• NVMe 2.3: ยกระดับ SSD ให้ฉลาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และทนทานต่อความล้มเหลวมากขึ้น

    กลุ่ม NVM Express ได้เปิดตัวมาตรฐาน NVMe 2.3 ซึ่งเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งชุดคำสั่งการจัดเก็บข้อมูลและโปรโตคอลการส่งข้อมูล เช่น PCIe, RDMA และ TCP โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ SSD มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ประหยัดพลังงาน และสามารถฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้ดีขึ้น

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Rapid Path Failure Recovery (RPFR) ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถเปลี่ยนเส้นทางการสื่อสารไปยังช่องทางสำรองได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหาระหว่าง host กับ storage subsystem ลดโอกาสข้อมูลเสียหายและ downtime

    ด้านการจัดการพลังงาน NVMe 2.3 เพิ่มฟีเจอร์ Power Limit Config ที่ให้ผู้ดูแลระบบกำหนดขีดจำกัดการใช้พลังงานของ SSD ได้ และ Self-Reported Drive Power ที่ช่วยให้ SSD รายงานการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ ซึ่งเหมาะกับการวางแผนพลังงานและตรวจจับปัญหาแต่เนิ่นๆ

    ในด้านความปลอดภัย มีฟีเจอร์ Sanitize Per Namespace ที่ช่วยลบข้อมูลเฉพาะบางส่วนของ SSD โดยไม่กระทบข้อมูลอื่น และ Configurable Device Personality ที่ให้ SSD ปรับโหมดการทำงานได้ตามความต้องการ เช่น โหมดประหยัดพลังงานหรือโหมดประสิทธิภาพสูง

    แม้ฟีเจอร์เหล่านี้จะมีประโยชน์มากในระดับองค์กร แต่การนำไปใช้ใน SSD สำหรับผู้บริโภคทั่วไปยังขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าจะนำไปใช้อย่างจริงจังหรือไม่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    NVMe 2.3 เปิดตัวพร้อมอัปเดต 11 รายการในชุดคำสั่งและโปรโตคอลการส่งข้อมูล
    Rapid Path Failure Recovery ช่วยให้ระบบเปลี่ยนเส้นทางการสื่อสารเมื่อเกิดปัญหา
    Power Limit Config ให้ผู้ดูแลระบบกำหนดขีดจำกัดการใช้พลังงานของ SSD
    Self-Reported Drive Power ช่วยให้ SSD รายงานการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์
    Sanitize Per Namespace ลบข้อมูลเฉพาะบางส่วนของ SSD ได้อย่างปลอดภัย
    Configurable Device Personality ให้ SSD ปรับโหมดการทำงานตามความต้องการ
    NVMe Management Interface อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 2.1 และ NVMe Boot เป็นเวอร์ชัน 1.3
    ฟีเจอร์ใหม่เน้นความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และการจัดการพลังงานในระดับองค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NVMe 2.3 รองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล, ระบบ AI, และแอปพลิเคชันที่ใช้ข้อมูลหนัก
    RPFR ลดโอกาสข้อมูลเสียหายจากการสื่อสารล้มเหลวในระบบขนาดใหญ่
    Power Limit Config เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์รุ่นเก่าที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน
    Self-Reported Drive Power ช่วยวางแผนพลังงานและตรวจจับปัญหาได้แต่เนิ่นๆ
    Sanitize Per Namespace เหมาะกับการรีไทร์หรือรีไซเคิล SSD โดยไม่ลบข้อมูลทั้งหมด
    Configurable Device Personality ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการ SSD หลายรุ่น

    https://www.techradar.com/pro/finally-future-ssds-are-set-to-be-more-energy-efficient-and-more-secure-thanks-to-a-new-set-of-guidelines
    🚀 NVMe 2.3: ยกระดับ SSD ให้ฉลาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และทนทานต่อความล้มเหลวมากขึ้น กลุ่ม NVM Express ได้เปิดตัวมาตรฐาน NVMe 2.3 ซึ่งเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งชุดคำสั่งการจัดเก็บข้อมูลและโปรโตคอลการส่งข้อมูล เช่น PCIe, RDMA และ TCP โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ SSD มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ประหยัดพลังงาน และสามารถฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้ดีขึ้น หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Rapid Path Failure Recovery (RPFR) ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถเปลี่ยนเส้นทางการสื่อสารไปยังช่องทางสำรองได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหาระหว่าง host กับ storage subsystem ลดโอกาสข้อมูลเสียหายและ downtime ด้านการจัดการพลังงาน NVMe 2.3 เพิ่มฟีเจอร์ Power Limit Config ที่ให้ผู้ดูแลระบบกำหนดขีดจำกัดการใช้พลังงานของ SSD ได้ และ Self-Reported Drive Power ที่ช่วยให้ SSD รายงานการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ ซึ่งเหมาะกับการวางแผนพลังงานและตรวจจับปัญหาแต่เนิ่นๆ ในด้านความปลอดภัย มีฟีเจอร์ Sanitize Per Namespace ที่ช่วยลบข้อมูลเฉพาะบางส่วนของ SSD โดยไม่กระทบข้อมูลอื่น และ Configurable Device Personality ที่ให้ SSD ปรับโหมดการทำงานได้ตามความต้องการ เช่น โหมดประหยัดพลังงานหรือโหมดประสิทธิภาพสูง แม้ฟีเจอร์เหล่านี้จะมีประโยชน์มากในระดับองค์กร แต่การนำไปใช้ใน SSD สำหรับผู้บริโภคทั่วไปยังขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าจะนำไปใช้อย่างจริงจังหรือไม่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ NVMe 2.3 เปิดตัวพร้อมอัปเดต 11 รายการในชุดคำสั่งและโปรโตคอลการส่งข้อมูล ➡️ Rapid Path Failure Recovery ช่วยให้ระบบเปลี่ยนเส้นทางการสื่อสารเมื่อเกิดปัญหา ➡️ Power Limit Config ให้ผู้ดูแลระบบกำหนดขีดจำกัดการใช้พลังงานของ SSD ➡️ Self-Reported Drive Power ช่วยให้ SSD รายงานการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ ➡️ Sanitize Per Namespace ลบข้อมูลเฉพาะบางส่วนของ SSD ได้อย่างปลอดภัย ➡️ Configurable Device Personality ให้ SSD ปรับโหมดการทำงานตามความต้องการ ➡️ NVMe Management Interface อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 2.1 และ NVMe Boot เป็นเวอร์ชัน 1.3 ➡️ ฟีเจอร์ใหม่เน้นความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และการจัดการพลังงานในระดับองค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NVMe 2.3 รองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล, ระบบ AI, และแอปพลิเคชันที่ใช้ข้อมูลหนัก ➡️ RPFR ลดโอกาสข้อมูลเสียหายจากการสื่อสารล้มเหลวในระบบขนาดใหญ่ ➡️ Power Limit Config เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์รุ่นเก่าที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน ➡️ Self-Reported Drive Power ช่วยวางแผนพลังงานและตรวจจับปัญหาได้แต่เนิ่นๆ ➡️ Sanitize Per Namespace เหมาะกับการรีไทร์หรือรีไซเคิล SSD โดยไม่ลบข้อมูลทั้งหมด ➡️ Configurable Device Personality ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการ SSD หลายรุ่น https://www.techradar.com/pro/finally-future-ssds-are-set-to-be-more-energy-efficient-and-more-secure-thanks-to-a-new-set-of-guidelines
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • GNU Hurd 2025: ก้าวสำคัญของระบบปฏิบัติการเสรีที่หลายคนลืมไป

    ในโลกที่ Linux ครองตลาดระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์สมานานหลายสิบปี มีอีกหนึ่งโครงการที่ยังคงเดินหน้าด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า นั่นคือ GNU Hurd ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดย Free Software Foundation (FSF) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบที่ “เสรีอย่างแท้จริง” ทั้งในด้านซอร์สโค้ดและสิทธิของผู้ใช้

    ล่าสุดในปี 2025 โครงการนี้ได้ออกเวอร์ชันใหม่ในชื่อ Debian GNU/Hurd 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะมีการปรับปรุงหลายด้านให้ทันสมัยขึ้น เช่น รองรับสถาปัตยกรรม 64-bit อย่างเต็มรูปแบบ, เพิ่มการสนับสนุนภาษา Rust, รองรับ SMP (การใช้หลายคอร์พร้อมกัน), และระบบ ACPI สำหรับจัดการพลังงาน

    GNU Hurd แตกต่างจาก Linux ตรงที่ใช้ “microkernel” แทน “monolithic kernel” โดยแบ่งการทำงานของระบบออกเป็นเซิร์ฟเวอร์ย่อย ๆ ที่ทำงานแยกกัน เช่น การจัดการไฟล์, เครือข่าย, และสิทธิ์การเข้าถึง ซึ่งช่วยให้ระบบมีความปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น เพราะแต่ละส่วนสามารถรีสตาร์ทได้โดยไม่ต้องรีบูตทั้งเครื่อง

    แม้จะยังไม่เหมาะกับการใช้งานในระดับ production แต่ GNU/Hurd ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ดีสำหรับนักพัฒนาและผู้สนใจด้านระบบปฏิบัติการ เพราะเปิดโอกาสให้เรียนรู้โครงสร้างภายในได้อย่างโปร่งใส และสอดคล้องกับหลักการ “4 เสรีภาพ” ของซอฟต์แวร์เสรี

    https://linuxconfig.org/gnu-hurd-2025-release-marks-milestone-for-free-software-foundation
    🧠 GNU Hurd 2025: ก้าวสำคัญของระบบปฏิบัติการเสรีที่หลายคนลืมไป ในโลกที่ Linux ครองตลาดระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์สมานานหลายสิบปี มีอีกหนึ่งโครงการที่ยังคงเดินหน้าด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า นั่นคือ GNU Hurd ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดย Free Software Foundation (FSF) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบที่ “เสรีอย่างแท้จริง” ทั้งในด้านซอร์สโค้ดและสิทธิของผู้ใช้ ล่าสุดในปี 2025 โครงการนี้ได้ออกเวอร์ชันใหม่ในชื่อ Debian GNU/Hurd 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะมีการปรับปรุงหลายด้านให้ทันสมัยขึ้น เช่น รองรับสถาปัตยกรรม 64-bit อย่างเต็มรูปแบบ, เพิ่มการสนับสนุนภาษา Rust, รองรับ SMP (การใช้หลายคอร์พร้อมกัน), และระบบ ACPI สำหรับจัดการพลังงาน GNU Hurd แตกต่างจาก Linux ตรงที่ใช้ “microkernel” แทน “monolithic kernel” โดยแบ่งการทำงานของระบบออกเป็นเซิร์ฟเวอร์ย่อย ๆ ที่ทำงานแยกกัน เช่น การจัดการไฟล์, เครือข่าย, และสิทธิ์การเข้าถึง ซึ่งช่วยให้ระบบมีความปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น เพราะแต่ละส่วนสามารถรีสตาร์ทได้โดยไม่ต้องรีบูตทั้งเครื่อง แม้จะยังไม่เหมาะกับการใช้งานในระดับ production แต่ GNU/Hurd ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ดีสำหรับนักพัฒนาและผู้สนใจด้านระบบปฏิบัติการ เพราะเปิดโอกาสให้เรียนรู้โครงสร้างภายในได้อย่างโปร่งใส และสอดคล้องกับหลักการ “4 เสรีภาพ” ของซอฟต์แวร์เสรี https://linuxconfig.org/gnu-hurd-2025-release-marks-milestone-for-free-software-foundation
    LINUXCONFIG.ORG
    GNU Hurd 2025 Release Marks Milestone for Free Software Foundation
    The Debian GNU/Hurd 2025 release represents a major advancement in free software, supporting modern hardware with enhanced features, prioritizing user freedom and software transparency. Discover what this means for users and the future of the GNU/Hurd project.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: Intel APO — ซอฟต์แวร์ลับที่ช่วยเร่งเฟรมเกม แต่ยังไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน

    ในช่วงที่ Intel กำลังปรับโครงสร้างองค์กรและลดจำนวนพนักงาน หลายโครงการถูกยกเลิกหรือชะลอ แต่หนึ่งในเทคโนโลยีที่ยังคงอยู่คือ Application Optimization หรือ APO ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมบนซีพียู Intel รุ่นใหม่

    APO ไม่ใช่แค่การปิด E-core แล้วใช้ P-core อย่างเดียว แต่เป็นระบบที่ใช้การจัดสรรงานแบบไดนามิก เพื่อให้เกมใช้ทรัพยากรของซีพียูได้อย่างเหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะในซีพียูแบบ hybrid ที่มีทั้ง P-core และ E-core เช่น Raptor Lake และ Arrow Lake

    จากการทดสอบจริงในเกม Metro Exodus พบว่า APO สามารถเพิ่มเฟรมเรตได้ถึง 26% เมื่อใช้กราฟิกระดับต่ำที่เน้นการทำงานของซีพียู แต่เมื่อปรับกราฟิกสูงขึ้น APO ให้ผลน้อยลง และในบางเกมอาจไม่มีผลเลย

    Intel ยืนยันว่าจะยังคงอัปเดต APO ทุกไตรมาส โดยเน้นเฉพาะซีพียูรุ่นปัจจุบันและรุ่นถัดไปเท่านั้น เช่น Core Ultra 200 และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ส่วนซีพียูรุ่นเก่าอย่าง Alder Lake และ Raptor Lake จะได้รับการสนับสนุนแบบจำกัด

    Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา APO แม้มีการปรับโครงสร้างองค์กร
    แต่จะเน้นเฉพาะซีพียูรุ่นปัจจุบันและรุ่นถัดไป

    APO เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม
    โดยจัดสรรงานระหว่าง P-core และ E-core แบบเรียลไทม์

    APO เปิดตัวพร้อม Raptor Lake Refresh ในปี 2023
    และขยายไปยัง Alder Lake, Raptor Lake และ Core Ultra 200

    APO ไม่ใช่ระบบที่ใช้ได้กับทุกเกมหรือทุกซีพียู
    ต้องปรับแต่งเฉพาะรุ่นและเกมที่รองรับ

    Intel ใช้ระบบทดสอบแบบ stock configuration
    หากผู้ใช้โอเวอร์คล็อกหรือปรับพลังงาน อาจไม่เห็นผล

    รายชื่อเกมที่รองรับมีน้อยกว่า 50 เกม
    แต่รวมถึงเกมดังอย่าง Cyberpunk 2077 และ Counter-Strike 2

    มีข่าวลือว่า Nova Lake อาจมี bLLC คล้าย AMD 3D V-Cache
    เพื่อแข่งกับ Ryzen X3D ในด้านเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-promises-to-keep-updating-its-game-boosting-software-despite-recent-delays-apo-will-only-focus-on-current-and-upcoming-intel-cpus
    🎮⚙️ เล่าให้ฟังใหม่: Intel APO — ซอฟต์แวร์ลับที่ช่วยเร่งเฟรมเกม แต่ยังไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน ในช่วงที่ Intel กำลังปรับโครงสร้างองค์กรและลดจำนวนพนักงาน หลายโครงการถูกยกเลิกหรือชะลอ แต่หนึ่งในเทคโนโลยีที่ยังคงอยู่คือ Application Optimization หรือ APO ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมบนซีพียู Intel รุ่นใหม่ APO ไม่ใช่แค่การปิด E-core แล้วใช้ P-core อย่างเดียว แต่เป็นระบบที่ใช้การจัดสรรงานแบบไดนามิก เพื่อให้เกมใช้ทรัพยากรของซีพียูได้อย่างเหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะในซีพียูแบบ hybrid ที่มีทั้ง P-core และ E-core เช่น Raptor Lake และ Arrow Lake จากการทดสอบจริงในเกม Metro Exodus พบว่า APO สามารถเพิ่มเฟรมเรตได้ถึง 26% เมื่อใช้กราฟิกระดับต่ำที่เน้นการทำงานของซีพียู แต่เมื่อปรับกราฟิกสูงขึ้น APO ให้ผลน้อยลง และในบางเกมอาจไม่มีผลเลย Intel ยืนยันว่าจะยังคงอัปเดต APO ทุกไตรมาส โดยเน้นเฉพาะซีพียูรุ่นปัจจุบันและรุ่นถัดไปเท่านั้น เช่น Core Ultra 200 และ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ส่วนซีพียูรุ่นเก่าอย่าง Alder Lake และ Raptor Lake จะได้รับการสนับสนุนแบบจำกัด ✅ Intel ยืนยันว่าจะยังคงพัฒนา APO แม้มีการปรับโครงสร้างองค์กร ➡️ แต่จะเน้นเฉพาะซีพียูรุ่นปัจจุบันและรุ่นถัดไป ✅ APO เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม ➡️ โดยจัดสรรงานระหว่าง P-core และ E-core แบบเรียลไทม์ ✅ APO เปิดตัวพร้อม Raptor Lake Refresh ในปี 2023 ➡️ และขยายไปยัง Alder Lake, Raptor Lake และ Core Ultra 200 ✅ APO ไม่ใช่ระบบที่ใช้ได้กับทุกเกมหรือทุกซีพียู ➡️ ต้องปรับแต่งเฉพาะรุ่นและเกมที่รองรับ ✅ Intel ใช้ระบบทดสอบแบบ stock configuration ➡️ หากผู้ใช้โอเวอร์คล็อกหรือปรับพลังงาน อาจไม่เห็นผล ✅ รายชื่อเกมที่รองรับมีน้อยกว่า 50 เกม ➡️ แต่รวมถึงเกมดังอย่าง Cyberpunk 2077 และ Counter-Strike 2 ✅ มีข่าวลือว่า Nova Lake อาจมี bLLC คล้าย AMD 3D V-Cache ➡️ เพื่อแข่งกับ Ryzen X3D ในด้านเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-promises-to-keep-updating-its-game-boosting-software-despite-recent-delays-apo-will-only-focus-on-current-and-upcoming-intel-cpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Huawei เปิดซอร์ส CANN: ยุทธศาสตร์ใหม่ท้าชน CUDA เพื่ออิสรภาพด้าน AI ของจีน

    ลองนึกภาพว่าโลกของ AI ที่เคยถูกครอบงำโดย CUDA ของ Nvidia กำลังถูกท้าทายอย่างจริงจังจาก Huawei ที่ตัดสินใจเปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ของตัวเอง

    CUDA ครองตลาดมากว่า 20 ปี ด้วยการผูกขาดนักพัฒนาให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Nvidia เท่านั้น การเปิดซอร์ส CANN จึงไม่ใช่แค่การปล่อยโค้ด แต่เป็นการเปิดประตูสู่ระบบนิเวศใหม่ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเจ้าของเทคโนโลยี

    Huawei เริ่มพูดคุยกับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัท AI ชั้นนำในจีน เพื่อร่วมกันสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดสำหรับ Ascend ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กใหม่ที่รองรับงาน AI ได้หลากหลายมากขึ้น

    แม้จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ในแง่ของความเสถียรและการสนับสนุน แต่ Huawei ก็เริ่มไล่ตามในด้านประสิทธิภาพ โดยบางรุ่นของ Ascend มีผลทดสอบที่เหนือกว่า Nvidia ในบางสถานการณ์

    การเปิดซอร์ส CANN ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปให้กับ Huawei การสร้างซอฟต์แวร์พื้นฐานของตัวเองจึงเป็นก้าวสำคัญ

    Huawei เปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับชิป Ascend
    เพื่อท้าทายการผูกขาดของ CUDA จาก Nvidia

    CUDA เป็นระบบปิดที่ผูกนักพัฒนาไว้กับฮาร์ดแวร์ Nvidia
    ทำให้การพัฒนา AI ต้องอยู่ในระบบของ Nvidia เท่านั้น

    CANN มีโครงสร้างแบบหลายชั้น รองรับทั้งงานทั่วไปและงานประสิทธิภาพสูง
    เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักพัฒนา AI

    Huawei เริ่มสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ในจีน
    เพื่อเร่งสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กสำหรับ Ascend

    มีรายงานว่า Ascend บางรุ่นมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia ในบางกรณี
    เช่น DeepSeek R1 บน CloudMatrix 384

    การเปิดซอร์ส CANN เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เทคโนโลยีอิสระของจีน
    ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตกท่ามกลางข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ

    https://www.techradar.com/pro/brave-or-foolhardy-huawei-takes-the-fight-to-nvidia-cuda-by-making-its-ascend-ai-gpu-software-open-source
    🚀🇨🇳 เมื่อ Huawei เปิดซอร์ส CANN: ยุทธศาสตร์ใหม่ท้าชน CUDA เพื่ออิสรภาพด้าน AI ของจีน ลองนึกภาพว่าโลกของ AI ที่เคยถูกครอบงำโดย CUDA ของ Nvidia กำลังถูกท้าทายอย่างจริงจังจาก Huawei ที่ตัดสินใจเปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ของตัวเอง CUDA ครองตลาดมากว่า 20 ปี ด้วยการผูกขาดนักพัฒนาให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Nvidia เท่านั้น การเปิดซอร์ส CANN จึงไม่ใช่แค่การปล่อยโค้ด แต่เป็นการเปิดประตูสู่ระบบนิเวศใหม่ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเจ้าของเทคโนโลยี Huawei เริ่มพูดคุยกับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัท AI ชั้นนำในจีน เพื่อร่วมกันสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดสำหรับ Ascend ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กใหม่ที่รองรับงาน AI ได้หลากหลายมากขึ้น แม้จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ในแง่ของความเสถียรและการสนับสนุน แต่ Huawei ก็เริ่มไล่ตามในด้านประสิทธิภาพ โดยบางรุ่นของ Ascend มีผลทดสอบที่เหนือกว่า Nvidia ในบางสถานการณ์ การเปิดซอร์ส CANN ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปให้กับ Huawei การสร้างซอฟต์แวร์พื้นฐานของตัวเองจึงเป็นก้าวสำคัญ ✅ Huawei เปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับชิป Ascend ➡️ เพื่อท้าทายการผูกขาดของ CUDA จาก Nvidia ✅ CUDA เป็นระบบปิดที่ผูกนักพัฒนาไว้กับฮาร์ดแวร์ Nvidia ➡️ ทำให้การพัฒนา AI ต้องอยู่ในระบบของ Nvidia เท่านั้น ✅ CANN มีโครงสร้างแบบหลายชั้น รองรับทั้งงานทั่วไปและงานประสิทธิภาพสูง ➡️ เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักพัฒนา AI ✅ Huawei เริ่มสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ในจีน ➡️ เพื่อเร่งสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กสำหรับ Ascend ✅ มีรายงานว่า Ascend บางรุ่นมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia ในบางกรณี ➡️ เช่น DeepSeek R1 บน CloudMatrix 384 ✅ การเปิดซอร์ส CANN เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เทคโนโลยีอิสระของจีน ➡️ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตกท่ามกลางข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ https://www.techradar.com/pro/brave-or-foolhardy-huawei-takes-the-fight-to-nvidia-cuda-by-making-its-ascend-ai-gpu-software-open-source
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: Ubuntu 24.04.3 LTS มาแล้ว พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และอัปเดตความปลอดภัยแบบจัดเต็ม

    วันที่ 8 สิงหาคม 2025 Canonical ได้ปล่อย Ubuntu 24.04.3 LTS ซึ่งเป็น point release ล่าสุดของเวอร์ชัน Noble Numbat โดยมีจุดเด่นคือการ backport Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04 เพื่อให้ผู้ใช้ LTS ได้สัมผัสกับการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่โดยไม่ต้องเสียเสถียรภาพระยะยาว

    เวอร์ชันนี้รองรับทั้ง Desktop, Server และ Cloud รวมถึงรสชาติอื่น ๆ ของ Ubuntu เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu และ Ubuntu Studio โดย Ubuntu Studio มีการเปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel ที่ปรับแต่งให้บูตเร็วแต่ยังคงความสามารถด้าน real-time สำหรับงานมัลติมีเดีย

    การอัปเดตนี้ยังมาพร้อมกับสื่อการติดตั้งใหม่ที่ลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง และรวมแพตช์ความปลอดภัยที่สะสมมาตั้งแต่เวอร์ชัน 24.04.1 ทำให้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรแต่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่

    Ubuntu 24.04.3 LTS เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 สิงหาคม 2025
    เป็น point release ล่าสุดของ Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat)

    ใช้ Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04
    เพิ่มการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และประสิทธิภาพด้านกราฟิก

    รองรับ Desktop, Server, Cloud และ Ubuntu flavours ทั้งหมด
    เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu, Ubuntu Studio

    Ubuntu Studio เปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel
    พร้อม boot parameter ที่ยังคงความสามารถด้าน real-time

    สื่อการติดตั้งใหม่ช่วยลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ deploy ระบบจำนวนมาก

    Ubuntu 24.04.3 LTS จะได้รับการสนับสนุนถึงปี 2029
    เป็น LTS ที่มีระยะเวลาสนับสนุน 5 ปีเต็ม

    Kernel 6.14 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น GPU รุ่นล่าสุดและอุปกรณ์ PCIe Gen5
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ใช้โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่หรือเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง

    Mesa 25.0 ปรับปรุงการรองรับ Vulkan และ OpenGL
    เพิ่มประสิทธิภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก

    Ubuntu LTS เป็นตัวเลือกหลักขององค์กรและสถาบันการศึกษา
    เพราะมีรอบอัปเดตที่คาดการณ์ได้และความเสถียรสูง

    Ubuntu 24.04.4 LTS จะออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2026
    คาดว่าจะใช้ kernel และ Mesa จาก Ubuntu 25.10

    https://linuxconfig.org/ubuntu-24-04-3-lts-release-enhanced-hardware-support-and-security-updates
    🐧⚙️ เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: Ubuntu 24.04.3 LTS มาแล้ว พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และอัปเดตความปลอดภัยแบบจัดเต็ม วันที่ 8 สิงหาคม 2025 Canonical ได้ปล่อย Ubuntu 24.04.3 LTS ซึ่งเป็น point release ล่าสุดของเวอร์ชัน Noble Numbat โดยมีจุดเด่นคือการ backport Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04 เพื่อให้ผู้ใช้ LTS ได้สัมผัสกับการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่โดยไม่ต้องเสียเสถียรภาพระยะยาว เวอร์ชันนี้รองรับทั้ง Desktop, Server และ Cloud รวมถึงรสชาติอื่น ๆ ของ Ubuntu เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu และ Ubuntu Studio โดย Ubuntu Studio มีการเปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel ที่ปรับแต่งให้บูตเร็วแต่ยังคงความสามารถด้าน real-time สำหรับงานมัลติมีเดีย การอัปเดตนี้ยังมาพร้อมกับสื่อการติดตั้งใหม่ที่ลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง และรวมแพตช์ความปลอดภัยที่สะสมมาตั้งแต่เวอร์ชัน 24.04.1 ทำให้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรแต่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ✅ Ubuntu 24.04.3 LTS เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 สิงหาคม 2025 ➡️ เป็น point release ล่าสุดของ Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) ✅ ใช้ Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04 ➡️ เพิ่มการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และประสิทธิภาพด้านกราฟิก ✅ รองรับ Desktop, Server, Cloud และ Ubuntu flavours ทั้งหมด ➡️ เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu, Ubuntu Studio ✅ Ubuntu Studio เปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel ➡️ พร้อม boot parameter ที่ยังคงความสามารถด้าน real-time ✅ สื่อการติดตั้งใหม่ช่วยลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ deploy ระบบจำนวนมาก ✅ Ubuntu 24.04.3 LTS จะได้รับการสนับสนุนถึงปี 2029 ➡️ เป็น LTS ที่มีระยะเวลาสนับสนุน 5 ปีเต็ม ✅ Kernel 6.14 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น GPU รุ่นล่าสุดและอุปกรณ์ PCIe Gen5 ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ใช้โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่หรือเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง ✅ Mesa 25.0 ปรับปรุงการรองรับ Vulkan และ OpenGL ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก ✅ Ubuntu LTS เป็นตัวเลือกหลักขององค์กรและสถาบันการศึกษา ➡️ เพราะมีรอบอัปเดตที่คาดการณ์ได้และความเสถียรสูง ✅ Ubuntu 24.04.4 LTS จะออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ คาดว่าจะใช้ kernel และ Mesa จาก Ubuntu 25.10 https://linuxconfig.org/ubuntu-24-04-3-lts-release-enhanced-hardware-support-and-security-updates
    LINUXCONFIG.ORG
    Ubuntu 24.04.3 LTS Release: Enhanced Hardware Support and Security Updates
    Discover the new features and updates in the Ubuntu 24.04.3 LTS release, including improved hardware support, security updates, and performance optimizations. Ideal for users seeking long-term stability with modern hardware compatibility.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • สาวเขมรปล่อยโฮ ฮุนเซนบังคับสามีไปรบ “10วันแล้วติดต่อไม่ได้” ทัพเขมรก็เงียบกริบ (7/8/68)
    Khmer woman speaks out: Hun Sen forced her husband to fight. “It’s been 10 days, no contact.” The army remains silent. He’s not treated with dignity.

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodianDeception
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวดัง
    #ข่าวต่างประเทศ
    #shorts
    #thaitimes
    #news1
    สาวเขมรปล่อยโฮ ฮุนเซนบังคับสามีไปรบ “10วันแล้วติดต่อไม่ได้” ทัพเขมรก็เงียบกริบ (7/8/68) Khmer woman speaks out: Hun Sen forced her husband to fight. “It’s been 10 days, no contact.” The army remains silent. He’s not treated with dignity. #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #กัมพูชายิงก่อน #CambodianDeception #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ข่าวต่างประเทศ #shorts #thaitimes #news1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเวอร์ชวล: Proxmox VE 9.0 อัปเดตครั้งใหญ่ที่พร้อมพาองค์กรสู่ยุคใหม่ของการจำลองระบบ

    Proxmox VE 9.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2025 โดยถือเป็นเวอร์ชันแรกของซีรีส์ 9.x ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการจัดการระบบเวอร์ชวลสำหรับทั้งองค์กรและผู้ใช้ระดับ home lab

    เวอร์ชันนี้สร้างบน Debian 13 “Trixie” พร้อม Linux kernel 6.14.8-2 ซึ่งช่วยให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ได้ดีขึ้น และเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน KVM และ LXC โดยมีการอัปเดตเทคโนโลยีหลัก เช่น QEMU 10.0.2, LXC 6.0.4, ZFS 2.3.3 และ Ceph Squid 19.2.3 ที่ช่วยให้การจัดการ VM และ container มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ฟีเจอร์เด่นที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ snapshot สำหรับ VM บน LVM แบบ thick-provisioned, ระบบ Software-Defined Networking (SDN) ที่รองรับ OpenFabric และ OSPF, และ affinity rules สำหรับ High Availability ที่ช่วยให้วาง workload ได้อย่างแม่นยำ

    สำหรับผู้ที่ต้องการอัปเกรดจากเวอร์ชัน 8.x ไปยัง 9.0 Proxmox แนะนำให้ใช้สคริปต์ pve8to9 เพื่อเช็กความเข้ากันได้ก่อนอัปเกรด และควรสำรองข้อมูล VM และ container ทั้งหมด รวมถึงไฟล์ config ที่สำคัญ

    Proxmox VE 9.0 เปิดตัวเมื่อ 5 สิงหาคม 2025
    เป็นเวอร์ชันแรกของซีรีส์ 9.x ที่มีการอัปเดตครั้งใหญ่

    สร้างบน Debian 13 “Trixie” และใช้ Linux kernel 6.14.8-2
    เพิ่มความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่

    อัปเดตเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ QEMU 10.0.2, LXC 6.0.4, ZFS 2.3.3, Ceph Squid 19.2.3
    เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการจัดการ VM และ container

    เพิ่ม snapshot สำหรับ VM บน LVM แบบ thick-provisioned
    เหมาะกับองค์กรที่ใช้ Fibre Channel หรือ iSCSI SAN

    รองรับ Software-Defined Networking ด้วย OpenFabric และ OSPF
    ช่วยสร้างโครงสร้างเครือข่ายที่ซับซ้อนและขยายได้

    เพิ่ม affinity rules สำหรับ High Availability
    ช่วยควบคุมการวาง workload ให้เหมาะสมกับทรัพยากร

    Proxmox VE 9.0 เหมาะกับ hybrid cloud และ software-defined datacenter
    รองรับการใช้งานระดับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่น

    pve8to9 เป็นสคริปต์เช็กความเข้ากันได้ก่อนอัปเกรด
    ช่วยตรวจสอบปัญหาและแนะนำการแก้ไข

    มีสองวิธีในการอัปเกรด: in-place upgrade และติดตั้งใหม่
    การติดตั้งใหม่ต้องสำรองข้อมูลและ config ทั้งหมด

    ควรใช้ tmux หรือ screen เมื่ออัปเกรดผ่าน SSH
    ป้องกันการหลุดการเชื่อมต่อระหว่างการอัปเกรด

    https://linuxconfig.org/proxmox-virtual-environment-9-0-released-a-comprehensive-update-with-enhanced-virtualization
    🖥️🚀 เรื่องเล่าจากโลกเวอร์ชวล: Proxmox VE 9.0 อัปเดตครั้งใหญ่ที่พร้อมพาองค์กรสู่ยุคใหม่ของการจำลองระบบ Proxmox VE 9.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2025 โดยถือเป็นเวอร์ชันแรกของซีรีส์ 9.x ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการจัดการระบบเวอร์ชวลสำหรับทั้งองค์กรและผู้ใช้ระดับ home lab เวอร์ชันนี้สร้างบน Debian 13 “Trixie” พร้อม Linux kernel 6.14.8-2 ซึ่งช่วยให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ได้ดีขึ้น และเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน KVM และ LXC โดยมีการอัปเดตเทคโนโลยีหลัก เช่น QEMU 10.0.2, LXC 6.0.4, ZFS 2.3.3 และ Ceph Squid 19.2.3 ที่ช่วยให้การจัดการ VM และ container มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฟีเจอร์เด่นที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ snapshot สำหรับ VM บน LVM แบบ thick-provisioned, ระบบ Software-Defined Networking (SDN) ที่รองรับ OpenFabric และ OSPF, และ affinity rules สำหรับ High Availability ที่ช่วยให้วาง workload ได้อย่างแม่นยำ สำหรับผู้ที่ต้องการอัปเกรดจากเวอร์ชัน 8.x ไปยัง 9.0 Proxmox แนะนำให้ใช้สคริปต์ pve8to9 เพื่อเช็กความเข้ากันได้ก่อนอัปเกรด และควรสำรองข้อมูล VM และ container ทั้งหมด รวมถึงไฟล์ config ที่สำคัญ ✅ Proxmox VE 9.0 เปิดตัวเมื่อ 5 สิงหาคม 2025 ➡️ เป็นเวอร์ชันแรกของซีรีส์ 9.x ที่มีการอัปเดตครั้งใหญ่ ✅ สร้างบน Debian 13 “Trixie” และใช้ Linux kernel 6.14.8-2 ➡️ เพิ่มความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ✅ อัปเดตเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ QEMU 10.0.2, LXC 6.0.4, ZFS 2.3.3, Ceph Squid 19.2.3 ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการจัดการ VM และ container ✅ เพิ่ม snapshot สำหรับ VM บน LVM แบบ thick-provisioned ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ใช้ Fibre Channel หรือ iSCSI SAN ✅ รองรับ Software-Defined Networking ด้วย OpenFabric และ OSPF ➡️ ช่วยสร้างโครงสร้างเครือข่ายที่ซับซ้อนและขยายได้ ✅ เพิ่ม affinity rules สำหรับ High Availability ➡️ ช่วยควบคุมการวาง workload ให้เหมาะสมกับทรัพยากร ✅ Proxmox VE 9.0 เหมาะกับ hybrid cloud และ software-defined datacenter ➡️ รองรับการใช้งานระดับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่น ✅ pve8to9 เป็นสคริปต์เช็กความเข้ากันได้ก่อนอัปเกรด ➡️ ช่วยตรวจสอบปัญหาและแนะนำการแก้ไข ✅ มีสองวิธีในการอัปเกรด: in-place upgrade และติดตั้งใหม่ ➡️ การติดตั้งใหม่ต้องสำรองข้อมูลและ config ทั้งหมด ✅ ควรใช้ tmux หรือ screen เมื่ออัปเกรดผ่าน SSH ➡️ ป้องกันการหลุดการเชื่อมต่อระหว่างการอัปเกรด https://linuxconfig.org/proxmox-virtual-environment-9-0-released-a-comprehensive-update-with-enhanced-virtualization
    LINUXCONFIG.ORG
    Proxmox VE 9.0 Released: What's New, Key Features, and How to Upgrade from Version 8.x
    Explore the new features and enhancements of Proxmox VE 9.0, including updates to the virtualization stack, support for modern server hardware, and advanced storage solutions. Discover why this release is crucial for hybrid cloud environments and data centers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า

    ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency

    นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก

    ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS
    ใช้ import/export แทน require/module.exports
    รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น

    ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages
    เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises'
    ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency

    รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function
    ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น
    เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์

    Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch
    รองรับการเรียก HTTP แบบ native
    มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว

    แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream
    เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs
    ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก

    Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive
    ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state
    ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ

    Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js
    ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น
    มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า

    Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025
    รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers
    เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น

    JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native
    คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง
    อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง

    https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก ✅ ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS ➡️ ใช้ import/export แทน require/module.exports ➡️ รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น ✅ ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages ➡️ เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises' ➡️ ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency ✅ รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function ➡️ ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น ➡️ เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์ ✅ Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch ➡️ รองรับการเรียก HTTP แบบ native ➡️ มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว ✅ แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream ➡️ เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs ➡️ ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก ✅ Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive ➡️ ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state ➡️ ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ ✅ Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js ➡️ ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น ➡️ มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า ✅ Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025 ➡️ รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers ➡️ เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น ✅ JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native ➡️ คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง ➡️ อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ลดพนักงาน ส่งผลสะเทือนถึงโลกของ Linux

    ในปี 2025 Intel ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาไดรเวอร์ใน Linux kernel โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ของ Intel เช่น GPU, Ethernet, และ CPU microcode ที่เคยมีทีมงานเฉพาะดูแลอย่างใกล้ชิด

    การลดทีมงานทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้บั๊ก การทดสอบฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ Intel ที่จะรองรับใน Linux kernel รุ่นถัดไป นอกจากนี้ยังมีไดรเวอร์บางตัวที่ถูกประกาศว่า “orphaned” หรือไม่มีผู้ดูแลแล้ว เช่น Slim Bootloader firmware update driver ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86

    แม้จะมีความกังวล แต่ชุมชน Linux ก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีนักพัฒนาอิสระและบริษัทอื่น ๆ เช่น Red Hat, SUSE, Canonical เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล พร้อมทั้งใช้โครงสร้างแบบ modular และ framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต

    Intel ลดจำนวนพนักงานในปี 2025 ส่งผลต่อการพัฒนา Linux kernel driver
    ส่งผลให้การแก้บั๊กและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า
    กระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของ Intel ใน Linux

    ไดรเวอร์บางตัวถูกประกาศว่า orphaned เช่น Slim Bootloader firmware update driver
    ไม่มีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญเหลืออยู่ในทีม
    อาจส่งผลต่อการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86

    ชุมชน Linux และบริษัทอื่น ๆ เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล
    ใช้กระบวนการ maintainer transition เพื่อเปลี่ยนผู้ดูแล
    บริษัทเช่น Red Hat, SUSE, Canonical มีทีม kernel ของตัวเอง

    Linux kernel มีโครงสร้างแบบ modular ที่ช่วยให้การพัฒนาไม่หยุดชะงัก
    สามารถเปลี่ยนผู้ดูแลหรือปรับโครงสร้างได้ตามสถานการณ์
    มี framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต

    ผู้ใช้ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงใน MAINTAINERS file และ kernel mailing list
    เพื่อรู้ว่าไดรเวอร์ใดเปลี่ยนผู้ดูแล
    ควรทดสอบฮาร์ดแวร์ของตนเองเมื่ออัปเดต kernel

    การลดทีมงานของ Intel อาจทำให้การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า
    ผู้ใช้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel รุ่นใหม่อาจต้องรอนานกว่าจะมีไดรเวอร์ใน kernel
    อาจต้องใช้ kernel รุ่นพิเศษหรือ patch เองในบางกรณี

    ไดรเวอร์ที่ไม่มีผู้ดูแลอาจมีช่องโหว่หรือไม่รองรับ kernel รุ่นใหม่
    เสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือปัญหาด้านความปลอดภัย
    ต้องพึ่งพาชุมชนหรือบริษัทอื่นในการดูแล

    การถอนตัวจากโครงการ Clear Linux แสดงถึงการลดบทบาทของ Intel ในโลก open-source
    อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักพัฒนาและผู้ใช้
    ลดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้น Linux โดยเฉพาะ

    องค์กรที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel ควรพิจารณาการ compile kernel เองเพื่อควบคุมไดรเวอร์
    โดยเฉพาะในระบบ enterprise ที่ต้องการความเสถียรสูง
    ต้องมีทีมเทคนิคที่เข้าใจการจัดการ kernel และ driver

    https://linuxconfig.org/intel-layoffs-impact-linux-kernel-driver-development-what-you-need-to-know
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ลดพนักงาน ส่งผลสะเทือนถึงโลกของ Linux ในปี 2025 Intel ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาไดรเวอร์ใน Linux kernel โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ของ Intel เช่น GPU, Ethernet, และ CPU microcode ที่เคยมีทีมงานเฉพาะดูแลอย่างใกล้ชิด การลดทีมงานทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้บั๊ก การทดสอบฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ Intel ที่จะรองรับใน Linux kernel รุ่นถัดไป นอกจากนี้ยังมีไดรเวอร์บางตัวที่ถูกประกาศว่า “orphaned” หรือไม่มีผู้ดูแลแล้ว เช่น Slim Bootloader firmware update driver ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86 แม้จะมีความกังวล แต่ชุมชน Linux ก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีนักพัฒนาอิสระและบริษัทอื่น ๆ เช่น Red Hat, SUSE, Canonical เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล พร้อมทั้งใช้โครงสร้างแบบ modular และ framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต ✅ Intel ลดจำนวนพนักงานในปี 2025 ส่งผลต่อการพัฒนา Linux kernel driver ➡️ ส่งผลให้การแก้บั๊กและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า ➡️ กระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของ Intel ใน Linux ✅ ไดรเวอร์บางตัวถูกประกาศว่า orphaned เช่น Slim Bootloader firmware update driver ➡️ ไม่มีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญเหลืออยู่ในทีม ➡️ อาจส่งผลต่อการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86 ✅ ชุมชน Linux และบริษัทอื่น ๆ เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล ➡️ ใช้กระบวนการ maintainer transition เพื่อเปลี่ยนผู้ดูแล ➡️ บริษัทเช่น Red Hat, SUSE, Canonical มีทีม kernel ของตัวเอง ✅ Linux kernel มีโครงสร้างแบบ modular ที่ช่วยให้การพัฒนาไม่หยุดชะงัก ➡️ สามารถเปลี่ยนผู้ดูแลหรือปรับโครงสร้างได้ตามสถานการณ์ ➡️ มี framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต ✅ ผู้ใช้ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงใน MAINTAINERS file และ kernel mailing list ➡️ เพื่อรู้ว่าไดรเวอร์ใดเปลี่ยนผู้ดูแล ➡️ ควรทดสอบฮาร์ดแวร์ของตนเองเมื่ออัปเดต kernel ‼️ การลดทีมงานของ Intel อาจทำให้การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel รุ่นใหม่อาจต้องรอนานกว่าจะมีไดรเวอร์ใน kernel ⛔ อาจต้องใช้ kernel รุ่นพิเศษหรือ patch เองในบางกรณี ‼️ ไดรเวอร์ที่ไม่มีผู้ดูแลอาจมีช่องโหว่หรือไม่รองรับ kernel รุ่นใหม่ ⛔ เสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือปัญหาด้านความปลอดภัย ⛔ ต้องพึ่งพาชุมชนหรือบริษัทอื่นในการดูแล ‼️ การถอนตัวจากโครงการ Clear Linux แสดงถึงการลดบทบาทของ Intel ในโลก open-source ⛔ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักพัฒนาและผู้ใช้ ⛔ ลดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้น Linux โดยเฉพาะ ‼️ องค์กรที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel ควรพิจารณาการ compile kernel เองเพื่อควบคุมไดรเวอร์ ⛔ โดยเฉพาะในระบบ enterprise ที่ต้องการความเสถียรสูง ⛔ ต้องมีทีมเทคนิคที่เข้าใจการจัดการ kernel และ driver https://linuxconfig.org/intel-layoffs-impact-linux-kernel-driver-development-what-you-need-to-know
    LINUXCONFIG.ORG
    Intel Layoffs Impact Linux Kernel Driver Development: What You Need to Know
    Intel's workforce reductions may affect Linux kernel drivers, raising concerns over hardware support and compatibility. Discover what this means for development and communities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Stallman ยังคงต่อสู้เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์ แม้ต้องต่อสู้กับโรคร้าย

    ในปี 2025 Stallman ยังคงอยู่ในภาวะ “remission” หรือระยะที่โรคสงบลง และมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี เขายังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ 40 ปีของโครงการ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเน้นประเด็นเรื่อง “อธิปไตยทางคอมพิวเตอร์” และการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ไม่เปิดเผยโค้ด

    แม้การรักษาด้วยเคมีบำบัดจะส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก เช่น การสูญเสียเคราอันเป็นเอกลักษณ์ แต่เขายังคงปรากฏตัวในงานสาธารณะ พร้อมแสดงความหวังว่าจะยังมีบทบาทในขบวนการซอฟต์แวร์เสรีไปอีกหลายปี

    ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคำพูดและพฤติกรรมในอดีตของเขา ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่า “ควรแยกผลงานออกจากตัวบุคคลหรือไม่”

    Stallman อยู่ในภาวะ remission จากโรค follicular lymphoma และมีแนวโน้มฟื้นตัวดี
    เป็นมะเร็งชนิดไม่รุนแรงและตอบสนองต่อการรักษา
    เขาระมัดระวังเรื่องการสัมผัส COVID-19 เป็นพิเศษ

    ยังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัย
    ล่าสุดบรรยายที่ Politecnico di Milano เรื่องอธิปไตยทางคอมพิวเตอร์
    เน้นการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ควบคุมโดยบริษัทเอกชน

    ยังคงแสดงจุดยืนทางการเมืองและปรัชญา แม้จะอยู่ระหว่างการฟื้นตัว
    เช่น การวิจารณ์ Microsoft และ Apple เรื่องความปลอดภัย
    ย้ำว่ารัฐไม่ควรใช้ซอฟต์แวร์ proprietary ในงานราชการ

    ชุมชนผู้ใช้ซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจและสนับสนุนการฟื้นตัวของเขา
    มีการพูดถึงในฟอรัมและโพสต์แสดงความห่วงใย
    ยกย่องความมุ่งมั่นในการทำงานแม้มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ

    Stallman ยังคงมีบทบาทในโครงการ GNU และ Free Software Foundation
    มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงปรัชญาและเทคนิค
    ยังแก้ไขบทความและเอกสารในเว็บไซต์ GNU อย่างต่อเนื่อง

    https://linuxconfig.org/richard-stallman-ongoing-recovery-and-continued-advocacy-in-2025
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Stallman ยังคงต่อสู้เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์ แม้ต้องต่อสู้กับโรคร้าย ในปี 2025 Stallman ยังคงอยู่ในภาวะ “remission” หรือระยะที่โรคสงบลง และมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี เขายังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ 40 ปีของโครงการ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเน้นประเด็นเรื่อง “อธิปไตยทางคอมพิวเตอร์” และการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ไม่เปิดเผยโค้ด แม้การรักษาด้วยเคมีบำบัดจะส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก เช่น การสูญเสียเคราอันเป็นเอกลักษณ์ แต่เขายังคงปรากฏตัวในงานสาธารณะ พร้อมแสดงความหวังว่าจะยังมีบทบาทในขบวนการซอฟต์แวร์เสรีไปอีกหลายปี ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคำพูดและพฤติกรรมในอดีตของเขา ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่า “ควรแยกผลงานออกจากตัวบุคคลหรือไม่” ✅ Stallman อยู่ในภาวะ remission จากโรค follicular lymphoma และมีแนวโน้มฟื้นตัวดี ➡️ เป็นมะเร็งชนิดไม่รุนแรงและตอบสนองต่อการรักษา ➡️ เขาระมัดระวังเรื่องการสัมผัส COVID-19 เป็นพิเศษ ✅ ยังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัย ➡️ ล่าสุดบรรยายที่ Politecnico di Milano เรื่องอธิปไตยทางคอมพิวเตอร์ ➡️ เน้นการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ควบคุมโดยบริษัทเอกชน ✅ ยังคงแสดงจุดยืนทางการเมืองและปรัชญา แม้จะอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ➡️ เช่น การวิจารณ์ Microsoft และ Apple เรื่องความปลอดภัย ➡️ ย้ำว่ารัฐไม่ควรใช้ซอฟต์แวร์ proprietary ในงานราชการ ✅ ชุมชนผู้ใช้ซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจและสนับสนุนการฟื้นตัวของเขา ➡️ มีการพูดถึงในฟอรัมและโพสต์แสดงความห่วงใย ➡️ ยกย่องความมุ่งมั่นในการทำงานแม้มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ ✅ Stallman ยังคงมีบทบาทในโครงการ GNU และ Free Software Foundation ➡️ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงปรัชญาและเทคนิค ➡️ ยังแก้ไขบทความและเอกสารในเว็บไซต์ GNU อย่างต่อเนื่อง https://linuxconfig.org/richard-stallman-ongoing-recovery-and-continued-advocacy-in-2025
    LINUXCONFIG.ORG
    Richard Stallman: Ongoing Recovery and Continued Advocacy in 2025
    Richard Stallman, founder of the GNU Project, remains in remission from follicular lymphoma as of July 2025. Despite health challenges, he continues his advocacy for free software, managing his condition while influencing community discussions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • สาวเขมรไม่ทน แฉความระยำฮุน ฮุนเซนวีนแตกถึงกับตาม “ล่า”ตัว (3/8/68)
    Cambodian woman fights back, exposing Hun’s vile deeds — Hun Sen lashes out, launching a manhunt.

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #กัมพูชายิงก่อน
    #เสียงจากเขมร
    #CambodianDeception
    #News1 #Shorts
    สาวเขมรไม่ทน แฉความระยำฮุน ฮุนเซนวีนแตกถึงกับตาม “ล่า”ตัว (3/8/68) Cambodian woman fights back, exposing Hun’s vile deeds — Hun Sen lashes out, launching a manhunt. #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #กัมพูชายิงก่อน #เสียงจากเขมร #CambodianDeception #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น

    ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม

    MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning

    นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens

    MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน
    มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์

    รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning
    ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่
    ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา

    สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens
    เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว
    ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB

    รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ
    เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp
    ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid

    สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub
    รองรับ Windows และ macOS
    เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป

    การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ
    ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน

    การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน
    ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้
    ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง

    การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน
    เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU
    ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง

    การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง
    อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง
    ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้

    https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens ✅ MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน ➡️ มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์ ✅ รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning ➡️ ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่ ➡️ ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา ✅ สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens ➡️ เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว ➡️ ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB ✅ รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ ➡️ เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp ➡️ ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid ✅ สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub ➡️ รองรับ Windows และ macOS ➡️ เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป ‼️ การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ ⛔ ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน ‼️ การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน ⛔ ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้ ⛔ ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง ‼️ การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน ⛔ เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU ⛔ ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง ‼️ การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง ⛔ อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง ⛔ ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเคอร์เนล: เมื่อ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับงานลับสุดยอด

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ได้เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยี Secure Encrypted Virtualization (SEV) และ Virtual Trusted Platform Module (vTPM) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและแยกออกจากระบบโฮสต์โดยสิ้นเชิง

    vTPM คือ TPM แบบเสมือนที่ทำงานภายใน VM โดยถูกเข้ารหัสและแยกออกจาก hypervisor ด้วยเทคโนโลยี SEV-SNP ของ AMD ทำให้สามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Secure Boot, Measured Boot และ Remote Attestation ได้อย่างปลอดภัยในระบบคลาวด์หรือองค์กรที่ต้องการความมั่นคงสูง

    ฟีเจอร์นี้เหมาะกับองค์กรในภาคการเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ที่ต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกเข้าถึงโดยผู้ให้บริการคลาวด์หรือระบบโฮสต์ที่ไม่ไว้วางใจ

    Linux Kernel 6.16 เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์
    รองรับการสร้าง vTPM ภายใน VM ที่ถูกเข้ารหัสด้วย SEV-SNP
    ใช้โปรโตคอลจาก AMD SVSM spec เพื่อให้ guest OS ติดต่อกับ vTPM ได้

    vTPM ทำงานในหน่วยความจำที่ถูกแยกและเข้ารหัสโดยฮาร์ดแวร์
    ป้องกันการเข้าถึงจาก hypervisor และ guest OS
    รองรับ TPM 2.0 เต็มรูปแบบ เช่น PCRs และการเข้ารหัสคีย์

    รองรับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของระบบ (attestation) และ Secure Boot
    เหมาะกับการใช้งานใน Zero Trust Architecture
    ช่วยให้มั่นใจว่า VM ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจริง

    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น การเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ
    รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัส
    ลดการพึ่งพาเฟิร์มแวร์หรือ TPM แบบ proprietary

    สามารถใช้งานร่วมกับ hypervisor อย่าง KVM และเครื่องมือจัดการ VM บน Linux
    รองรับการตั้งค่า kernel เช่น CONFIG_TCG_SVSM=y
    มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบสถานะการเข้ารหัสและการทำงานของ vTPM

    การใช้งาน vTPM ต้องมีการตั้งค่าฮาร์ดแวร์และ BIOS ที่รองรับ SEV-SNP
    หาก CPU หรือ BIOS ไม่รองรับ จะไม่สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้
    ต้องตรวจสอบว่าเปิดใช้งาน Secure Memory Encryption แล้ว

    การเข้ารหัสและการตรวจสอบแบบฮาร์ดแวร์อาจเพิ่มภาระการประมวลผล
    มี overhead ด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน workload ที่ใช้ vTPM หนัก
    ต้องวางแผนการจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ

    การตั้งค่า kernel และการคอมไพล์ต้องแม่นยำเพื่อให้ vTPM ทำงานได้สมบูรณ์
    ต้องเปิดใช้งานโมดูลที่เกี่ยวข้อง เช่น CONFIG_KVM_AMD_SEV
    หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ VM ไม่สามารถบูตหรือใช้งาน vTPM ได้

    การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (attestation) ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและการทดสอบอย่างละเอียด
    ต้องใช้ AMD SEV tools และ kernel boot parameters เช่น amd_sev.debug=1
    หากไม่ตรวจสอบอย่างถูกต้อง อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    https://linuxconfig.org/comprehensive-amd-sev-vtpm-support-in-linux-kernel-6-16-enhances-confidential-computing
    🔐 เรื่องเล่าจากเคอร์เนล: เมื่อ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับงานลับสุดยอด ในเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ได้เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยี Secure Encrypted Virtualization (SEV) และ Virtual Trusted Platform Module (vTPM) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและแยกออกจากระบบโฮสต์โดยสิ้นเชิง vTPM คือ TPM แบบเสมือนที่ทำงานภายใน VM โดยถูกเข้ารหัสและแยกออกจาก hypervisor ด้วยเทคโนโลยี SEV-SNP ของ AMD ทำให้สามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Secure Boot, Measured Boot และ Remote Attestation ได้อย่างปลอดภัยในระบบคลาวด์หรือองค์กรที่ต้องการความมั่นคงสูง ฟีเจอร์นี้เหมาะกับองค์กรในภาคการเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ที่ต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกเข้าถึงโดยผู้ให้บริการคลาวด์หรือระบบโฮสต์ที่ไม่ไว้วางใจ ✅ Linux Kernel 6.16 เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ➡️ รองรับการสร้าง vTPM ภายใน VM ที่ถูกเข้ารหัสด้วย SEV-SNP ➡️ ใช้โปรโตคอลจาก AMD SVSM spec เพื่อให้ guest OS ติดต่อกับ vTPM ได้ ✅ vTPM ทำงานในหน่วยความจำที่ถูกแยกและเข้ารหัสโดยฮาร์ดแวร์ ➡️ ป้องกันการเข้าถึงจาก hypervisor และ guest OS ➡️ รองรับ TPM 2.0 เต็มรูปแบบ เช่น PCRs และการเข้ารหัสคีย์ ✅ รองรับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของระบบ (attestation) และ Secure Boot ➡️ เหมาะกับการใช้งานใน Zero Trust Architecture ➡️ ช่วยให้มั่นใจว่า VM ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจริง ✅ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น การเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ➡️ รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัส ➡️ ลดการพึ่งพาเฟิร์มแวร์หรือ TPM แบบ proprietary ✅ สามารถใช้งานร่วมกับ hypervisor อย่าง KVM และเครื่องมือจัดการ VM บน Linux ➡️ รองรับการตั้งค่า kernel เช่น CONFIG_TCG_SVSM=y ➡️ มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบสถานะการเข้ารหัสและการทำงานของ vTPM ‼️ การใช้งาน vTPM ต้องมีการตั้งค่าฮาร์ดแวร์และ BIOS ที่รองรับ SEV-SNP ⛔ หาก CPU หรือ BIOS ไม่รองรับ จะไม่สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ ⛔ ต้องตรวจสอบว่าเปิดใช้งาน Secure Memory Encryption แล้ว ‼️ การเข้ารหัสและการตรวจสอบแบบฮาร์ดแวร์อาจเพิ่มภาระการประมวลผล ⛔ มี overhead ด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน workload ที่ใช้ vTPM หนัก ⛔ ต้องวางแผนการจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ ‼️ การตั้งค่า kernel และการคอมไพล์ต้องแม่นยำเพื่อให้ vTPM ทำงานได้สมบูรณ์ ⛔ ต้องเปิดใช้งานโมดูลที่เกี่ยวข้อง เช่น CONFIG_KVM_AMD_SEV ⛔ หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ VM ไม่สามารถบูตหรือใช้งาน vTPM ได้ ‼️ การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (attestation) ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและการทดสอบอย่างละเอียด ⛔ ต้องใช้ AMD SEV tools และ kernel boot parameters เช่น amd_sev.debug=1 ⛔ หากไม่ตรวจสอบอย่างถูกต้อง อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย https://linuxconfig.org/comprehensive-amd-sev-vtpm-support-in-linux-kernel-6-16-enhances-confidential-computing
    LINUXCONFIG.ORG
    Comprehensive AMD SEV vTPM Support in Linux Kernel 6.16 Enhances Confidential Computing
    Linux kernel 6.16 introduces comprehensive AMD SEV vTPM support, enhancing virtual machine security and confidential computing capabilities with hardware-backed attestation and secure boot verification.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • Statement from the Thai People to the International Community
    (แถลงการณ์ประชาชนไทยสู่ประชาคมโลก แปล 4 ภาษา) [28/7/68]

    #แถลงการณ์ประชาชนไทย #สู่ประชาคมโลก #StatementFromThailand #เสียงคนไทยต้องได้ยิน #Savethailand #ThailandSpeaksToTheWorld #แปล4ภาษา #CallForTruth #FightForJustice
    #ข่าวดัง #ข่าวต่างประเทศ #ศึกไทยเขมร
    #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaOpensFireFirst #thaitimes #news1 #shorts
    Statement from the Thai People to the International Community (แถลงการณ์ประชาชนไทยสู่ประชาคมโลก แปล 4 ภาษา) [28/7/68] #แถลงการณ์ประชาชนไทย #สู่ประชาคมโลก #StatementFromThailand #เสียงคนไทยต้องได้ยิน #Savethailand #ThailandSpeaksToTheWorld #แปล4ภาษา #CallForTruth #FightForJustice #ข่าวดัง #ข่าวต่างประเทศ #ศึกไทยเขมร #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 #カンボジアが先に発砲 #캄보디아가먼저발포 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaOpensFireFirst #thaitimes #news1 #shorts
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records **

    In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services.

    What's Apna Khata Bhulekh?

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation.

    These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection.

    ---

    crucial Features of Apna Khata Bhulekh

    1. ** Ease of Access **
    druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details.

    2. ** translucency **
    With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced.

    3. ** Time- Saving **
    before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles.

    4. ** Legal mileage **
    These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases.

    5. ** Map Access **
    druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots.

    ---

    How to Access Apna Khata Bhulekh Online

    Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same

    1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state.
    2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **.
    3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **.
    4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record.

    For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in).

    ---

    Benefits to Farmers and Coproprietors

    * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents.
    * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button.
    * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals.

    ---

    Challenges and the Way Forward

    While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity.

    To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated.

    ---

    Conclusion

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com

    ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records ** In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services. What's Apna Khata Bhulekh? “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation. These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection. --- crucial Features of Apna Khata Bhulekh 1. ** Ease of Access ** druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details. 2. ** translucency ** With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced. 3. ** Time- Saving ** before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles. 4. ** Legal mileage ** These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases. 5. ** Map Access ** druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots. --- How to Access Apna Khata Bhulekh Online Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same 1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state. 2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **. 3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **. 4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record. For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in). --- Benefits to Farmers and Coproprietors * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents. * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button. * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals. --- Challenges and the Way Forward While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity. To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated. --- Conclusion “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์

    เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ

    หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง:
    - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP
    - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\
    - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต
    - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm)

    ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ

    แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่
    ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party

    XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ
    ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB

    ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\
    เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว

    Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน
    ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์

    บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก
    ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย

    ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR
    เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear
    แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท

    บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ
    อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว

    XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB
    อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว

    การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง
    อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต

    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท
    ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที

    https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง: - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\ - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm) ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ✅ Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่ ➡️ ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party ✅ XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ ➡️ ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB ✅ ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\ ➡️ เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว ✅ Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน ➡️ ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์ ✅ บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก ➡️ ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย ✅ ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR ➡️ เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ‼️ ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear ⛔ แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท ‼️ บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ ⛔ อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว ‼️ XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB ⛔ อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว ‼️ การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง ⛔ อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท ⛔ ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Malware found in Endgame's mouse config utility
    Endgame Gear recently distributed a malicious software package bundled with the official configuration tool for its OP1w 4K V2 wireless gaming mouse. Customers discovered the issue the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังของ AI ที่เชื่อมต่อทุกอย่าง: เมื่อ MCP กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ของโลก agentic AI

    MCP ทำหน้าที่คล้าย API โดยเป็นตัวกลางระหว่าง AI agent กับแหล่งข้อมูล เช่น PayPal, Zapier, Shopify หรือระบบภายในองค์กร เพื่อให้ AI ดึงข้อมูลหรือสั่งงานได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อเอง

    แต่การเปิด MCP server โดยไม่ระวัง อาจทำให้เกิดช่องโหว่ร้ายแรง เช่น:
    - การเข้าถึงข้อมูลข้าม tenant
    - การโจมตีแบบ prompt injection ที่แฝงมากับคำขอจากผู้ใช้
    - การใช้ MCP server ปลอมที่มีคำสั่งอันตรายฝังอยู่
    - การขโมย token และ takeover บัญชี
    - การใช้ MCP server ที่เชื่อมต่อกันแบบ “composability chaining” เพื่อหลบการตรวจจับ

    นักวิจัยจากหลายองค์กร เช่น UpGuard, Invariant Labs, CyberArk และ Palo Alto Networks ได้แสดงตัวอย่างการโจมตีจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และเตือนว่าองค์กรต้องมีมาตรการป้องกัน เช่น:
    - ตรวจสอบ source ของ MCP server
    - ใช้ least privilege และ human-in-the-loop
    - ตรวจสอบข้อความที่ส่งไปยัง LLM อย่างละเอียด
    - ไม่เปิด MCP server ให้ใช้งานภายนอกโดยไม่มีการยืนยันตัวตน

    10 อันดับช่องโหว่ของ MCP ที่องค์กรต้องระวัง
    1. Cross-tenant data exposure
    ผู้ใช้จาก tenant หนึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลของ tenant อื่นได้ หากไม่มีการแยกสิทธิ์อย่างชัดเจน
    ข้อมูลภายในองค์กรอาจรั่วไปยังลูกค้า หรือพันธมิตรโดยไม่ตั้งใจ
    ต้องใช้การแยก tenant และ least privilege อย่างเข้มงวด

    2. Living off AI attacks
    แฮกเกอร์แฝง prompt injection ในคำขอที่ดู harmless แล้วส่งผ่านมนุษย์ไปยัง AI agent
    AI อาจรันคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว
    ต้องมีการตรวจสอบข้อความก่อนส่งไปยัง LLM และใช้ human-in-the-loop

    3. Tool poisoning
    MCP server ปลอมอาจมีคำสั่งอันตรายฝังใน metadata เช่น function name หรือ error message
    การติดตั้ง server โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาเสี่ยงต่อการโดน “rug pull”
    ต้องตรวจสอบ source, permissions และ source code ก่อนใช้งาน

    4. Toxic agent flows via trusted platforms
    ใช้แพลตฟอร์มที่ดูปลอดภัย เช่น GitHub เป็นช่องทางแฝง prompt injection
    AI agent อาจรันคำสั่งจาก public repo โดยไม่รู้ว่ามีคำสั่งอันตราย
    ต้องมีการยืนยัน tool call และตรวจสอบข้อความจากแหล่งภายนอก

    5. Token theft and account takeover
    หาก token ถูกเก็บแบบไม่เข้ารหัสใน config file อาจถูกขโมยและใช้สร้าง MCP server ปลอม
    การเข้าถึง Gmail หรือระบบอื่นผ่าน token จะไม่ถูกตรวจจับว่าเป็นการ login ผิดปกติ
    ต้องเข้ารหัส token และตรวจสอบการใช้งาน API อย่างสม่ำเสมอ

    6. Composability chaining
    MCP server ปลอมอาจเชื่อมต่อกับ server อื่นที่มีคำสั่งอันตราย แล้วรวมผลลัพธ์ส่งให้ AI
    แม้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับ server ปลอมโดยตรง ก็ยังถูกโจมตีได้
    ต้องตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ MCP server ใช้ และจำกัดการเชื่อมต่อแบบ chain

    7. User consent fatigue
    ผู้ใช้ถูกขออนุมัติหลายครั้งจนเริ่มกด “อนุมัติ” โดยไม่อ่าน
    คำขออันตรายอาจแฝงมากับคำขอ harmless
    ต้องออกแบบระบบอนุมัติให้มี context และจำกัดคำขอซ้ำซ้อน

    8. Admin bypass
    MCP server ไม่ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ ทำให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์
    อาจเกิดจาก insider หรือผู้ใช้ภายนอกที่เข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ทุกคำขอ และจำกัดการเข้าถึงตาม role

    9. Command injection
    MCP server ส่ง input ไปยังระบบอื่นโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้เกิดการ inject คำสั่ง
    คล้าย SQL injection แต่เกิดในระบบ AI agent
    ต้องใช้ input validation และ parameterized commands

    10. Tool shadowing
    MCP server ปลอม redirect ข้อมูลจาก server จริงไปยังผู้โจมตี
    การโจมตีอาจไม่ปรากฏใน audit log และตรวจจับได้ยาก
    ต้องตรวจสอบการใช้งานของ AI agent และจำกัดการเข้าถึง MCP หลายตัวพร้อมกัน

    https://www.csoonline.com/article/4023795/top-10-mcp-vulnerabilities.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังของ AI ที่เชื่อมต่อทุกอย่าง: เมื่อ MCP กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ของโลก agentic AI MCP ทำหน้าที่คล้าย API โดยเป็นตัวกลางระหว่าง AI agent กับแหล่งข้อมูล เช่น PayPal, Zapier, Shopify หรือระบบภายในองค์กร เพื่อให้ AI ดึงข้อมูลหรือสั่งงานได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อเอง แต่การเปิด MCP server โดยไม่ระวัง อาจทำให้เกิดช่องโหว่ร้ายแรง เช่น: - การเข้าถึงข้อมูลข้าม tenant - การโจมตีแบบ prompt injection ที่แฝงมากับคำขอจากผู้ใช้ - การใช้ MCP server ปลอมที่มีคำสั่งอันตรายฝังอยู่ - การขโมย token และ takeover บัญชี - การใช้ MCP server ที่เชื่อมต่อกันแบบ “composability chaining” เพื่อหลบการตรวจจับ นักวิจัยจากหลายองค์กร เช่น UpGuard, Invariant Labs, CyberArk และ Palo Alto Networks ได้แสดงตัวอย่างการโจมตีจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และเตือนว่าองค์กรต้องมีมาตรการป้องกัน เช่น: - ตรวจสอบ source ของ MCP server - ใช้ least privilege และ human-in-the-loop - ตรวจสอบข้อความที่ส่งไปยัง LLM อย่างละเอียด - ไม่เปิด MCP server ให้ใช้งานภายนอกโดยไม่มีการยืนยันตัวตน 🧠 10 อันดับช่องโหว่ของ MCP ที่องค์กรต้องระวัง 1. ✅ Cross-tenant data exposure ➡️ ผู้ใช้จาก tenant หนึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลของ tenant อื่นได้ หากไม่มีการแยกสิทธิ์อย่างชัดเจน ‼️ ข้อมูลภายในองค์กรอาจรั่วไปยังลูกค้า หรือพันธมิตรโดยไม่ตั้งใจ ⛔ ต้องใช้การแยก tenant และ least privilege อย่างเข้มงวด 2. ✅ Living off AI attacks ➡️ แฮกเกอร์แฝง prompt injection ในคำขอที่ดู harmless แล้วส่งผ่านมนุษย์ไปยัง AI agent ‼️ AI อาจรันคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว ⛔ ต้องมีการตรวจสอบข้อความก่อนส่งไปยัง LLM และใช้ human-in-the-loop 3. ✅ Tool poisoning ➡️ MCP server ปลอมอาจมีคำสั่งอันตรายฝังใน metadata เช่น function name หรือ error message ‼️ การติดตั้ง server โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มาเสี่ยงต่อการโดน “rug pull” ⛔ ต้องตรวจสอบ source, permissions และ source code ก่อนใช้งาน 4. ✅ Toxic agent flows via trusted platforms ➡️ ใช้แพลตฟอร์มที่ดูปลอดภัย เช่น GitHub เป็นช่องทางแฝง prompt injection ‼️ AI agent อาจรันคำสั่งจาก public repo โดยไม่รู้ว่ามีคำสั่งอันตราย ⛔ ต้องมีการยืนยัน tool call และตรวจสอบข้อความจากแหล่งภายนอก 5. ✅ Token theft and account takeover ➡️ หาก token ถูกเก็บแบบไม่เข้ารหัสใน config file อาจถูกขโมยและใช้สร้าง MCP server ปลอม ‼️ การเข้าถึง Gmail หรือระบบอื่นผ่าน token จะไม่ถูกตรวจจับว่าเป็นการ login ผิดปกติ ⛔ ต้องเข้ารหัส token และตรวจสอบการใช้งาน API อย่างสม่ำเสมอ 6. ✅ Composability chaining ➡️ MCP server ปลอมอาจเชื่อมต่อกับ server อื่นที่มีคำสั่งอันตราย แล้วรวมผลลัพธ์ส่งให้ AI ‼️ แม้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับ server ปลอมโดยตรง ก็ยังถูกโจมตีได้ ⛔ ต้องตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ MCP server ใช้ และจำกัดการเชื่อมต่อแบบ chain 7. ✅ User consent fatigue ➡️ ผู้ใช้ถูกขออนุมัติหลายครั้งจนเริ่มกด “อนุมัติ” โดยไม่อ่าน ‼️ คำขออันตรายอาจแฝงมากับคำขอ harmless ⛔ ต้องออกแบบระบบอนุมัติให้มี context และจำกัดคำขอซ้ำซ้อน 8. ✅ Admin bypass ➡️ MCP server ไม่ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ ทำให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์ ‼️ อาจเกิดจาก insider หรือผู้ใช้ภายนอกที่เข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ⛔ ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ทุกคำขอ และจำกัดการเข้าถึงตาม role 9. ✅ Command injection ➡️ MCP server ส่ง input ไปยังระบบอื่นโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้เกิดการ inject คำสั่ง ‼️ คล้าย SQL injection แต่เกิดในระบบ AI agent ⛔ ต้องใช้ input validation และ parameterized commands 10. ✅ Tool shadowing ➡️ MCP server ปลอม redirect ข้อมูลจาก server จริงไปยังผู้โจมตี ‼️ การโจมตีอาจไม่ปรากฏใน audit log และตรวจจับได้ยาก ⛔ ต้องตรวจสอบการใช้งานของ AI agent และจำกัดการเข้าถึง MCP หลายตัวพร้อมกัน https://www.csoonline.com/article/4023795/top-10-mcp-vulnerabilities.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Top 10 MCP vulnerabilities: The hidden risks of AI integrations
    Model Context Protocol (MCP) use is increasing in popularity for connecting AI agents to data sources, and other services. But so too are vulnerabilities that bring unique risks to agentic systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elegant Siamese fighting fish sculpture.
    Elegant Siamese fighting fish sculpture.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากม็อดเกม: FSR 4 ไม่ต้องรอ AMD แล้ว ใช้ได้เลยด้วย OptiScaler

    ก่อนหน้านี้ FSR 4 ของ AMD ยังถูกจำกัดมาก:
    - มีเกมรองรับโดยตรงเพียง ~65 เกม และส่วนใหญ่เป็นเกมเล็ก ๆ
    - ใช้ได้เฉพาะบน GPU RX 9000 ที่มี AI accelerator เฉพาะ
    - ไม่รองรับ Vulkan API หรือเกมที่มีระบบ anti-cheat เข้มงวด

    แต่ OptiScaler (ชื่อเดิม CyberXeSS) ซึ่งเป็นเครื่องมือของชุมชน ได้พัฒนาให้:
    - รองรับการ "อัปเกรด" จาก FSR 2 หรือ DLSS มาเป็น FSR 4
    - แถมยังปรับใช้ระบบ frame generation และ anti-lag เหมือน Nvidia Reflex ได้
    - ใช้ได้กับ DLSS 2, XeSS, หรือ FSR รุ่นเก่า เพียงมีการติดตั้ง config เพิ่มเติม

    ระบบนี้จะไม่เปลี่ยนตัวเกมโดยตรง แต่จะวาง FSR 4 เข้ากับไฟล์อัปสเกลที่มีอยู่ แล้วทำการปรับจูนผ่าน DLL และการตั้งค่าระบบกราฟิก — ต้องอาศัยการจัดการไฟล์ด้วยตัวเองในแต่ละเกม

    OptiScaler รองรับการแปลงอัปสเกลเก่ามาใช้กับ FSR 4 ได้
    เช่น FSR 2 หรือ DLSS 2 ในเกมสามารถเปลี่ยนมาใช้ FSR 4 โดยไม่แก้ไขโค้ดของเกม

    สามารถใช้ FSR 4 ได้ในเกมที่ไม่มีการรองรับแบบ native
    แม้ AMD ยังไม่โปรโมตเต็มตัว แต่เครื่องมือชุมชนเปิดให้ใช้งานได้แล้ว

    OptiScaler รองรับฟีเจอร์เสริม เช่น frame-gen และ anti-lag
    ให้ความรู้สึกคล้าย Nvidia Reflex หรือ DLSS Frame Generation

    ต้องใช้การติดตั้งแบบ manual โดยการวางไฟล์ FSR 4 ลงใน directory ของเกม
    ไม่ใช่การเปิด toggle แบบ GUI ต้องเข้าไปแก้ไฟล์ config ด้วยตัวเอง

    GPU ที่ต้องใช้คือ RX 9000-series ซึ่งมีตัวเร่ง AI (AI accelerator) สำหรับ FSR 4
    การใช้งานขึ้นกับ hardware ด้วย ไม่ใช่แค่ software

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-fsr-4-gets-a-big-boost-in-compatibility-as-optiscaler-now-supports-upconverting-any-modern-upscaler-to-fsr-4-with-frame-gen-as-long-as-the-game-isnt-vulkan-based-or-has-anti-cheat
    🎙️ เรื่องเล่าจากม็อดเกม: FSR 4 ไม่ต้องรอ AMD แล้ว ใช้ได้เลยด้วย OptiScaler ก่อนหน้านี้ FSR 4 ของ AMD ยังถูกจำกัดมาก: - มีเกมรองรับโดยตรงเพียง ~65 เกม และส่วนใหญ่เป็นเกมเล็ก ๆ - ใช้ได้เฉพาะบน GPU RX 9000 ที่มี AI accelerator เฉพาะ - ไม่รองรับ Vulkan API หรือเกมที่มีระบบ anti-cheat เข้มงวด แต่ OptiScaler (ชื่อเดิม CyberXeSS) ซึ่งเป็นเครื่องมือของชุมชน ได้พัฒนาให้: - รองรับการ "อัปเกรด" จาก FSR 2 หรือ DLSS มาเป็น FSR 4 - แถมยังปรับใช้ระบบ frame generation และ anti-lag เหมือน Nvidia Reflex ได้ - ใช้ได้กับ DLSS 2, XeSS, หรือ FSR รุ่นเก่า เพียงมีการติดตั้ง config เพิ่มเติม ระบบนี้จะไม่เปลี่ยนตัวเกมโดยตรง แต่จะวาง FSR 4 เข้ากับไฟล์อัปสเกลที่มีอยู่ แล้วทำการปรับจูนผ่าน DLL และการตั้งค่าระบบกราฟิก — ต้องอาศัยการจัดการไฟล์ด้วยตัวเองในแต่ละเกม ✅ OptiScaler รองรับการแปลงอัปสเกลเก่ามาใช้กับ FSR 4 ได้ ➡️ เช่น FSR 2 หรือ DLSS 2 ในเกมสามารถเปลี่ยนมาใช้ FSR 4 โดยไม่แก้ไขโค้ดของเกม ✅ สามารถใช้ FSR 4 ได้ในเกมที่ไม่มีการรองรับแบบ native ➡️ แม้ AMD ยังไม่โปรโมตเต็มตัว แต่เครื่องมือชุมชนเปิดให้ใช้งานได้แล้ว ✅ OptiScaler รองรับฟีเจอร์เสริม เช่น frame-gen และ anti-lag ➡️ ให้ความรู้สึกคล้าย Nvidia Reflex หรือ DLSS Frame Generation ✅ ต้องใช้การติดตั้งแบบ manual โดยการวางไฟล์ FSR 4 ลงใน directory ของเกม ➡️ ไม่ใช่การเปิด toggle แบบ GUI ต้องเข้าไปแก้ไฟล์ config ด้วยตัวเอง ✅ GPU ที่ต้องใช้คือ RX 9000-series ซึ่งมีตัวเร่ง AI (AI accelerator) สำหรับ FSR 4 ➡️ การใช้งานขึ้นกับ hardware ด้วย ไม่ใช่แค่ software https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-fsr-4-gets-a-big-boost-in-compatibility-as-optiscaler-now-supports-upconverting-any-modern-upscaler-to-fsr-4-with-frame-gen-as-long-as-the-game-isnt-vulkan-based-or-has-anti-cheat
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก Open Source: เมื่อ Linux เวอร์ชันแรงสุดจาก Intel ถูกปลดจากสายพาน

    Clear Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่ Intel ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเร่ง performance แบบ out-of-the-box โดยมีฟีเจอร์ระดับสูงที่ระบบอื่นไม่กล้าใช้ เช่น:
    - ใช้ compiler flags แบบ aggressive (ทั้ง GCC และ Clang)
    - ทำ PGO (Profile-Guided Optimization) และ LTO (Link-Time Optimization) ทั่วทั้งระบบ
    - kernel ถูกปรับแต่งเพื่อใช้ CPU แบบ multi-threading เต็มที่
    - ปรับใช้งาน AVX2, AVX-512 และเทคโนโลยีอย่าง Optane ตั้งแต่วันแรก
    - มี clr-boot-manager สำหรับอัปเดต kernel แบบเร็ว

    ผลลัพธ์คือ Clear Linux มักจะชนะ benchmark ด้านประสิทธิภาพทั้งในงาน build, render และ scientific computing — แม้ใช้บน AMD ก็ตาม!

    แต่ด้วยนโยบายลดต้นทุนของ Intel บริษัทเริ่มตัดคนและทีม software ออกจำนวนมาก — ส่งผลให้ Clear Linux ถูก “พักถาวร” โดยไม่มีแพตช์ความปลอดภัยหรืออัปเดตใหม่อีก

    นักพัฒนา Linux หลายคนแสดงความเสียดาย เพราะฟีเจอร์และแนวคิดของ Clear Linux เริ่มถูกนำไปใช้ใน distro อื่น ๆ แล้ว เช่น CachyOS และบางส่วนใน Arch-based รุ่นใหม่

    Intel ประกาศหยุดพัฒนา Clear Linux อย่างเป็นทางการ
    ไม่มีแพตช์ ไม่มีอัปเดตความปลอดภัย และ archive repo บน GitHub เป็นแบบ read-only

    Clear Linux มีจุดเด่นคือเร่ง performance ตั้งแต่แกนระบบ
    ใช้ toolchain ใหม่สุด, flags รุนแรง, และ optimization เชิงลึก เช่น PGO/LTO

    ทำงานดีทั้งบน Intel และ AMD แม้จะออกแบบมาเพื่อ Intel โดยตรง
    เป็น distro เดียวที่ “แรงสุด” ในหลาย benchmark แบบไม่ต้องปรับแต่งเอง

    ฟีเจอร์เด่นคือ clr-boot-manager และระบบจัดการ kernel ที่เร็วมาก
    เหมาะกับ developer และงาน HPC ที่ต้องใช้ kernel ใหม่อยู่ตลอด

    ระบบใช้ได้ดีใน workload ที่เน้น CPU, I/O, memory และ multithreading
    เป็นที่นิยมในกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และการ render แบบหนัก ๆ

    Intel จะยังคงสนับสนุน Linux ผ่าน upstream และ distro หลักอื่น ๆ
    เช่น Fedora, Ubuntu หรือโครงการ kernel โดยตรง

    CachyOS และ distro อื่น ๆ เริ่มนำ optimization ของ Clear Linux ไปใช้งาน
    แสดงว่าเทคโนโลยียังมีชีวิตอยู่ใน ecosystem แม้ต้นฉบับจะเลิกทำแล้ว

    ผู้ใช้ Clear Linux ควรวางแผนย้ายออกทันที
    หากไม่ย้ายจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีแพตช์ใหม่

    ระบบที่ยัง deploy ด้วย Clear Linux อาจเจอปัญหาความเข้ากันในอนาคต
    library หรือ driver ใหม่อาจไม่รองรับ โดยไม่มีทีมดูแลให้

    ฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Intel โดยตรง เช่น AVX-512 อาจใช้งานยากขึ้นใน distro อื่น
    ต้องปรับแต่งเองหรือเขียน config เพื่อให้ทำงานแบบที่ Clear Linux เคยทำ

    การหยุดพัฒนาอาจเป็นสัญญาณว่า Intel ลดบทบาทในด้าน software ecosystem
    ส่งผลต่อความเร็วของ innovation ด้าน HPC และ AI บน Linux

    https://www.tomshardware.com/software/linux/intel-axes-clear-linux-the-fastest-distribution-on-the-market-company-ends-support-effective-immediately
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Open Source: เมื่อ Linux เวอร์ชันแรงสุดจาก Intel ถูกปลดจากสายพาน Clear Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่ Intel ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเร่ง performance แบบ out-of-the-box โดยมีฟีเจอร์ระดับสูงที่ระบบอื่นไม่กล้าใช้ เช่น: - ใช้ compiler flags แบบ aggressive (ทั้ง GCC และ Clang) - ทำ PGO (Profile-Guided Optimization) และ LTO (Link-Time Optimization) ทั่วทั้งระบบ - kernel ถูกปรับแต่งเพื่อใช้ CPU แบบ multi-threading เต็มที่ - ปรับใช้งาน AVX2, AVX-512 และเทคโนโลยีอย่าง Optane ตั้งแต่วันแรก - มี clr-boot-manager สำหรับอัปเดต kernel แบบเร็ว ผลลัพธ์คือ Clear Linux มักจะชนะ benchmark ด้านประสิทธิภาพทั้งในงาน build, render และ scientific computing — แม้ใช้บน AMD ก็ตาม! แต่ด้วยนโยบายลดต้นทุนของ Intel บริษัทเริ่มตัดคนและทีม software ออกจำนวนมาก — ส่งผลให้ Clear Linux ถูก “พักถาวร” โดยไม่มีแพตช์ความปลอดภัยหรืออัปเดตใหม่อีก นักพัฒนา Linux หลายคนแสดงความเสียดาย เพราะฟีเจอร์และแนวคิดของ Clear Linux เริ่มถูกนำไปใช้ใน distro อื่น ๆ แล้ว เช่น CachyOS และบางส่วนใน Arch-based รุ่นใหม่ ✅ Intel ประกาศหยุดพัฒนา Clear Linux อย่างเป็นทางการ ➡️ ไม่มีแพตช์ ไม่มีอัปเดตความปลอดภัย และ archive repo บน GitHub เป็นแบบ read-only ✅ Clear Linux มีจุดเด่นคือเร่ง performance ตั้งแต่แกนระบบ ➡️ ใช้ toolchain ใหม่สุด, flags รุนแรง, และ optimization เชิงลึก เช่น PGO/LTO ✅ ทำงานดีทั้งบน Intel และ AMD แม้จะออกแบบมาเพื่อ Intel โดยตรง ➡️ เป็น distro เดียวที่ “แรงสุด” ในหลาย benchmark แบบไม่ต้องปรับแต่งเอง ✅ ฟีเจอร์เด่นคือ clr-boot-manager และระบบจัดการ kernel ที่เร็วมาก ➡️ เหมาะกับ developer และงาน HPC ที่ต้องใช้ kernel ใหม่อยู่ตลอด ✅ ระบบใช้ได้ดีใน workload ที่เน้น CPU, I/O, memory และ multithreading ➡️ เป็นที่นิยมในกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และการ render แบบหนัก ๆ ✅ Intel จะยังคงสนับสนุน Linux ผ่าน upstream และ distro หลักอื่น ๆ ➡️ เช่น Fedora, Ubuntu หรือโครงการ kernel โดยตรง ✅ CachyOS และ distro อื่น ๆ เริ่มนำ optimization ของ Clear Linux ไปใช้งาน ➡️ แสดงว่าเทคโนโลยียังมีชีวิตอยู่ใน ecosystem แม้ต้นฉบับจะเลิกทำแล้ว ‼️ ผู้ใช้ Clear Linux ควรวางแผนย้ายออกทันที ⛔ หากไม่ย้ายจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีแพตช์ใหม่ ‼️ ระบบที่ยัง deploy ด้วย Clear Linux อาจเจอปัญหาความเข้ากันในอนาคต ⛔ library หรือ driver ใหม่อาจไม่รองรับ โดยไม่มีทีมดูแลให้ ‼️ ฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Intel โดยตรง เช่น AVX-512 อาจใช้งานยากขึ้นใน distro อื่น ⛔ ต้องปรับแต่งเองหรือเขียน config เพื่อให้ทำงานแบบที่ Clear Linux เคยทำ ‼️ การหยุดพัฒนาอาจเป็นสัญญาณว่า Intel ลดบทบาทในด้าน software ecosystem ⛔ ส่งผลต่อความเร็วของ innovation ด้าน HPC และ AI บน Linux https://www.tomshardware.com/software/linux/intel-axes-clear-linux-the-fastest-distribution-on-the-market-company-ends-support-effective-immediately
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก Virtualization: VMware อัปเดตครั้งใหญ่ แก้บั๊ก snapshot และอุดช่องโหว่ร้ายแรง

    VMware ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้ Broadcom ได้ปล่อยอัปเดตใหม่สำหรับ Workstation Pro (Windows/Linux) และ Fusion (macOS) โดยเวอร์ชันล่าสุดคือ 17.6.4 และ 13.6.4 ตามลำดับ

    การอัปเดตนี้เน้นการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยระดับ “critical” ถึง 4 รายการ (CVE-2025-41236 ถึง CVE-2025-41239) และอีก 1 รายการระดับ “moderate” (CVE-2025-2884) ซึ่งอาจส่งผลต่อการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

    นอกจากนี้ยังมีการแก้บั๊ก snapshot ที่ทำให้เกิด access violation ขณะปิด VM หากผู้ใช้เลือก “Ask me” ในการตั้งค่า snapshot ซึ่งเคยทำให้เกิด error ร้ายแรงในระบบ

    Fusion ยังได้รับการแก้ไขปัญหา NAT network และการอัปโหลด VM ไปยัง ESXi host ที่เคยล้มเหลว

    อย่างไรก็ตาม VMware เตือนว่าการอัปเดตนี้ยังมีบั๊กที่รู้จักอยู่ 3 รายการใน Workstation Pro เช่น ปัญหา network ขณะติดตั้ง Windows 11, การทำงานของ multi-monitor ที่ผิดปกติ และการเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux

    VMware Workstation Pro อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 17.6.4
    รองรับ Windows และ Linux พร้อมแก้ช่องโหว่ความปลอดภัย 5 รายการ

    VMware Fusion อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 13.6.4
    รองรับ macOS พร้อมแก้ปัญหา NAT และการอัปโหลด VM ไปยัง ESXi

    แก้บั๊ก snapshot ที่ทำให้เกิด access violation ขณะปิด VM
    ปัญหาเกิดจาก pointer ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบก่อนเรียกฟังก์ชัน

    ช่องโหว่ที่แก้ไขมีระดับ critical และ moderate
    ป้องกันการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux สามารถแก้ได้ด้วย config
    เพิ่มบรรทัด mks.vk.gpuHeapSizeMB = "0" ในไฟล์ config

    ผู้ใช้ต้องดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งจาก Broadcom โดยตรง
    เนื่องจากระบบอัปเดตอัตโนมัติของ VMware ยังไม่ทำงาน

    VMware Workstation Pro และ Fusion ใช้ฟรีสำหรับการใช้งานส่วนตัว
    ไม่ต้องซื้อไลเซนส์หากไม่ใช้เชิงพาณิชย์

    ระบบอัปเดตอัตโนมัติของ VMware ยังไม่สามารถใช้งานได้
    ผู้ใช้ต้องล็อกอิน Broadcom และดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งเอง

    มีบั๊กที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขใน Workstation Pro เวอร์ชัน 17.6.4
    เช่น network ขาดหายขณะติดตั้ง Windows 11 (ต้องเปลี่ยน NAT เป็น Bridged)

    ฟีเจอร์ multi-monitor ยังทำงานผิดปกติในบางสถานการณ์
    ไม่มีวิธีแก้ไขหรือ workaround ในตอนนี้

    การเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux อาจล้มเหลว
    ต้องแก้ด้วยการเพิ่ม config ด้วยตนเอง

    https://www.neowin.net/news/vmware-workstation-pro-and-fusion-get-snapshot-and-security-fixes/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Virtualization: VMware อัปเดตครั้งใหญ่ แก้บั๊ก snapshot และอุดช่องโหว่ร้ายแรง VMware ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้ Broadcom ได้ปล่อยอัปเดตใหม่สำหรับ Workstation Pro (Windows/Linux) และ Fusion (macOS) โดยเวอร์ชันล่าสุดคือ 17.6.4 และ 13.6.4 ตามลำดับ การอัปเดตนี้เน้นการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยระดับ “critical” ถึง 4 รายการ (CVE-2025-41236 ถึง CVE-2025-41239) และอีก 1 รายการระดับ “moderate” (CVE-2025-2884) ซึ่งอาจส่งผลต่อการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังมีการแก้บั๊ก snapshot ที่ทำให้เกิด access violation ขณะปิด VM หากผู้ใช้เลือก “Ask me” ในการตั้งค่า snapshot ซึ่งเคยทำให้เกิด error ร้ายแรงในระบบ Fusion ยังได้รับการแก้ไขปัญหา NAT network และการอัปโหลด VM ไปยัง ESXi host ที่เคยล้มเหลว อย่างไรก็ตาม VMware เตือนว่าการอัปเดตนี้ยังมีบั๊กที่รู้จักอยู่ 3 รายการใน Workstation Pro เช่น ปัญหา network ขณะติดตั้ง Windows 11, การทำงานของ multi-monitor ที่ผิดปกติ และการเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux ✅ VMware Workstation Pro อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 17.6.4 ➡️ รองรับ Windows และ Linux พร้อมแก้ช่องโหว่ความปลอดภัย 5 รายการ ✅ VMware Fusion อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 13.6.4 ➡️ รองรับ macOS พร้อมแก้ปัญหา NAT และการอัปโหลด VM ไปยัง ESXi ✅ แก้บั๊ก snapshot ที่ทำให้เกิด access violation ขณะปิด VM ➡️ ปัญหาเกิดจาก pointer ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบก่อนเรียกฟังก์ชัน ✅ ช่องโหว่ที่แก้ไขมีระดับ critical และ moderate ➡️ ป้องกันการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux สามารถแก้ได้ด้วย config ➡️ เพิ่มบรรทัด mks.vk.gpuHeapSizeMB = "0" ในไฟล์ config ✅ ผู้ใช้ต้องดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งจาก Broadcom โดยตรง ➡️ เนื่องจากระบบอัปเดตอัตโนมัติของ VMware ยังไม่ทำงาน ✅ VMware Workstation Pro และ Fusion ใช้ฟรีสำหรับการใช้งานส่วนตัว ➡️ ไม่ต้องซื้อไลเซนส์หากไม่ใช้เชิงพาณิชย์ ‼️ ระบบอัปเดตอัตโนมัติของ VMware ยังไม่สามารถใช้งานได้ ⛔ ผู้ใช้ต้องล็อกอิน Broadcom และดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งเอง ‼️ มีบั๊กที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขใน Workstation Pro เวอร์ชัน 17.6.4 ⛔ เช่น network ขาดหายขณะติดตั้ง Windows 11 (ต้องเปลี่ยน NAT เป็น Bridged) ‼️ ฟีเจอร์ multi-monitor ยังทำงานผิดปกติในบางสถานการณ์ ⛔ ไม่มีวิธีแก้ไขหรือ workaround ในตอนนี้ ‼️ การเร่งฮาร์ดแวร์บน Intel GPU ใน Linux อาจล้มเหลว ⛔ ต้องแก้ด้วยการเพิ่ม config ด้วยตนเอง https://www.neowin.net/news/vmware-workstation-pro-and-fusion-get-snapshot-and-security-fixes/
    WWW.NEOWIN.NET
    VMware Workstation Pro and Fusion get snapshot and security fixes
    VMware has released new versions of Workstation Pro and Fusion to address security issues and fix snapshot bugs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่

    WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย

    Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง

    ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน

    ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว
    - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out)
    - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager
    - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer
    - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร
    - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่
    - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager
    - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก
    - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต
    - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด

    https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่ WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out) - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่ - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Server Update Services (WSUS) is broken, and there is no workaround
    Microsoft has acknowledged a problem in Windows Server Update Services (WSUS) that is causing headaches for IT admins.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy

    ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที

    ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI

    Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ  
    • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy  
    • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment

    สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:  
    • Xbox App  
    • Windows Media Player  
    • Notepad  
    • Camera  
    • Sound Recorder  
    • Windows Terminal  
    • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party

    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน

    เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก

    Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง

    ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น

    https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI ✅ Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ   • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy   • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment ✅ สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:   • Xbox App   • Windows Media Player   • Notepad   • Camera   • Sound Recorder   • Windows Terminal   • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party ✅ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน ✅ เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก ✅ Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Windows 11 25H2 adds tool to debloat the OS and remove built-in apps
    Windows Insiders recently discovered a setting in a preview version of Windows 11 version 25H2 that allows users to remove preinstalled apps. This new feature should help...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ปล่อยแพตช์ประจำเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 (KB5062553), 23H2 และ 22H2 (KB5062552) → แก้ปัญหาความปลอดภัยเป็นหลัก แต่อัปเดตนี้ยังรวมการแก้บั๊กจากเดือนก่อนที่หลายคนบ่นกันไว้แล้วด้วย! → เช่น ปัญหาเวลาเล่นเกม “เต็มจอ” แล้วกด ALT+Tab ไปโปรแกรมอื่น แล้วกลับมาเกมจะหลุดตำแหน่งเมาส์ → หรือเสียงพวก Volume Change, Sign-in, Notification ไม่ดัง → แถมยังมีบั๊กเล็ก ๆ ในระบบ Firewall ที่ Event Viewer แจ้ง “Config Read Failed” อยู่เป็นระยะ ก็ถูกแก้แล้วเหมือนกัน

    ที่พิเศษคือ Microsoft ยังอัปเดต ส่วน AI เบื้องหลัง เช่น Image Search, Content Extraction, Semantic Analysis → นี่คือส่วนที่ทำให้ Copilot ใช้ข้อมูลภาพและข้อความได้ฉลาดขึ้น → ถึงจะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ประสิทธิภาพโดยรวมจะดีขึ้น (เหมือนเปลี่ยนสมองให้ Windows แบบเงียบ ๆ เลยล่ะ)

    อัปเดตสำคัญจาก Patch Tuesday กรกฎาคม 2025:
    อัปเดต KB5062553 สำหรับ Windows 11 24H2 → Build 26100.4652  
    • แก้บั๊กเกม full screen สลับ ALT+Tab แล้วเมาส์หลุดตำแหน่ง  
    • แก้บั๊กเสียง Notification และเสียงระบบ  
    • แก้บั๊ก Event 2042 “Config Read Failed” ของ Firewall ใน Event Viewer  
    • อัปเดตส่วน AI:
      – Image Search: v1.2506.707.0
      – Content Extraction: v1.2506.707.0
      – Semantic Analysis: v1.2506.707.0

    อัปเดต KB5062552 สำหรับ Windows 11 23H2/22H2 → Build 22631.5624 / 22621.5624  
    • แก้ปัญหาจอดำตอนเสียบ/ถอดจอ (เฉพาะผู้ใช้บางรายจาก KB5060826)  
    • แก้ไขและปรับปรุงคุณภาพโดยรวม  
    • ใช้ EKB KB5027397 หากต้องการอัปเดตจาก 22H2 → 23H2

    อัปเดต Servicing Stack (SSU) เพื่อให้ระบบอัปเดตได้ลื่นไหล:  
    • 24H2: SSU KB5063666 (build 26100.4651)  
    • 23H2/22H2: SSU KB5063707 (build 22631.5619)

    ไม่มี Known issues ที่ประกาศในตอนนี้ — คาดว่าเสถียรมากขึ้นจากรอบก่อน

    https://www.neowin.net/news/windows-11-kb5062553-kb5062552-july-2025-patch-tuesday-out/
    Microsoft ปล่อยแพตช์ประจำเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 (KB5062553), 23H2 และ 22H2 (KB5062552) → แก้ปัญหาความปลอดภัยเป็นหลัก แต่อัปเดตนี้ยังรวมการแก้บั๊กจากเดือนก่อนที่หลายคนบ่นกันไว้แล้วด้วย! → เช่น ปัญหาเวลาเล่นเกม “เต็มจอ” แล้วกด ALT+Tab ไปโปรแกรมอื่น แล้วกลับมาเกมจะหลุดตำแหน่งเมาส์ → หรือเสียงพวก Volume Change, Sign-in, Notification ไม่ดัง → แถมยังมีบั๊กเล็ก ๆ ในระบบ Firewall ที่ Event Viewer แจ้ง “Config Read Failed” อยู่เป็นระยะ ก็ถูกแก้แล้วเหมือนกัน ที่พิเศษคือ Microsoft ยังอัปเดต ส่วน AI เบื้องหลัง เช่น Image Search, Content Extraction, Semantic Analysis → นี่คือส่วนที่ทำให้ Copilot ใช้ข้อมูลภาพและข้อความได้ฉลาดขึ้น → ถึงจะไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ประสิทธิภาพโดยรวมจะดีขึ้น (เหมือนเปลี่ยนสมองให้ Windows แบบเงียบ ๆ เลยล่ะ) ☸️ อัปเดตสำคัญจาก Patch Tuesday กรกฎาคม 2025: ✅ อัปเดต KB5062553 สำหรับ Windows 11 24H2 → Build 26100.4652   • แก้บั๊กเกม full screen สลับ ALT+Tab แล้วเมาส์หลุดตำแหน่ง   • แก้บั๊กเสียง Notification และเสียงระบบ   • แก้บั๊ก Event 2042 “Config Read Failed” ของ Firewall ใน Event Viewer   • อัปเดตส่วน AI:   – Image Search: v1.2506.707.0   – Content Extraction: v1.2506.707.0   – Semantic Analysis: v1.2506.707.0 ✅ อัปเดต KB5062552 สำหรับ Windows 11 23H2/22H2 → Build 22631.5624 / 22621.5624   • แก้ปัญหาจอดำตอนเสียบ/ถอดจอ (เฉพาะผู้ใช้บางรายจาก KB5060826)   • แก้ไขและปรับปรุงคุณภาพโดยรวม   • ใช้ EKB KB5027397 หากต้องการอัปเดตจาก 22H2 → 23H2 ✅ อัปเดต Servicing Stack (SSU) เพื่อให้ระบบอัปเดตได้ลื่นไหล:   • 24H2: SSU KB5063666 (build 26100.4651)   • 23H2/22H2: SSU KB5063707 (build 22631.5619) ✅ ไม่มี Known issues ที่ประกาศในตอนนี้ — คาดว่าเสถียรมากขึ้นจากรอบก่อน https://www.neowin.net/news/windows-11-kb5062553-kb5062552-july-2025-patch-tuesday-out/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows 11 (KB5062553, KB5062552) July 2025 Patch Tuesday out
    Microsoft has released Patch Tuesday updates for Windows 11 (KB5062553, KB5062552) for July 2025. Here's what's included.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าใครใช้ Parrot OS อยู่ — หรืออยากเปลี่ยนจาก Kali มาเล่นของสดใหม่ — นี่คือรุ่นที่น่าโดนมากๆ เพราะอัปเดต Kernel เป็น Linux 6.12 LTS ซึ่งหมายถึงรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ และมี patch ความปลอดภัยล่าสุด → พร้อมทั้งอัปเดตเครื่องมือแฮ็กและวิเคราะห์ระบบเพียบ เช่น → Metasploit 6.4.71, PowerShell Empire 6.1.2, และ Caido 0.48.1

    Firefox ESR ก็ถูกปรับแต่งเรื่องความเป็นส่วนตัวแบบ “ฮาร์ดคอร์” โดยทีม Parrot เอง → ถึงแม้ Firefox จะเปลี่ยนวิธีโหลด config ก็ตาม ทีม Parrot ก็ใส่สคริปต์ให้ “ดึงกลับมา” ให้เสร็จหลังอัปเดต → เรียกว่ายังใช้งานแบบไม่มี telemetry ได้สบายใจ

    ฝั่ง .NET ก็น่าสนใจ — เพราะตอนนี้สามารถติดตั้ง PowerShell 7.5 และ .NET SDKs ได้ตรงจาก repo ของ Parrot เลย → เหมาะมากกับสายที่ทำงาน penetration แบบ DevOps, ทำ payload หรือสร้าง tool เอง

    นอกจากนั้นยังมีการเพิ่ม Launcher ใหม่ในเมนู และใส่แพลตฟอร์ม chat ที่ชื่อ Rocket เข้าไปใน repo อย่างเป็นทางการ → ใครอยากลอง แค่

    sudo apt install rocket

    ก็ใช้ได้แล้ว

    https://www.neowin.net/news/parrot-os-64-ships-with-linux-612-lts-new-tools-and-updated-system-packages/
    ถ้าใครใช้ Parrot OS อยู่ — หรืออยากเปลี่ยนจาก Kali มาเล่นของสดใหม่ — นี่คือรุ่นที่น่าโดนมากๆ เพราะอัปเดต Kernel เป็น Linux 6.12 LTS ซึ่งหมายถึงรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ และมี patch ความปลอดภัยล่าสุด → พร้อมทั้งอัปเดตเครื่องมือแฮ็กและวิเคราะห์ระบบเพียบ เช่น → Metasploit 6.4.71, PowerShell Empire 6.1.2, และ Caido 0.48.1 Firefox ESR ก็ถูกปรับแต่งเรื่องความเป็นส่วนตัวแบบ “ฮาร์ดคอร์” โดยทีม Parrot เอง → ถึงแม้ Firefox จะเปลี่ยนวิธีโหลด config ก็ตาม ทีม Parrot ก็ใส่สคริปต์ให้ “ดึงกลับมา” ให้เสร็จหลังอัปเดต → เรียกว่ายังใช้งานแบบไม่มี telemetry ได้สบายใจ ฝั่ง .NET ก็น่าสนใจ — เพราะตอนนี้สามารถติดตั้ง PowerShell 7.5 และ .NET SDKs ได้ตรงจาก repo ของ Parrot เลย → เหมาะมากกับสายที่ทำงาน penetration แบบ DevOps, ทำ payload หรือสร้าง tool เอง นอกจากนั้นยังมีการเพิ่ม Launcher ใหม่ในเมนู และใส่แพลตฟอร์ม chat ที่ชื่อ Rocket เข้าไปใน repo อย่างเป็นทางการ → ใครอยากลอง แค่ sudo apt install rocket ก็ใช้ได้แล้ว https://www.neowin.net/news/parrot-os-64-ships-with-linux-612-lts-new-tools-and-updated-system-packages/
    WWW.NEOWIN.NET
    Parrot OS 6.4 ships with Linux 6.12 LTS, new tools and updated system packages
    Parrot OS has received what may be its final 6.x series update, version 6.4, featuring the latest Linux LTS release and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts