ที่ “ลดประสิทธิภาพลง” ประมาณ 30–50% ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nvidia พัฒนา B30A ชิป AI สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell ➡️ B30A เป็นชิปแบบ single-die ที่มีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของ B300 ➡️ ประสิทธิภาพของ B30A สูงกว่า H20 และใกล้เคียงกับ H100 ➡️ มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์ 4TB/s ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVLink สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ➡️ ออกแบบให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ➡️ Nvidia เตรียมส่งมอบตัวอย่าง B30A และ RTX 6000D ให้ลูกค้าในจีนภายในกันยายน 2025 ➡️ RTX 6000D เป็นรุ่นลดสเปกสำหรับ inference และกราฟิกระดับมืออาชีพ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ในจีน หากมีการแบ่งรายได้ 15% ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ H20 ถูกพัฒนาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกในปี 2023 แต่ถูกระงับการขายในเมษายน 2025 ➡️ B30A ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S ซึ่งถูกกว่ารุ่น CoWoS-L ที่ใช้ใน B300 ➡️ การออกแบบ single-die ช่วยลดกำลังไฟและเหมาะกับอุปกรณ์ PCIe ➡️ Nvidia ต้องรักษาฐานลูกค้าในจีนเพื่อคง ecosystem ของ CUDA ➡️ Huawei กำลังพัฒนา GPU แข่งกับ Nvidia แม้ยังด้อยในด้านซอฟต์แวร์และแบนด์วิดท์ ➡️ การออกแบบชิปเฉพาะตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น อินเดียและรัสเซีย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-could-be-readying-b30a-accelerator-for-chinese-market-new-blackwell-chip-reportedly-beats-h20-and-even-h100-while-complying-with-u-s-export-controls
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • เมื่อการควบคุมชิปกลายเป็นดาบสองคม: Nvidia โต้กลับว่านโยบายสหรัฐฯ ทำร้ายตัวเองมากกว่าจีน

    Nvidia ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนผ่านโพสต์บน X ว่าการควบคุมการส่งออกชิป H20 ไปยังจีน ไม่ได้หยุดยั้งความก้าวหน้า AI ของจีนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

    Aaron Ginn ผู้ร่วมก่อตั้ง Hydra Host เขียนบทความใน Wall Street Journal ว่าการห้ามส่งออกชิปนั้น “ล้มเหลวในโลกจริง” เพราะจีนยังคงพัฒนา AI ต่อเนื่อง และมีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

    แม้ชิป H20 จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของสหรัฐฯ แต่จีนกลับมองว่าไม่ปลอดภัย และเริ่มหันไปใช้ชิปจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น Huawei และ Hygon ซึ่งทำให้ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนอย่างต่อเนื่อง

    Nvidia ยืนยันว่าแพลตฟอร์ม CUDA ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือพัฒนา AI ยังเป็นจุดแข็งที่จีนไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกระดับยุทธศาสตร์ใหม่ แทนที่จะใช้การควบคุมแบบเดิม

    ข้อมูลเสริมจากวงการ AI
    แพลตฟอร์ม CUDA เป็นหัวใจของการพัฒนาโมเดล AI ระดับสูง
    ชิป AI เป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ
    การควบคุมการส่งออกอาจกระทบต่อการเติบโตของนวัตกรรมในสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-says-h20-export-controls-didnt-stop-chinas-ai-progress-claims-they-only-stifled-u-s-economic-and-technology-leadership
    🧠 เมื่อการควบคุมชิปกลายเป็นดาบสองคม: Nvidia โต้กลับว่านโยบายสหรัฐฯ ทำร้ายตัวเองมากกว่าจีน Nvidia ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนผ่านโพสต์บน X ว่าการควบคุมการส่งออกชิป H20 ไปยังจีน ไม่ได้หยุดยั้งความก้าวหน้า AI ของจีนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี Aaron Ginn ผู้ร่วมก่อตั้ง Hydra Host เขียนบทความใน Wall Street Journal ว่าการห้ามส่งออกชิปนั้น “ล้มเหลวในโลกจริง” เพราะจีนยังคงพัฒนา AI ต่อเนื่อง และมีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แม้ชิป H20 จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของสหรัฐฯ แต่จีนกลับมองว่าไม่ปลอดภัย และเริ่มหันไปใช้ชิปจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น Huawei และ Hygon ซึ่งทำให้ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนอย่างต่อเนื่อง Nvidia ยืนยันว่าแพลตฟอร์ม CUDA ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือพัฒนา AI ยังเป็นจุดแข็งที่จีนไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกระดับยุทธศาสตร์ใหม่ แทนที่จะใช้การควบคุมแบบเดิม ✅ ข้อมูลเสริมจากวงการ AI ➡️ แพลตฟอร์ม CUDA เป็นหัวใจของการพัฒนาโมเดล AI ระดับสูง ➡️ ชิป AI เป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ ➡️ การควบคุมการส่งออกอาจกระทบต่อการเติบโตของนวัตกรรมในสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-says-h20-export-controls-didnt-stop-chinas-ai-progress-claims-they-only-stifled-u-s-economic-and-technology-leadership
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • ⚡️ เมื่อ AI กลายเป็นตัวดูดพลังงาน: จีนพร้อม แต่สหรัฐฯ ยังติดหล่ม

    ลองจินตนาการว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์อัจฉริยะ แต่เป็นเครื่องจักรที่กินไฟมหาศาลเหมือนสัตว์ประหลาดในโรงงานไฟฟ้า และในสงครามเทคโนโลยีนี้ จีนดูเหมือนจะเตรียมตัวมาดีกว่าสหรัฐฯ หลายช่วงตัว

    จีนลงทุนมหาศาลในพลังงานสะอาด ทั้งพลังน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ และโซลาร์ฟาร์มขนาดยักษ์ ทำให้มีพลังงานสำรองถึง 80–100% พร้อมรองรับการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ใหม่ได้ทันที ในขณะที่สหรัฐฯ กลับต้องเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าที่ไม่ทันความต้องการ จนบริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง หรือหันไปพัฒนานิวเคลียร์ขนาดเล็ก

    แม้จีนจะมีข้อครหาว่าใช้โรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ก็มีแผนรองรับด้วยการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และสามารถเปิดโรงไฟฟ้าสำรองได้ทันทีหากจำเป็น ขณะที่สหรัฐฯ ยังต้องเผชิญกับความล่าช้าในการอนุมัติโครงการใหม่ และความไม่แน่นอนของระบบสายส่ง

    ที่น่าสนใจคือ แม้จีนจะมีพลังงานเหลือเฟือ แต่ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งกลับยังไม่ได้ใช้งานเต็มที่ จึงกำลังพัฒนาเครือข่ายซื้อขายพลังงานสำรองระหว่างกัน ส่วนสหรัฐฯ หากไม่เร่งแก้ปัญหา อาจเสียเปรียบในสงคราม AI แม้จะมีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่า เพราะ “ไม่มีไฟ ก็ไม่มี AI”

    จีนเตรียมพร้อมด้านพลังงานเพื่อรองรับ AI
    มีพลังงานสำรอง 80–100% รองรับการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่
    ลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น พลังน้ำ นิวเคลียร์ และโซลาร์
    วางแผนพลังงานล่วงหน้าเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต
    สามารถเปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสำรองได้ทันทีหากจำเป็น
    พัฒนาเครือข่ายซื้อขายพลังงานสำรองระหว่างศูนย์ข้อมูล

    สหรัฐฯ เผชิญปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้า
    ศูนย์ข้อมูล AI ทำให้ระบบไฟฟ้าสหรัฐฯ ตึงเครียด
    บริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง เช่น Elon Musk
    ลงทุนในนิวเคลียร์ขนาดเล็กเพื่อรองรับความต้องการ
    ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการใหม่เป็นอุปสรรคใหญ่
    ระบบสายส่งยังไม่พร้อมรองรับการขยายตัวของ AI

    ผลกระทบต่อการแข่งขันด้าน AI
    จีนสามารถใช้พลังงานมหาศาลเพื่อเร่งการประมวลผล AI
    สหรัฐฯ แม้มีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่า แต่ขาดพลังงานอาจเสียเปรียบ
    Huawei CloudMatrix ใช้พลังงานมหาศาลเพื่อเอาชนะ Nvidia GB200

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-experts-warn-that-china-is-miles-ahead-of-the-us-in-electricity-generation-lack-of-supply-and-infrastructure-threatens-the-uss-long-term-ai-plans
    ⚡️ เมื่อ AI กลายเป็นตัวดูดพลังงาน: จีนพร้อม แต่สหรัฐฯ ยังติดหล่ม ลองจินตนาการว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์อัจฉริยะ แต่เป็นเครื่องจักรที่กินไฟมหาศาลเหมือนสัตว์ประหลาดในโรงงานไฟฟ้า และในสงครามเทคโนโลยีนี้ จีนดูเหมือนจะเตรียมตัวมาดีกว่าสหรัฐฯ หลายช่วงตัว จีนลงทุนมหาศาลในพลังงานสะอาด ทั้งพลังน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ และโซลาร์ฟาร์มขนาดยักษ์ ทำให้มีพลังงานสำรองถึง 80–100% พร้อมรองรับการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ใหม่ได้ทันที ในขณะที่สหรัฐฯ กลับต้องเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าที่ไม่ทันความต้องการ จนบริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง หรือหันไปพัฒนานิวเคลียร์ขนาดเล็ก แม้จีนจะมีข้อครหาว่าใช้โรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ก็มีแผนรองรับด้วยการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และสามารถเปิดโรงไฟฟ้าสำรองได้ทันทีหากจำเป็น ขณะที่สหรัฐฯ ยังต้องเผชิญกับความล่าช้าในการอนุมัติโครงการใหม่ และความไม่แน่นอนของระบบสายส่ง ที่น่าสนใจคือ แม้จีนจะมีพลังงานเหลือเฟือ แต่ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งกลับยังไม่ได้ใช้งานเต็มที่ จึงกำลังพัฒนาเครือข่ายซื้อขายพลังงานสำรองระหว่างกัน ส่วนสหรัฐฯ หากไม่เร่งแก้ปัญหา อาจเสียเปรียบในสงคราม AI แม้จะมีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่า เพราะ “ไม่มีไฟ ก็ไม่มี AI” ✅ จีนเตรียมพร้อมด้านพลังงานเพื่อรองรับ AI ➡️ มีพลังงานสำรอง 80–100% รองรับการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ➡️ ลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น พลังน้ำ นิวเคลียร์ และโซลาร์ ➡️ วางแผนพลังงานล่วงหน้าเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต ➡️ สามารถเปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสำรองได้ทันทีหากจำเป็น ➡️ พัฒนาเครือข่ายซื้อขายพลังงานสำรองระหว่างศูนย์ข้อมูล ✅ สหรัฐฯ เผชิญปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้า ➡️ ศูนย์ข้อมูล AI ทำให้ระบบไฟฟ้าสหรัฐฯ ตึงเครียด ➡️ บริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง เช่น Elon Musk ➡️ ลงทุนในนิวเคลียร์ขนาดเล็กเพื่อรองรับความต้องการ ➡️ ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการใหม่เป็นอุปสรรคใหญ่ ➡️ ระบบสายส่งยังไม่พร้อมรองรับการขยายตัวของ AI ✅ ผลกระทบต่อการแข่งขันด้าน AI ➡️ จีนสามารถใช้พลังงานมหาศาลเพื่อเร่งการประมวลผล AI ➡️ สหรัฐฯ แม้มีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่า แต่ขาดพลังงานอาจเสียเปรียบ ➡️ Huawei CloudMatrix ใช้พลังงานมหาศาลเพื่อเอาชนะ Nvidia GB200 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-experts-warn-that-china-is-miles-ahead-of-the-us-in-electricity-generation-lack-of-supply-and-infrastructure-threatens-the-uss-long-term-ai-plans
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • DeepSeek R2: โมเดล AI ที่สะดุดเพราะชิป Huawei

    DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีนที่เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการพัฒนา R2 ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะใช้ชิป Ascend 910C ของ Huawei ในการฝึกโมเดล เพื่อสนับสนุนแนวทาง “พึ่งพาตนเอง” ของรัฐบาลจีน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามแผน

    แม้ Huawei จะส่งทีมวิศวกรไปช่วย DeepSeek โดยตรง แต่ชิป Ascend กลับมีปัญหาหลายด้าน เช่น ความร้อนสูง, การเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า, และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถฝึกโมเดล R2 ได้สำเร็จ

    สุดท้าย DeepSeek ต้องหันกลับมาใช้ชิป NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล และใช้ชิป Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เท่านั้น ซึ่งเป็นการประนีประนอมระหว่างประสิทธิภาพและนโยบายรัฐ

    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า เช่น การติดป้ายข้อมูล (data labeling) ที่ใช้เวลานานกว่าคาด และความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป NVIDIA ที่อาจมีระบบติดตามตำแหน่ง ทำให้รัฐบาลจีนลังเลที่จะอนุมัติการใช้งานในวงกว้าง

    แม้ DeepSeek จะยังไม่ประกาศวันเปิดตัวใหม่อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าโมเดล R2 จะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยต้องแข่งกับคู่แข่งอย่าง Qwen3 จาก Alibaba ที่กำลังมาแรง

    DeepSeek ล่าช้าในการเปิดตัวโมเดล R2
    เดิมตั้งใจเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
    ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพ

    ปัญหาจากการใช้ชิป Huawei Ascend 910C
    มีปัญหาความร้อนสูงและการเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า
    ซอฟต์แวร์ CANN ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA
    ไม่สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ

    การเปลี่ยนกลับมาใช้ชิป NVIDIA
    ใช้ NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล R2
    ใช้ Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เพื่อประหยัดต้นทุน
    เป็นแนวทางแบบ hybrid ที่หลายบริษัทจีนเริ่มนำมาใช้

    ปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า
    การติดป้ายข้อมูลใช้เวลานานกว่าคาด
    ผู้ก่อตั้งไม่พอใจกับความก้าวหน้า และต้องการคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง
    รัฐบาลจีนยังลังเลเรื่องการอนุมัติชิป NVIDIA เพราะข้อกังวลด้านความปลอดภัย

    https://wccftech.com/deepseek-r2-ai-model-is-reportedly-delayed-after-chinese-authorities-encouraged-the-firm-to-use-huawei-ai-chips/
    🧠 DeepSeek R2: โมเดล AI ที่สะดุดเพราะชิป Huawei DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีนที่เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการพัฒนา R2 ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะใช้ชิป Ascend 910C ของ Huawei ในการฝึกโมเดล เพื่อสนับสนุนแนวทาง “พึ่งพาตนเอง” ของรัฐบาลจีน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามแผน แม้ Huawei จะส่งทีมวิศวกรไปช่วย DeepSeek โดยตรง แต่ชิป Ascend กลับมีปัญหาหลายด้าน เช่น ความร้อนสูง, การเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า, และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถฝึกโมเดล R2 ได้สำเร็จ สุดท้าย DeepSeek ต้องหันกลับมาใช้ชิป NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล และใช้ชิป Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เท่านั้น ซึ่งเป็นการประนีประนอมระหว่างประสิทธิภาพและนโยบายรัฐ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า เช่น การติดป้ายข้อมูล (data labeling) ที่ใช้เวลานานกว่าคาด และความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป NVIDIA ที่อาจมีระบบติดตามตำแหน่ง ทำให้รัฐบาลจีนลังเลที่จะอนุมัติการใช้งานในวงกว้าง แม้ DeepSeek จะยังไม่ประกาศวันเปิดตัวใหม่อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าโมเดล R2 จะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยต้องแข่งกับคู่แข่งอย่าง Qwen3 จาก Alibaba ที่กำลังมาแรง ✅ DeepSeek ล่าช้าในการเปิดตัวโมเดล R2 ➡️ เดิมตั้งใจเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ➡️ ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพ ✅ ปัญหาจากการใช้ชิป Huawei Ascend 910C ➡️ มีปัญหาความร้อนสูงและการเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า ➡️ ซอฟต์แวร์ CANN ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ➡️ ไม่สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ ✅ การเปลี่ยนกลับมาใช้ชิป NVIDIA ➡️ ใช้ NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล R2 ➡️ ใช้ Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เพื่อประหยัดต้นทุน ➡️ เป็นแนวทางแบบ hybrid ที่หลายบริษัทจีนเริ่มนำมาใช้ ✅ ปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า ➡️ การติดป้ายข้อมูลใช้เวลานานกว่าคาด ➡️ ผู้ก่อตั้งไม่พอใจกับความก้าวหน้า และต้องการคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง ➡️ รัฐบาลจีนยังลังเลเรื่องการอนุมัติชิป NVIDIA เพราะข้อกังวลด้านความปลอดภัย https://wccftech.com/deepseek-r2-ai-model-is-reportedly-delayed-after-chinese-authorities-encouraged-the-firm-to-use-huawei-ai-chips/
    WCCFTECH.COM
    DeepSeek's R2 AI Model Is Reportedly Delayed After Chinese Authorities Encouraged the Firm to Use Huawei's AI Chips; Beijing Is Still in Need of NVIDIA's Alternatives
    Well, relying on Huawei's AI chips didn't go well for DeepSeek, as the AI firm has failed to train the R2 model on Chinese chips.
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • เมื่อชิปกลายเป็นภาษี: Nvidia และ AMD ต้องจ่าย 15% รายได้จากการขายชิป AI ให้จีน

    ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ชิป AI กลายเป็นอาวุธสำคัญ และตอนนี้สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการ—Nvidia และ AMD—ต้องจ่าย “ค่าผ่านทาง” ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 15% ของรายได้จากการขายชิป AI ให้จีน

    เรื่องเริ่มจากการที่สหรัฐฯ เคยจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดยเฉพาะชิปที่มีศักยภาพในการใช้งานทางทหาร แต่เมื่อ Huawei ของจีนเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองอย่างรวดเร็ว รัฐบาลสหรัฐฯ จึงกลับลำ เปิดทางให้ Nvidia ส่งออกชิป H20 และ AMD ส่ง MI308 ไปยังจีนได้อีกครั้ง—แต่ต้องจ่ายภาษีพิเศษ

    ชิปเหล่านี้ถูกออกแบบให้ “ลดความสามารถ” ลงจากรุ่นเรือธง เพื่อให้ผ่านข้อจำกัดด้านการส่งออก แต่ยังคงเป็น AI accelerator ที่ทรงพลังสำหรับงานประมวลผลหนัก เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่

    แม้จะได้สิทธิ์กลับมาขาย แต่ Nvidia เคยประเมินว่าแค่ข้อจำกัดเดิมก็ทำให้สูญรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วน AMD ก็อาจเสียหายถึง 800 ล้านดอลลาร์

    ขณะเดียวกัน ฝ่ายนิติบัญญัติในสหรัฐฯ กำลังเสนอให้ชิป AI ที่ขายให้ต่างประเทศต้องมีระบบติดตามตำแหน่งในตัว เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทหารหรือการจารกรรม

    Nvidia และ AMD ต้องจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิป AI ให้จีน
    เป็นข้อตกลงใหม่กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการส่งออก

    ชิปที่เกี่ยวข้องคือ Nvidia H20 และ AMD MI308
    ถูกออกแบบให้ลดความสามารถลงเพื่อผ่านข้อจำกัดด้านการส่งออก

    ชิปเหล่านี้เป็น AI accelerator สำหรับงานประมวลผลหนัก
    เช่น การฝึกโมเดล AI และการคำนวณเชิงลึก

    Nvidia เคยประเมินว่าข้อจำกัดเดิมทำให้สูญรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์
    ส่วน AMD อาจเสียหายถึง 800 ล้านดอลลาร์

    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
    แต่กลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

    Huawei ของจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีชิปอย่างรวดเร็ว
    เป็นแรงกดดันให้สหรัฐฯ ต้องปรับนโยบาย

    มีข้อเสนอให้ชิป AI ที่ส่งออกต้องมีระบบติดตามตำแหน่งในตัว
    เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทหารหรือการจารกรรม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/the-semiconductors-costing-nvidia-amd-dearly
    💸⚙️ เมื่อชิปกลายเป็นภาษี: Nvidia และ AMD ต้องจ่าย 15% รายได้จากการขายชิป AI ให้จีน ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ชิป AI กลายเป็นอาวุธสำคัญ และตอนนี้สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการ—Nvidia และ AMD—ต้องจ่าย “ค่าผ่านทาง” ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 15% ของรายได้จากการขายชิป AI ให้จีน เรื่องเริ่มจากการที่สหรัฐฯ เคยจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดยเฉพาะชิปที่มีศักยภาพในการใช้งานทางทหาร แต่เมื่อ Huawei ของจีนเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองอย่างรวดเร็ว รัฐบาลสหรัฐฯ จึงกลับลำ เปิดทางให้ Nvidia ส่งออกชิป H20 และ AMD ส่ง MI308 ไปยังจีนได้อีกครั้ง—แต่ต้องจ่ายภาษีพิเศษ ชิปเหล่านี้ถูกออกแบบให้ “ลดความสามารถ” ลงจากรุ่นเรือธง เพื่อให้ผ่านข้อจำกัดด้านการส่งออก แต่ยังคงเป็น AI accelerator ที่ทรงพลังสำหรับงานประมวลผลหนัก เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ แม้จะได้สิทธิ์กลับมาขาย แต่ Nvidia เคยประเมินว่าแค่ข้อจำกัดเดิมก็ทำให้สูญรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วน AMD ก็อาจเสียหายถึง 800 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน ฝ่ายนิติบัญญัติในสหรัฐฯ กำลังเสนอให้ชิป AI ที่ขายให้ต่างประเทศต้องมีระบบติดตามตำแหน่งในตัว เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทหารหรือการจารกรรม ✅ Nvidia และ AMD ต้องจ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิป AI ให้จีน ➡️ เป็นข้อตกลงใหม่กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการส่งออก ✅ ชิปที่เกี่ยวข้องคือ Nvidia H20 และ AMD MI308 ➡️ ถูกออกแบบให้ลดความสามารถลงเพื่อผ่านข้อจำกัดด้านการส่งออก ✅ ชิปเหล่านี้เป็น AI accelerator สำหรับงานประมวลผลหนัก ➡️ เช่น การฝึกโมเดล AI และการคำนวณเชิงลึก ✅ Nvidia เคยประเมินว่าข้อจำกัดเดิมทำให้สูญรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ส่วน AMD อาจเสียหายถึง 800 ล้านดอลลาร์ ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ แต่กลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ✅ Huawei ของจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีชิปอย่างรวดเร็ว ➡️ เป็นแรงกดดันให้สหรัฐฯ ต้องปรับนโยบาย ✅ มีข้อเสนอให้ชิป AI ที่ส่งออกต้องมีระบบติดตามตำแหน่งในตัว ➡️ เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทหารหรือการจารกรรม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/the-semiconductors-costing-nvidia-amd-dearly
    WWW.THESTAR.COM.MY
    The semiconductors costing Nvidia, AMD dearly
    Nvidia and other US chip companies have lobbied against the tough restrictions in recent years on selling cutting-edge semiconductors to China.
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Huawei เปิดซอร์ส CANN: ยุทธศาสตร์ใหม่ท้าชน CUDA เพื่ออิสรภาพด้าน AI ของจีน

    ลองนึกภาพว่าโลกของ AI ที่เคยถูกครอบงำโดย CUDA ของ Nvidia กำลังถูกท้าทายอย่างจริงจังจาก Huawei ที่ตัดสินใจเปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ของตัวเอง

    CUDA ครองตลาดมากว่า 20 ปี ด้วยการผูกขาดนักพัฒนาให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Nvidia เท่านั้น การเปิดซอร์ส CANN จึงไม่ใช่แค่การปล่อยโค้ด แต่เป็นการเปิดประตูสู่ระบบนิเวศใหม่ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเจ้าของเทคโนโลยี

    Huawei เริ่มพูดคุยกับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัท AI ชั้นนำในจีน เพื่อร่วมกันสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดสำหรับ Ascend ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กใหม่ที่รองรับงาน AI ได้หลากหลายมากขึ้น

    แม้จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ในแง่ของความเสถียรและการสนับสนุน แต่ Huawei ก็เริ่มไล่ตามในด้านประสิทธิภาพ โดยบางรุ่นของ Ascend มีผลทดสอบที่เหนือกว่า Nvidia ในบางสถานการณ์

    การเปิดซอร์ส CANN ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปให้กับ Huawei การสร้างซอฟต์แวร์พื้นฐานของตัวเองจึงเป็นก้าวสำคัญ

    Huawei เปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับชิป Ascend
    เพื่อท้าทายการผูกขาดของ CUDA จาก Nvidia

    CUDA เป็นระบบปิดที่ผูกนักพัฒนาไว้กับฮาร์ดแวร์ Nvidia
    ทำให้การพัฒนา AI ต้องอยู่ในระบบของ Nvidia เท่านั้น

    CANN มีโครงสร้างแบบหลายชั้น รองรับทั้งงานทั่วไปและงานประสิทธิภาพสูง
    เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักพัฒนา AI

    Huawei เริ่มสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ในจีน
    เพื่อเร่งสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กสำหรับ Ascend

    มีรายงานว่า Ascend บางรุ่นมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia ในบางกรณี
    เช่น DeepSeek R1 บน CloudMatrix 384

    การเปิดซอร์ส CANN เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เทคโนโลยีอิสระของจีน
    ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตกท่ามกลางข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ

    https://www.techradar.com/pro/brave-or-foolhardy-huawei-takes-the-fight-to-nvidia-cuda-by-making-its-ascend-ai-gpu-software-open-source
    🚀🇨🇳 เมื่อ Huawei เปิดซอร์ส CANN: ยุทธศาสตร์ใหม่ท้าชน CUDA เพื่ออิสรภาพด้าน AI ของจีน ลองนึกภาพว่าโลกของ AI ที่เคยถูกครอบงำโดย CUDA ของ Nvidia กำลังถูกท้าทายอย่างจริงจังจาก Huawei ที่ตัดสินใจเปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ของตัวเอง CUDA ครองตลาดมากว่า 20 ปี ด้วยการผูกขาดนักพัฒนาให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Nvidia เท่านั้น การเปิดซอร์ส CANN จึงไม่ใช่แค่การปล่อยโค้ด แต่เป็นการเปิดประตูสู่ระบบนิเวศใหม่ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเจ้าของเทคโนโลยี Huawei เริ่มพูดคุยกับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัท AI ชั้นนำในจีน เพื่อร่วมกันสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดสำหรับ Ascend ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กใหม่ที่รองรับงาน AI ได้หลากหลายมากขึ้น แม้จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ในแง่ของความเสถียรและการสนับสนุน แต่ Huawei ก็เริ่มไล่ตามในด้านประสิทธิภาพ โดยบางรุ่นของ Ascend มีผลทดสอบที่เหนือกว่า Nvidia ในบางสถานการณ์ การเปิดซอร์ส CANN ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปให้กับ Huawei การสร้างซอฟต์แวร์พื้นฐานของตัวเองจึงเป็นก้าวสำคัญ ✅ Huawei เปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับชิป Ascend ➡️ เพื่อท้าทายการผูกขาดของ CUDA จาก Nvidia ✅ CUDA เป็นระบบปิดที่ผูกนักพัฒนาไว้กับฮาร์ดแวร์ Nvidia ➡️ ทำให้การพัฒนา AI ต้องอยู่ในระบบของ Nvidia เท่านั้น ✅ CANN มีโครงสร้างแบบหลายชั้น รองรับทั้งงานทั่วไปและงานประสิทธิภาพสูง ➡️ เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักพัฒนา AI ✅ Huawei เริ่มสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ในจีน ➡️ เพื่อเร่งสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กสำหรับ Ascend ✅ มีรายงานว่า Ascend บางรุ่นมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia ในบางกรณี ➡️ เช่น DeepSeek R1 บน CloudMatrix 384 ✅ การเปิดซอร์ส CANN เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เทคโนโลยีอิสระของจีน ➡️ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตกท่ามกลางข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ https://www.techradar.com/pro/brave-or-foolhardy-huawei-takes-the-fight-to-nvidia-cuda-by-making-its-ascend-ai-gpu-software-open-source
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนามรบเทคโนโลยี: Nvidia H20 กับแรงเสียดทานจากจีน

    ในโลกที่ AI คือสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ ชิป H20 จาก Nvidia กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดย H20 ถูกออกแบบมาเพื่อขายให้จีนโดยเฉพาะ หลังจากสหรัฐฯสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงในปี 2023

    แม้สหรัฐฯจะกลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 และอนุญาตให้ Nvidia กลับมาขาย H20 ได้อีกครั้ง แต่จีนกลับแสดงความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” ของชิปนี้ โดยหน่วยงาน CAC (Cyberspace Administration of China) ได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามว่า H20 มี “backdoor” หรือระบบติดตามตำแหน่งหรือไม่

    สื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และบัญชี WeChat ที่เชื่อมโยงกับ CCTV ได้โจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” พร้อมเรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปของประเทศ เช่น Huawei Ascend หรือ Biren แทน

    แม้ Nvidia จะปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มี backdoor หรือ kill switch ใด ๆ” แต่ความไม่ไว้วางใจยังคงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯกำลังผลักดันกฎหมาย Chip Security Act ที่จะบังคับให้ชิป AI มีระบบติดตามและควบคุมระยะไกล

    ในขณะเดียวกัน ความต้องการ H20 ในจีนยังคงสูงมาก โดย Nvidia ได้สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC และมีรายงานว่ามีตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว

    รัฐบาลจีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20
    โดยเฉพาะประเด็น backdoor และระบบติดตามตำแหน่ง

    หน่วยงาน CAC เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจง
    ต้องส่งเอกสารยืนยันว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    สื่อของรัฐจีนโจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
    เรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปภายในประเทศ

    Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น
    ยืนยันว่าไม่มีระบบควบคุมระยะไกลหรือช่องทางสอดแนม

    แม้มีข้อกังวล แต่ยอดขาย H20 ในจีนยังสูงมาก
    Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC

    ตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนในจีนมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-state-media-says-nvidia-h20-gpus-are-unsafe-and-outdated-urges-chinese-companies-to-avoid-them-says-chip-is-neither-environmentally-friendly-nor-advanced-nor-safe
    💻🌏 เรื่องเล่าจากสนามรบเทคโนโลยี: Nvidia H20 กับแรงเสียดทานจากจีน ในโลกที่ AI คือสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ ชิป H20 จาก Nvidia กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดย H20 ถูกออกแบบมาเพื่อขายให้จีนโดยเฉพาะ หลังจากสหรัฐฯสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงในปี 2023 แม้สหรัฐฯจะกลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 และอนุญาตให้ Nvidia กลับมาขาย H20 ได้อีกครั้ง แต่จีนกลับแสดงความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” ของชิปนี้ โดยหน่วยงาน CAC (Cyberspace Administration of China) ได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามว่า H20 มี “backdoor” หรือระบบติดตามตำแหน่งหรือไม่ สื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และบัญชี WeChat ที่เชื่อมโยงกับ CCTV ได้โจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” พร้อมเรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปของประเทศ เช่น Huawei Ascend หรือ Biren แทน แม้ Nvidia จะปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มี backdoor หรือ kill switch ใด ๆ” แต่ความไม่ไว้วางใจยังคงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯกำลังผลักดันกฎหมาย Chip Security Act ที่จะบังคับให้ชิป AI มีระบบติดตามและควบคุมระยะไกล ในขณะเดียวกัน ความต้องการ H20 ในจีนยังคงสูงมาก โดย Nvidia ได้สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC และมีรายงานว่ามีตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว ✅ รัฐบาลจีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20 ➡️ โดยเฉพาะประเด็น backdoor และระบบติดตามตำแหน่ง ✅ หน่วยงาน CAC เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจง ➡️ ต้องส่งเอกสารยืนยันว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ สื่อของรัฐจีนโจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ➡️ เรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปภายในประเทศ ✅ Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น ➡️ ยืนยันว่าไม่มีระบบควบคุมระยะไกลหรือช่องทางสอดแนม ✅ แม้มีข้อกังวล แต่ยอดขาย H20 ในจีนยังสูงมาก ➡️ Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC ✅ ตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนในจีนมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-state-media-says-nvidia-h20-gpus-are-unsafe-and-outdated-urges-chinese-companies-to-avoid-them-says-chip-is-neither-environmentally-friendly-nor-advanced-nor-safe
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก AI: Huawei เปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา GPU เพื่อท้าชน Nvidia

    ในโลกของการประมวลผล AI ที่ Nvidia ครองตลาดมานานด้วยแพลตฟอร์ม CUDA ที่ปิดซอร์สและผูกขาด Huawei กำลังเดินเกมใหม่เพื่อท้าทายอำนาจนั้น ด้วยการประกาศเปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา CANN (Compute Architecture for Neural Networks) สำหรับชิป Ascend AI GPU ของตนเอง

    CANN เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ได้ง่ายขึ้น โดยมีอินเทอร์เฟซหลายระดับคล้ายกับ CUDA ของ Nvidia แต่ต่างกันตรงที่ Huawei เลือกเปิดซอร์ส เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาสามารถเข้าถึง ปรับแต่ง และขยายความสามารถได้อย่างอิสระ

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะหลังจากที่หน่วยงาน CAC ของจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia จากข้อกังวลด้านความปลอดภัย

    Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัย บริษัท AI ชั้นนำ และพันธมิตรธุรกิจในจีน เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend โดยหวังว่าจะเร่งการพัฒนาและเพิ่มการใช้งานในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงและกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ

    แม้ CANN จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี แต่การเปิดซอร์สครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรม AI ในระยะยาว

    Huawei ประกาศเปิดซอร์สชุดเครื่องมือ CANN สำหรับชิป Ascend AI GPU
    เพื่อแข่งขันกับ CUDA ของ Nvidia ที่เป็นระบบปิด

    CANN เป็นสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบ heterogeneous
    มีอินเทอร์เฟซหลายระดับสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI

    Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ชั้นนำในจีน
    เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend

    การเปิดซอร์ส CANN เกิดขึ้นหลังจากจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia
    จากข้อกังวลด้านความปลอดภัยและการติดตามข้อมูล

    Huawei หวังว่า CANN จะช่วยเร่งนวัตกรรมและเพิ่มการใช้งานในประเทศ
    โดยเฉพาะในกลุ่มนักพัฒนาและองค์กรที่ต้องการทางเลือกจาก CUDA

    CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ผูกขาดกับฮาร์ดแวร์ของ Nvidia
    นักพัฒนาต้องใช้ GPU ของ Nvidia เท่านั้น

    Huawei Ascend 910C เป็นชิปที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Nvidia
    โดยเฉพาะในงาน inference และการประมวลผลแบบเรียลไทม์

    การเปิดซอร์สช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือได้เอง
    เพิ่มความยืดหยุ่นและลดการพึ่งพาบริษัทเดียว

    รัฐบาลจีนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ
    เพื่อสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/huawei-is-making-its-ascend-ai-gpu-software-toolkit-open-source-to-better-compete-against-cuda
    🧠💻 เรื่องเล่าจากโลก AI: Huawei เปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา GPU เพื่อท้าชน Nvidia ในโลกของการประมวลผล AI ที่ Nvidia ครองตลาดมานานด้วยแพลตฟอร์ม CUDA ที่ปิดซอร์สและผูกขาด Huawei กำลังเดินเกมใหม่เพื่อท้าทายอำนาจนั้น ด้วยการประกาศเปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา CANN (Compute Architecture for Neural Networks) สำหรับชิป Ascend AI GPU ของตนเอง CANN เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ได้ง่ายขึ้น โดยมีอินเทอร์เฟซหลายระดับคล้ายกับ CUDA ของ Nvidia แต่ต่างกันตรงที่ Huawei เลือกเปิดซอร์ส เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาสามารถเข้าถึง ปรับแต่ง และขยายความสามารถได้อย่างอิสระ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะหลังจากที่หน่วยงาน CAC ของจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia จากข้อกังวลด้านความปลอดภัย Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัย บริษัท AI ชั้นนำ และพันธมิตรธุรกิจในจีน เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend โดยหวังว่าจะเร่งการพัฒนาและเพิ่มการใช้งานในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงและกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ แม้ CANN จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี แต่การเปิดซอร์สครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรม AI ในระยะยาว ✅ Huawei ประกาศเปิดซอร์สชุดเครื่องมือ CANN สำหรับชิป Ascend AI GPU ➡️ เพื่อแข่งขันกับ CUDA ของ Nvidia ที่เป็นระบบปิด ✅ CANN เป็นสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบ heterogeneous ➡️ มีอินเทอร์เฟซหลายระดับสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ✅ Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ชั้นนำในจีน ➡️ เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend ✅ การเปิดซอร์ส CANN เกิดขึ้นหลังจากจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia ➡️ จากข้อกังวลด้านความปลอดภัยและการติดตามข้อมูล ✅ Huawei หวังว่า CANN จะช่วยเร่งนวัตกรรมและเพิ่มการใช้งานในประเทศ ➡️ โดยเฉพาะในกลุ่มนักพัฒนาและองค์กรที่ต้องการทางเลือกจาก CUDA ✅ CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ผูกขาดกับฮาร์ดแวร์ของ Nvidia ➡️ นักพัฒนาต้องใช้ GPU ของ Nvidia เท่านั้น ✅ Huawei Ascend 910C เป็นชิปที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Nvidia ➡️ โดยเฉพาะในงาน inference และการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ✅ การเปิดซอร์สช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือได้เอง ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นและลดการพึ่งพาบริษัทเดียว ✅ รัฐบาลจีนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ ➡️ เพื่อสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/huawei-is-making-its-ascend-ai-gpu-software-toolkit-open-source-to-better-compete-against-cuda
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Huawei is making its Ascend AI GPU software toolkit open-source to better compete against CUDA
    Huawei is getting better at making AI GPUs. Now it wants to increase adoption of its technology on the software side
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกชิป: เมื่ออดีตพนักงาน Huawei ถูกตัดสินจำคุกจากคดีลับเทคโนโลยี

    ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด คดีล่าสุดจากประเทศจีนได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อศาลในเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei จำนวน 14 คน จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิปไปใช้ในการก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Zunpai Communication Technology

    Zhang Kun อดีตนักวิจัยจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ได้ลาออกในปี 2019 และก่อตั้ง Zunpai ในปี 2021 โดยดึงอดีตเพื่อนร่วมงานมาร่วมทีม พร้อมเสนอเงินเดือนสูงและหุ้นในบริษัท แต่สิ่งที่ตามมาคือข้อกล่าวหาว่า พวกเขาได้คัดลอกข้อมูลลับก่อนลาออก และนำไปใช้ในการพัฒนาชิป Wi-Fi ของ Zunpai

    ในเดือนธันวาคม 2023 ตำรวจเซี่ยงไฮ้ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยทั้ง 14 คน และอายัดทรัพย์สินของ Zunpai มูลค่า 95 ล้านหยวน โดยพบว่าเทคโนโลยีที่ใช้ใน Zunpai มีความคล้ายคลึงกับของ Huawei ถึง 90% แม้คำตัดสินจะยังไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี พร้อมโทษปรับ

    คดีนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของจีนในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิปที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล และยังเป็นการเตือนว่า “การลอกเลียนเทคโนโลยี” ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป

    ศาลเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei 14 คน
    จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิป

    ผู้ต้องหาก่อตั้งบริษัท Zunpai เพื่อพัฒนาชิป Wi-Fi
    โดยใช้ข้อมูลจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานของ Huawei

    ตำรวจพบว่าเทคโนโลยีของ Zunpai คล้ายกับของ Huawei ถึง 90%
    และอายัดทรัพย์สินมูลค่า 95 ล้านหยวน

    คำตัดสินยังไม่เผยแพร่ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี
    พร้อมโทษปรับทางการเงิน

    Huawei ยังไม่ออกความเห็นอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคดีนี้
    แต่ได้ดำเนินการทางกฎหมายตั้งแต่ปี 2023

    จีนมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา
    มีผู้ถูกดำเนินคดีด้าน IP มากกว่า 21,000 คนในปี 2024

    HiSilicon เป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ที่มีบทบาทสำคัญ
    โดยเฉพาะในด้านการพัฒนา AI และการสื่อสาร

    การลอกเลียนเทคโนโลยีชิปส่งผลต่อการแข่งขันในระดับโลก
    และอาจกระทบต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี

    การตั้งบริษัทใหม่โดยอดีตพนักงานเป็นเรื่องปกติในวงการเทคโนโลยี
    แต่ต้องไม่ละเมิดข้อมูลลับของบริษัทเดิม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/14-ex-huawei-employees-handed-down-prison-sentences-in-china-accused-face-up-to-six-years-for-taking-chip-related-business-secrets-with-them-to-form-startup-zunpai
    🔐⚖️ เรื่องเล่าจากโลกชิป: เมื่ออดีตพนักงาน Huawei ถูกตัดสินจำคุกจากคดีลับเทคโนโลยี ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด คดีล่าสุดจากประเทศจีนได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อศาลในเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei จำนวน 14 คน จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิปไปใช้ในการก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Zunpai Communication Technology Zhang Kun อดีตนักวิจัยจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ได้ลาออกในปี 2019 และก่อตั้ง Zunpai ในปี 2021 โดยดึงอดีตเพื่อนร่วมงานมาร่วมทีม พร้อมเสนอเงินเดือนสูงและหุ้นในบริษัท แต่สิ่งที่ตามมาคือข้อกล่าวหาว่า พวกเขาได้คัดลอกข้อมูลลับก่อนลาออก และนำไปใช้ในการพัฒนาชิป Wi-Fi ของ Zunpai ในเดือนธันวาคม 2023 ตำรวจเซี่ยงไฮ้ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยทั้ง 14 คน และอายัดทรัพย์สินของ Zunpai มูลค่า 95 ล้านหยวน โดยพบว่าเทคโนโลยีที่ใช้ใน Zunpai มีความคล้ายคลึงกับของ Huawei ถึง 90% แม้คำตัดสินจะยังไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี พร้อมโทษปรับ คดีนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของจีนในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิปที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล และยังเป็นการเตือนว่า “การลอกเลียนเทคโนโลยี” ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป ✅ ศาลเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei 14 คน ➡️ จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิป ✅ ผู้ต้องหาก่อตั้งบริษัท Zunpai เพื่อพัฒนาชิป Wi-Fi ➡️ โดยใช้ข้อมูลจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานของ Huawei ✅ ตำรวจพบว่าเทคโนโลยีของ Zunpai คล้ายกับของ Huawei ถึง 90% ➡️ และอายัดทรัพย์สินมูลค่า 95 ล้านหยวน ✅ คำตัดสินยังไม่เผยแพร่ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี ➡️ พร้อมโทษปรับทางการเงิน ✅ Huawei ยังไม่ออกความเห็นอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคดีนี้ ➡️ แต่ได้ดำเนินการทางกฎหมายตั้งแต่ปี 2023 ✅ จีนมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ มีผู้ถูกดำเนินคดีด้าน IP มากกว่า 21,000 คนในปี 2024 ✅ HiSilicon เป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ที่มีบทบาทสำคัญ ➡️ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนา AI และการสื่อสาร ✅ การลอกเลียนเทคโนโลยีชิปส่งผลต่อการแข่งขันในระดับโลก ➡️ และอาจกระทบต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี ✅ การตั้งบริษัทใหม่โดยอดีตพนักงานเป็นเรื่องปกติในวงการเทคโนโลยี ➡️ แต่ต้องไม่ละเมิดข้อมูลลับของบริษัทเดิม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/14-ex-huawei-employees-handed-down-prison-sentences-in-china-accused-face-up-to-six-years-for-taking-chip-related-business-secrets-with-them-to-form-startup-zunpai
    0 Comments 0 Shares 265 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Huawei CloudMatrix 384—AI ซูเปอร์คลัสเตอร์ที่ท้าชน Nvidia ด้วยพลังแห่งการรวมชิป

    ในงาน World Artificial Intelligence Conference 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ Huawei ได้เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ซึ่งเป็นซูเปอร์คลัสเตอร์ AI ที่ประกอบด้วยชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อกันด้วยโครงสร้างแบบ “all-to-all mesh” ผ่านสายออปติกความเร็วสูง

    แม้ชิปแต่ละตัวจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า Nvidia H100 แต่ Huawei ใช้กลยุทธ์ “จำนวนมาก + การออกแบบระบบ” เพื่อชดเชยข้อเสีย และสามารถให้ประสิทธิภาพรวมสูงกว่าระบบ Nvidia GB200 NVL72 ได้ในหลายด้าน เช่น:
    - ความเร็วในการประมวลผล BF16 สูงกว่า 1.7 เท่า
    - ความจุหน่วยความจำสูงกว่า 3.6 เท่า
    - แบนด์วิดธ์หน่วยความจำสูงกว่า 2.1 เท่า

    อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ใช้พลังงานมากกว่าถึง 3.9 เท่า และมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำกว่าถึง 2.3 เท่า ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำคัญในตลาดโลก แต่สำหรับจีนที่มีแหล่งพลังงานหลากหลายและราคาถูก นี่อาจไม่ใช่ปัญหา

    Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ในงาน WAIC 2025 ที่เซี่ยงไฮ้
    ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อแบบ all-to-all mesh ด้วยสายออปติก
    ออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Nvidia GB200 NVL72

    ระบบสามารถประมวลผลได้ถึง 300 PFLOPs แบบ BF16
    สูงกว่า Nvidia GB200 NVL72 ที่ทำได้ 180 PFLOPs
    เหมาะสำหรับงาน inference ของโมเดลขนาดใหญ่

    Ascend 910C มีประสิทธิภาพประมาณ 60% ของ Nvidia H100 ในงาน inference
    ใช้เทคนิค dual-chiplet และหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 128 GB
    ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm รุ่นใหม่

    ระบบมีความจุหน่วยความจำรวม 49.2 TB และแบนด์วิดธ์รวม 1229 TB/s
    สูงกว่า Nvidia GB200 NVL72 ถึง 3.6 เท่าในด้านความจุ และ 2.1 เท่าในด้านแบนด์วิดธ์
    รองรับการเชื่อมต่อแบบ scale-out ได้ถึง 165,000 NPU

    ระบบ CloudMatrix 384 ถูกติดตั้งแล้วบน Huawei Cloud และพร้อมใช้งานจริง
    ใช้ในงาน AI training และ inference ระดับองค์กร
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    Nvidia GB200 NVL72 ใช้ชิป Grace CPU 36 ตัว และ Blackwell GPU 72 ตัว
    ออกแบบให้ทำงานร่วมกันเป็น “GPU ขนาดยักษ์” สำหรับโมเดลระดับล้านล้านพารามิเตอร์
    มีข้อจำกัดด้านการส่งออกไปยังจีน

    Huawei ใช้สายออปติก 800G LPO จำนวน 6,912 เส้นในการเชื่อมต่อภายในระบบ
    ลด latency และเพิ่ม bandwidth ได้อย่างมหาศาล
    เป็นการออกแบบที่เน้น “ระบบ” มากกว่าชิปเดี่ยว

    DeepSeek AI ใช้ Ascend 910C สำหรับ inference และพบว่าประสิทธิภาพ “เกินคาด”
    ใช้เทคนิคแปลง CUDA เป็น CUNN ด้วยโค้ดเพียงบรรทัดเดียว
    ช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia

    จีนกำลังผลักดัน ecosystem ด้าน AI แบบครบวงจร ตั้งแต่ชิปถึงโมเดล
    มีการตั้งพันธมิตรระหว่างผู้ผลิตชิปและนักพัฒนา LLM
    เป้าหมายคือสร้างระบบ AI ที่ไม่ต้องพึ่งพาตะวันตก

    ระบบ CloudMatrix 384 ใช้พลังงานมากกว่าระบบ Nvidia ถึง 3.9 เท่า
    ประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำกว่า Nvidia ถึง 2.3 เท่า
    อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน

    ชิป Ascend 910C ยังไม่สามารถเทียบเท่า Nvidia H100 ในงาน training
    เหมาะกับ inference มากกว่า training ที่ต้องใช้ความเสถียรสูง
    ยังขาด ecosystem ด้านซอฟต์แวร์ที่เทียบเท่า CUDA

    ระบบ CloudMatrix ยังไม่มี benchmark สาธารณะหรือการทดสอบจากองค์กรอิสระ
    ข้อมูลส่วนใหญ่มาจาก Huawei และ SemiAnalysis
    ต้องรอการพิสูจน์จากการใช้งานจริงในระยะยาว

    รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมออกมาตรการลงโทษบริษัทที่ใช้ชิป Ascend 910C ทั่วโลก
    อ้างว่าใช้เทคโนโลยีที่มีต้นกำเนิดจากสหรัฐฯ
    อาจส่งผลต่อบริษัทต่างชาติที่ร่วมใช้งานระบบนี้

    https://www.techspot.com/news/108891-huawei-cloudmatrix-384-ai-system-poised-challenge-nvidia.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Huawei CloudMatrix 384—AI ซูเปอร์คลัสเตอร์ที่ท้าชน Nvidia ด้วยพลังแห่งการรวมชิป ในงาน World Artificial Intelligence Conference 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ Huawei ได้เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ซึ่งเป็นซูเปอร์คลัสเตอร์ AI ที่ประกอบด้วยชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อกันด้วยโครงสร้างแบบ “all-to-all mesh” ผ่านสายออปติกความเร็วสูง แม้ชิปแต่ละตัวจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า Nvidia H100 แต่ Huawei ใช้กลยุทธ์ “จำนวนมาก + การออกแบบระบบ” เพื่อชดเชยข้อเสีย และสามารถให้ประสิทธิภาพรวมสูงกว่าระบบ Nvidia GB200 NVL72 ได้ในหลายด้าน เช่น: - ความเร็วในการประมวลผล BF16 สูงกว่า 1.7 เท่า - ความจุหน่วยความจำสูงกว่า 3.6 เท่า - แบนด์วิดธ์หน่วยความจำสูงกว่า 2.1 เท่า อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ใช้พลังงานมากกว่าถึง 3.9 เท่า และมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำกว่าถึง 2.3 เท่า ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำคัญในตลาดโลก แต่สำหรับจีนที่มีแหล่งพลังงานหลากหลายและราคาถูก นี่อาจไม่ใช่ปัญหา ✅ Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ในงาน WAIC 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ ➡️ ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อแบบ all-to-all mesh ด้วยสายออปติก ➡️ ออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Nvidia GB200 NVL72 ✅ ระบบสามารถประมวลผลได้ถึง 300 PFLOPs แบบ BF16 ➡️ สูงกว่า Nvidia GB200 NVL72 ที่ทำได้ 180 PFLOPs ➡️ เหมาะสำหรับงาน inference ของโมเดลขนาดใหญ่ ✅ Ascend 910C มีประสิทธิภาพประมาณ 60% ของ Nvidia H100 ในงาน inference ➡️ ใช้เทคนิค dual-chiplet และหน่วยความจำ HBM2E ขนาด 128 GB ➡️ ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm รุ่นใหม่ ✅ ระบบมีความจุหน่วยความจำรวม 49.2 TB และแบนด์วิดธ์รวม 1229 TB/s ➡️ สูงกว่า Nvidia GB200 NVL72 ถึง 3.6 เท่าในด้านความจุ และ 2.1 เท่าในด้านแบนด์วิดธ์ ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบ scale-out ได้ถึง 165,000 NPU ✅ ระบบ CloudMatrix 384 ถูกติดตั้งแล้วบน Huawei Cloud และพร้อมใช้งานจริง ➡️ ใช้ในงาน AI training และ inference ระดับองค์กร ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ✅ Nvidia GB200 NVL72 ใช้ชิป Grace CPU 36 ตัว และ Blackwell GPU 72 ตัว ➡️ ออกแบบให้ทำงานร่วมกันเป็น “GPU ขนาดยักษ์” สำหรับโมเดลระดับล้านล้านพารามิเตอร์ ➡️ มีข้อจำกัดด้านการส่งออกไปยังจีน ✅ Huawei ใช้สายออปติก 800G LPO จำนวน 6,912 เส้นในการเชื่อมต่อภายในระบบ ➡️ ลด latency และเพิ่ม bandwidth ได้อย่างมหาศาล ➡️ เป็นการออกแบบที่เน้น “ระบบ” มากกว่าชิปเดี่ยว ✅ DeepSeek AI ใช้ Ascend 910C สำหรับ inference และพบว่าประสิทธิภาพ “เกินคาด” ➡️ ใช้เทคนิคแปลง CUDA เป็น CUNN ด้วยโค้ดเพียงบรรทัดเดียว ➡️ ช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia ✅ จีนกำลังผลักดัน ecosystem ด้าน AI แบบครบวงจร ตั้งแต่ชิปถึงโมเดล ➡️ มีการตั้งพันธมิตรระหว่างผู้ผลิตชิปและนักพัฒนา LLM ➡️ เป้าหมายคือสร้างระบบ AI ที่ไม่ต้องพึ่งพาตะวันตก ‼️ ระบบ CloudMatrix 384 ใช้พลังงานมากกว่าระบบ Nvidia ถึง 3.9 เท่า ⛔ ประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำกว่า Nvidia ถึง 2.3 เท่า ⛔ อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน ‼️ ชิป Ascend 910C ยังไม่สามารถเทียบเท่า Nvidia H100 ในงาน training ⛔ เหมาะกับ inference มากกว่า training ที่ต้องใช้ความเสถียรสูง ⛔ ยังขาด ecosystem ด้านซอฟต์แวร์ที่เทียบเท่า CUDA ‼️ ระบบ CloudMatrix ยังไม่มี benchmark สาธารณะหรือการทดสอบจากองค์กรอิสระ ⛔ ข้อมูลส่วนใหญ่มาจาก Huawei และ SemiAnalysis ⛔ ต้องรอการพิสูจน์จากการใช้งานจริงในระยะยาว ‼️ รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมออกมาตรการลงโทษบริษัทที่ใช้ชิป Ascend 910C ทั่วโลก ⛔ อ้างว่าใช้เทคโนโลยีที่มีต้นกำเนิดจากสหรัฐฯ ⛔ อาจส่งผลต่อบริษัทต่างชาติที่ร่วมใช้งานระบบนี้ https://www.techspot.com/news/108891-huawei-cloudmatrix-384-ai-system-poised-challenge-nvidia.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Huawei's CloudMatrix 384 could outpace Nvidia in the AI race, study suggests
    As newly appointed US tech czar David Sacks predicted just a month ago, Trump's tariffs appear to be backfiring in spectacular fashion. Chinese tech giant Huawei is...
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “H20 ของ Nvidia” กลายเป็นจุดชนวนใหม่ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐ

    หลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกชิป H20 ของ Nvidia ไปยังจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยถูกแบนในเดือนเมษายนเนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคง ล่าสุด Cyberspace Administration of China (CAC) ได้เรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับ “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย” ของชิป H20 ที่กำลังจะกลับมาวางขายในจีน

    CAC อ้างว่าได้รับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของสหรัฐฯ ว่าชิป H20 อาจมีฟีเจอร์ “ติดตามตำแหน่ง” และ “ปิดการทำงานจากระยะไกล” ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ชาวจีน และละเมิดกฎหมายความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ

    ด้าน Nvidia ยืนยันว่า “ไม่มี backdoor” ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์อย่างสูงสุด พร้อมเตรียมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC

    ขณะเดียวกัน นักการเมืองสหรัฐฯ ก็เคยเสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อป้องกันการลักลอบนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะในจีน ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนา AI ทางทหารหรือระบบเซ็นเซอร์ตรวจสอบประชาชน

    จีนเรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของชิป H20
    CAC ต้องการเอกสารสนับสนุนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้าน backdoor และการติดตาม
    อ้างอิงจากรายงานของผู้เชี่ยวชาญ AI สหรัฐฯ

    ชิป H20 ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป H100
    ถูกแบนในเดือนเมษายน 2025 และกลับมาขายได้ในเดือนกรกฎาคม
    Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ตัวจาก TSMC เพื่อรองรับความต้องการในจีน

    Nvidia ยืนยันว่าไม่มี backdoor ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์
    “ไม่มีช่องทางลับในการควบคุมหรือเข้าถึงจากระยะไกล”
    พร้อมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC

    นักการเมืองสหรัฐฯ เสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ
    เช่น Chip Security Act ที่เสนอให้มีระบบตรวจสอบตำแหน่งและการใช้งาน
    ยังไม่มีการผ่านเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ

    จีนยังคงต้องพึ่งพาชิปของ Nvidia สำหรับงานวิจัยและการพัฒนา AI ภายในประเทศ
    แม้จะมีการผลักดันชิปภายในประเทศ เช่น Huawei 910C
    แต่ยังไม่สามารถทดแทน Nvidia ได้ในหลายด้าน

    https://www.techspot.com/news/108886-china-summons-nvidia-over-potential-security-concerns-h20.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “H20 ของ Nvidia” กลายเป็นจุดชนวนใหม่ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกชิป H20 ของ Nvidia ไปยังจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยถูกแบนในเดือนเมษายนเนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคง ล่าสุด Cyberspace Administration of China (CAC) ได้เรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับ “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย” ของชิป H20 ที่กำลังจะกลับมาวางขายในจีน CAC อ้างว่าได้รับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของสหรัฐฯ ว่าชิป H20 อาจมีฟีเจอร์ “ติดตามตำแหน่ง” และ “ปิดการทำงานจากระยะไกล” ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ชาวจีน และละเมิดกฎหมายความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ ด้าน Nvidia ยืนยันว่า “ไม่มี backdoor” ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์อย่างสูงสุด พร้อมเตรียมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC ขณะเดียวกัน นักการเมืองสหรัฐฯ ก็เคยเสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อป้องกันการลักลอบนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะในจีน ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนา AI ทางทหารหรือระบบเซ็นเซอร์ตรวจสอบประชาชน ✅ จีนเรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของชิป H20 ➡️ CAC ต้องการเอกสารสนับสนุนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้าน backdoor และการติดตาม ➡️ อ้างอิงจากรายงานของผู้เชี่ยวชาญ AI สหรัฐฯ ✅ ชิป H20 ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป H100 ➡️ ถูกแบนในเดือนเมษายน 2025 และกลับมาขายได้ในเดือนกรกฎาคม ➡️ Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ตัวจาก TSMC เพื่อรองรับความต้องการในจีน ✅ Nvidia ยืนยันว่าไม่มี backdoor ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ “ไม่มีช่องทางลับในการควบคุมหรือเข้าถึงจากระยะไกล” ➡️ พร้อมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC ✅ นักการเมืองสหรัฐฯ เสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ ➡️ เช่น Chip Security Act ที่เสนอให้มีระบบตรวจสอบตำแหน่งและการใช้งาน ➡️ ยังไม่มีการผ่านเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ✅ จีนยังคงต้องพึ่งพาชิปของ Nvidia สำหรับงานวิจัยและการพัฒนา AI ภายในประเทศ ➡️ แม้จะมีการผลักดันชิปภายในประเทศ เช่น Huawei 910C ➡️ แต่ยังไม่สามารถทดแทน Nvidia ได้ในหลายด้าน https://www.techspot.com/news/108886-china-summons-nvidia-over-potential-security-concerns-h20.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China summons Nvidia over potential security concerns in H20 chips
    The Cyberspace Administration of China (CAC) said that Nvidia was asked to "clarify and submit relevant supporting documentation regarding security risks, including potential vulnerabilities and backdoors, associated...
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ

    เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์

    ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei

    แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ

    HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B
    ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025
    สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper

    ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว
    มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์
    ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน

    HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native
    ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure
    เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ

    DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน
    เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก
    แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน

    HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ
    เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย
    ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า

    HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ
    เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central
    ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE

    การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร
    อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง
    ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว

    การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล
    เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง
    สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด”

    การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย
    แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE
    การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว

    การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ
    ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง
    สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    🧠 เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันโครงสร้างพื้นฐานโลก: เมื่อดีล HPE–Juniper กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ เดิมทีการควบรวมกิจการระหว่าง HPE กับ Juniper ถูกมองว่าเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอบริการ edge-to-cloud แต่เบื้องหลังกลับมีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาวที่มองว่า Huawei กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก Huawei เสนอระบบเครือข่ายครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และ AI ในราคาถูกกว่าคู่แข่งตะวันตก ทำให้หลายประเทศกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในการควบคุมข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์ ด้วยเหตุนี้ HPE–Juniper จึงถูกผลักดันให้กลายเป็น “ทางเลือกของโลกเสรี” โดยผสานจุดแข็งของ Juniper ด้าน routing และ Mist AI เข้ากับ GreenLake และโครงสร้างพื้นฐานของ HPE เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่ครบวงจรแบบเดียวกับ Huawei แม้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) จะมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ดีลผ่านหลังจากถูกกดดันจากหน่วยข่าวกรองและทำเนียบขาว โดยมีเจ้าหน้าที่ DOJ บางคนถูกปลดจากตำแหน่งระหว่างกระบวนการอนุมัติ ✅ HPE ได้รับอนุมัติให้ควบรวมกิจการกับ Juniper Networks มูลค่า $14B ➡️ ประกาศดีลตั้งแต่ ม.ค. 2024 และปิดดีลใน ก.ค. 2025 ➡️ สร้างหน่วยธุรกิจใหม่ “HPE Networking” โดยรวมแบรนด์ Aruba และ Juniper ✅ ดีลนี้มีแรงผลักดันจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และทำเนียบขาว ➡️ มองว่า Huawei เป็นภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ต้องการสร้างทางเลือกให้พันธมิตรที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจีน ✅ HPE–Juniper จะสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายครบวงจรแบบ AI-native ➡️ ผสาน Mist AI, routing, cloud และ edge infrastructure ➡️ เป้าหมายคือตลาดที่มีข้อมูลอ่อนไหว เช่น ภาครัฐและพันธมิตรสหรัฐฯ ✅ DOJ เคยมีข้อกังวลด้านการแข่งขัน แต่สุดท้ายยอมให้ดีลผ่าน ➡️ เจ้าหน้าที่ DOJ 2 คนที่คัดค้านถูกปลดออก ➡️ แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงชาติมีอิทธิพลเหนือกฎการแข่งขัน ✅ HPE ต้องเปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วนของ Mist AI ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เฉพาะโมเดล AI ด้านการตรวจจับและวิเคราะห์เครือข่าย ➡️ ไม่รวมระบบปฏิบัติการหรือข้อมูลลูกค้า ✅ HPE ต้องขายธุรกิจ Aruba Instant On สำหรับ SMB ตามเงื่อนไข DOJ ➡️ เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่แยกจาก Aruba Central ➡️ ไม่กระทบต่อธุรกิจหลักของ HPE ‼️ การควบรวมอาจลดการแข่งขันในตลาดเครือข่ายองค์กร ⛔ อาจทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง ⛔ ส่งผลต่อราคาหรือนวัตกรรมในระยะยาว ‼️ การแทรกแซงจากรัฐบาลอาจบั่นทอนความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล ⛔ เจ้าหน้าที่ DOJ ที่คัดค้านถูกปลดออกจากตำแหน่ง ⛔ สะท้อนแนวโน้มที่ “ยุทธศาสตร์ชาติ” มาก่อน “กฎตลาด” ‼️ การพึ่งพา Mist AI อาจสร้างความเสี่ยงด้านการผูกขาดข้อมูลเครือข่าย ⛔ แม้เปิดให้คู่แข่งเข้าถึงบางส่วน แต่ข้อมูลหลักยังอยู่กับ HPE ⛔ การวิเคราะห์เครือข่ายอาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายเดียว ‼️ การแข่งขันกับ Huawei อาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อ ⛔ ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกบีบให้เลือกข้าง ⛔ สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/hpe-gets-approval-for-usd14b-acquisition-of-juniper-to-defend-ai-networking-edge-against-chinas-huawei-white-house-stepped-in-after-agencies-flagged-national-security-concerns
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเซี่ยงไฮ้: เมื่อจีนรวมพลังสร้างระบบ AI แบบครบวงจรในประเทศ

    ในงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่เซี่ยงไฮ้ จีนได้เปิดตัวสองพันธมิตรอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่:

    1️⃣ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance นำโดย StepFun ร่วมกับผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน เช่น Huawei, Biren, Enflame และ Moore Threads เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ โมเดล AI ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบบ end-to-end ภายในประเทศ

    2️⃣ Shanghai General Chamber of Commerce AI Committee มุ่งเน้นการผลักดันการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยมีสมาชิกเช่น SenseTime, MiniMax, MetaX และ Iluvatar CoreX ซึ่งหลายรายเคยถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวัง

    ทั้งสองพันธมิตรมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีภายในประเทศ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ โดยเน้นการพัฒนา API, รูปแบบโมเดล และสแต็กซอฟต์แวร์กลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในระบบจีนทั้งหมด

    จีนเปิดตัวสองพันธมิตร AI เพื่อสร้างระบบนิเวศภายในประเทศ
    Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance เชื่อมโยงผู้ผลิตชิปและนักพัฒนาโมเดล
    Shanghai AI Committee ผลักดันการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม

    พันธมิตรแรกประกอบด้วย Huawei, Biren, Enflame, Moore Threads และ StepFun
    มุ่งสร้างระบบเทคโนโลยีครบวงจรตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ถึงซอฟต์แวร์
    ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA ที่ถูกจำกัดการส่งออก

    พันธมิตรที่สองรวมบริษัทที่เคยถูกคว่ำบาตร เช่น SenseTime และ MiniMax
    เปลี่ยนจากเทคโนโลยีเฝ้าระวังมาเป็น LLM และ AI เชิงอุตสาหกรรม
    เชื่อมโยงนักพัฒนา AI กับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ

    เป้าหมายคือการสร้างมาตรฐานกลาง เช่น API และรูปแบบโมเดลที่ใช้ร่วมกันได้
    ลดความซับซ้อนจากสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เช่น Arm, PowerVR
    ส่งเสริมการพัฒนาโมเดลที่สามารถรันบน accelerator ของจีนทุกค่าย

    Huawei เปิดตัว CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป 910C จำนวน 384 ตัว
    ใช้เทคนิค clustering เพื่อชดเชยประสิทธิภาพชิปเดี่ยว
    มีประสิทธิภาพบางด้านเหนือกว่า NVIDIA GB200 NVL72

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-forms-ai-alliances-to-cut-u-s-tech-reliance-huawei-among-companies-seeking-to-create-unified-tech-stack-with-domestic-powered-standardization
    🧠 เรื่องเล่าจากเซี่ยงไฮ้: เมื่อจีนรวมพลังสร้างระบบ AI แบบครบวงจรในประเทศ ในงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่เซี่ยงไฮ้ จีนได้เปิดตัวสองพันธมิตรอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่: 1️⃣ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance นำโดย StepFun ร่วมกับผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน เช่น Huawei, Biren, Enflame และ Moore Threads เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ โมเดล AI ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบบ end-to-end ภายในประเทศ 2️⃣ Shanghai General Chamber of Commerce AI Committee มุ่งเน้นการผลักดันการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยมีสมาชิกเช่น SenseTime, MiniMax, MetaX และ Iluvatar CoreX ซึ่งหลายรายเคยถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวัง ทั้งสองพันธมิตรมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีภายในประเทศ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ โดยเน้นการพัฒนา API, รูปแบบโมเดล และสแต็กซอฟต์แวร์กลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในระบบจีนทั้งหมด ✅ จีนเปิดตัวสองพันธมิตร AI เพื่อสร้างระบบนิเวศภายในประเทศ ➡️ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance เชื่อมโยงผู้ผลิตชิปและนักพัฒนาโมเดล ➡️ Shanghai AI Committee ผลักดันการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม ✅ พันธมิตรแรกประกอบด้วย Huawei, Biren, Enflame, Moore Threads และ StepFun ➡️ มุ่งสร้างระบบเทคโนโลยีครบวงจรตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ถึงซอฟต์แวร์ ➡️ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA ที่ถูกจำกัดการส่งออก ✅ พันธมิตรที่สองรวมบริษัทที่เคยถูกคว่ำบาตร เช่น SenseTime และ MiniMax ➡️ เปลี่ยนจากเทคโนโลยีเฝ้าระวังมาเป็น LLM และ AI เชิงอุตสาหกรรม ➡️ เชื่อมโยงนักพัฒนา AI กับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ ✅ เป้าหมายคือการสร้างมาตรฐานกลาง เช่น API และรูปแบบโมเดลที่ใช้ร่วมกันได้ ➡️ ลดความซับซ้อนจากสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เช่น Arm, PowerVR ➡️ ส่งเสริมการพัฒนาโมเดลที่สามารถรันบน accelerator ของจีนทุกค่าย ✅ Huawei เปิดตัว CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป 910C จำนวน 384 ตัว ➡️ ใช้เทคนิค clustering เพื่อชดเชยประสิทธิภาพชิปเดี่ยว ➡️ มีประสิทธิภาพบางด้านเหนือกว่า NVIDIA GB200 NVL72 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-forms-ai-alliances-to-cut-u-s-tech-reliance-huawei-among-companies-seeking-to-create-unified-tech-stack-with-domestic-powered-standardization
    0 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้

    Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก

    จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน:
    - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ
    - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม
    - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา

    เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom

    แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่:
    - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล
    - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย

    แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที

    การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน
    เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ

    ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization
    เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน

    การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ
    เช่น AWS, Azure และ Google Cloud

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    🎙️ เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้ Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน: - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่: - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น 💡 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง ➡️ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที 💡 การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน ➡️ เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ 💡 ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization ➡️ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน 💡 การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ ➡️ เช่น AWS, Azure และ Google Cloud https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก GPU ที่ถูกแบน: เมื่อ Nvidia ต้องออกแบบใหม่เพื่อขายให้จีน

    Nvidia เคยผลิต GPU รุ่น H20 สำหรับงาน AI โดยใช้สถาปัตยกรรม Hopper แต่ถูกแบนจากการส่งออกไปจีนในเดือนเมษายน 2025 ทำให้ต้อง:
    - ยกเลิกคำสั่งซื้อ
    - หยุดสายการผลิตที่ TSMC
    - ขาดทุนจากสินค้าค้างสต็อกถึง $4.5 พันล้าน

    แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะกลับลำในเดือนกรกฎาคม โดยอนุญาตให้ส่งออก H20 และ AMD MI308 ไปจีนโดยไม่ต้องขอใบอนุญาต แต่ Nvidia ไม่ได้กลับมาผลิต H20 อีก เพราะ:
    - TSMC ยังไม่ได้รับคำสั่งซื้อใหม่
    - โรงงานถูกใช้เต็มกำลังกับลูกค้ารายอื่น
    - การผลิต Hopper ไม่คุ้มเมื่อมี Blackwell ที่ใหม่และมีประสิทธิภาพดีกว่า

    ดังนั้น Nvidia จึงเตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ชื่อ B30 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell โดย:
    - มีประสิทธิภาพต่ำกว่า H20 ประมาณ 10–20%
    - ราคาถูกลง 30–40%
    - ขนาดเล็กลงและตรงตามข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ
    - อาจใช้ Blackwell Ultra ที่รองรับ FP4 สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ

    Nvidia หยุดผลิต GPU รุ่น H20 หลังถูกแบนจากการส่งออกไปจีน
    ขาดทุนจากสินค้าค้างสต็อกถึง $4.5 พันล้านในไตรมาสแรก

    รัฐบาลสหรัฐฯ กลับลำ อนุญาตให้ส่งออก H20 และ MI308 ไปจีนโดยไม่ต้องขอใบอนุญาต
    แต่ Nvidia ยังไม่กลับมาผลิต H20 เพราะไม่คุ้มเมื่อเทียบกับ Blackwell

    TSMC ยังไม่ได้รับคำสั่งซื้อใหม่สำหรับ H20 และใช้กำลังผลิตกับลูกค้ารายอื่น
    แม้จะมองว่าเป็นข่าวดี แต่ยังไม่พร้อมเพิ่ม forecast

    Nvidia เตรียมเปิดตัว GPU รุ่น B30 สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell
    มีประสิทธิภาพต่ำกว่า H20 10–20% แต่ราคาถูกลง 30–40%

    B30 อาจใช้ Blackwell Ultra ที่รองรับ FP4 สำหรับงาน AI
    ช่วยให้มีประสิทธิภาพต่อขนาดสูงขึ้นและตรงตามข้อจำกัดการส่งออก

    การออกแบบใหม่ช่วยให้ Nvidia รักษาตลาดจีนและเพิ่ม margin ได้
    แม้จะลดประสิทธิภาพ แต่ยังแข่งขันได้กับ Biren และ Huawei

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-h20-ai-gpu-inventory-is-limited-but-nvidia-is-making-a-new-b30-model-for-china-to-comply-with-export-restrictions
    🎙️ เรื่องเล่าจาก GPU ที่ถูกแบน: เมื่อ Nvidia ต้องออกแบบใหม่เพื่อขายให้จีน Nvidia เคยผลิต GPU รุ่น H20 สำหรับงาน AI โดยใช้สถาปัตยกรรม Hopper แต่ถูกแบนจากการส่งออกไปจีนในเดือนเมษายน 2025 ทำให้ต้อง: - ยกเลิกคำสั่งซื้อ - หยุดสายการผลิตที่ TSMC - ขาดทุนจากสินค้าค้างสต็อกถึง $4.5 พันล้าน แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะกลับลำในเดือนกรกฎาคม โดยอนุญาตให้ส่งออก H20 และ AMD MI308 ไปจีนโดยไม่ต้องขอใบอนุญาต แต่ Nvidia ไม่ได้กลับมาผลิต H20 อีก เพราะ: - TSMC ยังไม่ได้รับคำสั่งซื้อใหม่ - โรงงานถูกใช้เต็มกำลังกับลูกค้ารายอื่น - การผลิต Hopper ไม่คุ้มเมื่อมี Blackwell ที่ใหม่และมีประสิทธิภาพดีกว่า ดังนั้น Nvidia จึงเตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ชื่อ B30 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell โดย: - มีประสิทธิภาพต่ำกว่า H20 ประมาณ 10–20% - ราคาถูกลง 30–40% - ขนาดเล็กลงและตรงตามข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ - อาจใช้ Blackwell Ultra ที่รองรับ FP4 สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ✅ Nvidia หยุดผลิต GPU รุ่น H20 หลังถูกแบนจากการส่งออกไปจีน ➡️ ขาดทุนจากสินค้าค้างสต็อกถึง $4.5 พันล้านในไตรมาสแรก ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ กลับลำ อนุญาตให้ส่งออก H20 และ MI308 ไปจีนโดยไม่ต้องขอใบอนุญาต ➡️ แต่ Nvidia ยังไม่กลับมาผลิต H20 เพราะไม่คุ้มเมื่อเทียบกับ Blackwell ✅ TSMC ยังไม่ได้รับคำสั่งซื้อใหม่สำหรับ H20 และใช้กำลังผลิตกับลูกค้ารายอื่น ➡️ แม้จะมองว่าเป็นข่าวดี แต่ยังไม่พร้อมเพิ่ม forecast ✅ Nvidia เตรียมเปิดตัว GPU รุ่น B30 สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell ➡️ มีประสิทธิภาพต่ำกว่า H20 10–20% แต่ราคาถูกลง 30–40% ✅ B30 อาจใช้ Blackwell Ultra ที่รองรับ FP4 สำหรับงาน AI ➡️ ช่วยให้มีประสิทธิภาพต่อขนาดสูงขึ้นและตรงตามข้อจำกัดการส่งออก ✅ การออกแบบใหม่ช่วยให้ Nvidia รักษาตลาดจีนและเพิ่ม margin ได้ ➡️ แม้จะลดประสิทธิภาพ แต่ยังแข่งขันได้กับ Biren และ Huawei https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-h20-ai-gpu-inventory-is-limited-but-nvidia-is-making-a-new-b30-model-for-china-to-comply-with-export-restrictions
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น:

    - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu
    - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน
    - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC

    กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ

    FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ
    เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน

    กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE
    ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ

    จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล
    รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ

    FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ
    และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99%
    เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง

    การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
    โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน

    การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า
    ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค

    การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง
    โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์
    เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น: - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ ➡️ เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ✅ กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE ➡️ ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ ✅ จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล ➡️ รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ ✅ FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ ➡️ และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% ➡️ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง ‼️ การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ⛔ โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน ‼️ การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า ⛔ ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค ‼️ การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง ⛔ โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ‼️ การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์ ⛔ เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    FCC moves to ban Chinese tech from undersea cables
    According to a statement from FCC Chairman Brendan Carr, the FCC will vote on rules to "unleash submarine cable investment to accelerate the buildout of AI infrastructure,...
    0 Comments 0 Shares 329 Views 0 Reviews
  • Nvidia กลับมาขาย H20 ให้จีน – สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป AI อีกครั้ง

    หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯสั่งห้ามการส่งออกชิป AI รุ่น H100 และ H200 ไปยังจีนในปี 2023 Nvidia ได้เปิดตัวรุ่น H20 ซึ่งเป็นเวอร์ชันลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อจำกัด แต่ก็ยังถูกแบนในเดือนเมษายน 2024 ภายใต้กฎ AI diffusion rule และมาตรการเสริมจากฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดี Trump

    ล่าสุด Nvidia ยืนยันว่าได้รับคำมั่นจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะอนุมัติใบอนุญาตส่งออกสำหรับ H20 และหวังว่าจะเริ่มส่งมอบได้เร็ว ๆ นี้

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้เดินทางระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งเพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศ โดยเน้นว่า AI จะสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจและสังคมทั่วโลก และการจำกัดเทคโนโลยีจะทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบต่อคู่แข่งอย่าง Huawei

    แม้จะยังไม่ใช่การยกเลิกการแบนทั้งหมด แต่การอนุมัติใบอนุญาตส่งออก H20 ถือเป็นสัญญาณบวก และอาจเป็นผลจากข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เช่น การกลับมาส่งออกแร่หายากจากจีน และการยกเลิกข้อจำกัดด้าน EDA (Electronic Design Automation)

    เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอน Nvidia ยังเปิดตัว RTX Pro GPU ที่ออกแบบให้เหมาะกับงาน AI ในโรงงานอัจฉริยะ และเตรียมรุ่น HGX H20 แบบลดสเปกเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-to-resume-h20-sales-in-china-says-u-s-government-has-promised-to-grant-licenses-deliveries-to-start-soon
    Nvidia กลับมาขาย H20 ให้จีน – สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป AI อีกครั้ง หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯสั่งห้ามการส่งออกชิป AI รุ่น H100 และ H200 ไปยังจีนในปี 2023 Nvidia ได้เปิดตัวรุ่น H20 ซึ่งเป็นเวอร์ชันลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อจำกัด แต่ก็ยังถูกแบนในเดือนเมษายน 2024 ภายใต้กฎ AI diffusion rule และมาตรการเสริมจากฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดี Trump ล่าสุด Nvidia ยืนยันว่าได้รับคำมั่นจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะอนุมัติใบอนุญาตส่งออกสำหรับ H20 และหวังว่าจะเริ่มส่งมอบได้เร็ว ๆ นี้ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้เดินทางระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งเพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศ โดยเน้นว่า AI จะสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจและสังคมทั่วโลก และการจำกัดเทคโนโลยีจะทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบต่อคู่แข่งอย่าง Huawei แม้จะยังไม่ใช่การยกเลิกการแบนทั้งหมด แต่การอนุมัติใบอนุญาตส่งออก H20 ถือเป็นสัญญาณบวก และอาจเป็นผลจากข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เช่น การกลับมาส่งออกแร่หายากจากจีน และการยกเลิกข้อจำกัดด้าน EDA (Electronic Design Automation) เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอน Nvidia ยังเปิดตัว RTX Pro GPU ที่ออกแบบให้เหมาะกับงาน AI ในโรงงานอัจฉริยะ และเตรียมรุ่น HGX H20 แบบลดสเปกเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-to-resume-h20-sales-in-china-says-u-s-government-has-promised-to-grant-licenses-deliveries-to-start-soon
    0 Comments 0 Shares 414 Views 0 Reviews
  • BYD เปิดตัวฟีเจอร์เชื่อมต่อรถกับสมาร์ตโฟน – ขับรถยุคใหม่ต้องไม่ขาดมือถือ

    BYD ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ “smartphone-car connectivity” ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนกับรถยนต์ได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้สายหรืออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม รองรับแบรนด์สมาร์ตโฟนยอดนิยมในจีน ได้แก่ Huawei, Xiaomi, Oppo และ Vivo

    ฟีเจอร์นี้จะถูกติดตั้งในรถยนต์ทุกรุ่นของ BYD และช่วยให้ผู้ใช้สามารถ:
    - ควบคุมฟังก์ชันของรถผ่านแอปบนมือถือ
    - ใช้มือถือเป็นกุญแจดิจิทัล
    - สั่งงานระบบนำทาง, เพลง, และการตั้งค่ารถจากระยะไกล
    - รับการแจ้งเตือนสถานะรถ เช่น แบตเตอรี่, ระบบความปลอดภัย, หรือการบำรุงรักษา

    การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่กำลังเปลี่ยนจาก “เครื่องยนต์” ไปสู่ “แพลตฟอร์มดิจิทัล” โดยเฉพาะในจีนที่มีการใช้งานสมาร์ตโฟนอย่างแพร่หลาย และผู้บริโภคคาดหวังให้รถยนต์ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ส่วนตัวได้อย่างไร้รอยต่อ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/chinese-carmaker-byd-launches-smartphone-car-connectivity-feature
    BYD เปิดตัวฟีเจอร์เชื่อมต่อรถกับสมาร์ตโฟน – ขับรถยุคใหม่ต้องไม่ขาดมือถือ BYD ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ “smartphone-car connectivity” ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนกับรถยนต์ได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้สายหรืออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม รองรับแบรนด์สมาร์ตโฟนยอดนิยมในจีน ได้แก่ Huawei, Xiaomi, Oppo และ Vivo ฟีเจอร์นี้จะถูกติดตั้งในรถยนต์ทุกรุ่นของ BYD และช่วยให้ผู้ใช้สามารถ: - ควบคุมฟังก์ชันของรถผ่านแอปบนมือถือ - ใช้มือถือเป็นกุญแจดิจิทัล - สั่งงานระบบนำทาง, เพลง, และการตั้งค่ารถจากระยะไกล - รับการแจ้งเตือนสถานะรถ เช่น แบตเตอรี่, ระบบความปลอดภัย, หรือการบำรุงรักษา การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่กำลังเปลี่ยนจาก “เครื่องยนต์” ไปสู่ “แพลตฟอร์มดิจิทัล” โดยเฉพาะในจีนที่มีการใช้งานสมาร์ตโฟนอย่างแพร่หลาย และผู้บริโภคคาดหวังให้รถยนต์ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ส่วนตัวได้อย่างไร้รอยต่อ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/chinese-carmaker-byd-launches-smartphone-car-connectivity-feature
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Chinese carmaker BYD launches smartphone-car connectivity feature
    BEIJING (Reuters) -Chinese carmaker BYD said on Tuesday it had launched a smartphone-car connectivity feature across its lineup, compatible with phone brands including Huawei, Xiaomi, Oppo and Vivo.
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • Huawei เปลี่ยนกลยุทธ์ชิป AI – หวังแซง NVIDIA ด้วยแนวทางใหม่

    แม้สหรัฐฯ จะออกมาตรการแบนไม่ให้ NVIDIA ขายชิป AI รุ่นใหม่ในจีน แต่ความต้องการในตลาดยังสูงมาก จนรัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาแบนประเทศอื่นอย่างมาเลเซียและไทยที่อาจเป็นช่องทางลัดให้จีนเข้าถึงชิปเหล่านี้

    Huawei จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ โดยจะเลิกเน้นการผลิตชิปแบบ ASIC ที่ออกแบบมาเฉพาะงาน และหันไปพัฒนาชิปแบบ general-purpose ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายเหมือนกับ GPU ของ NVIDIA และ AMD

    จุดเปลี่ยนสำคัญคือการพัฒนา “ซอฟต์แวร์ตัวกลาง” ที่สามารถแปลงคำสั่งจากภาษา Cuda (ที่ใช้กับ NVIDIA) ให้ทำงานกับชิปของ Huawei ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถย้ายงานจาก NVIDIA มาสู่ Huawei ได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Huawei ยังต้องพึ่งโรงงานผลิตชิปของจีนอย่าง SMIC ซึ่งถูกแบนจากการเข้าถึงเครื่องจักรขั้นสูง ทำให้ยังผลิตได้แค่ระดับ 7 นาโนเมตร ขณะที่ NVIDIA ใช้เทคโนโลยีระดับ 4 นาโนเมตรหรือดีกว่า

    แม้จะมีข้อจำกัดด้านการผลิต แต่บริษัทเทคโนโลยีจีนอย่าง Alibaba และ Tencent อาจไม่มีทางเลือกในอนาคต หาก Huawei สามารถพัฒนาชิปให้ใกล้เคียงกับ NVIDIA ได้จริง

    ข้อมูลจากข่าว
    - Huawei เตรียมเปลี่ยนแนวทางการออกแบบชิป AI จาก ASIC ไปสู่ general-purpose GPU
    - พัฒนาซอฟต์แวร์ตัวกลางเพื่อให้รองรับภาษา Cuda ของ NVIDIA
    - หวังเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในจีนที่ยังต้องการชิป AI อย่างมาก
    - SMIC เป็นโรงงานผลิตหลัก แต่ยังจำกัดที่เทคโนโลยี 7 นาโนเมตร
    - Alibaba และ Tencent อาจต้องหันมาใช้ชิปของ Huawei หากไม่มีทางเลือกอื่น
    - การเปลี่ยนแนวทางนี้อาจช่วยให้ Huawei แข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ได้ดีขึ้นในระยะยาว

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - SMIC ยังไม่สามารถผลิตชิประดับสูงได้เทียบเท่ากับ TSMC หรือ Samsung ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญ
    - การพึ่งพาซอฟต์แวร์ตัวกลางอาจทำให้ประสิทธิภาพไม่เทียบเท่าการใช้ Cuda โดยตรง
    - การเปลี่ยนจาก ASIC ไปสู่ general-purpose ต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก
    - หากซอฟต์แวร์ของ Huawei ไม่ได้รับการยอมรับจากนักพัฒนา อาจทำให้ชิปไม่ถูกใช้งานจริง
    - การแข่งขันกับ NVIDIA ต้องอาศัยทั้ง ecosystem, tooling และการสนับสนุนจากนักพัฒนา ซึ่ง Huawei ยังขาดอยู่

    https://wccftech.com/huawei-looks-to-shake-up-ai-chip-design-to-compete-with-nvidia-says-report/
    Huawei เปลี่ยนกลยุทธ์ชิป AI – หวังแซง NVIDIA ด้วยแนวทางใหม่ แม้สหรัฐฯ จะออกมาตรการแบนไม่ให้ NVIDIA ขายชิป AI รุ่นใหม่ในจีน แต่ความต้องการในตลาดยังสูงมาก จนรัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาแบนประเทศอื่นอย่างมาเลเซียและไทยที่อาจเป็นช่องทางลัดให้จีนเข้าถึงชิปเหล่านี้ Huawei จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ โดยจะเลิกเน้นการผลิตชิปแบบ ASIC ที่ออกแบบมาเฉพาะงาน และหันไปพัฒนาชิปแบบ general-purpose ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายเหมือนกับ GPU ของ NVIDIA และ AMD จุดเปลี่ยนสำคัญคือการพัฒนา “ซอฟต์แวร์ตัวกลาง” ที่สามารถแปลงคำสั่งจากภาษา Cuda (ที่ใช้กับ NVIDIA) ให้ทำงานกับชิปของ Huawei ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถย้ายงานจาก NVIDIA มาสู่ Huawei ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Huawei ยังต้องพึ่งโรงงานผลิตชิปของจีนอย่าง SMIC ซึ่งถูกแบนจากการเข้าถึงเครื่องจักรขั้นสูง ทำให้ยังผลิตได้แค่ระดับ 7 นาโนเมตร ขณะที่ NVIDIA ใช้เทคโนโลยีระดับ 4 นาโนเมตรหรือดีกว่า แม้จะมีข้อจำกัดด้านการผลิต แต่บริษัทเทคโนโลยีจีนอย่าง Alibaba และ Tencent อาจไม่มีทางเลือกในอนาคต หาก Huawei สามารถพัฒนาชิปให้ใกล้เคียงกับ NVIDIA ได้จริง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Huawei เตรียมเปลี่ยนแนวทางการออกแบบชิป AI จาก ASIC ไปสู่ general-purpose GPU - พัฒนาซอฟต์แวร์ตัวกลางเพื่อให้รองรับภาษา Cuda ของ NVIDIA - หวังเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในจีนที่ยังต้องการชิป AI อย่างมาก - SMIC เป็นโรงงานผลิตหลัก แต่ยังจำกัดที่เทคโนโลยี 7 นาโนเมตร - Alibaba และ Tencent อาจต้องหันมาใช้ชิปของ Huawei หากไม่มีทางเลือกอื่น - การเปลี่ยนแนวทางนี้อาจช่วยให้ Huawei แข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ได้ดีขึ้นในระยะยาว ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - SMIC ยังไม่สามารถผลิตชิประดับสูงได้เทียบเท่ากับ TSMC หรือ Samsung ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญ - การพึ่งพาซอฟต์แวร์ตัวกลางอาจทำให้ประสิทธิภาพไม่เทียบเท่าการใช้ Cuda โดยตรง - การเปลี่ยนจาก ASIC ไปสู่ general-purpose ต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก - หากซอฟต์แวร์ของ Huawei ไม่ได้รับการยอมรับจากนักพัฒนา อาจทำให้ชิปไม่ถูกใช้งานจริง - การแข่งขันกับ NVIDIA ต้องอาศัยทั้ง ecosystem, tooling และการสนับสนุนจากนักพัฒนา ซึ่ง Huawei ยังขาดอยู่ https://wccftech.com/huawei-looks-to-shake-up-ai-chip-design-to-compete-with-nvidia-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Huawei Looks To Shake Up AI Chip Design To Compete With NVIDIA, Says Report
    Huawei aims to shift chip design strategy to compete with NVIDIA, focusing on general-purpose computing and new chip software.
    0 Comments 0 Shares 380 Views 0 Reviews
  • จีนกำลังสร้างเมืองแห่ง AI กลางทะเลทรายตะวันตก — โครงการนี้ถูกพัฒนาในเมืองอี้อู (Yiwu) โดยมีแผนจะวางระบบดาต้าเซ็นเตอร์ 36 แห่ง เชื่อมต่อกันผ่านโครงข่ายความเร็วสูง → ที่เด็ดคือจำนวนชิป H100/H200 ที่จะใช้งานรวมกันเกิน 115,000 ตัว! → เทียบเท่ากับกริดของบริษัทคลาวด์ขนาดใหญ่ระดับโลกในบางประเทศเลยทีเดียว

    แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ข้อจำกัดของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออก NVIDIA รุ่นสูง (H100/H200) ไปยังจีน → แล้ว “จีนจะหาชิปจากไหน?” Bloomberg รายงานว่ามีช่องทางหลายรูปแบบ ทั้ง:
    - การขนย้ายผ่านประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย–สิงคโปร์
    - การใช้ชิป H20 ที่ยังไม่ถูกควบคุมแบบเข้มข้น
    - และการใช้ loophole ด้านเทรดเพื่อเข้าสู่ระบบภายใน → แสดงให้เห็นว่า มาตรการคุมส่งออกยังไม่สามารถปิดทุกช่องทางได้ 100%

    บริษัทคลื่นลูกใหม่เช่น Zhipu AI และ DeepSeek เริ่มใช้คลัสเตอร์ระดับ Sovereign AI — ที่รัฐบาลสนับสนุนให้สร้าง AI ด้วยทรัพยากรภายในประเทศ → ซึ่งถ้าโครงการนี้เดินหน้าได้จริง = จีนจะมี compute power ที่ใกล้เคียงกับสหรัฐฯ โดยไม่ต้องพึ่งบริษัทตะวันตกเลย

    จีนกำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาด hyperscale ที่ Yiwu → ครอบคลุม 36 ดาต้าเซ็นเตอร์
    • มีแผนใช้ NVIDIA H100 / H200 รวมกว่า 115,000 ตัว  
    • เป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างในจีนด้าน AI

    แม้ถูกสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึง H-series → ยังมีการขนย้ายผ่านช่องทางระดับ SEA (เช่น สิงคโปร์–มาเลเซีย)

    จีนยังมีคลัง H20 ที่บริษัท Big Tech ภายในประเทศใช้งานอยู่แล้ว → อาจใช้ทดแทนการขาด H100 ได้ระดับหนึ่ง

    ดาต้าเซ็นเตอร์จีนเติบโตอย่างรวดเร็ว → คาดว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ที่ 300 พันล้านหยวนภายในปีนี้

    โครงการยังไม่ได้รับการยืนยันจากฝ่ายสหรัฐฯ → อาจอยู่ในระยะลับหรือวางแผนต้นแบบ

    จีนยังไม่หันไปใช้ชิป Huawei หรือทางเลือกในประเทศสำหรับระบบ hyperscale → แสดงถึงการพึ่ง NVIDIA เป็นหลัก

    https://wccftech.com/chinese-ai-firms-plans-massive-domestic-data-center-with-100000-nvidia-ai-chips/
    จีนกำลังสร้างเมืองแห่ง AI กลางทะเลทรายตะวันตก — โครงการนี้ถูกพัฒนาในเมืองอี้อู (Yiwu) โดยมีแผนจะวางระบบดาต้าเซ็นเตอร์ 36 แห่ง เชื่อมต่อกันผ่านโครงข่ายความเร็วสูง → ที่เด็ดคือจำนวนชิป H100/H200 ที่จะใช้งานรวมกันเกิน 115,000 ตัว! → เทียบเท่ากับกริดของบริษัทคลาวด์ขนาดใหญ่ระดับโลกในบางประเทศเลยทีเดียว แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ข้อจำกัดของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออก NVIDIA รุ่นสูง (H100/H200) ไปยังจีน → แล้ว “จีนจะหาชิปจากไหน?” Bloomberg รายงานว่ามีช่องทางหลายรูปแบบ ทั้ง: - การขนย้ายผ่านประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย–สิงคโปร์ - การใช้ชิป H20 ที่ยังไม่ถูกควบคุมแบบเข้มข้น - และการใช้ loophole ด้านเทรดเพื่อเข้าสู่ระบบภายใน → แสดงให้เห็นว่า มาตรการคุมส่งออกยังไม่สามารถปิดทุกช่องทางได้ 100% บริษัทคลื่นลูกใหม่เช่น Zhipu AI และ DeepSeek เริ่มใช้คลัสเตอร์ระดับ Sovereign AI — ที่รัฐบาลสนับสนุนให้สร้าง AI ด้วยทรัพยากรภายในประเทศ → ซึ่งถ้าโครงการนี้เดินหน้าได้จริง = จีนจะมี compute power ที่ใกล้เคียงกับสหรัฐฯ โดยไม่ต้องพึ่งบริษัทตะวันตกเลย ✅ จีนกำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาด hyperscale ที่ Yiwu → ครอบคลุม 36 ดาต้าเซ็นเตอร์ • มีแผนใช้ NVIDIA H100 / H200 รวมกว่า 115,000 ตัว   • เป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างในจีนด้าน AI ✅ แม้ถูกสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึง H-series → ยังมีการขนย้ายผ่านช่องทางระดับ SEA (เช่น สิงคโปร์–มาเลเซีย) ✅ จีนยังมีคลัง H20 ที่บริษัท Big Tech ภายในประเทศใช้งานอยู่แล้ว → อาจใช้ทดแทนการขาด H100 ได้ระดับหนึ่ง ✅ ดาต้าเซ็นเตอร์จีนเติบโตอย่างรวดเร็ว → คาดว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ที่ 300 พันล้านหยวนภายในปีนี้ ✅ โครงการยังไม่ได้รับการยืนยันจากฝ่ายสหรัฐฯ → อาจอยู่ในระยะลับหรือวางแผนต้นแบบ ✅ จีนยังไม่หันไปใช้ชิป Huawei หรือทางเลือกในประเทศสำหรับระบบ hyperscale → แสดงถึงการพึ่ง NVIDIA เป็นหลัก https://wccftech.com/chinese-ai-firms-plans-massive-domestic-data-center-with-100000-nvidia-ai-chips/
    WCCFTECH.COM
    Chinese AI Firms Plan Massive Domestic Data Centers With 100,000+ NVIDIA AI Chips — But Where Will the Chips Come From?
    It is reported that China's AI companies have put up a big ambition of installing a "hyperscale" level facility in the nation.
    0 Comments 0 Shares 294 Views 0 Reviews
  • อยู่ดี ๆ บน GitHub ก็มีรายงานจากกลุ่มชื่อ HonestAGI โพสต์งานวิเคราะห์ที่ชี้ว่า → Huawei ใช้ โมเดล Qwen 2.5–14B ของ Alibaba เป็นพื้นฐาน → แล้ว “ปรับแต่ง–ฝึกต่อ (incremental training)” กลายเป็น Pangu Pro MOE ที่เปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ → รายงานนี้บอกว่าโมเดลสองตัวมี “ความคล้ายอย่างผิดปกติ” จนไม่น่าเกิดจากแค่บังเอิญ

    ประเด็นร้อนคือ:
    - ถ้าจริง = Huawei อาจ ละเมิดลิขสิทธิ์โมเดล + ใส่ข้อมูลเท็จในรายงานทางเทคนิค
    - ถ้าไม่จริง = HonestAGI เองก็ไม่มีโปร่งใส และไม่รู้ว่าเบื้องหลังเป็นใคร

    Huawei ไม่รอช้า ออกแถลงการณ์ผ่านห้องวิจัย AI “Noah’s Ark Lab” → ยืนยันว่า Pangu Pro Moe ฝึกจากศูนย์ (from scratch) → ชี้ว่าโมเดลนี้ใช้ Huawei Ascend chip ทุกขั้นตอน และ “ออกแบบโครงสร้างเองทั้งหมด” → ยอมรับว่าอ้างอิง open-source แต่ ปฏิบัติตามเงื่อนไขลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด

    Alibaba ปฏิเสธให้ความเห็น และยังไม่มีตัวตนของ HonestAGI เปิดเผยอย่างชัดเจน

    หลายฝ่ายมองว่าเรื่องนี้สะท้อน “การแข่งขันและความกดดันสูง” ในวงการ LLM จีน ที่ตอนนี้ Qwen–DeepSeek–Pangu–Baichuan ต่างเปิดโมเดลแข่งกันอย่างดุเดือด

    กลุ่ม HonestAGI เผยแพร่งานวิเคราะห์โมเดล Huawei ว่า “มีความสัมพันธ์สูงผิดปกติกับ Qwen 2.5”  
    • คาดว่าฝึกต่อจากโมเดล Alibaba โดยไม่ฝึกเองตั้งแต่ต้น  
    • ชี้ว่าอาจมีการใส่ข้อมูลเท็จ–ละเมิด open source license

    Huawei ออกแถลงการณ์โต้ทันทีว่า “ไม่ได้ลอก”  
    • โมเดล Pangu Pro MOE ใช้ชิป Ascend ทั้งหมด  
    • พัฒนาเองทุกด้าน ทั้งสถาปัตยกรรมและข้อมูล  
    • ยอมรับใช้อ้างอิง open source แต่ไม่ระบุว่าใช้อะไรบ้าง

    Huawei เปิด source โมเดลนี้บน GitCode ตั้งแต่ปลาย มิ.ย. 2025 เพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้น  
    • พยายามผลักดันการใช้งานในสายรัฐบาล, การเงิน, อุตสาหกรรม

    โมเดล Qwen ของ Alibaba ถูกออกแบบมาเน้นใช้งานฝั่ง consumer เช่น chatbot เหมือน GPT

    จนถึงขณะนี้ Alibaba ยังไม่มีแถลงอย่างเป็นทางการ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/huawei039s-ai-lab-denies-that-one-of-its-pangu-models-copied-alibaba039s-qwen
    อยู่ดี ๆ บน GitHub ก็มีรายงานจากกลุ่มชื่อ HonestAGI โพสต์งานวิเคราะห์ที่ชี้ว่า → Huawei ใช้ โมเดล Qwen 2.5–14B ของ Alibaba เป็นพื้นฐาน → แล้ว “ปรับแต่ง–ฝึกต่อ (incremental training)” กลายเป็น Pangu Pro MOE ที่เปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ → รายงานนี้บอกว่าโมเดลสองตัวมี “ความคล้ายอย่างผิดปกติ” จนไม่น่าเกิดจากแค่บังเอิญ ประเด็นร้อนคือ: - ถ้าจริง = Huawei อาจ ละเมิดลิขสิทธิ์โมเดล + ใส่ข้อมูลเท็จในรายงานทางเทคนิค - ถ้าไม่จริง = HonestAGI เองก็ไม่มีโปร่งใส และไม่รู้ว่าเบื้องหลังเป็นใคร Huawei ไม่รอช้า ออกแถลงการณ์ผ่านห้องวิจัย AI “Noah’s Ark Lab” → ยืนยันว่า Pangu Pro Moe ฝึกจากศูนย์ (from scratch) → ชี้ว่าโมเดลนี้ใช้ Huawei Ascend chip ทุกขั้นตอน และ “ออกแบบโครงสร้างเองทั้งหมด” → ยอมรับว่าอ้างอิง open-source แต่ ปฏิบัติตามเงื่อนไขลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด Alibaba ปฏิเสธให้ความเห็น และยังไม่มีตัวตนของ HonestAGI เปิดเผยอย่างชัดเจน หลายฝ่ายมองว่าเรื่องนี้สะท้อน “การแข่งขันและความกดดันสูง” ในวงการ LLM จีน ที่ตอนนี้ Qwen–DeepSeek–Pangu–Baichuan ต่างเปิดโมเดลแข่งกันอย่างดุเดือด ✅ กลุ่ม HonestAGI เผยแพร่งานวิเคราะห์โมเดล Huawei ว่า “มีความสัมพันธ์สูงผิดปกติกับ Qwen 2.5”   • คาดว่าฝึกต่อจากโมเดล Alibaba โดยไม่ฝึกเองตั้งแต่ต้น   • ชี้ว่าอาจมีการใส่ข้อมูลเท็จ–ละเมิด open source license ✅ Huawei ออกแถลงการณ์โต้ทันทีว่า “ไม่ได้ลอก”   • โมเดล Pangu Pro MOE ใช้ชิป Ascend ทั้งหมด   • พัฒนาเองทุกด้าน ทั้งสถาปัตยกรรมและข้อมูล   • ยอมรับใช้อ้างอิง open source แต่ไม่ระบุว่าใช้อะไรบ้าง ✅ Huawei เปิด source โมเดลนี้บน GitCode ตั้งแต่ปลาย มิ.ย. 2025 เพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้น   • พยายามผลักดันการใช้งานในสายรัฐบาล, การเงิน, อุตสาหกรรม ✅ โมเดล Qwen ของ Alibaba ถูกออกแบบมาเน้นใช้งานฝั่ง consumer เช่น chatbot เหมือน GPT ✅ จนถึงขณะนี้ Alibaba ยังไม่มีแถลงอย่างเป็นทางการ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/huawei039s-ai-lab-denies-that-one-of-its-pangu-models-copied-alibaba039s-qwen
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Huawei's AI lab denies that one of its Pangu models copied Alibaba's Qwen
    Huawei's artificial intelligence research division has rejected claims that a version of its Pangu Pro large language model has copied elements from an Alibaba model, saying that it was independently developed and trained.
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • ก่อนหน้านี้ เรามักนึกถึง Alibaba, Huawei, Tencent ว่าเป็น “ยักษ์ใหญ่จีนในจีน” แต่วันนี้พวกเขามีเป้าหมายชัดเจนว่าจะขยายตัวสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เทรนด์ AI Infrastructure กำลังระเบิด → ทุกประเทศต่างแย่งกันสร้างศูนย์ข้อมูล รัน LLMs และติดอาวุธให้ธุรกิจด้วย AI

    จากรายงานของ Taiwan Economic Daily ระบุว่า:
    - Alibaba Cloud ลงทุนกว่า ¥400 ล้านหยวนเพื่อขยายฐาน AI ทั่วโลก
    - Huawei เริ่มปักหมุด Ascend Chips ในมาเลเซีย
    - Tencent ก็เตรียมเปิดศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศเพิ่มเติม

    แม้จะสู้ Big Tech อย่าง AWS, Azure, Google Cloud ในเรื่อง CapEx ยังไม่ได้ แต่ ฝั่งจีนชูจุดขายด้าน “นวัตกรรมวิศวกรรม” และราคาย่อมเยา แถมมีโมเดล AI ที่เริ่มตีตื้น LLM ฝั่งตะวันตก เช่น Qwen2.5-Max, DeepSeek R1/R2

    โดยเฉพาะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ซึ่งยังเปิดกว้าง และไม่ยึดติดกับเทคโนโลยีจากฝั่งสหรัฐฯ → กลายเป็นสนามประลองใหม่ของ CSP จีนและอเมริกา

    Alibaba Cloud ลงทุนกว่า 400 ล้านหยวน (ราว 2 พันล้านบาท) ขยายบริการ AI Infrastructure สู่ต่างประเทศ  
    • เปิดศูนย์ข้อมูลในกว่า 29 ภูมิภาคนอกจีน  
    • เจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อย่างมาเลเซีย ไทย ฯลฯ

    Huawei ส่งชิป AI “Ascend” ลงพื้นที่ เช่นในมาเลเซีย เพื่อทดแทน GPU จากตะวันตก  
    • ใช้เป็นทางเลือกในการฝึกและรัน LLM แบบ sovereign AI

    Tencent และ Alibaba มี LLM รุ่นล่าสุดที่แข่งขันกับ GPT–Claude ได้ในบาง benchmark
    • เช่น Qwen2.5-Max, DeepSeek R1/R2  
    • แม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ที่ “ด้อยกว่า” แต่ยังสร้างผลงานเทียบเคียงกันได้

    วิศวกรรม + ราคา ถูกชูเป็นข้อได้เปรียบเพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ  
    • ไม่เน้น CapEx หนักแบบ AWS แต่ใช้ “โซลูชันเฉพาะกลุ่ม”

    ตลาดเป้าหมายหลักคือ: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อ่าวเปอร์เซีย, ประเทศกำลังพัฒนา

    https://wccftech.com/china-big-tech-csp-are-accelerating-their-overseas-expansion/
    ก่อนหน้านี้ เรามักนึกถึง Alibaba, Huawei, Tencent ว่าเป็น “ยักษ์ใหญ่จีนในจีน” แต่วันนี้พวกเขามีเป้าหมายชัดเจนว่าจะขยายตัวสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เทรนด์ AI Infrastructure กำลังระเบิด → ทุกประเทศต่างแย่งกันสร้างศูนย์ข้อมูล รัน LLMs และติดอาวุธให้ธุรกิจด้วย AI 📌 จากรายงานของ Taiwan Economic Daily ระบุว่า: - Alibaba Cloud ลงทุนกว่า ¥400 ล้านหยวนเพื่อขยายฐาน AI ทั่วโลก - Huawei เริ่มปักหมุด Ascend Chips ในมาเลเซีย - Tencent ก็เตรียมเปิดศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศเพิ่มเติม แม้จะสู้ Big Tech อย่าง AWS, Azure, Google Cloud ในเรื่อง CapEx ยังไม่ได้ แต่ ฝั่งจีนชูจุดขายด้าน “นวัตกรรมวิศวกรรม” และราคาย่อมเยา แถมมีโมเดล AI ที่เริ่มตีตื้น LLM ฝั่งตะวันตก เช่น Qwen2.5-Max, DeepSeek R1/R2 📍 โดยเฉพาะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ซึ่งยังเปิดกว้าง และไม่ยึดติดกับเทคโนโลยีจากฝั่งสหรัฐฯ → กลายเป็นสนามประลองใหม่ของ CSP จีนและอเมริกา ✅ Alibaba Cloud ลงทุนกว่า 400 ล้านหยวน (ราว 2 พันล้านบาท) ขยายบริการ AI Infrastructure สู่ต่างประเทศ   • เปิดศูนย์ข้อมูลในกว่า 29 ภูมิภาคนอกจีน   • เจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อย่างมาเลเซีย ไทย ฯลฯ ✅ Huawei ส่งชิป AI “Ascend” ลงพื้นที่ เช่นในมาเลเซีย เพื่อทดแทน GPU จากตะวันตก   • ใช้เป็นทางเลือกในการฝึกและรัน LLM แบบ sovereign AI ✅ Tencent และ Alibaba มี LLM รุ่นล่าสุดที่แข่งขันกับ GPT–Claude ได้ในบาง benchmark • เช่น Qwen2.5-Max, DeepSeek R1/R2   • แม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ที่ “ด้อยกว่า” แต่ยังสร้างผลงานเทียบเคียงกันได้ ✅ วิศวกรรม + ราคา ถูกชูเป็นข้อได้เปรียบเพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ   • ไม่เน้น CapEx หนักแบบ AWS แต่ใช้ “โซลูชันเฉพาะกลุ่ม” ✅ ตลาดเป้าหมายหลักคือ: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อ่าวเปอร์เซีย, ประเทศกำลังพัฒนา https://wccftech.com/china-big-tech-csp-are-accelerating-their-overseas-expansion/
    WCCFTECH.COM
    China's "Big Tech" CSPs Are Accelerating Their Overseas Expansion; Alibaba, Huawei & Tencent To Spend Billions On Global AI Infrastructure
    Major Chinese CSPs are now pushing towards making moves in the global AI markets, as Huawei, Tencent, and others allocate massive capital.
    0 Comments 0 Shares 325 Views 0 Reviews
  • Huawei ยังเดินหน้าท้าทายแม้จะถูกจำกัดด้านเทคโนโลยีจากตะวันตกมาหลายปี ด้วยการเปิดตัวชิป Kirin รุ่นใหม่ทุกครั้งที่มี Mate รุ่นใหม่ และครั้งนี้ Kirin 9030 กำลังถูกจับตาว่า จะขยับประสิทธิภาพขึ้นอีก 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมอย่าง Kirin 9020 (หรืออาจจะ 9010 ก็ยังไม่แน่ เพราะข่าวลือไม่ระบุชัด)

    คำถามคือ — Huawei กับ SMIC จะผลิตชิปนี้ด้วยกระบวนการอะไร? เพราะเท่าที่รู้ตอนนี้ SMIC ยังไม่สามารถผลิต 5nm แบบ EUV ได้ และแม้จะมีข่าวลือว่าทำสำเร็จ “แบบไม่มี EUV” แล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าผลิตได้จริงในระดับ mass production

    ด้วยเหตุนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า Kirin 9030 น่าจะยังอยู่ที่ 7nm เหมือนรุ่นก่อน แต่ “อัดแรงขึ้นได้อีก 20%” จากการจูนสถาปัตยกรรมหรือเทคนิคการผลิตแบบพิเศษ — ซึ่งถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยในยุคที่สหรัฐฯ ยังพยายามปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน

    Huawei เตรียมเปิดตัวชิป Kirin 9030 ในช่วงเปิดตัวซีรีส์ Mate 80 ปลายปี 2025  
    • คาดว่าเป็นรุ่นต่อจาก Kirin 9020  
    • ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงของบริษัท

    ข่าวลือระบุว่า Kirin 9030 จะเร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า  
    • ยังไม่ชัดว่าเทียบกับ Kirin 9020 หรือ 9010  
    • เป็นการอัปเกรดที่สำคัญแม้จะใช้กระบวนการผลิตเดิม

    มีโอกาสสูงว่า Kirin 9030 ยังใช้กระบวนการ 7nm จาก SMIC แบบไม่มี EUV  
    • SMIC ยังผลิตชิป 5nm ได้จำกัด และ yield ต่ำ  
    • EUV ยังไม่สามารถใช้งานได้เพราะมาตรการควบคุมการส่งออก

    แม้จะล้าหลังกว่าชิป Snapdragon หรือ Apple A-series แต่ Huawei ยังมียอดขายที่แข็งแรง โดยเฉพาะในจีน

    https://wccftech.com/kirin-9030-for-the-huawei-mate-80-series-rumored-to-be-20-percent-faster/
    Huawei ยังเดินหน้าท้าทายแม้จะถูกจำกัดด้านเทคโนโลยีจากตะวันตกมาหลายปี ด้วยการเปิดตัวชิป Kirin รุ่นใหม่ทุกครั้งที่มี Mate รุ่นใหม่ และครั้งนี้ Kirin 9030 กำลังถูกจับตาว่า จะขยับประสิทธิภาพขึ้นอีก 20% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมอย่าง Kirin 9020 (หรืออาจจะ 9010 ก็ยังไม่แน่ เพราะข่าวลือไม่ระบุชัด) คำถามคือ — Huawei กับ SMIC จะผลิตชิปนี้ด้วยกระบวนการอะไร? เพราะเท่าที่รู้ตอนนี้ SMIC ยังไม่สามารถผลิต 5nm แบบ EUV ได้ และแม้จะมีข่าวลือว่าทำสำเร็จ “แบบไม่มี EUV” แล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าผลิตได้จริงในระดับ mass production ด้วยเหตุนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า Kirin 9030 น่าจะยังอยู่ที่ 7nm เหมือนรุ่นก่อน แต่ “อัดแรงขึ้นได้อีก 20%” จากการจูนสถาปัตยกรรมหรือเทคนิคการผลิตแบบพิเศษ — ซึ่งถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยในยุคที่สหรัฐฯ ยังพยายามปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน ✅ Huawei เตรียมเปิดตัวชิป Kirin 9030 ในช่วงเปิดตัวซีรีส์ Mate 80 ปลายปี 2025   • คาดว่าเป็นรุ่นต่อจาก Kirin 9020   • ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงของบริษัท ✅ ข่าวลือระบุว่า Kirin 9030 จะเร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า   • ยังไม่ชัดว่าเทียบกับ Kirin 9020 หรือ 9010   • เป็นการอัปเกรดที่สำคัญแม้จะใช้กระบวนการผลิตเดิม ✅ มีโอกาสสูงว่า Kirin 9030 ยังใช้กระบวนการ 7nm จาก SMIC แบบไม่มี EUV   • SMIC ยังผลิตชิป 5nm ได้จำกัด และ yield ต่ำ   • EUV ยังไม่สามารถใช้งานได้เพราะมาตรการควบคุมการส่งออก ✅ แม้จะล้าหลังกว่าชิป Snapdragon หรือ Apple A-series แต่ Huawei ยังมียอดขายที่แข็งแรง โดยเฉพาะในจีน https://wccftech.com/kirin-9030-for-the-huawei-mate-80-series-rumored-to-be-20-percent-faster/
    WCCFTECH.COM
    Huawei’s Kirin 9030 For The Upcoming Mate 80 Flagship Smartphone Series Is Rumored To Provide A 20 Percent Performance Improvement, But Lithography Details Not Revealed
    A new rumor claims that Huawei is developing the Kirin 9030 for the Mate 80 lineup and it is allegedly 20 percent faster than the previous generation
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • สมาร์ทโฟนจากจีนหลายรุ่นในช่วงนี้มาแรงด้านกล้อง เช่น Xiaomi 15 Ultra ที่มีเซนเซอร์ 1 นิ้ว และ Vivo X200 Ultra ที่ใส่เลนส์เสริมได้ แต่ล่าสุด Huawei เปิดตัว Pura 80 Ultra ที่ “ล้ำแบบคิดไม่ถึง” สำหรับช่างภาพสายมือถือ

    ไฮไลต์สุดแปลกคือ:
    - กล้องหลังดูเหมือนมี 3 ตัว แต่จริง ๆ แล้วมี “เลนส์เทเล 2 ระยะในช่องเดียวกัน”
    - ใช้ เลนส์ periscope ซ้อนกันในกล้องเดียว พร้อมสวิตช์ปรับระยะ 3.7x (83mm) และ 9.4x (212mm)
    - ทั้งสองระยะใช้ เซนเซอร์ตัวเดียวกันขนาด 1/1.28 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าปกติสำหรับกล้องเทเล

    จุดที่น่าทึ่งคือคุณภาพภาพจากระยะ 3.7x และ 9.4x ดูดีมากทั้งคู่ แถมยัง แชร์เซนเซอร์เดียวกัน เพื่อรักษาคุณภาพให้สูงสุด ลดช่องเล็กช่องน้อยในโมดูลกล้อง

    กล้องหลักก็ไม่น้อยหน้า → ใช้เซนเซอร์ 1 นิ้ว, ความละเอียด 50MP, รูรับแสงปรับได้ f/1.6–f/4 พร้อมอ้างว่าให้ dynamic range 16 stops ซึ่งอาจดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน

    ยังไม่หมด — Huawei จับมือกับ Tilta ผลิต ชุดกล้องโปรเสริมแบบครบเซ็ต:
    - กริ๊ปเสริมทรงกล้อง + พาวเวอร์แบงก์ในตัว
    - ไฟ LED ต่อเสริม, ขาตั้งไฟเบอร์, ระบบ follow focus สำหรับวิดีโอ
    - รองรับฟิลเตอร์ เช่น ND
    - เคสช่วยระบายความร้อน และเพิ่มพลังงานให้เครื่อง

    มือถือรุ่นนี้เปิดตัวในจีนแล้วที่ราคา CNY 9,999 (~$1,400) แต่ยังไม่มีแผนวางจำหน่ายในสหรัฐฯ

    https://www.techradar.com/cameras/im-a-photographer-and-huaweis-latest-camera-phone-has-some-of-the-wildest-tech-ive-seen-yet-including-this-world-first
    สมาร์ทโฟนจากจีนหลายรุ่นในช่วงนี้มาแรงด้านกล้อง เช่น Xiaomi 15 Ultra ที่มีเซนเซอร์ 1 นิ้ว และ Vivo X200 Ultra ที่ใส่เลนส์เสริมได้ แต่ล่าสุด Huawei เปิดตัว Pura 80 Ultra ที่ “ล้ำแบบคิดไม่ถึง” สำหรับช่างภาพสายมือถือ 📌 ไฮไลต์สุดแปลกคือ: - กล้องหลังดูเหมือนมี 3 ตัว แต่จริง ๆ แล้วมี “เลนส์เทเล 2 ระยะในช่องเดียวกัน” - ใช้ เลนส์ periscope ซ้อนกันในกล้องเดียว พร้อมสวิตช์ปรับระยะ 3.7x (83mm) และ 9.4x (212mm) - ทั้งสองระยะใช้ เซนเซอร์ตัวเดียวกันขนาด 1/1.28 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าปกติสำหรับกล้องเทเล จุดที่น่าทึ่งคือคุณภาพภาพจากระยะ 3.7x และ 9.4x ดูดีมากทั้งคู่ แถมยัง แชร์เซนเซอร์เดียวกัน เพื่อรักษาคุณภาพให้สูงสุด ลดช่องเล็กช่องน้อยในโมดูลกล้อง กล้องหลักก็ไม่น้อยหน้า → ใช้เซนเซอร์ 1 นิ้ว, ความละเอียด 50MP, รูรับแสงปรับได้ f/1.6–f/4 พร้อมอ้างว่าให้ dynamic range 16 stops ซึ่งอาจดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน ยังไม่หมด — Huawei จับมือกับ Tilta ผลิต ชุดกล้องโปรเสริมแบบครบเซ็ต: - กริ๊ปเสริมทรงกล้อง + พาวเวอร์แบงก์ในตัว - ไฟ LED ต่อเสริม, ขาตั้งไฟเบอร์, ระบบ follow focus สำหรับวิดีโอ - รองรับฟิลเตอร์ เช่น ND - เคสช่วยระบายความร้อน และเพิ่มพลังงานให้เครื่อง มือถือรุ่นนี้เปิดตัวในจีนแล้วที่ราคา CNY 9,999 (~$1,400) แต่ยังไม่มีแผนวางจำหน่ายในสหรัฐฯ https://www.techradar.com/cameras/im-a-photographer-and-huaweis-latest-camera-phone-has-some-of-the-wildest-tech-ive-seen-yet-including-this-world-first
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews
More Results