• GENIUS Act: เมื่อ Stablecoin กลายเป็นเรื่องจริงจัง และธนาคารก็อยากออกเหรียญเอง

    หลังจากหลายปีที่สหรัฐฯ ลังเลกับคริปโต ในเดือนกรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามในกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดกรอบการกำกับดูแล Stablecoin อย่างเป็นทางการในระดับประเทศ

    Stablecoin คือเหรียญดิจิทัลที่มีมูลค่าผูกกับเงินดอลลาร์แบบ 1:1 และถูกใช้เพื่อการชำระเงินที่รวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ โดยเฉพาะในการโอนเงินข้ามประเทศ ซึ่งเดิมทีถูกมองว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการฟอกเงินและอาชญากรรมไซเบอร์

    แต่ GENIUS Act ได้เปลี่ยนภาพนั้น โดยเปิดทางให้ธนาคารและบริษัทเอกชนสามารถออก Stablecoin ได้อย่างถูกกฎหมาย หากผ่านการตรวจสอบด้าน KYC และ AML อย่างเข้มงวด

    ธนาคารใหญ่ เช่น Bank of America และ Citigroup เริ่มเตรียมออกเหรียญของตัวเอง ขณะที่บริษัทเทคโนโลยี เช่น Walmart, Amazon และ Stripe ก็กำลังพิจารณาใช้ Stablecoin เพื่อการชำระเงินและการจัดการภายในองค์กร

    แม้จะมีกรอบกฎหมายแล้ว แต่การอนุมัติยังต้องใช้เวลา และบริษัทต้องพิสูจน์ว่าเหรียญของตนมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือใช้ภายในระบบการเงินขององค์กร

    GENIUS Act เป็นกฎหมายฉบับแรกของสหรัฐฯ ที่กำกับดูแล Stablecoin
    ลงนามโดยประธานาธิบดี Trump เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2025

    ธนาคารและบริษัทเอกชนสามารถออก Stablecoin ได้ หากผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML
    ธนาคารมีข้อได้เปรียบเพราะมีระบบเหล่านี้อยู่แล้ว

    บริษัทเทคโนโลยี เช่น Walmart และ Amazon กำลังพิจารณาออกเหรียญของตัวเอง
    เพื่อใช้ในการชำระเงินหรือจัดการภายในองค์กร

    Stablecoin ต้องระบุวัตถุประสงค์การใช้งานอย่างชัดเจน
    เช่น ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือเพื่อการชำระเงินแบบรวดเร็ว

    GENIUS Act ระบุว่า Stablecoin ที่ออกบนบล็อกเชนแบบเปิดไม่สามารถถูกปฏิเสธโดยอัตโนมัติ
    เป็นการสนับสนุนการใช้ Ethereum และเครือข่าย permissionless

    ธนาคารต้องปรับการคำนวณสภาพคล่อง หากถือ Stablecoin บนงบดุล
    เพราะแม้จะผูกกับดอลลาร์ แต่ยังมีความเสี่ยงจากการล่มของเหรียญ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/stablecoins-gain-critical-mass-after-genius-act-cements-rules-banks-and-companies-rush-to-register-new-coins
    💵🔗 GENIUS Act: เมื่อ Stablecoin กลายเป็นเรื่องจริงจัง และธนาคารก็อยากออกเหรียญเอง หลังจากหลายปีที่สหรัฐฯ ลังเลกับคริปโต ในเดือนกรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามในกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดกรอบการกำกับดูแล Stablecoin อย่างเป็นทางการในระดับประเทศ Stablecoin คือเหรียญดิจิทัลที่มีมูลค่าผูกกับเงินดอลลาร์แบบ 1:1 และถูกใช้เพื่อการชำระเงินที่รวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ โดยเฉพาะในการโอนเงินข้ามประเทศ ซึ่งเดิมทีถูกมองว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการฟอกเงินและอาชญากรรมไซเบอร์ แต่ GENIUS Act ได้เปลี่ยนภาพนั้น โดยเปิดทางให้ธนาคารและบริษัทเอกชนสามารถออก Stablecoin ได้อย่างถูกกฎหมาย หากผ่านการตรวจสอบด้าน KYC และ AML อย่างเข้มงวด ธนาคารใหญ่ เช่น Bank of America และ Citigroup เริ่มเตรียมออกเหรียญของตัวเอง ขณะที่บริษัทเทคโนโลยี เช่น Walmart, Amazon และ Stripe ก็กำลังพิจารณาใช้ Stablecoin เพื่อการชำระเงินและการจัดการภายในองค์กร แม้จะมีกรอบกฎหมายแล้ว แต่การอนุมัติยังต้องใช้เวลา และบริษัทต้องพิสูจน์ว่าเหรียญของตนมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือใช้ภายในระบบการเงินขององค์กร ✅ GENIUS Act เป็นกฎหมายฉบับแรกของสหรัฐฯ ที่กำกับดูแล Stablecoin ➡️ ลงนามโดยประธานาธิบดี Trump เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2025 ✅ ธนาคารและบริษัทเอกชนสามารถออก Stablecoin ได้ หากผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ➡️ ธนาคารมีข้อได้เปรียบเพราะมีระบบเหล่านี้อยู่แล้ว ✅ บริษัทเทคโนโลยี เช่น Walmart และ Amazon กำลังพิจารณาออกเหรียญของตัวเอง ➡️ เพื่อใช้ในการชำระเงินหรือจัดการภายในองค์กร ✅ Stablecoin ต้องระบุวัตถุประสงค์การใช้งานอย่างชัดเจน ➡️ เช่น ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือเพื่อการชำระเงินแบบรวดเร็ว ✅ GENIUS Act ระบุว่า Stablecoin ที่ออกบนบล็อกเชนแบบเปิดไม่สามารถถูกปฏิเสธโดยอัตโนมัติ ➡️ เป็นการสนับสนุนการใช้ Ethereum และเครือข่าย permissionless ✅ ธนาคารต้องปรับการคำนวณสภาพคล่อง หากถือ Stablecoin บนงบดุล ➡️ เพราะแม้จะผูกกับดอลลาร์ แต่ยังมีความเสี่ยงจากการล่มของเหรียญ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/stablecoins-gain-critical-mass-after-genius-act-cements-rules-banks-and-companies-rush-to-register-new-coins
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Stablecoins gain critical mass after GENIUS Act cements rules — banks and companies rush to register new coins
    Though full adoption may take years as more regulation is required to outline how they will be used.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัมพูชาสหรัฐฯ เปิดศึก “ตัดเส้นเลือด” อาชญากรรมไซเบอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ Huione Group จากกัมพูชา บริษัทของญาติฮุน เซน กลายเป็นตัวอย่างของสงครามการเงินยุคดิจิทัลเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ขยับหมากชุดใหญ่ ด้วยการออกประกาศตาม มาตรา 311 ของกฎหมาย PATRIOT Actเพื่อตัดการเชื่อมต่อกลุ่มทุนจากกัมพูชาที่ชื่อว่า Huione Groupออกจากระบบการเงินสหรัฐฯ อย่างถาวรนี่ไม่ใช่การคว่ำบาตรแบบที่เราคุ้นชินจาก OFAC ที่แค่ “แช่แข็งบัญชี”แต่นี่คือการ ตัดเส้นเลือดใหญ่ ขององค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติที่ผูกโยงกันระหว่างโลกเงินสด ธนาคารดั้งเดิม และโลกคริปโตเคอร์เรนซีHuione Group คือ “หัวใจโลกการเงิน” ของอุตสาหกรรมโกงออนไลน์ในเอเชียตามประกาศของ FinCEN (หน่วยงานปราบปรามการฟอกเงิน)Huione Group ฟอกเงินรวมกันกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ในเวลาไม่ถึง 4 ปี!•37 ล้านดอลลาร์ มาจากปฏิบัติการไซเบอร์ที่ได้รับการหนุนหลังโดยรัฐเกาหลีเหนือ•36 ล้านดอลลาร์ จากกลโกงลงทุนแบบ “Pig Butchering” (หลอกลงทุนจนหมดตัว)•และ 300 ล้านดอลลาร์ จากอาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบอื่นๆสิ่งที่น่ากลัวคือ Huione ไม่ได้ทำแค่ในโลกออนไลน์แต่มันมีทั้งสาขาในโลกจริง และโครงสร้างที่ดูเหมือนถูกกฎหมาย เช่น• Huione Pay สถาบันประมวลผลการชำระเงินในกัมพูชาที่มีใบอนุญาต•Huione Crypto แพลตฟอร์มบริการสินทรัพย์ดิจิทัล•Haowang Guarantee ตลาดออนไลน์ขายบริการผิดกฎหมายเว็บไซต์ของ Huione Guarantee ถูกอ้างถึงในรายงานของ UN ว่าเป็น “กลไกกลาง” ของอุตสาหกรรมโกงออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเคยประมวลผลธุรกรรมไปมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2021!มาตรา 311 คือ อาวุธลับที่ไม่มีใครพูดถึงหลายคนรู้จักมาตรการคว่ำบาตรของ OFACแต่น้อยคนนักจะรู้ว่า “มาตรการแรงที่สุด” ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ คือ Section 311เพราะมันไม่ได้แค่แช่แข็งเงิน แต่เป็นการ ตัดการเชื่อมต่อโดยสิ้นเชิง กับระบบดอลลาร์ความต่างระหว่าง 311 vs OFACหัวข้อมาตรา 311OFAC Sanctionsบังคับใช้โดย FinCENOFACจุดประสงค์เพื่อต่อต้านฟอกเงิน & ก่อการร้ายความมั่นคงชาติ (การค้า อาวุธ มนุษยชน)สิ่วที่จะเกิดขึ้น คือการจำกัดการเข้าถึงระบบธนาคารสหรัฐฯอายัดทรัพย์สินทันที (หากเป็น “interim final rule”)หลังประกาศธนาคารทั่วโลกจะ “เลิกยุ่ง” โดยสมัครใจ เพราะไม่คุ้มเสี่ยงต้องปฏิบัติตามทันทีกล่าวง่ายๆ คือ ถ้า OFAC เป็น “ตำรวจล้อมจับ” Section 311 คือ “ตัดสายเลือด” ไม่ให้เงินไหลเข้า-ออกระบบเลยทำไม Huione ถึงน่ากลัว?เพราะ Huione ไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มแต่มันคือ ระบบนิเวศของอาชญากรรม ที่เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมเข้ากับคริปโตอย่างแนบเนียน•มีทั้ง Stablecoin (USDH) ที่โฆษณาชัดว่า “ไม่มีระบบอายัดทรัพย์สิน”•มี Blockchain ของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามธุรกรรม•มีการเคลื่อนย้ายเงิน ข้าม Chain (Ethereum, BSC, Tron, Huione Chain)•และยังมีบริการแปลง Fiat → Crypto → Fiat ที่ทำให้ธนาคารตามไม่ทันระบบธนาคารทั่วไปเห็นแค่ “ถอนเงินปกติ” แต่ Blockchain วิเคราะห์ลึกถึงขั้นพบว่าเงินมาจากการโกงออนไลน์ดังนั้น ถ้าไม่มีระบบที่เชื่อมต่อข้อมูลโลก “on-chain” และ “off-chain”ธนาคารก็จะมองไม่เห็นความเสี่ยงเลยแม้ว่า Section 311 จะมีเวลาให้แสดงความเห็น 30 วันแต่ในทางปฏิบัติผลกระทบจะเริ่มต้นทันทีเพราะธนาคารต้อง1.รีบตรวจสอบ ว่ามีลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้องกับ Huione หรือไม่2.ย้อนดูธุรกรรมย้อนหลัง หลายปี เพื่อทำ Suspicious Activity Report (SAR)3.ขยายขอบเขต ไปยังบุคคลที่ 3 ที่อาจเกี่ยวข้องโดยอ้อม4.รับมือกับข่าวสารใหม่ ที่หลั่งไหลเข้ามาทุกวันเกี่ยวกับเครือข่ายนี้กรณี Huione สอนเราว่าการฟอกเงินยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ใส่เงินเข้าเครื่องซัก แล้วออกมาใหม่ แต่มันคือกาใช้กลไกซับซ้อนระหว่างโลกคริปโต และธนาคาร ซ่อนเงินไว้หลาย Layer ที่ไม่มีใครคนเดียวมองเห็นทั้งหมด ต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย องค์กรที่ไม่มี ระบบ compliance ที่เชื่อมโลกเก่ากับโลกใหม่เข้าด้วยกันจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป ไม่ใช่แค่เสียชื่อเสียง แต่อาจถูกตั้งข้อหา “ละเลยความเสี่ยง” และเสียใบอนุญาตได้Huione Group ไม่ใช่แค่บริษัทหนึ่งแต่มันคือสัญลักษณ์ของยุคที่อาชญากรใช้เทคโนโลยีล้ำหน้ากว่า Regulatorและโลกการเงินต้องตื่นตัว ปรับตัวอย่างไม่รีรอตัดท่อน้ำเลี้ยงให้เร็ว ก่อนที่ระบบจะล่มทั้งเครือข่าย ที่มา : https://x.com/galadriel_tx/status/1934425378522828961?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA
    กัมพูชาสหรัฐฯ เปิดศึก “ตัดเส้นเลือด” อาชญากรรมไซเบอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ Huione Group จากกัมพูชา บริษัทของญาติฮุน เซน กลายเป็นตัวอย่างของสงครามการเงินยุคดิจิทัลเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ขยับหมากชุดใหญ่ ด้วยการออกประกาศตาม มาตรา 311 ของกฎหมาย PATRIOT Actเพื่อตัดการเชื่อมต่อกลุ่มทุนจากกัมพูชาที่ชื่อว่า Huione Groupออกจากระบบการเงินสหรัฐฯ อย่างถาวรนี่ไม่ใช่การคว่ำบาตรแบบที่เราคุ้นชินจาก OFAC ที่แค่ “แช่แข็งบัญชี”แต่นี่คือการ ตัดเส้นเลือดใหญ่ ขององค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติที่ผูกโยงกันระหว่างโลกเงินสด ธนาคารดั้งเดิม และโลกคริปโตเคอร์เรนซีHuione Group คือ “หัวใจโลกการเงิน” ของอุตสาหกรรมโกงออนไลน์ในเอเชียตามประกาศของ FinCEN (หน่วยงานปราบปรามการฟอกเงิน)Huione Group ฟอกเงินรวมกันกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ในเวลาไม่ถึง 4 ปี!•37 ล้านดอลลาร์ มาจากปฏิบัติการไซเบอร์ที่ได้รับการหนุนหลังโดยรัฐเกาหลีเหนือ•36 ล้านดอลลาร์ จากกลโกงลงทุนแบบ “Pig Butchering” (หลอกลงทุนจนหมดตัว)•และ 300 ล้านดอลลาร์ จากอาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบอื่นๆสิ่งที่น่ากลัวคือ Huione ไม่ได้ทำแค่ในโลกออนไลน์แต่มันมีทั้งสาขาในโลกจริง และโครงสร้างที่ดูเหมือนถูกกฎหมาย เช่น• Huione Pay สถาบันประมวลผลการชำระเงินในกัมพูชาที่มีใบอนุญาต•Huione Crypto แพลตฟอร์มบริการสินทรัพย์ดิจิทัล•Haowang Guarantee ตลาดออนไลน์ขายบริการผิดกฎหมายเว็บไซต์ของ Huione Guarantee ถูกอ้างถึงในรายงานของ UN ว่าเป็น “กลไกกลาง” ของอุตสาหกรรมโกงออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเคยประมวลผลธุรกรรมไปมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2021!มาตรา 311 คือ อาวุธลับที่ไม่มีใครพูดถึงหลายคนรู้จักมาตรการคว่ำบาตรของ OFACแต่น้อยคนนักจะรู้ว่า “มาตรการแรงที่สุด” ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ คือ Section 311เพราะมันไม่ได้แค่แช่แข็งเงิน แต่เป็นการ ตัดการเชื่อมต่อโดยสิ้นเชิง กับระบบดอลลาร์ความต่างระหว่าง 311 vs OFACหัวข้อมาตรา 311OFAC Sanctionsบังคับใช้โดย FinCENOFACจุดประสงค์เพื่อต่อต้านฟอกเงิน & ก่อการร้ายความมั่นคงชาติ (การค้า อาวุธ มนุษยชน)สิ่วที่จะเกิดขึ้น คือการจำกัดการเข้าถึงระบบธนาคารสหรัฐฯอายัดทรัพย์สินทันที (หากเป็น “interim final rule”)หลังประกาศธนาคารทั่วโลกจะ “เลิกยุ่ง” โดยสมัครใจ เพราะไม่คุ้มเสี่ยงต้องปฏิบัติตามทันทีกล่าวง่ายๆ คือ ถ้า OFAC เป็น “ตำรวจล้อมจับ” Section 311 คือ “ตัดสายเลือด” ไม่ให้เงินไหลเข้า-ออกระบบเลยทำไม Huione ถึงน่ากลัว?เพราะ Huione ไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มแต่มันคือ ระบบนิเวศของอาชญากรรม ที่เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมเข้ากับคริปโตอย่างแนบเนียน•มีทั้ง Stablecoin (USDH) ที่โฆษณาชัดว่า “ไม่มีระบบอายัดทรัพย์สิน”•มี Blockchain ของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามธุรกรรม•มีการเคลื่อนย้ายเงิน ข้าม Chain (Ethereum, BSC, Tron, Huione Chain)•และยังมีบริการแปลง Fiat → Crypto → Fiat ที่ทำให้ธนาคารตามไม่ทันระบบธนาคารทั่วไปเห็นแค่ “ถอนเงินปกติ” แต่ Blockchain วิเคราะห์ลึกถึงขั้นพบว่าเงินมาจากการโกงออนไลน์ดังนั้น ถ้าไม่มีระบบที่เชื่อมต่อข้อมูลโลก “on-chain” และ “off-chain”ธนาคารก็จะมองไม่เห็นความเสี่ยงเลยแม้ว่า Section 311 จะมีเวลาให้แสดงความเห็น 30 วันแต่ในทางปฏิบัติผลกระทบจะเริ่มต้นทันทีเพราะธนาคารต้อง1.รีบตรวจสอบ ว่ามีลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้องกับ Huione หรือไม่2.ย้อนดูธุรกรรมย้อนหลัง หลายปี เพื่อทำ Suspicious Activity Report (SAR)3.ขยายขอบเขต ไปยังบุคคลที่ 3 ที่อาจเกี่ยวข้องโดยอ้อม4.รับมือกับข่าวสารใหม่ ที่หลั่งไหลเข้ามาทุกวันเกี่ยวกับเครือข่ายนี้กรณี Huione สอนเราว่าการฟอกเงินยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ใส่เงินเข้าเครื่องซัก แล้วออกมาใหม่ แต่มันคือกาใช้กลไกซับซ้อนระหว่างโลกคริปโต และธนาคาร ซ่อนเงินไว้หลาย Layer ที่ไม่มีใครคนเดียวมองเห็นทั้งหมด ต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย องค์กรที่ไม่มี ระบบ compliance ที่เชื่อมโลกเก่ากับโลกใหม่เข้าด้วยกันจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป ไม่ใช่แค่เสียชื่อเสียง แต่อาจถูกตั้งข้อหา “ละเลยความเสี่ยง” และเสียใบอนุญาตได้Huione Group ไม่ใช่แค่บริษัทหนึ่งแต่มันคือสัญลักษณ์ของยุคที่อาชญากรใช้เทคโนโลยีล้ำหน้ากว่า Regulatorและโลกการเงินต้องตื่นตัว ปรับตัวอย่างไม่รีรอตัดท่อน้ำเลี้ยงให้เร็ว ก่อนที่ระบบจะล่มทั้งเครือข่าย ที่มา : https://x.com/galadriel_tx/status/1934425378522828961?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 620 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bitcoin ทำสถิติใหม่ ทะลุระดับสูงสุดเดิมจากเดือนมกราคม

    Bitcoin พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $109,481.83 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเป็นการฟื้นตัวหลังจากการเทขายครั้งใหญ่เมื่อเดือนที่แล้วที่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากร

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของ Bitcoin
    Bitcoin ทำสถิติใหม่ แซงระดับสูงสุดเดิมจากเดือนมกราคม
    - เพิ่มขึ้น 2% ในวันเดียว

    นักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากตลาดฟื้นตัวจากการเทขายครั้งใหญ่
    - การปรับขึ้นของ Bitcoin สะท้อนถึงแนวโน้มบวกในตลาดคริปโต

    ตลาดคริปโตโดยรวมมีแนวโน้มเป็นบวก โดย Ethereum และ Solana ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน
    - Ethereum แตะระดับ $4,200 และ Solana เพิ่มขึ้น 3%

    นักวิเคราะห์คาดว่า Bitcoin อาจแตะระดับ $120,000 ภายในสิ้นปีนี้
    - ปัจจัยที่สนับสนุนคือ การลดลงของอัตราดอกเบี้ยและการยอมรับคริปโตที่เพิ่มขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/bitcoin-rises-to-new-record-high-eclipses-january-top
    Bitcoin ทำสถิติใหม่ ทะลุระดับสูงสุดเดิมจากเดือนมกราคม Bitcoin พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $109,481.83 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเป็นการฟื้นตัวหลังจากการเทขายครั้งใหญ่เมื่อเดือนที่แล้วที่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากร 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของ Bitcoin ✅ Bitcoin ทำสถิติใหม่ แซงระดับสูงสุดเดิมจากเดือนมกราคม - เพิ่มขึ้น 2% ในวันเดียว ✅ นักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากตลาดฟื้นตัวจากการเทขายครั้งใหญ่ - การปรับขึ้นของ Bitcoin สะท้อนถึงแนวโน้มบวกในตลาดคริปโต ✅ ตลาดคริปโตโดยรวมมีแนวโน้มเป็นบวก โดย Ethereum และ Solana ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน - Ethereum แตะระดับ $4,200 และ Solana เพิ่มขึ้น 3% ✅ นักวิเคราะห์คาดว่า Bitcoin อาจแตะระดับ $120,000 ภายในสิ้นปีนี้ - ปัจจัยที่สนับสนุนคือ การลดลงของอัตราดอกเบี้ยและการยอมรับคริปโตที่เพิ่มขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/bitcoin-rises-to-new-record-high-eclipses-january-top
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitcoin rises to new record high, eclipses January top
    LONDON (Reuters) -The price of Bitcoin rose to its highest level on record on Wednesday, eclipsing the previous high from January, as risk sentiment continues to improve after last month's tariff-induced sell-off.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฮกเกอร์ขโมยเงินคริปโตกว่า 1.67 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2025 เพิ่มขึ้นถึง 303% จากไตรมาสก่อน เหตุการณ์สำคัญคือ การแฮก ByBit ที่ทำให้สูญเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ โดยกลุ่ม Lazarus Group ของเกาหลีเหนือ เงินที่ถูกขโมยคืนได้เพียง 0.4% โดยมี Wallet Compromise เป็นวิธีแฮกที่พบบ่อยที่สุด นักวิเคราะห์เตือนว่า บริษัทคริปโตต้องลงทุนในมาตรการความปลอดภัยมากขึ้นเพื่อป้องกันการสูญเสียมหาศาลในอนาคต

    เหตุการณ์สำคัญ—การแฮก ByBit เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด
    - ByBit ถูกโจมตีในเดือนกุมภาพันธ์ สูญเงินไป 1.5 พันล้านดอลลาร์ใน Ethereum
    - การแฮกเกิดขึ้นจาก Lazarus Group ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ

    ธุรกรรมที่ถูกขโมยคืนได้เพียง 0.4% เท่านั้น
    - เงินที่ถูกแฮกคืนได้เพียง 6.39 ล้านดอลลาร์
    - Blockchain มีข้อจำกัดด้านการย้อนธุรกรรม ทำให้การฟื้นเงินเป็นเรื่องยาก

    Wallet Compromise เป็นวิธีที่ถูกใช้โจมตีมากที่สุด
    - การสูญเสียคริปโตส่วนใหญ่มาจาก การแฮกกระเป๋าเงินดิจิทัล รองลงมาคือ การใช้ช่องโหว่ของโค้ด และการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง

    CertiK เตือนให้บริษัทคริปโตลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัย
    - การใช้มาตรการป้องกันล่วงหน้าและ AI Security อาจช่วยลดความเสียหายจากแฮกเกอร์ในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/security/over-usd1-5-billion-of-crypto-was-lost-to-scams-or-theft-this-year
    แฮกเกอร์ขโมยเงินคริปโตกว่า 1.67 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2025 เพิ่มขึ้นถึง 303% จากไตรมาสก่อน เหตุการณ์สำคัญคือ การแฮก ByBit ที่ทำให้สูญเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ โดยกลุ่ม Lazarus Group ของเกาหลีเหนือ เงินที่ถูกขโมยคืนได้เพียง 0.4% โดยมี Wallet Compromise เป็นวิธีแฮกที่พบบ่อยที่สุด นักวิเคราะห์เตือนว่า บริษัทคริปโตต้องลงทุนในมาตรการความปลอดภัยมากขึ้นเพื่อป้องกันการสูญเสียมหาศาลในอนาคต ✅ เหตุการณ์สำคัญ—การแฮก ByBit เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด - ByBit ถูกโจมตีในเดือนกุมภาพันธ์ สูญเงินไป 1.5 พันล้านดอลลาร์ใน Ethereum - การแฮกเกิดขึ้นจาก Lazarus Group ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ ✅ ธุรกรรมที่ถูกขโมยคืนได้เพียง 0.4% เท่านั้น - เงินที่ถูกแฮกคืนได้เพียง 6.39 ล้านดอลลาร์ - Blockchain มีข้อจำกัดด้านการย้อนธุรกรรม ทำให้การฟื้นเงินเป็นเรื่องยาก ✅ Wallet Compromise เป็นวิธีที่ถูกใช้โจมตีมากที่สุด - การสูญเสียคริปโตส่วนใหญ่มาจาก การแฮกกระเป๋าเงินดิจิทัล รองลงมาคือ การใช้ช่องโหว่ของโค้ด และการหลอกลวงแบบฟิชชิ่ง ✅ CertiK เตือนให้บริษัทคริปโตลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัย - การใช้มาตรการป้องกันล่วงหน้าและ AI Security อาจช่วยลดความเสียหายจากแฮกเกอร์ในอนาคต https://www.techradar.com/pro/security/over-usd1-5-billion-of-crypto-was-lost-to-scams-or-theft-this-year
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 622 มุมมอง 0 รีวิว
  • Donald Trump กำลังเข้าสู่โลกของคริปโตเคอเรนซีอย่างจริงจัง! ล่าสุดเขาได้เริ่มทำการสเตค (Staking) Ethereum (ETH) ผ่านแพลตฟอร์ม DeFi ที่ชื่อว่า World Liberty Financial ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการทางการเงินคริปโตแก่ผู้ใช้ทั่วไป

    ในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา World Liberty Financial ได้ซื้อ Ethereum จำนวน 50,000 เหรียญ มูลค่าประมาณ 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังซื้อ Bitcoin มูลค่า 4.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย นอกจากนี้ พวกเขายังพิจารณาการซื้อเหรียญ TRON (TRX) เพื่อเพิ่มในคลังของพวกเขา

    การสเตค Ethereum นี้หมายความว่า Trump จะได้รับประโยชน์จากการยืนยันธุรกรรมบนโปรโตคอล Ethereum โดยตรง ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและเป็นประวัติศาสตร์ในวงการคริปโตเคอเรนซี

    นอกจากนี้ เหรียญมีม $TRUMP ที่เปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ยังคงมีมูลค่าตลาดที่สูงถึง 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะมีการลดลงของมูลค่าในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

    https://wccftech.com/trump-is-now-staking-ethereum-eth/
    Donald Trump กำลังเข้าสู่โลกของคริปโตเคอเรนซีอย่างจริงจัง! ล่าสุดเขาได้เริ่มทำการสเตค (Staking) Ethereum (ETH) ผ่านแพลตฟอร์ม DeFi ที่ชื่อว่า World Liberty Financial ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการทางการเงินคริปโตแก่ผู้ใช้ทั่วไป ในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา World Liberty Financial ได้ซื้อ Ethereum จำนวน 50,000 เหรียญ มูลค่าประมาณ 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังซื้อ Bitcoin มูลค่า 4.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย นอกจากนี้ พวกเขายังพิจารณาการซื้อเหรียญ TRON (TRX) เพื่อเพิ่มในคลังของพวกเขา การสเตค Ethereum นี้หมายความว่า Trump จะได้รับประโยชน์จากการยืนยันธุรกรรมบนโปรโตคอล Ethereum โดยตรง ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและเป็นประวัติศาสตร์ในวงการคริปโตเคอเรนซี นอกจากนี้ เหรียญมีม $TRUMP ที่เปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ยังคงมีมูลค่าตลาดที่สูงถึง 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะมีการลดลงของมูลค่าในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา https://wccftech.com/trump-is-now-staking-ethereum-eth/
    WCCFTECH.COM
    Trump Is Now Staking Ethereum (ETH)
    Trump will now benefit from the authentication of transactions on the Ethereum protocol as World Liberty Financial starts staking ETH coins.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 0 รีวิว
  • อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและซีอีโอของเทสลา ได้เปลี่ยนชื่อผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม X เป็น "Kekius Maximus" เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2024 การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เหรียญมีมธีมกบชื่อ "Kekius Maximus" (KEKIUS) บนเครือข่าย Ethereum มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก

    จากการเปิดเผยของ dailyhodl ระบุว่าราคาของ KEKIUS พุ่งขึ้นจาก $0.00123 ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ไปสู่จุดสูงสุดที่ $0.40 ในวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 32,000%

    อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราคาก็ปรับตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ $0.264 ในขณะที่มูลค่าตลาดของเหรียญนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า $250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    การเปลี่ยนชื่อของมัสก์เป็น "Kekius Maximus" สื่อถึงเทพเจ้ากบในตำนานอียิปต์ชื่อ "Kek" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่นิยมในวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตและเกมเมอร์

    นอกจากนี้ "Kek" ยังเชื่อมโยงกับมีม "Pepe the Frog" ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหรียญมีม PEPE ที่มีมูลค่าตลาดกว่า $8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    มัสก์เป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุนเหรียญมีม เช่น Dogecoin (DOGE) และการกระทำของเขามักส่งผลต่อราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000000445

    #MGROnline #อีลอนมัสก์ #มหาเศรษฐี #ซีอีโอของเทสลา #KekiusMaximus #เหรียญมีมธีมกบ #KEKIUS #Ethereum
    อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและซีอีโอของเทสลา ได้เปลี่ยนชื่อผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม X เป็น "Kekius Maximus" เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2024 การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เหรียญมีมธีมกบชื่อ "Kekius Maximus" (KEKIUS) บนเครือข่าย Ethereum มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก • จากการเปิดเผยของ dailyhodl ระบุว่าราคาของ KEKIUS พุ่งขึ้นจาก $0.00123 ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ไปสู่จุดสูงสุดที่ $0.40 ในวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 32,000% • อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราคาก็ปรับตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ $0.264 ในขณะที่มูลค่าตลาดของเหรียญนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า $250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ • การเปลี่ยนชื่อของมัสก์เป็น "Kekius Maximus" สื่อถึงเทพเจ้ากบในตำนานอียิปต์ชื่อ "Kek" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่นิยมในวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตและเกมเมอร์ • นอกจากนี้ "Kek" ยังเชื่อมโยงกับมีม "Pepe the Frog" ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหรียญมีม PEPE ที่มีมูลค่าตลาดกว่า $8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ • มัสก์เป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุนเหรียญมีม เช่น Dogecoin (DOGE) และการกระทำของเขามักส่งผลต่อราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000000445 • #MGROnline #อีลอนมัสก์ #มหาเศรษฐี #ซีอีโอของเทสลา #KekiusMaximus #เหรียญมีมธีมกบ #KEKIUS #Ethereum
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 948 มุมมอง 0 รีวิว