• แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ
    ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา
    ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม
    ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน
    แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ)
    หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด
    ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง
    อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ) แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ) หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 11 – ปฏิบัติการฟอกย้อม
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 11 : ปฏิบัติการฟอกย้อม
    ปี ค.ศ.1913 เกิดเหตุการณ์ที่เหมืองถ่านหินในรัฐ Colorado รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ฆ่าโหด Ludlow (Ludlow Massacre) กรรมกรในเหมืองถ่านหินประมาณหมื่นกว่าคน พร้อมใจกันประท้วงนายจ้าง เนื่องจากหัวหน้ากรรมกรถูกฆาตกรรม กรรมกรพวกนี้เป็นคนต่างชาติ เช่น พวกกรีก อิตาเลียน และเซิร์บ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาในช่วงอุตสาหกรรมบูม การประท้วงลามไปถึง Colorado Fuel & Iron Corporation ซึ่งเป็นของตระกูล Rockefeller กรรมกรขอขึ้นค่าแรง เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่สุดห่วย แถมยังมีการกดขี่จากนายจ้าง และฝ่ายรัฐซึ่งเป็นเสมือนขี้ข้าของนายทุน (เพราะรับเงินส่วย !) ที่เป็นเจ้าของเหมือง นายทุนบอกโง่มาก คิดว่าเอากำลังคนมาขู่กำลังเงินจะสำเร็จหรือ ว่าแล้วก็ไล่กรรมกรและครอบครัวกระเจิงออกไปจากเหมือง กรรมกรคอตกไม่มีที่ไป จัดการกางเต็นท์ตั้งมันอยู่ที่นอกเมืองนั่นแหละ นายทุน Rockefeller บอกว่าเมื่อพูดด้วยปากไม่รู้เรื่อง ก็เอาปืนมาพูดแทนแล้วกัน แล้วเขาก็ไปจ้างพวกมือปืนรับจ้าง ซึ่งมีทั้งปืนกลและปืนไรเฟิล มายิ่งถล่มใส่เต้นท์กรรมกร
    ผู้ว่าการรัฐ Colorado รู้เรื่องเข้าก็บอก นายท่านจัดการเองแบบนี้ไม่ได้ เป็นหน้าที่ของกระผม แล้วขี้ข้าก็ไปรวบรวมเจ้าหน้าที่ ของรัฐ ซึ่งแน่นอน กินเงินเดือนของนายทุน Rockefeller มากวาดเต้นท์จนราบ ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1914 ประวัติศาสตร์ได้ บันทึกไว้ว่า กรรมกรที่รวมกลุ่มกันตั้งเต้นท์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีคนรวมกันประมาณพันคน มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและเด็ก ถูกปืนกลของเจ้าหน้าที่รัฐรัวใส่บาดเจ็บล้มตายระเนระนาดไปหมด และเมื่อกรรมกรยกธงขาวเดินเข้ามาขอเจรจาสงบศึก เขาก็ถูกปืนกลรัวใส่ตายคาที่เรียบร้อยอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นปืนกลก็รัวต่อจนถึงค่ำ ตามต่อด้วยเจ้าหน้าที่จุดไฟเผาเต้นท์จนไม่เหลือ กรรมกรตายเรียบ ในจำนวนผู้ที่ถูกไฟเผามีทั้งผู้หญิงและเด็ก ชื่อของฆ่าโหด Ludlow ก็เป็นที่รู้จักดังไปทั่วตั้งแต่นั้นมา หนังสือพิมพ์ลงข่าวทุกวัน พร้อมคำด่ามาจากทุกสารทิศ
    นายทุน Rockefeller บอกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ขอโทษอย่าเข้าใจผิดว่า เรื่องสาดปืนกลและเอาไฟเผาจะไม่เกิดขึ้นอีก เขาหมายความว่าการที่สื่อประโคมข่าวด่าแบบไม่เลิกนี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่างหาก ดังนั้น Rockefeller Foundation จึงได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัย เกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ propaganda เพื่อหาวิธีปิดปากสังคมเกี่ยวกับความไม่สงบทางสังคม และการเมือง ไหนๆ จะวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ควรจะทำกันให้ครบถ้วนไปเลย โดยหาวิธีคิดหลักสูตรเพิ่มคือ เอาให้ถึงวิธีชี้นำสังคม ว่าความจริง truth เป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่าจะทำให้สังคมคิดอย่างไรกับความจริงนั้นต่างหาก หาวิธีใส่ความคิดเข้าในหัวเรา !
    วิธีการนี้มาจากการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งได้มีการทดลองใช้ในช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 1 มาแล้ว โดยประธานาธิบดี Woodrow Wilson ได้ตั้งหน่วยงาน US Committee on Public Information (CPI) เพื่อให้ประชาชนสนับสนุนการทำสงคราม ก่อนทำสงครามประชาชนทั่วไป
    โดยเฉพาะชนชั้นกรรมกร ไม่มีใครอยากให้ทำสงคราม เพราะมีแต่ความอดอยาก ชาวบ้านบอกว่าสงครามเป็นเรื่อง ของคนรวย แต่นาย Walter Lippman นักคิด นักเขียน จากมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ปลื้มมาก บอกว่าเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดที่สุดในพวกวัยเดียวกับเขา (ตอนนั้นเขาอายุ 25 ปี) นาย Lippman บอกว่าที่ทำสงครามเพื่อทำให้ประชาธิปไตยเราปลอดภัย เป็นการพูดที่ฟังแล้วดูสวยหรู แต่เป็นตรรกะที่ห่วยมาก แต่คนก็พากันเชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้หนุ่มน้อยนี้เป็นที่ชื่นชมของประธานาธิบดีหรือเปล่า ฝรั่งก็สอพลอเป็น
    นาย Lippman ยังมีความเห็นอีกว่า คนส่วนใหญ่จะมีความเห็นชอบหรือไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ว่างั้นเถอะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผล (ด้วยเหตุว่า) คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความเฉลียวฉลาดมากนัก และไม่มีความคิดที่มั่นคง แถมเป็นพวกที่ไม่ชอบใช้ความคิด หรือไม่ใช้เวลามานั่งคิดว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้บ้าง คนพวกนี้คือคนส่วนใหญ่ของสังคม (พวกโลกสวย?!) เป็นมวลชน เป็นกลุ่มชน ที่ควรจะต้องมีการชี้นำ กำกับ โดยผู้นำ ซึ่งก็อาจจะชี้นำถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นในความเห็นของนาย Lippman คือ ควรจะมีผู้เชี่ยวชาญ ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแนะนำ ให้แก่ผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ
    ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เป็นผู้ที่มีความคิดเฉลียวฉลาด มีปัญญามองอะไรทะลุปรุโปร่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้บริหารชั้นสูง คนระดับสูงของประเทศ หรือผู้นำกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งเขาเหล่านี้มักจะอยู่ในระดับสูงสุดของสังคม (นี่มันไม่ใช่ แค่แบ่งชนชั้นทางสังคมนะ เป็นการแบ่งชนชั้นทางปัญญาอีกด้วย !)
    นาย Rockefeller ถูกใจมาก เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกใช่แล้วพ่อหนุ่ม เราควรนำมาใช้ในทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะใช้ในการครองโลก รวมทั้งด้านธุรกิจสังคมและการเมือง เพื่อชี้นำประชาชน (ฟ้อกย้อมความคิดแบบสมบูรณ์) และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดสร้างถังความคิด (Think Tank) CFR ซึ่งแน่นอนภายหลัง นาย Lippmann เป็นหนึ่งในนักคิดคนสำคัญของ CFR ด้วย
    วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ Propaganda พัฒนามาจนถึงปี ค.ศ.1928 Edward Bernays ซึ่งเป็นหลานของ Sigmund Freud และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้วางแผนโฆษณาชวนเชื่อให้กับประธานาธิบดี Woodrow Wilson ในสำนักงาน CPI เขียนหนังสือชื่อ Propaganda การโฆษณาชวนเชื่อ ถือเป็นตำราที่ผู้นำทั้งหลายนำไปใช้ ในการต้อนประชาชนเข้าคอก เขาบอกว่า ประชาชนสามารถถูกชี้นำได้โดยคนไม่กี่คน ที่เข้าใจขบวนการนึกคิดและรูปแบบของมวลชน คนไม่กี่คนนี้สามารถทำหน้าที่เป็นคนกระตุกเชือกในการคุมและชี้นำความคิดของมหาชน เหมือนเวลาจะต้อนสัตว์เข้าคอกนั่นแหละ
    วิธีการเช่นนี้ ปรากฎว่าได้ผลไปในทุกวงการและทั่วโลกและยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ เพียงแต่เขาเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า engineering consent หรือ constructing consent กระบวนการจัดการให้ได้รับความยินยอมความเห็นชอบ ที่นักล่าเอาไว้ใช้ในการล่าเหยื่อ โดยไม่ต้องออกแรงใช้อาวุธ เพียงแค่หาวิธีย้อมความคิดเหยื่อ จนเหยื่อหลงเชื่อคล้อยตาม และเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวแบบสบายๆ 60 ปีมานี้สมันน้อยเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวอย่างสบายใจกันเกือบหมดแล้ว
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 11 – ปฏิบัติการฟอกย้อม นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 11 : ปฏิบัติการฟอกย้อม ปี ค.ศ.1913 เกิดเหตุการณ์ที่เหมืองถ่านหินในรัฐ Colorado รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ฆ่าโหด Ludlow (Ludlow Massacre) กรรมกรในเหมืองถ่านหินประมาณหมื่นกว่าคน พร้อมใจกันประท้วงนายจ้าง เนื่องจากหัวหน้ากรรมกรถูกฆาตกรรม กรรมกรพวกนี้เป็นคนต่างชาติ เช่น พวกกรีก อิตาเลียน และเซิร์บ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาในช่วงอุตสาหกรรมบูม การประท้วงลามไปถึง Colorado Fuel & Iron Corporation ซึ่งเป็นของตระกูล Rockefeller กรรมกรขอขึ้นค่าแรง เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่สุดห่วย แถมยังมีการกดขี่จากนายจ้าง และฝ่ายรัฐซึ่งเป็นเสมือนขี้ข้าของนายทุน (เพราะรับเงินส่วย !) ที่เป็นเจ้าของเหมือง นายทุนบอกโง่มาก คิดว่าเอากำลังคนมาขู่กำลังเงินจะสำเร็จหรือ ว่าแล้วก็ไล่กรรมกรและครอบครัวกระเจิงออกไปจากเหมือง กรรมกรคอตกไม่มีที่ไป จัดการกางเต็นท์ตั้งมันอยู่ที่นอกเมืองนั่นแหละ นายทุน Rockefeller บอกว่าเมื่อพูดด้วยปากไม่รู้เรื่อง ก็เอาปืนมาพูดแทนแล้วกัน แล้วเขาก็ไปจ้างพวกมือปืนรับจ้าง ซึ่งมีทั้งปืนกลและปืนไรเฟิล มายิ่งถล่มใส่เต้นท์กรรมกร ผู้ว่าการรัฐ Colorado รู้เรื่องเข้าก็บอก นายท่านจัดการเองแบบนี้ไม่ได้ เป็นหน้าที่ของกระผม แล้วขี้ข้าก็ไปรวบรวมเจ้าหน้าที่ ของรัฐ ซึ่งแน่นอน กินเงินเดือนของนายทุน Rockefeller มากวาดเต้นท์จนราบ ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1914 ประวัติศาสตร์ได้ บันทึกไว้ว่า กรรมกรที่รวมกลุ่มกันตั้งเต้นท์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีคนรวมกันประมาณพันคน มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและเด็ก ถูกปืนกลของเจ้าหน้าที่รัฐรัวใส่บาดเจ็บล้มตายระเนระนาดไปหมด และเมื่อกรรมกรยกธงขาวเดินเข้ามาขอเจรจาสงบศึก เขาก็ถูกปืนกลรัวใส่ตายคาที่เรียบร้อยอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นปืนกลก็รัวต่อจนถึงค่ำ ตามต่อด้วยเจ้าหน้าที่จุดไฟเผาเต้นท์จนไม่เหลือ กรรมกรตายเรียบ ในจำนวนผู้ที่ถูกไฟเผามีทั้งผู้หญิงและเด็ก ชื่อของฆ่าโหด Ludlow ก็เป็นที่รู้จักดังไปทั่วตั้งแต่นั้นมา หนังสือพิมพ์ลงข่าวทุกวัน พร้อมคำด่ามาจากทุกสารทิศ นายทุน Rockefeller บอกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ขอโทษอย่าเข้าใจผิดว่า เรื่องสาดปืนกลและเอาไฟเผาจะไม่เกิดขึ้นอีก เขาหมายความว่าการที่สื่อประโคมข่าวด่าแบบไม่เลิกนี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่างหาก ดังนั้น Rockefeller Foundation จึงได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัย เกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ propaganda เพื่อหาวิธีปิดปากสังคมเกี่ยวกับความไม่สงบทางสังคม และการเมือง ไหนๆ จะวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ควรจะทำกันให้ครบถ้วนไปเลย โดยหาวิธีคิดหลักสูตรเพิ่มคือ เอาให้ถึงวิธีชี้นำสังคม ว่าความจริง truth เป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่าจะทำให้สังคมคิดอย่างไรกับความจริงนั้นต่างหาก หาวิธีใส่ความคิดเข้าในหัวเรา ! วิธีการนี้มาจากการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งได้มีการทดลองใช้ในช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 1 มาแล้ว โดยประธานาธิบดี Woodrow Wilson ได้ตั้งหน่วยงาน US Committee on Public Information (CPI) เพื่อให้ประชาชนสนับสนุนการทำสงคราม ก่อนทำสงครามประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชนชั้นกรรมกร ไม่มีใครอยากให้ทำสงคราม เพราะมีแต่ความอดอยาก ชาวบ้านบอกว่าสงครามเป็นเรื่อง ของคนรวย แต่นาย Walter Lippman นักคิด นักเขียน จากมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ปลื้มมาก บอกว่าเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดที่สุดในพวกวัยเดียวกับเขา (ตอนนั้นเขาอายุ 25 ปี) นาย Lippman บอกว่าที่ทำสงครามเพื่อทำให้ประชาธิปไตยเราปลอดภัย เป็นการพูดที่ฟังแล้วดูสวยหรู แต่เป็นตรรกะที่ห่วยมาก แต่คนก็พากันเชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้หนุ่มน้อยนี้เป็นที่ชื่นชมของประธานาธิบดีหรือเปล่า ฝรั่งก็สอพลอเป็น นาย Lippman ยังมีความเห็นอีกว่า คนส่วนใหญ่จะมีความเห็นชอบหรือไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ว่างั้นเถอะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผล (ด้วยเหตุว่า) คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความเฉลียวฉลาดมากนัก และไม่มีความคิดที่มั่นคง แถมเป็นพวกที่ไม่ชอบใช้ความคิด หรือไม่ใช้เวลามานั่งคิดว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้บ้าง คนพวกนี้คือคนส่วนใหญ่ของสังคม (พวกโลกสวย?!) เป็นมวลชน เป็นกลุ่มชน ที่ควรจะต้องมีการชี้นำ กำกับ โดยผู้นำ ซึ่งก็อาจจะชี้นำถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นในความเห็นของนาย Lippman คือ ควรจะมีผู้เชี่ยวชาญ ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแนะนำ ให้แก่ผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เป็นผู้ที่มีความคิดเฉลียวฉลาด มีปัญญามองอะไรทะลุปรุโปร่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้บริหารชั้นสูง คนระดับสูงของประเทศ หรือผู้นำกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งเขาเหล่านี้มักจะอยู่ในระดับสูงสุดของสังคม (นี่มันไม่ใช่ แค่แบ่งชนชั้นทางสังคมนะ เป็นการแบ่งชนชั้นทางปัญญาอีกด้วย !) นาย Rockefeller ถูกใจมาก เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกใช่แล้วพ่อหนุ่ม เราควรนำมาใช้ในทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะใช้ในการครองโลก รวมทั้งด้านธุรกิจสังคมและการเมือง เพื่อชี้นำประชาชน (ฟ้อกย้อมความคิดแบบสมบูรณ์) และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดสร้างถังความคิด (Think Tank) CFR ซึ่งแน่นอนภายหลัง นาย Lippmann เป็นหนึ่งในนักคิดคนสำคัญของ CFR ด้วย วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ Propaganda พัฒนามาจนถึงปี ค.ศ.1928 Edward Bernays ซึ่งเป็นหลานของ Sigmund Freud และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้วางแผนโฆษณาชวนเชื่อให้กับประธานาธิบดี Woodrow Wilson ในสำนักงาน CPI เขียนหนังสือชื่อ Propaganda การโฆษณาชวนเชื่อ ถือเป็นตำราที่ผู้นำทั้งหลายนำไปใช้ ในการต้อนประชาชนเข้าคอก เขาบอกว่า ประชาชนสามารถถูกชี้นำได้โดยคนไม่กี่คน ที่เข้าใจขบวนการนึกคิดและรูปแบบของมวลชน คนไม่กี่คนนี้สามารถทำหน้าที่เป็นคนกระตุกเชือกในการคุมและชี้นำความคิดของมหาชน เหมือนเวลาจะต้อนสัตว์เข้าคอกนั่นแหละ วิธีการเช่นนี้ ปรากฎว่าได้ผลไปในทุกวงการและทั่วโลกและยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ เพียงแต่เขาเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า engineering consent หรือ constructing consent กระบวนการจัดการให้ได้รับความยินยอมความเห็นชอบ ที่นักล่าเอาไว้ใช้ในการล่าเหยื่อ โดยไม่ต้องออกแรงใช้อาวุธ เพียงแค่หาวิธีย้อมความคิดเหยื่อ จนเหยื่อหลงเชื่อคล้อยตาม และเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวแบบสบายๆ 60 ปีมานี้สมันน้อยเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวอย่างสบายใจกันเกือบหมดแล้ว คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 10 – ล้อมเข้าคอก
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 10 : ล้อมเข้าคอก
    อีกงานหนึ่งที่มูลนิธิ Rockefeller ทำไปพร้อมๆ กัน คือการคิดหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัย ชั้นนำของอเมริกา คือหลักสูตร International Relations ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเขามอบให้ มหาวิทยาลัย Yale เริ่มศึกษาคิดหลักสูตรนี้ ตั้งแต่ ค.ศ.1930 โดยมูลนิธิควักกระเป๋าเช่นเคย ในที่สุดในปี ค.ศ.1935 Yale Institute of International Studies ก็เกิดขึ้น และต่อมา Yale Institute นี้ ได้ร่วมทำงานกับรัฐบาล ผ่านหน่วยงาน State Department, War Department และ Board of Economic Warfare รับหน้าที่อบรมให้กองทัพอเมริกาโดยเฉพาะ ซึ่ง Yale Institute ก็ตั้ง School of Asiatic Studies ในปี ค.ศ.1945 เพื่อเตรียมตัวกองทัพในการรับมือกับภาระกิจที่จะเกิดขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล หรือพูดให้ชัดเป็นไปตามที่ CFR วางแผนไว้
    ทั้งหมดนี้ มูลนิธิ Rockefeller วางยุทธศาสตร์การดำเนินการ เพื่อให้แน่ใจว่า สถาบันองค์กรต่างๆ มหาวิทยาลัย หรือผู้นำทางสังคม มีความเข้าใจ มองโลก และมองบทบาทของอเมริกา ตามที่พี่เลี้ยง CFR กำหนดไว้ และสถาบันเหล่านี้จะสามารถทำให้ประชาชนเชื่อถือและ มีความเห็นคล้อยตาม เขาเรียกโครงการนี้ว่า Scientific Management of Society มันเป็นการสร้างพื้นฐานความคิดให้แก่สังคม หรือการสร้างคอกล้อมความคิดของสังคมเพื่อให้คิดอย่างที่นายทุนนักล่า ต้องการให้สังคมเห็นด้วยคล้อยตาม มันคือการฟอกย้อมความคิด สร้างทั้งคอก มีเชือกผูกคอ ไว้ลากจูงเสร็จ มันเป็นงานใหญ่ที่เอาไว้ใช้ครอบคลุมคนทั้งโลก ทุกชนชั้น และเกือบทุกอาชีพ เขาเริ่มโครงการสร้างคอกในบ้านก่อน จึงไม่น่าแปลกใจว่าแม้คนอเมริกันเองก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลของตนเอง
    เมื่อจัดการวางแผนสร้างคอกในบ้านแล้ว ก็เริ่มโครงการสร้างคอกนอกบ้านทางอ้อม ตั้งแต่ ค.ศ.1934 เป็นต้นมา ทั้งมูลนิธิ Rockefeller, มูลนิธิ Ford และ Caregie ต่างช่วยกันสนับสนุนเงินทุนในการศึกษาโครงการ Area Studies ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของประเทศที่เป็น non-western วิชานี้ เดิมเริ่มมาจากหลักสูตรที่คิดขึ้นโดยสถาบันการศึกษาของอังกฤษ ซึ่งแสดงการแบ่งแยกชัดเจนว่า เป็นเรา (ตะวันตก) เป็นเขา (ตะวันออก) และมีการแสดงออกถึงความเป็นผู้อยู่ในสถานะสูงกว่า (นายเหนือและขี้ข้า) อย่างชัดเจน พี่เลี้ยงบอกว่าวิธีการสอนแบบนี้ มันคงไม่ได้ผล เราจะหลอกต้มเขา เราต้องทำให้เนียน บอกแล้วเราต้องพรางตัว เราคิดหลักสูตรใหม่แล้วกัน สอนแบบอื่น ให้ได้ผลเหมือนกันน่ะ ให้เราก็ยังคุมเขา เป็นนายเขา เหมือนเดิมโดยเขาไม่รู้ตัว เราต้องทำให้เขาคิดว่า ถ้าเขาคิดแบบเรา มีความรู้แบบเรา แล้วจะทำให้เขาเหมือนเรา เป็นที่ยอมรับของเราน่ะ ทำได้ไหม แค่ใส่ความคิดให้เขาน่ะ แต่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ในที่สุดโดยเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิใจกว้างทั้ง 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ตั้งแต่ University of Chicago, Columbia, North Carolina, Harvard, Yale, Virginia, Texas, Stanford etc. ต่างก็นำนโยบายของพี่เลี้ยง CFR ไปตั้งหลักสูตรทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปปรับความคิด จัดการฟอกย้อมสังคมโดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของอเมริกาสำเร็จ
    อันที่จริงหลักสูตรการสร้างคอกนี้ ไม่ใช่ทำอยู่แต่ในอเมริกาเท่านั้น ช่วงระหว่าง ค.ศ.1919 – 1940 หลักสูตรการสร้างคอกนี้ ขยายไปถึงอังกฤษผ่านการสนับสนุน ทางการเงินแก่ London School of Economics, the Graduate Institute of International Studies ในสวิส, the Centre dEtudies Politiqnes Etrangeres ในฝรั่งเศส รวมทั้งใน Norway, Sweden, Denmark, Germany และ Holland เขาสร้างหลักสูตรวิชารัฐศาสตร์ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สังคมวิทยา ฯลฯ ตามทฤษฎีของอเมริกา ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม มันเป็นการฝั่งรากความคิดเกี่ยวกับสังคม/การเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดระเบียบโลกใหม่ ต้องถือว่าการสร้างคอกความคิด ทำได้สำเร็จ คอกยาวล้อมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนไม่สำคัญ เพราะอัดสำเนา ถ่ายก็อปบี้มาเหมือนกันหมด
    ทั้งหมดนี้เป็นการให้ทุนสนับสนุนแก่สถาบัน และให้โดยตรงกับนักศึกษา ส่วนผู้สนับสนุนเงินทุน ไม่ต้องเสียเวลาเดา มีอยู่ไม่กี่เจ้าแต่เอาจริงกระเป๋าหนัก เพื่อการครองโลกของเขา Rockefeller Foundation, Carnegie Foundation, Ford Foundation etc.
    ในบ้านเราหลักสูตรการล้อมคอกนี้ มีสอนอยู่ในหลายมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นมาก น่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะอาจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ได้ทุนจากสถาบันต่างๆ ของอเมริกา ตามแนวทางสร้างคอก แต่ถึงจะจบจากประเทศไหนก็คงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างว่าใช้ก็อปบี้สำเนาเดียวกัน ส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีและไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ช่วงหลังๆ ใส่ผงชูรสจัดเข้าไปตามใบสั่งบวกกับใบเสร็จ และในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในระยะ 10 – 20 ปี หลังนี้ ก็มีหลักสูตรเช่นนี้ด้วย
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 10 – ล้อมเข้าคอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 10 : ล้อมเข้าคอก อีกงานหนึ่งที่มูลนิธิ Rockefeller ทำไปพร้อมๆ กัน คือการคิดหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัย ชั้นนำของอเมริกา คือหลักสูตร International Relations ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเขามอบให้ มหาวิทยาลัย Yale เริ่มศึกษาคิดหลักสูตรนี้ ตั้งแต่ ค.ศ.1930 โดยมูลนิธิควักกระเป๋าเช่นเคย ในที่สุดในปี ค.ศ.1935 Yale Institute of International Studies ก็เกิดขึ้น และต่อมา Yale Institute นี้ ได้ร่วมทำงานกับรัฐบาล ผ่านหน่วยงาน State Department, War Department และ Board of Economic Warfare รับหน้าที่อบรมให้กองทัพอเมริกาโดยเฉพาะ ซึ่ง Yale Institute ก็ตั้ง School of Asiatic Studies ในปี ค.ศ.1945 เพื่อเตรียมตัวกองทัพในการรับมือกับภาระกิจที่จะเกิดขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล หรือพูดให้ชัดเป็นไปตามที่ CFR วางแผนไว้ ทั้งหมดนี้ มูลนิธิ Rockefeller วางยุทธศาสตร์การดำเนินการ เพื่อให้แน่ใจว่า สถาบันองค์กรต่างๆ มหาวิทยาลัย หรือผู้นำทางสังคม มีความเข้าใจ มองโลก และมองบทบาทของอเมริกา ตามที่พี่เลี้ยง CFR กำหนดไว้ และสถาบันเหล่านี้จะสามารถทำให้ประชาชนเชื่อถือและ มีความเห็นคล้อยตาม เขาเรียกโครงการนี้ว่า Scientific Management of Society มันเป็นการสร้างพื้นฐานความคิดให้แก่สังคม หรือการสร้างคอกล้อมความคิดของสังคมเพื่อให้คิดอย่างที่นายทุนนักล่า ต้องการให้สังคมเห็นด้วยคล้อยตาม มันคือการฟอกย้อมความคิด สร้างทั้งคอก มีเชือกผูกคอ ไว้ลากจูงเสร็จ มันเป็นงานใหญ่ที่เอาไว้ใช้ครอบคลุมคนทั้งโลก ทุกชนชั้น และเกือบทุกอาชีพ เขาเริ่มโครงการสร้างคอกในบ้านก่อน จึงไม่น่าแปลกใจว่าแม้คนอเมริกันเองก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลของตนเอง เมื่อจัดการวางแผนสร้างคอกในบ้านแล้ว ก็เริ่มโครงการสร้างคอกนอกบ้านทางอ้อม ตั้งแต่ ค.ศ.1934 เป็นต้นมา ทั้งมูลนิธิ Rockefeller, มูลนิธิ Ford และ Caregie ต่างช่วยกันสนับสนุนเงินทุนในการศึกษาโครงการ Area Studies ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของประเทศที่เป็น non-western วิชานี้ เดิมเริ่มมาจากหลักสูตรที่คิดขึ้นโดยสถาบันการศึกษาของอังกฤษ ซึ่งแสดงการแบ่งแยกชัดเจนว่า เป็นเรา (ตะวันตก) เป็นเขา (ตะวันออก) และมีการแสดงออกถึงความเป็นผู้อยู่ในสถานะสูงกว่า (นายเหนือและขี้ข้า) อย่างชัดเจน พี่เลี้ยงบอกว่าวิธีการสอนแบบนี้ มันคงไม่ได้ผล เราจะหลอกต้มเขา เราต้องทำให้เนียน บอกแล้วเราต้องพรางตัว เราคิดหลักสูตรใหม่แล้วกัน สอนแบบอื่น ให้ได้ผลเหมือนกันน่ะ ให้เราก็ยังคุมเขา เป็นนายเขา เหมือนเดิมโดยเขาไม่รู้ตัว เราต้องทำให้เขาคิดว่า ถ้าเขาคิดแบบเรา มีความรู้แบบเรา แล้วจะทำให้เขาเหมือนเรา เป็นที่ยอมรับของเราน่ะ ทำได้ไหม แค่ใส่ความคิดให้เขาน่ะ แต่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในที่สุดโดยเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิใจกว้างทั้ง 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ตั้งแต่ University of Chicago, Columbia, North Carolina, Harvard, Yale, Virginia, Texas, Stanford etc. ต่างก็นำนโยบายของพี่เลี้ยง CFR ไปตั้งหลักสูตรทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปปรับความคิด จัดการฟอกย้อมสังคมโดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของอเมริกาสำเร็จ อันที่จริงหลักสูตรการสร้างคอกนี้ ไม่ใช่ทำอยู่แต่ในอเมริกาเท่านั้น ช่วงระหว่าง ค.ศ.1919 – 1940 หลักสูตรการสร้างคอกนี้ ขยายไปถึงอังกฤษผ่านการสนับสนุน ทางการเงินแก่ London School of Economics, the Graduate Institute of International Studies ในสวิส, the Centre dEtudies Politiqnes Etrangeres ในฝรั่งเศส รวมทั้งใน Norway, Sweden, Denmark, Germany และ Holland เขาสร้างหลักสูตรวิชารัฐศาสตร์ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สังคมวิทยา ฯลฯ ตามทฤษฎีของอเมริกา ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม มันเป็นการฝั่งรากความคิดเกี่ยวกับสังคม/การเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดระเบียบโลกใหม่ ต้องถือว่าการสร้างคอกความคิด ทำได้สำเร็จ คอกยาวล้อมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนไม่สำคัญ เพราะอัดสำเนา ถ่ายก็อปบี้มาเหมือนกันหมด ทั้งหมดนี้เป็นการให้ทุนสนับสนุนแก่สถาบัน และให้โดยตรงกับนักศึกษา ส่วนผู้สนับสนุนเงินทุน ไม่ต้องเสียเวลาเดา มีอยู่ไม่กี่เจ้าแต่เอาจริงกระเป๋าหนัก เพื่อการครองโลกของเขา Rockefeller Foundation, Carnegie Foundation, Ford Foundation etc. ในบ้านเราหลักสูตรการล้อมคอกนี้ มีสอนอยู่ในหลายมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นมาก น่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะอาจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ได้ทุนจากสถาบันต่างๆ ของอเมริกา ตามแนวทางสร้างคอก แต่ถึงจะจบจากประเทศไหนก็คงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างว่าใช้ก็อปบี้สำเนาเดียวกัน ส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีและไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ช่วงหลังๆ ใส่ผงชูรสจัดเข้าไปตามใบสั่งบวกกับใบเสร็จ และในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในระยะ 10 – 20 ปี หลังนี้ ก็มีหลักสูตรเช่นนี้ด้วย คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 9 – สร้างคอก
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 9 : สร้างคอก
    เมื่อมีใบสั่งออกมาว่า อเมริกาจะต้องเป็นผู้ครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เลี้ยงก็เริ่มเตรียมการ จะให้นักล่าครองโลก ไปแต่หัวได้อย่างไร แขนขามือเท้าก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา ภายใน ประเทศเสียใหม่ เพื่อเตรียมตัว พวก technocrat และพวกชนชั้นระดับสูงในสังคม elites ให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้ว่า ระดับประเทศเขาจะทำอะไร เมื่ออเมริกาจะควบคุม Grand Area ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ area พวกนี้ไว้ ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร มีอะไรน่าขะโมย น่าเคี้ยวบ้าง ไม่ใช่พูดถึง area ไหน แล้วนั่งเซ่อ ยังขี่ช้างอยู่หรือเปล่า งูบ้านยูแยะไหม แบบนั้นไม่เอานะ หลักสูตรและโครงการศึกษาที่เรียกว่า Area Studies จึงเกิดขึ้น โดยการนำเอาปัญญาชน นักวิชาการ นักผู้เชี่ยวชาญจากทุกแหล่ง มาช่วยจัดสร้างหลักสูตร สำหรับ Area Studies นี้ และนาย Kenneth ตัวแสบของเรา จึงน่าจะได้รับภาระกิจให้ไปเป็นนักสำรวจรุ่นแรกๆ ที่นำข้อมูลมาร่วมในการจัดทำหลักสูตร Area Studies นี้ด้วย
    มูลนิธิ Rockefeller รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ใหญ่ ในการจับอเมริกามาแต่งตัว แต่งหน้าใหม่ (ทำ face lift !) จากอยู่ในสังคมแบบสันโดษ isolist society เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในสังคมโลก globalist society (จริงๆ จะกำหนดสังคมโลกใหม่น่ะ แต่มันต้องค่อยๆ ทำ จากคุณลุงวัย 60 พุงห้อย กล้ามเหี่ยว เป็นหนุ่มแน่นกล้ามท้องเรียงเป็นตับ มันต้องใช้เวลาสร้างนะ)
    ขบวนการแต่งตัวใหม่ให้อเมริกา เริ่มดำเนินการโดย CFR มาตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา แต่มาเห็นเด่นชัด เมื่อมีการศึกษา War and Peace Studies ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทีม CFR กับทีม State Department โดยมูลนิธิ Rockefeller เป็นผู้อุปถัมภ์ควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้มูลนิธิยังให้ทำการศึกษาวิจัยอีกหลายโครงการ ในช่วง ค.ศ.1930 – 1940 ในช่วงนักล่าตั้งไข่หัดเดิน เพื่อช่วยให้ผู้บริหารของรัฐบาลระดับวางนโยบายและฝ่ายวิชาการ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมโลกและเป้าหมายการครองโลกของอเมริกาในทิศทางเดียวกัน
    นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ.1927-1945 มูลนิธิยังตั้ง study group เพื่อเตรียมออกสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มากในช่วงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ การจัดทำสิ่งพิมพ์ publications นี้ ก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง CFR กับ State Department อีกเช่นเดียวกัน นาย William P. Bundy ถึงกับเอ่ยปากว่ายังไม่เคยมีหน่วยงานเอกชนใด ก็มีโอกาสทำงานกับฝ่ายรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (ตกลงใครเป็นผู้นำประเทศกันแน่ รัฐบาลหรือ CFR ?) นาย Bundy ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กในคาถาที่ CFR แอบส่งมาประกบรัฐบาลตั้งแต่ต้น ต่อมาปี ค.ศ.1950 เขาได้เป็นนักวิเคราะห์สังกัดหน่วยงาน CIA และเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดี Kennedy และเป็นผช.รมว.ใน State Department เป็นผู้ดูแลงานด้าน East Asian and Pacific Affairs ในสมัยรัฐบาล Lyndon Johnson ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดี ในการตัดสินใจในสมัยสงครามเวี ยตนาม เมื่อนาย David Rockefeller ลงมาคุม CFR เต็มตัวในตำแหน่งประธาน CFR เมื่อปี ค.ศ.1970 เขาได้ขอ (สั่ง !) ให้นาย William Bundy มาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Affairs ของ CFR ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลสูงมากในวง การเมืองระหว่างประเทศ นาย Bundy ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1984 ส่วนพี่ชายของเขา นาย McGeorge Bundy ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้แก่ประธานาธิบดี Kennedy ประธานาธิบดี Johnson รวมทั้งรับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ Ford ด้วย ตั้งแต่ ค.ศ.1966-1979 (เอาว่าเด็กในคาถาของ CFR เข้ายึดตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเกือบหมด)
    นอกจากจัดหลักสูตรติวเข้มให้กับสังคมระดับไข่แดงแล้ว มูลนิธิ Rockefeller ก็ได้เตรียมการสำหรับสังคมระดับไข่ขาวด้วย เพื่อให้สังคมทั่วไปรู้จักการก้าวเข้าไปสู่สังคมนานาชาติของอเมริกา โดยเขาตั้ง Foreign Policy Association (FPA) และ Institute of Pacifics Relations (IPR) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสร้างความเห็นของมวลชน (เริ่มรายการฟอกย้อม ความคิดคนในประเทศก่อน) โดยย้อมความคิดทางสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ให้ตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนมัธยม นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ครู โรงเรียน สหภาพ นักธุรกิจ และสมาคมสตรีทั้งหลาย และสังคมทั่วไป โครงการนี้เพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ยุคใหม่ของอเมริกานั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิได้ระบุไว้ในการเสนอโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง (เขาเขียนกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ !)
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 9 – สร้างคอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 9 : สร้างคอก เมื่อมีใบสั่งออกมาว่า อเมริกาจะต้องเป็นผู้ครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เลี้ยงก็เริ่มเตรียมการ จะให้นักล่าครองโลก ไปแต่หัวได้อย่างไร แขนขามือเท้าก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา ภายใน ประเทศเสียใหม่ เพื่อเตรียมตัว พวก technocrat และพวกชนชั้นระดับสูงในสังคม elites ให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้ว่า ระดับประเทศเขาจะทำอะไร เมื่ออเมริกาจะควบคุม Grand Area ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ area พวกนี้ไว้ ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร มีอะไรน่าขะโมย น่าเคี้ยวบ้าง ไม่ใช่พูดถึง area ไหน แล้วนั่งเซ่อ ยังขี่ช้างอยู่หรือเปล่า งูบ้านยูแยะไหม แบบนั้นไม่เอานะ หลักสูตรและโครงการศึกษาที่เรียกว่า Area Studies จึงเกิดขึ้น โดยการนำเอาปัญญาชน นักวิชาการ นักผู้เชี่ยวชาญจากทุกแหล่ง มาช่วยจัดสร้างหลักสูตร สำหรับ Area Studies นี้ และนาย Kenneth ตัวแสบของเรา จึงน่าจะได้รับภาระกิจให้ไปเป็นนักสำรวจรุ่นแรกๆ ที่นำข้อมูลมาร่วมในการจัดทำหลักสูตร Area Studies นี้ด้วย มูลนิธิ Rockefeller รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ใหญ่ ในการจับอเมริกามาแต่งตัว แต่งหน้าใหม่ (ทำ face lift !) จากอยู่ในสังคมแบบสันโดษ isolist society เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในสังคมโลก globalist society (จริงๆ จะกำหนดสังคมโลกใหม่น่ะ แต่มันต้องค่อยๆ ทำ จากคุณลุงวัย 60 พุงห้อย กล้ามเหี่ยว เป็นหนุ่มแน่นกล้ามท้องเรียงเป็นตับ มันต้องใช้เวลาสร้างนะ) ขบวนการแต่งตัวใหม่ให้อเมริกา เริ่มดำเนินการโดย CFR มาตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา แต่มาเห็นเด่นชัด เมื่อมีการศึกษา War and Peace Studies ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทีม CFR กับทีม State Department โดยมูลนิธิ Rockefeller เป็นผู้อุปถัมภ์ควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้มูลนิธิยังให้ทำการศึกษาวิจัยอีกหลายโครงการ ในช่วง ค.ศ.1930 – 1940 ในช่วงนักล่าตั้งไข่หัดเดิน เพื่อช่วยให้ผู้บริหารของรัฐบาลระดับวางนโยบายและฝ่ายวิชาการ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมโลกและเป้าหมายการครองโลกของอเมริกาในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ.1927-1945 มูลนิธิยังตั้ง study group เพื่อเตรียมออกสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มากในช่วงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ การจัดทำสิ่งพิมพ์ publications นี้ ก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง CFR กับ State Department อีกเช่นเดียวกัน นาย William P. Bundy ถึงกับเอ่ยปากว่ายังไม่เคยมีหน่วยงานเอกชนใด ก็มีโอกาสทำงานกับฝ่ายรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (ตกลงใครเป็นผู้นำประเทศกันแน่ รัฐบาลหรือ CFR ?) นาย Bundy ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กในคาถาที่ CFR แอบส่งมาประกบรัฐบาลตั้งแต่ต้น ต่อมาปี ค.ศ.1950 เขาได้เป็นนักวิเคราะห์สังกัดหน่วยงาน CIA และเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดี Kennedy และเป็นผช.รมว.ใน State Department เป็นผู้ดูแลงานด้าน East Asian and Pacific Affairs ในสมัยรัฐบาล Lyndon Johnson ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดี ในการตัดสินใจในสมัยสงครามเวี ยตนาม เมื่อนาย David Rockefeller ลงมาคุม CFR เต็มตัวในตำแหน่งประธาน CFR เมื่อปี ค.ศ.1970 เขาได้ขอ (สั่ง !) ให้นาย William Bundy มาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Affairs ของ CFR ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลสูงมากในวง การเมืองระหว่างประเทศ นาย Bundy ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1984 ส่วนพี่ชายของเขา นาย McGeorge Bundy ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้แก่ประธานาธิบดี Kennedy ประธานาธิบดี Johnson รวมทั้งรับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ Ford ด้วย ตั้งแต่ ค.ศ.1966-1979 (เอาว่าเด็กในคาถาของ CFR เข้ายึดตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเกือบหมด) นอกจากจัดหลักสูตรติวเข้มให้กับสังคมระดับไข่แดงแล้ว มูลนิธิ Rockefeller ก็ได้เตรียมการสำหรับสังคมระดับไข่ขาวด้วย เพื่อให้สังคมทั่วไปรู้จักการก้าวเข้าไปสู่สังคมนานาชาติของอเมริกา โดยเขาตั้ง Foreign Policy Association (FPA) และ Institute of Pacifics Relations (IPR) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสร้างความเห็นของมวลชน (เริ่มรายการฟอกย้อม ความคิดคนในประเทศก่อน) โดยย้อมความคิดทางสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ให้ตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนมัธยม นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ครู โรงเรียน สหภาพ นักธุรกิจ และสมาคมสตรีทั้งหลาย และสังคมทั่วไป โครงการนี้เพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ยุคใหม่ของอเมริกานั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิได้ระบุไว้ในการเสนอโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง (เขาเขียนกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ !) คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 8 – นักวิ่ง
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 8 : นักวิ่ง
    มีกลุ่มนักคิด แล้วจะให้ดีก็ต้องมีกลุ่มคนพูด คนดำเนินการ คนวิ่งเต้นเหมือนเป็น lobbyist แต่เป็น lobbyist ระดับ cream หน้าขนมเค้ก แต่คราวนี้ไม่ใช่เค้กธรรมดาเป็นขนมเค้กประดับมงกุฎเสียด้วย ปี ค.ศ.1954 พวกคนในสังคมระดับสูง ถึงสูงมากๆ ในยุโรป อังกฤษ และอเมริกา จึงรวมตัวกันจัดตั้ง the Bilderberg Group ขึ้นที่ประเทศ Netherlands หลังจากน้ันทุกปี กลุ่มนี้จะจัดประชุมลับ มีคนเข้าร่วมประมาณ 100 กว่าคน จากบุคคลชั้นสูงในวงการเมือง ธุรกิจการเงินการธนาคาร การทหาร บรรษัทข้ามชาติใหญ่ นักวิชาการ สื่อจากอเมริกา (เหนือ) และยุโรปตะวันตก เป็นเครือข่ายของผู้ทรงอิทธิพลรวมถึงพระราชวงศ์ในยุโรปซึ่งสามารถจะคุยกันได้อย่างเปิดอก และไม่ต้องเกรงว่าจะมีการรั่วไหลของการคุย ขาประจำจะเป็นพวกหัวหน้าผู้บริหาร หรือประธานของบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ใหญ่ๆ ในโลก บริษัทน้ำมันเช่น Royal Dutch, British Petroleum, Total SA รวมทั้งพระราชวงศ์ในยุโรป นายธนาคารระดับนานาชาติ เช่น (แน่นอน) นาย David Rockefeller ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และพวกธนาคารกลางของโลก Bilderberg เป็นถังความคิด แบบเปิดฝาแต่ปิดตัว ตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะเป็นห่วงคล้อง (ชักใย) รัฐบาลกับเศรษฐกิจของยุโรปกับอเมริกา ในระหว่างสงครามเย็นให้ไปในทิศทางเดียวกัน
    ปี ค.ศ.1970 David Rockefeller เป็นประธานของ CFR และเป็นประธานกรรมการและประธานผู้บริหารของ Chase Manhattan Bank ไปเชิญนักวิชาการเข้ามาร่วมอยู่ ใน CFR (ใช่แล้วครับ เจ้าเก่า) นาย Zbigniew Brzezinski ซึ่งเขียนหนังสือ Between Two ages : Americans Role in the Tecnetronic Era บอกว่าปัจจุบันนี้ ความสนิทสนมกลมเกลียว ความร่วมมือระหว่างรัฐประเทศมันน้อยลง แทนที่จะหันหน้าเข้ามาหากัน ดันตะแคงข้างหรือหันหลังใส่กัน ขณะเดียวกันความร่วมมือระหว่างบรรษัทข้ามชาติด้วยกันมีมากขึ้น เงินมันมีแรงดึงดูดสูงกว่า ดังนั้นจึงควรมีการรวมตัวกันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว คือ ประเทศในยุโรปตะวันตก อเมริกา และญี่ปุ่น เพราะต่อจากนี้ไป ธนาคารและบรรษัทข้ามชาติทุนใหญ่ เช่น ธนาคาร บริษัท หรือ องค์กรระหว่างประเทศ จะเป็นผู้มีบทบาทใหญ่ขึ้น ในการกำหนดทิศทางการเมืองของโลกนี้
    แล้วในปี ค.ศ.1972 David Rockefeller และนาย Brzezinski ก็เสนอความคิดนี้ในที่ประชุมประจำปีของ Bilderberg หลังจากนั้นผู้ทรงอิทธิพลรุ่นใหญ่เกือบ 20 คน ก็พากันยกโขยงมาพบนาย David ที่บ้าน แล้วก็บอกว่า พร้อมแล้วครับท่าน พวกเราเห็นพ้องกันตามที่ท่านกล่อม (สั่ง !) ค.ศ.1973 Trilateral Commission ซึ่งถือเสมือนเป็นน้องน้อยของ Bilderberg ก็คลอด เป็นการเชื่อมผู้ครองโลกใน 3 ทวีป เข้าด้วยกัน ยุโรปตะวันตก อเมริกา และญี่ปุ่น
    ขอแจ้งข้อมูลปัจจุบันหน่อยครับ ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ Trilateral Commission นี้ เมื่อตอนเขียนนิทานเรื่องมายากลยุทธและผมได้แพลมออกไปว่า มีสมาชิกของ Trilateral Commission เป็นคนไทยด้วย ผมนำชื่อมาลงทั้งหมด ปรากฎว่าหลังจากลงไปได้ไม่เท่าไหร่ เพจผม (บังเอิญ ? !)ออกอาการเหมือนถูกกวนจนเละ หน้าจอเดี๋ยวดับบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง ข้อความที่ลงก็หายเป็น ตอนๆ โดยเฉพาะตอนที่มีรายชื่อสมาชิกคนไทยที่โด่งดัง หายแล้วหายอีก ต้องลงซ้ำลงซาก คราวนี้ต้องเขียนถึงกลุ่มนี้อีก เพื่อให้ต่อเนื่องกัน ก็เลยแวะไปเช็คข้อมูล ซึ่งก็มีท่านผู้อ่านรายหนึ่ง inbox มาบอกล่วงหน้าแล้ว (ขอบคุณนะครับ) ผลการเช็คข้อมูลล่าสุดนี้ ปรากฎว่ากรรมการชุดเก่าเปลี่ยนตัวไปกันเกือบหมด ! เขาตั้งคนอื่นมาแทน เลยขอลงรายชื่อ ทั้งเก่าทั้งใหม่ให้ชื่นชมกัน ว่าคนไทยเราก็ติดอันดับโลก แบบนี้เหมือนกัน (แหม ! ไม่กล้าอ้างความดีความชอบว่า เป็นผู้แฉจนต้องมีการเปลี่ยนตัว เดี๋ยวมีคนเชื่อ ฮา !)
    – รายชื่อเมื่อปี ค.ศ.2011
นายอานันท์ ปันยารชุน
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี
นายสารสิน วีรผล
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ
    – รายชื่อใน ค.ศ.2013 (น่าจะออกมาปลายปี ค.ศ.2013 หลังจากที่เขียนนิทานมายากลยุทธ หน่อยหนึ่งครับ)
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (อดีตเลขาธิการอาเซียน ปริญญาโท ปริญญาเอก มหาวิทยาลัย Harvard)
นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศ ปริญญาตรี, โท ทางเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย เคโอะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น)
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ (ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ปริญญาโทและเอก วิทยาการคอมพิวเตอร์ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว )
นายกานต์ ตระกุลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ ไทย ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ (จุฬา) ปริญญาโท บริหารธุรกิจ The Georgia Institute of Technology (อเมริกา) )
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 8 – นักวิ่ง นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 8 : นักวิ่ง มีกลุ่มนักคิด แล้วจะให้ดีก็ต้องมีกลุ่มคนพูด คนดำเนินการ คนวิ่งเต้นเหมือนเป็น lobbyist แต่เป็น lobbyist ระดับ cream หน้าขนมเค้ก แต่คราวนี้ไม่ใช่เค้กธรรมดาเป็นขนมเค้กประดับมงกุฎเสียด้วย ปี ค.ศ.1954 พวกคนในสังคมระดับสูง ถึงสูงมากๆ ในยุโรป อังกฤษ และอเมริกา จึงรวมตัวกันจัดตั้ง the Bilderberg Group ขึ้นที่ประเทศ Netherlands หลังจากน้ันทุกปี กลุ่มนี้จะจัดประชุมลับ มีคนเข้าร่วมประมาณ 100 กว่าคน จากบุคคลชั้นสูงในวงการเมือง ธุรกิจการเงินการธนาคาร การทหาร บรรษัทข้ามชาติใหญ่ นักวิชาการ สื่อจากอเมริกา (เหนือ) และยุโรปตะวันตก เป็นเครือข่ายของผู้ทรงอิทธิพลรวมถึงพระราชวงศ์ในยุโรปซึ่งสามารถจะคุยกันได้อย่างเปิดอก และไม่ต้องเกรงว่าจะมีการรั่วไหลของการคุย ขาประจำจะเป็นพวกหัวหน้าผู้บริหาร หรือประธานของบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ใหญ่ๆ ในโลก บริษัทน้ำมันเช่น Royal Dutch, British Petroleum, Total SA รวมทั้งพระราชวงศ์ในยุโรป นายธนาคารระดับนานาชาติ เช่น (แน่นอน) นาย David Rockefeller ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และพวกธนาคารกลางของโลก Bilderberg เป็นถังความคิด แบบเปิดฝาแต่ปิดตัว ตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะเป็นห่วงคล้อง (ชักใย) รัฐบาลกับเศรษฐกิจของยุโรปกับอเมริกา ในระหว่างสงครามเย็นให้ไปในทิศทางเดียวกัน ปี ค.ศ.1970 David Rockefeller เป็นประธานของ CFR และเป็นประธานกรรมการและประธานผู้บริหารของ Chase Manhattan Bank ไปเชิญนักวิชาการเข้ามาร่วมอยู่ ใน CFR (ใช่แล้วครับ เจ้าเก่า) นาย Zbigniew Brzezinski ซึ่งเขียนหนังสือ Between Two ages : Americans Role in the Tecnetronic Era บอกว่าปัจจุบันนี้ ความสนิทสนมกลมเกลียว ความร่วมมือระหว่างรัฐประเทศมันน้อยลง แทนที่จะหันหน้าเข้ามาหากัน ดันตะแคงข้างหรือหันหลังใส่กัน ขณะเดียวกันความร่วมมือระหว่างบรรษัทข้ามชาติด้วยกันมีมากขึ้น เงินมันมีแรงดึงดูดสูงกว่า ดังนั้นจึงควรมีการรวมตัวกันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว คือ ประเทศในยุโรปตะวันตก อเมริกา และญี่ปุ่น เพราะต่อจากนี้ไป ธนาคารและบรรษัทข้ามชาติทุนใหญ่ เช่น ธนาคาร บริษัท หรือ องค์กรระหว่างประเทศ จะเป็นผู้มีบทบาทใหญ่ขึ้น ในการกำหนดทิศทางการเมืองของโลกนี้ แล้วในปี ค.ศ.1972 David Rockefeller และนาย Brzezinski ก็เสนอความคิดนี้ในที่ประชุมประจำปีของ Bilderberg หลังจากนั้นผู้ทรงอิทธิพลรุ่นใหญ่เกือบ 20 คน ก็พากันยกโขยงมาพบนาย David ที่บ้าน แล้วก็บอกว่า พร้อมแล้วครับท่าน พวกเราเห็นพ้องกันตามที่ท่านกล่อม (สั่ง !) ค.ศ.1973 Trilateral Commission ซึ่งถือเสมือนเป็นน้องน้อยของ Bilderberg ก็คลอด เป็นการเชื่อมผู้ครองโลกใน 3 ทวีป เข้าด้วยกัน ยุโรปตะวันตก อเมริกา และญี่ปุ่น ขอแจ้งข้อมูลปัจจุบันหน่อยครับ ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ Trilateral Commission นี้ เมื่อตอนเขียนนิทานเรื่องมายากลยุทธและผมได้แพลมออกไปว่า มีสมาชิกของ Trilateral Commission เป็นคนไทยด้วย ผมนำชื่อมาลงทั้งหมด ปรากฎว่าหลังจากลงไปได้ไม่เท่าไหร่ เพจผม (บังเอิญ ? !)ออกอาการเหมือนถูกกวนจนเละ หน้าจอเดี๋ยวดับบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง ข้อความที่ลงก็หายเป็น ตอนๆ โดยเฉพาะตอนที่มีรายชื่อสมาชิกคนไทยที่โด่งดัง หายแล้วหายอีก ต้องลงซ้ำลงซาก คราวนี้ต้องเขียนถึงกลุ่มนี้อีก เพื่อให้ต่อเนื่องกัน ก็เลยแวะไปเช็คข้อมูล ซึ่งก็มีท่านผู้อ่านรายหนึ่ง inbox มาบอกล่วงหน้าแล้ว (ขอบคุณนะครับ) ผลการเช็คข้อมูลล่าสุดนี้ ปรากฎว่ากรรมการชุดเก่าเปลี่ยนตัวไปกันเกือบหมด ! เขาตั้งคนอื่นมาแทน เลยขอลงรายชื่อ ทั้งเก่าทั้งใหม่ให้ชื่นชมกัน ว่าคนไทยเราก็ติดอันดับโลก แบบนี้เหมือนกัน (แหม ! ไม่กล้าอ้างความดีความชอบว่า เป็นผู้แฉจนต้องมีการเปลี่ยนตัว เดี๋ยวมีคนเชื่อ ฮา !) – รายชื่อเมื่อปี ค.ศ.2011
นายอานันท์ ปันยารชุน
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี
นายสารสิน วีรผล
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ – รายชื่อใน ค.ศ.2013 (น่าจะออกมาปลายปี ค.ศ.2013 หลังจากที่เขียนนิทานมายากลยุทธ หน่อยหนึ่งครับ)
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (อดีตเลขาธิการอาเซียน ปริญญาโท ปริญญาเอก มหาวิทยาลัย Harvard)
นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศ ปริญญาตรี, โท ทางเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย เคโอะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น)
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ (ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ปริญญาโทและเอก วิทยาการคอมพิวเตอร์ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว )
นายกานต์ ตระกุลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ ไทย ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ (จุฬา) ปริญญาโท บริหารธุรกิจ The Georgia Institute of Technology (อเมริกา) ) คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 7 – ถังความคิด
    ทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 7 : ถังความคิด
    แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในกำมือพวกนายทุนใหญ่แล้วก็ตาม แต่พวกเขาบอกว่าแค่อยู่ในมือเรา มันไม่อยู่นาน (พวกนี้คิดรอบคอบ) เราต้องสร้างพรรคพวก ต้องทำให้สังคม โดยเฉพาะสังคมในระดับสูง เห็นคล้อยตามเราด้วย ประเภทเราว่าไงเขาต้องว่าตามกัน มันจะได้คุม (หลอก) กัน ง่ายๆ หน่อย แล้วจะทำให้พวกคนในสังคมระดับสูงเขาเห็นพ้องด้วยได้อย่างไรล่ะ คนพวกนี้ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่จะให้เรียกให้มาประชุมคงไม่ง่ายนักหรอก พวกเขาหยิ่งยะโสเล่นตัวกันจะตาย แต่จะให้เดินสายไปคุยด้วยทีละราย กว่าจะรู้เรื่องเห็นพ้องกันหมด พวกตูก็แก่ตายหมด ไม่ได้ครองโลกกันเสียที !
    นายทุนใหญ่ ทั้งหลายจึงสรุปว่า อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรมอบให้ใครมันไปช่วยคิดช่วยทำให้เราดีกว่านะ รวยแล้ว อย่าต้องลงมือลงแรงเองหมด ใช้ให้ผีมันโม่แป้งแทนก็แล้วกัน แล้วพวกเขาก็ตั้งสถาบันประเภทนักคิด (think tank มาแล้ว) เพื่อให้มีหน้าที่จัดการคิด การชี้นำสังคม วิธีล้อมคอกพวกคนรวย (อื่นๆ) คนในสังคมชั้นสูงจากทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ สื่อ และแม้แต่พวกคุณทหาร เข้ามารับความเข้าใจ และควบคุมความคิดของบุคคลเหล่า นั้น ให้เป็นไปในทิศทางเดียว กับที่นายทุนใหญ่ต้องการ เข้าใจไหม มันเป็นการย้อมความคิด โดยคนถูกย้อมไม่รู้ตัว ว่ากำลังถูกย้อมสมอง ย้อมความคิด เป็นไปไม่ได้น่ะ ไม่มีทางหรอก ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำอะไรแบบ นั้น พวกโลกสวยคงกำลังคิดในใจ ฮา มันเป็นวิธีที่เฉียบมาก จูงจมูกคนรวย หรือคนมีอำนาจ หรือนักวิชาการด้วยกัน นี่ถือว่าสุดยอดจริงๆ หรือว่ามันก็ไม่ยากเกิน คนรวย คนมีอำนาจ นักวิชาการ ใช่ว่าจะฉลาดเสมอไป ฮา อีกหน
    ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กลุ่มนักวิชาการชาวอเมริกัน ได้รับมอบหมายให้วาดภาพสถานการณ์ ให้ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ฟังเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ ของอเมริกา ในกรณีที่สงครามโลกจบและ Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันหล่นจากบัลลังก์ นักวิชาการกลุ่มนี้เรียกว่ากลุ่ม The Inquiry เวลาวาดภาพให้ประธานาธิบดีฟัง เขามีวิธี เขาใช้วิธีเล่าผ่านคนสนิทที่ประธานาธิบดีเชื่อใจอย่างมาก (จำวิธีนี้กันไว้นะครับ เขาใช้กันทั้งนั้น ปากก็บอกผมไม่เคยเจรจา ไม่เคยพูด แต่ให้คนสนิทเป็นคนพูด ไม่ได้โกหกนี่หว่า !) นายคนสนิท ชื่อ พันเอก Edward M. House นี้สำคัญมาก เป็นผู้เดินสาส์นลับของประธานาธิบดี กับฝ่ายยุโรป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี ค.ศ.1914 จนถึงช่วงที่อเมริกาเข้าไปมีส่วนด้วยในช่วง ค.ศ.1917 ปากก็บอกว่าฉันสันโดษ Isolist แต่ส่งคนเดินสาส์น จนซ่นร้องเท้าสึกไปหลายคู่ นักการเมืองก็เป็นยังงี้ทั้งนั้น และไม่ว่าพันธุ์เทศ พันธุ์ไทย ปากก็พูดไปอย่าง แล้วก็ไปทำอีก 3 อย่าง คนละเรื่องกัน ท่านนายพันเอก House นี้ เป็นคนสำคัญในการผลักและดันให้ประธานาธิบดี Wilson เห็นชอบในการที่อเมริกาจัดตั้งระบบ Federal Reserve (ตกลงคุณ House นี้ เป็นพวกใครกันแน่ !)
    กลุ่ม The Enquiry นี้เอง เป็นผู้ปูทางการสร้าง the Council on Foreign Relations (CFR) CFR เป็น think tank ถังความคิด ที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในอเมริกาตั้งแต่เริ่มตั้งจนถึงปัจจุบัน
    เดือนพฤษภาคม ค.ศ.1919 กลุ่มนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา รวมทั้งกลุ่ม The Inquiry นั่งสุมหัววางแผนกันที่โรงแรม the Majestic ในปารีส เพื่อที่จะร่วมกันตั้งสถาบันเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศ โดยมีสาขาหนึ่งที่ London และอีกสาขาหนึ่งที่ New York เมื่อบรรดาพวกไปสุมหัวกลับมาถึง New York ก็รายงานผลการคุย ให้กับนักการเงินและนักกฏหมายที่ New York (นายทุนตัวจริง !) ฟัง ทุกคนไชโยโห่ตบมือเป่าปากกับข้อสรุปที่ตกลงกันมา แน่นอนคนที่ดีใจที่สุดคงไม่ใครเกิน นาย Cecil Rhodes นักล่ารุ่นเก๋า ที่แค่ซ่อนเขี้ยวของตัวเองให้มิดชิด นักล่ารุ่นกะเตาะ ก็นึกว่านักล่ารุ่นเก๋าเขี้ยวหลุดหมดปากไปแล้ว แหม ! หลอกง่ายจัง นึกว่าเด็กรุ่นใหม่ ฉลาดกว่ารุ่นโบราณ ! แต่ในที่สุดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน มันคงแปร่งหูเกินกว่าคนอังกฤษจะทนฟังได้ สถาบันนักชักใย CFR เลยเปลี่ยนแผนแยกตัวเป็น 2 แขนง แต่มาจากตอเดียวกัน ต่างคนต่างไปตั้งกลุ่มของพวกตัวเอง อังกฤษกลุ่มหนึ่ง อเมริกากลุ่มหนึ่ง แต่ยังจับมือกอดแขนจิกหัวกันไว้ ยังไงก็ต้องร่วมมือใกล้ชิด ก็คิดจะครองโลกด้วยกัน
    The Milner Group ของก๊วนนาย Cecil Rhodes รับบทเป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้ง Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ถังความคิด think tank สัญชาติอังกฤษ ในปี ค.ศ.1919 ส่วนกลุ่ม The Inquiry ก็รับมอบหน้าที่ไปตั้ง Council of Foreign Relations think tank สัญชาติอเมริกัน ในปี ค.ศ.1921
    นอกจากนี้ ยังมีองค์กรลับที่มีแนวคิดเดียวกับ Milner Group ทยอยเกิดขึ้นอีกในหลายๆ ประเทศ เขาเรียกกลุ่มพวกนี้ว่าพวกโต๊ะ กลม เอามาจากอัศวินโต๊ะกลม Knights of the Round Table สมัย King Arthur ของอังกฤษนั่นแหละ Round Table Groups ในบรรดาพวกโต๊ะกลม โต๊ะใหญ่ในกลุ่มนี้ก็คือ Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ที่ลดหลั่นลงมาก็มี โต๊ะกลม Canada, Australia, New Zealand, South Africa และ India จักรภพอังกฤษถึงล่มก็ยังไม่สลาย ดึงเอาลูกกะเป๋งเก่า ตามมาเข้าขบวนตั้งโต๊ะกลมด้วย กลุ่มโต๊ะกลมนี้ ก็คือ กลุ่มถังความคิด (think tank) นานาชาติรุ่นแรก ซึ่งยังดำเนินการอย่างแข็งขัน และมีอิทธิพลในแต่ละประเทศของตัว จนถึงทุกวันนี้ ในฐานะเป็นรุ่นใหญ่มีชื่อเสียงอยู่ในอันดับต้นมาตลอด รักษาตำแหน่งไว้ไม่เคยปล่อยให้ตกอันดับ
    ส่วนถังความคิดรุ่นใหญ่ในอเมริกา ที่ได้รับความนิยมตาม CFR มาติดๆ ก็มี Brookings Institution, Carnegie Endowment for International Peace, RAND Corporation, Heritage Foundation, Woodrow Wilson International Centre for Scholars, the Centre for Strategic and International Studies และ American Enterprise Institute (นักอ่านนิทานท่านใด ที่อยากรู้วิธีคิด หรืออยากรู้ว่านักล่ากำลังคิดทำอะไรอยู่ อยากติดตามด้วยตัวเองก็ค้นได้จากอากู กดชื่อตัวถัง พวกนี้แหละครับ มีเรื่องให้อ่านเพียบเลย)
    สำหรับถังความคิดที่ไม่ได้สังกัดกับอเมริกา ก็จะมี Chatham House เป็นถังหมายเลขหนึ่งของอังกฤษ เป็นที่นับหน้าถือตา มีอิทธิพล ทำนองเดียวกับ CFR, the International Institute for Strategic Studies in the UK, the German Council on Foreign Relation, the Adam Smith Institute in the UK, the Fraser Institute ใน Canada, the European Council on Foreign Relations, the International Crisis Group in Belgium และ Canadian Institute of International Affairs
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 7 – ถังความคิด ทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 7 : ถังความคิด แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในกำมือพวกนายทุนใหญ่แล้วก็ตาม แต่พวกเขาบอกว่าแค่อยู่ในมือเรา มันไม่อยู่นาน (พวกนี้คิดรอบคอบ) เราต้องสร้างพรรคพวก ต้องทำให้สังคม โดยเฉพาะสังคมในระดับสูง เห็นคล้อยตามเราด้วย ประเภทเราว่าไงเขาต้องว่าตามกัน มันจะได้คุม (หลอก) กัน ง่ายๆ หน่อย แล้วจะทำให้พวกคนในสังคมระดับสูงเขาเห็นพ้องด้วยได้อย่างไรล่ะ คนพวกนี้ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่จะให้เรียกให้มาประชุมคงไม่ง่ายนักหรอก พวกเขาหยิ่งยะโสเล่นตัวกันจะตาย แต่จะให้เดินสายไปคุยด้วยทีละราย กว่าจะรู้เรื่องเห็นพ้องกันหมด พวกตูก็แก่ตายหมด ไม่ได้ครองโลกกันเสียที ! นายทุนใหญ่ ทั้งหลายจึงสรุปว่า อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรมอบให้ใครมันไปช่วยคิดช่วยทำให้เราดีกว่านะ รวยแล้ว อย่าต้องลงมือลงแรงเองหมด ใช้ให้ผีมันโม่แป้งแทนก็แล้วกัน แล้วพวกเขาก็ตั้งสถาบันประเภทนักคิด (think tank มาแล้ว) เพื่อให้มีหน้าที่จัดการคิด การชี้นำสังคม วิธีล้อมคอกพวกคนรวย (อื่นๆ) คนในสังคมชั้นสูงจากทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ สื่อ และแม้แต่พวกคุณทหาร เข้ามารับความเข้าใจ และควบคุมความคิดของบุคคลเหล่า นั้น ให้เป็นไปในทิศทางเดียว กับที่นายทุนใหญ่ต้องการ เข้าใจไหม มันเป็นการย้อมความคิด โดยคนถูกย้อมไม่รู้ตัว ว่ากำลังถูกย้อมสมอง ย้อมความคิด เป็นไปไม่ได้น่ะ ไม่มีทางหรอก ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำอะไรแบบ นั้น พวกโลกสวยคงกำลังคิดในใจ ฮา มันเป็นวิธีที่เฉียบมาก จูงจมูกคนรวย หรือคนมีอำนาจ หรือนักวิชาการด้วยกัน นี่ถือว่าสุดยอดจริงๆ หรือว่ามันก็ไม่ยากเกิน คนรวย คนมีอำนาจ นักวิชาการ ใช่ว่าจะฉลาดเสมอไป ฮา อีกหน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กลุ่มนักวิชาการชาวอเมริกัน ได้รับมอบหมายให้วาดภาพสถานการณ์ ให้ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ฟังเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ ของอเมริกา ในกรณีที่สงครามโลกจบและ Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันหล่นจากบัลลังก์ นักวิชาการกลุ่มนี้เรียกว่ากลุ่ม The Inquiry เวลาวาดภาพให้ประธานาธิบดีฟัง เขามีวิธี เขาใช้วิธีเล่าผ่านคนสนิทที่ประธานาธิบดีเชื่อใจอย่างมาก (จำวิธีนี้กันไว้นะครับ เขาใช้กันทั้งนั้น ปากก็บอกผมไม่เคยเจรจา ไม่เคยพูด แต่ให้คนสนิทเป็นคนพูด ไม่ได้โกหกนี่หว่า !) นายคนสนิท ชื่อ พันเอก Edward M. House นี้สำคัญมาก เป็นผู้เดินสาส์นลับของประธานาธิบดี กับฝ่ายยุโรป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี ค.ศ.1914 จนถึงช่วงที่อเมริกาเข้าไปมีส่วนด้วยในช่วง ค.ศ.1917 ปากก็บอกว่าฉันสันโดษ Isolist แต่ส่งคนเดินสาส์น จนซ่นร้องเท้าสึกไปหลายคู่ นักการเมืองก็เป็นยังงี้ทั้งนั้น และไม่ว่าพันธุ์เทศ พันธุ์ไทย ปากก็พูดไปอย่าง แล้วก็ไปทำอีก 3 อย่าง คนละเรื่องกัน ท่านนายพันเอก House นี้ เป็นคนสำคัญในการผลักและดันให้ประธานาธิบดี Wilson เห็นชอบในการที่อเมริกาจัดตั้งระบบ Federal Reserve (ตกลงคุณ House นี้ เป็นพวกใครกันแน่ !) กลุ่ม The Enquiry นี้เอง เป็นผู้ปูทางการสร้าง the Council on Foreign Relations (CFR) CFR เป็น think tank ถังความคิด ที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในอเมริกาตั้งแต่เริ่มตั้งจนถึงปัจจุบัน เดือนพฤษภาคม ค.ศ.1919 กลุ่มนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา รวมทั้งกลุ่ม The Inquiry นั่งสุมหัววางแผนกันที่โรงแรม the Majestic ในปารีส เพื่อที่จะร่วมกันตั้งสถาบันเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศ โดยมีสาขาหนึ่งที่ London และอีกสาขาหนึ่งที่ New York เมื่อบรรดาพวกไปสุมหัวกลับมาถึง New York ก็รายงานผลการคุย ให้กับนักการเงินและนักกฏหมายที่ New York (นายทุนตัวจริง !) ฟัง ทุกคนไชโยโห่ตบมือเป่าปากกับข้อสรุปที่ตกลงกันมา แน่นอนคนที่ดีใจที่สุดคงไม่ใครเกิน นาย Cecil Rhodes นักล่ารุ่นเก๋า ที่แค่ซ่อนเขี้ยวของตัวเองให้มิดชิด นักล่ารุ่นกะเตาะ ก็นึกว่านักล่ารุ่นเก๋าเขี้ยวหลุดหมดปากไปแล้ว แหม ! หลอกง่ายจัง นึกว่าเด็กรุ่นใหม่ ฉลาดกว่ารุ่นโบราณ ! แต่ในที่สุดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน มันคงแปร่งหูเกินกว่าคนอังกฤษจะทนฟังได้ สถาบันนักชักใย CFR เลยเปลี่ยนแผนแยกตัวเป็น 2 แขนง แต่มาจากตอเดียวกัน ต่างคนต่างไปตั้งกลุ่มของพวกตัวเอง อังกฤษกลุ่มหนึ่ง อเมริกากลุ่มหนึ่ง แต่ยังจับมือกอดแขนจิกหัวกันไว้ ยังไงก็ต้องร่วมมือใกล้ชิด ก็คิดจะครองโลกด้วยกัน The Milner Group ของก๊วนนาย Cecil Rhodes รับบทเป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้ง Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ถังความคิด think tank สัญชาติอังกฤษ ในปี ค.ศ.1919 ส่วนกลุ่ม The Inquiry ก็รับมอบหน้าที่ไปตั้ง Council of Foreign Relations think tank สัญชาติอเมริกัน ในปี ค.ศ.1921 นอกจากนี้ ยังมีองค์กรลับที่มีแนวคิดเดียวกับ Milner Group ทยอยเกิดขึ้นอีกในหลายๆ ประเทศ เขาเรียกกลุ่มพวกนี้ว่าพวกโต๊ะ กลม เอามาจากอัศวินโต๊ะกลม Knights of the Round Table สมัย King Arthur ของอังกฤษนั่นแหละ Round Table Groups ในบรรดาพวกโต๊ะกลม โต๊ะใหญ่ในกลุ่มนี้ก็คือ Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ที่ลดหลั่นลงมาก็มี โต๊ะกลม Canada, Australia, New Zealand, South Africa และ India จักรภพอังกฤษถึงล่มก็ยังไม่สลาย ดึงเอาลูกกะเป๋งเก่า ตามมาเข้าขบวนตั้งโต๊ะกลมด้วย กลุ่มโต๊ะกลมนี้ ก็คือ กลุ่มถังความคิด (think tank) นานาชาติรุ่นแรก ซึ่งยังดำเนินการอย่างแข็งขัน และมีอิทธิพลในแต่ละประเทศของตัว จนถึงทุกวันนี้ ในฐานะเป็นรุ่นใหญ่มีชื่อเสียงอยู่ในอันดับต้นมาตลอด รักษาตำแหน่งไว้ไม่เคยปล่อยให้ตกอันดับ ส่วนถังความคิดรุ่นใหญ่ในอเมริกา ที่ได้รับความนิยมตาม CFR มาติดๆ ก็มี Brookings Institution, Carnegie Endowment for International Peace, RAND Corporation, Heritage Foundation, Woodrow Wilson International Centre for Scholars, the Centre for Strategic and International Studies และ American Enterprise Institute (นักอ่านนิทานท่านใด ที่อยากรู้วิธีคิด หรืออยากรู้ว่านักล่ากำลังคิดทำอะไรอยู่ อยากติดตามด้วยตัวเองก็ค้นได้จากอากู กดชื่อตัวถัง พวกนี้แหละครับ มีเรื่องให้อ่านเพียบเลย) สำหรับถังความคิดที่ไม่ได้สังกัดกับอเมริกา ก็จะมี Chatham House เป็นถังหมายเลขหนึ่งของอังกฤษ เป็นที่นับหน้าถือตา มีอิทธิพล ทำนองเดียวกับ CFR, the International Institute for Strategic Studies in the UK, the German Council on Foreign Relation, the Adam Smith Institute in the UK, the Fraser Institute ใน Canada, the European Council on Foreign Relations, the International Crisis Group in Belgium และ Canadian Institute of International Affairs คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 3 – ซ่อนรูป
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 3 : ซ่อนรูป
    ในปี ค.ศ.1940 หลวงพ่อ CFR ก็ทำการศึกษาวางแผนระยะยาวเพิ่มเติมอีก เกี่ยวกับเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างการทำสงคราม ซึ่งจะต้องมีการดูแลจัดการเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง เงินทอง เพื่อให้อเมริกา นักล่าเข้าไปทำสงครามแบบสบายใจ หลวงพ่อนี่ดูแลแบบ ไม่มีตกไม่หล่นเลย รอบคอบมาก พวกเขาสรุปว่า อเมริกาต้องหาทางทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศ โดยหาหรือสร้างตลาดใหญ่ สำหรับรองรับการผลิตสินค้าของอเมริกา และเพื่อให้แน่ใจว่า อเมริกาจะเข้าไปถึงแหล่งวัตถุดิบในบริเวณที่ประทับตรา ควบคุม (ขโมย !) ได้อย่างสะดวกเสรี ปราศจากการปิดกั้น หรือต้องตีตั๋วผ่าน รวมทั้งดูแลส่วนที่เกี่ยวกับ การค้าขาย การลงทุน เพื่อให้การล่าราบรื่น ไม่มีสดุด ติดขัด อเมริกาจำเป็นต้องมีกองทัพอันแข็งแกร่ง Military Supremacy เพื่อการนี้ด้วย แม่เจ้าโว้ย ! ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้น พี่เลี้ยงสั่งให้แยกเขี้ยวแล้ว
    เริ่มต้น Grand Area Project บอกว่าศึกษาเพื่อเตรียมให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และดูแลเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างรบ ไม่ใช่รบๆ ไปกระเป๋าฉีก กางเกงขาด มันคงทุลักทุเล ทุเรศน่าดู แต่นั่นแหละพี่เลี้ยงนักล่าระดับหลวงพ่อ CFR ทำอะไรจะให้มันเปิดเผยเหมือนยืนล่อนจ้อนอยู่หน้าจอได้ยังไง มันต้องซ่อนต้องซ้อนกันหน่อย แท้จริงแล้ว Grand Area Project ได้ถูกออกแบบตั้งแต่แรก เพื่อให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลกเป็นผู้ครองโลก คุมเศรษฐกิจโลกทั้งหมด หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง และเพื่อจะควบคุมเศรษฐกิจตามเป้าหมาย ก็จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้นอีกเพียบ เพื่อมาจัดตั้งระบบวางกฎระเบียบ ที่เหมาะสมกับการค้า การลงทุน และระบบการเงินระหว่างประเทศ ให้ทุกอย่างอยู่ในระบบเดียวกับที่อเมริกาต้องการ เอาถึงขนาดนั้นเลยล่ะ และเพื่อจะให้ได้ผลเช่นนั้น อเมริกาจะต้องมีกองกำลังกล้ามใหญ่เอาไว้เบ่ง เวลาพูดจะได้มีคนฟัง ไม่ใช่ทำหูทวนลม แบบนี้เสียหน้ามาถึงหลวงพ่อCFR ด้วย
    น่าสนใจจริงๆ Grand Area Project นี้ ออกแบบไว้ล่วงหน้า โดยใช้ข้อสมมุติฐานว่า
1. อเมริกาต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
2. เยอรมันจะต้องเป็นผู้แพ้สงครามในตอบจบ
3. หลังจากสงครามโลกจบ อเมริกาจะก้าวขึ้นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งขึ้นครองโลก หลวงพ่อ CFR ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ได้ทำนายหรือศึกษาเหตุการณ์ แต่ดูเหมือนจะ สร้าง เหตุการณ์ได้ด้วย ! ?
    ภายหลังจากเหตุการณ์ Pearl Harbor เมื่อ ค.ศ.1941 อเมริกาประกาศตัวโดดเข้าเล่นสงครามโลกด้วยจริงๆ ทันทีที่อเมริกาประกาศ CFR รีบออกข่าวตามไปติดๆ สำทับว่าฝ่ายอักษะแพ้สงครามแน่นอน แค่ยังไม่ออกข่าวว่าจะแพ้วันไหน เท่านั้นเอง และพร้อมกันนั้น CFR ขอแก้ไข Grand Area ทุ่งใหญ่ ไม่ใช่มีแค่ 4 แหล่ง ตามที่ศึกษาไว้ตอนแรก แต่มันต้องหมายรวมถึงโลกทั้งใบนี้ด้วย โอ้โห ! หลวงพ่อ CFR หนุนนักล่าสุดตัวไปเต็มตีนเลย แนวความคิดการจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเกิดขึ้น (New World Order !) เราจำเป็นต้องจัดระเบียบใหม่ เกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งต้องสอดคล้องกันกับแผนการ ที่จะให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง การรวมเป็นหนึ่งเดียวของประเทศทั้งหลายในโลก Unification จึงควรเป็นเป้าหมาย ตามแนวทางความคิดของ CFR พี่เลี้ยง/รัฐบาลอเมริกัน หรือควรจะเรียกว่าผู้กำกับหรือเจ้าของ ! ?
    แล้วเพื่อให้การดำเนินการเป็นไป ตามแผน พี่เลี้ยงบอกนักล่า จำเป็น ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ในกิจการภายในบ้าน (Internal Affairs) ของประเทศหลัก ที่นักล่าจะไป (หลอก) เอาวัตถุดิบที่อยู่ในบ้านเขามา ใช้ ต้องเข้าไปควบคุม ไปล้วงลูก ไปจัดการบ้านของพวกเขา ให้เป็นไปตามแผนเรา และต้องทำให้ประเทศนั้น นอกเหนือจาก ยินยอม ส่งวัถตุดิบให้เราแล้ว เราต้องทำให้เขารู้สึก อยาก ที่จะเป็นผู้บริโภคสินค้าที่เราผลิต (ด้วยวัตถุดิบของเขา) อีกด้วย นี่มันเดินหมากกิน 3 ต่อเลยนะ เพื่อให้นโยบายทั้งหมดสัมฤทธิผล เราจะต้องจัดตั้ง IMF และ IBRD (Bank For Reconstruction and Development ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น World Bank) มาเป็นส่วนสำคัญในการชักใย
    พี่เลี้ยง CFR บอกหน่วยงานพวกนี้ จำเป็นต้องมี เพื่อมาทำหน้าที่สร้างกลไกที่จะทำให้เงินสกุลของประเทศโลก ที่ 3 ที่เราจะไปลงทุน และค้าขายด้วย มีความมั่นคงมีเสถียรภาพ (ใช้ศัพท์วิชาการเลยนะลุง) แหม ! ถ้าเงินของไอ้พวกโลกที่ 3 มันขึ้นลงแบบลิฟท์เสีย ผู้ลงทุนสร้างนักล่าก็ล้มทั้งยืน ซิโยม แล้ว CFR ก็ลงมือร่างแผนการจัดตั้ง World Bank กับ IMF ตั้งแต่ ค.ศ.1941 ในที่สุดโดยการประชุมที่ Bretton Woods ค.ศ.1944 World Bank และ IMF ก็คลอด
    แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ พี่เลี้ยง CFR ก็ยังเป็นห่วง พวกเขาดูแลนักล่าแบบพี่เลี้ยงมือโปร จะล่าเหยื่อกินแบบตะกรุมตะกรามให้ชาวบ้านเขาด่าได้ยังไง เรามันพวกครีม อยู่ชั้นบนของขนมเค้กเป็นชนชั้นสูงของสังคมมิใช่หรือ ฉะนั้นเราต้องเอาผ้าเช็ดปากมาปิดปาก เวลาจะอ้าปากเคี้ยว อำพรางตัวเองหน่อย ตั้งอะไรขึ้นมาบังหน้า แล้วเราคุมมันอีกต่อไม่ดีหรือ United Nations สหประชาชาติยังไงเล่า เพราะนายทุนกระเป๋าใหญ่ของ CFR อย่างมูลนิธิ Rockefeller และ Carnegie Corporation ต่างก็เคยฝัน อยากให้ประเทศต่างๆ รวมตัวกันเป็น League of Nations ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แล้ว แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรหนักหนา ก็ได้แต่มารวมตัวกัน คุยกันหลวมๆ เหมือนมางานสังสรร ระดับ CFR จะคิดจะทำอะไรมันต้องหนักแน่นแม่นยำกว่านั้น มันต้องเป็นเครื่องมือของการล่าเหยื่อชนิดพิเศษ Informal Agenda Group จึงถูก CFR ตั้งขึ้นมาทำการบ้าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1942 (ไอ้พวกนี้มันบ้าจัดตั้งหน่วยงานกันจริงนะ!) เพื่อสร้างฉาก จัดการ ให้มีหน่วยงานตามเป้าหมาย คือ องค์การสหประชาชาติ United Nations นั้นแหละ
    คณะสร้างฉากนี้มีสมาชิกทำงาน 6 คน รวมทั้งตัวนาย Cordell Hull รัฐมนตรีของ State Department คณะสร้างฉากนี้นอกเหนือจากตัวรัฐมนตรีแล้ว ที่เหลืออีก 5 คน เป็นสมาชิกของ CFR ทั้งสิ้น คณะสร้างฉาก ได้ข้อสรุปว่า เพื่อไม่ให้ชาวบ้านจับได้ไล่ทัน ว่าเราจะทำอะไร เราควรเอาตัวละครอื่นมาร่วมเข้า ฉากด้วย เป้ามันจะได้กระจาย เช่น สหภาพโซเวียต แคนาดา อังกฤษ ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ก็ตกลง (คุณประธานาธิบดีนี่ เวลาหลวงพ่อ CFR เสนอ มีบ้างไหมที่แกไม่ตกลงชักสงสัย) ดังนั้นปี ค.ศ.1944 องค์กรสหประชาชาติก็ถูกจัดตั้งขึ้นเรียบร้อย มีกฎบัตร จัดร่างตีตราประทับอย่างถูกต้อง โดยลากเอาสมาชิก CFR ที่เป็นนักกฎหมายอีกเป็นกระบุง เข้ามาดูแล เข้ามาร่วมจัดร่างด้วย CFR ทำงานกันเป็นทีมแบบนี้ นายทุนกระเป๋าหนัก John D. Rockefeller หน้าบานยิ้มจนหุบปากไม่ลง ว่าแล้วก็ยกที่ดินกลางเมืองนิวยอร์ค ราคา 8.5 ล้านเหรียญ ให้เป็นของขวัญ (สมัยนั้น แปลว่าแยะนะครับ สมัยนี้ก็แยะ ถ้าเป็นเงินของเรา) เพื่อสร้างตึกสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ
    ตกลงนับตั้งแต่ ค.ศ.1939 เป็นต้นมา อเมริกานักล่าอยู่ภายใต้การกำกับชักใยอย่างเปิดเผย โดยกลุ่มพี่เลี้ยง CFR ตกลงหลวงพ่อ CFR เป็นเจ้าของนักล่า หรือแค่เป็นผู้จัดการ ยังมีใครอื่นที่กำกับหลวงพ่ออีกหรือเปล่า เรารู้กันแน่ไหมว่าใครเป็นคนสั่งให้โลกหมุน ใครเป็นคนกำหนดอนาคตของโลกใบนี้
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 3 – ซ่อนรูป นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 3 : ซ่อนรูป ในปี ค.ศ.1940 หลวงพ่อ CFR ก็ทำการศึกษาวางแผนระยะยาวเพิ่มเติมอีก เกี่ยวกับเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างการทำสงคราม ซึ่งจะต้องมีการดูแลจัดการเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง เงินทอง เพื่อให้อเมริกา นักล่าเข้าไปทำสงครามแบบสบายใจ หลวงพ่อนี่ดูแลแบบ ไม่มีตกไม่หล่นเลย รอบคอบมาก พวกเขาสรุปว่า อเมริกาต้องหาทางทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศ โดยหาหรือสร้างตลาดใหญ่ สำหรับรองรับการผลิตสินค้าของอเมริกา และเพื่อให้แน่ใจว่า อเมริกาจะเข้าไปถึงแหล่งวัตถุดิบในบริเวณที่ประทับตรา ควบคุม (ขโมย !) ได้อย่างสะดวกเสรี ปราศจากการปิดกั้น หรือต้องตีตั๋วผ่าน รวมทั้งดูแลส่วนที่เกี่ยวกับ การค้าขาย การลงทุน เพื่อให้การล่าราบรื่น ไม่มีสดุด ติดขัด อเมริกาจำเป็นต้องมีกองทัพอันแข็งแกร่ง Military Supremacy เพื่อการนี้ด้วย แม่เจ้าโว้ย ! ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้น พี่เลี้ยงสั่งให้แยกเขี้ยวแล้ว เริ่มต้น Grand Area Project บอกว่าศึกษาเพื่อเตรียมให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และดูแลเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างรบ ไม่ใช่รบๆ ไปกระเป๋าฉีก กางเกงขาด มันคงทุลักทุเล ทุเรศน่าดู แต่นั่นแหละพี่เลี้ยงนักล่าระดับหลวงพ่อ CFR ทำอะไรจะให้มันเปิดเผยเหมือนยืนล่อนจ้อนอยู่หน้าจอได้ยังไง มันต้องซ่อนต้องซ้อนกันหน่อย แท้จริงแล้ว Grand Area Project ได้ถูกออกแบบตั้งแต่แรก เพื่อให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลกเป็นผู้ครองโลก คุมเศรษฐกิจโลกทั้งหมด หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง และเพื่อจะควบคุมเศรษฐกิจตามเป้าหมาย ก็จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้นอีกเพียบ เพื่อมาจัดตั้งระบบวางกฎระเบียบ ที่เหมาะสมกับการค้า การลงทุน และระบบการเงินระหว่างประเทศ ให้ทุกอย่างอยู่ในระบบเดียวกับที่อเมริกาต้องการ เอาถึงขนาดนั้นเลยล่ะ และเพื่อจะให้ได้ผลเช่นนั้น อเมริกาจะต้องมีกองกำลังกล้ามใหญ่เอาไว้เบ่ง เวลาพูดจะได้มีคนฟัง ไม่ใช่ทำหูทวนลม แบบนี้เสียหน้ามาถึงหลวงพ่อCFR ด้วย น่าสนใจจริงๆ Grand Area Project นี้ ออกแบบไว้ล่วงหน้า โดยใช้ข้อสมมุติฐานว่า
1. อเมริกาต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
2. เยอรมันจะต้องเป็นผู้แพ้สงครามในตอบจบ
3. หลังจากสงครามโลกจบ อเมริกาจะก้าวขึ้นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งขึ้นครองโลก หลวงพ่อ CFR ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ได้ทำนายหรือศึกษาเหตุการณ์ แต่ดูเหมือนจะ สร้าง เหตุการณ์ได้ด้วย ! ? ภายหลังจากเหตุการณ์ Pearl Harbor เมื่อ ค.ศ.1941 อเมริกาประกาศตัวโดดเข้าเล่นสงครามโลกด้วยจริงๆ ทันทีที่อเมริกาประกาศ CFR รีบออกข่าวตามไปติดๆ สำทับว่าฝ่ายอักษะแพ้สงครามแน่นอน แค่ยังไม่ออกข่าวว่าจะแพ้วันไหน เท่านั้นเอง และพร้อมกันนั้น CFR ขอแก้ไข Grand Area ทุ่งใหญ่ ไม่ใช่มีแค่ 4 แหล่ง ตามที่ศึกษาไว้ตอนแรก แต่มันต้องหมายรวมถึงโลกทั้งใบนี้ด้วย โอ้โห ! หลวงพ่อ CFR หนุนนักล่าสุดตัวไปเต็มตีนเลย แนวความคิดการจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเกิดขึ้น (New World Order !) เราจำเป็นต้องจัดระเบียบใหม่ เกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งต้องสอดคล้องกันกับแผนการ ที่จะให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง การรวมเป็นหนึ่งเดียวของประเทศทั้งหลายในโลก Unification จึงควรเป็นเป้าหมาย ตามแนวทางความคิดของ CFR พี่เลี้ยง/รัฐบาลอเมริกัน หรือควรจะเรียกว่าผู้กำกับหรือเจ้าของ ! ? แล้วเพื่อให้การดำเนินการเป็นไป ตามแผน พี่เลี้ยงบอกนักล่า จำเป็น ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ในกิจการภายในบ้าน (Internal Affairs) ของประเทศหลัก ที่นักล่าจะไป (หลอก) เอาวัตถุดิบที่อยู่ในบ้านเขามา ใช้ ต้องเข้าไปควบคุม ไปล้วงลูก ไปจัดการบ้านของพวกเขา ให้เป็นไปตามแผนเรา และต้องทำให้ประเทศนั้น นอกเหนือจาก ยินยอม ส่งวัถตุดิบให้เราแล้ว เราต้องทำให้เขารู้สึก อยาก ที่จะเป็นผู้บริโภคสินค้าที่เราผลิต (ด้วยวัตถุดิบของเขา) อีกด้วย นี่มันเดินหมากกิน 3 ต่อเลยนะ เพื่อให้นโยบายทั้งหมดสัมฤทธิผล เราจะต้องจัดตั้ง IMF และ IBRD (Bank For Reconstruction and Development ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น World Bank) มาเป็นส่วนสำคัญในการชักใย พี่เลี้ยง CFR บอกหน่วยงานพวกนี้ จำเป็นต้องมี เพื่อมาทำหน้าที่สร้างกลไกที่จะทำให้เงินสกุลของประเทศโลก ที่ 3 ที่เราจะไปลงทุน และค้าขายด้วย มีความมั่นคงมีเสถียรภาพ (ใช้ศัพท์วิชาการเลยนะลุง) แหม ! ถ้าเงินของไอ้พวกโลกที่ 3 มันขึ้นลงแบบลิฟท์เสีย ผู้ลงทุนสร้างนักล่าก็ล้มทั้งยืน ซิโยม แล้ว CFR ก็ลงมือร่างแผนการจัดตั้ง World Bank กับ IMF ตั้งแต่ ค.ศ.1941 ในที่สุดโดยการประชุมที่ Bretton Woods ค.ศ.1944 World Bank และ IMF ก็คลอด แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ พี่เลี้ยง CFR ก็ยังเป็นห่วง พวกเขาดูแลนักล่าแบบพี่เลี้ยงมือโปร จะล่าเหยื่อกินแบบตะกรุมตะกรามให้ชาวบ้านเขาด่าได้ยังไง เรามันพวกครีม อยู่ชั้นบนของขนมเค้กเป็นชนชั้นสูงของสังคมมิใช่หรือ ฉะนั้นเราต้องเอาผ้าเช็ดปากมาปิดปาก เวลาจะอ้าปากเคี้ยว อำพรางตัวเองหน่อย ตั้งอะไรขึ้นมาบังหน้า แล้วเราคุมมันอีกต่อไม่ดีหรือ United Nations สหประชาชาติยังไงเล่า เพราะนายทุนกระเป๋าใหญ่ของ CFR อย่างมูลนิธิ Rockefeller และ Carnegie Corporation ต่างก็เคยฝัน อยากให้ประเทศต่างๆ รวมตัวกันเป็น League of Nations ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แล้ว แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรหนักหนา ก็ได้แต่มารวมตัวกัน คุยกันหลวมๆ เหมือนมางานสังสรร ระดับ CFR จะคิดจะทำอะไรมันต้องหนักแน่นแม่นยำกว่านั้น มันต้องเป็นเครื่องมือของการล่าเหยื่อชนิดพิเศษ Informal Agenda Group จึงถูก CFR ตั้งขึ้นมาทำการบ้าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1942 (ไอ้พวกนี้มันบ้าจัดตั้งหน่วยงานกันจริงนะ!) เพื่อสร้างฉาก จัดการ ให้มีหน่วยงานตามเป้าหมาย คือ องค์การสหประชาชาติ United Nations นั้นแหละ คณะสร้างฉากนี้มีสมาชิกทำงาน 6 คน รวมทั้งตัวนาย Cordell Hull รัฐมนตรีของ State Department คณะสร้างฉากนี้นอกเหนือจากตัวรัฐมนตรีแล้ว ที่เหลืออีก 5 คน เป็นสมาชิกของ CFR ทั้งสิ้น คณะสร้างฉาก ได้ข้อสรุปว่า เพื่อไม่ให้ชาวบ้านจับได้ไล่ทัน ว่าเราจะทำอะไร เราควรเอาตัวละครอื่นมาร่วมเข้า ฉากด้วย เป้ามันจะได้กระจาย เช่น สหภาพโซเวียต แคนาดา อังกฤษ ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ก็ตกลง (คุณประธานาธิบดีนี่ เวลาหลวงพ่อ CFR เสนอ มีบ้างไหมที่แกไม่ตกลงชักสงสัย) ดังนั้นปี ค.ศ.1944 องค์กรสหประชาชาติก็ถูกจัดตั้งขึ้นเรียบร้อย มีกฎบัตร จัดร่างตีตราประทับอย่างถูกต้อง โดยลากเอาสมาชิก CFR ที่เป็นนักกฎหมายอีกเป็นกระบุง เข้ามาดูแล เข้ามาร่วมจัดร่างด้วย CFR ทำงานกันเป็นทีมแบบนี้ นายทุนกระเป๋าหนัก John D. Rockefeller หน้าบานยิ้มจนหุบปากไม่ลง ว่าแล้วก็ยกที่ดินกลางเมืองนิวยอร์ค ราคา 8.5 ล้านเหรียญ ให้เป็นของขวัญ (สมัยนั้น แปลว่าแยะนะครับ สมัยนี้ก็แยะ ถ้าเป็นเงินของเรา) เพื่อสร้างตึกสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ตกลงนับตั้งแต่ ค.ศ.1939 เป็นต้นมา อเมริกานักล่าอยู่ภายใต้การกำกับชักใยอย่างเปิดเผย โดยกลุ่มพี่เลี้ยง CFR ตกลงหลวงพ่อ CFR เป็นเจ้าของนักล่า หรือแค่เป็นผู้จัดการ ยังมีใครอื่นที่กำกับหลวงพ่ออีกหรือเปล่า เรารู้กันแน่ไหมว่าใครเป็นคนสั่งให้โลกหมุน ใครเป็นคนกำหนดอนาคตของโลกใบนี้ คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 2 – ทุ่งใหญ่
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 2 : ทุ่งใหญ่
    CFR แอบทำโครงการลับๆ อย่างเงียบๆ และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1939 ถึง 1945 ชื่อ War and Peace Studies ซึ่งเป็นการประสานงานร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของ CFR กับ State Department ของรัฐบาล แต่เงินทุนที่ใช่ในการทำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออก มาจากนายทุนโคตรรวย กระเป๋าของมูลนิธิ Rockefeller ทั้งหมด (อย่าเพิ่งเบื่อชื่อนี้นะครับ ถึงเบื่อ ก็ต้องทนเอา เพราะเขาเป็นตัวจริงเสียงจริง ในการกำกับพวกพี่เลี้ยง หรือเรียกให้ถูก น่าจะต้องใช้คำว่า เขาเป็น เจ้าของ คงไม่เป็นการแดกดันเขานัก)
    โครงการ War and Peace Studies นี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสร้างให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา เช่นเดียวกับ จักรวรรดิ หรือจักรภพอังกฤษ เพียงแต่จะเป็นจักรวรรดินักล่าที่วิธีการล่าต่างกัน อังกฤษเป็นนักล่าอาณานิคมที่ต้องการขยายดินแดน เพราะประเทศตัวเองเป็นเกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ต้องการเอาประเทศของคนอื่นมาเป็นอาณานิคม เพื่อขยายอาณาจักรตัวเอง เพื่อปกครองและเพื่อใช้ทรัพยากรของเขา เพื่อสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ของตนเอง แหม ! ให้ใครๆ เรียกว่า Empress of India หรือ Viceroy of Burma มันก็สมเป็นนายเหนือของอาณานิคมกร่างดีออก ภูมิใจนักหนากับประโยคที่พูดซ้ำซากว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกในจักรภพอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล
    แต่ผู้คิดสร้างอเมริกานักล่ารุ่นใหม่บอก คิดแบบนั้นมันไม่ฉลาดเท่าไหร่หรอก เอาไปทำไมประเทศคนอื่น ต้องไปเลี้ยงดูประชาชนพลเมืองเขาอีก ตัวเล็ก ตัวดำ ตัวเหลือง พูดกันไม่รู้เรื่อง คิดก็ต่างกัน ไม่เอาหรอก เราอย่าไปคิดเอาประเทศเขามาเป็นอาณานิคมเลยนะ ภาระมันแยะ เราแค่คิดวิธีที่จะทำอะไรก็ได้ ในแผ่นดินเขาดีกว่า ใช้ทรัพยากร ใช้คน ใช้เงิน ใช้กลอุบายทุกอย่าง ให้ผู้คนในแผ่นดินนั้น มันตกหลุมเราทุกประการ โดยเราไม่ต้องไปรับผิดชอบว่าเขาเป็นคนของเรา มันไม่ดีกว่าหรือ เราแค่อ้างว่าเราจะนำความเจริญมาให้เขา เราทำเพื่อความเจริญของโลก แค่นั้น เขาก็รีบเปิดประตูเมืองรับเรามือไม้สั่นไปหมดแล้ว
    แล้วเราอย่าไปเรียกตัวเองว่า จักรวรรดิอเมริกาด้วย มันล่อแหลม (ต่อความล้มเหลว !) ในทางตรงกันข้าม เรากลับต้องปลอมตัว (ลวงโลก) ว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นผู้สนับสนุนให้เสรีภาพ อิสระภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคม (ถือโอกาสตบหน้าอังกฤษแถมให้) ให้มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกอันสวยงามใบนี้ และให้มีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย ไม่มีการปิดกั้น โดยเราจะใช้กลไกที่จะเราจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่โลกจะดูไม่รู้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
    มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ที่สวยหรู ที่บิดเบือนความจริง ลวงโลก ที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษ จนบัดนี้ยังไม่มีโฆษณาชวนเชื่อใดมาลบล้างได้ !
    ตราบใดที่เศรษฐกิจของอเมริการุ่งเรือง แบงค์ดอลล่าร์สีเขียวของอเมริกา ยังเป็นแผ่นกระดาษที่โลกยอมรับและต้องการ การลวงโลกแบบนี้จะบอกว่าไม่สำเร็จ ได้อย่างไร และตราบใดที่ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ยังต้องพึ่งพากองทัพ (ที่อ้างว่า) เกรียงไกรของอเมริกาในการปกป้องภูมิภาคของตน นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า จักรวรรดิอเมริกามีจริงเป็นจริง จักรวรรดิอเมริกา พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ใหญ่อย่างชนิด ไม่มีใครกล้ามาท้าทาย (แน่ใจหรือเปล่า ? !)
    นอกจากนี้ โครงการ War and Peace Studies นี้ เสนอความคิด และแนวทาง (shopping list) เพื่อให้อเมริกาปฏิบัติการอีกมากมาย ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด ที่สำคัญคือเขากำหนด บริเวณ ของโลกใบนี้ที่อเมริกาจะต้องประทับตรา ควบคุมหรือครอบครอง เพื่อส่งเสริมให้อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแรง บริเวณที่อเมริกาจะควบคุมนี้เขาเรียกกันว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับนักล่า ซึ่งอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
– ลาตินอเมริกา (ดินแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรแยะ นักล่าจะเอาไว้ทำอะไร ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธอีกรอบนะครับ)
– ยุโรป ซึ่งจะต้องยับเยินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (เป็นพี่เลี้ยงที่สุดเจ๋งจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำเหมือนลงมือจัดการเอง ! ! เป็นการควบคุมให้ล้มอย่างมีระเบียบ ฮา)
– เหล่าอดีตอาณานิคมของจักรภพอังกฤษ (นายเหนือเจ๊ง แล้วขี้ข้าจะทำยังไง ไม่ฉวยโอกาสฉกมาตอนนี้ แล้วจะไปรอหลังสงครามโลกครั้งหน้าหรือไง)
– เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (มาแล้ว ทุ่งหญ้าของพวกเราไง ที่เหล่าสมันน้อยอยู่แบบกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาก็วิ่งเล่นเต๊าะแต๊ะน่ารัก) เพราะบริเวณนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบ ที่ Great Britain และญี่ปุ่น จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้ผลิต และเหล่าสมันน้อยในทุ่งหญ้านี้จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้บริโภคผลผลิต ของญี่ปุ่น (โอ ! นายท่าน ช่างเก่งจริงๆ อ่านขาดล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแบบนี้ ถ้านักการเมืองไทยมันรู้ว่า CFR สุดโปรดของผม มันเยี่ยมขนาดนี้นะ หมอดูอีที เห็นทีจะหมดอาชีพ มิน่าเล่าไอ้หมาไนโจรร้ายมันถึงไปใช้บริการของไอ้ก๊วนพวกนี้ !)
    ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วย เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ของอเมริกา เขาบอกว่าจะต้องนับเอา Grand Area ทุ่งใหญ่ รวมทั้งการปกป้อง คุมครองดูแลทุ่งใหญ่นี้ เข้าไปด้วย อ้าว ! สมันน้อยกลายเป็นผลประโยชน์ของเขา ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า และในที่สุดจะรวมไปถึงโจทย์ที่ว่า จะพิจารณาปกป้องเวียตนาม ให้พ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย หรือไม่ นี่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1939 นะเนี่ย ! ศักดิ์สิทธิจริงๆ หลวงพ่อ CFR ! ผมเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว เพราะการวิเคราะห์ แบบนี้ หมอดูคนไหนก็ไม่มีทางสู้หลวงพ่อ CFR ได้แน่นอน
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 2 – ทุ่งใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 2 : ทุ่งใหญ่ CFR แอบทำโครงการลับๆ อย่างเงียบๆ และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1939 ถึง 1945 ชื่อ War and Peace Studies ซึ่งเป็นการประสานงานร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของ CFR กับ State Department ของรัฐบาล แต่เงินทุนที่ใช่ในการทำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออก มาจากนายทุนโคตรรวย กระเป๋าของมูลนิธิ Rockefeller ทั้งหมด (อย่าเพิ่งเบื่อชื่อนี้นะครับ ถึงเบื่อ ก็ต้องทนเอา เพราะเขาเป็นตัวจริงเสียงจริง ในการกำกับพวกพี่เลี้ยง หรือเรียกให้ถูก น่าจะต้องใช้คำว่า เขาเป็น เจ้าของ คงไม่เป็นการแดกดันเขานัก) โครงการ War and Peace Studies นี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสร้างให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา เช่นเดียวกับ จักรวรรดิ หรือจักรภพอังกฤษ เพียงแต่จะเป็นจักรวรรดินักล่าที่วิธีการล่าต่างกัน อังกฤษเป็นนักล่าอาณานิคมที่ต้องการขยายดินแดน เพราะประเทศตัวเองเป็นเกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ต้องการเอาประเทศของคนอื่นมาเป็นอาณานิคม เพื่อขยายอาณาจักรตัวเอง เพื่อปกครองและเพื่อใช้ทรัพยากรของเขา เพื่อสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ของตนเอง แหม ! ให้ใครๆ เรียกว่า Empress of India หรือ Viceroy of Burma มันก็สมเป็นนายเหนือของอาณานิคมกร่างดีออก ภูมิใจนักหนากับประโยคที่พูดซ้ำซากว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกในจักรภพอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ผู้คิดสร้างอเมริกานักล่ารุ่นใหม่บอก คิดแบบนั้นมันไม่ฉลาดเท่าไหร่หรอก เอาไปทำไมประเทศคนอื่น ต้องไปเลี้ยงดูประชาชนพลเมืองเขาอีก ตัวเล็ก ตัวดำ ตัวเหลือง พูดกันไม่รู้เรื่อง คิดก็ต่างกัน ไม่เอาหรอก เราอย่าไปคิดเอาประเทศเขามาเป็นอาณานิคมเลยนะ ภาระมันแยะ เราแค่คิดวิธีที่จะทำอะไรก็ได้ ในแผ่นดินเขาดีกว่า ใช้ทรัพยากร ใช้คน ใช้เงิน ใช้กลอุบายทุกอย่าง ให้ผู้คนในแผ่นดินนั้น มันตกหลุมเราทุกประการ โดยเราไม่ต้องไปรับผิดชอบว่าเขาเป็นคนของเรา มันไม่ดีกว่าหรือ เราแค่อ้างว่าเราจะนำความเจริญมาให้เขา เราทำเพื่อความเจริญของโลก แค่นั้น เขาก็รีบเปิดประตูเมืองรับเรามือไม้สั่นไปหมดแล้ว แล้วเราอย่าไปเรียกตัวเองว่า จักรวรรดิอเมริกาด้วย มันล่อแหลม (ต่อความล้มเหลว !) ในทางตรงกันข้าม เรากลับต้องปลอมตัว (ลวงโลก) ว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นผู้สนับสนุนให้เสรีภาพ อิสระภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคม (ถือโอกาสตบหน้าอังกฤษแถมให้) ให้มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกอันสวยงามใบนี้ และให้มีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย ไม่มีการปิดกั้น โดยเราจะใช้กลไกที่จะเราจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่โลกจะดูไม่รู้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ที่สวยหรู ที่บิดเบือนความจริง ลวงโลก ที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษ จนบัดนี้ยังไม่มีโฆษณาชวนเชื่อใดมาลบล้างได้ ! ตราบใดที่เศรษฐกิจของอเมริการุ่งเรือง แบงค์ดอลล่าร์สีเขียวของอเมริกา ยังเป็นแผ่นกระดาษที่โลกยอมรับและต้องการ การลวงโลกแบบนี้จะบอกว่าไม่สำเร็จ ได้อย่างไร และตราบใดที่ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ยังต้องพึ่งพากองทัพ (ที่อ้างว่า) เกรียงไกรของอเมริกาในการปกป้องภูมิภาคของตน นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า จักรวรรดิอเมริกามีจริงเป็นจริง จักรวรรดิอเมริกา พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ใหญ่อย่างชนิด ไม่มีใครกล้ามาท้าทาย (แน่ใจหรือเปล่า ? !) นอกจากนี้ โครงการ War and Peace Studies นี้ เสนอความคิด และแนวทาง (shopping list) เพื่อให้อเมริกาปฏิบัติการอีกมากมาย ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด ที่สำคัญคือเขากำหนด บริเวณ ของโลกใบนี้ที่อเมริกาจะต้องประทับตรา ควบคุมหรือครอบครอง เพื่อส่งเสริมให้อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแรง บริเวณที่อเมริกาจะควบคุมนี้เขาเรียกกันว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับนักล่า ซึ่งอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
– ลาตินอเมริกา (ดินแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรแยะ นักล่าจะเอาไว้ทำอะไร ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธอีกรอบนะครับ)
– ยุโรป ซึ่งจะต้องยับเยินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (เป็นพี่เลี้ยงที่สุดเจ๋งจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำเหมือนลงมือจัดการเอง ! ! เป็นการควบคุมให้ล้มอย่างมีระเบียบ ฮา)
– เหล่าอดีตอาณานิคมของจักรภพอังกฤษ (นายเหนือเจ๊ง แล้วขี้ข้าจะทำยังไง ไม่ฉวยโอกาสฉกมาตอนนี้ แล้วจะไปรอหลังสงครามโลกครั้งหน้าหรือไง)
– เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (มาแล้ว ทุ่งหญ้าของพวกเราไง ที่เหล่าสมันน้อยอยู่แบบกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาก็วิ่งเล่นเต๊าะแต๊ะน่ารัก) เพราะบริเวณนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบ ที่ Great Britain และญี่ปุ่น จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้ผลิต และเหล่าสมันน้อยในทุ่งหญ้านี้จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้บริโภคผลผลิต ของญี่ปุ่น (โอ ! นายท่าน ช่างเก่งจริงๆ อ่านขาดล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแบบนี้ ถ้านักการเมืองไทยมันรู้ว่า CFR สุดโปรดของผม มันเยี่ยมขนาดนี้นะ หมอดูอีที เห็นทีจะหมดอาชีพ มิน่าเล่าไอ้หมาไนโจรร้ายมันถึงไปใช้บริการของไอ้ก๊วนพวกนี้ !) ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วย เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ของอเมริกา เขาบอกว่าจะต้องนับเอา Grand Area ทุ่งใหญ่ รวมทั้งการปกป้อง คุมครองดูแลทุ่งใหญ่นี้ เข้าไปด้วย อ้าว ! สมันน้อยกลายเป็นผลประโยชน์ของเขา ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า และในที่สุดจะรวมไปถึงโจทย์ที่ว่า จะพิจารณาปกป้องเวียตนาม ให้พ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย หรือไม่ นี่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1939 นะเนี่ย ! ศักดิ์สิทธิจริงๆ หลวงพ่อ CFR ! ผมเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว เพราะการวิเคราะห์ แบบนี้ หมอดูคนไหนก็ไม่มีทางสู้หลวงพ่อ CFR ได้แน่นอน คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 1 : พี่เลี้ยงนางนม
    อเมริกาพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ที่วันนี้กำลังถูกท้าทาย จะรักษาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งได้หรือไม่ ได้อีกนานเท่าไร ชาวโลกกำลังจับตามอง อเมริกา ขยับขา อ้าแขน แหกปาก ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่เป็นข่าวในทางร้ายมากกว่าดี แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีชาวโลกสวยชื่นชอบอเมริกา ผู้นำความเจริญมาสู่โลก ผู้นำเศรษฐกิจเสรี โลกาภิวัฒน์มันไปทุกอย่าง ไม่ ว่าการค้า การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ไม่มีอเมริกาเป็นเพื่อน ไม่มีอเมริกาตบหัวลูบหลัง หรืออเมริกาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นจะตายเสียให้ได้
    แต่ถ้าถามชาวแหกคอกไม่ว่าพันธ์เทศพันธ์ไทย ต่างบอก ถุด ! อเมริกา มันก็แค่นักล่า(อาณานิคม)รุ่นใหม่ กระสันอยากจะป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ใจไม่ถึงที่จะประกาศให้โลกรู้ ได้แต่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก อย่างงี้นักเลงจริงเขาดูถูก (โปรดนึกถึงหน้าพี่ปูตินเวลาพูดกับนายโอบามาก็แล้วกัน) แล้วสมันน้อยว่าไงจ๊ะ เห็นอเมริกาเป็นพี่เบิ้ม ผู้นำ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง ฯลฯ หรือเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ปากซอย กล้าเบ่งแต่กับผู้อ่อนแอกว่า เจอนักเลงใหญ่อย่างพี่ปู หรือแค่อาเฮียยืนหน้าเฉย อย่าติดเบรคใส่เกียร์ว่างก็แล้วกัน
    แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพึ่งลงมติ นี่ยังไม่ถึงตีสี่ มีเวลาตัดสินใจ อ่านนิทานกันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน อ่านๆไปก็จะมองออกเองแหละ ว่าอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์ของโลกสวย หรือเป็นนักล่าของชาวแหกคอก รู้จักเขาให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเองหรือปฏิบัติกับอเมริกาอย่างไร
    นักวิเคราะห์การเมืองรุ่นใหม่(สมัยนั้น) ต่างประสานเสียงเชียร์ บอกว่าอเมริกาเป็นนักล่าแน่นอนที่สุดและไม่ได้เป็นนักล่าแบบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ประเภทเป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครเลี้ยงดู เลยต้องปากถีบตีนกัด ออกมาล่าเหยื่อเลี้ยงตัวเองตั้งกะเด็ก ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อเมริกาเป็นลูกคนรวย ที่ถูกเลี้ยง ถูกฝึก ถูกเลือกให้เป็นนักล่าเหยื่อต่างหาก ถูกเลือก เข้าใจไหม (America was chosen to be an empire) มันมีการวางยุทธศาสตร์ หารือ วางแผนและปฏิบัติการให้อเมริกาเป็นนักล่าเป็น American Empire !
    เอาละซิ แล้วใครล่ะที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม เป็นคนฝึก เป็นคนวางแผนให้อเมริกาเป็นนักล่า จะรู้ให้แน่ต้องแกะรอยเก่าของนักล่าย้อนไปให้เห็นภาพตั้งแต่ ยังเป็นละอ่อน เริ่มตั้งไข่ ดูว่าเขาหัดเดิน หัดคลานอย่างไร ใครเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่เลี้ยงแบบไหน ประเภทวิ่งไปตามเนินเขา แล้วร้องเพลง The Sound of Music หรือเปล่า (ท่านที่เกิดไม่ทันหนังเรื่องนี้ ขออำไพนะครับ ถึงไม่เคยดู ก็น่าจะเคยได้ยินเพลงบ้างน่า พระเอกมีลูกเป็นพรวน เมียตาย หรือไงเนี่ย ผมก็จำไม่ค่อยได้ จ้างนางเอกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลเด็ก ในที่สุดพระเอกก็รักกับคุณพี่เลี้ยงตามฟอร์ม เด็กก็ดีใจไชโย เรื่องแสนจะธรรมดา สมัยนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนจนแบบเดาไมได้ ไม่ใช่หนังจบแล้ว หันหน้ามองกัน เลิกลั่ก มึนไปหมด ไม่มีครับ) หรือถ้าไม่เป็นพี่เลี้ยงแต่เป็นแม่เลี้ยง แบบแม่เลี้ยงใจร้ายของหนูน้อย Cinderella หนังการ์ตูนยอดฮิตของ Walt Disney ก่อนมาทำเป็นหนังใหญ่ เห็นไหมครับ ขนาดจะอธิบายเรื่องพี่เลี้ยง แม่เลี้ยง ยังต้องยกตัวอย่างหนัง Hollywood เลย เห็นอิทธิพลของเขาไหม จะให้ยกตัวอย่างเป็นปลาบู่ทอง จะมีใครรู้เรื่องบ้าง
    ผู้ที่ร่วมมือกัน ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จับอเมริกาตั้งไข่ หัดเดิน ซ้อมให้เป็นนักล่า ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคมอเมริกา คือ พวก Elites นั่นแหละ ที่ประกอบด้วย นายธนาคารและบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (Americas Industrial Revolution) ในปลายศตวรรษที่ 19 รวมทั้งพวกมูลนิธิ ที่อ้างตัวว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ Philanthropic Foundations (พวกมูลนิธิแบบนี้น่ะในบ้านเราก็มีจับตากันให้ดี สอดไส้กันง่ายเหลือเกิน) สถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และสถาบันที่เป็นถังความคิด (Think Tank) รวมทั้งกลุ่มทุนธุรกิจ ซึ่งเดินกร่างอยู่บนเส้นทางของอำนาจ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มคน ที่ถ้าเปรียบแบบฝรั่ง เขาก็จะบอกว่าเป็นเหมือนพวก cream หรือ topping ที่อยู่ชั้นบนสุดของขนมเค้กนั่นแหละ คือกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักล่า
    ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้น พี่เลี้ยงนักล่าที่เดินร้องเพลงเชียร์นำมาก่อนคือพวกนักยุทธศาสตร์อเมริกัน เริ่มประสานเสียงเรียกหา New Global American Empire จักรวรรดิอเมริกาที่จะครองโลกอ ยู่ไหน นำโดย Henry R. Luce บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Yale ผู้ก่อตั้งหนังสือ Time Magazine, Life และ Fortune ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสำนักพิมพ์ ที่มีอิทธิพลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นหัวหน้ากองเชียร์ เสียงดังของพรรค Republican ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกนักการเมืองเผด็จการทางฝั่งยุโรป เช่น Mussolini ของอิตาลีและพวกนาซีของเยอรมัน ด้วยความเชื่อว่าวิถีของเผด็จการ จะหยุดการแพร่พันธ์ของคอมมิวนิสต์ได้ เชื่อกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    ในปี ค.ศ.1941 นาย Luce เขียนบทความดังเป็นพลุแตก (แบบนิทานจิกโก๋ปากซอย ฮา) ลงในนิตยสาร Life ชื่อ The American Century ศตวรรษของอเมริกา เขาบอกว่าศตวรรษที่ 20 นี้ จะเป็นเวลาของอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่โลกจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำโลกตัวจริงมาแล้ว มันไม่เหมือนกับการเป็นจักรวรรดิแบบโรม หรือเจ็งกิสข่านหรือจักรภพอังกฤษ ที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นจักรวรรดิเพื่อมนุษย์ชาติทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะแต่อเมริกันชนเท่านั้น ว่าเข้านั่น พูดแบบอเมริกันแท้ ไม่มีเทียมเลยคุณพี่ คุณพี่ Luce นี่นอกจากเชียร์สุดลิ่ม และยังเป็นนักฝันดีอีกด้วย
    ในขณะที่นาย Luce เป็นนักร้องนำ เขียนบทความสรรเสริญอเมริกา ลงทุนผ่านปากกา แต่ผู้ที่ลงแรง ลงมือ ลงขัน จัดการให้ ศตวรรษอเมริกาเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มาจากความคิดริเริ่มและการผลัก ดันของ the Council on Foreign Relations (CFR) กลุ่มนักคิด นักวางแผนโคตรชั่ว ตัวแสบนั่นเอง และนักยุทธศาสตร์คนสำคัญ CFR ที่เป็นหัวรถจักร ของรถไฟสายพี่เลี้ยง คือนาย Dean Acheson นาย Acheson นี้ มีประวัติน่าสนใจ เขาเป็นทนายความ ต่อมาเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าวงการ เมือง ไต่กระไดขึ้นมาเรื่อย จนในที่สุดได้เป็น Secretary of State ช่วงปี ค.ศ.1949 – 1953 สมัยนาย Truman เป็นประธานาธิบดี เขามีส่วนสำคัญในการร่างนโยบาย ตปท. ของอเมริกาในช่วงสงครามเย็น (เอ! ใครเอาอย่างนะ จากทนายหน้าหอ มาเป็น รอ มอ ตอ ต่างประเทศ)
    ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ นาย Acheson เขียนหนังสือเรื่อง An American Attitude เป็นใบสั่งล่วงหน้าว่า หลัง สงครามโลกจบ อเมริกาจะต้องทำอะบ้าง (เขาสั่งกันได้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมทำสงคราม) สิ่งที่สำคัญอเมริกาจะต้องทำคือ ทำให้โลกมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจการค้า หลังจากนั้นนาย Acheson ก็เป็นหนึ่งในคณะผู้ทำงานของ CFR ในการวางแผน ตั้งไข่ ให้แก่นักล่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
    แม้ว่าอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ CFR วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก เลิกยืนกอดอกดูอยู่ข้างสนามแบบนั้นมันจะไปได้เรื่องอะไร กระโดดลงไปในสนามรบได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาวางแผนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่จะให้อเมริกากระโจนลงไปในสนามรบ
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 1 : พี่เลี้ยงนางนม อเมริกาพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ที่วันนี้กำลังถูกท้าทาย จะรักษาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งได้หรือไม่ ได้อีกนานเท่าไร ชาวโลกกำลังจับตามอง อเมริกา ขยับขา อ้าแขน แหกปาก ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่เป็นข่าวในทางร้ายมากกว่าดี แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีชาวโลกสวยชื่นชอบอเมริกา ผู้นำความเจริญมาสู่โลก ผู้นำเศรษฐกิจเสรี โลกาภิวัฒน์มันไปทุกอย่าง ไม่ ว่าการค้า การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ไม่มีอเมริกาเป็นเพื่อน ไม่มีอเมริกาตบหัวลูบหลัง หรืออเมริกาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นจะตายเสียให้ได้ แต่ถ้าถามชาวแหกคอกไม่ว่าพันธ์เทศพันธ์ไทย ต่างบอก ถุด ! อเมริกา มันก็แค่นักล่า(อาณานิคม)รุ่นใหม่ กระสันอยากจะป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ใจไม่ถึงที่จะประกาศให้โลกรู้ ได้แต่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก อย่างงี้นักเลงจริงเขาดูถูก (โปรดนึกถึงหน้าพี่ปูตินเวลาพูดกับนายโอบามาก็แล้วกัน) แล้วสมันน้อยว่าไงจ๊ะ เห็นอเมริกาเป็นพี่เบิ้ม ผู้นำ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง ฯลฯ หรือเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ปากซอย กล้าเบ่งแต่กับผู้อ่อนแอกว่า เจอนักเลงใหญ่อย่างพี่ปู หรือแค่อาเฮียยืนหน้าเฉย อย่าติดเบรคใส่เกียร์ว่างก็แล้วกัน แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพึ่งลงมติ นี่ยังไม่ถึงตีสี่ มีเวลาตัดสินใจ อ่านนิทานกันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน อ่านๆไปก็จะมองออกเองแหละ ว่าอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์ของโลกสวย หรือเป็นนักล่าของชาวแหกคอก รู้จักเขาให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเองหรือปฏิบัติกับอเมริกาอย่างไร นักวิเคราะห์การเมืองรุ่นใหม่(สมัยนั้น) ต่างประสานเสียงเชียร์ บอกว่าอเมริกาเป็นนักล่าแน่นอนที่สุดและไม่ได้เป็นนักล่าแบบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ประเภทเป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครเลี้ยงดู เลยต้องปากถีบตีนกัด ออกมาล่าเหยื่อเลี้ยงตัวเองตั้งกะเด็ก ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อเมริกาเป็นลูกคนรวย ที่ถูกเลี้ยง ถูกฝึก ถูกเลือกให้เป็นนักล่าเหยื่อต่างหาก ถูกเลือก เข้าใจไหม (America was chosen to be an empire) มันมีการวางยุทธศาสตร์ หารือ วางแผนและปฏิบัติการให้อเมริกาเป็นนักล่าเป็น American Empire ! เอาละซิ แล้วใครล่ะที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม เป็นคนฝึก เป็นคนวางแผนให้อเมริกาเป็นนักล่า จะรู้ให้แน่ต้องแกะรอยเก่าของนักล่าย้อนไปให้เห็นภาพตั้งแต่ ยังเป็นละอ่อน เริ่มตั้งไข่ ดูว่าเขาหัดเดิน หัดคลานอย่างไร ใครเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่เลี้ยงแบบไหน ประเภทวิ่งไปตามเนินเขา แล้วร้องเพลง The Sound of Music หรือเปล่า (ท่านที่เกิดไม่ทันหนังเรื่องนี้ ขออำไพนะครับ ถึงไม่เคยดู ก็น่าจะเคยได้ยินเพลงบ้างน่า พระเอกมีลูกเป็นพรวน เมียตาย หรือไงเนี่ย ผมก็จำไม่ค่อยได้ จ้างนางเอกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลเด็ก ในที่สุดพระเอกก็รักกับคุณพี่เลี้ยงตามฟอร์ม เด็กก็ดีใจไชโย เรื่องแสนจะธรรมดา สมัยนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนจนแบบเดาไมได้ ไม่ใช่หนังจบแล้ว หันหน้ามองกัน เลิกลั่ก มึนไปหมด ไม่มีครับ) หรือถ้าไม่เป็นพี่เลี้ยงแต่เป็นแม่เลี้ยง แบบแม่เลี้ยงใจร้ายของหนูน้อย Cinderella หนังการ์ตูนยอดฮิตของ Walt Disney ก่อนมาทำเป็นหนังใหญ่ เห็นไหมครับ ขนาดจะอธิบายเรื่องพี่เลี้ยง แม่เลี้ยง ยังต้องยกตัวอย่างหนัง Hollywood เลย เห็นอิทธิพลของเขาไหม จะให้ยกตัวอย่างเป็นปลาบู่ทอง จะมีใครรู้เรื่องบ้าง ผู้ที่ร่วมมือกัน ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จับอเมริกาตั้งไข่ หัดเดิน ซ้อมให้เป็นนักล่า ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคมอเมริกา คือ พวก Elites นั่นแหละ ที่ประกอบด้วย นายธนาคารและบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (Americas Industrial Revolution) ในปลายศตวรรษที่ 19 รวมทั้งพวกมูลนิธิ ที่อ้างตัวว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ Philanthropic Foundations (พวกมูลนิธิแบบนี้น่ะในบ้านเราก็มีจับตากันให้ดี สอดไส้กันง่ายเหลือเกิน) สถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และสถาบันที่เป็นถังความคิด (Think Tank) รวมทั้งกลุ่มทุนธุรกิจ ซึ่งเดินกร่างอยู่บนเส้นทางของอำนาจ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มคน ที่ถ้าเปรียบแบบฝรั่ง เขาก็จะบอกว่าเป็นเหมือนพวก cream หรือ topping ที่อยู่ชั้นบนสุดของขนมเค้กนั่นแหละ คือกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักล่า ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้น พี่เลี้ยงนักล่าที่เดินร้องเพลงเชียร์นำมาก่อนคือพวกนักยุทธศาสตร์อเมริกัน เริ่มประสานเสียงเรียกหา New Global American Empire จักรวรรดิอเมริกาที่จะครองโลกอ ยู่ไหน นำโดย Henry R. Luce บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Yale ผู้ก่อตั้งหนังสือ Time Magazine, Life และ Fortune ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสำนักพิมพ์ ที่มีอิทธิพลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นหัวหน้ากองเชียร์ เสียงดังของพรรค Republican ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกนักการเมืองเผด็จการทางฝั่งยุโรป เช่น Mussolini ของอิตาลีและพวกนาซีของเยอรมัน ด้วยความเชื่อว่าวิถีของเผด็จการ จะหยุดการแพร่พันธ์ของคอมมิวนิสต์ได้ เชื่อกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในปี ค.ศ.1941 นาย Luce เขียนบทความดังเป็นพลุแตก (แบบนิทานจิกโก๋ปากซอย ฮา) ลงในนิตยสาร Life ชื่อ The American Century ศตวรรษของอเมริกา เขาบอกว่าศตวรรษที่ 20 นี้ จะเป็นเวลาของอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่โลกจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำโลกตัวจริงมาแล้ว มันไม่เหมือนกับการเป็นจักรวรรดิแบบโรม หรือเจ็งกิสข่านหรือจักรภพอังกฤษ ที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นจักรวรรดิเพื่อมนุษย์ชาติทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะแต่อเมริกันชนเท่านั้น ว่าเข้านั่น พูดแบบอเมริกันแท้ ไม่มีเทียมเลยคุณพี่ คุณพี่ Luce นี่นอกจากเชียร์สุดลิ่ม และยังเป็นนักฝันดีอีกด้วย ในขณะที่นาย Luce เป็นนักร้องนำ เขียนบทความสรรเสริญอเมริกา ลงทุนผ่านปากกา แต่ผู้ที่ลงแรง ลงมือ ลงขัน จัดการให้ ศตวรรษอเมริกาเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มาจากความคิดริเริ่มและการผลัก ดันของ the Council on Foreign Relations (CFR) กลุ่มนักคิด นักวางแผนโคตรชั่ว ตัวแสบนั่นเอง และนักยุทธศาสตร์คนสำคัญ CFR ที่เป็นหัวรถจักร ของรถไฟสายพี่เลี้ยง คือนาย Dean Acheson นาย Acheson นี้ มีประวัติน่าสนใจ เขาเป็นทนายความ ต่อมาเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าวงการ เมือง ไต่กระไดขึ้นมาเรื่อย จนในที่สุดได้เป็น Secretary of State ช่วงปี ค.ศ.1949 – 1953 สมัยนาย Truman เป็นประธานาธิบดี เขามีส่วนสำคัญในการร่างนโยบาย ตปท. ของอเมริกาในช่วงสงครามเย็น (เอ! ใครเอาอย่างนะ จากทนายหน้าหอ มาเป็น รอ มอ ตอ ต่างประเทศ) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ นาย Acheson เขียนหนังสือเรื่อง An American Attitude เป็นใบสั่งล่วงหน้าว่า หลัง สงครามโลกจบ อเมริกาจะต้องทำอะบ้าง (เขาสั่งกันได้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมทำสงคราม) สิ่งที่สำคัญอเมริกาจะต้องทำคือ ทำให้โลกมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจการค้า หลังจากนั้นนาย Acheson ก็เป็นหนึ่งในคณะผู้ทำงานของ CFR ในการวางแผน ตั้งไข่ ให้แก่นักล่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แม้ว่าอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ CFR วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก เลิกยืนกอดอกดูอยู่ข้างสนามแบบนั้นมันจะไปได้เรื่องอะไร กระโดดลงไปในสนามรบได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาวางแผนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่จะให้อเมริกากระโจนลงไปในสนามรบ คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 11
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 11
    ค.ศ. 1953 นาย Donovan ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชฑูตอเมริกาประจำเมืองไทย นาย Kenneth บอกว่าที่นาย Donovan ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทย มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่นาย Donovan ไม่พอใจนัก เนื่องมาจากเมื่อสงครามโลกครั้ง ที่ 2 สิ้นสุด ประธานาธิบดี Truman ก็สั่งยกเลิกหน่วยงาน OSS ของนาย Donovan เมื่อนาย Eisenhower ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาสั่งให้มีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองรูปแบบใหม่ คือ Central Intelligence Agency (CIA) หน่วยงานนี้ให้ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี นาย Donovan ก็ดำเนินการตามสั่งจนเสร็จ และคิดว่าตนจะได้เป็นหัวหน้า CIA คนแรก แต่พอตั้งเสร็จ ประธานาธิบดี Eisenhower ซึ่งเลือกนาย John Foster Dulles มาเป็น รมว.ต่างประเทศ นาย John บอกว่าถ้าจะให้ดี ทำงานเข้าขากัน เขาแนะนำให้ประธานาธิบดีตั้งนาย Allen น้องชายเขามาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน CIA จะดีกว่า ประธานาธิบดีก็ยอม และเพื่อไม่ให้นาย Donovan กินแห้ว เลยส่งมาเป็นฑูตที่เมืองไทย ซึ่งนาย Kenneth ว่า ก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าเป็นหัวหน้า CIA หรอกนะ และตอนนั้นนาย Donovan ก็อายุ 70 ปีแล้ว
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : นาย Kenneth น่าจะวิเคราะห์เรื่องนาย Donovan ไม่พอใจที่ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทยไม่ถูกต้อง มันน่าจะตรงกันข้าม นาย Donovan น่าจะถูกเลือกมาโดยเฉพาะให้มาเป็นฑูตในตอนนั้น เพราะเป็นช่วงที่อเมริกากำลังจะเริ่มรบกับเวียตนาม จำเป็นต้องทำการเข้าใจทั้งการรบ และเข้าใจทั้งเมืองไทยและอินโดจีนอย่างดี และอาจจะมีภาระกิจอื่นแถม! นาย Donovan รู้จักคนไทยสำคัญๆหลายคน สมัยทำงาน OSS น่าจะได้รับความร่วมมือมากกว่า จะเอาหน้าใหม่มา หมายเหตุเพิ่มเติม ทั้งประธานาธิบดี Eisenhower นาย John Foster Dulles และนาย Donovan ล้วนเกี่ยวกับ CFR ทั้งสิ้นครับ)
    เมื่อนาย Donovan ได้เป็นฑูตประจำไทย นาย Kenneth เป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลประเทศ ไทย ทั้ง 2 คน จึงได้กลับมาร่วมงานกันอีก นาย Kenneth ถือโอกาสติดตามนาย Donovan มาเมืองไทย อ้างว่าจะมาติวเข้มให้ ว่าใครเป็นใครในเมืองไทย เรื่องนี้ ต้องยอมรับว่านาย Kenneth “รู้งาน” เพราะสมัยนายDonovan คุมหน่วย OSS ตอนสงครามโลก แม้เขาจะรู้จักกับคนไทยที่ร่วมงาน OSS เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งตอนหลังหมดอำนาจ แถม ยืนอยู่คนละค่ายกับ จอมพล ป ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นอีกด้วย การเมืองไทยซึ่งช่วงน้ันแบ่งเป็นหลายก๊ก หลายแก๊งค์ ถ้าไม่ติวกันให้ดี อาจจะมีการเหยียบตาปลาเสียเรื่องกันซะเปล่าๆ
    นาย Kenneth โม้ต่อไปว่า เดิมอเมริกาให้การสนับสนุนแก่เผ่า (อตร.สมัยนั้น โดยเฉพาะด้านตำรวจตระเวนชายแดน) แต่เป็นเพราะฝีมือเขานะ ที่หว่านล้อมให้นาย Donovan ทำเรื่องไปทางวอชิงตันว่าควรสนับสนุนสฤษดิ์ด้วย เพราะสฤษดิ์น่าจะเป็นผู้นำที่ดีกว่าเผ่า วอชิงตันเห็นด้วย และเริ่มให้การสนับสนุนทางการทหารและการเงินแก่กองทัพไทย และด้วยเงินสนับสนุนของอเมริกานี้ ทำให้สฤษดิ์เริ่มมีรัศมีอำนาจฉายแสงสู้กับเผ่าได้ ทั้ง 2 คน แข่งกันสร้างอำนาจและสร้างพรรคพวก อย่างสูสีกัน ถ้าเป็นม้าแข่งก็ต้องตัดสินด้วยรูปถ่าย
    ยังไม่รู้ว่าใครจะเข้าวิน สฤษดิ์ก็ดันล้มป่วย อเมริการีบประคองส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล Water Reed (แสดงว่าคุณป๋าถ้าจะเข้าวิน) แน่นอนคนที่ไปนั่งกุมมือคุณป๋ายามป่วย นอกจากนายพล Erskine (ที่ประจำอยู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษของ Pentagon ที่รัฐบาลอเมริกาส่งมาประกบสฤษดิ์เป็นพิเศษ และภายหลัง กลายเป็นเพื่อนซี้ ขนาดคุณป๋ายกลูกชายคนโต ให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านนายพล) แน่นอนย่อมต้องมีนาย Kenneth นี่อีกคน ที่ไปนั่งคุยเป็นภาษาไทย ไม่ให้คุณป๋าเหงาหู อย่าลืมคุณป๋าไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษ เมื่อไปนอนอยู่ต่างบ้านต่างเมือง มีตลกหัวทองมานั่งพูดไทยด้วย มันก็หายเมื่อยมือเวลาพูดไปแยะ บางวันคุณป๋าก็ออกไปนั่งเล่น กินข้าวอยู่ที่บ้านนาย Kenneth ซึ่งถือโอกาสผูกมิตรชิดใกล้เข้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันก็น่าจะสร้างความอบอุ่นหัวใจของคุณป๋าไม่น้อย เป็นธรรมดาของคนอยู่ไกลบ้าน
    คุณป๋าสฤษดิ์หายป่วยกลับมาเมืองไทยไม่นาน คุณป๋าก็ทำการรัฐประหารดีดจอมพล ป. ออกไปนุ่งกิโมโนอยู่ญี่ปุ่น ส่วนนายเผ่า Sea Supply คู่ปรับเก่าก็ถูกส่งตัวไปนั่งนับเนยแข็งอยู่ที่สวิส หลังจากตั้งหุ่นชื่อ พจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพอยู่แป๊บ หนึ่ง คุณป๋าก็รัฐประหารใหม่ คราวนี้เลิกเหนียม ตัดใจเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ระหว่างคุณป๋าเป็นนายกฯ ก็ทำงานใกล้ชิดกับอเมริกา คุณป๋าทหารหาญคิดว่าอเมริกานักล่า เป็นเพื่อนรักยามยาก มาช่วยเหลือไม่ให้คอมมี่บุกไทยแลนด์ อยากได้อะไร เปรยปั๊บ ได้ปุ๊บ คุณป๋าก็เลยทั้งทุ่มทั้งเทตอบ ใครจะนึกว่าเพื่อนรักแอบเล่นบ ทตามสุภาษิต ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า มิตรรัก จดจำกันไว้ อย่าได้เชื่อจนหมดใจ เหลือที่ไว้ เผื่อขาด เผื่อเหลือบ้าง จะได้ไม่ต้องนั่งชีช้ำ นึกถึงประเทศอิหร่าน ฟิลิปปินส์ ลิเบีย อียิปต์ อาฟกานิสถาน อิรัก ฯลฯ ไว้บ้างก็แล้วกัน
    ส่วนนาย Kenneth เอง น่าจะได้ความดีความชอบไม่น้อย จากการแทงม้าถูกตัว เมื่อคุณป๋าเป็นนายกไทยแลนด์ สัมพันธ์ไทยอเมริกาลื่นเหมือนทาด้วยน้ำมันของ Standard Oil นาย Kenneth จึงได้ย้ายไปนั่งคอยืดอยู่สภาความมั่นคงของอเมริกา National Security Council (NSC) เรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ “วงในสุด” ของอเมริกา เขาอยู่หน่วยงานที่รับผิดชอบวางแผนเกี่ยวกับ ความมั่นคงของประเทศ และติดตามผลงาน แม่เจ้าโว้ย ! มันใหญ่จริงๆ สำหรับอดีตมิชชั่นนารีจากเมืองตรัง เขาทำงานกับหน่วยงานและบุคคลระดับใหญ่ และลับเฉพาะสูงสุดของประเทศ เช่น รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ หัวหน้างานข่าวกรอง (CIA) อะไรทำนองนั้น หน้าที่ของเขาคือร่างแผนปฏิบัติการณ์ในภูมิภาคเอเซียใต้ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขาทำงานนี้จนถึงสมัยรัฐบาล Kennedy เป็นมิชชั่นนารี พันธ์พิเศษจริงๆ เก่งขนาดร่างแผนการล่าได้ หรือว่าเป็นภาระกิจถนัดของมิชชั่นนารีพันธ์พิเศษ ?!

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 11 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 11 ค.ศ. 1953 นาย Donovan ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชฑูตอเมริกาประจำเมืองไทย นาย Kenneth บอกว่าที่นาย Donovan ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทย มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่นาย Donovan ไม่พอใจนัก เนื่องมาจากเมื่อสงครามโลกครั้ง ที่ 2 สิ้นสุด ประธานาธิบดี Truman ก็สั่งยกเลิกหน่วยงาน OSS ของนาย Donovan เมื่อนาย Eisenhower ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาสั่งให้มีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองรูปแบบใหม่ คือ Central Intelligence Agency (CIA) หน่วยงานนี้ให้ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี นาย Donovan ก็ดำเนินการตามสั่งจนเสร็จ และคิดว่าตนจะได้เป็นหัวหน้า CIA คนแรก แต่พอตั้งเสร็จ ประธานาธิบดี Eisenhower ซึ่งเลือกนาย John Foster Dulles มาเป็น รมว.ต่างประเทศ นาย John บอกว่าถ้าจะให้ดี ทำงานเข้าขากัน เขาแนะนำให้ประธานาธิบดีตั้งนาย Allen น้องชายเขามาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน CIA จะดีกว่า ประธานาธิบดีก็ยอม และเพื่อไม่ให้นาย Donovan กินแห้ว เลยส่งมาเป็นฑูตที่เมืองไทย ซึ่งนาย Kenneth ว่า ก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าเป็นหัวหน้า CIA หรอกนะ และตอนนั้นนาย Donovan ก็อายุ 70 ปีแล้ว (หมายเหตุคนเล่านิทาน : นาย Kenneth น่าจะวิเคราะห์เรื่องนาย Donovan ไม่พอใจที่ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทยไม่ถูกต้อง มันน่าจะตรงกันข้าม นาย Donovan น่าจะถูกเลือกมาโดยเฉพาะให้มาเป็นฑูตในตอนนั้น เพราะเป็นช่วงที่อเมริกากำลังจะเริ่มรบกับเวียตนาม จำเป็นต้องทำการเข้าใจทั้งการรบ และเข้าใจทั้งเมืองไทยและอินโดจีนอย่างดี และอาจจะมีภาระกิจอื่นแถม! นาย Donovan รู้จักคนไทยสำคัญๆหลายคน สมัยทำงาน OSS น่าจะได้รับความร่วมมือมากกว่า จะเอาหน้าใหม่มา หมายเหตุเพิ่มเติม ทั้งประธานาธิบดี Eisenhower นาย John Foster Dulles และนาย Donovan ล้วนเกี่ยวกับ CFR ทั้งสิ้นครับ) เมื่อนาย Donovan ได้เป็นฑูตประจำไทย นาย Kenneth เป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลประเทศ ไทย ทั้ง 2 คน จึงได้กลับมาร่วมงานกันอีก นาย Kenneth ถือโอกาสติดตามนาย Donovan มาเมืองไทย อ้างว่าจะมาติวเข้มให้ ว่าใครเป็นใครในเมืองไทย เรื่องนี้ ต้องยอมรับว่านาย Kenneth “รู้งาน” เพราะสมัยนายDonovan คุมหน่วย OSS ตอนสงครามโลก แม้เขาจะรู้จักกับคนไทยที่ร่วมงาน OSS เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งตอนหลังหมดอำนาจ แถม ยืนอยู่คนละค่ายกับ จอมพล ป ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นอีกด้วย การเมืองไทยซึ่งช่วงน้ันแบ่งเป็นหลายก๊ก หลายแก๊งค์ ถ้าไม่ติวกันให้ดี อาจจะมีการเหยียบตาปลาเสียเรื่องกันซะเปล่าๆ นาย Kenneth โม้ต่อไปว่า เดิมอเมริกาให้การสนับสนุนแก่เผ่า (อตร.สมัยนั้น โดยเฉพาะด้านตำรวจตระเวนชายแดน) แต่เป็นเพราะฝีมือเขานะ ที่หว่านล้อมให้นาย Donovan ทำเรื่องไปทางวอชิงตันว่าควรสนับสนุนสฤษดิ์ด้วย เพราะสฤษดิ์น่าจะเป็นผู้นำที่ดีกว่าเผ่า วอชิงตันเห็นด้วย และเริ่มให้การสนับสนุนทางการทหารและการเงินแก่กองทัพไทย และด้วยเงินสนับสนุนของอเมริกานี้ ทำให้สฤษดิ์เริ่มมีรัศมีอำนาจฉายแสงสู้กับเผ่าได้ ทั้ง 2 คน แข่งกันสร้างอำนาจและสร้างพรรคพวก อย่างสูสีกัน ถ้าเป็นม้าแข่งก็ต้องตัดสินด้วยรูปถ่าย ยังไม่รู้ว่าใครจะเข้าวิน สฤษดิ์ก็ดันล้มป่วย อเมริการีบประคองส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล Water Reed (แสดงว่าคุณป๋าถ้าจะเข้าวิน) แน่นอนคนที่ไปนั่งกุมมือคุณป๋ายามป่วย นอกจากนายพล Erskine (ที่ประจำอยู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษของ Pentagon ที่รัฐบาลอเมริกาส่งมาประกบสฤษดิ์เป็นพิเศษ และภายหลัง กลายเป็นเพื่อนซี้ ขนาดคุณป๋ายกลูกชายคนโต ให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านนายพล) แน่นอนย่อมต้องมีนาย Kenneth นี่อีกคน ที่ไปนั่งคุยเป็นภาษาไทย ไม่ให้คุณป๋าเหงาหู อย่าลืมคุณป๋าไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษ เมื่อไปนอนอยู่ต่างบ้านต่างเมือง มีตลกหัวทองมานั่งพูดไทยด้วย มันก็หายเมื่อยมือเวลาพูดไปแยะ บางวันคุณป๋าก็ออกไปนั่งเล่น กินข้าวอยู่ที่บ้านนาย Kenneth ซึ่งถือโอกาสผูกมิตรชิดใกล้เข้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันก็น่าจะสร้างความอบอุ่นหัวใจของคุณป๋าไม่น้อย เป็นธรรมดาของคนอยู่ไกลบ้าน คุณป๋าสฤษดิ์หายป่วยกลับมาเมืองไทยไม่นาน คุณป๋าก็ทำการรัฐประหารดีดจอมพล ป. ออกไปนุ่งกิโมโนอยู่ญี่ปุ่น ส่วนนายเผ่า Sea Supply คู่ปรับเก่าก็ถูกส่งตัวไปนั่งนับเนยแข็งอยู่ที่สวิส หลังจากตั้งหุ่นชื่อ พจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพอยู่แป๊บ หนึ่ง คุณป๋าก็รัฐประหารใหม่ คราวนี้เลิกเหนียม ตัดใจเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ระหว่างคุณป๋าเป็นนายกฯ ก็ทำงานใกล้ชิดกับอเมริกา คุณป๋าทหารหาญคิดว่าอเมริกานักล่า เป็นเพื่อนรักยามยาก มาช่วยเหลือไม่ให้คอมมี่บุกไทยแลนด์ อยากได้อะไร เปรยปั๊บ ได้ปุ๊บ คุณป๋าก็เลยทั้งทุ่มทั้งเทตอบ ใครจะนึกว่าเพื่อนรักแอบเล่นบ ทตามสุภาษิต ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า มิตรรัก จดจำกันไว้ อย่าได้เชื่อจนหมดใจ เหลือที่ไว้ เผื่อขาด เผื่อเหลือบ้าง จะได้ไม่ต้องนั่งชีช้ำ นึกถึงประเทศอิหร่าน ฟิลิปปินส์ ลิเบีย อียิปต์ อาฟกานิสถาน อิรัก ฯลฯ ไว้บ้างก็แล้วกัน ส่วนนาย Kenneth เอง น่าจะได้ความดีความชอบไม่น้อย จากการแทงม้าถูกตัว เมื่อคุณป๋าเป็นนายกไทยแลนด์ สัมพันธ์ไทยอเมริกาลื่นเหมือนทาด้วยน้ำมันของ Standard Oil นาย Kenneth จึงได้ย้ายไปนั่งคอยืดอยู่สภาความมั่นคงของอเมริกา National Security Council (NSC) เรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ “วงในสุด” ของอเมริกา เขาอยู่หน่วยงานที่รับผิดชอบวางแผนเกี่ยวกับ ความมั่นคงของประเทศ และติดตามผลงาน แม่เจ้าโว้ย ! มันใหญ่จริงๆ สำหรับอดีตมิชชั่นนารีจากเมืองตรัง เขาทำงานกับหน่วยงานและบุคคลระดับใหญ่ และลับเฉพาะสูงสุดของประเทศ เช่น รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ หัวหน้างานข่าวกรอง (CIA) อะไรทำนองนั้น หน้าที่ของเขาคือร่างแผนปฏิบัติการณ์ในภูมิภาคเอเซียใต้ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขาทำงานนี้จนถึงสมัยรัฐบาล Kennedy เป็นมิชชั่นนารี พันธ์พิเศษจริงๆ เก่งขนาดร่างแผนการล่าได้ หรือว่าเป็นภาระกิจถนัดของมิชชั่นนารีพันธ์พิเศษ ?! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 6
    แล้วนาย Kenneth ก็ตกลงจะทำงานช่วงสั้นเฉพาะกิจให้นาย Donovan ใน office of the Co-Ordination (OCI) ซึ่งนาย Donovan ตั้งขึ้น (สงสัยเพราะตกลงราคาค่าจ้างยังไม่เป็นที่พอใจกัน อดีตมิชชั่นนารี ต่อรองกับอดีตนักกฏหมาย ผลก็น่าจะพอเดากันออก)

นาย Donovan เคยไปรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เก่งกล้าสามารถมาก จนได้สมญาว่า “Wild Bill Donovan” เขาเชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นแน่ และอเมริกาจะต้องเกี่ยวข้องด้วย (ทำไมนาย Donovan ถึงเชื่อเช่นนั้น เอ! หรือนาย Donovan จะเกี่ยวกับ CFR จริง !) แต่ตอนนั้นไม่มีใครในอเมริการู้จักคู่รบของอเมริกาเลย เขาจึงเตือนประธานาธิบดี Roosevelt ให้เตรียมตั้งหน่วยงานข่าวกรอง เพื่อหาข้อมูลและข่าวเกี่ยวกับญี่ปุ่นและประเทศแถบอินโดจีนเอาไว้
    เมื่อประธานาธิบดี Roosevelt เห็นชอบด้วย นาย Donovan จึงตั้งหน่วยงานชื่อ Office of the Co-Ordination of Information (OCI) ขึ้น ซึ่งต่อมาเมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เต็มตัว OCI ได้เปลี่ยนเป็น Office of Strategic Services (OSS) ภายใต้การดูแลของนาย Donovan เช่นเดิม
    เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง OSS ได้ถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็น Central for Intelligence Agency (CIA) แทน นอกเหนือจากนาย Donovan ผู้ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด OSS และ CIA แล้ว นาย Kenneth บอกว่า เขาก็ถูกนับว่าเป็น “รุ่นก่อตั้ง” ของหน่วยงานข่าวกรอง OSS ด้วยเช่นกัน (นาย Kenneth นี่ ไม่ใช่แค่เป็นนักฉวยโอกาส แต่เป็นคนชี้ไม้อีกด้วย คุณสมบัติแบบนี้ถ้าเบื่อเป็นมิชชั่นนารี น่าจะไปทำงานประเภทเล่าข่าวเช้านี้ บางคนอาจตกอันดับ)
    นาย Kenneth ให้เหตุผลว่า ที่อเมริกาไม่เคยมีหน่วยงานข่าวกรองของตนเอง เกี่ยวกับต่างประเทศมากนัก เพราะก่อนหน้านั้น อเมริกามีนโยบายสันโดษ (isolation) ไม่ยุ่งกับประเทศอื่นมาตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1930 ต้นๆ โดยเฉพาะไม่ร่วมทำสงครามด้วย และถ้าอยากจะได้ข้อมูลเชิงลึกอะไร อเมริกาก็จะอาศัยถามเพื่อนรัก ร่วมก๊วน 3 เกลอหัวแข็ง คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งข้อมูลของทั้ง 2 ประเทศ ส่วนมากก็จะเกี่ยวกับประเทศอาณานิคมของเขา (อเมริกาเปลี่ยนจากนโยบายสันโดษ เป็นนักค้าสงครามเมื่อประมาณ ค.ศ.1945 ตามแรงผลัก แรงดันของกลุ่ม CFR ที่ควบคุมนโยบายการต่างประเทศของอเมริกา ผ่านคนของ CFR อีกต่อหนึ่ง!)
    การบ้านที่นาย Donovan มอบให้นาย Kenneth ทำคือ ทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดีร้ายขนาดไหน ใครคุมใคร ใครได้เปรียบเสีบเปรียบ ใครมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ใส่มาให้หมด สิว ไฝ ฝ้า อยู่ตรงไหนอย่าลืมบอก รวมทั้งฝรั่งเศสไอ้จั๊กกะแร้เหม็นเขียวด้วย คนแถบอินโดจีนเขามองเจ้านี่อย่างไร เขายังอยากจะไปซบจั๊กกะแร้เหม็นอยู่อีกไหม แล้วอย่าลืมรายงานเรื่องคนไทยกับพี่ยุ่นด้วยล่ะ หลังถูกพี่ยุ่นเอารถถังมาวิ่งรอบเมืองกรุงเทพแทนรถเมล์แล้วน่ะ คนไทยทำยังไง เอาดอกไม้ไปให้พี่ยุ่น หรือเอาประทัดไปไล่ ความสัมพันธ์ของไทยกับญี่ปุ่นนี้ จะเป็นตัววัดผลแพ้ชนะของการรบในภูมิภาคนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของพี่เบิ้ม รายงานผิดเดี๋ยวได้กลับไปอยู่เมืองตรังแน่
    อีกรายงานหนึ่งที่นาย Kenneth ต้องทำคือวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของอังกฤษกับลูกหาบเช่น พม่า รวมทั้ง มาลายู และสิงคโปร์ จะได้เอาไปตรวจสอบได้ว่าอังกฤษมิตรรัก บอกความจริงกับอเมริกามากน้อยแค่ไหน ถึงจะสัมพันธ์ชิดมิตรใกล้ก็เถอะ ไว้ใจกันได้ที่ไหน เรื่องของผลประโยชน์! ข้อมูลเหล่านี้ช่วยทำให้อเมริกาวางยุทธศาสตร์การรบของอเมริกา ในช่วงสงครามโลกและที่สำคัญคือช่วงหลังสงครามโลกเป็นอย่างดี
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างที่ญี่ปุ่นบุกเมืองไทย เมืองไทยเองก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. เจ้าของนโยบายใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรีที่แสดงตัวเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น ถึงขนาดประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา เอาใจญี่ปุ่นกันจนออกนอกหน้า ขณะที่คนไทยอีกพวกหนึ่งคือพวกเสรีไทย ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ (อังกฤษและอเมริกา) และอยู่ในประเทศไทย เข้ากับฝรั่งทั้งอังกฤษและอเมริกาแบบออกนอกหน้าพอกัน ประกาศไม่เห็นด้วยกับการเข้าพวกกับญี่ปุ่นของจอมพล ป. นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าเสรีไทยที่อยู่ในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา หลังจากเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor มรว. เสนีย์ ปราโมช ซึ่งขณะนั้นเป็นฑูตไทยประจำที่อเมริกาแต่มาธุระที่เมืองไทย รีบบินกลับไปอเมริกา เพื่อไปบอกอเมริกาว่าการประกาศสงครามของไทยต่ออเมริกาและอังกฤษนั้น เราคนไทยไม่เกี่ยวนะ ไม่ใช่ความต้องการของพวกเรา เราไม่เอ้า ไม่เอาญี่ปุ่น เราเอาพวกท่าน คนไทยขอให้พวกท่านเข้าใจและช่วยเหลือพวกเราด้วย
    ในตอนนั้นนาย Donovan ได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาอีกหน่วย ชื่อ Office of War Information (OWI) ทางอเมริกาจึงตกลงให้ มรว. เสนีย์ ทำการออกอากาศเป็นภาษาไทยจากอเมริกา ผ่านหน่วยงานของ OWI ประกาศเจตนารมณ์ของเสรีไทย ให้คนไทยทางเมืองไทยทราบ วิทยุเสรีไทยที่ออกอากาศเป็นภาษาไทยนี้ มีนาย Kenneth เป็นผู้ประสานงาน นาย Kenneth บอกว่าอเมริกาให้เขาคอยเฝ้าดูว่าฝ่ายไทยจะพูดจาออกอากาศตรง กับที่แจ้งไว้กับอเมริกาหรือไม่ (แสดงถึงความเชื่อใจกันอย่างเต็มที่เลย !) ในเมื่อเขาเป็นคนอเมริกันคนเดียวตอนน้ัน ที่อยู่ตรงนั้น ที่รู้ภาษาไทย จึงรับหน้าที่ประสานงานกับเสรีไทย จึงเป็นเหตุให้นาย Kenneth จึงยังทำงานกับรัฐบาลอเมริกาต่อไป (และเข้าใจว่า คงต่อรองเรื่องค่าจ้างกันจนเป็นที่ถูกใจ นาย Kenneth แล้ว)
    นาย Kenneth เล่าว่า ช่วงที่สงครามโลกกำลังเข้มข้นอยู่แถวอินโดจีน ประเทศอาณานิคม เช่น มาลายู สิงคโปร์ คิดว่าอังกฤษจะช่วยรบกับญี่ปุ่นให้ แต่อันที่จริงแล้ว นายเชอร์ซิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่เคยมีเจตนาเช่นนั้นเลย นายเชอร์ซิลพร้อมที่จะทิ้งอาณานิคมของตนให้สู้ไปลำพัง สมันน้อยก็จำตรงนี้ไว้นะ ชอบเชื่อฝรั่งอั่งม้ออยู่เรื่อย เขาบอกอะไรก็เชื่อ ท้ายที่สุดเขาก็ต้องเห็นประโยชน์ของเขามากกว่า เรานึกว่าเขาจะอุ้มกระเตงเราไปตลอดหรือไง หมดประโยชน์เขาก็โยนทิ้ง เฮ้อ! บอกเท่าไหร่ไม่เคยเชื่อ บูชาคุณพ่อฝรั่งกันเหลือเกิน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 6 แล้วนาย Kenneth ก็ตกลงจะทำงานช่วงสั้นเฉพาะกิจให้นาย Donovan ใน office of the Co-Ordination (OCI) ซึ่งนาย Donovan ตั้งขึ้น (สงสัยเพราะตกลงราคาค่าจ้างยังไม่เป็นที่พอใจกัน อดีตมิชชั่นนารี ต่อรองกับอดีตนักกฏหมาย ผลก็น่าจะพอเดากันออก)

นาย Donovan เคยไปรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เก่งกล้าสามารถมาก จนได้สมญาว่า “Wild Bill Donovan” เขาเชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นแน่ และอเมริกาจะต้องเกี่ยวข้องด้วย (ทำไมนาย Donovan ถึงเชื่อเช่นนั้น เอ! หรือนาย Donovan จะเกี่ยวกับ CFR จริง !) แต่ตอนนั้นไม่มีใครในอเมริการู้จักคู่รบของอเมริกาเลย เขาจึงเตือนประธานาธิบดี Roosevelt ให้เตรียมตั้งหน่วยงานข่าวกรอง เพื่อหาข้อมูลและข่าวเกี่ยวกับญี่ปุ่นและประเทศแถบอินโดจีนเอาไว้ เมื่อประธานาธิบดี Roosevelt เห็นชอบด้วย นาย Donovan จึงตั้งหน่วยงานชื่อ Office of the Co-Ordination of Information (OCI) ขึ้น ซึ่งต่อมาเมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เต็มตัว OCI ได้เปลี่ยนเป็น Office of Strategic Services (OSS) ภายใต้การดูแลของนาย Donovan เช่นเดิม เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง OSS ได้ถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็น Central for Intelligence Agency (CIA) แทน นอกเหนือจากนาย Donovan ผู้ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด OSS และ CIA แล้ว นาย Kenneth บอกว่า เขาก็ถูกนับว่าเป็น “รุ่นก่อตั้ง” ของหน่วยงานข่าวกรอง OSS ด้วยเช่นกัน (นาย Kenneth นี่ ไม่ใช่แค่เป็นนักฉวยโอกาส แต่เป็นคนชี้ไม้อีกด้วย คุณสมบัติแบบนี้ถ้าเบื่อเป็นมิชชั่นนารี น่าจะไปทำงานประเภทเล่าข่าวเช้านี้ บางคนอาจตกอันดับ) นาย Kenneth ให้เหตุผลว่า ที่อเมริกาไม่เคยมีหน่วยงานข่าวกรองของตนเอง เกี่ยวกับต่างประเทศมากนัก เพราะก่อนหน้านั้น อเมริกามีนโยบายสันโดษ (isolation) ไม่ยุ่งกับประเทศอื่นมาตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1930 ต้นๆ โดยเฉพาะไม่ร่วมทำสงครามด้วย และถ้าอยากจะได้ข้อมูลเชิงลึกอะไร อเมริกาก็จะอาศัยถามเพื่อนรัก ร่วมก๊วน 3 เกลอหัวแข็ง คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งข้อมูลของทั้ง 2 ประเทศ ส่วนมากก็จะเกี่ยวกับประเทศอาณานิคมของเขา (อเมริกาเปลี่ยนจากนโยบายสันโดษ เป็นนักค้าสงครามเมื่อประมาณ ค.ศ.1945 ตามแรงผลัก แรงดันของกลุ่ม CFR ที่ควบคุมนโยบายการต่างประเทศของอเมริกา ผ่านคนของ CFR อีกต่อหนึ่ง!) การบ้านที่นาย Donovan มอบให้นาย Kenneth ทำคือ ทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดีร้ายขนาดไหน ใครคุมใคร ใครได้เปรียบเสีบเปรียบ ใครมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ใส่มาให้หมด สิว ไฝ ฝ้า อยู่ตรงไหนอย่าลืมบอก รวมทั้งฝรั่งเศสไอ้จั๊กกะแร้เหม็นเขียวด้วย คนแถบอินโดจีนเขามองเจ้านี่อย่างไร เขายังอยากจะไปซบจั๊กกะแร้เหม็นอยู่อีกไหม แล้วอย่าลืมรายงานเรื่องคนไทยกับพี่ยุ่นด้วยล่ะ หลังถูกพี่ยุ่นเอารถถังมาวิ่งรอบเมืองกรุงเทพแทนรถเมล์แล้วน่ะ คนไทยทำยังไง เอาดอกไม้ไปให้พี่ยุ่น หรือเอาประทัดไปไล่ ความสัมพันธ์ของไทยกับญี่ปุ่นนี้ จะเป็นตัววัดผลแพ้ชนะของการรบในภูมิภาคนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของพี่เบิ้ม รายงานผิดเดี๋ยวได้กลับไปอยู่เมืองตรังแน่ อีกรายงานหนึ่งที่นาย Kenneth ต้องทำคือวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของอังกฤษกับลูกหาบเช่น พม่า รวมทั้ง มาลายู และสิงคโปร์ จะได้เอาไปตรวจสอบได้ว่าอังกฤษมิตรรัก บอกความจริงกับอเมริกามากน้อยแค่ไหน ถึงจะสัมพันธ์ชิดมิตรใกล้ก็เถอะ ไว้ใจกันได้ที่ไหน เรื่องของผลประโยชน์! ข้อมูลเหล่านี้ช่วยทำให้อเมริกาวางยุทธศาสตร์การรบของอเมริกา ในช่วงสงครามโลกและที่สำคัญคือช่วงหลังสงครามโลกเป็นอย่างดี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างที่ญี่ปุ่นบุกเมืองไทย เมืองไทยเองก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. เจ้าของนโยบายใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรีที่แสดงตัวเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น ถึงขนาดประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา เอาใจญี่ปุ่นกันจนออกนอกหน้า ขณะที่คนไทยอีกพวกหนึ่งคือพวกเสรีไทย ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ (อังกฤษและอเมริกา) และอยู่ในประเทศไทย เข้ากับฝรั่งทั้งอังกฤษและอเมริกาแบบออกนอกหน้าพอกัน ประกาศไม่เห็นด้วยกับการเข้าพวกกับญี่ปุ่นของจอมพล ป. นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าเสรีไทยที่อยู่ในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา หลังจากเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor มรว. เสนีย์ ปราโมช ซึ่งขณะนั้นเป็นฑูตไทยประจำที่อเมริกาแต่มาธุระที่เมืองไทย รีบบินกลับไปอเมริกา เพื่อไปบอกอเมริกาว่าการประกาศสงครามของไทยต่ออเมริกาและอังกฤษนั้น เราคนไทยไม่เกี่ยวนะ ไม่ใช่ความต้องการของพวกเรา เราไม่เอ้า ไม่เอาญี่ปุ่น เราเอาพวกท่าน คนไทยขอให้พวกท่านเข้าใจและช่วยเหลือพวกเราด้วย ในตอนนั้นนาย Donovan ได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาอีกหน่วย ชื่อ Office of War Information (OWI) ทางอเมริกาจึงตกลงให้ มรว. เสนีย์ ทำการออกอากาศเป็นภาษาไทยจากอเมริกา ผ่านหน่วยงานของ OWI ประกาศเจตนารมณ์ของเสรีไทย ให้คนไทยทางเมืองไทยทราบ วิทยุเสรีไทยที่ออกอากาศเป็นภาษาไทยนี้ มีนาย Kenneth เป็นผู้ประสานงาน นาย Kenneth บอกว่าอเมริกาให้เขาคอยเฝ้าดูว่าฝ่ายไทยจะพูดจาออกอากาศตรง กับที่แจ้งไว้กับอเมริกาหรือไม่ (แสดงถึงความเชื่อใจกันอย่างเต็มที่เลย !) ในเมื่อเขาเป็นคนอเมริกันคนเดียวตอนน้ัน ที่อยู่ตรงนั้น ที่รู้ภาษาไทย จึงรับหน้าที่ประสานงานกับเสรีไทย จึงเป็นเหตุให้นาย Kenneth จึงยังทำงานกับรัฐบาลอเมริกาต่อไป (และเข้าใจว่า คงต่อรองเรื่องค่าจ้างกันจนเป็นที่ถูกใจ นาย Kenneth แล้ว) นาย Kenneth เล่าว่า ช่วงที่สงครามโลกกำลังเข้มข้นอยู่แถวอินโดจีน ประเทศอาณานิคม เช่น มาลายู สิงคโปร์ คิดว่าอังกฤษจะช่วยรบกับญี่ปุ่นให้ แต่อันที่จริงแล้ว นายเชอร์ซิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่เคยมีเจตนาเช่นนั้นเลย นายเชอร์ซิลพร้อมที่จะทิ้งอาณานิคมของตนให้สู้ไปลำพัง สมันน้อยก็จำตรงนี้ไว้นะ ชอบเชื่อฝรั่งอั่งม้ออยู่เรื่อย เขาบอกอะไรก็เชื่อ ท้ายที่สุดเขาก็ต้องเห็นประโยชน์ของเขามากกว่า เรานึกว่าเขาจะอุ้มกระเตงเราไปตลอดหรือไง หมดประโยชน์เขาก็โยนทิ้ง เฮ้อ! บอกเท่าไหร่ไม่เคยเชื่อ บูชาคุณพ่อฝรั่งกันเหลือเกิน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5
    เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม
    มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้)
    หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
    ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?)
    เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ
    นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ
    ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว
    เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007
    เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง)
    เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt
    ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่)


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5 เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้) หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?) เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007 เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง) เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1)
    อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น
    เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ
    การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ
    – The National Security Council (NSC)
    ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ
    นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น
    – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ)
    – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี
    ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ
    – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น
    – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ
    พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล
    think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1) อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ – The National Security Council (NSC) ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ) – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/Y8cOZs3o_NI?si=OK7E0CFRPThX5eRn
    https://youtube.com/shorts/Y8cOZs3o_NI?si=OK7E0CFRPThX5eRn
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 4
    ยุทธศาสตร์ความมั่นคง National Security Strategy สำหรับปี ค.ศ. 2014 ยังไม่คลอดคาด ว่าจะคลอดประมาณเดือนเมษายน, พฤษภาคม แต่อย่างน้อย อเมริกาก็ใบ้หวยมาหลายครั้งแล้ว คือ
    – เมื่อกลางปี ค.ศ. 2012 อเมริกาบอกว่า จะมีการปรับกองกำลังของอเมริการะหว่าง
    แอตแลนติกกับแปซิฟิก จากที่เคยวางไว้ที่ 50:50 เป็น 40:60 แปลว่าให้น้ำหนักทางแปซิฟิก มากขึ้น
    – มาปลายปี ค.ศ. 2013 อเมริกาย้ำซ้ำว่า เราจะทำการปรับดุลยอำนาจในแถวเอเซีย
    แปซิฟิกเสียใหม่
    – พอต้นปี ค.ศ. 2014 มีข่าวปล่อยว่า อเมริกาอาจจะพิจารณาผ่อนคลายการคว่ำบาตรอิหร่าน แบบนี้เซียนการเมืองต่อรองกันน่าดู ฝ่ายที่เล่นว่าอเมริกาไม่พร้อมจะก่อศึก 2 ด้านพร้อมกัน รู้ข่าววงในหรือไง !
    มาดูฝ่ายเหล่าเสือร้ายลายก้างขวางคอกันบ้าง กำลังภายในภายนอก รวมกันแล้วน่า
    ตีมือตบ เป่านกหวีดให้แค่ไหน
    ด้านอิหร่าน ถ้ารวมตัวกับรัสเซีย ซีเรียและพวกที่มีแยะ แต่ยังไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว
    ขณะนี้ ร่วมกันเล่นมวยหมู่ นักล่าก็จุกได้เหมือนกัน
    ส่วนด้านจีน ถ้ารวมกับกลุ่มเจ้าพ่อเซียงไฮ้ (Shanghai Corporation Organization ซึ่งมีรัสเซียรวมอยู่ด้วย) บวกกับเด็กแสบแห่งเกาหลีเหนือ
    คราวนี้อเมริกาไม่ใช่แค่จุก แต่อาจจะถึงกับเดี้ยงไปเลย เพราะเกาหลีเหนือพร้อม
    ทุกเมื่อ ที่จะส่งของขวัญ แบบส่งตรงไม่ต้องฝากใคร ไปให้อเมริกาถึงหน้าทำเนียบขาว หรือวอชิงตันดีซี (ไม่รู้ราคาคุยของเด็กแสบหรือเปล่า)
    คิดแบบนี้ นักล่าก็น่าจะคลายมือที่บีบคออิหร่านออกมาสัก 1 หุน และหันมาโชว์พาวใช้โปรแกรมขย่มขวัญอาเฮีย ด้าน Asia Pacific น่าจะเข้าท่ากว่า แล้วนี่ ถ้าบรรดาพวกก้าง เขารวมหัวกันหมด นักล่าจะใช้โปรแกรมไหนเอ่ย นึกว่าเขาไม่คิดรวม หรือไม่กล้าเล่นหรือไง
    ไม่ว่านักล่าตัดสินใจมาทาง Asia Pacific หรือล่ามันทั้งโลก โปรแกรมที่เลือกใช้
    ไม่ว่าโปรแกรมใด แน่นอนต้องมีไทยแลนด์ แดนสมันน้อย เข้าไปเกี่ยวด้วยทุกรายการ สมันน้อย ถูกสัญญาทาสผูกคอมาตั้งแต่สมัยจอมพลคนแปลก หลวมตัวทำเอาไว้ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950)ที่เราเรียกกันว่าสัญญา JUSMAC ท่านใดที่ลืมเรื่องนี้ โปรดกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย นะครับ สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2012) นาย Leon Panetta รมว.กลาโหมของนักล่า ขณะนั้น ก็คว้ามือคุณพี่สุกำพล รมว.กลาโหมไทยขณะนั้น
    เอาแปะโป้งซ้ำอีกรอบ ใน Joint Vision Statement ระหว่างอเมริกากับไทย พร้อมออกข่าวแถลงด้วยความดีใจ ว่าเป็นทาสเขาไปอีกรอบแล้ว
    ภายใต้สัญญา JUSMAC อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ ในราชอาณาจักรไทยได้
    เมื่อไทยขอร้อง หรือเมื่ออเมริกาเห็นว่าไทยถูกคุกคาม ไอ้ฉากแบบนี้น่ะ มันสร้างยากนักหรือ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ อย่ามัวแต่นั่งโลกสวย คอยอธิบายแก้ข่าวที่พวกนักล่ามันแกล้งให้ สื่อเฮงซวยลงข่าวบ้านเราผิด ๆ ประเภท ประเทศไทยกำลังทำลายประชาธิปไตย ด้วยการประท้วงไม่ให้มีการเลือกตั้ง ฯลฯ
    เลิกไปอธิบายซ้ำซากกับพวกสื่อต่างชาติได้แล้ว มันรู้อยู่แล้วว่าอะไร เป็นอะไร แต่มันแกล้งสร้างข่าว เพื่อเบนความสนใจของเราไปจากเรื่องจริง คือการมาใช้ฐานทัพและ
    การขะโมยทรัพยากรของเรา ดังนั้นหัดคิดในเชิงรุกกันบ้าง ว่าเราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มันมาสาระแนในบ้านเรา เดี๋ยวจะว่าไม่เตือนกัน
    ข่าวลือมันมีมาตลอดว่า อเมริกาจะมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภาของไทย ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2555(ค.ศ. 2012) ข่าวนี้แรกหลุดมาจากการประชุม Shangrila Dialogue ประมาณเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของ International Institute for Strategic Studies (IISS)
    ซึ่งเป็นหน่วยงานประเภท think tank ระหว่างรัฐบาลด้านความมั่นคง (ก็หน่วยงานของพวก CFRนั่นแหละ !) ที่ประชุมกันที่โรงแรม Shangrila สิงคโปร์ทุกปี มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002
    ฝ่ายไทยที่ไปร่วมประชุม จะมีตัวแทนเป็นนักวิชาการด้านความมั่นคงบ้าง ผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศและผู้แทนจากกองทัพ เท่าที่จำได้ (จากเอกสารครับ ไม่เคยไป !) ขาประจำผูกขาดที่ไปประชุม ชื่อ นิพัท ทองเล็ก
    ในปี พ.ศ. 2555 คุณพี่สุกำพล ควงกะคุณน้องนิพัท ไปนั่งกระหนุง กระหนิง กับนาย Leon Panetta ในที่ประชุม กลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือน ก็ยืนคู่กันถ่ายรูปประกาศการลงนามสัญญา Joint Vision Statement!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 4 ยุทธศาสตร์ความมั่นคง National Security Strategy สำหรับปี ค.ศ. 2014 ยังไม่คลอดคาด ว่าจะคลอดประมาณเดือนเมษายน, พฤษภาคม แต่อย่างน้อย อเมริกาก็ใบ้หวยมาหลายครั้งแล้ว คือ – เมื่อกลางปี ค.ศ. 2012 อเมริกาบอกว่า จะมีการปรับกองกำลังของอเมริการะหว่าง แอตแลนติกกับแปซิฟิก จากที่เคยวางไว้ที่ 50:50 เป็น 40:60 แปลว่าให้น้ำหนักทางแปซิฟิก มากขึ้น – มาปลายปี ค.ศ. 2013 อเมริกาย้ำซ้ำว่า เราจะทำการปรับดุลยอำนาจในแถวเอเซีย แปซิฟิกเสียใหม่ – พอต้นปี ค.ศ. 2014 มีข่าวปล่อยว่า อเมริกาอาจจะพิจารณาผ่อนคลายการคว่ำบาตรอิหร่าน แบบนี้เซียนการเมืองต่อรองกันน่าดู ฝ่ายที่เล่นว่าอเมริกาไม่พร้อมจะก่อศึก 2 ด้านพร้อมกัน รู้ข่าววงในหรือไง ! มาดูฝ่ายเหล่าเสือร้ายลายก้างขวางคอกันบ้าง กำลังภายในภายนอก รวมกันแล้วน่า ตีมือตบ เป่านกหวีดให้แค่ไหน ด้านอิหร่าน ถ้ารวมตัวกับรัสเซีย ซีเรียและพวกที่มีแยะ แต่ยังไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ขณะนี้ ร่วมกันเล่นมวยหมู่ นักล่าก็จุกได้เหมือนกัน ส่วนด้านจีน ถ้ารวมกับกลุ่มเจ้าพ่อเซียงไฮ้ (Shanghai Corporation Organization ซึ่งมีรัสเซียรวมอยู่ด้วย) บวกกับเด็กแสบแห่งเกาหลีเหนือ คราวนี้อเมริกาไม่ใช่แค่จุก แต่อาจจะถึงกับเดี้ยงไปเลย เพราะเกาหลีเหนือพร้อม ทุกเมื่อ ที่จะส่งของขวัญ แบบส่งตรงไม่ต้องฝากใคร ไปให้อเมริกาถึงหน้าทำเนียบขาว หรือวอชิงตันดีซี (ไม่รู้ราคาคุยของเด็กแสบหรือเปล่า) คิดแบบนี้ นักล่าก็น่าจะคลายมือที่บีบคออิหร่านออกมาสัก 1 หุน และหันมาโชว์พาวใช้โปรแกรมขย่มขวัญอาเฮีย ด้าน Asia Pacific น่าจะเข้าท่ากว่า แล้วนี่ ถ้าบรรดาพวกก้าง เขารวมหัวกันหมด นักล่าจะใช้โปรแกรมไหนเอ่ย นึกว่าเขาไม่คิดรวม หรือไม่กล้าเล่นหรือไง ไม่ว่านักล่าตัดสินใจมาทาง Asia Pacific หรือล่ามันทั้งโลก โปรแกรมที่เลือกใช้ ไม่ว่าโปรแกรมใด แน่นอนต้องมีไทยแลนด์ แดนสมันน้อย เข้าไปเกี่ยวด้วยทุกรายการ สมันน้อย ถูกสัญญาทาสผูกคอมาตั้งแต่สมัยจอมพลคนแปลก หลวมตัวทำเอาไว้ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950)ที่เราเรียกกันว่าสัญญา JUSMAC ท่านใดที่ลืมเรื่องนี้ โปรดกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย นะครับ สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2012) นาย Leon Panetta รมว.กลาโหมของนักล่า ขณะนั้น ก็คว้ามือคุณพี่สุกำพล รมว.กลาโหมไทยขณะนั้น เอาแปะโป้งซ้ำอีกรอบ ใน Joint Vision Statement ระหว่างอเมริกากับไทย พร้อมออกข่าวแถลงด้วยความดีใจ ว่าเป็นทาสเขาไปอีกรอบแล้ว ภายใต้สัญญา JUSMAC อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ ในราชอาณาจักรไทยได้ เมื่อไทยขอร้อง หรือเมื่ออเมริกาเห็นว่าไทยถูกคุกคาม ไอ้ฉากแบบนี้น่ะ มันสร้างยากนักหรือ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ อย่ามัวแต่นั่งโลกสวย คอยอธิบายแก้ข่าวที่พวกนักล่ามันแกล้งให้ สื่อเฮงซวยลงข่าวบ้านเราผิด ๆ ประเภท ประเทศไทยกำลังทำลายประชาธิปไตย ด้วยการประท้วงไม่ให้มีการเลือกตั้ง ฯลฯ เลิกไปอธิบายซ้ำซากกับพวกสื่อต่างชาติได้แล้ว มันรู้อยู่แล้วว่าอะไร เป็นอะไร แต่มันแกล้งสร้างข่าว เพื่อเบนความสนใจของเราไปจากเรื่องจริง คือการมาใช้ฐานทัพและ การขะโมยทรัพยากรของเรา ดังนั้นหัดคิดในเชิงรุกกันบ้าง ว่าเราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มันมาสาระแนในบ้านเรา เดี๋ยวจะว่าไม่เตือนกัน ข่าวลือมันมีมาตลอดว่า อเมริกาจะมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภาของไทย ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2555(ค.ศ. 2012) ข่าวนี้แรกหลุดมาจากการประชุม Shangrila Dialogue ประมาณเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของ International Institute for Strategic Studies (IISS) ซึ่งเป็นหน่วยงานประเภท think tank ระหว่างรัฐบาลด้านความมั่นคง (ก็หน่วยงานของพวก CFRนั่นแหละ !) ที่ประชุมกันที่โรงแรม Shangrila สิงคโปร์ทุกปี มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ฝ่ายไทยที่ไปร่วมประชุม จะมีตัวแทนเป็นนักวิชาการด้านความมั่นคงบ้าง ผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศและผู้แทนจากกองทัพ เท่าที่จำได้ (จากเอกสารครับ ไม่เคยไป !) ขาประจำผูกขาดที่ไปประชุม ชื่อ นิพัท ทองเล็ก ในปี พ.ศ. 2555 คุณพี่สุกำพล ควงกะคุณน้องนิพัท ไปนั่งกระหนุง กระหนิง กับนาย Leon Panetta ในที่ประชุม กลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือน ก็ยืนคู่กันถ่ายรูปประกาศการลงนามสัญญา Joint Vision Statement! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 1
    อเมริกากำลังปรับกระบวนยุทธใหม่ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์อำนาจ เป็นสุดยอดนักล่า
(Strategic Pivot) ในภูมิภาค Asia Pacific แต่เพื่อให้ฟังนุ่มหู อเมริกาบอกว่าเป็นการปรับดุลยอำนาจ (Rebalancing) ในภูมิภาคนี้ใหม่ กระบวนยุทธใหม่นี้ นายโอบามา พูดถึงเป็นครั้งแรกที่กรุง Canberra Australia เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หลังจากนั้น อเมริกาเริ่มปฎิบัติการอย่างเงียบ ๆ มาตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราชาวโลกควรให้ความสนใจกัน เพราะต่อไปนี้
ละครฉากสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การรบ การคบ การเคี้ยว จะอยู่ตรงแถวนี้แหละ ตรงที่เรียกว่า Asia Pacific
    สิ่งที่อเมริกาเดินหน้าทำเป็นเรื่องแรก ในช่วงปรับกระบวนยุทธ คือ ทำให้ประเทศที่
เรียกว่าเป็นพันธมิตร ทั้งระดับชิดและระดับห่าง แถวภูมิภาค Asia Pacific (Alliances) เชื่อว่าเรายังเป็นก๊วนกันอยู่นะ แม้ตัวจะไกล แต่ใจแนบแน่น เพราะฉะนั้นไอกระดิกนิ้วเรียกเมื่อไหร่ ต้องวิ่งมากันเลยนะ
    อเมริกาลงทุนเดินไปเคาะประตูบ้านเกือบทุกบาน ของพันธมิตร (ลูกหาบ !) จับมือ เขย่าแขน กอดคอ หอมแก้ม ผู้นำเกือบทุกคนในภูมิภาคนี้ โดยใช้นักแสดงนำ เช่น คุณนาย Clintonรมว.ตปท. นาย Robert Gates รมว.กลาโหม นาย Leon Panetta ที่มาเป็นรมว. กลาโหมคนต่อมา รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคง เช่น นาย Tom Donjion และบรรดาแม่ทัพนายกอง แถวกองทัพภาคที่ 7 ยังถูกเกณฑ์ออกมาเดินสาย ที่สำคัญตัวพระเอกเอง คือ ประธานาธิบดี Obamaก็ไม่เว้น ออกเดินสายเคาะประตูบ้านด้วยเช่นกัน
    – อันดับแรก แน่นอน ญี่ปุ่นลูกเลี้ยง ประเทศที่อเมริกาถล่มเขาซะหายไปทั้งเมือง ทำให้
ต้องกระเตงเลี้ยงกันไปตลอด ทั้งช่วยทั้งใช้ (แต่รู้สึกอย่างหลังจะมากกว่านะ) อเมริกาเข้าไปปรับปรุงยุ่งถึงในมุ้งการเมืองของญี่ปุ่น ได้นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดมา 1 คน เพื่อให้ดำเนินนโยบายประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ของอเมริกา และเพื่อโชว์ให้โลกเห็นว่าอเมริกาเป็นพ่อพระใจดีใจกว้าง ไม่ได้ทอดทิ้งยามยาก เช่น คราวญี่ปุ่นแผ่นดินไหว เกิดซึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว ในปี ค.ศ. 2011 (จริง ๆ แล้วมันอยากไปดูว่าของจริง ฉ.ห แค่ไหน จะได้คิดย้ายฐานทัพของตัวออกมาน่ะ) อเมริกาก็ช่วยไป แต่งข่าวผ่าน CNN ไป ชาวเราก็ได้เรื่องจริงมาน้อยกว่าเรื่องแต่ง
    – อันดับสอง เกาหลีใต้ อเมริกาพยายามโปรโมทเกาหลีใต้ขึ้นมาแข่งกับญี่ปุ่นนานแล้ว
Toyota แพ้ Hyundai Sony แพ้ Samsung ฝีมือใคร เอ๊ะ ทำได้ไงกับลูกเลี้ยง ก็เพราะอเมริกันต้องการให้เกาหลีใต้แข็งแรง เป็นกำแพงกั้นเกาหลีเหนือ เอาความเจริญใส่เข้าไปมาก ๆ จะได้เห็นความแตกต่าง ๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มันจะได้ยากที่จะรวมกัน เดี๋ยวมันจะเอาอย่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก ไอไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก ลงทุนไปแยะ มาถึงตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก โปรโมทเข้าไปหนัก ๆ ยูดี ยูเก่ง ยูเจริญ ที่สุดในเอเซีย ใคร ๆ ก็อยากมี look แบบเกาหลีกันทั้งนั้น โอบซ้าย โอบขวา เชียร์กังนัมมันไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอถมเถ ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะอยากไปอยู่กับเด็กแสบของเกาหลีเหนือ คราวนี้พักเรื่องกังนัมสักครู่ แล้วมาคุยกันเรื่องสร้างฐานทัพให้ลูกพี่จอดเรือรบก่อนนะ
    – อันดับสาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งอเมริกาเลี้ยงดูมาหลายสิบปี มีอะไรก็ถมให้ไปหมด ขนาด
เศรษฐีโคตรรวย Rockefeller ยังพยายามทั้งผลักทั้งดัน ให้ฟิลิปปินส์เป็นเมืองเอกในเอเซีย ลงทุนตั้งมหาวิทยาลัยให้ทั้งหลัง หน่วยงานสำคัญ ๆ ก็ไปไว้ที่นั่น ADB ไง Asian for DevelopmentBank ลูกของ World Bank สำนักงานใหญ่ก็อยู่ที่นี่แหละ แต่เด็กมันไม่ค่อยรักดี ถ้าไม่โกงกันระเบิด ก็เอาระเบิดมาถล่มกันเองอยู่เรื่อย แต่ก็ยังทิ้งกันไม่ลง ก็ลงทุนสร้างฐานทัพทิ้งไว้ที่เกาะนี้เต็มไปหมด งวดนี้กัดฟันไปคุยกันใหม่ เพราะต้องใช้ฟิลิปปินส์ เป็นม้าใช้ลอยคอไปยันกับจีนแถวทะเลจีนใต้ รื้อฟื้นฐานทัพเก่าที่เคยสร้างไว้มาปัดฝุ่นใช้กันใหม่
    – อันดับสี่ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย แหม ! นึกว่าเป็นลูกรักอยู่อันดับหนึ่ง ที่แท้อยู่โหล่
เลย ฉะนั้นอย่างสำคัญตนผิด แต่ขอโทษ คุณพี่ Obama มาเอง เพราะไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาคนี้ ร่วมรบ หลอกตุ๋นกันมาตั้งกะสมัยสงครามเวียตนาม แต่พักหลังนี้ มันเล่นกีฬาสีกันแยะ จนลูกพี่ชักงง จะชอบจะใช้สีไหนดีนะ เอาที่มันใช้ง่าย ๆ น่ะ มาคราวนี้เลยบีบมือนางสมันน้อยแน่นนาน อย่าลืมนะ นางสาวแสนโง่ ! สัญญาทาสผูกคอของเราสองยังมีอยู่นะ เรียกเมื่อไหร่อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง เรื่องอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ห้ามโง่นะ ว่าแล้วก็ทำตาเยิ้มใส่กัน ฮา !
    แม้จะใช้นักแสดงนำรุ่นใหญ่ขนาดนั้น แต่ความที่บทมันไม่ชัดเหมือนดูหนังจนจบแล้ว คนดู
ยังไม่แน่ใจว่า เป็นหนังบู๊หรือหนังตลก พระเอกชักปืนจะมายิงผู้ร้ายทีไร ดันยิงเข้าหัวแม่เท้าตัวเองทุกที แบบนั้นแหละ แถมนักแสดงบางคนก็เล่นไม่เนียน ถ้าไม่หน้าใหม่ ก็หน้าโหด ดูอย่างหน้าคุณนาย Clinton ซิ ปากยิ้ม แต่ลูกตายังกะนางสิงห์กำลังจ้องจะขม้ำเหยื่อ ชาวบ้านก็เลยมึน นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่านะ ไหนเขาลือกันว่ากระเป๋ายังโหว่อยู่ ไม่ใช่หรือ เงินเดือนจะจ่ายคนทำงานยังไม่พอเลย เป็นข่าวไปทั่วโลก จะ shut down shut up อะไรนั่น นี่มันรายการเกทับบลัฟแหลก ประเภทหน้าไพ่มีคิงแต่ข้างในกบแปดหรือเปล่านะ เล่นมุกนี้แถว Asia Pacific น่ะไม่หมูนะ อาเฮียกับพวกนี่เขาธรรมดาที่ไหน ชาวบ้านเขาก็วิจารณ์กันทั่วโลก (ยกเว้นไทยแลนด์ของสมัย
น้อยแหละ ที่ดีใจหนักหนา พี่เขากลับมาแล้ว)
    ขนาดพวกนักวิเคราะห์บางค่าย เช่น CFR (พวกกันเอง) ยังถามเลยว่ามาทาง Asia
Pacific แน่หรือ แล้วทาง Middle East ว่าอย่างไร มันยัง spring หลุดกันอยู่เลยนะ บางค่ายก็บอกว่า อเมริกาต้องมาทางนี้แหละ เพราะว่าภูมิภาคนี้ ต้องมีอเมริกามายืนผงาด ให้พวกอาเฮียรู้บางว่าใครเป็นใคร เป็นการดุลยอำนาจไงล่ะ แต่ที่แหลได้ใจ คือ นักวิเคราะห์จากค่ายลูกพี่นักล่า Chatham House บอกว่างงกันไปได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรเลย อเมริกาก็เป็นพี่เบิ้มวนเวียนอยู่ทางนี้มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และไม่ว่าจะป็นพรรค Democrat หรือ Republican ทั้ง 2 พรรค ก็มีนโยบายเหมือนกันแหละ (คือให้ใครมาใหญ่กว่าตัวไม่ได้ทั้งนั้น) และที่สำคัญเข้าใจกันให้ถูกนะ อเมริกาไม่เคย “ไปจาก” ภูมิภาคนี้เลยต่างหาก แค่กร่างมากกร่างน้อยเท่านั้นเอง อันหลังนี้คนเขียน นิทานเพิ่มเองครับ
    ทั้งหมดนี้อเมริกาทำทำไม ไม่ต้องถามโหรระดับแม่หมอฟองสนานหรอก คนอ่านนิทาน
ทุกคนตอบได้หมด ถ้าไม่แน่ใจโปรด กลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย หรือยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกใหม่นะครับ อเมริกาหมุนเข็มทิศมาทางAsia Pacific ด้วยเหตุผล 2 อย่าง เป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ไม่ว่าอเมริกา หรือชาติมหาอำนาจใด หรือชาติเล็กชาติน้อย หรือใครที่มันคิดจะเป็นใหญ่มันก็คิดกันอยู่แค่นี้ทั้งนั้นแหละ “อำนาจกับทุน” สูตรสำเร็จเดิม ๆ จำไม่ได้หรือไง อเมริกามาแถบนี้ เพราะต้องการให้ทุกชาติ โดยเฉพาะจีนจำใส่หัวสมองไว้ว่า อเมริกายังมีอำนาจเต็มเปี่ยม ทั้งในภูมิภาคนี้และในโลกใบนี้ ใครที่คิดว่ารวยแล้วนึกว่าตัวเองใหญ่ แบบอาเฮียเศรษฐีใหม่น่ะ คิดใหม่นะกับอีกอย่างที่อเมริกาต้องการจนน้ำลายไหลฟูมปาก คือ ทรัพยากรที่ยังเหลือเฟืออยู่ในภูมิภาคนี้และกำลังมีการหักเหลี่ยม เล่นเชิงกันอย่างเข้มข้น ทั้งใน Asia Pacific และ Central Asia แต่นิทานวันนี้จะยังไม่เล่าเรื่องทรัพยากรนะครับ จะเน้นกันเรื่องกองทัพกองกำลัง ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนักล่า ที่อเมริกากำลังเบ่งให้ดู

    คนเล่านิทาน
    ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 1 อเมริกากำลังปรับกระบวนยุทธใหม่ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์อำนาจ เป็นสุดยอดนักล่า
(Strategic Pivot) ในภูมิภาค Asia Pacific แต่เพื่อให้ฟังนุ่มหู อเมริกาบอกว่าเป็นการปรับดุลยอำนาจ (Rebalancing) ในภูมิภาคนี้ใหม่ กระบวนยุทธใหม่นี้ นายโอบามา พูดถึงเป็นครั้งแรกที่กรุง Canberra Australia เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หลังจากนั้น อเมริกาเริ่มปฎิบัติการอย่างเงียบ ๆ มาตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราชาวโลกควรให้ความสนใจกัน เพราะต่อไปนี้
ละครฉากสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การรบ การคบ การเคี้ยว จะอยู่ตรงแถวนี้แหละ ตรงที่เรียกว่า Asia Pacific สิ่งที่อเมริกาเดินหน้าทำเป็นเรื่องแรก ในช่วงปรับกระบวนยุทธ คือ ทำให้ประเทศที่
เรียกว่าเป็นพันธมิตร ทั้งระดับชิดและระดับห่าง แถวภูมิภาค Asia Pacific (Alliances) เชื่อว่าเรายังเป็นก๊วนกันอยู่นะ แม้ตัวจะไกล แต่ใจแนบแน่น เพราะฉะนั้นไอกระดิกนิ้วเรียกเมื่อไหร่ ต้องวิ่งมากันเลยนะ อเมริกาลงทุนเดินไปเคาะประตูบ้านเกือบทุกบาน ของพันธมิตร (ลูกหาบ !) จับมือ เขย่าแขน กอดคอ หอมแก้ม ผู้นำเกือบทุกคนในภูมิภาคนี้ โดยใช้นักแสดงนำ เช่น คุณนาย Clintonรมว.ตปท. นาย Robert Gates รมว.กลาโหม นาย Leon Panetta ที่มาเป็นรมว. กลาโหมคนต่อมา รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคง เช่น นาย Tom Donjion และบรรดาแม่ทัพนายกอง แถวกองทัพภาคที่ 7 ยังถูกเกณฑ์ออกมาเดินสาย ที่สำคัญตัวพระเอกเอง คือ ประธานาธิบดี Obamaก็ไม่เว้น ออกเดินสายเคาะประตูบ้านด้วยเช่นกัน – อันดับแรก แน่นอน ญี่ปุ่นลูกเลี้ยง ประเทศที่อเมริกาถล่มเขาซะหายไปทั้งเมือง ทำให้
ต้องกระเตงเลี้ยงกันไปตลอด ทั้งช่วยทั้งใช้ (แต่รู้สึกอย่างหลังจะมากกว่านะ) อเมริกาเข้าไปปรับปรุงยุ่งถึงในมุ้งการเมืองของญี่ปุ่น ได้นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดมา 1 คน เพื่อให้ดำเนินนโยบายประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ของอเมริกา และเพื่อโชว์ให้โลกเห็นว่าอเมริกาเป็นพ่อพระใจดีใจกว้าง ไม่ได้ทอดทิ้งยามยาก เช่น คราวญี่ปุ่นแผ่นดินไหว เกิดซึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว ในปี ค.ศ. 2011 (จริง ๆ แล้วมันอยากไปดูว่าของจริง ฉ.ห แค่ไหน จะได้คิดย้ายฐานทัพของตัวออกมาน่ะ) อเมริกาก็ช่วยไป แต่งข่าวผ่าน CNN ไป ชาวเราก็ได้เรื่องจริงมาน้อยกว่าเรื่องแต่ง – อันดับสอง เกาหลีใต้ อเมริกาพยายามโปรโมทเกาหลีใต้ขึ้นมาแข่งกับญี่ปุ่นนานแล้ว
Toyota แพ้ Hyundai Sony แพ้ Samsung ฝีมือใคร เอ๊ะ ทำได้ไงกับลูกเลี้ยง ก็เพราะอเมริกันต้องการให้เกาหลีใต้แข็งแรง เป็นกำแพงกั้นเกาหลีเหนือ เอาความเจริญใส่เข้าไปมาก ๆ จะได้เห็นความแตกต่าง ๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มันจะได้ยากที่จะรวมกัน เดี๋ยวมันจะเอาอย่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก ไอไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก ลงทุนไปแยะ มาถึงตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก โปรโมทเข้าไปหนัก ๆ ยูดี ยูเก่ง ยูเจริญ ที่สุดในเอเซีย ใคร ๆ ก็อยากมี look แบบเกาหลีกันทั้งนั้น โอบซ้าย โอบขวา เชียร์กังนัมมันไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอถมเถ ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะอยากไปอยู่กับเด็กแสบของเกาหลีเหนือ คราวนี้พักเรื่องกังนัมสักครู่ แล้วมาคุยกันเรื่องสร้างฐานทัพให้ลูกพี่จอดเรือรบก่อนนะ – อันดับสาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งอเมริกาเลี้ยงดูมาหลายสิบปี มีอะไรก็ถมให้ไปหมด ขนาด
เศรษฐีโคตรรวย Rockefeller ยังพยายามทั้งผลักทั้งดัน ให้ฟิลิปปินส์เป็นเมืองเอกในเอเซีย ลงทุนตั้งมหาวิทยาลัยให้ทั้งหลัง หน่วยงานสำคัญ ๆ ก็ไปไว้ที่นั่น ADB ไง Asian for DevelopmentBank ลูกของ World Bank สำนักงานใหญ่ก็อยู่ที่นี่แหละ แต่เด็กมันไม่ค่อยรักดี ถ้าไม่โกงกันระเบิด ก็เอาระเบิดมาถล่มกันเองอยู่เรื่อย แต่ก็ยังทิ้งกันไม่ลง ก็ลงทุนสร้างฐานทัพทิ้งไว้ที่เกาะนี้เต็มไปหมด งวดนี้กัดฟันไปคุยกันใหม่ เพราะต้องใช้ฟิลิปปินส์ เป็นม้าใช้ลอยคอไปยันกับจีนแถวทะเลจีนใต้ รื้อฟื้นฐานทัพเก่าที่เคยสร้างไว้มาปัดฝุ่นใช้กันใหม่ – อันดับสี่ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย แหม ! นึกว่าเป็นลูกรักอยู่อันดับหนึ่ง ที่แท้อยู่โหล่
เลย ฉะนั้นอย่างสำคัญตนผิด แต่ขอโทษ คุณพี่ Obama มาเอง เพราะไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาคนี้ ร่วมรบ หลอกตุ๋นกันมาตั้งกะสมัยสงครามเวียตนาม แต่พักหลังนี้ มันเล่นกีฬาสีกันแยะ จนลูกพี่ชักงง จะชอบจะใช้สีไหนดีนะ เอาที่มันใช้ง่าย ๆ น่ะ มาคราวนี้เลยบีบมือนางสมันน้อยแน่นนาน อย่าลืมนะ นางสาวแสนโง่ ! สัญญาทาสผูกคอของเราสองยังมีอยู่นะ เรียกเมื่อไหร่อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง เรื่องอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ห้ามโง่นะ ว่าแล้วก็ทำตาเยิ้มใส่กัน ฮา ! แม้จะใช้นักแสดงนำรุ่นใหญ่ขนาดนั้น แต่ความที่บทมันไม่ชัดเหมือนดูหนังจนจบแล้ว คนดู
ยังไม่แน่ใจว่า เป็นหนังบู๊หรือหนังตลก พระเอกชักปืนจะมายิงผู้ร้ายทีไร ดันยิงเข้าหัวแม่เท้าตัวเองทุกที แบบนั้นแหละ แถมนักแสดงบางคนก็เล่นไม่เนียน ถ้าไม่หน้าใหม่ ก็หน้าโหด ดูอย่างหน้าคุณนาย Clinton ซิ ปากยิ้ม แต่ลูกตายังกะนางสิงห์กำลังจ้องจะขม้ำเหยื่อ ชาวบ้านก็เลยมึน นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่านะ ไหนเขาลือกันว่ากระเป๋ายังโหว่อยู่ ไม่ใช่หรือ เงินเดือนจะจ่ายคนทำงานยังไม่พอเลย เป็นข่าวไปทั่วโลก จะ shut down shut up อะไรนั่น นี่มันรายการเกทับบลัฟแหลก ประเภทหน้าไพ่มีคิงแต่ข้างในกบแปดหรือเปล่านะ เล่นมุกนี้แถว Asia Pacific น่ะไม่หมูนะ อาเฮียกับพวกนี่เขาธรรมดาที่ไหน ชาวบ้านเขาก็วิจารณ์กันทั่วโลก (ยกเว้นไทยแลนด์ของสมัย
น้อยแหละ ที่ดีใจหนักหนา พี่เขากลับมาแล้ว) ขนาดพวกนักวิเคราะห์บางค่าย เช่น CFR (พวกกันเอง) ยังถามเลยว่ามาทาง Asia
Pacific แน่หรือ แล้วทาง Middle East ว่าอย่างไร มันยัง spring หลุดกันอยู่เลยนะ บางค่ายก็บอกว่า อเมริกาต้องมาทางนี้แหละ เพราะว่าภูมิภาคนี้ ต้องมีอเมริกามายืนผงาด ให้พวกอาเฮียรู้บางว่าใครเป็นใคร เป็นการดุลยอำนาจไงล่ะ แต่ที่แหลได้ใจ คือ นักวิเคราะห์จากค่ายลูกพี่นักล่า Chatham House บอกว่างงกันไปได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรเลย อเมริกาก็เป็นพี่เบิ้มวนเวียนอยู่ทางนี้มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และไม่ว่าจะป็นพรรค Democrat หรือ Republican ทั้ง 2 พรรค ก็มีนโยบายเหมือนกันแหละ (คือให้ใครมาใหญ่กว่าตัวไม่ได้ทั้งนั้น) และที่สำคัญเข้าใจกันให้ถูกนะ อเมริกาไม่เคย “ไปจาก” ภูมิภาคนี้เลยต่างหาก แค่กร่างมากกร่างน้อยเท่านั้นเอง อันหลังนี้คนเขียน นิทานเพิ่มเองครับ ทั้งหมดนี้อเมริกาทำทำไม ไม่ต้องถามโหรระดับแม่หมอฟองสนานหรอก คนอ่านนิทาน
ทุกคนตอบได้หมด ถ้าไม่แน่ใจโปรด กลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย หรือยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกใหม่นะครับ อเมริกาหมุนเข็มทิศมาทางAsia Pacific ด้วยเหตุผล 2 อย่าง เป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ไม่ว่าอเมริกา หรือชาติมหาอำนาจใด หรือชาติเล็กชาติน้อย หรือใครที่มันคิดจะเป็นใหญ่มันก็คิดกันอยู่แค่นี้ทั้งนั้นแหละ “อำนาจกับทุน” สูตรสำเร็จเดิม ๆ จำไม่ได้หรือไง อเมริกามาแถบนี้ เพราะต้องการให้ทุกชาติ โดยเฉพาะจีนจำใส่หัวสมองไว้ว่า อเมริกายังมีอำนาจเต็มเปี่ยม ทั้งในภูมิภาคนี้และในโลกใบนี้ ใครที่คิดว่ารวยแล้วนึกว่าตัวเองใหญ่ แบบอาเฮียเศรษฐีใหม่น่ะ คิดใหม่นะกับอีกอย่างที่อเมริกาต้องการจนน้ำลายไหลฟูมปาก คือ ทรัพยากรที่ยังเหลือเฟืออยู่ในภูมิภาคนี้และกำลังมีการหักเหลี่ยม เล่นเชิงกันอย่างเข้มข้น ทั้งใน Asia Pacific และ Central Asia แต่นิทานวันนี้จะยังไม่เล่าเรื่องทรัพยากรนะครับ จะเน้นกันเรื่องกองทัพกองกำลัง ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนักล่า ที่อเมริกากำลังเบ่งให้ดู คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 5 (ตอนสุดท้าย)
    นักล่า คิดหลายมิติ เล่นไพ่ทีละหลายใบ เดินหมากทีละหลายตัว แล้วเราจะวิเคราะห์แบบมิติเดียวเช่นนั้นหรือ
    ขบวนการไล่โจรร้ายเกมชิงเมือง ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ใครกำลังได้ ใครกำลังเสีย แน่นอน นักล่าอยากเคี้ยวไทยแลนด์แดนสมันน้อยเต็มแก่ พวกเขาหลอกใช้หมาไนเป็นเหยื่อล่อ หมาไนหลงคิดว่าตนเองได้เปรียบ มีสิงห์โตอยู่ข้างหลัง หมาไนผงาดพองขน เอาโลกมาล้อมประเทศ ชะล่าใจทำการใหญ่จะไปให้สุดซอย คาบกระดูกเนื้อติดมันไปหลายชิ้น คือพรบ.นิรโทษกรรม ที่ชาวเรามองเห็นกันชัด แต่ที่มันพ่วงไปด้วย โดยชาวเราอาจไม่ทันสนใจ คือ การแก้ไข รธน. ม.190
    ม. 190 ใคร ๆ ก็อยากให้แก้ ยกเว้นคนไทยตาดำ ๆ หมาไนบอก ถ้าแก้ได้ต่อไปนี้ จะทำอะไรไม่ต้องเห็นหัวใคร ไม่ต้องควักกระเป๋าเวลาลงคะแนน ประหยัดกระเป๋าไปโข นักล่าผมทอก็ชอบ จะเอาอะไรล่ะ ย้ายฐานทัพมาตั้งให้ทั่วราชอาณาจักรไทย ใครจะมาขวาง จะขุดทรัพยากรเอาไปเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ นักล่าหน้าใหม่ผมดำตาตี่ บอกอย่างนี้อาเฮียอยากแลกข้าวกับรถไฟ ไม่น่ามีปัญหา
    เกมชิงเมือง ใครจะเลือกเดินทางใด ลองคิดกันดู
    – นักล่า ดูท่าทางคงจะคุยกับรัฐบาลน้องสาวแสนโง่ไปไม่ได้อีกนาน แม้จะได้เปรียบ และได้ประโยชน์ แต่การพูดกับคนโง่มาก ๆ นี่มันเหนื่อยนะ แล้วถ้ากำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม เอาไข่มุกทุกเม็ดในยูเรเซียมาร้อยเป็นสร้อยงามน่ะ ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง สายสร้อยอาจขาดง่าย ๆ ยอมหรือ
    การเจรจาให้เปลี่ยนตัว จึงน่าจะมี หมาไนโจรร้าย จึงจำเป็นต้องเล่นให้สุดซอย เพื่อกลับมาบงการเอง เอง! หรือว่าจะมี “การปฏิบัติการอื่น” เปลี่ยนไพ่ใบใหม่ เดินหมากตัวใหม่ ก็น่าสนใจ แล้วจะเอาไพ่ใบไหนมาเล่น เอาหมากตัวไหนมาเดินล่ะ คุณทหารหวานใจเก่า หรือเหล่าดาราอินเตอร์ที่ CFR ส่งเข้ามาประกวด
    – หมาไนโจรร้าย ทางเลือกมีอยู่ 2 ทาง ถอยดีกว่า กลับไปตั้งหลักก่อน หรือจะใช้คติประจำใจหมาไน ข้าไม่ได้กิน พวกเอ็งก็อย่าหวัง เซียนแถวสำนักงานของชาติแห่งหนึ่ง ที่เพิ่งถูกมือดีปลดป้ายทิ้ง โทษฐานไม่เป็นสำนักงานของชาติ แต่เป็นของตระกูล กระซิบบอกมาว่า หมาไนครับลุง หมาไนไม่เคยเปลี่ยนสันดาน เอ้ย นิสัย ! (เดี๋ยวจะว่าหยาบคาย)
    – คุณทหาร โดนสื่อฟอกย้อม โยกซะศูนย์เสีย เดินเซอยู่นาน ไม่รู้ตอนนี้ศูนย์จะเข้าที่หรือยัง แต่ทหารก็มีหลายหน่วย หลายระดับ ทหารใหญ่บางคนที่คิดผิด เขาว่าไม่มีโอกาสคิดใหม่นะ แถมโอกาสจะอยู่บ้านเดิมอาจจะไม่มี ต้องหาที่เร่ร่อนเหมือนกัน (เวรกรรมมีจริง ! ) แต่เติบใหญ่มาจนบัดนี้ ปฎิญาณตนภายใต้ธงชัยเฉลิมพลมาหลายรอบ ไม่รู้ที่ยืน ตั้งศูนย์ไม่ตรง ก็ไปขายเต้าฮวยดีกว่า (ถ้ายังมีโอกาส) นะครับ
    – นางสาวแสนโง่ ไม่เขียนถึงเดี๋ยวจะน้อยใจ ทางเลือกหนูไม่มีมากหรอก อย่าไปเชื่อพวกพี่เลี้ยงใจร้ายเลยหนู ร่อนเร่ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวหน้าเหี่ยวพุงโตหมดนะ หนุ่ม ๆ เขาฝากติงมา อยู่ในคุกมันไม่สนุกนะคะ เสื้อผ้าหน้าผม ใครจะไปตบแต่งให้เช้งกะเด๊ะได้ทั้งวัน ไอ้นั่นมันคุกในหนังนะคะ คิดให้ดีนะหนู
    – เอ้า ! หมดแล้วหรือยัง ตัวเอกของเกมชิงเมือง แล้วกันลืมลุงกำนัน ลืมได้ยังไง เดินซะหน้ามะเมื่อมขนาดนั้น ไม่ต้องห่วงหรอก ดูการปราศัยของลุงกำนันแล้ว แกเอาตัวรอดทุกรายการหรอกน่า พูดงี้จับใจคนไปหมด ทั้งหนุ่ม ทั้งสาวจริง สาวปลอม แย่งกันกอด เฮอ! มวลมหาประชาชนนี่น่ารักจริง ๆ ขอให้รอดปลอดภัยแล้วกันนะลุงกำนัน ตัดสินใจเดินทางนี้แล้ว ต้องให้กำลังใจกันหน่อย อย่าตกร่องระหว่างทาง อย่าติดลมบนจนลงไม่เป็นก็แล้วกัน
    – แต่ในเกมชิงเมือง ตัวเอกสำคัญ ตัวเอก ที่ขาดไม่ได้คือมวลมหาประชาชน โปรดกลับไปอ่านบทความ มวลมหาประชาชนอีกรอบนะครับ อ่านซ้ำ ๆ ให้รู้จักมวลมหาประชาชน จริง ๆ ถ้าเราไม่มีมวลมหาประชาชน จำนวนมหาศาล เช่นนี้ มีจิตใจและการแสดงออกเช่นนี้ ในทุกเวที เรามาไม่ถึงตรงนี้นะครับ มวลมหาประชาชนมีเอกลักษณ์ และเป็นปัจจัยสำคัญในสงครามชิงเมือง ซึ่งทำให้ทั้งนักล่า หมาไน และยายแสนโง่ นั่นมันไปไม่เป็นเดินเซกันเป็นแถว
    ขณะที่เขียนนี้ ยังไม่รู้ว่าใครจะเลือกเล่นบทไหน จะจบอย่างไร แต่ไม่ว่าบทไหน และจะจบอย่างไร มันแค่จบ season แรกเท่านั้นเอง มวลมหาประชาชนยังจะต้องเดินทางอีกไกล สู่การปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปบ้านเมืองอย่างแท้จริง จะต้องไม่เพียงมีความกล้าหาญอดทน ออกมาขับไล่โจรร้ายเท่านั้น season ต่อไปมันจะหนักขึ้น ต้องเตรียมตัวทำความเข้าใจกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในบ้านเราและบ้านเขา อย่างชัดเจน มีเวลาก็หาหนังสือพระราชนิพนธ์ พระมหาชนกมาอ่านกันนะครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 มค 57
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 5 (ตอนสุดท้าย) นักล่า คิดหลายมิติ เล่นไพ่ทีละหลายใบ เดินหมากทีละหลายตัว แล้วเราจะวิเคราะห์แบบมิติเดียวเช่นนั้นหรือ ขบวนการไล่โจรร้ายเกมชิงเมือง ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ใครกำลังได้ ใครกำลังเสีย แน่นอน นักล่าอยากเคี้ยวไทยแลนด์แดนสมันน้อยเต็มแก่ พวกเขาหลอกใช้หมาไนเป็นเหยื่อล่อ หมาไนหลงคิดว่าตนเองได้เปรียบ มีสิงห์โตอยู่ข้างหลัง หมาไนผงาดพองขน เอาโลกมาล้อมประเทศ ชะล่าใจทำการใหญ่จะไปให้สุดซอย คาบกระดูกเนื้อติดมันไปหลายชิ้น คือพรบ.นิรโทษกรรม ที่ชาวเรามองเห็นกันชัด แต่ที่มันพ่วงไปด้วย โดยชาวเราอาจไม่ทันสนใจ คือ การแก้ไข รธน. ม.190 ม. 190 ใคร ๆ ก็อยากให้แก้ ยกเว้นคนไทยตาดำ ๆ หมาไนบอก ถ้าแก้ได้ต่อไปนี้ จะทำอะไรไม่ต้องเห็นหัวใคร ไม่ต้องควักกระเป๋าเวลาลงคะแนน ประหยัดกระเป๋าไปโข นักล่าผมทอก็ชอบ จะเอาอะไรล่ะ ย้ายฐานทัพมาตั้งให้ทั่วราชอาณาจักรไทย ใครจะมาขวาง จะขุดทรัพยากรเอาไปเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ นักล่าหน้าใหม่ผมดำตาตี่ บอกอย่างนี้อาเฮียอยากแลกข้าวกับรถไฟ ไม่น่ามีปัญหา เกมชิงเมือง ใครจะเลือกเดินทางใด ลองคิดกันดู – นักล่า ดูท่าทางคงจะคุยกับรัฐบาลน้องสาวแสนโง่ไปไม่ได้อีกนาน แม้จะได้เปรียบ และได้ประโยชน์ แต่การพูดกับคนโง่มาก ๆ นี่มันเหนื่อยนะ แล้วถ้ากำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม เอาไข่มุกทุกเม็ดในยูเรเซียมาร้อยเป็นสร้อยงามน่ะ ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง สายสร้อยอาจขาดง่าย ๆ ยอมหรือ การเจรจาให้เปลี่ยนตัว จึงน่าจะมี หมาไนโจรร้าย จึงจำเป็นต้องเล่นให้สุดซอย เพื่อกลับมาบงการเอง เอง! หรือว่าจะมี “การปฏิบัติการอื่น” เปลี่ยนไพ่ใบใหม่ เดินหมากตัวใหม่ ก็น่าสนใจ แล้วจะเอาไพ่ใบไหนมาเล่น เอาหมากตัวไหนมาเดินล่ะ คุณทหารหวานใจเก่า หรือเหล่าดาราอินเตอร์ที่ CFR ส่งเข้ามาประกวด – หมาไนโจรร้าย ทางเลือกมีอยู่ 2 ทาง ถอยดีกว่า กลับไปตั้งหลักก่อน หรือจะใช้คติประจำใจหมาไน ข้าไม่ได้กิน พวกเอ็งก็อย่าหวัง เซียนแถวสำนักงานของชาติแห่งหนึ่ง ที่เพิ่งถูกมือดีปลดป้ายทิ้ง โทษฐานไม่เป็นสำนักงานของชาติ แต่เป็นของตระกูล กระซิบบอกมาว่า หมาไนครับลุง หมาไนไม่เคยเปลี่ยนสันดาน เอ้ย นิสัย ! (เดี๋ยวจะว่าหยาบคาย) – คุณทหาร โดนสื่อฟอกย้อม โยกซะศูนย์เสีย เดินเซอยู่นาน ไม่รู้ตอนนี้ศูนย์จะเข้าที่หรือยัง แต่ทหารก็มีหลายหน่วย หลายระดับ ทหารใหญ่บางคนที่คิดผิด เขาว่าไม่มีโอกาสคิดใหม่นะ แถมโอกาสจะอยู่บ้านเดิมอาจจะไม่มี ต้องหาที่เร่ร่อนเหมือนกัน (เวรกรรมมีจริง ! ) แต่เติบใหญ่มาจนบัดนี้ ปฎิญาณตนภายใต้ธงชัยเฉลิมพลมาหลายรอบ ไม่รู้ที่ยืน ตั้งศูนย์ไม่ตรง ก็ไปขายเต้าฮวยดีกว่า (ถ้ายังมีโอกาส) นะครับ – นางสาวแสนโง่ ไม่เขียนถึงเดี๋ยวจะน้อยใจ ทางเลือกหนูไม่มีมากหรอก อย่าไปเชื่อพวกพี่เลี้ยงใจร้ายเลยหนู ร่อนเร่ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวหน้าเหี่ยวพุงโตหมดนะ หนุ่ม ๆ เขาฝากติงมา อยู่ในคุกมันไม่สนุกนะคะ เสื้อผ้าหน้าผม ใครจะไปตบแต่งให้เช้งกะเด๊ะได้ทั้งวัน ไอ้นั่นมันคุกในหนังนะคะ คิดให้ดีนะหนู – เอ้า ! หมดแล้วหรือยัง ตัวเอกของเกมชิงเมือง แล้วกันลืมลุงกำนัน ลืมได้ยังไง เดินซะหน้ามะเมื่อมขนาดนั้น ไม่ต้องห่วงหรอก ดูการปราศัยของลุงกำนันแล้ว แกเอาตัวรอดทุกรายการหรอกน่า พูดงี้จับใจคนไปหมด ทั้งหนุ่ม ทั้งสาวจริง สาวปลอม แย่งกันกอด เฮอ! มวลมหาประชาชนนี่น่ารักจริง ๆ ขอให้รอดปลอดภัยแล้วกันนะลุงกำนัน ตัดสินใจเดินทางนี้แล้ว ต้องให้กำลังใจกันหน่อย อย่าตกร่องระหว่างทาง อย่าติดลมบนจนลงไม่เป็นก็แล้วกัน – แต่ในเกมชิงเมือง ตัวเอกสำคัญ ตัวเอก ที่ขาดไม่ได้คือมวลมหาประชาชน โปรดกลับไปอ่านบทความ มวลมหาประชาชนอีกรอบนะครับ อ่านซ้ำ ๆ ให้รู้จักมวลมหาประชาชน จริง ๆ ถ้าเราไม่มีมวลมหาประชาชน จำนวนมหาศาล เช่นนี้ มีจิตใจและการแสดงออกเช่นนี้ ในทุกเวที เรามาไม่ถึงตรงนี้นะครับ มวลมหาประชาชนมีเอกลักษณ์ และเป็นปัจจัยสำคัญในสงครามชิงเมือง ซึ่งทำให้ทั้งนักล่า หมาไน และยายแสนโง่ นั่นมันไปไม่เป็นเดินเซกันเป็นแถว ขณะที่เขียนนี้ ยังไม่รู้ว่าใครจะเลือกเล่นบทไหน จะจบอย่างไร แต่ไม่ว่าบทไหน และจะจบอย่างไร มันแค่จบ season แรกเท่านั้นเอง มวลมหาประชาชนยังจะต้องเดินทางอีกไกล สู่การปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปบ้านเมืองอย่างแท้จริง จะต้องไม่เพียงมีความกล้าหาญอดทน ออกมาขับไล่โจรร้ายเท่านั้น season ต่อไปมันจะหนักขึ้น ต้องเตรียมตัวทำความเข้าใจกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในบ้านเราและบ้านเขา อย่างชัดเจน มีเวลาก็หาหนังสือพระราชนิพนธ์ พระมหาชนกมาอ่านกันนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 มค 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 3
    กลับมาที่ ICG อย่าเข้าใจผิดว่ารับหน้าที่เป็นเพียงนัก lobby ให้แก่หมาไนเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ สำหรับการล่าเหยื่อให้กับกลุ่มทุนอิทธิพล นักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) ในขณะเดียวกันด้วย ทั้งนี้จับความจากคำบอกเล่าของนาย Gareth Evans ผู้เดินอยู่ในถนนการเมืองของแดนจิงโจ้มากกว่า 20 ปี และระหว่างนั้นก็ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีเสียหลายสมัย เมื่อพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี ก็เปลี่ยนแนวเข้ามาสู่วงการที่น่าจะทำให้ชีวิตตื่นเต้นไปกว่าเดิม จากการเป็นรัฐมนตรีอยู่ประเทศเดียว มันคงจะไม่มันเท่ากุมชะตาและชักใยหลายประเทศ คุณ Evans
    จึงไปนั่งในตำแหน่งประธานกิติมศักดิ์ของ ICG เสียเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 – 2009
    จากการแสดงปาฐกถาของคุณ Evans เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งโฆษณาสรรพคุณ ICG และจากเอกสารขององค์กร ICG เอง ทำให้เข้าใจได้ว่า องค์กรนี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อระงับความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ โดยที่ผู้ขัดแย้งไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเข้ามา เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง (น่าเชื่อถือมาก !) แต่ใช้ วิธีการอื่น (มาแบบนี้อีกแล้ว !)
    ในการแก้ไขข้อขัดแย้งรุนแรงใด พวกเขาจะทำการวิเคราะห์หาสาเหตุ ทำความเข้าใจ อย่างถี่ถ้วนแล้ว และนำมาสร้างแผน แต่อย่าเข้าใจผิดว่าพวกเขาจะเล่นบทออกหน้า พวกเขาจะอยู่หลังฉาก ดังนั้นการทำงานของพวกเขา คือ การให้คำปรึกษา ดูแลช่วยเหลือ จัดฉาก ชักใย ตามแผนที่สร้างไว้อยู่เบื้องหลัง (behind the scene) ให้แก่ผู้มีบทบาทต้องเล่นหน้าฉาก โดยมีตัวประกอบเป็นนักการเมือง นักการทหาร นัก lobby นักสังคมฯ นักสิทธิมนุษยชน สื่อสารมวลชน นักวิชาการ นักจิตวิทยา และที่สำคัญคือประชาชนของทุกท้องที่ของความขัดแย้งนั่นเอง ดังนั้นข่าวของ ICG ที่เราจะเห็นออกมากับการทำงานของเขา มันคงจะดูยากอยู่ แต่คงไม่ยากเกินการทำความเข้าใจ
    คุณ Evans เป็นคนช่างเล่าจริง แกบอกว่า ICG สามารถจะอ้างความดีความชอบ ได้ใน หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เช่น
    – การวิเคราะห์และวางแผน การแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ปากีสถาน, ที่คองโก, ที่ไฮติ
    – การแก้ไขเหตุการณ์ในเขมร, อาฟริกากลาง,บอลข่าน, อีรัคตอนเหนือ, ขบวนการเคลื่อนไหวของ Jemaah Islamiyah ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, ที่ Darfur (ค.ศ. 2003 – 2004) ที่ Ethiopia (ค.ศ. 2007) ที่ Kenya (ค.ศ. 2008)
    นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่คุณ Evans คุยฟุ้งว่าอยู่ในแผนที่กำลังดำเนินการ เช่น แนวคิดที่จะผ่อนคลาย การคว่ำบาตรของอิหร่านและพม่า สำหรับรายการหลังนี้ แกเล่าแบบไม่เหนียมอายว่า โลกฝั่งตะวันตก พยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าไปช่วย พม่าเปิดประตูเมือง ยกเลิกการคว่ำบาตร เพื่อแลกกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองของพม่า (ต้มตุ๋น ของแท้ !)
    แล้วสำหรับไทยแลนด์ของสมันน้อยล่ะ สถาบัน ICG นักล่าคิดอย่างไรกับเรา ? เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2010 ที่พี่น้องเสื้อแดงพากัน พกน้ำมันมาคนละขวดกับไม้ขีดไฟอย่างใจถึง ๆ มาตั้งแคมป์กลางเมืองน่ะ ICG ระบุในรายงานเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2010 ว่า การเมืองไทยล้มเหลว และไม่อยู่ในสภาพที่จะกู้กลับ สถานการณ์เลวร้าย จะนำไปสูสงครามกลางเมือง ถึงเวลาแล้วที่ Thailand จะต้องคิดขอความช่วยเหลือจากนานาอารยะประเทศ
    (มาแล้วไง!) สิ่งที่ Thailand ควรทำด่วน คือ ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจประกอบด้วย บุคคลจากนานาชาติ ที่มีความสามารถและมีประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศไทย มาทำหน้าที่เป็นคนกลาง ระหว่างรัฐบาล (ปชป) กับกลุ่มเสื้อแดง เพื่อป้องกันเหตุรุนแรง เช่น ยุติการปฏิบัติงานของทหาร การประท้วงควรเหลือเพียงการทำในเชิงสัญลักษณ์ คณะบุคคลนานาชาตินี้ จะทำหน้าที่จัดการให้มีรัฐบาลชั่วคราวเพื่อเตรียมการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด ผู้นำรัฐบาลควรมาจากรัฐสภา และควรจะประกอบด้วย ผู้ที่เป็นกลางและได้รับความนับถือจากสังคม (ใครหนอ?) และจะต้องมีการสอบสวนถึงกรณีปฏิบัติการ 10 เม.ย ระหว่างทหารกับกลุ่มเสื้อแดงที่มาประท้วงแถวบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
    และเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้ารูปแล้ว สิ่งที่ควรจะรีบดำเนินการ คือแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ซึ่งร่างขึ้นโดยอิทธิพลของทหาร
    ท่านผู้อ่านที่มีญาติเป็นทหาร ช่วยเอาไปให้อ่านตอนนี้หน่อยนะครับ เพื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น และโปรดพิจารณากันเองแล้วกันว่า ข้อเสนอของ ICG มันน่าสรรเสริญเพียงใด และมีฝ่ายใดดำเนินการตามบ้าง มันคงมีการเข้าใจกันผิด ว่าราชอาณาจักรไทยของเรา ตกอยู่ในอาณัติของผู้ใดไปแล้ว !


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 3 กลับมาที่ ICG อย่าเข้าใจผิดว่ารับหน้าที่เป็นเพียงนัก lobby ให้แก่หมาไนเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ สำหรับการล่าเหยื่อให้กับกลุ่มทุนอิทธิพล นักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) ในขณะเดียวกันด้วย ทั้งนี้จับความจากคำบอกเล่าของนาย Gareth Evans ผู้เดินอยู่ในถนนการเมืองของแดนจิงโจ้มากกว่า 20 ปี และระหว่างนั้นก็ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีเสียหลายสมัย เมื่อพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี ก็เปลี่ยนแนวเข้ามาสู่วงการที่น่าจะทำให้ชีวิตตื่นเต้นไปกว่าเดิม จากการเป็นรัฐมนตรีอยู่ประเทศเดียว มันคงจะไม่มันเท่ากุมชะตาและชักใยหลายประเทศ คุณ Evans จึงไปนั่งในตำแหน่งประธานกิติมศักดิ์ของ ICG เสียเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 – 2009 จากการแสดงปาฐกถาของคุณ Evans เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งโฆษณาสรรพคุณ ICG และจากเอกสารขององค์กร ICG เอง ทำให้เข้าใจได้ว่า องค์กรนี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อระงับความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ โดยที่ผู้ขัดแย้งไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเข้ามา เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง (น่าเชื่อถือมาก !) แต่ใช้ วิธีการอื่น (มาแบบนี้อีกแล้ว !) ในการแก้ไขข้อขัดแย้งรุนแรงใด พวกเขาจะทำการวิเคราะห์หาสาเหตุ ทำความเข้าใจ อย่างถี่ถ้วนแล้ว และนำมาสร้างแผน แต่อย่าเข้าใจผิดว่าพวกเขาจะเล่นบทออกหน้า พวกเขาจะอยู่หลังฉาก ดังนั้นการทำงานของพวกเขา คือ การให้คำปรึกษา ดูแลช่วยเหลือ จัดฉาก ชักใย ตามแผนที่สร้างไว้อยู่เบื้องหลัง (behind the scene) ให้แก่ผู้มีบทบาทต้องเล่นหน้าฉาก โดยมีตัวประกอบเป็นนักการเมือง นักการทหาร นัก lobby นักสังคมฯ นักสิทธิมนุษยชน สื่อสารมวลชน นักวิชาการ นักจิตวิทยา และที่สำคัญคือประชาชนของทุกท้องที่ของความขัดแย้งนั่นเอง ดังนั้นข่าวของ ICG ที่เราจะเห็นออกมากับการทำงานของเขา มันคงจะดูยากอยู่ แต่คงไม่ยากเกินการทำความเข้าใจ คุณ Evans เป็นคนช่างเล่าจริง แกบอกว่า ICG สามารถจะอ้างความดีความชอบ ได้ใน หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เช่น – การวิเคราะห์และวางแผน การแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ปากีสถาน, ที่คองโก, ที่ไฮติ – การแก้ไขเหตุการณ์ในเขมร, อาฟริกากลาง,บอลข่าน, อีรัคตอนเหนือ, ขบวนการเคลื่อนไหวของ Jemaah Islamiyah ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, ที่ Darfur (ค.ศ. 2003 – 2004) ที่ Ethiopia (ค.ศ. 2007) ที่ Kenya (ค.ศ. 2008) นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่คุณ Evans คุยฟุ้งว่าอยู่ในแผนที่กำลังดำเนินการ เช่น แนวคิดที่จะผ่อนคลาย การคว่ำบาตรของอิหร่านและพม่า สำหรับรายการหลังนี้ แกเล่าแบบไม่เหนียมอายว่า โลกฝั่งตะวันตก พยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าไปช่วย พม่าเปิดประตูเมือง ยกเลิกการคว่ำบาตร เพื่อแลกกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองของพม่า (ต้มตุ๋น ของแท้ !) แล้วสำหรับไทยแลนด์ของสมันน้อยล่ะ สถาบัน ICG นักล่าคิดอย่างไรกับเรา ? เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2010 ที่พี่น้องเสื้อแดงพากัน พกน้ำมันมาคนละขวดกับไม้ขีดไฟอย่างใจถึง ๆ มาตั้งแคมป์กลางเมืองน่ะ ICG ระบุในรายงานเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2010 ว่า การเมืองไทยล้มเหลว และไม่อยู่ในสภาพที่จะกู้กลับ สถานการณ์เลวร้าย จะนำไปสูสงครามกลางเมือง ถึงเวลาแล้วที่ Thailand จะต้องคิดขอความช่วยเหลือจากนานาอารยะประเทศ (มาแล้วไง!) สิ่งที่ Thailand ควรทำด่วน คือ ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจประกอบด้วย บุคคลจากนานาชาติ ที่มีความสามารถและมีประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศไทย มาทำหน้าที่เป็นคนกลาง ระหว่างรัฐบาล (ปชป) กับกลุ่มเสื้อแดง เพื่อป้องกันเหตุรุนแรง เช่น ยุติการปฏิบัติงานของทหาร การประท้วงควรเหลือเพียงการทำในเชิงสัญลักษณ์ คณะบุคคลนานาชาตินี้ จะทำหน้าที่จัดการให้มีรัฐบาลชั่วคราวเพื่อเตรียมการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด ผู้นำรัฐบาลควรมาจากรัฐสภา และควรจะประกอบด้วย ผู้ที่เป็นกลางและได้รับความนับถือจากสังคม (ใครหนอ?) และจะต้องมีการสอบสวนถึงกรณีปฏิบัติการ 10 เม.ย ระหว่างทหารกับกลุ่มเสื้อแดงที่มาประท้วงแถวบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้ารูปแล้ว สิ่งที่ควรจะรีบดำเนินการ คือแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ซึ่งร่างขึ้นโดยอิทธิพลของทหาร ท่านผู้อ่านที่มีญาติเป็นทหาร ช่วยเอาไปให้อ่านตอนนี้หน่อยนะครับ เพื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น และโปรดพิจารณากันเองแล้วกันว่า ข้อเสนอของ ICG มันน่าสรรเสริญเพียงใด และมีฝ่ายใดดำเนินการตามบ้าง มันคงมีการเข้าใจกันผิด ว่าราชอาณาจักรไทยของเรา ตกอยู่ในอาณัติของผู้ใดไปแล้ว ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 2
    อย่าลืมเป้าหมายของนักล่า สำหรับศตวรรษใหม่ คือ Eurasia, ไทยแลนด์ของสมันน้อย แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่สถานที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศเหมาะเจาะ แถมยังมีทรัพยากรเหลืออื้อ โดยพวกสมันน้อยไม่มีปัญญา หรือไม่รู้จักดูแลเก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นักล่าน้ำลายหก เวลาเอ่ยชื่อสมันน้อยหรือ มันน่าหม่ำออกยังงั้น อย่า อย่าเข้าใจผิดว่าพูดถึงนางสาวแสนโง่ คนนั้น คนละเรื่องกันครับ !
    นักล่าได้พยายามหาทาง เจาะเข้ามาดินแดนของสมันน้อย หลังจากทอดทิ้งไปหลังสงครามเวียตนาม มาเข้าทาง เมื่อหมาไน เห็นผิดเป็นชอบ วิ่งเข้าไปซบกลุ่มนักล่า นึกว่าเขาจะช่วยให้ตนกลับเข้าสู่อำนาจ แน่นอนนักล่าโอบอุ้มไว้ เอาไว้ใช้เป็นหมาก เข้าสู่อาหารจานใหญ่กว่า ที่นักล่าจะกินโดยไม่มีหมาไนมาขอแบ่ง ขบวนการ มันซับซ้อน จดจำไว้ นักล่าไม่เคยคิด หรือวางแผนแบบจอแบนมิติเดียว และไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว หรือหมากตัวเดียว
    นักล่าโอบอุ้มหมาไน ขบวนการโลกล้อมประเทศ หมาไนต้องการหรือ จัดให้ (โดยหมาไนต้องจ่ายเงินก้อนโต ฉลาดสมคำลือ) นึกว่าเพื่อประโยชน์โดด ๆ ของหมาไนหรือ คิดให้ดี ! เมื่อถึงเวลาอันควร ปฏิบัติการฝูงผึ้ง swarming ก็เกิดขึ้น
    ปฏิบัติการฝูงผึ้งออกแบบมา เพื่อให้องค์กรดอกเห็ดทำงาน องค์กรพวกนี้ หน้าฉากเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (NGO) แต่แท้จริงแล้ว องค์กรเหล่านี้เกือบทั้งหมด ถูกตั้งขึ้นและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ทรงอิทธิพล CFR หรือบุคคลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
    เช่น George Soros หรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติที่เป็นเครือข่ายของ CFR ทั้งสิ้น องค์กรดอกเห็ดที่มาเดินกันพล่านแถวบ้านเราที่ออกมาล่อ ให้ฝูงผึ้งปั่นป่วนเช่น !
    – National Endowment for Democracy (NED)
    – The International Republican Institute (IRI)
    – National Democratic Institute (NDI)
    – Gene Sharp Albert Einstein Institute (AEI)
    – International Center on Nonviolent Conflict (ICNC)
    – Freedom House
    – International Crisis Group (ICG)
    เป็นต้น
    ทฤษฎีฝูงผึ้ง (swarming) เป็นทฤษฎีที่ Rand Corporation ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นมันสมอง (Think Tank) ของฝ่ายกองทัพอเมริกัน คิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2000 อันที่จริงทฤษฎีนี้ คิดขึ้นมาเพื่อวางรูปแบบการรบ การจัดตั้งกองกำลัง และวางแผนโจมตีหรือรับมือข้าศึก แต่ต่อมาได้มีการนำมาใช้ในด้านปฏิบัติการทางสังคม และโลกของ social media
    swarming มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ Arab Spring ก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เขาทำกันอย่างไร
    เขาใช้วิธีการของทำงานของฝูงผึ้งเป็นรูปแบบ โดยการสร้างขบวนการนำทางความคิดขึ้นมาก่อน (หัวเชื้อ) หลังจากนั้นขบวนการทางสื่อจะช่วยโหม ประโคม แล้วความไม่สงบก็เกิดขึ้น
    ขั้นตอนดูเหมือนง่าย ๆ แต่การจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ต้องใช้ศักยภาพและเวลา ในการสร้างกลุ่มคนให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นการนำแสดงคงไม่พ้น นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักสื่อสารมวลชน
    เมื่อการทำงานภายใต้ทฤษฏี ล่อฝูงผึ้ง ไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว ขบวนการทำให้ ผึ้งแตกรัง ก็ตามมา องค์กร เช่น Gene Sharp Albert Einstein Institute, Open Society Foundation พวกนี้จะมีส่วนสำคัญในการทำให้ผึ้งแตกรัง
    Gene Sharp เป็นผู้ที่น่าสนใจศึกษา เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Albert Einstein Institute เป็นผู้ชำนาญด้านภูมิศาสตร์การเมือง ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบล ด้านสันติภาพ ถึง 3 ครั้ง (มาอีกแล้ว พวกรางวัลโนเบล !) เขาเขียนหนังสือเรื่อง วิธีก่อการปฏิวัติ How to start a Revolution หนังสือเล่มนี้ อ้างกันว่าเหมือนเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มพวก Arab Spring จะพกติดตัวกันเลย ปี ค.ศ. 2011 มีคนเอาเรื่องของเขาไปทำหนังสารคดีชื่อ How to Start a Revolution เป็นหนังสารคดีที่ได้รางวัล เขาเล่าว่าเหตุการณ์ประท้วงของผู้ต้องการประชาธิปไตยในพม่า ก็เป็นการ ช่วยเหลือ ของกลุ่มเขา รวมทั้งเหตุการณ์ในประเทศไทย ธิเบต Latvia Lithonia Estonia Belarus และSerbia ก็ฝีมือพวกเขาทั้งนั้น นาย Gene Sharp จะเป็นผู้คิดแผน ส่วนผู้ปฏิบัติการมือขวาของเขา ชื่อนาย Peter Ackerman ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ได้ก่อตั้ง International Center for Non Violent Conflict (ICNC) และ ICNC นี้เอง เป็นผู้ให้การฝึกอบรมแก่ activist ชาวอียิปต์และตูนีเซีย
    เขาเล่าในหนังสือ How to Start a Revolution ว่า พวกคุณ นึกหรือว่า Arab Spring มันจะเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนั้น มันได้มีการออกแบบ วางแผน และอบรมกันล่วงหน้า 2 ปี ก่อนหน้าเหตุการณ์แล้ว.. เกือบลืมบอกไป นาย Peter Ackerman นั้นเป็น CFR ครับ

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 2 อย่าลืมเป้าหมายของนักล่า สำหรับศตวรรษใหม่ คือ Eurasia, ไทยแลนด์ของสมันน้อย แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่สถานที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศเหมาะเจาะ แถมยังมีทรัพยากรเหลืออื้อ โดยพวกสมันน้อยไม่มีปัญญา หรือไม่รู้จักดูแลเก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นักล่าน้ำลายหก เวลาเอ่ยชื่อสมันน้อยหรือ มันน่าหม่ำออกยังงั้น อย่า อย่าเข้าใจผิดว่าพูดถึงนางสาวแสนโง่ คนนั้น คนละเรื่องกันครับ ! นักล่าได้พยายามหาทาง เจาะเข้ามาดินแดนของสมันน้อย หลังจากทอดทิ้งไปหลังสงครามเวียตนาม มาเข้าทาง เมื่อหมาไน เห็นผิดเป็นชอบ วิ่งเข้าไปซบกลุ่มนักล่า นึกว่าเขาจะช่วยให้ตนกลับเข้าสู่อำนาจ แน่นอนนักล่าโอบอุ้มไว้ เอาไว้ใช้เป็นหมาก เข้าสู่อาหารจานใหญ่กว่า ที่นักล่าจะกินโดยไม่มีหมาไนมาขอแบ่ง ขบวนการ มันซับซ้อน จดจำไว้ นักล่าไม่เคยคิด หรือวางแผนแบบจอแบนมิติเดียว และไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว หรือหมากตัวเดียว นักล่าโอบอุ้มหมาไน ขบวนการโลกล้อมประเทศ หมาไนต้องการหรือ จัดให้ (โดยหมาไนต้องจ่ายเงินก้อนโต ฉลาดสมคำลือ) นึกว่าเพื่อประโยชน์โดด ๆ ของหมาไนหรือ คิดให้ดี ! เมื่อถึงเวลาอันควร ปฏิบัติการฝูงผึ้ง swarming ก็เกิดขึ้น ปฏิบัติการฝูงผึ้งออกแบบมา เพื่อให้องค์กรดอกเห็ดทำงาน องค์กรพวกนี้ หน้าฉากเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (NGO) แต่แท้จริงแล้ว องค์กรเหล่านี้เกือบทั้งหมด ถูกตั้งขึ้นและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ทรงอิทธิพล CFR หรือบุคคลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง เช่น George Soros หรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติที่เป็นเครือข่ายของ CFR ทั้งสิ้น องค์กรดอกเห็ดที่มาเดินกันพล่านแถวบ้านเราที่ออกมาล่อ ให้ฝูงผึ้งปั่นป่วนเช่น ! – National Endowment for Democracy (NED) – The International Republican Institute (IRI) – National Democratic Institute (NDI) – Gene Sharp Albert Einstein Institute (AEI) – International Center on Nonviolent Conflict (ICNC) – Freedom House – International Crisis Group (ICG) เป็นต้น ทฤษฎีฝูงผึ้ง (swarming) เป็นทฤษฎีที่ Rand Corporation ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นมันสมอง (Think Tank) ของฝ่ายกองทัพอเมริกัน คิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2000 อันที่จริงทฤษฎีนี้ คิดขึ้นมาเพื่อวางรูปแบบการรบ การจัดตั้งกองกำลัง และวางแผนโจมตีหรือรับมือข้าศึก แต่ต่อมาได้มีการนำมาใช้ในด้านปฏิบัติการทางสังคม และโลกของ social media swarming มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ Arab Spring ก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เขาทำกันอย่างไร เขาใช้วิธีการของทำงานของฝูงผึ้งเป็นรูปแบบ โดยการสร้างขบวนการนำทางความคิดขึ้นมาก่อน (หัวเชื้อ) หลังจากนั้นขบวนการทางสื่อจะช่วยโหม ประโคม แล้วความไม่สงบก็เกิดขึ้น ขั้นตอนดูเหมือนง่าย ๆ แต่การจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ต้องใช้ศักยภาพและเวลา ในการสร้างกลุ่มคนให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นการนำแสดงคงไม่พ้น นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักสื่อสารมวลชน เมื่อการทำงานภายใต้ทฤษฏี ล่อฝูงผึ้ง ไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว ขบวนการทำให้ ผึ้งแตกรัง ก็ตามมา องค์กร เช่น Gene Sharp Albert Einstein Institute, Open Society Foundation พวกนี้จะมีส่วนสำคัญในการทำให้ผึ้งแตกรัง Gene Sharp เป็นผู้ที่น่าสนใจศึกษา เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Albert Einstein Institute เป็นผู้ชำนาญด้านภูมิศาสตร์การเมือง ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบล ด้านสันติภาพ ถึง 3 ครั้ง (มาอีกแล้ว พวกรางวัลโนเบล !) เขาเขียนหนังสือเรื่อง วิธีก่อการปฏิวัติ How to start a Revolution หนังสือเล่มนี้ อ้างกันว่าเหมือนเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มพวก Arab Spring จะพกติดตัวกันเลย ปี ค.ศ. 2011 มีคนเอาเรื่องของเขาไปทำหนังสารคดีชื่อ How to Start a Revolution เป็นหนังสารคดีที่ได้รางวัล เขาเล่าว่าเหตุการณ์ประท้วงของผู้ต้องการประชาธิปไตยในพม่า ก็เป็นการ ช่วยเหลือ ของกลุ่มเขา รวมทั้งเหตุการณ์ในประเทศไทย ธิเบต Latvia Lithonia Estonia Belarus และSerbia ก็ฝีมือพวกเขาทั้งนั้น นาย Gene Sharp จะเป็นผู้คิดแผน ส่วนผู้ปฏิบัติการมือขวาของเขา ชื่อนาย Peter Ackerman ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ได้ก่อตั้ง International Center for Non Violent Conflict (ICNC) และ ICNC นี้เอง เป็นผู้ให้การฝึกอบรมแก่ activist ชาวอียิปต์และตูนีเซีย เขาเล่าในหนังสือ How to Start a Revolution ว่า พวกคุณ นึกหรือว่า Arab Spring มันจะเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนั้น มันได้มีการออกแบบ วางแผน และอบรมกันล่วงหน้า 2 ปี ก่อนหน้าเหตุการณ์แล้ว.. เกือบลืมบอกไป นาย Peter Ackerman นั้นเป็น CFR ครับ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 1
    International Crisis Group (ICG) ของนาย George Soros และพวก เช่น นาย Kenneth Adelman นัก lobby ใหญ่ ของไอ้โจรร้ายที่เขียนไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค พ.ศ. 2557 นั้น เป็นองค์กรที่น่าสนใจไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่เป็นองค์กรที่ตอนนี้ถ้าเป็นเพลง ก็เรียกว่าขึ้นอยู่ในระดับ top chart เพราะเป็นองค์กร ที่ดูเหมือนจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของหลายประเทศ ในหลายภูมิภาค พูดภาษาจิกโก๋เรียกว่า เป็นผู้จัดการฝ่าย Research and Development R& D วิเคราะห์และวางแผนการล่าเหยื่อ ให้แก่กลุ่มทุนอิทธิพลนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) และไทยแลนด์แดนสมันน้อย ก็น่าสงสัยว่าจะอยู่ในรายการ shopping list เหยื่ออันโอชะ (อีกแล้ว !)
    ตั้งแต่ไอ้โจรร้าย ร่อนเร่ไปอยู่นอกประเทศ เพราะคุณทหารเอารถถังออกมาวิ่งรับดอกไม้จากชาวกรุงเทพ! เมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้น บางทีมันก็ทำให้ชะตาบางคนพลิกผัน เหมือนกับการปล่อยหมูเข้าเล้า หรือปล่อยหมาไนไว้ในทุ่งหญ้า อะไรทำนองนั้น หมาไนเคยแต่แทะกระดูกตลอด กว่าจะได้กินเนื้อก็เหนื่อยจนเบ้าตา เป็นเบ้าขนมครก (ฮา !) พอเจอนักล่าเอาเหยื่อมีเนื้อติดกระดูกมาล่อ ด้วยความตะกระ อันเป็นสันดาน ก็รีบเดินเข้าไปสู่กรงเล็บนักล่าอย่างเต็มใจ ว่าแล้วก็ดันจ้างนักล่ามาเป็นที่ปรึกษา ให้ล่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างสุดเลว ชั่วจริง ๆ !
    เพื่อจะเข้าใจปัจจุบัน ขอทบทวนอดีตสักหน่อย ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 อเมริกามีทางเลือกในฐานะผู้มีอำนาจใหญ่ล้นโลก ที่จะทำให้โลกนี้ สู่สภาพการสิ้นสุดของสงครามเย็นอย่างจริงจัง และเปลี่ยนวิถีของโลกเสียใหม่ ไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรือง
    อย่างแท้จริง หมดสงครามเย็น ยุติการเกลียดชัง การแก่งแย่งชิงดี การเหยียดทางเชื้อชาติและสู้รบระหว่างเผ่าพันธ์ การปิดกั้นเรื่องศาสนา ฯลฯ เปลี่ยนจากการทำลายล้าง ต่อสู้ เป็นการสร้างความเจริญแก่โลก และแก้ไขปัญหาความลำบากยากจนของพลเมืองโลกอย่างแท้จริง สมกับการเป็น
    พี่เบิ้ม
    เปล่าหรอก นั้นมันเป็นความน่าจะเป็น หรือความอยากให้เป็นของชาวโลก ที่จะได้เห็นอเมริกา เดินสู่เส้นทางนั้น ในทางตรงกันข้าม นอกจากอเมริกาจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ภายใต้ประกาสิตของลัทธิ New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ ที่นาย Bush ตัวพ่อ ออกมาประกาศ
    เมื่อ ปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การกำกับของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล CFR อเมริกากลับเลือกที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าการเป็นการสร้าง ทำลาย หลอก ลวง ต้มตุ๋น เพื่อที่จะควบคุมและครอบครองโลก
    ปี ค.ศ. 1997 นาย Zbigniew Brzezinski ปรมาจารย์ทางด้าน Geopolitics ที่มีอิทธิพลในทางความคิดกับกลุ่ม CFR อย่างยิ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Grand Chess Board ว่าอเมริกาจะครองโลกได้ ต้องควบคุมดินแดนที่เรียกว่า Eurasia ให้ได้เสียก่อน ดินแดนยูเรเซียคืออะไร คร่าว ๆ คือ ทวีปยุโรปกับทวีปเอเซียรวมกัน เป็นดินแดนที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โลก มีประชากรประมาณเกือบห้าพันล้านคน หรือประมาณกว่า 70% ของพลเมืองโลก และมีก๊าซและน้ำมัน ประมาณ 3 ใน 4 ของโลก คิดดูแล้วกัน มันเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ รสโอชา น่ารับประทานขนาดไหนของกลุ่มนักล่า
    เมื่อคิดจะล่ากันเป็นล่ำเป็นสันอีกรอบ ในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ คุมซอยเดียวไม่พอ มันต้องคุมทั้งเมือง ว่าแล้ว สงครามรูปแบบใหม่ จึงกลับฟื้นคืนชีพมาใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องทรง แต่งหน้าใหม่ ตามยุทธศาสตร์ ที่กำหนดโดย Project of the New American Century หรือ PNAC ที่
    ออกมาในปี ค.ศ. 1997 นั่นเอง ผู้อำนวยการสร้าง PNAC ไม่ใช่ใครอื่น CFR จัดส่งมาให้ทั้งแก๊ง แสดงนำโดย นาย Paul Wolfowitz, นาย R James Woolsey, นาย Donald Rumsfeld และนาย Robert Zoellick เป็นต้น เป้าหมายของ PNAC คือ เพื่อให้อเมริกาครองโลก (promote American global leadership) จะครองโลกได้ ก็ต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่ง อเมริกาเริ่มจัดรูปแบบกองทัพ ฐานทัพ และสร้างอาวุธใหม่ ๆ ขึ้น แค่นั้นยังดูไม่เอาจริงพอ ในปี ค.ศ. 2000 PNAC ออกรายงานมาอีกชื่อ Rebuilding Americas Defenses : Strategies, Forces and Resources for a New Century
    เห็นหัวข้อรายงานก็พอจะเดาทิศทาง การเดินหมากของอเมริกาในศตวรรษใหม่ได้
    ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดโดย PNAC ดังกล่าว เหยื่อที่ถูกเลือกให้ทดลองทฤษฎีใหม่ คือ Saddam Hussein สงครามอีรัคเกิดขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 ถึง 2011 ความเสียหายมีมาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้มา ก้อนอิฐปาใส่มากกว่าดอกไม้ ยุทธศาสตร์ ตาม PNAC เน้นทางการทหาร
    มากกว่าการฑูต เหยี่ยวขยับปีกมากไปหน่อย จึงมีความคิดที่จะเอานกพิราบมาใช้แทน แต่ขอโทษ เป็นนกพิราบที่ติดกรงเล็บเหยี่ยว แถมไม่ใช่เล็บธรรมดา ในเล็บยังใส่ยาพิษไว้อีก
    ทฤษฎีนกพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าเราจะจำกันได้ เรื่องอิหร่าน ตั้งแต่อังกฤษจับมือกับอเมริกา ปลดนาย Mossadegh ในปี ค.ศ. 1953 โทษฐานที่รู้ทันไม่ยอมถูกฝรั่งต้มต่อ และในค.ศ. 1997 นกพิราบสายพันธ์เดิมก็ถูกนำมาใช้ในการปลดกลางอากาศ Shah โทษฐาน
    เล่นผิดบท และเอา Ayatollah Khomeini มาปกครองอิหร่าน ท่านผู้อ่านนิทานมายากลยุทธ มาแล้ว โปรดอย่าลืม อิหร่าน Model ทั้ง 2 รายการ เป็น Model ที่น่าสนใจ และมีนัยลึกซึ้ง โปรดอ่านทบทวน และน่าจะศึกษาเพิ่มเติมด้วย เผื่อจะเข้าใจหัวคิดและจิตใจอันแสนร้าย ของนักล่ามากขึ้น วันไหนเขานึกจะเล่น Model อิหร่านกับสมันน้อย จะได้รู้ตัว และต่อต้าน หรือต่อสู้ถูกทาง
    นกพิราบติดกรงเหยี่ยว ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการ ที่ CIA มักเรียก วิธีการอื่น ส่วนมากเป็นการปฏิบัติการ สำหรับการล้มล้าง ระบอบหรือรัฐบาล ผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ ที่อเมริกาเห็นว่าไม่เป็นมิตร หรือไม่เป็นประโยชน์ ไม่สมประโยชน์ หรือขัดใจ ขวางทางทำมาหากินหรือตรงข้ามกับแนวคิดของอเมริกา ปฏิบัติการนี้ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเอาหมากตัวใหม่หรือไพ่ใบใหม่ มาเล่นแทน โดยไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพของอเมริกาให้เปลืองแรง เปลืองเงิน ก็แค่นั้น
    แต่พอเป็นศตวรรษใหม่ New Century แล้ว จะใช้ CIA เล่นโดด ๆ มันก็เหมือนไม่มีงบมาเติมเงินนั้นแหละ (ฮา !) ก็ต้องสร้างงานกันหน่อย เมื่อเห็นว่าการยกทัพจับศึกอย่างที่ทำในอิรัค มันไม่เข้าท่า ถูกด่ามากกว่าถูกสรรเสริฐ เขาก็เปลี่ยนวิชามารใหม่ อย่างว่า การตั้งสถาบันต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด (แหม ! กว่าจะโยงถึง ICG ต้องไปวิ่งอ้อมถึงสนามหลวง) สถาบันพวกนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพ แต่ปูทางไว้ เพื่อให้กองทัพเข้ามาได้ง่ายขึ้น

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 1 International Crisis Group (ICG) ของนาย George Soros และพวก เช่น นาย Kenneth Adelman นัก lobby ใหญ่ ของไอ้โจรร้ายที่เขียนไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค พ.ศ. 2557 นั้น เป็นองค์กรที่น่าสนใจไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่เป็นองค์กรที่ตอนนี้ถ้าเป็นเพลง ก็เรียกว่าขึ้นอยู่ในระดับ top chart เพราะเป็นองค์กร ที่ดูเหมือนจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของหลายประเทศ ในหลายภูมิภาค พูดภาษาจิกโก๋เรียกว่า เป็นผู้จัดการฝ่าย Research and Development R& D วิเคราะห์และวางแผนการล่าเหยื่อ ให้แก่กลุ่มทุนอิทธิพลนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) และไทยแลนด์แดนสมันน้อย ก็น่าสงสัยว่าจะอยู่ในรายการ shopping list เหยื่ออันโอชะ (อีกแล้ว !) ตั้งแต่ไอ้โจรร้าย ร่อนเร่ไปอยู่นอกประเทศ เพราะคุณทหารเอารถถังออกมาวิ่งรับดอกไม้จากชาวกรุงเทพ! เมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้น บางทีมันก็ทำให้ชะตาบางคนพลิกผัน เหมือนกับการปล่อยหมูเข้าเล้า หรือปล่อยหมาไนไว้ในทุ่งหญ้า อะไรทำนองนั้น หมาไนเคยแต่แทะกระดูกตลอด กว่าจะได้กินเนื้อก็เหนื่อยจนเบ้าตา เป็นเบ้าขนมครก (ฮา !) พอเจอนักล่าเอาเหยื่อมีเนื้อติดกระดูกมาล่อ ด้วยความตะกระ อันเป็นสันดาน ก็รีบเดินเข้าไปสู่กรงเล็บนักล่าอย่างเต็มใจ ว่าแล้วก็ดันจ้างนักล่ามาเป็นที่ปรึกษา ให้ล่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างสุดเลว ชั่วจริง ๆ ! เพื่อจะเข้าใจปัจจุบัน ขอทบทวนอดีตสักหน่อย ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 อเมริกามีทางเลือกในฐานะผู้มีอำนาจใหญ่ล้นโลก ที่จะทำให้โลกนี้ สู่สภาพการสิ้นสุดของสงครามเย็นอย่างจริงจัง และเปลี่ยนวิถีของโลกเสียใหม่ ไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรือง อย่างแท้จริง หมดสงครามเย็น ยุติการเกลียดชัง การแก่งแย่งชิงดี การเหยียดทางเชื้อชาติและสู้รบระหว่างเผ่าพันธ์ การปิดกั้นเรื่องศาสนา ฯลฯ เปลี่ยนจากการทำลายล้าง ต่อสู้ เป็นการสร้างความเจริญแก่โลก และแก้ไขปัญหาความลำบากยากจนของพลเมืองโลกอย่างแท้จริง สมกับการเป็น พี่เบิ้ม เปล่าหรอก นั้นมันเป็นความน่าจะเป็น หรือความอยากให้เป็นของชาวโลก ที่จะได้เห็นอเมริกา เดินสู่เส้นทางนั้น ในทางตรงกันข้าม นอกจากอเมริกาจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ภายใต้ประกาสิตของลัทธิ New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ ที่นาย Bush ตัวพ่อ ออกมาประกาศ เมื่อ ปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การกำกับของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล CFR อเมริกากลับเลือกที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าการเป็นการสร้าง ทำลาย หลอก ลวง ต้มตุ๋น เพื่อที่จะควบคุมและครอบครองโลก ปี ค.ศ. 1997 นาย Zbigniew Brzezinski ปรมาจารย์ทางด้าน Geopolitics ที่มีอิทธิพลในทางความคิดกับกลุ่ม CFR อย่างยิ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Grand Chess Board ว่าอเมริกาจะครองโลกได้ ต้องควบคุมดินแดนที่เรียกว่า Eurasia ให้ได้เสียก่อน ดินแดนยูเรเซียคืออะไร คร่าว ๆ คือ ทวีปยุโรปกับทวีปเอเซียรวมกัน เป็นดินแดนที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โลก มีประชากรประมาณเกือบห้าพันล้านคน หรือประมาณกว่า 70% ของพลเมืองโลก และมีก๊าซและน้ำมัน ประมาณ 3 ใน 4 ของโลก คิดดูแล้วกัน มันเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ รสโอชา น่ารับประทานขนาดไหนของกลุ่มนักล่า เมื่อคิดจะล่ากันเป็นล่ำเป็นสันอีกรอบ ในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ คุมซอยเดียวไม่พอ มันต้องคุมทั้งเมือง ว่าแล้ว สงครามรูปแบบใหม่ จึงกลับฟื้นคืนชีพมาใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องทรง แต่งหน้าใหม่ ตามยุทธศาสตร์ ที่กำหนดโดย Project of the New American Century หรือ PNAC ที่ ออกมาในปี ค.ศ. 1997 นั่นเอง ผู้อำนวยการสร้าง PNAC ไม่ใช่ใครอื่น CFR จัดส่งมาให้ทั้งแก๊ง แสดงนำโดย นาย Paul Wolfowitz, นาย R James Woolsey, นาย Donald Rumsfeld และนาย Robert Zoellick เป็นต้น เป้าหมายของ PNAC คือ เพื่อให้อเมริกาครองโลก (promote American global leadership) จะครองโลกได้ ก็ต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่ง อเมริกาเริ่มจัดรูปแบบกองทัพ ฐานทัพ และสร้างอาวุธใหม่ ๆ ขึ้น แค่นั้นยังดูไม่เอาจริงพอ ในปี ค.ศ. 2000 PNAC ออกรายงานมาอีกชื่อ Rebuilding Americas Defenses : Strategies, Forces and Resources for a New Century เห็นหัวข้อรายงานก็พอจะเดาทิศทาง การเดินหมากของอเมริกาในศตวรรษใหม่ได้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดโดย PNAC ดังกล่าว เหยื่อที่ถูกเลือกให้ทดลองทฤษฎีใหม่ คือ Saddam Hussein สงครามอีรัคเกิดขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 ถึง 2011 ความเสียหายมีมาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้มา ก้อนอิฐปาใส่มากกว่าดอกไม้ ยุทธศาสตร์ ตาม PNAC เน้นทางการทหาร มากกว่าการฑูต เหยี่ยวขยับปีกมากไปหน่อย จึงมีความคิดที่จะเอานกพิราบมาใช้แทน แต่ขอโทษ เป็นนกพิราบที่ติดกรงเล็บเหยี่ยว แถมไม่ใช่เล็บธรรมดา ในเล็บยังใส่ยาพิษไว้อีก ทฤษฎีนกพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าเราจะจำกันได้ เรื่องอิหร่าน ตั้งแต่อังกฤษจับมือกับอเมริกา ปลดนาย Mossadegh ในปี ค.ศ. 1953 โทษฐานที่รู้ทันไม่ยอมถูกฝรั่งต้มต่อ และในค.ศ. 1997 นกพิราบสายพันธ์เดิมก็ถูกนำมาใช้ในการปลดกลางอากาศ Shah โทษฐาน เล่นผิดบท และเอา Ayatollah Khomeini มาปกครองอิหร่าน ท่านผู้อ่านนิทานมายากลยุทธ มาแล้ว โปรดอย่าลืม อิหร่าน Model ทั้ง 2 รายการ เป็น Model ที่น่าสนใจ และมีนัยลึกซึ้ง โปรดอ่านทบทวน และน่าจะศึกษาเพิ่มเติมด้วย เผื่อจะเข้าใจหัวคิดและจิตใจอันแสนร้าย ของนักล่ามากขึ้น วันไหนเขานึกจะเล่น Model อิหร่านกับสมันน้อย จะได้รู้ตัว และต่อต้าน หรือต่อสู้ถูกทาง นกพิราบติดกรงเหยี่ยว ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการ ที่ CIA มักเรียก วิธีการอื่น ส่วนมากเป็นการปฏิบัติการ สำหรับการล้มล้าง ระบอบหรือรัฐบาล ผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ ที่อเมริกาเห็นว่าไม่เป็นมิตร หรือไม่เป็นประโยชน์ ไม่สมประโยชน์ หรือขัดใจ ขวางทางทำมาหากินหรือตรงข้ามกับแนวคิดของอเมริกา ปฏิบัติการนี้ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเอาหมากตัวใหม่หรือไพ่ใบใหม่ มาเล่นแทน โดยไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพของอเมริกาให้เปลืองแรง เปลืองเงิน ก็แค่นั้น แต่พอเป็นศตวรรษใหม่ New Century แล้ว จะใช้ CIA เล่นโดด ๆ มันก็เหมือนไม่มีงบมาเติมเงินนั้นแหละ (ฮา !) ก็ต้องสร้างงานกันหน่อย เมื่อเห็นว่าการยกทัพจับศึกอย่างที่ทำในอิรัค มันไม่เข้าท่า ถูกด่ามากกว่าถูกสรรเสริฐ เขาก็เปลี่ยนวิชามารใหม่ อย่างว่า การตั้งสถาบันต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด (แหม ! กว่าจะโยงถึง ICG ต้องไปวิ่งอ้อมถึงสนามหลวง) สถาบันพวกนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพ แต่ปูทางไว้ เพื่อให้กองทัพเข้ามาได้ง่ายขึ้น คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน เหยื่อ (4)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (4)
    การปฏิบัติตาม New World Order และ Globalization ภาคหนึ่ง ยังไม่จบ สหภาพโซเวียตแตก แต่รัสเซียยังไม่ตายจริง เหมือนผีดิบ ทำท่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา คิดจะสร้างเมืองอุตสาหกรรมขึ้นมาใหม่ ทรัพยากรของรัสเซีย โดยเฉพาะน้ำมัน ที่อยากได้กันหนักหนาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ ยังมีอยู่ เรื่องนี้เล่นไม่ยาก ขอให้มีความ “อยาก” ของเหยื่อ แล้ว Boris Yeltsin นายกรัฐมนตรีคนแรกของรัสเซียหลังจากสหภาพโซเวียตแตกเมื่อปี ค.ศ. 1991 ก็อ้าแขนรับ
    Anotoly Chubais เป็นสมาชิกผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล Yeltsin เขาเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัสเซีย ปี ค.ศ. 1998 ถึง ค.ศ. 2008 เขาแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กิจการไฟฟ้า RAO UES ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทั้งหมด ในปี ค.ศ. 2004 เขาสามารถจัดการหาเงินทุน จำนวนกว่า 30,000 ล้านเหรียญ เพื่อให้มาลงทุนในโรงไฟฟ้าที่สร้างใหม่ จำนวน 130 แห่ง ที่จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 29,000 เมกกะวัตต์ ระยะทาง 10,000 กม. และมีสถานีย่อยอีกเป็นพัน เขาสามารถแยกส่วนโรงไฟฟ้าที่รัฐบาลเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว กลายเป็นเอกชนเป็นเจ้าของและบริหารทั้งหมด นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ใครเป็นคนแนะนำให้รัสเซียเดินแผนเศรษฐกิจเช่นนี้ น่าสนใจ แต่ผลทำให้มีเศรษฐีรัสเซียเกิดใหม่ข้ามคืนประมาณ 17 ครอบครัว เพื่อมาลอกคราบทรัพย์สินของประเทศ (อ่านแล้วอย่างเผลอนึกว่าเป็นการแปรรูป ปตท. ของไทยแลนด์นะ มันคล้ายกันมาก) และส่งสมบัติลงเรือออกยังที่ปลอดภัยในต่างประเทศ
    ส่วนบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ 7 แห่ง ก็เข้าไปทึ้งแหล่งน้ำมันของรัฐเซียตามสะดวก แล้วชาวรัสเซียที่เหลืออยู่ในประเทศ ก็จนเอา จนเอา มีแต่คนว่างงาน 80% ของชาวนาล้มละลาย โรงงาน 70,000 แห่ง ถูกปิดตาย ประกันสังคมถูกยกเลิก มีแต่การจี้ปล้น พวกที่มีเงินก็อพยพย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันเป็นแถว ไปเดินชนกันอยู่แถว London หรือไม่อยากไปไกล ดูแถวพัทยาของเราก็ได้นะ แต่ที่มาแถวบ้านเรา เขาว่าส่วนมากมีแต่นักเลงกับโสเภณี เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เฉพาะรัสเซีย แต่ละประเทศที่แตกออกมา ก็ถูกขยี้ซ้ำด้วยความช่วยเหลือที่อเมริกาส่งมา ชื่อ George Soros และยาชื่อ IMF
    ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับนาย chubais เขามีชื่ออยู่ในกลุ่มที่ปรึกษา (Advisory Board) ของ J P Morgan ตั้งแต่ ค.ศ. 2008 และเป็นที่ปรึกษาระดับโลก (Global board of advisors) ของ Council on Foreign Relation (CFR) ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 มันคงบอกอะไรเราได้หลายอย่าง

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน เหยื่อ (4) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (4) การปฏิบัติตาม New World Order และ Globalization ภาคหนึ่ง ยังไม่จบ สหภาพโซเวียตแตก แต่รัสเซียยังไม่ตายจริง เหมือนผีดิบ ทำท่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา คิดจะสร้างเมืองอุตสาหกรรมขึ้นมาใหม่ ทรัพยากรของรัสเซีย โดยเฉพาะน้ำมัน ที่อยากได้กันหนักหนาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ ยังมีอยู่ เรื่องนี้เล่นไม่ยาก ขอให้มีความ “อยาก” ของเหยื่อ แล้ว Boris Yeltsin นายกรัฐมนตรีคนแรกของรัสเซียหลังจากสหภาพโซเวียตแตกเมื่อปี ค.ศ. 1991 ก็อ้าแขนรับ Anotoly Chubais เป็นสมาชิกผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล Yeltsin เขาเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัสเซีย ปี ค.ศ. 1998 ถึง ค.ศ. 2008 เขาแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กิจการไฟฟ้า RAO UES ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทั้งหมด ในปี ค.ศ. 2004 เขาสามารถจัดการหาเงินทุน จำนวนกว่า 30,000 ล้านเหรียญ เพื่อให้มาลงทุนในโรงไฟฟ้าที่สร้างใหม่ จำนวน 130 แห่ง ที่จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 29,000 เมกกะวัตต์ ระยะทาง 10,000 กม. และมีสถานีย่อยอีกเป็นพัน เขาสามารถแยกส่วนโรงไฟฟ้าที่รัฐบาลเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว กลายเป็นเอกชนเป็นเจ้าของและบริหารทั้งหมด นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ใครเป็นคนแนะนำให้รัสเซียเดินแผนเศรษฐกิจเช่นนี้ น่าสนใจ แต่ผลทำให้มีเศรษฐีรัสเซียเกิดใหม่ข้ามคืนประมาณ 17 ครอบครัว เพื่อมาลอกคราบทรัพย์สินของประเทศ (อ่านแล้วอย่างเผลอนึกว่าเป็นการแปรรูป ปตท. ของไทยแลนด์นะ มันคล้ายกันมาก) และส่งสมบัติลงเรือออกยังที่ปลอดภัยในต่างประเทศ ส่วนบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ 7 แห่ง ก็เข้าไปทึ้งแหล่งน้ำมันของรัฐเซียตามสะดวก แล้วชาวรัสเซียที่เหลืออยู่ในประเทศ ก็จนเอา จนเอา มีแต่คนว่างงาน 80% ของชาวนาล้มละลาย โรงงาน 70,000 แห่ง ถูกปิดตาย ประกันสังคมถูกยกเลิก มีแต่การจี้ปล้น พวกที่มีเงินก็อพยพย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันเป็นแถว ไปเดินชนกันอยู่แถว London หรือไม่อยากไปไกล ดูแถวพัทยาของเราก็ได้นะ แต่ที่มาแถวบ้านเรา เขาว่าส่วนมากมีแต่นักเลงกับโสเภณี เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เฉพาะรัสเซีย แต่ละประเทศที่แตกออกมา ก็ถูกขยี้ซ้ำด้วยความช่วยเหลือที่อเมริกาส่งมา ชื่อ George Soros และยาชื่อ IMF ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับนาย chubais เขามีชื่ออยู่ในกลุ่มที่ปรึกษา (Advisory Board) ของ J P Morgan ตั้งแต่ ค.ศ. 2008 และเป็นที่ปรึกษาระดับโลก (Global board of advisors) ของ Council on Foreign Relation (CFR) ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 มันคงบอกอะไรเราได้หลายอย่าง คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 20 : เจ้ามือมาแล้ว
    ย้อนกลับไประหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังขับเคี้ยวกันอยู่ ประธานาธิบดีอเมริกา Woodrow Wilson นั่งบนกำแพงดูทิศทางลม ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในสงครามพวกนักธุรกิจเห็นว่ามัวแต่นั่งดูทางลมแบบนั้น มันจะเข้าทางพวกเราหรือ ว่าแล้วพวกเขาก็รวบรวมพรรคพวก ตั้งคณะกำหนดทิศทางลมแทน ชื่อ “The Inquiry” เพื่อทำการศึกษา (ตามโผ !) และแนะนำประธานาธิบดี Wilson ว่า หาก Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันล้มคว่ำ โลกนี้ควรจะมีทิศทางในการเดินเกมการเมืองอย่างไร การเสนอแนะของ The Inquiry ทำผ่าน Col. Edward M. House คนสนิทของประธานาธิบดี Wilson ท่านนายพัน House นี้ เป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้เกิด Federal Reserve System
    The Inquiry นี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของ The Council on Foreign Relations (CFR) ผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด พวกเขาคือคนถือเข็มทิศ กำหนดทิศทางเดินของอเมริกานั่นเอง CFR เริ่มต้นจากการรวมตัวของนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา เขาตกลงกันในที่ประชุมเมื่อพฤษภาคม ค.ศ. 1919 ว่า พวกเราควรจัดให้มีสถาบันร่วมมือกันระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เพื่อ “ดูแล” เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ (International Affairs) หลังจากนั้น ใน ค.ศ. 1921 พวกเขาก็ได้ขยายแนวร่วมไปยังกลุ่ม นักกฎหมายและนักการเงิน และร่วมกันตั้ง The Council on Foreign Relations ขึ้นในปี ค.ศ. 1921
    CFR มีเป้าหมายที่จะกำหนดที่ยืนของอเมริกาในโลกเสียใหม่ จากที่ทำแต่อุตสาหกรรมโดยลำพัง อยู่โดดเดี่ยว เปลี่ยนสภาพเป็นตัวกลไกสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเงินระหว่างประเทศ และกำหนดทิศทางการเดินของอเมริกาที่จะก้าวไปสู่การเป็นจักรวรรดิอเมริกา ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านธุรกิจ การเงิน การเมืองระหว่างประเทศ การทหาร สื่อมวลชน และนักวิชาการ ในสังคมระดับสูง และทิศทางดังกล่าวจะต้องทำเป็นนโยบายระดับนานาชาติ โดยมีกลุ่มทุนใหญ่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง
    เงินคืออำนาจ อำนาจคือเงิน อย่าถามว่าพวกเขาจะสร้างอำนาจนี้ได้จริงหรือ และเมื่อมีอำนาจแล้วจะใช้อำนาจนี้ไหม จักรวรรดิอเมริกามีจริงหรือไม่ เขาว่าถามแบบนี้ แน่นอน คนถามต้องไม่ใช่เป็นพวก CFR และไม่มีวันได้เป็น ฮา !
    แต่ก่อนจะมีอำนาจ ต้องมีเงินก่อนตามสูตร แล้วนักเล่นกล ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะต้องมีธนาคารกลาง แต่เป็นธนาคารกลางที่พวกเขา ควรเป็น (เจ้ามือ) เจ้าของและควบคุม มันเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักการเงิน 2 ฝั่งคาบสมุทร Atlantic
    J P Morgan ร่ายมนต์ให้นักการเมืองฟังว่า เหตุการณ์วิกฤติทางการเงินของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1907 น่ะ เพราะพวกคุณไม่มีระบบการเงินที่ดี รัฐบาลก็ไม่มีกระเป๋าเงินของตัวเองที่ใหญ่พอ ตอนเกิดเรื่องนะจำได้มั้ย เราน่ะ J P Morgan เป็นคนให้รัฐบาลยืมเงินนะ จะเสียหน้าแบบนั้นอีกเหรอ คำขู่ได้ผลประธานาธิบดี Wilson มือไม้สั่นรีบออก Federal Reserve Act ในปี ค.ศ. 1913 ผลของกฎหมายฉบับนี้ ทำให้อเมริกาถูกควบคุม โดยผู้มีอำนาจทางการเงิน Federal Reserve Bank หรือ “Fed” (เจ้ามือตัวจริง !) ซึ่งรัฐบาลอเมริกาไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ Fed สามารถที่กำหนดหลักเกณฑ์ ในการพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้เอง โดยไม่ต้องผ่าน Congress เยี่ยมจริง ๆ!!!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 20 : เจ้ามือมาแล้ว ย้อนกลับไประหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังขับเคี้ยวกันอยู่ ประธานาธิบดีอเมริกา Woodrow Wilson นั่งบนกำแพงดูทิศทางลม ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในสงครามพวกนักธุรกิจเห็นว่ามัวแต่นั่งดูทางลมแบบนั้น มันจะเข้าทางพวกเราหรือ ว่าแล้วพวกเขาก็รวบรวมพรรคพวก ตั้งคณะกำหนดทิศทางลมแทน ชื่อ “The Inquiry” เพื่อทำการศึกษา (ตามโผ !) และแนะนำประธานาธิบดี Wilson ว่า หาก Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันล้มคว่ำ โลกนี้ควรจะมีทิศทางในการเดินเกมการเมืองอย่างไร การเสนอแนะของ The Inquiry ทำผ่าน Col. Edward M. House คนสนิทของประธานาธิบดี Wilson ท่านนายพัน House นี้ เป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้เกิด Federal Reserve System The Inquiry นี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของ The Council on Foreign Relations (CFR) ผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด พวกเขาคือคนถือเข็มทิศ กำหนดทิศทางเดินของอเมริกานั่นเอง CFR เริ่มต้นจากการรวมตัวของนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา เขาตกลงกันในที่ประชุมเมื่อพฤษภาคม ค.ศ. 1919 ว่า พวกเราควรจัดให้มีสถาบันร่วมมือกันระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เพื่อ “ดูแล” เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ (International Affairs) หลังจากนั้น ใน ค.ศ. 1921 พวกเขาก็ได้ขยายแนวร่วมไปยังกลุ่ม นักกฎหมายและนักการเงิน และร่วมกันตั้ง The Council on Foreign Relations ขึ้นในปี ค.ศ. 1921 CFR มีเป้าหมายที่จะกำหนดที่ยืนของอเมริกาในโลกเสียใหม่ จากที่ทำแต่อุตสาหกรรมโดยลำพัง อยู่โดดเดี่ยว เปลี่ยนสภาพเป็นตัวกลไกสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเงินระหว่างประเทศ และกำหนดทิศทางการเดินของอเมริกาที่จะก้าวไปสู่การเป็นจักรวรรดิอเมริกา ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านธุรกิจ การเงิน การเมืองระหว่างประเทศ การทหาร สื่อมวลชน และนักวิชาการ ในสังคมระดับสูง และทิศทางดังกล่าวจะต้องทำเป็นนโยบายระดับนานาชาติ โดยมีกลุ่มทุนใหญ่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง เงินคืออำนาจ อำนาจคือเงิน อย่าถามว่าพวกเขาจะสร้างอำนาจนี้ได้จริงหรือ และเมื่อมีอำนาจแล้วจะใช้อำนาจนี้ไหม จักรวรรดิอเมริกามีจริงหรือไม่ เขาว่าถามแบบนี้ แน่นอน คนถามต้องไม่ใช่เป็นพวก CFR และไม่มีวันได้เป็น ฮา ! แต่ก่อนจะมีอำนาจ ต้องมีเงินก่อนตามสูตร แล้วนักเล่นกล ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะต้องมีธนาคารกลาง แต่เป็นธนาคารกลางที่พวกเขา ควรเป็น (เจ้ามือ) เจ้าของและควบคุม มันเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักการเงิน 2 ฝั่งคาบสมุทร Atlantic J P Morgan ร่ายมนต์ให้นักการเมืองฟังว่า เหตุการณ์วิกฤติทางการเงินของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1907 น่ะ เพราะพวกคุณไม่มีระบบการเงินที่ดี รัฐบาลก็ไม่มีกระเป๋าเงินของตัวเองที่ใหญ่พอ ตอนเกิดเรื่องนะจำได้มั้ย เราน่ะ J P Morgan เป็นคนให้รัฐบาลยืมเงินนะ จะเสียหน้าแบบนั้นอีกเหรอ คำขู่ได้ผลประธานาธิบดี Wilson มือไม้สั่นรีบออก Federal Reserve Act ในปี ค.ศ. 1913 ผลของกฎหมายฉบับนี้ ทำให้อเมริกาถูกควบคุม โดยผู้มีอำนาจทางการเงิน Federal Reserve Bank หรือ “Fed” (เจ้ามือตัวจริง !) ซึ่งรัฐบาลอเมริกาไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ Fed สามารถที่กำหนดหลักเกณฑ์ ในการพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้เอง โดยไม่ต้องผ่าน Congress เยี่ยมจริง ๆ!!! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (1)
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1)
    นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย
    เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน
    มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง !
    สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ !
    เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ
    และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร
    เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939
    แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา
    ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม
    เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย
    แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ
    แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย
    มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน
    ( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ)
    คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ !
    เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง”

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (1) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1) นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง ! สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ ! เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939 แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน ( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ) คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ ! เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง” คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากนี้ไปการกำจัดกวาดล้างทหารชั่วเลวได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังแล้ว.



    https://youtube.com/shorts/M4CFrjW7-AY?si=CfEL1mdmZ8DTCadZ
    จากนี้ไปการกำจัดกวาดล้างทหารชั่วเลวได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังแล้ว. https://youtube.com/shorts/M4CFrjW7-AY?si=CfEL1mdmZ8DTCadZ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3/4
    ถึงเวลาเปิดโปง
    ถึงเวลาเปิดโปงรับรู้และต่อต้านระเบียบโลกใหม่
    https://www.facebook.com/share/p/19GdFmcY73/
    เราเชื่อองค์การอนามัยโลกได้เพียงใด?
    https://www.facebook.com/share/p/165qc2RJSg/
    กฎหมายเสรีภาพทางการแพทย์และร่างกฎหมายแบน mRNA วัคซีน ในสหรัฐ
    https://www.facebook.com/share/p/16BCfkXpi1/
    นพ.ธีระวัฒน์ ยกงานวิจัย ชี้ชัดวัคซีนโควิด ทำเส้นเลือดอุดตัน การเสียชีวิตเพิ่มขึ้นแปรตามการฉีดวัคซีน
    https://youtu.be/JFwdcP39MnM?si=7QPRmcaWOANYMJ87
    รายการปากซอย 105 สัมภาษณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา วันที่ 22 เมษายน 2568
    https://www.youtube.com/live/O62sTRIcOKE?si=TygTglExUaiNUein
    โรคออทิสติกระบาดหนัก ข้อมูลใหม่จาก CDC ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ และ HHS (เทียบเท่ากระทรวงสาธารณสุข )
    https://www.facebook.com/share/p/15woR3q1gj/
    กระบวนการหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็นไม่ใช่ใช้ความเชื่อ
    https://www.facebook.com/share/p/1JvXpQ5vPU/
    วัคซีนไข้หวัดหมู 1976 ทำให้เกิดตายและพิการ ระงับ ชดเชย และรับผิดชอบ
    https://www.facebook.com/share/p/1HsCNDKyGk/
    สมองเสื่อม จิตอารมณ์แปรปรวนเพิ่มขึ้น
    https://www.facebook.com/share/p/16fc4KX7x7/
    โควิดความจริงที่ถูกเปิดเผย
    ตอนที่ 1 https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2756723
    ตอนที่ 2 https://mgronline.com/daily/detail/9670000008184
    ตอนที่ 3 https://mgronline.com/daily/detail/9670000010320
    ตอนที่ 4 https://mgronline.com/daily/detail/9670000012549
    ตอนที่ 5 https://mgronline.com/daily/detail/9670000014922
    ตอนที่ 6 https://www.thairath.co.th/news/local/2765797
    สร้างเท็จเป็นจริง เปลี่ยนจริงเป็นเท็จ
    https://m.youtube.com/watch?si=XN7rAI1qEWlI-kr6&fbclid=IwAR1mynXiLAbnauASWUlJJWFbJ9YUkDlYd3MpVN975-j1XiXKT8m6LK2stvs_aem_AQH-ZkLmZSDYhXTbonKF3fZqbmCD50usAsDLiZk9cI9WNJJdVKVS7dUUuc-N1nedwd8&v=D6NboVSczKU&feature=youtu.be
    “หมอธีระวัฒน์” เผยความจริงปรากฏ โควิดหลุดจากแล็บเป็นเรื่องจริง ฝีมือหมอใหญ่สหรัฐฯ ผ่านองค์กร Eco Health Alliance
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000042959
    เราจะรอดพ้นจากการเป็นซอมบี้ได้อย่างไร ?!! / โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    https://youtu.be/RLWADSjPdC0?si=6oot2AiWzNbH7efq
    เปิดโปงเบื้องหลัง ธุรกิจไวรัสตัดต่อพันธุกรรม ทำไมคนไทยต้อง Save หมอธีระวัฒน์ เพื่อ Save ประชาชน จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567
    https://fb.watch/qpJFWeLSO0/?
    “หมอธีระวัฒน์” เผยความจริงต้นตอที่มาโควิด พร้อมแจงละเอียดยิบเหตุยุติวิจัยไวรัสค้างคาว
    https://news1live.com/detail/9670000005954
    “หมอธีระวัฒน์” เผย 5 เหตุผล ลาออก หน.ศูนย์ฯโรคอุบัติใหม่
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000037010
    วัคซีน : ที่ปฏิบัติในปัจจุบันเป็นการฝ่าฝืนกฎข้อบังคับทางจริยธรรมทางการแพทย์ทั้งหมดหรือไม่? (ตอนที่ 1)
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000036764
    "หมอธีระวัฒน์-อ.ปานเทพ" เชิญร่วมเสวนา “อันตรายจากวัคซีนร้ายแรงกว่าที่คิด” ณ หอศิลป์กรุงเทพฯ 3 พ.ค.นี้
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000035647
    เรื่องใหญ่! “หมอธีระวัฒน์” เผยนักวิจัย “โมเดอร์นา” ยอมรับเอง วัคซีน mRNA ยังต้องผ่านการปรับปรุงอีกหลายขั้นตอน
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000035583
    ไวรัสโควิด สร้างได้ในห้องทดลองและ มีจด สิทธิบัตร ตั้งแต่ปี 2018
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000025130
    Save หมอธีระวัฒน์ ผู้เปิดโปงธุรกิจไวรัสตัดต่อพันธุกรรม
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000017172
    https://youtu.be/ucQZu7LbZCM?si=YPMxtmhRnYQrnAnk
    จี้คณบดีแพทยศาสตร์ ศิริราช-จุฬาฯ เลิกติดต่อ “เฟาซี” และ EHA ที่ให้ทุนวิจัยสร้างไวรัสอันตราย
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000016687
    ชันสูตรศพผู้ตายจากวัคซีนโควิด 326 ราย
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000019343
    วัคซีนดีจริงหรือไม่ แบบไหนที่ไม่ดี
    https://youtu.be/woQke7CyAiU?si=FtY0p5TZCv4tOcBQ
    'ทำไมหรือมีอะไรดลใจให้ยังเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อ? /'หมอธีระวัฒน์
    https://www.thairath.co.th/lifestyle/2825945?
    “หมอธีระวัฒน์” เปิดรายงานสภาผู้แทน สหรัฐฯ ชี้รัฐบาลเร่งรีบอนุมัติวัคซีนโควิด ไม่สนคำเตือนอันตราย ปกปิด-บิดเบือนข้อมูล
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000116430
    “หมอธีระวัฒน์” เผยวุฒิสภาสหรัฐฯ เรียกสอบ-ระงับโครงการสร้างไวรัสใหม่ทั้งหมด หลังได้ข้อสรุปโควิดหลุดจากห้องวิจัย
    https://mgronline.com/qol/detail/9680000011076
    ทำไมถึงต้องตาสว่างในการสงบโรคระบาด
    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    https://www.facebook.com/share/p/26txVFqWEAtpzaA8/
    “หมอธีระวัฒน์” เผยชาวแคนาดารวมกลุ่มฟ้องรัฐบาลแล้ว หลังวัคซีนส่งผลกระทบรุนแรง 3 ใน 1 หมื่นราย
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000080993
    “หมอธีระวัฒน์” ชี้วัคซีนเยอะเกิน จะเร่งให้ฉีดถามกันก่อนดีไหม?
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000081470
    “หมอธีระวัฒน์” เผยผลศึกษา วัคซีนไม่ช่วยป้องกันการเกิดลองโควิด
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000082608
    “หมอธีระวัฒน์” อธิบายสาเหตุ วัคซีนโควิด ยิ่งฉีดมากยิ่งอ่อนแอ
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000094384
    “หมอธีระวัฒน์”งง วัคซีนโควิดฉีดเยอะตายเยอะแต่ก็ยังรณรงค์ให้ฉีด
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000097895
    ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า? |ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000100995
    ยิ่งฉีดมาก ยิ่งอ่อนแอ โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2822097
    ปิดไม่มิด กำเนิดไวรัสโควิด l ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2823376#google_vignette
    อย่าเงียบ!กดดันไฟเซอร์-โมเดอร์นาถอนใบอนุญาตวัคซีนโควิด อ้างพบตายมากกว่าแอสตร้าฯ3เท่า
    https://mgronline.com/around/detail/9670000040887
    “หมอธีระวัฒน์” ตั้งคำถามหลังแอสตร้าฯ หยุดขาย แล้ววัคซีนชนิดอื่นทำไมทางการไทยยังปกป้อง แฉไฟเซอร์ต้องยอมความ 1 หมื่นคดี
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000040486
    “หมอธีระวัฒน์” ถามแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ รับเงิน 2 พันล้านก๊อปปี้วัคซีนโควิดไฟเซอร์ ได้ผลสำเร็จอย่างไร
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000040290
    “ปานเทพ” ชี้แอสตร้าฯ ถอนใบอนุญาตการตลาดวัคซีนทั่วโลกหลังยอมรับก่อผลข้างเคียง แต่องค์กรรัฐไทยเงียบกริบ สะท้อนสำนึกความปลอดภัยที่ตกต่ำ
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000040078
    “ฉีดแล้ว แถมอะไรบ้าง?” ฟังเวอร์ชั่นมึผู้ดัดแปลง แรพเตอร์ประยุกต์
    https://fb.watch/rY3hwhondy/?
    https://fb.watch/rY3jv7hMym/?
    เปิดวิธีป้องกัน ความอันตราย จากพิษของวัคซีน / ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา สัมภาษณ์โดย ปากซอย 105 รู้ก่อนใคร ลึกจากข่าววงใน
    https://youtu.be/44uwz3X0Gh4?si=_qNy29hSXEYptH4g
    “หมอธีระวัฒน์” เผยเคสคนป่วยจากแอสตร้า-ไฟเซอร์ ชี้ทั้งวัคซีนเชื้อเป็นและ mRNA ส่งผลกระทบระยะสั้นถึงยาว ต่อสมอง-กล้ามเนื้อ
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000037733
    ช็อค!!! คำสารภาพของไฟเซอร์ รีบชมและแชร์ก่อนโดนลบ
    https://fb.watch/s0bmq6HW8P/?
    “หมอธีระวัฒน์-อ.ปานเทพ“ แจงละเอียดยิบ “แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด” (White Clot) และโปรตีนหนามทั่วร่างกายไปไกลถึงลูกอัณฑะ / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/945435006950200/?
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000025152
    ไวรัสโควิด สร้างได้ในห้องทดลองและ มีจด สิทธิบัตร ตั้งแต่ปี 2018
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000025130
    เงินสำคัญกว่าชีวิต! ผู้เชี่ยวชาญเชื่อ US บิดเบือนวัคซีน 'โควิด' จีน มีเป้าหมายเพื่อสกัดคู่แข่ง
    https://mgronline.com/around/detail/9670000051671
    วัคซีนเทพระส่ำ! รัฐแคนซัสลุยฟ้องเอาผิด 'ไฟเซอร์' กล่าวหาปกปิดความเสี่ยง-โป้ปดประสิทธิภาพ
    https://mgronline.com/around/detail/9670000052000
    ความจริงปรากฏ! รอยเตอร์แฉเอง US ใช้ยุทธการบิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสีวัคซีนโควิดของจีน
    https://mgronline.com/around/detail/9670000051466
    “หมอธีระวัฒน์” เผยผลชันสูตรคนตาย วัคซีนโควิดอาจเป็นสาเหตุเชื้ออสุจิไม่วิ่ง
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000051903
    สะเทือนแน่! ศาลสหรัฐฯ ตัดสิน วัคซีนโควิด mRNA ไม่ใช่วัคซีนตามความหมายเดิม
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000051429
    เรื่องใหญ่! 'หมอธีระวัฒน์'แฉนักวิทยาศาสตร์ของ 'โมเดนา' ยอมรับ วัคซีน mRNR มีอันตรายต้องปรับปรุง https://www.thaipost.net/x-cite-news/574701/
    ตัวเร่งอัลไซเมอร์ ปัจจัยสมองเสื่อม
    https://www.thairath.co.th/news/local/2780279?fbclid=IwZXh0bgNhZW0BMQABHasG0naYhGMWkauoJynJJogiy5_NDCd315hbeWbq9VKsujvb0QlhIDaYXw_aem_AVdXSF5wlAW6xu0DqygB78_9MAXrrrSl80nxmlnJULaXM7V7p4XE8sSaW8nA80wGr9U
    “หมอธีระวัฒน์” แฉวัคซีนไฟเซอร์โดนฟ้องแหลกในสหรัฐฯ แต่ในไทยยังประชาสัมพันธ์ให้ฉีด
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000052545
    ประเมินเสี่ยงตายกระทันหัน จากวัคซีนและโควิด-การถอนพิษ
    https://www.facebook.com/share/p/1XfdT5fmVV/
    ไขสันหลังสมอง เสียหายได้จากการขาดวิตามินบี 12 จากสาเหตุต่างๆ
    https://www.facebook.com/share/p/19RqJpHHio/
    จากวัคซีน mRNA ไปจนself amplifying mRNA จำลองตัวเองขึ้นมหาศาล
    https://www.facebook.com/share/p/1A15KRLAw7/
    ยาฆ่าพยาธิ: สามรัฐ ผ่านกฎหมายจำหน่ายได้แล้ว เป็น OTC over the counter อีก14 รัฐ กำลังดำเนินการ
    https://www.facebook.com/share/p/1aDD7J1Fjp/
    แถลงจากสหรัฐชัดเจน การปกปิด ปิดบัง ความจริง โควิดมาจากแลป และปิดบังอันตรายจากวัคซีน ป้ายสีให้เป็น ข้อมูล ปลอม misinformation
    https://www.facebook.com/share/p/15QPp6LjwB/
    เรื่องของ ซิฟิลิสกับสมองที่บางครั้งอาจนึกไม่ถึง
    https://www.facebook.com/share/v/1APFA6WeHR/
    การตายกะทันหันใน US พบสูงขึ้นต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน
    https://www.facebook.com/share/p/19Dpf6H4kR/
    โรคไขสันหลังอักเสบเฉียบพลันและวัคซีนโควิดในทั้งประเทศเกาหลี
    https://www.facebook.com/share/p/1AP5bbBHke/
    ไวรัสโควิด มีการออกแบบลำดับจำเพาะของโปรตีนสไปค์เกิดอักเสบลิ่มเลือดและผิดปกติในสมอง
    https://www.facebook.com/share/p/1J3RRzT1Jo/
    โควิดปัจจุบัน พฤษภาคม 2568
    https://www.facebook.com/share/p/16LBZmU7DD/
    https://youtu.be/I291FyeThnA?si=OVOwTGUDwYcw6nPX
    ออกกำลังแบบลุยสุดสัปดาห์หรือสม่ำเสมอไปเรื่อย ๆ
    https://www.facebook.com/share/p/1Cf9auHyFc/
    กินเร็วตั้งแต่เช้า…ตายช้าหรือไม่?
    https://www.facebook.com/share/p/1FZ9bQPHXU/
    งีบนาน งีบบ่อยกลางวันทำไมเกี่ยวกับ..เสี่ยงสมองเสื่อม
    https://t.me/DrThiravatFc/231
    https://www.facebook.com/share/p/163a3HxwSG/
    อัลไซเมอร์ อารมณ์เหวี่ยงวุ่นวายและยาควบคุม (ตอนที่ 1)
    https://t.me/DrThiravatFc/229
    https://www.facebook.com/share/p/1ApQKkcwUN/
    https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2863073
    วิตามินรวม สมอง เสมือนดูดีแต่ไม่ชะลอจริง
    https://t.me/DrThiravatFc/226
    https://www.facebook.com/share/p/1AXxLBe13Z/
    หัวใจอักเสบคุกรุ่น “แม้ไม่มีอาการ”หลังฉีด”
    https://t.me/DrThiravatFc/225
    https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2819643
    https://www.facebook.com/share/p/1EQQSbvnQz/
    ปรากฏการณ์มนุษย์กลายเป็นปีศาจ
    https://t.me/DrThiravatFc/218
    https://www.facebook.com/share/p/1V4uFyCFRD/
    การออกกำลัง: กลไกป้องกัน ชะลออัลไซเมอร์
    https://t.me/DrThiravatFc/216
    https://www.facebook.com/share/p/16hJ3sRJ2C/
    ทำไมหรือมีอะไรดลใจ ให้ยังเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อ?
    https://t.me/DrThiravatFc/215
    https://www.thairath.co.th/lifestyle/2825945
    ไวรัสโควิดถูกสร้างขึ้นและแท้จริงถูกวางแผนปล่อยทางอากาศให้แพร่ติดต่อกันเองได้
    https://t.me/DrThiravatFc/211
    21/5/2025
    รัฐสภาสหรัฐแถลงเจ้าหน้าที่รัฐละเลยในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของวัคซีน ในเรื่องที่เกี่ยวกับหัวใจอักเสบและ
    เรื่องอื่นๆ
    https://t.me/DrThiravatFc/238
    https://www.facebook.com/share/p/12KDvWVRgwY/
    ‘หมอธีระวัฒน์’ แฉเบื้องลึก ‘โควิด-19’ หลุดจากห้องทดลอง-สหรัฐให้ทุนวิจัย
    https://youtu.be/TbF0Kx_lorQ?si=QxvsZsEN2DeNJ-YE
    วูบ ตาย กระทันหัน ความเสี่ยง-อาชีพความเสี่ยงและวิธีบรรเทา
    https://www.facebook.com/share/p/1HXmR5pntB/
    เด็กและคนท้องUSประกาศไม่่ต้องฉีดโควิด
    https://www.facebook.com/share/p/16JFcQPZM3/
    US วางมาตรฐานวัคซีนใหม่
    https://www.facebook.com/share/p/15bd2QFJJV/
    90,534 รายในUS แจ้งผลกระทบจากวัคซีนโควิด
    https://www.facebook.com/share/p/1JFe54NpNG/
    คำแถลงของทำเนียบขาว เรื่องรั่วจากแล็บการเซ็นเซอร์และผลกระทบจากวัคซีนเป็นเรื่องจริง
    https://www.facebook.com/share/p/1AWjPmw9au/
    https://www.facebook.com/share/p/1R4NRZPhNX/
    คันคะเยอ ผื่นแพ้ภูมิผิวหนัง
    https://www.facebook.com/share/p/1PtysoRRCQ/
    วัคซีนกลับไม่ช่วยป้องกันการเกิดลองโควิด
    https://www.facebook.com/share/p/16Pxyhsk6w/
    ยิ่งฉีดมาก กลับอ่อนแอ US หยุดฉีดในเด็กและคนท้องแล้ว
    https://www.facebook.com/share/p/19KtxTFc2A/
    สหรัฐประกาศ รายชื่อบุคคลที่กระทำความผิด-ปกปิดผลกระทบจากวัคซีน
    https://www.facebook.com/share/p/1BjxD8QX53/
    ผ่าตัดแม้นิดเดียวก็ตาม อาจมีผลกับสมองได้ ปรึกษาแพทย์ผ่าจำเป็นจริง
    https://www.facebook.com/share/p/1ALeGYsiWG/
    สธUSระงับสัญญากับโมเดอร์นา พัฒนาและจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดนก mRNA
    https://www.facebook.com/share/p/199qVDFk9r/
    ไวรัสโควิดที่ถูกสร้าง อำมหิตมาก
    https://www.facebook.com/share/p/1F134J9tB6/
    สอง บรรณาธิการ วารสาร ระดับโลกยอมรับว่า วารสาร มีความเชื่อมโยงกับอิทธิพลบริษัทยา
    https://www.facebook.com/share/p/19VLLpSqRt/
    อดีตที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลก เปิดโปงแผนการสมคบคิดวัคซีนโควิด
    https://www.facebook.com/share/p/16NehgwG32/
    รายงานในวารสารวัคซีน โควิดเข็มกระตุ้นไม่ได้ผล
    https://www.facebook.com/share/p/1PoXEGC8FR/
    3/4 ✅ ถึงเวลาเปิดโปง ✍️ถึงเวลาเปิดโปงรับรู้และต่อต้านระเบียบโลกใหม่ https://www.facebook.com/share/p/19GdFmcY73/ ✍️เราเชื่อองค์การอนามัยโลกได้เพียงใด? https://www.facebook.com/share/p/165qc2RJSg/ ✍️กฎหมายเสรีภาพทางการแพทย์และร่างกฎหมายแบน mRNA วัคซีน ในสหรัฐ https://www.facebook.com/share/p/16BCfkXpi1/ ✍️นพ.ธีระวัฒน์ ยกงานวิจัย ชี้ชัดวัคซีนโควิด ทำเส้นเลือดอุดตัน การเสียชีวิตเพิ่มขึ้นแปรตามการฉีดวัคซีน https://youtu.be/JFwdcP39MnM?si=7QPRmcaWOANYMJ87 ✍️รายการปากซอย 105 สัมภาษณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา วันที่ 22 เมษายน 2568 https://www.youtube.com/live/O62sTRIcOKE?si=TygTglExUaiNUein ✍️โรคออทิสติกระบาดหนัก ข้อมูลใหม่จาก CDC ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ และ HHS (เทียบเท่ากระทรวงสาธารณสุข ) https://www.facebook.com/share/p/15woR3q1gj/ ✍️กระบวนการหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็นไม่ใช่ใช้ความเชื่อ https://www.facebook.com/share/p/1JvXpQ5vPU/ ✍️วัคซีนไข้หวัดหมู 1976 ทำให้เกิดตายและพิการ ระงับ ชดเชย และรับผิดชอบ https://www.facebook.com/share/p/1HsCNDKyGk/ ✍️สมองเสื่อม จิตอารมณ์แปรปรวนเพิ่มขึ้น https://www.facebook.com/share/p/16fc4KX7x7/ ✍️โควิดความจริงที่ถูกเปิดเผย ตอนที่ 1 https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2756723 ตอนที่ 2 https://mgronline.com/daily/detail/9670000008184 ตอนที่ 3 https://mgronline.com/daily/detail/9670000010320 ตอนที่ 4 https://mgronline.com/daily/detail/9670000012549 ตอนที่ 5 https://mgronline.com/daily/detail/9670000014922 ตอนที่ 6 https://www.thairath.co.th/news/local/2765797 ✍️ สร้างเท็จเป็นจริง เปลี่ยนจริงเป็นเท็จ https://m.youtube.com/watch?si=XN7rAI1qEWlI-kr6&fbclid=IwAR1mynXiLAbnauASWUlJJWFbJ9YUkDlYd3MpVN975-j1XiXKT8m6LK2stvs_aem_AQH-ZkLmZSDYhXTbonKF3fZqbmCD50usAsDLiZk9cI9WNJJdVKVS7dUUuc-N1nedwd8&v=D6NboVSczKU&feature=youtu.be ✍️“หมอธีระวัฒน์” เผยความจริงปรากฏ โควิดหลุดจากแล็บเป็นเรื่องจริง ฝีมือหมอใหญ่สหรัฐฯ ผ่านองค์กร Eco Health Alliance https://mgronline.com/qol/detail/9670000042959 ✍️เราจะรอดพ้นจากการเป็นซอมบี้ได้อย่างไร ?!! / โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา https://youtu.be/RLWADSjPdC0?si=6oot2AiWzNbH7efq ✍️เปิดโปงเบื้องหลัง ธุรกิจไวรัสตัดต่อพันธุกรรม ทำไมคนไทยต้อง Save หมอธีระวัฒน์ เพื่อ Save ประชาชน จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 https://fb.watch/qpJFWeLSO0/? ✍️“หมอธีระวัฒน์” เผยความจริงต้นตอที่มาโควิด พร้อมแจงละเอียดยิบเหตุยุติวิจัยไวรัสค้างคาว https://news1live.com/detail/9670000005954 ✍️“หมอธีระวัฒน์” เผย 5 เหตุผล ลาออก หน.ศูนย์ฯโรคอุบัติใหม่ https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000037010 ✍️วัคซีน : ที่ปฏิบัติในปัจจุบันเป็นการฝ่าฝืนกฎข้อบังคับทางจริยธรรมทางการแพทย์ทั้งหมดหรือไม่? (ตอนที่ 1) https://mgronline.com/qol/detail/9670000036764 ✍️"หมอธีระวัฒน์-อ.ปานเทพ" เชิญร่วมเสวนา “อันตรายจากวัคซีนร้ายแรงกว่าที่คิด” ณ หอศิลป์กรุงเทพฯ 3 พ.ค.นี้ https://mgronline.com/qol/detail/9670000035647 ✍️เรื่องใหญ่! “หมอธีระวัฒน์” เผยนักวิจัย “โมเดอร์นา” ยอมรับเอง วัคซีน mRNA ยังต้องผ่านการปรับปรุงอีกหลายขั้นตอน https://mgronline.com/qol/detail/9670000035583 ✍️ไวรัสโควิด สร้างได้ในห้องทดลองและ มีจด สิทธิบัตร ตั้งแต่ปี 2018 https://mgronline.com/qol/detail/9670000025130 ✍️Save หมอธีระวัฒน์ ผู้เปิดโปงธุรกิจไวรัสตัดต่อพันธุกรรม https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000017172 https://youtu.be/ucQZu7LbZCM?si=YPMxtmhRnYQrnAnk ✍️จี้คณบดีแพทยศาสตร์ ศิริราช-จุฬาฯ เลิกติดต่อ “เฟาซี” และ EHA ที่ให้ทุนวิจัยสร้างไวรัสอันตราย https://mgronline.com/qol/detail/9670000016687 ✍️ชันสูตรศพผู้ตายจากวัคซีนโควิด 326 ราย https://mgronline.com/qol/detail/9670000019343 ✍️วัคซีนดีจริงหรือไม่ แบบไหนที่ไม่ดี https://youtu.be/woQke7CyAiU?si=FtY0p5TZCv4tOcBQ ✍️'ทำไมหรือมีอะไรดลใจให้ยังเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อ? /'หมอธีระวัฒน์ https://www.thairath.co.th/lifestyle/2825945? ✍️“หมอธีระวัฒน์” เปิดรายงานสภาผู้แทน สหรัฐฯ ชี้รัฐบาลเร่งรีบอนุมัติวัคซีนโควิด ไม่สนคำเตือนอันตราย ปกปิด-บิดเบือนข้อมูล https://mgronline.com/qol/detail/9670000116430 ✍️“หมอธีระวัฒน์” เผยวุฒิสภาสหรัฐฯ เรียกสอบ-ระงับโครงการสร้างไวรัสใหม่ทั้งหมด หลังได้ข้อสรุปโควิดหลุดจากห้องวิจัย https://mgronline.com/qol/detail/9680000011076 ✍️ทำไมถึงต้องตาสว่างในการสงบโรคระบาด ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.facebook.com/share/p/26txVFqWEAtpzaA8/ ✍️“หมอธีระวัฒน์” เผยชาวแคนาดารวมกลุ่มฟ้องรัฐบาลแล้ว หลังวัคซีนส่งผลกระทบรุนแรง 3 ใน 1 หมื่นราย https://mgronline.com/qol/detail/9670000080993 ✍️“หมอธีระวัฒน์” ชี้วัคซีนเยอะเกิน จะเร่งให้ฉีดถามกันก่อนดีไหม? https://mgronline.com/qol/detail/9670000081470 ✍️“หมอธีระวัฒน์” เผยผลศึกษา วัคซีนไม่ช่วยป้องกันการเกิดลองโควิด https://mgronline.com/qol/detail/9670000082608 ✍️“หมอธีระวัฒน์” อธิบายสาเหตุ วัคซีนโควิด ยิ่งฉีดมากยิ่งอ่อนแอ https://mgronline.com/qol/detail/9670000094384 ✍️“หมอธีระวัฒน์”งง วัคซีนโควิดฉีดเยอะตายเยอะแต่ก็ยังรณรงค์ให้ฉีด https://mgronline.com/qol/detail/9670000097895 ✍️ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า? |ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา https://mgronline.com/qol/detail/9670000100995 ✍️ยิ่งฉีดมาก ยิ่งอ่อนแอ โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2822097 ✍️ปิดไม่มิด กำเนิดไวรัสโควิด l ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2823376#google_vignette ✍️อย่าเงียบ!กดดันไฟเซอร์-โมเดอร์นาถอนใบอนุญาตวัคซีนโควิด อ้างพบตายมากกว่าแอสตร้าฯ3เท่า https://mgronline.com/around/detail/9670000040887 ✍️“หมอธีระวัฒน์” ตั้งคำถามหลังแอสตร้าฯ หยุดขาย แล้ววัคซีนชนิดอื่นทำไมทางการไทยยังปกป้อง แฉไฟเซอร์ต้องยอมความ 1 หมื่นคดี https://mgronline.com/qol/detail/9670000040486 ✍️“หมอธีระวัฒน์” ถามแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ รับเงิน 2 พันล้านก๊อปปี้วัคซีนโควิดไฟเซอร์ ได้ผลสำเร็จอย่างไร https://mgronline.com/qol/detail/9670000040290 ✍️“ปานเทพ” ชี้แอสตร้าฯ ถอนใบอนุญาตการตลาดวัคซีนทั่วโลกหลังยอมรับก่อผลข้างเคียง แต่องค์กรรัฐไทยเงียบกริบ สะท้อนสำนึกความปลอดภัยที่ตกต่ำ https://mgronline.com/qol/detail/9670000040078 ✍️“ฉีดแล้ว แถมอะไรบ้าง?” ฟังเวอร์ชั่นมึผู้ดัดแปลง แรพเตอร์ประยุกต์ https://fb.watch/rY3hwhondy/? https://fb.watch/rY3jv7hMym/? ✍️เปิดวิธีป้องกัน ความอันตราย จากพิษของวัคซีน / ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา สัมภาษณ์โดย ปากซอย 105 รู้ก่อนใคร ลึกจากข่าววงใน https://youtu.be/44uwz3X0Gh4?si=_qNy29hSXEYptH4g ✍️“หมอธีระวัฒน์” เผยเคสคนป่วยจากแอสตร้า-ไฟเซอร์ ชี้ทั้งวัคซีนเชื้อเป็นและ mRNA ส่งผลกระทบระยะสั้นถึงยาว ต่อสมอง-กล้ามเนื้อ https://mgronline.com/qol/detail/9670000037733 ✍️ช็อค!!! คำสารภาพของไฟเซอร์ รีบชมและแชร์ก่อนโดนลบ https://fb.watch/s0bmq6HW8P/? ✍️ “หมอธีระวัฒน์-อ.ปานเทพ“ แจงละเอียดยิบ “แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด” (White Clot) และโปรตีนหนามทั่วร่างกายไปไกลถึงลูกอัณฑะ / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ https://www.facebook.com/100044511276276/posts/945435006950200/? https://mgronline.com/qol/detail/9670000025152 ✍️ ไวรัสโควิด สร้างได้ในห้องทดลองและ มีจด สิทธิบัตร ตั้งแต่ปี 2018 https://mgronline.com/qol/detail/9670000025130 ✍️ เงินสำคัญกว่าชีวิต! ผู้เชี่ยวชาญเชื่อ US บิดเบือนวัคซีน 'โควิด' จีน มีเป้าหมายเพื่อสกัดคู่แข่ง https://mgronline.com/around/detail/9670000051671 ✍️ วัคซีนเทพระส่ำ! รัฐแคนซัสลุยฟ้องเอาผิด 'ไฟเซอร์' กล่าวหาปกปิดความเสี่ยง-โป้ปดประสิทธิภาพ https://mgronline.com/around/detail/9670000052000 ✍️ ความจริงปรากฏ! รอยเตอร์แฉเอง US ใช้ยุทธการบิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสีวัคซีนโควิดของจีน https://mgronline.com/around/detail/9670000051466 ✍️ “หมอธีระวัฒน์” เผยผลชันสูตรคนตาย วัคซีนโควิดอาจเป็นสาเหตุเชื้ออสุจิไม่วิ่ง https://mgronline.com/qol/detail/9670000051903 ✍️ สะเทือนแน่! ศาลสหรัฐฯ ตัดสิน วัคซีนโควิด mRNA ไม่ใช่วัคซีนตามความหมายเดิม https://mgronline.com/qol/detail/9670000051429 ✍️ เรื่องใหญ่! 'หมอธีระวัฒน์'แฉนักวิทยาศาสตร์ของ 'โมเดนา' ยอมรับ วัคซีน mRNR มีอันตรายต้องปรับปรุง https://www.thaipost.net/x-cite-news/574701/ ✍️ ตัวเร่งอัลไซเมอร์ ปัจจัยสมองเสื่อม https://www.thairath.co.th/news/local/2780279?fbclid=IwZXh0bgNhZW0BMQABHasG0naYhGMWkauoJynJJogiy5_NDCd315hbeWbq9VKsujvb0QlhIDaYXw_aem_AVdXSF5wlAW6xu0DqygB78_9MAXrrrSl80nxmlnJULaXM7V7p4XE8sSaW8nA80wGr9U ✍️ “หมอธีระวัฒน์” แฉวัคซีนไฟเซอร์โดนฟ้องแหลกในสหรัฐฯ แต่ในไทยยังประชาสัมพันธ์ให้ฉีด https://mgronline.com/qol/detail/9670000052545 ✍️ประเมินเสี่ยงตายกระทันหัน จากวัคซีนและโควิด-การถอนพิษ https://www.facebook.com/share/p/1XfdT5fmVV/ ✍️ไขสันหลังสมอง เสียหายได้จากการขาดวิตามินบี 12 จากสาเหตุต่างๆ https://www.facebook.com/share/p/19RqJpHHio/ ✍️จากวัคซีน mRNA ไปจนself amplifying mRNA จำลองตัวเองขึ้นมหาศาล https://www.facebook.com/share/p/1A15KRLAw7/ ✍️ยาฆ่าพยาธิ: สามรัฐ ผ่านกฎหมายจำหน่ายได้แล้ว เป็น OTC over the counter อีก14 รัฐ กำลังดำเนินการ https://www.facebook.com/share/p/1aDD7J1Fjp/ ✍️แถลงจากสหรัฐชัดเจน การปกปิด ปิดบัง ความจริง โควิดมาจากแลป และปิดบังอันตรายจากวัคซีน ป้ายสีให้เป็น ข้อมูล ปลอม misinformation https://www.facebook.com/share/p/15QPp6LjwB/ ✍️เรื่องของ ซิฟิลิสกับสมองที่บางครั้งอาจนึกไม่ถึง https://www.facebook.com/share/v/1APFA6WeHR/ ✍️การตายกะทันหันใน US พบสูงขึ้นต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน https://www.facebook.com/share/p/19Dpf6H4kR/ ✍️โรคไขสันหลังอักเสบเฉียบพลันและวัคซีนโควิดในทั้งประเทศเกาหลี https://www.facebook.com/share/p/1AP5bbBHke/ ✍️ไวรัสโควิด มีการออกแบบลำดับจำเพาะของโปรตีนสไปค์เกิดอักเสบลิ่มเลือดและผิดปกติในสมอง https://www.facebook.com/share/p/1J3RRzT1Jo/ ✍️โควิดปัจจุบัน พฤษภาคม 2568 https://www.facebook.com/share/p/16LBZmU7DD/ https://youtu.be/I291FyeThnA?si=OVOwTGUDwYcw6nPX ✍️ออกกำลังแบบลุยสุดสัปดาห์หรือสม่ำเสมอไปเรื่อย ๆ https://www.facebook.com/share/p/1Cf9auHyFc/ ✍️กินเร็วตั้งแต่เช้า…ตายช้าหรือไม่? https://www.facebook.com/share/p/1FZ9bQPHXU/ ✍️งีบนาน งีบบ่อยกลางวันทำไมเกี่ยวกับ..เสี่ยงสมองเสื่อม https://t.me/DrThiravatFc/231 https://www.facebook.com/share/p/163a3HxwSG/ ✍️อัลไซเมอร์ อารมณ์เหวี่ยงวุ่นวายและยาควบคุม (ตอนที่ 1) https://t.me/DrThiravatFc/229 https://www.facebook.com/share/p/1ApQKkcwUN/ https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2863073 ✍️วิตามินรวม สมอง เสมือนดูดีแต่ไม่ชะลอจริง https://t.me/DrThiravatFc/226 https://www.facebook.com/share/p/1AXxLBe13Z/ ✍️หัวใจอักเสบคุกรุ่น “แม้ไม่มีอาการ”หลังฉีด” https://t.me/DrThiravatFc/225 https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2819643 https://www.facebook.com/share/p/1EQQSbvnQz/ ✍️ปรากฏการณ์มนุษย์กลายเป็นปีศาจ https://t.me/DrThiravatFc/218 https://www.facebook.com/share/p/1V4uFyCFRD/ ✍️การออกกำลัง: กลไกป้องกัน ชะลออัลไซเมอร์ https://t.me/DrThiravatFc/216 https://www.facebook.com/share/p/16hJ3sRJ2C/ ✍️ทำไมหรือมีอะไรดลใจ ให้ยังเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อ? https://t.me/DrThiravatFc/215 https://www.thairath.co.th/lifestyle/2825945 ✍️ไวรัสโควิดถูกสร้างขึ้นและแท้จริงถูกวางแผนปล่อยทางอากาศให้แพร่ติดต่อกันเองได้ https://t.me/DrThiravatFc/211 ✍️21/5/2025 รัฐสภาสหรัฐแถลงเจ้าหน้าที่รัฐละเลยในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของวัคซีน ในเรื่องที่เกี่ยวกับหัวใจอักเสบและ เรื่องอื่นๆ https://t.me/DrThiravatFc/238 https://www.facebook.com/share/p/12KDvWVRgwY/ ✍️‘หมอธีระวัฒน์’ แฉเบื้องลึก ‘โควิด-19’ หลุดจากห้องทดลอง-สหรัฐให้ทุนวิจัย https://youtu.be/TbF0Kx_lorQ?si=QxvsZsEN2DeNJ-YE ✍️วูบ ตาย กระทันหัน ความเสี่ยง-อาชีพความเสี่ยงและวิธีบรรเทา https://www.facebook.com/share/p/1HXmR5pntB/ ✍️เด็กและคนท้องUSประกาศไม่่ต้องฉีดโควิด https://www.facebook.com/share/p/16JFcQPZM3/ ✍️US วางมาตรฐานวัคซีนใหม่ https://www.facebook.com/share/p/15bd2QFJJV/ ✍️90,534 รายในUS แจ้งผลกระทบจากวัคซีนโควิด https://www.facebook.com/share/p/1JFe54NpNG/ ✍️คำแถลงของทำเนียบขาว เรื่องรั่วจากแล็บการเซ็นเซอร์และผลกระทบจากวัคซีนเป็นเรื่องจริง https://www.facebook.com/share/p/1AWjPmw9au/ https://www.facebook.com/share/p/1R4NRZPhNX/ ✍️คันคะเยอ ผื่นแพ้ภูมิผิวหนัง https://www.facebook.com/share/p/1PtysoRRCQ/ ✍️วัคซีนกลับไม่ช่วยป้องกันการเกิดลองโควิด https://www.facebook.com/share/p/16Pxyhsk6w/ ✍️ยิ่งฉีดมาก กลับอ่อนแอ US หยุดฉีดในเด็กและคนท้องแล้ว https://www.facebook.com/share/p/19KtxTFc2A/ ✍️สหรัฐประกาศ รายชื่อบุคคลที่กระทำความผิด-ปกปิดผลกระทบจากวัคซีน https://www.facebook.com/share/p/1BjxD8QX53/ ✍️ผ่าตัดแม้นิดเดียวก็ตาม อาจมีผลกับสมองได้ ปรึกษาแพทย์ผ่าจำเป็นจริง https://www.facebook.com/share/p/1ALeGYsiWG/ ✍️สธUSระงับสัญญากับโมเดอร์นา พัฒนาและจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดนก mRNA https://www.facebook.com/share/p/199qVDFk9r/ ✍️ไวรัสโควิดที่ถูกสร้าง อำมหิตมาก https://www.facebook.com/share/p/1F134J9tB6/ ✍️สอง บรรณาธิการ วารสาร ระดับโลกยอมรับว่า วารสาร มีความเชื่อมโยงกับอิทธิพลบริษัทยา https://www.facebook.com/share/p/19VLLpSqRt/ ✍️อดีตที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลก เปิดโปงแผนการสมคบคิดวัคซีนโควิด https://www.facebook.com/share/p/16NehgwG32/ ✍️รายงานในวารสารวัคซีน โควิดเข็มกระตุ้นไม่ได้ผล https://www.facebook.com/share/p/1PoXEGC8FR/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 913 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts