• 23andMe บริษัทตรวจ DNA ยื่นล้มละลายและเตรียมขายธุรกิจหลังเผชิญปัญหาการเจาะข้อมูลครั้งใหญ่ ผู้ใช้กว่า 5.5 ล้านคนได้รับผลกระทบจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ขณะที่ตลาดตรวจ DNA ก็มีแนวโน้มลดลง CEO Anne Wojcicki ประกาศลาออกจากตำแหน่ง สถานการณ์นี้สะท้อนถึงผลกระทบจากความปลอดภัยข้อมูลและความท้าทายของธุรกิจเทคโนโลยีที่ขาดการต่อยอด

    ความเสียหายที่เกิดจากการเจาะข้อมูล:
    - นอกจากข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ผ่านฟีเจอร์ DNA Relatives ยังมีข้อมูลสายตระกูลของผู้ใช้งานอีก 1.4 ล้านคน ที่ถูกแฮ็ก การโจมตีครั้งนี้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อความปลอดภัยและชื่อเสียงของบริษัท.

    การลดลงของตลาดตรวจ DNA:
    - ผู้บริโภคมองว่าโมเดลธุรกิจของการตรวจ DNA แบบ "ใช้ครั้งเดียว" ไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานซ้ำ จึงทำให้ความสนใจในบริการนี้ลดลงเรื่อย ๆ.

    ความพยายามในการฟื้นฟูบริษัทที่ล้มเหลว:
    - 23andMe เคยพยายามปรับโครงสร้างธุรกิจผ่านการลดพนักงานลงถึง 40% เพื่อลดค่าใช้จ่ายรายปีกว่า $35 ล้าน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้.

    การลดมูลค่าหุ้นอย่างมาก:
    - มูลค่าหุ้นที่เคยสูงสุดถึง $320 ลดลงจนเหลือเพียง $0.92 ซึ่งเป็นสัญญาณถึงปัญหาทางการเงินที่ลุกลามและไม่สามารถแก้ไขได้.

    https://www.techspot.com/news/107268-dna-testing-firm-23andme-files-bankruptcy-ceo-anne.html
    23andMe บริษัทตรวจ DNA ยื่นล้มละลายและเตรียมขายธุรกิจหลังเผชิญปัญหาการเจาะข้อมูลครั้งใหญ่ ผู้ใช้กว่า 5.5 ล้านคนได้รับผลกระทบจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ขณะที่ตลาดตรวจ DNA ก็มีแนวโน้มลดลง CEO Anne Wojcicki ประกาศลาออกจากตำแหน่ง สถานการณ์นี้สะท้อนถึงผลกระทบจากความปลอดภัยข้อมูลและความท้าทายของธุรกิจเทคโนโลยีที่ขาดการต่อยอด ความเสียหายที่เกิดจากการเจาะข้อมูล: - นอกจากข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ผ่านฟีเจอร์ DNA Relatives ยังมีข้อมูลสายตระกูลของผู้ใช้งานอีก 1.4 ล้านคน ที่ถูกแฮ็ก การโจมตีครั้งนี้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อความปลอดภัยและชื่อเสียงของบริษัท. การลดลงของตลาดตรวจ DNA: - ผู้บริโภคมองว่าโมเดลธุรกิจของการตรวจ DNA แบบ "ใช้ครั้งเดียว" ไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานซ้ำ จึงทำให้ความสนใจในบริการนี้ลดลงเรื่อย ๆ. ความพยายามในการฟื้นฟูบริษัทที่ล้มเหลว: - 23andMe เคยพยายามปรับโครงสร้างธุรกิจผ่านการลดพนักงานลงถึง 40% เพื่อลดค่าใช้จ่ายรายปีกว่า $35 ล้าน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้. การลดมูลค่าหุ้นอย่างมาก: - มูลค่าหุ้นที่เคยสูงสุดถึง $320 ลดลงจนเหลือเพียง $0.92 ซึ่งเป็นสัญญาณถึงปัญหาทางการเงินที่ลุกลามและไม่สามารถแก้ไขได้. https://www.techspot.com/news/107268-dna-testing-firm-23andme-files-bankruptcy-ceo-anne.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    DNA testing firm 23andMe files for bankruptcy, CEO Anne Wojcicki resigns
    23andMe was founded in 2006 as a direct-to-consumer genetics testing specialist and became a publicly traded company in June 2021, trading under the ticker symbol "ME." At...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • SoftBank ได้เข้าซื้อ Ampere Computing ซึ่งเป็นผู้พัฒนาซีพียูสำหรับศูนย์ข้อมูลด้วยดีลมูลค่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ ธุรกิจนี้จะช่วยเสริมสร้างแผนการลงทุนด้าน AI ของ SoftBank ในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ Ampere ยังเตรียมเปิดตัวซีพียู 256 คอร์ ที่ใช้เทคโนโลยี 3 นาโนเมตรภายในปีนี้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมได้อย่างมหาศาล

    ศักยภาพใหม่ของ Ampere ภายใต้ SoftBank:
    - Ampere จะมีบทบาทสำคัญในแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ SoftBank ที่ชื่อ Stargate ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายศูนย์ข้อมูลสำหรับ AI ในระดับใหญ่

    ประวัติของ Ampere และความท้าทายที่ผ่านมา:
    - แม้ Ampere จะเป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนาชิปที่ออกแบบมาสำหรับบริการคลาวด์ แต่การแข่งขันที่รุนแรงกับซีพียู x86 จาก Intel และการเข้าสู่ตลาดของ Arm เอง ทำให้การขยายส่วนแบ่งตลาดของ Ampere เป็นเรื่องยากในอดีต

    ความสำคัญของการสนับสนุนจาก SoftBank:
    - SoftBank วางแผนใช้ Ampere CPUs สำหรับศูนย์ข้อมูลของตัวเอง รวมถึงพันธมิตรอย่าง Oracle และ OpenAI ซึ่งหากสำเร็จ อาจทำให้ Ampere กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในวงการซีพียูสำหรับศูนย์ข้อมูล

    มุมมองจากผู้บริหาร:
    - Masayoshi Son, CEO ของ SoftBank, ระบุว่า "อนาคตของปัญญาประดิษฐ์ต้องการกำลังการประมวลผลที่ล้ำหน้า ซึ่งความเชี่ยวชาญของ Ampere ในด้านเซมิคอนดักเตอร์จะช่วยเร่งวิสัยทัศน์นี้ให้กลายเป็นจริง"

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/softbank-to-acquire-arm-cpus-for-datacenter-firm-ampere-in-usd6-5-billion-cash-deal
    SoftBank ได้เข้าซื้อ Ampere Computing ซึ่งเป็นผู้พัฒนาซีพียูสำหรับศูนย์ข้อมูลด้วยดีลมูลค่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ ธุรกิจนี้จะช่วยเสริมสร้างแผนการลงทุนด้าน AI ของ SoftBank ในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ Ampere ยังเตรียมเปิดตัวซีพียู 256 คอร์ ที่ใช้เทคโนโลยี 3 นาโนเมตรภายในปีนี้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมได้อย่างมหาศาล ศักยภาพใหม่ของ Ampere ภายใต้ SoftBank: - Ampere จะมีบทบาทสำคัญในแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ SoftBank ที่ชื่อ Stargate ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายศูนย์ข้อมูลสำหรับ AI ในระดับใหญ่ ประวัติของ Ampere และความท้าทายที่ผ่านมา: - แม้ Ampere จะเป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนาชิปที่ออกแบบมาสำหรับบริการคลาวด์ แต่การแข่งขันที่รุนแรงกับซีพียู x86 จาก Intel และการเข้าสู่ตลาดของ Arm เอง ทำให้การขยายส่วนแบ่งตลาดของ Ampere เป็นเรื่องยากในอดีต ความสำคัญของการสนับสนุนจาก SoftBank: - SoftBank วางแผนใช้ Ampere CPUs สำหรับศูนย์ข้อมูลของตัวเอง รวมถึงพันธมิตรอย่าง Oracle และ OpenAI ซึ่งหากสำเร็จ อาจทำให้ Ampere กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในวงการซีพียูสำหรับศูนย์ข้อมูล มุมมองจากผู้บริหาร: - Masayoshi Son, CEO ของ SoftBank, ระบุว่า "อนาคตของปัญญาประดิษฐ์ต้องการกำลังการประมวลผลที่ล้ำหน้า ซึ่งความเชี่ยวชาญของ Ampere ในด้านเซมิคอนดักเตอร์จะช่วยเร่งวิสัยทัศน์นี้ให้กลายเป็นจริง" https://www.tomshardware.com/tech-industry/softbank-to-acquire-arm-cpus-for-datacenter-firm-ampere-in-usd6-5-billion-cash-deal
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    SoftBank to acquire Arm CPUs for datacenter firm Ampere in $6.5 billion cash deal
    Ampere's roadmap includes the launch of 3nm processors with 256-cores later this year.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานข่าวจากเพจBrandThink ระบุว่าซัมซุง บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์เกาหลีใต้แถลงข่าวเศร้าในเช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2025 ว่า Han Jong-Hee ผู้เป็น CEO คนหนึ่งของบริษัทได้เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Cardiac Arrest)ทั้งนี้ ทางด้านการบริหารของซัมซุงเองก็คงไม่สะดุดอะไรเพราะบริษัทนี้มี CEO สองคนมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 และ Jun Young-Hyun ผู้เป็น CEO อีกคนในฝั่งธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ก็คงจะรับหน้าที่ CEO หลักต่อ ส่วนปีกธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกที่ Han Jong-Hee ผู้ล่วงลับเป็น CEO ทางซัมซุมก็ยังไม่แถลงการว่าใครจะมารับช่วงต่อที่มา:CNN. Samsung co-CEO Han Jong-Hee dies at 63. https://shorter.me/7Hfg3
    รายงานข่าวจากเพจBrandThink ระบุว่าซัมซุง บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์เกาหลีใต้แถลงข่าวเศร้าในเช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2025 ว่า Han Jong-Hee ผู้เป็น CEO คนหนึ่งของบริษัทได้เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Cardiac Arrest)ทั้งนี้ ทางด้านการบริหารของซัมซุงเองก็คงไม่สะดุดอะไรเพราะบริษัทนี้มี CEO สองคนมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 และ Jun Young-Hyun ผู้เป็น CEO อีกคนในฝั่งธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ก็คงจะรับหน้าที่ CEO หลักต่อ ส่วนปีกธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกที่ Han Jong-Hee ผู้ล่วงลับเป็น CEO ทางซัมซุมก็ยังไม่แถลงการว่าใครจะมารับช่วงต่อที่มา:CNN. Samsung co-CEO Han Jong-Hee dies at 63. https://shorter.me/7Hfg3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ripple Labs ได้รับข่าวดีเมื่อ SEC ตัดสินใจยุติอุทธรณ์คดีที่เกี่ยวกับสถานะของ XRP หลังจากคดีนี้ดำเนินมายาวนาน คำตัดสินที่เคยออกมาก่อนหน้าในปี 2023 ระบุว่า XRP ที่ซื้อขายในตลาดสาธารณะไม่ใช่หลักทรัพย์ แต่ Ripple ยังต้องแก้ไขข้อกฎหมายสำหรับการขายที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนสถาบัน. การเปลี่ยนแปลงท่าทีของ SEC ภายใต้การบริหารของ Trump ดูเหมือนจะช่วยเสริมความมั่นใจในอุตสาหกรรมคริปโตได้ไม่น้อย แต่ Ripple ก็ยังต้องจัดการกับคดีอื่น ๆ ที่รออยู่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/ripple-ceo-says-us-sec-will-drop-appeal-against-crypto-firm
    Ripple Labs ได้รับข่าวดีเมื่อ SEC ตัดสินใจยุติอุทธรณ์คดีที่เกี่ยวกับสถานะของ XRP หลังจากคดีนี้ดำเนินมายาวนาน คำตัดสินที่เคยออกมาก่อนหน้าในปี 2023 ระบุว่า XRP ที่ซื้อขายในตลาดสาธารณะไม่ใช่หลักทรัพย์ แต่ Ripple ยังต้องแก้ไขข้อกฎหมายสำหรับการขายที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนสถาบัน. การเปลี่ยนแปลงท่าทีของ SEC ภายใต้การบริหารของ Trump ดูเหมือนจะช่วยเสริมความมั่นใจในอุตสาหกรรมคริปโตได้ไม่น้อย แต่ Ripple ก็ยังต้องจัดการกับคดีอื่น ๆ ที่รออยู่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/ripple-ceo-says-us-sec-will-drop-appeal-against-crypto-firm
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Ripple Labs says US SEC ends appeal over crypto oversight
    NEW YORK (Reuters) -Ripple Labs said on Wednesday the U.S. Securities and Exchange Commission ended its appeal from a court ruling that the regulator's prior chief had said would make it harder to oversee cryptocurrency markets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Samsung ตอนนี้เจอปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดชิป AI และเซมิคอนดักเตอร์ที่คู่แข่งกำลังนำหน้าไปไกล Jay Y. Lee ประธานของบริษัทถึงกับออกมาเตือนผู้บริหารว่า นี่คือสถานการณ์ 'เป็นตาย' และเรียกร้องให้มีการลงทุนระยะยาว แม้ว่าจะต้องยอมลดกำไรระยะสั้น. การประชุมผู้ถือหุ้นที่จะถึงนี้จึงเป็นจุดสำคัญที่ต้องจับตามองว่าสิ่งที่ Lee เสนอนี้จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนได้มากแค่ไหน แต่นับว่าคำพูดของเขาก็มีผลแล้ว เพราะหุ้นของ Samsung เพิ่งกระโดดขึ้นกว่า 5%

    https://www.techspot.com/news/107174-samsung-ceo-warns-do-or-die-situation-urges.html
    "Samsung ตอนนี้เจอปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดชิป AI และเซมิคอนดักเตอร์ที่คู่แข่งกำลังนำหน้าไปไกล Jay Y. Lee ประธานของบริษัทถึงกับออกมาเตือนผู้บริหารว่า นี่คือสถานการณ์ 'เป็นตาย' และเรียกร้องให้มีการลงทุนระยะยาว แม้ว่าจะต้องยอมลดกำไรระยะสั้น. การประชุมผู้ถือหุ้นที่จะถึงนี้จึงเป็นจุดสำคัญที่ต้องจับตามองว่าสิ่งที่ Lee เสนอนี้จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนได้มากแค่ไหน แต่นับว่าคำพูดของเขาก็มีผลแล้ว เพราะหุ้นของ Samsung เพิ่งกระโดดขึ้นกว่า 5% https://www.techspot.com/news/107174-samsung-ceo-warns-do-or-die-situation-urges.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Samsung CEO warns of "do-or-die" situation, urges investment over short-term profits
    Lee's remarks were delivered via a prerecorded video at a recent internal seminar attended by approximately 2,000 executives from Samsung's various affiliates. The seminars are part of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองของ Arvind Krishna ซีอีโอของ IBM เกี่ยวกับบทบาทของ AI ในอนาคตของการเขียนโปรแกรม ซึ่งได้แบ่งปันความคิดเห็นในงาน SXSW ว่า AI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่นักพัฒนาโปรแกรมอย่างสมบูรณ์ในเร็ว ๆ นี้ แต่จะทำหน้าที่เป็น เครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ให้กับนักพัฒนาแทน

    ประเด็นที่สำคัญในคำกล่าวนี้มีดังนี้:
    1) Krishna คาดการณ์ว่า AI อาจเขียนโค้ดได้ราว 20-30% ซึ่งช่วยให้นักพัฒนามีเวลาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ มากขึ้น แต่ยังไม่สามารถจัดการงานซับซ้อนได้อย่างเต็มรูปแบบ
    2) การใช้ AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพ เช่น เขียนโค้ดได้มากขึ้นโดยใช้กำลังคนเท่าเดิม ซึ่งช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้
    3) Krishna มองว่า AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่งานมนุษย์ เหมือนในอดีตที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับเครื่องคิดเลขและ Photoshop ที่ไม่ได้ทำให้คณิตศาสตร์หรือศิลปะล้มหายไป

    ในขณะที่ผู้บริหารอย่าง Dario Amodei ซีอีโอของ Anthropic คาดการณ์ว่า AI จะสามารถเขียนโค้ดได้ถึง 90% ภายในเวลา 3-6 เดือน Krishna กลับมองว่าบทบาทของ AI จะยังคงเน้นที่การช่วยเหลือมากกว่าการแทนที่

    Krishna ยังกล่าวถึงความท้าทายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาในการฝึก AI และการใช้พลังงานที่มากในปัจจุบัน แต่เขามองว่าอนาคต AI จะมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง IBM กำลังผลักดันเทคโนโลยีควอนตัมให้เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีบทบาทสำคัญกว่า AI ในการสร้างความรู้ใหม่

    https://www.techspot.com/news/107142-ibm-ceo-ai-boost-programmers-not-replace-them.html
    ข่าวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองของ Arvind Krishna ซีอีโอของ IBM เกี่ยวกับบทบาทของ AI ในอนาคตของการเขียนโปรแกรม ซึ่งได้แบ่งปันความคิดเห็นในงาน SXSW ว่า AI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่นักพัฒนาโปรแกรมอย่างสมบูรณ์ในเร็ว ๆ นี้ แต่จะทำหน้าที่เป็น เครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ให้กับนักพัฒนาแทน ประเด็นที่สำคัญในคำกล่าวนี้มีดังนี้: 1) Krishna คาดการณ์ว่า AI อาจเขียนโค้ดได้ราว 20-30% ซึ่งช่วยให้นักพัฒนามีเวลาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ มากขึ้น แต่ยังไม่สามารถจัดการงานซับซ้อนได้อย่างเต็มรูปแบบ 2) การใช้ AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพ เช่น เขียนโค้ดได้มากขึ้นโดยใช้กำลังคนเท่าเดิม ซึ่งช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ 3) Krishna มองว่า AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่งานมนุษย์ เหมือนในอดีตที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับเครื่องคิดเลขและ Photoshop ที่ไม่ได้ทำให้คณิตศาสตร์หรือศิลปะล้มหายไป ในขณะที่ผู้บริหารอย่าง Dario Amodei ซีอีโอของ Anthropic คาดการณ์ว่า AI จะสามารถเขียนโค้ดได้ถึง 90% ภายในเวลา 3-6 เดือน Krishna กลับมองว่าบทบาทของ AI จะยังคงเน้นที่การช่วยเหลือมากกว่าการแทนที่ Krishna ยังกล่าวถึงความท้าทายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาในการฝึก AI และการใช้พลังงานที่มากในปัจจุบัน แต่เขามองว่าอนาคต AI จะมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง IBM กำลังผลักดันเทคโนโลยีควอนตัมให้เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าควอนตัมคอมพิวติ้งจะมีบทบาทสำคัญกว่า AI ในการสร้างความรู้ใหม่ https://www.techspot.com/news/107142-ibm-ceo-ai-boost-programmers-not-replace-them.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    IBM CEO says AI will boost programmers, not replace them
    Krishna estimates that AI could write 20 – 30 percent of code but emphasizes that its role in more complex tasks will remain minimal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงความสำเร็จล่าสุดของ Intel กับการพัฒนากระบวนการผลิตชิป 18A node ซึ่งถูกมองว่าเป็น "ความหวังใหม่" ของบริษัท หลังจากที่ต้องเผชิญความท้าทายจากคู่แข่งในตลาดที่ดุเดือด กระบวนการผลิตนี้เปิดตัวครั้งแรกในรูปแบบการทดลองที่โรงงานในรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์

    18A node ใช้เทคโนโลยี GAA-FET (Gate-All-Around Field-Effect Transistor) ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์และลดการใช้พลังงาน โดยการทดสอบแผ่นเวเฟอร์ได้เริ่มต้นและได้รับความสนใจจากลูกค้าหลักที่กำลังใช้กระบวนการนี้ในการพัฒนาชิปต้นแบบ

    ความสำคัญของการเปิดตัวในครั้งนี้อยู่ที่ว่า Intel ไม่เพียงแค่พัฒนาผลิตภัณฑ์ในบ้าน แต่ยังดำเนินกลยุทธ์แบบสองทาง โดยผสมผสานระหว่างการเป็นผู้ผลิตชิปให้บริษัทอื่น (foundry services) และการสร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเอง กลยุทธ์นี้ได้รับการผลักดันโดย CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งยังคงสานต่อวิสัยทัศน์ด้านการผลิตที่มุ่งเน้นการบูรณาการที่แข็งแกร่ง

    จุดเด่นที่น่าสนใจคือ โรงงานในรัฐแอริโซนาเป็นโรงงานที่รองรับเทคโนโลยี EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) และเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตปริมาณสูง (high-volume manufacturing) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ซึ่งอาจเริ่มเร็วกว่ากำหนดเดิม เหตุการณ์นี้ยังแสดงถึงความพร้อมของอุตสาหกรรมการผลิตชิปในสหรัฐฯ ซึ่งกลับมามีบทบาทสำคัญในตลาดโลก

    https://www.techpowerup.com/334063/initial-intel-18a-node-wafer-run-lands-in-arizona-site-high-volume-manufacturing-could-start-earlier-than-expected
    ข่าวนี้พูดถึงความสำเร็จล่าสุดของ Intel กับการพัฒนากระบวนการผลิตชิป 18A node ซึ่งถูกมองว่าเป็น "ความหวังใหม่" ของบริษัท หลังจากที่ต้องเผชิญความท้าทายจากคู่แข่งในตลาดที่ดุเดือด กระบวนการผลิตนี้เปิดตัวครั้งแรกในรูปแบบการทดลองที่โรงงานในรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ 18A node ใช้เทคโนโลยี GAA-FET (Gate-All-Around Field-Effect Transistor) ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์และลดการใช้พลังงาน โดยการทดสอบแผ่นเวเฟอร์ได้เริ่มต้นและได้รับความสนใจจากลูกค้าหลักที่กำลังใช้กระบวนการนี้ในการพัฒนาชิปต้นแบบ ความสำคัญของการเปิดตัวในครั้งนี้อยู่ที่ว่า Intel ไม่เพียงแค่พัฒนาผลิตภัณฑ์ในบ้าน แต่ยังดำเนินกลยุทธ์แบบสองทาง โดยผสมผสานระหว่างการเป็นผู้ผลิตชิปให้บริษัทอื่น (foundry services) และการสร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเอง กลยุทธ์นี้ได้รับการผลักดันโดย CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งยังคงสานต่อวิสัยทัศน์ด้านการผลิตที่มุ่งเน้นการบูรณาการที่แข็งแกร่ง จุดเด่นที่น่าสนใจคือ โรงงานในรัฐแอริโซนาเป็นโรงงานที่รองรับเทคโนโลยี EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) และเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตปริมาณสูง (high-volume manufacturing) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ซึ่งอาจเริ่มเร็วกว่ากำหนดเดิม เหตุการณ์นี้ยังแสดงถึงความพร้อมของอุตสาหกรรมการผลิตชิปในสหรัฐฯ ซึ่งกลับมามีบทบาทสำคัญในตลาดโลก https://www.techpowerup.com/334063/initial-intel-18a-node-wafer-run-lands-in-arizona-site-high-volume-manufacturing-could-start-earlier-than-expected
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Initial Intel 18A Node Wafer Run Lands in Arizona Site, High-Volume Manufacturing Could Start Earlier Than Expected
    Intel's 18A node, often referred to as Intel's silver lining, has just produced tangible result. In a LinkedIn post of Intel's engineering manager Pankaj Marria, we learn that Intel's 18A node is now being produced in initial wafer lots for testing and evaluation by Intel's customers. This means tha...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อสรุปเบื้องต้นจากการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภายุโรป เกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) และการเนรเทศผู้หลบหนีเข้าประเทศชาวอุยกูร์

    👉 EU ระบุว่า "มีประเทศที่สามพร้อมรับอุยกูร์" ไทยไม่ควรส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะความเสี่ยงจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากจีน
    👉 มีชาวอุยกูร์เสียชีวิต 5 ราย ระหว่างถูกคุมขังในไทย
    👉ม.112 ของไทย เป็นกฎหมายที่เคร่งครัดที่สุดในโลก และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
    👉 มีนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    ข้อสรุปเบื้องต้นที่ EU เรียกร้อง
    👉 ต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และกฎหมายที่มีปัญหาอื่นๆ เพื่อรับประกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมทางการเมือง
    👉 นิรโทษกรรม สส. และ นักกิจกรรมทั้งหมดที่ ที่โดนดำเนินคดีจากปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพอื่นๆ รวมถึงคดีจาก ม.112
    👉 รัฐสภายุโรป กำลังพิจารณาใช้กลไกทางการค้า (FTA) กดดันให้ไทยแก้กฎหมายที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะมาตรา 112 รวมทั้งการปล่อยนักโทษการเมือง

    https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/RC-10-2025-0174_EN.html
    ข้อสรุปเบื้องต้นจากการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภายุโรป เกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) และการเนรเทศผู้หลบหนีเข้าประเทศชาวอุยกูร์ 👉 EU ระบุว่า "มีประเทศที่สามพร้อมรับอุยกูร์" ไทยไม่ควรส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะความเสี่ยงจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากจีน 👉 มีชาวอุยกูร์เสียชีวิต 5 ราย ระหว่างถูกคุมขังในไทย 👉ม.112 ของไทย เป็นกฎหมายที่เคร่งครัดที่สุดในโลก และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ 👉 มีนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ข้อสรุปเบื้องต้นที่ EU เรียกร้อง 👉 ต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และกฎหมายที่มีปัญหาอื่นๆ เพื่อรับประกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมทางการเมือง 👉 นิรโทษกรรม สส. และ นักกิจกรรมทั้งหมดที่ ที่โดนดำเนินคดีจากปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพอื่นๆ รวมถึงคดีจาก ม.112 👉 รัฐสภายุโรป กำลังพิจารณาใช้กลไกทางการค้า (FTA) กดดันให้ไทยแก้กฎหมายที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะมาตรา 112 รวมทั้งการปล่อยนักโทษการเมือง https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/RC-10-2025-0174_EN.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel แต่งตั้ง Lip-Bu Tan ผู้เชี่ยวชาญที่เคารพนับถือในวงการเซมิคอนดักเตอร์ เป็น CEO คนใหม่ของ Intel โดยเขาจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 18 มีนาคม หลังจากที่บริษัทเผชิญกับช่วงเวลาท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์

    Intel เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตชิปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดจากคู่แข่ง เช่น AMD และการก้าวขึ้นมาของผู้เล่นในตลาดอย่าง Nvidia ทำให้เกิดแรงกดดันในการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน Lip-Bu Tan ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์สูงในอุตสาหกรรมนี้ ถูกมองว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้พลิกฟื้นสถานการณ์

    Lip-Bu Tan เคยเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ Intel และเป็นผู้ก่อตั้ง Walden International บริษัททุนที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ประสบการณ์และความเข้าใจของเขาทั้งในด้านการผลิตและการจัดการบริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เขาเป็นตัวเลือกสำคัญที่ Intel หวังว่าจะพาบริษัทออกจากช่วงเวลาที่ท้าทายได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/13/who-is-new-intel-ceo-lip-bu-tan
    Intel แต่งตั้ง Lip-Bu Tan ผู้เชี่ยวชาญที่เคารพนับถือในวงการเซมิคอนดักเตอร์ เป็น CEO คนใหม่ของ Intel โดยเขาจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 18 มีนาคม หลังจากที่บริษัทเผชิญกับช่วงเวลาท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ Intel เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตชิปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดจากคู่แข่ง เช่น AMD และการก้าวขึ้นมาของผู้เล่นในตลาดอย่าง Nvidia ทำให้เกิดแรงกดดันในการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน Lip-Bu Tan ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์สูงในอุตสาหกรรมนี้ ถูกมองว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้พลิกฟื้นสถานการณ์ Lip-Bu Tan เคยเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ Intel และเป็นผู้ก่อตั้ง Walden International บริษัททุนที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ประสบการณ์และความเข้าใจของเขาทั้งในด้านการผลิตและการจัดการบริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เขาเป็นตัวเลือกสำคัญที่ Intel หวังว่าจะพาบริษัทออกจากช่วงเวลาที่ท้าทายได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/13/who-is-new-intel-ceo-lip-bu-tan
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Who is new Intel CEO Lip-Bu Tan?
    (Reuters) - Intel tapped former board member Lip-Bu Tan as its CEO on Wednesday, as the struggling American chipmaking icon attempts to emerge from one of its bleakest periods.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เกี่ยวกับความขัดแย้งทางกฎหมายและความคิดเห็นระหว่าง Elon Musk ซีอีโอของ Tesla และ Sam Altman หัวหน้าของ OpenAI ซึ่งทั้งสองคนเคยร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 แต่ภายหลัง Musk ได้ออกจากองค์กรเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของบริษัท

    Musk ฟ้อง OpenAI โดยอ้างว่าบริษัทได้เบี่ยงเบนจากเป้าหมายเดิมที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ แต่ในปัจจุบัน OpenAI ได้เปลี่ยนไปสู่การเป็นหน่วยงานเพื่อผลกำไรที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้น Musk ยังกล่าวว่าเขาได้ลงทุนกว่า $44 ล้านใน OpenAI ด้วยความเชื่อว่าจะยังคงเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร

    ในทางกลับกัน OpenAI ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของ Musk โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรองรับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรม AI และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า Musk ต้องการควบคุมองค์กรหรือรวม OpenAI กับ Tesla เพื่อประโยชน์ส่วนตัว

    หากศาลตัดสินให้ Musk ชนะ มันอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ OpenAI รวมถึงพันธมิตรธุรกิจ เช่น Microsoft ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม หาก OpenAI ชนะคดี อาจมีการเรียกค่าเสียหายจาก Musk และการดำเนินธุรกิจของ OpenAI ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไร้ปัญหา

    เรื่องนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของการสร้างสมดุลระหว่างวิสัยทัศน์เพื่อส่วนรวมและการแข่งขันในตลาดธุรกิจ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/12/elon-musk039s-feud-with-openai-ceo-sam-altman-explained
    เรื่องนี้เกี่ยวกับความขัดแย้งทางกฎหมายและความคิดเห็นระหว่าง Elon Musk ซีอีโอของ Tesla และ Sam Altman หัวหน้าของ OpenAI ซึ่งทั้งสองคนเคยร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 แต่ภายหลัง Musk ได้ออกจากองค์กรเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของบริษัท Musk ฟ้อง OpenAI โดยอ้างว่าบริษัทได้เบี่ยงเบนจากเป้าหมายเดิมที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ แต่ในปัจจุบัน OpenAI ได้เปลี่ยนไปสู่การเป็นหน่วยงานเพื่อผลกำไรที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้น Musk ยังกล่าวว่าเขาได้ลงทุนกว่า $44 ล้านใน OpenAI ด้วยความเชื่อว่าจะยังคงเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ในทางกลับกัน OpenAI ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของ Musk โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรองรับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรม AI และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า Musk ต้องการควบคุมองค์กรหรือรวม OpenAI กับ Tesla เพื่อประโยชน์ส่วนตัว หากศาลตัดสินให้ Musk ชนะ มันอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ OpenAI รวมถึงพันธมิตรธุรกิจ เช่น Microsoft ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม หาก OpenAI ชนะคดี อาจมีการเรียกค่าเสียหายจาก Musk และการดำเนินธุรกิจของ OpenAI ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไร้ปัญหา เรื่องนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของการสร้างสมดุลระหว่างวิสัยทัศน์เพื่อส่วนรวมและการแข่งขันในตลาดธุรกิจ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/12/elon-musk039s-feud-with-openai-ceo-sam-altman-explained
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Elon Musk's feud with OpenAI CEO Sam Altman, explained
    A bitter rift between two Silicon Valley billionaires could shape the future of the fast-growing artificial intelligence industry.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจใหม่จาก PwC เผยให้เห็นว่าทั้งนักลงทุนและผู้บริหารทั่วโลกมีความหวังต่ออนาคตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตทางธุรกิจ

    จากการสำรวจ พบว่า 74% ของนักลงทุนมองว่า AI โดยเฉพาะ Generative AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร และ 61% ของ CEO ทั่วโลกยังเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตจากการนำ AI มาใช้งาน พวกเขายังมองว่า AI มีศักยภาพในด้านการขยายธุรกิจ การวัด ROI การสร้างมุมมองที่ดีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการเพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อพนักงาน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนนั้นต้องการเห็นการพัฒนาทักษะของพนักงานควบคู่ไปกับการนำ AI มาใช้ โดย 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการพัฒนาทักษะของบุคลากรสำคัญมากกว่าการติดตั้ง AI ในวงกว้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์ในยุคที่ AI ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    อย่างไรก็ตาม ความกังวลยังคงมีอยู่ เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ (39%) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (35%) และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (34%) แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นก็เป็นประเด็นสำคัญ

    ทิศทางนี้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงเน้นด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/business-investors-are-positive-about-ais-impact-on-the-economy
    ผลสำรวจใหม่จาก PwC เผยให้เห็นว่าทั้งนักลงทุนและผู้บริหารทั่วโลกมีความหวังต่ออนาคตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตทางธุรกิจ จากการสำรวจ พบว่า 74% ของนักลงทุนมองว่า AI โดยเฉพาะ Generative AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร และ 61% ของ CEO ทั่วโลกยังเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตจากการนำ AI มาใช้งาน พวกเขายังมองว่า AI มีศักยภาพในด้านการขยายธุรกิจ การวัด ROI การสร้างมุมมองที่ดีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการเพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อพนักงาน สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนนั้นต้องการเห็นการพัฒนาทักษะของพนักงานควบคู่ไปกับการนำ AI มาใช้ โดย 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการพัฒนาทักษะของบุคลากรสำคัญมากกว่าการติดตั้ง AI ในวงกว้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์ในยุคที่ AI ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความกังวลยังคงมีอยู่ เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ (39%) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (35%) และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (34%) แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและการร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นก็เป็นประเด็นสำคัญ ทิศทางนี้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงเน้นด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/business-investors-are-positive-about-ais-impact-on-the-economy
    WWW.TECHRADAR.COM
    Business investors are positive about AI’s impact on the economy
    Investors and CEOs anticipate economic growth, fuelled by AI
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลรัฐบาลกลางในซานฟรานซิสโกได้สั่งยกฟ้องคดีที่ยื่นฟ้องต่อ Intel โดยกลุ่มผู้ถือหุ้น ซึ่งกล่าวหาว่าบริษัทและผู้บริหารปกปิดปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นในแผนกผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2023 คดีนี้ถูกตัดสินว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดของบริษัท อย่างไรก็ตาม การยกฟ้องนี้เป็นการยกฟ้องแบบ ไม่ตัดสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่าผู้ฟ้องร้องสามารถกลับมายื่นคดีใหม่ได้ หากมีหลักฐานที่ชัดเจนและแข็งแกร่งมากขึ้น

    เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2023 เมื่อ Intel เปิดเผยว่าแผนกใหม่ที่ชื่อว่า Intel Foundry มีผลขาดทุนกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่บริษัทเปลี่ยนโครงสร้างการรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2024 ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยในเดือนเมษายน 2024 ซึ่งนำไปสู่การตกของหุ้น Intel และมูลค่าตลาดที่ลดลงถึง 32 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว

    นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นยังอ้างว่าคำกล่าวของ CEO และ CFO ในขณะนั้นเกี่ยวกับ "ความต้องการที่เติบโต" ของธุรกิจ Intel Foundry อาจเป็นการหลอกลวง อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นการสื่อถึงความสัมพันธ์กับลูกค้ารายบุคคลเท่านั้น และไม่ได้สื่อถึงสุขภาพทางการเงินของบริษัทในภาพรวม

    ผู้พิพากษาชี้ว่าการลดลงของราคาหุ้น Intel อันเป็นผลจากการประกาศเลิกจ้างและการระงับเงินปันผลในกลางปี 2024 ไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักฐานของการฉ้อโกง นอกจากนี้ Intel ยังเคยเปิดเผยแนวทางการลดต้นทุนและการปรับโครงสร้างอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว

    แม้ว่าศาลจะยกฟ้องคดีในครั้งนี้ Intel อาจต้องเตรียมพร้อมสำหรับการยื่นฟ้องรอบใหม่หากผู้ถือหุ้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่สนับสนุนข้อกล่าวหาได้สำเร็จ การต่อสู้ในศาลนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความโปร่งใสในธุรกิจใหญ่ที่มีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นจำนวนมาก

    สถานการณ์นี้ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ Intel อาจได้รับผลกระทบในระยะสั้น แต่ก็สะท้อนถึงความสำคัญของการสื่อสารและความโปร่งใสต่อผู้ถือหุ้นในธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลยังเปิดช่องทางให้ Intel และนักลงทุนมีโอกาสปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-shareholder-lawsuit-dismissed-complaints-stemmed-from-single-day-usd32b-devaluation-in-2024
    ศาลรัฐบาลกลางในซานฟรานซิสโกได้สั่งยกฟ้องคดีที่ยื่นฟ้องต่อ Intel โดยกลุ่มผู้ถือหุ้น ซึ่งกล่าวหาว่าบริษัทและผู้บริหารปกปิดปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นในแผนกผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2023 คดีนี้ถูกตัดสินว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดของบริษัท อย่างไรก็ตาม การยกฟ้องนี้เป็นการยกฟ้องแบบ ไม่ตัดสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่าผู้ฟ้องร้องสามารถกลับมายื่นคดีใหม่ได้ หากมีหลักฐานที่ชัดเจนและแข็งแกร่งมากขึ้น เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2023 เมื่อ Intel เปิดเผยว่าแผนกใหม่ที่ชื่อว่า Intel Foundry มีผลขาดทุนกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่บริษัทเปลี่ยนโครงสร้างการรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2024 ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยในเดือนเมษายน 2024 ซึ่งนำไปสู่การตกของหุ้น Intel และมูลค่าตลาดที่ลดลงถึง 32 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นยังอ้างว่าคำกล่าวของ CEO และ CFO ในขณะนั้นเกี่ยวกับ "ความต้องการที่เติบโต" ของธุรกิจ Intel Foundry อาจเป็นการหลอกลวง อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นการสื่อถึงความสัมพันธ์กับลูกค้ารายบุคคลเท่านั้น และไม่ได้สื่อถึงสุขภาพทางการเงินของบริษัทในภาพรวม ผู้พิพากษาชี้ว่าการลดลงของราคาหุ้น Intel อันเป็นผลจากการประกาศเลิกจ้างและการระงับเงินปันผลในกลางปี 2024 ไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักฐานของการฉ้อโกง นอกจากนี้ Intel ยังเคยเปิดเผยแนวทางการลดต้นทุนและการปรับโครงสร้างอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว แม้ว่าศาลจะยกฟ้องคดีในครั้งนี้ Intel อาจต้องเตรียมพร้อมสำหรับการยื่นฟ้องรอบใหม่หากผู้ถือหุ้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่สนับสนุนข้อกล่าวหาได้สำเร็จ การต่อสู้ในศาลนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความโปร่งใสในธุรกิจใหญ่ที่มีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นจำนวนมาก สถานการณ์นี้ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ Intel อาจได้รับผลกระทบในระยะสั้น แต่ก็สะท้อนถึงความสำคัญของการสื่อสารและความโปร่งใสต่อผู้ถือหุ้นในธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลยังเปิดช่องทางให้ Intel และนักลงทุนมีโอกาสปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-shareholder-lawsuit-dismissed-complaints-stemmed-from-single-day-usd32b-devaluation-in-2024
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • Western Digital บริษัทผู้ผลิตสื่อบันทึกข้อมูลที่เป็นที่รู้จักมายาวนาน ได้ตัดสินใจสำคัญที่จะยุติการมีส่วนร่วมในตลาด SSD โดยแยกกิจการที่เกี่ยวกับ NAND flash memory ออกไปให้กับ SanDisk ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวที่เริ่มตั้งแต่ปี 2023 และได้ถูกสรุปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้

    การปรับโครงสร้างนี้หมายความว่า Western Digital จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) โดยคาดว่าความต้องการใช้งาน HDD จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากข้อมูลจากแอปพลิเคชันคลาวด์, AI, และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ยังคงพึ่งพาสื่อบันทึกแบบนี้เป็นหลัก

    การพัฒนา SSD ในมือของ SanDisk ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการ NAND flash memory จะรับหน้าที่ผลิตและจำหน่าย SSD ต่อไป และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ความร่วมมือกับผู้ผลิตชั้นนำเช่น Kioxia หรือ Samsung เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการผลิต

    สำหรับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ SSD รุ่นยอดนิยมอย่าง WD Black SN850X นับเป็นช่วงเวลาแห่งความเสียดาย เพราะผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตจะไม่ใช้ชื่อ "WD" อีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับตัวในแง่ของการรับรู้แบรนด์

    CEO ของ Western Digital, Irving Tan, ชี้ว่าการพัฒนา HDD ในอนาคตจะเน้นไปที่เทคโนโลยีอย่าง HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) เพื่อตอบโจทย์การจัดเก็บข้อมูลในปริมาณมหาศาล เช่น AI data lakes และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning)

    นี่ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนโฟกัสของ Western Digital เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโดยรวม ที่การจัดการซัพพลายเชนและการตอบสนองความต้องการข้อมูลในยุคใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ การพึ่งพา HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/107039-western-digital-exits-ssd-market-shifts-focus-hard.html
    Western Digital บริษัทผู้ผลิตสื่อบันทึกข้อมูลที่เป็นที่รู้จักมายาวนาน ได้ตัดสินใจสำคัญที่จะยุติการมีส่วนร่วมในตลาด SSD โดยแยกกิจการที่เกี่ยวกับ NAND flash memory ออกไปให้กับ SanDisk ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวที่เริ่มตั้งแต่ปี 2023 และได้ถูกสรุปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ การปรับโครงสร้างนี้หมายความว่า Western Digital จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) โดยคาดว่าความต้องการใช้งาน HDD จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากข้อมูลจากแอปพลิเคชันคลาวด์, AI, และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ยังคงพึ่งพาสื่อบันทึกแบบนี้เป็นหลัก การพัฒนา SSD ในมือของ SanDisk ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการ NAND flash memory จะรับหน้าที่ผลิตและจำหน่าย SSD ต่อไป และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ความร่วมมือกับผู้ผลิตชั้นนำเช่น Kioxia หรือ Samsung เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการผลิต สำหรับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ SSD รุ่นยอดนิยมอย่าง WD Black SN850X นับเป็นช่วงเวลาแห่งความเสียดาย เพราะผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตจะไม่ใช้ชื่อ "WD" อีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับตัวในแง่ของการรับรู้แบรนด์ CEO ของ Western Digital, Irving Tan, ชี้ว่าการพัฒนา HDD ในอนาคตจะเน้นไปที่เทคโนโลยีอย่าง HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) เพื่อตอบโจทย์การจัดเก็บข้อมูลในปริมาณมหาศาล เช่น AI data lakes และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) นี่ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนโฟกัสของ Western Digital เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโดยรวม ที่การจัดการซัพพลายเชนและการตอบสนองความต้องการข้อมูลในยุคใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ การพึ่งพา HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในอนาคต https://www.techspot.com/news/107039-western-digital-exits-ssd-market-shifts-focus-hard.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Western Digital exits SSD market, shifts focus to hard drives as SanDisk takes over NAND operations
    This move, which had been in development for some time, was finalized last week. The SSD division has been fully spun off into SanDisk, leaving Western Digital...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • Broadcom บริษัทผลิตชิปชั้นนำ ได้สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนด้วยการประกาศคาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองที่แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 14.90 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าความคาดหวังในตลาดเดิมที่ประมาณ 14.76 พันล้านดอลลาร์ การเปิดตัวรายงานนี้ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของ Broadcom เพิ่มขึ้น 14% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการปรับลดลงถึง 6%

    ความต้องการชิป AI ของ Broadcom อยู่ในระดับที่ร้อนแรง โดยเฉพาะจากบริษัทคลาวด์คอมพิวติ้งขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่แทนโปรเซสเซอร์ราคาแพงจาก Nvidia เพื่อตอบสนองการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน AI CEO ของ Broadcom, Hock Tan เผยว่ารายได้จากชิป AI ในไตรมาสนี้คาดว่าจะสูงถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 77% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

    Broadcom ยังมีลูกค้าใหม่อีก 4 รายในกลุ่ม Hyperscale ที่กำลังร่วมพัฒนาชิป AI แบบกำหนดเอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบ ทั้งนี้ ความร่วมมือนี้ยังไม่รวมอยู่ในเป้าหมายรายได้ที่ประมาณ 60-90 พันล้านดอลลาร์ในปี 2027 ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานว่า OpenAI กำลังร่วมมือกับ Broadcom เพื่อออกแบบชิปที่กำหนดเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia

    Broadcom ยังอยู่ในกระบวนการประเมินกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของ Intel ซึ่งรู้จักกันในชื่อ 18A ด้วยการทดสอบเวเฟอร์ที่โรงงานของ Intel เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาชิปรุ่นถัดไป

    Broadcom กำลังแสดงศักยภาพในการแข่งขันในตลาดชิป AI ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาชิปแบบกำหนดเอง และความร่วมมือกับลูกค้าใหม่ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ Broadcom ยืนหยัดอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง แต่ยังช่วยสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/broadcom-forecasts-strong-second-quarter-on-upbeat-ai-chip-demand
    Broadcom บริษัทผลิตชิปชั้นนำ ได้สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนด้วยการประกาศคาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองที่แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 14.90 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าความคาดหวังในตลาดเดิมที่ประมาณ 14.76 พันล้านดอลลาร์ การเปิดตัวรายงานนี้ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของ Broadcom เพิ่มขึ้น 14% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการปรับลดลงถึง 6% ความต้องการชิป AI ของ Broadcom อยู่ในระดับที่ร้อนแรง โดยเฉพาะจากบริษัทคลาวด์คอมพิวติ้งขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่แทนโปรเซสเซอร์ราคาแพงจาก Nvidia เพื่อตอบสนองการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน AI CEO ของ Broadcom, Hock Tan เผยว่ารายได้จากชิป AI ในไตรมาสนี้คาดว่าจะสูงถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 77% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า Broadcom ยังมีลูกค้าใหม่อีก 4 รายในกลุ่ม Hyperscale ที่กำลังร่วมพัฒนาชิป AI แบบกำหนดเอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบ ทั้งนี้ ความร่วมมือนี้ยังไม่รวมอยู่ในเป้าหมายรายได้ที่ประมาณ 60-90 พันล้านดอลลาร์ในปี 2027 ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานว่า OpenAI กำลังร่วมมือกับ Broadcom เพื่อออกแบบชิปที่กำหนดเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia Broadcom ยังอยู่ในกระบวนการประเมินกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของ Intel ซึ่งรู้จักกันในชื่อ 18A ด้วยการทดสอบเวเฟอร์ที่โรงงานของ Intel เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาชิปรุ่นถัดไป Broadcom กำลังแสดงศักยภาพในการแข่งขันในตลาดชิป AI ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาชิปแบบกำหนดเอง และความร่วมมือกับลูกค้าใหม่ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ Broadcom ยืนหยัดอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง แต่ยังช่วยสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/broadcom-forecasts-strong-second-quarter-on-upbeat-ai-chip-demand
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Broadcom shares surge as solid forecast eases demand worries for AI chips
    (Reuters) -Broadcom CEO on Thursday assuaged investor worries about AI chip demand with a strong second-quarter forecast and hinted about new potential customers that could boost revenue in a highly competitive market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Logitech International เพิ่งประกาศแผนการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสามปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มงบประมาณการซื้อหุ้นคืนในปัจจุบันอีก 600 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันบริษัทก็ยืนยันว่าคาดหวังยอดขายในปี 2025 จะเติบโตในช่วง 5.4% ถึง 6.4% เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ 4.54 ถึง 4.57 พันล้านดอลลาร์

    ในขณะที่บริษัทก็ได้คาดการณ์ยอดขายในปี 2026 ไว้ที่ 4.53 ถึง 4.71 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีการเติบโตในช่วง 1% ถึง 3% ในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    Hanneke Faber, CEO ของ Logitech กล่าวว่า "เราเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มหลักของเรา และมีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการขยายตลาดและเข้าสู่กลุ่มใหม่ ๆ พร้อมกับใช้ AI เป็นตัวเพิ่มพลัง"

    Logitech ได้กลับมามียอดขายเติบโตอีกครั้งหลังจากช่วงที่ตลาดซบเซาหลังการบูมในช่วงโรคระบาด โดยเน้นการขายสินค้าในกลุ่มการศึกษาและสุขภาพเพื่อขยายฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในบ้าน นักเล่นเกม และธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น เมาส์คอมพิวเตอร์ที่มีปุ่มเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม AI อย่าง ChatGPT เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน

    Logitech มีเป้าหมายที่จะขายสินค้าของตนให้กับธุรกิจมากขึ้นในอนาคต โดยมีการประกาศแผนการเพิ่มยอดขายระยะยาวที่ 7% ถึง 10% ต่อปี และคาดว่าจะมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40% ขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวในการขายสินค้าในกลุ่มการศึกษาและสุขภาพเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/06/computer-parts-maker-logitech-targets-2-billion-share-buyback
    บริษัท Logitech International เพิ่งประกาศแผนการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสามปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มงบประมาณการซื้อหุ้นคืนในปัจจุบันอีก 600 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันบริษัทก็ยืนยันว่าคาดหวังยอดขายในปี 2025 จะเติบโตในช่วง 5.4% ถึง 6.4% เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ 4.54 ถึง 4.57 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่บริษัทก็ได้คาดการณ์ยอดขายในปี 2026 ไว้ที่ 4.53 ถึง 4.71 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีการเติบโตในช่วง 1% ถึง 3% ในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง Hanneke Faber, CEO ของ Logitech กล่าวว่า "เราเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มหลักของเรา และมีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการขยายตลาดและเข้าสู่กลุ่มใหม่ ๆ พร้อมกับใช้ AI เป็นตัวเพิ่มพลัง" Logitech ได้กลับมามียอดขายเติบโตอีกครั้งหลังจากช่วงที่ตลาดซบเซาหลังการบูมในช่วงโรคระบาด โดยเน้นการขายสินค้าในกลุ่มการศึกษาและสุขภาพเพื่อขยายฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในบ้าน นักเล่นเกม และธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น เมาส์คอมพิวเตอร์ที่มีปุ่มเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม AI อย่าง ChatGPT เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน Logitech มีเป้าหมายที่จะขายสินค้าของตนให้กับธุรกิจมากขึ้นในอนาคต โดยมีการประกาศแผนการเพิ่มยอดขายระยะยาวที่ 7% ถึง 10% ต่อปี และคาดว่าจะมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40% ขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวในการขายสินค้าในกลุ่มการศึกษาและสุขภาพเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/06/computer-parts-maker-logitech-targets-2-billion-share-buyback
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Logitech targets $2 billion share buyback, confirms 2025 outlook
    (Reuters) -Logitech International will buy back $2 billion worth of shares over the next three years, and will increase its current buyback program by $600 million, the computer parts maker said on Wednesday as it confirmed its 2025 outlook.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • Acclaim ซึ่งเป็นบริษัทที่เคยเป็นที่รู้จักในวงการเกมในอดีต ได้ประกาศกลับมาอีกครั้งพร้อมภารกิจใหม่ในการสนับสนุนสตูดิโอเกมอินดี้และการสร้างสรรค์ IP ใหม่ๆ Acclaim ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 และมีชื่อเสียงจากการเปิดตัวเกมดังอย่าง Mortal Kombat, Turok และ NBA Jam

    การกลับมาครั้งนี้ Acclaim มีเป้าหมายที่จะให้การสนับสนุนสตูดิโออินดี้ที่ต้องการทรัพยากรในการพัฒนาเกม โดยให้การสนับสนุนด้านการเงิน การตลาด และการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สตูดิโอเหล่านี้สามารถนำเสนอเกมของตนเองในตลาดที่ซับซ้อนและคึกคัก

    หนึ่งในเป้าหมายหลักของ Acclaim คือการฟื้นฟู IP คลาสสิกที่มีผู้คนรักใคร่มากมายมาตลอดหลายปี สำหรับการทำให้แผนการนี้เป็นจริง Acclaim ได้จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาซึ่งประกอบไปด้วยผู้นำในวงการเกมที่ได้รับความนับถือ เช่น Russell Binder จาก Striker Entertainment, Mark Caplan จาก Ridge Partners และ Jeff Jarrett จาก Global Force Entertainment

    เพื่อให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน Acclaim ได้มีการร่วมมือกับหุ้นส่วนสำคัญอย่าง Phil Toronto จาก VaynerFund และ Eric Vogel จาก JET Management ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่แข็งแรงสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง

    Jeff Jarrett นักมวยปล้ำที่ได้รับการยกย่องใน Hall of Fame กล่าวว่าการกลับมาของ Acclaim เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการนำความรักและความหลงใหลในเกมให้แก่คนรุ่นใหม่ และเขาตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบริษัทนี้

    Alex Josef CEO ของ Acclaim กล่าวถึงความภาคภูมิใจในการนำทีมงานที่มีความสามารถเพื่อฟื้นฟู Acclaim ขึ้นมาใหม่ และกล่าวว่าได้เซ็นสัญญากับเกมอินดี้ที่น่าทึ่งบางเกมที่จะเปิดเผยในไม่ช้า

    Acclaim กลับมาในวงการเกมด้วยภารกิจที่น่าตื่นเต้นในการสนับสนุนนักพัฒนาอินดี้และฟื้นฟู IP คลาสสิก โดยมีการร่วมมือกับผู้นำในวงการและหุ้นส่วนที่มีความสำคัญเพื่อให้การฟื้นฟูนี้เป็นไปอย่างยั่งยืน

    https://wccftech.com/acclaim-returns-from-the-dead-with-a-focus-on-supporting-indie-studios-and-original-ip/
    Acclaim ซึ่งเป็นบริษัทที่เคยเป็นที่รู้จักในวงการเกมในอดีต ได้ประกาศกลับมาอีกครั้งพร้อมภารกิจใหม่ในการสนับสนุนสตูดิโอเกมอินดี้และการสร้างสรรค์ IP ใหม่ๆ Acclaim ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 และมีชื่อเสียงจากการเปิดตัวเกมดังอย่าง Mortal Kombat, Turok และ NBA Jam การกลับมาครั้งนี้ Acclaim มีเป้าหมายที่จะให้การสนับสนุนสตูดิโออินดี้ที่ต้องการทรัพยากรในการพัฒนาเกม โดยให้การสนับสนุนด้านการเงิน การตลาด และการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สตูดิโอเหล่านี้สามารถนำเสนอเกมของตนเองในตลาดที่ซับซ้อนและคึกคัก หนึ่งในเป้าหมายหลักของ Acclaim คือการฟื้นฟู IP คลาสสิกที่มีผู้คนรักใคร่มากมายมาตลอดหลายปี สำหรับการทำให้แผนการนี้เป็นจริง Acclaim ได้จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาซึ่งประกอบไปด้วยผู้นำในวงการเกมที่ได้รับความนับถือ เช่น Russell Binder จาก Striker Entertainment, Mark Caplan จาก Ridge Partners และ Jeff Jarrett จาก Global Force Entertainment เพื่อให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน Acclaim ได้มีการร่วมมือกับหุ้นส่วนสำคัญอย่าง Phil Toronto จาก VaynerFund และ Eric Vogel จาก JET Management ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่แข็งแรงสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง Jeff Jarrett นักมวยปล้ำที่ได้รับการยกย่องใน Hall of Fame กล่าวว่าการกลับมาของ Acclaim เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการนำความรักและความหลงใหลในเกมให้แก่คนรุ่นใหม่ และเขาตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบริษัทนี้ Alex Josef CEO ของ Acclaim กล่าวถึงความภาคภูมิใจในการนำทีมงานที่มีความสามารถเพื่อฟื้นฟู Acclaim ขึ้นมาใหม่ และกล่าวว่าได้เซ็นสัญญากับเกมอินดี้ที่น่าทึ่งบางเกมที่จะเปิดเผยในไม่ช้า Acclaim กลับมาในวงการเกมด้วยภารกิจที่น่าตื่นเต้นในการสนับสนุนนักพัฒนาอินดี้และฟื้นฟู IP คลาสสิก โดยมีการร่วมมือกับผู้นำในวงการและหุ้นส่วนที่มีความสำคัญเพื่อให้การฟื้นฟูนี้เป็นไปอย่างยั่งยืน https://wccftech.com/acclaim-returns-from-the-dead-with-a-focus-on-supporting-indie-studios-and-original-ip/
    WCCFTECH.COM
    Acclaim Returns From the Dead With a Focus On Supporting Indie Studios and Original IP
    Acclaim has been resurrected after two decades, and is coming with a focus on supporting Indie studios and original IP.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไม่นานนี้ Microsoft ได้เผยแพร่รายงานที่เตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจที่ไม่ยอมรับหรือเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งรายงานนี้เรียกว่า "AI Divide" หมายถึงการแบ่งแยกระหว่างธุรกิจที่มีหรือไม่มีกลยุทธ์ AI ที่ชัดเจน

    จากการศึกษาของ Microsoft พบว่า ธุรกิจในสหราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมรับและใช้โอกาสที่ AI มอบให้ ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจเหล่านี้ไม่สามารถเติบโตได้ การแบ่งแยกนี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร แต่ยังมีผลกระทบต่อการปรับปรุงการบริการสาธารณะอีกด้วย

    รายงานได้สังเกตว่า ขณะที่ครึ่งหนึ่งขององค์กรมีแผนการใช้ AI และทักษะที่จำเป็นในการดำเนินการอย่างชัดเจน อีกครึ่งหนึ่งกลับไม่มีแผนการที่เป็นรูปธรรม ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำองค์กรกว่า 54% ยอมรับว่าบริษัทของพวกเขาขาดกลยุทธ์ AI ที่เป็นทางการ และมีน้อยกว่า 45% ที่เข้าใจถึงทักษะ AI ที่พนักงานต้องการเพื่อประสบความสำเร็จ

    ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่รายงานเน้นคือการแบ่งแยกนี้ยังขยายไปถึงพนักงานด้วย โดยผู้นำกว่า 57% รายงานว่ามีช่องว่างในด้านประสิทธิภาพและความสามารถระหว่างพนักงานที่ใช้ AI กับพนักงานที่ไม่ใช้ AI

    Microsoft คาดว่า AI จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้พนักงานลดงานที่ซ้ำซากและมีโอกาสทำงานที่สร้างสรรค์มากขึ้น รายงานพบว่าเกือบสามในสี่ของผู้นำคาดว่า AI จะถูกบูรณาการเข้าสู่การดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบในไม่ช้า

    Darren Hardman, CEO ของ Microsoft UK กล่าวว่า “AI สามารถมีบทบาทสำคัญในการลดความเหนื่อยล้าด้านดิจิทัลและให้โอกาสแก่พนักงานในการทำงานที่สร้างมูลค่าและสร้างสรรค์มากขึ้น”

    https://www.techradar.com/pro/businesses-are-facing-an-ai-divide-which-could-be-the-difference-between-success-and-failure
    เมื่อไม่นานนี้ Microsoft ได้เผยแพร่รายงานที่เตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจที่ไม่ยอมรับหรือเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งรายงานนี้เรียกว่า "AI Divide" หมายถึงการแบ่งแยกระหว่างธุรกิจที่มีหรือไม่มีกลยุทธ์ AI ที่ชัดเจน จากการศึกษาของ Microsoft พบว่า ธุรกิจในสหราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมรับและใช้โอกาสที่ AI มอบให้ ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจเหล่านี้ไม่สามารถเติบโตได้ การแบ่งแยกนี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร แต่ยังมีผลกระทบต่อการปรับปรุงการบริการสาธารณะอีกด้วย รายงานได้สังเกตว่า ขณะที่ครึ่งหนึ่งขององค์กรมีแผนการใช้ AI และทักษะที่จำเป็นในการดำเนินการอย่างชัดเจน อีกครึ่งหนึ่งกลับไม่มีแผนการที่เป็นรูปธรรม ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำองค์กรกว่า 54% ยอมรับว่าบริษัทของพวกเขาขาดกลยุทธ์ AI ที่เป็นทางการ และมีน้อยกว่า 45% ที่เข้าใจถึงทักษะ AI ที่พนักงานต้องการเพื่อประสบความสำเร็จ ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่รายงานเน้นคือการแบ่งแยกนี้ยังขยายไปถึงพนักงานด้วย โดยผู้นำกว่า 57% รายงานว่ามีช่องว่างในด้านประสิทธิภาพและความสามารถระหว่างพนักงานที่ใช้ AI กับพนักงานที่ไม่ใช้ AI Microsoft คาดว่า AI จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้พนักงานลดงานที่ซ้ำซากและมีโอกาสทำงานที่สร้างสรรค์มากขึ้น รายงานพบว่าเกือบสามในสี่ของผู้นำคาดว่า AI จะถูกบูรณาการเข้าสู่การดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบในไม่ช้า Darren Hardman, CEO ของ Microsoft UK กล่าวว่า “AI สามารถมีบทบาทสำคัญในการลดความเหนื่อยล้าด้านดิจิทัลและให้โอกาสแก่พนักงานในการทำงานที่สร้างมูลค่าและสร้างสรรค์มากขึ้น” https://www.techradar.com/pro/businesses-are-facing-an-ai-divide-which-could-be-the-difference-between-success-and-failure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • Matt Mullenweg ผู้ร่วมก่อตั้ง WordPress และ CEO ของ Automattic ได้ประกาศว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้ลาออกผ่านคำร้องออนไลน์และการฟ้องร้องหมู่ ซึ่งเขากล่าวในการสัมภาษณ์กับ Lenny's Podcast ว่า การที่เขาจะเกษียณนั้น เขาจะหาคนมาสืบทอดตำแหน่งที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับเขา และจะนำบริษัทไปในทางเดียวกับที่เขาดูแลอยู่

    ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ Mullenweg กล่าวถึง WP Engine ว่าได้รับประโยชน์จากโมเดลโอเพนซอร์สของ WordPress โดยไม่ได้มีส่วนร่วมมากพอในโครงการ WP Engine แย้งว่าพวกเขาปฏิบัติตาม GPL ซึ่งอนุญาตให้ใช้เชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องมีการบริจาคเงิน ทั้งนี้ Mullenweg ย้ำว่าโครงการโอเพนซอร์สจะเติบโตเมื่อผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากมันกลับมาลงทุนในการพัฒนา

    เขายังกล่าวถึงอนาคตของ WordPress และ Automattic โดยเน้นว่าเขาต้องการความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะให้การตัดสินใจเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ “หากผมจะหายไป ผมไม่ต้องการส่งมอบงานให้คณะกรรมการ แต่จะให้ใครสักคนที่มีบทบาทเช่นเดียวกับผมและเป็นผู้นำที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับผม” เขากล่าว

    คำพูดของเขาเกิดขึ้นท่ามกลางการวิจารณ์เรื่องการจัดการข้อพิพาทกับ WP Engine บางคนกล่าวหาว่า Mullenweg ใช้อำนาจบีบบังคับ WP Engine ให้จ่ายเงินในการใช้ WordPress ซึ่งขัดแย้งกับจิตวิญญาณของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (FOSS) ในขณะที่ WP Engine ยืนยันว่าสนับสนุนโครงการโอเพนซอร์สควรเป็นสิ่งสมัครใจ ไม่ใช่การบีบบังคับ ความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่การฟ้องร้องหมู่ที่กล่าวหาว่าธุรกิจไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการกำกับดูแล WordPress และยังมีคำร้องออนไลน์เรียกร้องให้ Mullenweg ลาออก ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันมากมาย Mullenweg ยืนยันว่าเขาจะไม่ลาออก

    มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่เห็นว่า WP Engine ได้ประโยชน์จาก WordPress โดยไม่คืนผลประโยชน์กลับ ซึ่งอาจทำให้แพลตฟอร์มนี้เสี่ยงต่ออนาคต ขณะที่บางคนคิดว่า Mullenweg กดดันเพื่อให้มีการจ่ายเงินเกินความจำเป็นตามกฎหมาย GPL การถกเถียงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่ยังเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่บริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สควรมีต่อชุมชน

    Mullenweg เปรียบบทบาทของเขาเสมือนนายกเทศมนตรีที่ดูแลเมือง โดยเน้นความสำคัญของการมีผู้นำที่มีความเข้าใจและผูกพันกับองค์กรในระดับลึก

    https://www.techspot.com/news/107017-mullenweg-refuses-step-down-amid-wp-engine-dispute.html
    Matt Mullenweg ผู้ร่วมก่อตั้ง WordPress และ CEO ของ Automattic ได้ประกาศว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้ลาออกผ่านคำร้องออนไลน์และการฟ้องร้องหมู่ ซึ่งเขากล่าวในการสัมภาษณ์กับ Lenny's Podcast ว่า การที่เขาจะเกษียณนั้น เขาจะหาคนมาสืบทอดตำแหน่งที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับเขา และจะนำบริษัทไปในทางเดียวกับที่เขาดูแลอยู่ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ Mullenweg กล่าวถึง WP Engine ว่าได้รับประโยชน์จากโมเดลโอเพนซอร์สของ WordPress โดยไม่ได้มีส่วนร่วมมากพอในโครงการ WP Engine แย้งว่าพวกเขาปฏิบัติตาม GPL ซึ่งอนุญาตให้ใช้เชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องมีการบริจาคเงิน ทั้งนี้ Mullenweg ย้ำว่าโครงการโอเพนซอร์สจะเติบโตเมื่อผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากมันกลับมาลงทุนในการพัฒนา เขายังกล่าวถึงอนาคตของ WordPress และ Automattic โดยเน้นว่าเขาต้องการความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะให้การตัดสินใจเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ “หากผมจะหายไป ผมไม่ต้องการส่งมอบงานให้คณะกรรมการ แต่จะให้ใครสักคนที่มีบทบาทเช่นเดียวกับผมและเป็นผู้นำที่มีค่านิยมเช่นเดียวกับผม” เขากล่าว คำพูดของเขาเกิดขึ้นท่ามกลางการวิจารณ์เรื่องการจัดการข้อพิพาทกับ WP Engine บางคนกล่าวหาว่า Mullenweg ใช้อำนาจบีบบังคับ WP Engine ให้จ่ายเงินในการใช้ WordPress ซึ่งขัดแย้งกับจิตวิญญาณของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (FOSS) ในขณะที่ WP Engine ยืนยันว่าสนับสนุนโครงการโอเพนซอร์สควรเป็นสิ่งสมัครใจ ไม่ใช่การบีบบังคับ ความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่การฟ้องร้องหมู่ที่กล่าวหาว่าธุรกิจไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการกำกับดูแล WordPress และยังมีคำร้องออนไลน์เรียกร้องให้ Mullenweg ลาออก ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันมากมาย Mullenweg ยืนยันว่าเขาจะไม่ลาออก มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่เห็นว่า WP Engine ได้ประโยชน์จาก WordPress โดยไม่คืนผลประโยชน์กลับ ซึ่งอาจทำให้แพลตฟอร์มนี้เสี่ยงต่ออนาคต ขณะที่บางคนคิดว่า Mullenweg กดดันเพื่อให้มีการจ่ายเงินเกินความจำเป็นตามกฎหมาย GPL การถกเถียงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่ยังเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่บริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สควรมีต่อชุมชน Mullenweg เปรียบบทบาทของเขาเสมือนนายกเทศมนตรีที่ดูแลเมือง โดยเน้นความสำคัญของการมีผู้นำที่มีความเข้าใจและผูกพันกับองค์กรในระดับลึก https://www.techspot.com/news/107017-mullenweg-refuses-step-down-amid-wp-engine-dispute.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Matt Mullenweg doubles down on leadership amid WordPress controversy
    Matt Mullenweg, co-founder of WordPress and CEO of Automattic, has called out WP Engine for benefiting from WordPress's open-source model without contributing enough to the project. WP...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • Thales ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตดาวเทียมรายใหญ่ของยุโรป ได้ออกมาชี้แจงถึงความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจต้องเผชิญหากพึ่งพาระบบดาวเทียมเชิงพาณิชย์มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบดาวเทียมของ Starlink ที่พัฒนาโดย Elon Musk

    Patrice Caine, CEO ของ Thales, กล่าวในงานแถลงผลประกอบการเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า การพึ่งพาดาวเทียมที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและมีความไม่แน่นอนในเรื่องความสามารถในการทำกำไร อาจเป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลที่ต้องการความเสถียรและความเชื่อถือได้ในการติดต่อสื่อสาร

    Caine ยังเตือนว่าการใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกอาจทำให้รัฐบาลต้องพึ่งพาผู้ที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

    ระบบ Starlink มีลูกค้าหลายล้านคนทั่วโลกและมีดาวเทียมมากกว่า 7,000 ดวง ทำให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัยจากการโจมตีจากอวกาศ โดยผ่านการทดสอบความปลอดภัยในสงครามยูเครนเมื่อถูกโจมตีทางไซเบอร์จากรัสเซีย

    SpaceX ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกับ Starlink ได้ขยายโรงงานผลิตสถานีรับส่งสัญญาณใน Texas ให้สามารถผลิตได้ถึง 15,000 หน่วยต่อวัน ทำให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก

    Caine เน้นว่าการติดต่อสื่อสารของรัฐบาลไม่ควรพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอกทั้งหมด โดยยุโรปส่วนใหญ่จะลงทุนในระบบที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเอง เช่น ระบบ Iris2 สำหรับเครือข่ายที่ปลอดภัย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/05/thales-warns-governments-over-reliance-on-starlink-type-systems
    Thales ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตดาวเทียมรายใหญ่ของยุโรป ได้ออกมาชี้แจงถึงความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจต้องเผชิญหากพึ่งพาระบบดาวเทียมเชิงพาณิชย์มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบดาวเทียมของ Starlink ที่พัฒนาโดย Elon Musk Patrice Caine, CEO ของ Thales, กล่าวในงานแถลงผลประกอบการเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า การพึ่งพาดาวเทียมที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและมีความไม่แน่นอนในเรื่องความสามารถในการทำกำไร อาจเป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลที่ต้องการความเสถียรและความเชื่อถือได้ในการติดต่อสื่อสาร Caine ยังเตือนว่าการใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกอาจทำให้รัฐบาลต้องพึ่งพาผู้ที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ระบบ Starlink มีลูกค้าหลายล้านคนทั่วโลกและมีดาวเทียมมากกว่า 7,000 ดวง ทำให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัยจากการโจมตีจากอวกาศ โดยผ่านการทดสอบความปลอดภัยในสงครามยูเครนเมื่อถูกโจมตีทางไซเบอร์จากรัสเซีย SpaceX ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกับ Starlink ได้ขยายโรงงานผลิตสถานีรับส่งสัญญาณใน Texas ให้สามารถผลิตได้ถึง 15,000 หน่วยต่อวัน ทำให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก Caine เน้นว่าการติดต่อสื่อสารของรัฐบาลไม่ควรพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอกทั้งหมด โดยยุโรปส่วนใหญ่จะลงทุนในระบบที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเอง เช่น ระบบ Iris2 สำหรับเครือข่ายที่ปลอดภัย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/05/thales-warns-governments-over-reliance-on-starlink-type-systems
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Thales warns governments over reliance on Starlink-type systems
    PARIS (Reuters) - The head of one of Europe's largest satellite manufacturers, France-based Thales, has highlighted the risks to governments of relying too heavily on private satellite constellations in an apparent warning over Elon Musk's Starlink.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มผู้นำด้านโทรคมนาคมในยุโรปไม่พอใจกับระบบราชการของสหภาพยุโรป โดยกล่าวว่าการจัดการที่ยุ่งยากเกินไปทำให้การรวมตัวของบริษัทต่าง ๆ เป็นไปได้ยาก ซึ่งส่งผลให้ยุโรปล้าหลังเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในสหรัฐฯ และเอเชีย

    Tim Höttges ซีอีโอของ Deutsche Telekom AG กล่าวในงาน Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนาว่า “ยุโรปต้องการอะไรสักอย่างเช่น DOGE” ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในยุโรปถูกจำกัดด้วยกำไรที่ต่ำและการแข่งขันที่สูง

    ในงานดังกล่าว ซีอีโอของ Vodafone, Orange SA และ Telefonica SA ก็แสดงความเห็นด้วยกับ Höttges โดยบอกว่ายุโรปยังตามหลังในการพัฒนา 5G และมีความจำเป็นต้องมีการรวมตัวของบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน

    รายงานจากอดีตประธานธนาคารกลางยุโรป Mario Draghi แนะนำว่าสหภาพยุโรปควรสนับสนุนการรวมตัวของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้เพื่อให้สามารถแข่งขันกับตลาดอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม Teresa Ribera หัวหน้าฝ่ายการควบคุมการผูกขาดของสหภาพยุโรปยังไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การรวมตัวให้เกิดขึ้นได้

    Höttges กล่าวว่าควรเลียนแบบสิ่งที่สหรัฐฯ ทำ โดยยกตัวอย่างจีนที่มีเพียงสามผู้ประกอบการและอินเดียที่ลดจำนวนผู้ประกอบการลงเหลือสามราย และการดำเนินการนี้ช่วยให้พวกเขาเติบโตได้ดี

    ในการประชุมนี้ยังมีผู้นำบริษัทต่าง ๆ เช่น Telefonica, Emirates Telecommunications Group, Telenor และ Bharti Airtel แสดงความไม่พอใจว่าพวกเขาไม่ได้รับผลตอบแทนที่เพียงพอจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ซึ่ง Sunil Bharti Mittal ประธาน Bharti Airtel กล่าวว่าผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4% ซึ่งถือว่าน้อยมาก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/04/europe-needs-a-doge-telecom-ceos-fume-at-eu-bureaucracy
    กลุ่มผู้นำด้านโทรคมนาคมในยุโรปไม่พอใจกับระบบราชการของสหภาพยุโรป โดยกล่าวว่าการจัดการที่ยุ่งยากเกินไปทำให้การรวมตัวของบริษัทต่าง ๆ เป็นไปได้ยาก ซึ่งส่งผลให้ยุโรปล้าหลังเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในสหรัฐฯ และเอเชีย Tim Höttges ซีอีโอของ Deutsche Telekom AG กล่าวในงาน Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนาว่า “ยุโรปต้องการอะไรสักอย่างเช่น DOGE” ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในยุโรปถูกจำกัดด้วยกำไรที่ต่ำและการแข่งขันที่สูง ในงานดังกล่าว ซีอีโอของ Vodafone, Orange SA และ Telefonica SA ก็แสดงความเห็นด้วยกับ Höttges โดยบอกว่ายุโรปยังตามหลังในการพัฒนา 5G และมีความจำเป็นต้องมีการรวมตัวของบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน รายงานจากอดีตประธานธนาคารกลางยุโรป Mario Draghi แนะนำว่าสหภาพยุโรปควรสนับสนุนการรวมตัวของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้เพื่อให้สามารถแข่งขันกับตลาดอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม Teresa Ribera หัวหน้าฝ่ายการควบคุมการผูกขาดของสหภาพยุโรปยังไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การรวมตัวให้เกิดขึ้นได้ Höttges กล่าวว่าควรเลียนแบบสิ่งที่สหรัฐฯ ทำ โดยยกตัวอย่างจีนที่มีเพียงสามผู้ประกอบการและอินเดียที่ลดจำนวนผู้ประกอบการลงเหลือสามราย และการดำเนินการนี้ช่วยให้พวกเขาเติบโตได้ดี ในการประชุมนี้ยังมีผู้นำบริษัทต่าง ๆ เช่น Telefonica, Emirates Telecommunications Group, Telenor และ Bharti Airtel แสดงความไม่พอใจว่าพวกเขาไม่ได้รับผลตอบแทนที่เพียงพอจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ซึ่ง Sunil Bharti Mittal ประธาน Bharti Airtel กล่าวว่าผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4% ซึ่งถือว่าน้อยมาก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/04/europe-needs-a-doge-telecom-ceos-fume-at-eu-bureaucracy
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Europe needs a DOGE': Telecom CEOs fume at EU bureaucracy
    European telecommunications executives gathered at the continent's biggest trade show railed against over-regulation, blaming Brussels for preventing consolidation in the industry that's fallen behind peers in the US and Asia.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ้นของ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Co) เปิดตลาดลดลง 2.25% หลังจากที่บริษัทประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ

    การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ C.C. Wei CEO ของ TSMC ได้พบกับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา การลงทุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตในเอเชียและเสริมสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    สิ่งที่น่าสนใจคือ การลงทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างงานใหม่ในสหรัฐฯ และเพิ่มความสามารถในการผลิตชิปที่ทันสมัย ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในยุคที่เทคโนโลยีและการเชื่อมต่อมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

    การประกาศนี้ยังส่งผลให้เกิดความสนใจในตลาดหุ้นและการลงทุนในเทคโนโลยีชิปมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/04/tsmc-shares-open-lower-following-announcement-of-100-billion-investment-in-us
    หุ้นของ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Co) เปิดตลาดลดลง 2.25% หลังจากที่บริษัทประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ C.C. Wei CEO ของ TSMC ได้พบกับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา การลงทุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตในเอเชียและเสริมสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ สิ่งที่น่าสนใจคือ การลงทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างงานใหม่ในสหรัฐฯ และเพิ่มความสามารถในการผลิตชิปที่ทันสมัย ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในยุคที่เทคโนโลยีและการเชื่อมต่อมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวัน การประกาศนี้ยังส่งผลให้เกิดความสนใจในตลาดหุ้นและการลงทุนในเทคโนโลยีชิปมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/04/tsmc-shares-open-lower-following-announcement-of-100-billion-investment-in-us
    WWW.THESTAR.COM.MY
    TSMC shares open lower following announcement of $100 billion investment in US
    TAIPEI (Reuters) - TSMC shares opened down 2.25% on Tuesday after the world's largest contract chipmaker said it will invest $100 billion in the United States.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sergey Brin หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Google กล่าวว่า การทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่สำนักงานเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ Google

    Brin กล่าวในบันทึกที่เผยแพร่โดย The New York Times ว่าพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ AI ของ Google ควรทำงานไม่ต่ำกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเขาเรียกว่า "sweet spot of productivity" หรือจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด Brin เชื่อว่า การที่พนักงานทำงานมากขึ้นจะช่วยให้ Google สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรม AI ที่มีการแข่งขันสูงได้

    ในบันทึกดังกล่าว Brin กล่าวถึงความสำคัญของการอยู่ในสำนักงานทุกวัน ซึ่งสวนทางกับนโยบายการทำงานจากที่บ้านที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน Brin แนะนำว่าพนักงานควรอยู่ที่สำนักงานอย่างน้อยทุกวันในสัปดาห์ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าการทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ก็ตาม

    นอกจากนี้ Brin ยังเน้นถึงการแข่งขันที่เร่งตัวขึ้นในวงการ AI และเชื่อว่า Google มีส่วนประกอบทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อชนะการแข่งขันนี้ เขาเรียกร้องให้พนักงานเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยใช้เครื่องมือ AI ของบริษัทเอง

    เรื่องที่น่าสนใจคือ Brin ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานในสำนักงานเพื่อสร้าง AI ที่มีประสิทธิภาพสูง แม้ว่าบันทึกของเขาอาจไม่ส่งผลให้ CEO Sundar Pichai เปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานจากที่บ้านหรือเพิ่มจำนวนชั่วโมงขั้นต่ำของพนักงาน AI แต่ Brin ก็ยังมีอิทธิพลต่อบริษัทที่เขาร่วมก่อตั้ง

    https://www.techspot.com/news/106988-sergey-brin-60-hour-office-weeks-key-google.html
    Sergey Brin หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Google กล่าวว่า การทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่สำนักงานเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ Google Brin กล่าวในบันทึกที่เผยแพร่โดย The New York Times ว่าพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ AI ของ Google ควรทำงานไม่ต่ำกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเขาเรียกว่า "sweet spot of productivity" หรือจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด Brin เชื่อว่า การที่พนักงานทำงานมากขึ้นจะช่วยให้ Google สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรม AI ที่มีการแข่งขันสูงได้ ในบันทึกดังกล่าว Brin กล่าวถึงความสำคัญของการอยู่ในสำนักงานทุกวัน ซึ่งสวนทางกับนโยบายการทำงานจากที่บ้านที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน Brin แนะนำว่าพนักงานควรอยู่ที่สำนักงานอย่างน้อยทุกวันในสัปดาห์ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าการทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ก็ตาม นอกจากนี้ Brin ยังเน้นถึงการแข่งขันที่เร่งตัวขึ้นในวงการ AI และเชื่อว่า Google มีส่วนประกอบทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อชนะการแข่งขันนี้ เขาเรียกร้องให้พนักงานเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยใช้เครื่องมือ AI ของบริษัทเอง เรื่องที่น่าสนใจคือ Brin ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานในสำนักงานเพื่อสร้าง AI ที่มีประสิทธิภาพสูง แม้ว่าบันทึกของเขาอาจไม่ส่งผลให้ CEO Sundar Pichai เปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานจากที่บ้านหรือเพิ่มจำนวนชั่วโมงขั้นต่ำของพนักงาน AI แต่ Brin ก็ยังมีอิทธิพลต่อบริษัทที่เขาร่วมก่อตั้ง https://www.techspot.com/news/106988-sergey-brin-60-hour-office-weeks-key-google.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Sergey Brin says 60-hour in-office weeks are key to Google's AI push
    Brin called for Googlers working on the company's AI products to increase their hours in a memo seen by The New York Times.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • Craig Barrett อดีต CEO ของ Intel ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินงานของบริษัท โดย Barrett ชี้ว่า Intel ไม่ควรแบ่งธุรกิจออกเป็นสองส่วน โดยเฉพาะในขณะที่บริษัทมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการตามทัน TSMC's N2 process node

    Barrett อธิบายในบทความที่เผยแพร่ใน Fortune ว่าสาเหตุที่ธุรกิจโรงงานของ Intel ล้มเหลวในอดีตนั้นไม่ได้เกิดจากการที่ลูกค้าไม่ไว้วางใจ แต่เพราะ Intel ขาดเทคโนโลยีที่จะสามารถแข่งขันกับ TSMC อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ตอนนี้ Intel มีความสำเร็จในกระบวนการเทคโนโลยี 18A ซึ่งทำให้ Barrett เชื่อว่าการแยกโรงงานออกจากธุรกิจหลักจะเป็นการก่อให้เกิดความซับซ้อนและปัญหามากขึ้น

    นอกจากนี้ Barrett ยังวิพากษ์วิจารณ์คณะกรรมการของ Intel ว่าควรรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เขายังเสนอว่าควรให้ Pat Gelsinger อดีต CEO ที่ถูกปลดออกกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมเพื่อสานต่อผลงานที่เขาทำไว้

    Gelsinger เป็นหนึ่งในคนสำคัญที่นำ Intel ไปสู่ความสำเร็จทางเทคโนโลยีเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Barrett เชื่อว่าการบังคับให้ Gelsinger ออกจากตำแหน่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และแนะนำให้ปลดคณะกรรมการของ Intel แล้วให้ Gelsinger กลับมาดำเนินงานต่อไป

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/fire-the-intel-board-and-rehire-pat-gelsinger-argues-former-intel-ceo-craig-barrett
    Craig Barrett อดีต CEO ของ Intel ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินงานของบริษัท โดย Barrett ชี้ว่า Intel ไม่ควรแบ่งธุรกิจออกเป็นสองส่วน โดยเฉพาะในขณะที่บริษัทมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการตามทัน TSMC's N2 process node Barrett อธิบายในบทความที่เผยแพร่ใน Fortune ว่าสาเหตุที่ธุรกิจโรงงานของ Intel ล้มเหลวในอดีตนั้นไม่ได้เกิดจากการที่ลูกค้าไม่ไว้วางใจ แต่เพราะ Intel ขาดเทคโนโลยีที่จะสามารถแข่งขันกับ TSMC อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ตอนนี้ Intel มีความสำเร็จในกระบวนการเทคโนโลยี 18A ซึ่งทำให้ Barrett เชื่อว่าการแยกโรงงานออกจากธุรกิจหลักจะเป็นการก่อให้เกิดความซับซ้อนและปัญหามากขึ้น นอกจากนี้ Barrett ยังวิพากษ์วิจารณ์คณะกรรมการของ Intel ว่าควรรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เขายังเสนอว่าควรให้ Pat Gelsinger อดีต CEO ที่ถูกปลดออกกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมเพื่อสานต่อผลงานที่เขาทำไว้ Gelsinger เป็นหนึ่งในคนสำคัญที่นำ Intel ไปสู่ความสำเร็จทางเทคโนโลยีเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Barrett เชื่อว่าการบังคับให้ Gelsinger ออกจากตำแหน่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และแนะนำให้ปลดคณะกรรมการของ Intel แล้วให้ Gelsinger กลับมาดำเนินงานต่อไป https://www.tomshardware.com/tech-industry/fire-the-intel-board-and-rehire-pat-gelsinger-argues-former-intel-ceo-craig-barrett
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกของหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศแห่งนี้ และมีความเป็นและความตายของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของสิงคโปร์อย่าง City Developments Ltd (CDL) เป็นเดิมพัน ได้ปะทุขึ้นต่อหน้าสาธารณชนในสัปดาห์นี้ การโต้เถียงกันระหว่างประธานบริหารของ CDL คือ กัวลิ่งหมิง (Kwek Leng Beng) และลูกชายของเขา คือ กัวอี้จื้อ (Sherman Kwek) ได้เปิดเผยถึงรอยร้าวที่ลึกซึ้งภายในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสี่ของสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในอันดับมหาเศรษฐฐีชั้นนำที่จัดอันดับโดย Forbesศึกสายเลือกครั้งนี้เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาเรื่องความผิดพลาดขององค์กร การละเมิดการกำกับดูแล และความสัมพันธ์ส่วนตัวกำลังคุกคามที่จะยกระดับเป็นการต่อสู้ในศาลเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เรื่องพิพาทของทั้งคู่เดิมทีเป็นเรื่องในบริษัท แต่ปรากฏต่อสาธารณชนครั้งแรกของปัญหาเกิดขึ้นเมื่อวันพุธ เมื่อ CDL ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี Straits Times ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เรียกร้องให้หยุดการซื้อขายกะทันหัน ตามด้วยแถลงการณ์ยกเลิกการสรุปผลประกอบการประจำปีงบประมาณ 2024 ที่กำหนดไว้จากนั้นก็เกิดเรื่องที่น่าตกตะลึง นั่นคือ กัวลิ่งหมิง (Kwek Leng Beng) ผู้นำตระกูลวัย 84 ปี กล่าวหาลูกชายและซีอีโอของ CDL ต่อสาธารณะว่าวางแผน "พยายามก่อรัฐประหารในระดับคณะกรรมการ"ผู้เป็นพ่อกล่าวว่า กัวอี้จื้อ (Sherman Kwek) ลูกชายคนเล็ก พร้อมด้วยคณะกรรมการส่วนใหญ่ ได้แต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมอีก 2 คนเพื่อ "รวมอำนาจการควบคุมคณะกรรมการ" และ CDL เพื่อขัดขวางการแย่งชิงอำนาจ กัวลิ่งหมิง ผู้เป็นพ่อได้ยื่นฟ้องและต่อมาประกาศว่าเขาได้รับคำสั่งศาลให้หยุดการเปลี่ยนแปลงในคณะกรรมการและฝ่ายบริหารของ CDL Groupกัวอี้จื้อ วัย 49 ปี ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยกล่าวว่า "เราไม่ได้พยายามขับไล่ประธาน"เขาเรียกการเคลื่อนไหวของพ่อว่าเป็นการ "ซุ่มโจมตี" แต่กลับชี้ไปที่ที่มาชองความตึงเครียดที่ลึกซึ้งกว่า นั่นคือ แคเธอรีน วู (Catherine Wu) ที่ปรึกษาคณะกรรมการของบริษัทลูก CDL แต่ลูกชายของเขากล่าวหาว่าแทรกแซงกิจการของบริษัทกัวอี้จื้อ กล่าวว่า "เธอแทรกแซงในเรื่องต่างๆ มากเกินกว่าขอบเขตของเธอ และเธอมีอิทธิพลมหาศาล เรื่องเหล่านี้สร้างปัญหาให้กับเราในฐานะกรรมการ""เนื่องจากความสัมพันธ์อันยาวนานของเธอกับประธานบริษัท (ผู้เป็นพ่อ) ความพยายามในการจัดการสถานการณ์จึงทำไปด้วยความอ่อนไหว แต่ก็ไร้ผล" กัวอี้จื้อ ผู้เป็นลูก กล่าวข้อพิพาทดังกล่าวได้เปิดเผยถึงการแย่งชิงอำนาจภายใน CDL ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ตามมูลค่าตลาด และตระกูลกัว ซึ่งอาณาจักรของพวกเขามีมูลค่า 11,500 ล้านดอลลาร์ตามการจัดอันดับของนิตยสาร Forbesในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ กัวลิ่งหมิง ได้ยื่นคำร้องให้ กัวอี้จื้อ ออกจากตำแหน่ง CEO โดยระบุว่าลูกชายกระทำการให้เกิด "ความผิดพลาดหลายครั้ง" โดยอ้างถึงการขาดทุนมหาศาล 1.4 พันล้านดอลลาร์ใน "ความล้มเหลว" ในปี 2020 และการตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาดในสหราชอาณาจักรราคาหุ้นของ CDL ยัง "ทำผลงานได้ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ (กัวอี้จื้อ) เข้ารับตำแหน่งผู้นำในปี 2018" กัวลิ่งหมิง ผู้ก่อตั้งบริษัทกล่าว"(คนหนุ่มสาว) อาจทำผิดพลาดในอาชีพการงานได้ และนั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่การหลีกเลี่ยงกฎหมายการกำกับดูแลกิจการถือเป็นการล้ำเส้น" กัวลิ่งหมิง กล่าว"ในฐานะพ่อ การไล่ลูกชายออกไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย" แต่ผลที่ตามมา "ก็สูงเกินไปที่จะปล่อยให้การยึดอำนาจโดยไม่คิดหน้าคิดหลังมาทำให้บริษัทไม่มั่นคง" เขากล่าวหุ้นของบริษัทมูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐยังคงถูกระงับ และ CDL ถูกปรับลดระดับโดยบริษัทต่างๆ รวมถึง JPMorgan Chase & Co ตามรายงานของ Bloomberg'การกระทำที่ไม่รอบคอบ'CDL เริ่มต้นจากธุรกิจที่ขาดทุนตอนที่ กัวลิ่งหมิง พ่อของเขา กัวฟางเฟิง (Kwek Hong Png) และพี่ชายของเขา กัวลิ่วอวี้ (Kwek Leng Joo) ซื้อกิจการในปี 1971ภายใต้การบริหารของ กัวลิ่งหมิง บริษัทได้ขยายตัวอย่างมาก โดยปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของบริษัทครอบคลุมถึงที่พักอาศัย สำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า และการพัฒนาแบบบูรณาการในสิงคโปร์ รวมถึงจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และทั่วทั้งยุโรปการที่บริษัทเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมทำให้บริษัทในเครือ Millennium & Copthorne Hotels กลายเป็นกลุ่มโรงแรมระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในศูนย์กลางการเงิน โดยมีทรัพย์สินรวมถึงโรงแรม The Biltmore ในย่าน Mayfair ของลอนดอน และ Millennium ในย่าน Wall Street และ Times Square ของนิวยอร์กกัวลิ่งหมิง กล่าวว่าการรักษามรดกของเขาไว้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาต่อสู้กับลูกชายและพันธมิตรในห้องประชุมของเขา“การกระทำที่ไร้ความรอบคอบของกลุ่มที่พยายามจะรวมอำนาจควบคุมที่ไร้การควบคุมเข้าด้วยกันนั้นไม่เพียงแต่ทำลายรากฐานของการปกครองของ CDL เท่านั้น แต่ยังทำให้มรดกที่เราสร้างมาตลอดหลายทศวรรษตกอยู่ในความเสี่ยงอีกด้วย” กัวลิ่งหมิง กล่าวขณะนี้ศาลเข้ามาเกี่ยวข้องและผู้นำของ CDL ก็ตกเป็นเป้าหมาย ความขัดแย้งในครอบครัวที่ขมขื่นนี้ยังไม่จบสิ้นกัวอี้จื้อ ได้ปกป้องการเคลื่อนไหวของเขาในการปลด แคเทอรีน วู ออกจากคณะกรรมการบริษัท Millennium & Copthorne เนื่องจาก "จำเป็น" สำหรับผลประโยชน์ของ CDL โดยเสริมว่ากรรมการส่วนใหญ่จะยังคง "รักษาการกำกับดูแลกิจการและความรับผิดชอบขององค์กรต่อไป"กัวลิ่งหมิง พ่อของเขาซึ่งไม่ได้กล่าวถึง วู ในคำตอบของตนยืนยันว่า "การลิดรอนอำนาจที่สำคัญใดๆ ของประธานบริหารถือเป็นการก่อรัฐประหาร"“ตอนนี้เป็นเรื่องของศาล และผมจะปล่อยให้ศาลตัดสิน ความยุติธรรมย่อมมีชัยเสมอ” กัวลิ่งหมิง กล่าวAgence France-PressePhoto Kwek Leng Beng by Roslan RAHMAN / AFP
    ความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกของหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศแห่งนี้ และมีความเป็นและความตายของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของสิงคโปร์อย่าง City Developments Ltd (CDL) เป็นเดิมพัน ได้ปะทุขึ้นต่อหน้าสาธารณชนในสัปดาห์นี้ การโต้เถียงกันระหว่างประธานบริหารของ CDL คือ กัวลิ่งหมิง (Kwek Leng Beng) และลูกชายของเขา คือ กัวอี้จื้อ (Sherman Kwek) ได้เปิดเผยถึงรอยร้าวที่ลึกซึ้งภายในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสี่ของสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในอันดับมหาเศรษฐฐีชั้นนำที่จัดอันดับโดย Forbesศึกสายเลือกครั้งนี้เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาเรื่องความผิดพลาดขององค์กร การละเมิดการกำกับดูแล และความสัมพันธ์ส่วนตัวกำลังคุกคามที่จะยกระดับเป็นการต่อสู้ในศาลเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เรื่องพิพาทของทั้งคู่เดิมทีเป็นเรื่องในบริษัท แต่ปรากฏต่อสาธารณชนครั้งแรกของปัญหาเกิดขึ้นเมื่อวันพุธ เมื่อ CDL ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี Straits Times ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เรียกร้องให้หยุดการซื้อขายกะทันหัน ตามด้วยแถลงการณ์ยกเลิกการสรุปผลประกอบการประจำปีงบประมาณ 2024 ที่กำหนดไว้จากนั้นก็เกิดเรื่องที่น่าตกตะลึง นั่นคือ กัวลิ่งหมิง (Kwek Leng Beng) ผู้นำตระกูลวัย 84 ปี กล่าวหาลูกชายและซีอีโอของ CDL ต่อสาธารณะว่าวางแผน "พยายามก่อรัฐประหารในระดับคณะกรรมการ"ผู้เป็นพ่อกล่าวว่า กัวอี้จื้อ (Sherman Kwek) ลูกชายคนเล็ก พร้อมด้วยคณะกรรมการส่วนใหญ่ ได้แต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมอีก 2 คนเพื่อ "รวมอำนาจการควบคุมคณะกรรมการ" และ CDL เพื่อขัดขวางการแย่งชิงอำนาจ กัวลิ่งหมิง ผู้เป็นพ่อได้ยื่นฟ้องและต่อมาประกาศว่าเขาได้รับคำสั่งศาลให้หยุดการเปลี่ยนแปลงในคณะกรรมการและฝ่ายบริหารของ CDL Groupกัวอี้จื้อ วัย 49 ปี ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยกล่าวว่า "เราไม่ได้พยายามขับไล่ประธาน"เขาเรียกการเคลื่อนไหวของพ่อว่าเป็นการ "ซุ่มโจมตี" แต่กลับชี้ไปที่ที่มาชองความตึงเครียดที่ลึกซึ้งกว่า นั่นคือ แคเธอรีน วู (Catherine Wu) ที่ปรึกษาคณะกรรมการของบริษัทลูก CDL แต่ลูกชายของเขากล่าวหาว่าแทรกแซงกิจการของบริษัทกัวอี้จื้อ กล่าวว่า "เธอแทรกแซงในเรื่องต่างๆ มากเกินกว่าขอบเขตของเธอ และเธอมีอิทธิพลมหาศาล เรื่องเหล่านี้สร้างปัญหาให้กับเราในฐานะกรรมการ""เนื่องจากความสัมพันธ์อันยาวนานของเธอกับประธานบริษัท (ผู้เป็นพ่อ) ความพยายามในการจัดการสถานการณ์จึงทำไปด้วยความอ่อนไหว แต่ก็ไร้ผล" กัวอี้จื้อ ผู้เป็นลูก กล่าวข้อพิพาทดังกล่าวได้เปิดเผยถึงการแย่งชิงอำนาจภายใน CDL ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ตามมูลค่าตลาด และตระกูลกัว ซึ่งอาณาจักรของพวกเขามีมูลค่า 11,500 ล้านดอลลาร์ตามการจัดอันดับของนิตยสาร Forbesในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ กัวลิ่งหมิง ได้ยื่นคำร้องให้ กัวอี้จื้อ ออกจากตำแหน่ง CEO โดยระบุว่าลูกชายกระทำการให้เกิด "ความผิดพลาดหลายครั้ง" โดยอ้างถึงการขาดทุนมหาศาล 1.4 พันล้านดอลลาร์ใน "ความล้มเหลว" ในปี 2020 และการตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาดในสหราชอาณาจักรราคาหุ้นของ CDL ยัง "ทำผลงานได้ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ (กัวอี้จื้อ) เข้ารับตำแหน่งผู้นำในปี 2018" กัวลิ่งหมิง ผู้ก่อตั้งบริษัทกล่าว"(คนหนุ่มสาว) อาจทำผิดพลาดในอาชีพการงานได้ และนั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่การหลีกเลี่ยงกฎหมายการกำกับดูแลกิจการถือเป็นการล้ำเส้น" กัวลิ่งหมิง กล่าว"ในฐานะพ่อ การไล่ลูกชายออกไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย" แต่ผลที่ตามมา "ก็สูงเกินไปที่จะปล่อยให้การยึดอำนาจโดยไม่คิดหน้าคิดหลังมาทำให้บริษัทไม่มั่นคง" เขากล่าวหุ้นของบริษัทมูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐยังคงถูกระงับ และ CDL ถูกปรับลดระดับโดยบริษัทต่างๆ รวมถึง JPMorgan Chase & Co ตามรายงานของ Bloomberg'การกระทำที่ไม่รอบคอบ'CDL เริ่มต้นจากธุรกิจที่ขาดทุนตอนที่ กัวลิ่งหมิง พ่อของเขา กัวฟางเฟิง (Kwek Hong Png) และพี่ชายของเขา กัวลิ่วอวี้ (Kwek Leng Joo) ซื้อกิจการในปี 1971ภายใต้การบริหารของ กัวลิ่งหมิง บริษัทได้ขยายตัวอย่างมาก โดยปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของบริษัทครอบคลุมถึงที่พักอาศัย สำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า และการพัฒนาแบบบูรณาการในสิงคโปร์ รวมถึงจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และทั่วทั้งยุโรปการที่บริษัทเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมทำให้บริษัทในเครือ Millennium & Copthorne Hotels กลายเป็นกลุ่มโรงแรมระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในศูนย์กลางการเงิน โดยมีทรัพย์สินรวมถึงโรงแรม The Biltmore ในย่าน Mayfair ของลอนดอน และ Millennium ในย่าน Wall Street และ Times Square ของนิวยอร์กกัวลิ่งหมิง กล่าวว่าการรักษามรดกของเขาไว้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาต่อสู้กับลูกชายและพันธมิตรในห้องประชุมของเขา“การกระทำที่ไร้ความรอบคอบของกลุ่มที่พยายามจะรวมอำนาจควบคุมที่ไร้การควบคุมเข้าด้วยกันนั้นไม่เพียงแต่ทำลายรากฐานของการปกครองของ CDL เท่านั้น แต่ยังทำให้มรดกที่เราสร้างมาตลอดหลายทศวรรษตกอยู่ในความเสี่ยงอีกด้วย” กัวลิ่งหมิง กล่าวขณะนี้ศาลเข้ามาเกี่ยวข้องและผู้นำของ CDL ก็ตกเป็นเป้าหมาย ความขัดแย้งในครอบครัวที่ขมขื่นนี้ยังไม่จบสิ้นกัวอี้จื้อ ได้ปกป้องการเคลื่อนไหวของเขาในการปลด แคเทอรีน วู ออกจากคณะกรรมการบริษัท Millennium & Copthorne เนื่องจาก "จำเป็น" สำหรับผลประโยชน์ของ CDL โดยเสริมว่ากรรมการส่วนใหญ่จะยังคง "รักษาการกำกับดูแลกิจการและความรับผิดชอบขององค์กรต่อไป"กัวลิ่งหมิง พ่อของเขาซึ่งไม่ได้กล่าวถึง วู ในคำตอบของตนยืนยันว่า "การลิดรอนอำนาจที่สำคัญใดๆ ของประธานบริหารถือเป็นการก่อรัฐประหาร"“ตอนนี้เป็นเรื่องของศาล และผมจะปล่อยให้ศาลตัดสิน ความยุติธรรมย่อมมีชัยเสมอ” กัวลิ่งหมิง กล่าวAgence France-PressePhoto Kwek Leng Beng by Roslan RAHMAN / AFP
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 517 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sam Altman CEO ของ OpenAI ได้กล่าวว่าการเปิดตัวของ GPT-4.5 ต้องถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากขาดแคลนหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) ที่จำเป็นต่อการใช้งานโมเดลนี้ อย่างไรก็ตาม มีการเตรียมส่งมอบ GPUs หลายหมื่นตัวในสัปดาห์หน้าเพื่อรองรับการขยายโมเดล GPT-4.5 ให้แก่ผู้ใช้ทั่วไป

    เรื่องที่น่าสนใจคือ OpenAI และ Microsoft กำลังสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่มีมูลค่าสูงถึง 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีโครงการขยายศูนย์ข้อมูลอื่น ๆ ทั่วโลกที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผล AI อย่างมากมาย

    นอกจากนั้น บริษัทผู้ผลิตชิป Nvidia ก็กำลังมีความต้องการสูงเนื่องจากหน่วยประมวลผลรุ่น Blackwell ของพวกเขาถูกขายหมดจนถึงเดือนตุลาคมปีนี้ การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้ Microsoft CEO Satya Nadella กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการสร้างระบบ AI มากเกินไป แต่ในขณะเดียวกันโมเดล AI ก็กำลังพัฒนาและต้องการพลังการประมวลผลมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ความเป็นจริงที่น่าตื่นเต้นคือการพัฒนา AI อย่าง GPT-4.5 ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แต่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่างมากเช่นกัน ทำให้การใช้งานโมเดลนี้จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการพัฒนา AI ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-has-run-out-of-gpus-says-sam-altman-gpt-4-5-rollout-delayed-due-to-lack-of-processing-power
    Sam Altman CEO ของ OpenAI ได้กล่าวว่าการเปิดตัวของ GPT-4.5 ต้องถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากขาดแคลนหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) ที่จำเป็นต่อการใช้งานโมเดลนี้ อย่างไรก็ตาม มีการเตรียมส่งมอบ GPUs หลายหมื่นตัวในสัปดาห์หน้าเพื่อรองรับการขยายโมเดล GPT-4.5 ให้แก่ผู้ใช้ทั่วไป เรื่องที่น่าสนใจคือ OpenAI และ Microsoft กำลังสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่มีมูลค่าสูงถึง 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีโครงการขยายศูนย์ข้อมูลอื่น ๆ ทั่วโลกที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผล AI อย่างมากมาย นอกจากนั้น บริษัทผู้ผลิตชิป Nvidia ก็กำลังมีความต้องการสูงเนื่องจากหน่วยประมวลผลรุ่น Blackwell ของพวกเขาถูกขายหมดจนถึงเดือนตุลาคมปีนี้ การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้ Microsoft CEO Satya Nadella กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการสร้างระบบ AI มากเกินไป แต่ในขณะเดียวกันโมเดล AI ก็กำลังพัฒนาและต้องการพลังการประมวลผลมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นจริงที่น่าตื่นเต้นคือการพัฒนา AI อย่าง GPT-4.5 ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แต่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่างมากเช่นกัน ทำให้การใช้งานโมเดลนี้จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการพัฒนา AI ในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-has-run-out-of-gpus-says-sam-altman-gpt-4-5-rollout-delayed-due-to-lack-of-processing-power
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts