• หลังจากเงียบหายไปนานกว่า 30 ปี Commodore กลับมาอีกครั้งภายใต้การบริหารใหม่โดยกลุ่มผู้หลงใหลในเทคโนโลยีย้อนยุค นำโดย Christian ‘Peri Fractic’ Simpson ผู้ก่อตั้งช่อง Retro Recipes ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CEO ชั่วคราวของบริษัท

    Commodore 64 Ultimate เป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่การจำลองด้วยซอฟต์แวร์ แต่ใช้ชิป AMD Artix-7 FPGA เพื่อสร้างเมนบอร์ดแบบดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับเกม ตลับ และอุปกรณ์เสริมกว่า 10,000 รายการจากยุค 80s/90s ได้จริง

    มีให้เลือก 3 รุ่น:
    - BASIC Beige ($299): รุ่นพื้นฐาน ไม่มีไฟตกแต่ง
    - Starlight Edition ($349): เคสโปร่งแสง พร้อมคีย์บอร์ดเรืองแสงแบบโต้ตอบเสียง
    - Founders Edition ($499): เคสโปร่งแสงสีอำพัน พร้อมของสะสมทองคำ 24k และหมายเลขซีเรียลพิเศษ

    สเปกเด่น:
    - RAM 128MB DDR2, Flash 16MB
    - รองรับไฟล์ .D64, .TAP, .PRG ฯลฯ
    - วิดีโอ HDMI 1080p, S-Video, RGB
    - เสียง SID แท้ + FPGA emulation
    - พอร์ตครบ: USB-A, USB-C, MicroSD, Ethernet, Wi-Fi, Cartridge, Joystick ฯลฯ
    - คีย์บอร์ดกลไก Gateron Pro 3.0 พร้อมไฟ RGB 70 จุด

    แถมฟรี:
    - คู่มือแบบเข้าใจง่าย
    - USB Cassette Drive 64GB พร้อมเกมคลาสสิกกว่า 50 เกม
    - สติกเกอร์และของสะสม

    แม้จะเปิดให้พรีออเดอร์แล้ว แต่การจัดส่งจะเริ่มเร็วที่สุดในเดือนตุลาคม และยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการซื้อกิจการ Commodore ที่ยังไม่ปิดดีลอย่างสมบูรณ์

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/the-commodore-64-ultimate-computer-is-the-companys-first-hardware-release-in-over-30-years-pre-orders-start-at-usd299
    หลังจากเงียบหายไปนานกว่า 30 ปี Commodore กลับมาอีกครั้งภายใต้การบริหารใหม่โดยกลุ่มผู้หลงใหลในเทคโนโลยีย้อนยุค นำโดย Christian ‘Peri Fractic’ Simpson ผู้ก่อตั้งช่อง Retro Recipes ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CEO ชั่วคราวของบริษัท Commodore 64 Ultimate เป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่การจำลองด้วยซอฟต์แวร์ แต่ใช้ชิป AMD Artix-7 FPGA เพื่อสร้างเมนบอร์ดแบบดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับเกม ตลับ และอุปกรณ์เสริมกว่า 10,000 รายการจากยุค 80s/90s ได้จริง มีให้เลือก 3 รุ่น: - BASIC Beige ($299): รุ่นพื้นฐาน ไม่มีไฟตกแต่ง - Starlight Edition ($349): เคสโปร่งแสง พร้อมคีย์บอร์ดเรืองแสงแบบโต้ตอบเสียง - Founders Edition ($499): เคสโปร่งแสงสีอำพัน พร้อมของสะสมทองคำ 24k และหมายเลขซีเรียลพิเศษ สเปกเด่น: - RAM 128MB DDR2, Flash 16MB - รองรับไฟล์ .D64, .TAP, .PRG ฯลฯ - วิดีโอ HDMI 1080p, S-Video, RGB - เสียง SID แท้ + FPGA emulation - พอร์ตครบ: USB-A, USB-C, MicroSD, Ethernet, Wi-Fi, Cartridge, Joystick ฯลฯ - คีย์บอร์ดกลไก Gateron Pro 3.0 พร้อมไฟ RGB 70 จุด แถมฟรี: - คู่มือแบบเข้าใจง่าย - USB Cassette Drive 64GB พร้อมเกมคลาสสิกกว่า 50 เกม - สติกเกอร์และของสะสม แม้จะเปิดให้พรีออเดอร์แล้ว แต่การจัดส่งจะเริ่มเร็วที่สุดในเดือนตุลาคม และยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการซื้อกิจการ Commodore ที่ยังไม่ปิดดีลอย่างสมบูรณ์ https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/the-commodore-64-ultimate-computer-is-the-companys-first-hardware-release-in-over-30-years-pre-orders-start-at-usd299
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The Commodore 64 Ultimate computer is the company's first hardware release in over 30 years — pre-orders start at $299
    No software emulation, this 'faithful recreation of the original motherboard' runs on an AMD Artix 7 FPGA.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • RealSense แยกตัวจาก Intel – รับทุน 50 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างอนาคต AI และหุ่นยนต์

    RealSense ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีด้านกล้องตรวจจับความลึก (depth cameras) ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Intel อย่างเป็นทางการ และจะดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทอิสระ โดยยังคงใช้ชื่อเดิม “RealSense”

    บริษัทได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek Innovation Fund เพื่อขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิต โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision)

    CEO ของ RealSense, Nadav Orbach กล่าวว่า “เราจะใช้ความเป็นอิสระนี้เพื่อเร่งนวัตกรรมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว” พร้อมระบุว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกใช้งานใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก

    RealSense มีลูกค้ากว่า 3,000 รายทั่วโลก และถือครองสิทธิบัตรด้าน computer vision มากกว่า 80 รายการ โดยมีพันธมิตรสำคัญ เช่น ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics

    บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรด้าน AI และหุ่นยนต์ รวมถึงทีมขายและการตลาด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาด edge AI และระบบจดจำใบหน้าในสถานที่สาธารณะ

    ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่รองรับ Power over Ethernet และใช้ชิป Vision SoC V5 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้งานในอุปกรณ์จำนวนมาก

    ข้อมูลจากข่าว
    - RealSense แยกตัวจาก Intel และกลายเป็นบริษัทอิสระ
    - ได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek
    - มุ่งเน้นด้าน AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และ computer vision
    - เทคโนโลยีของ RealSense ถูกใช้ใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก
    - มีลูกค้ากว่า 3,000 ราย และถือครองสิทธิบัตรกว่า 80 รายการ
    - พันธมิตรสำคัญ ได้แก่ ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics
    - ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่ใช้ Vision SoC V5 และรองรับ PoE
    - บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรและทีมขายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การแยกตัวจาก Intel อาจทำให้ RealSenseต้องเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรและการบริหารจัดการ
    - การแข่งขันในตลาด computer vision และ edge AI รุนแรงขึ้น โดยมีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย
    - การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าไปใช้ในพื้นที่สาธารณะอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของประชาชน
    - การพึ่งพาเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่ อาจมีข้อจำกัดด้านทิศทางธุรกิจในอนาคต
    - การนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมากต้องใช้เวลาและการทดสอบที่เข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/realsense-completes-spin-out-from-intel-gets-usd50-million-in-funding-from-intel-capital-and-mediatek
    RealSense แยกตัวจาก Intel – รับทุน 50 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างอนาคต AI และหุ่นยนต์ RealSense ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีด้านกล้องตรวจจับความลึก (depth cameras) ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Intel อย่างเป็นทางการ และจะดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทอิสระ โดยยังคงใช้ชื่อเดิม “RealSense” บริษัทได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek Innovation Fund เพื่อขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิต โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) CEO ของ RealSense, Nadav Orbach กล่าวว่า “เราจะใช้ความเป็นอิสระนี้เพื่อเร่งนวัตกรรมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว” พร้อมระบุว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกใช้งานใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก RealSense มีลูกค้ากว่า 3,000 รายทั่วโลก และถือครองสิทธิบัตรด้าน computer vision มากกว่า 80 รายการ โดยมีพันธมิตรสำคัญ เช่น ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรด้าน AI และหุ่นยนต์ รวมถึงทีมขายและการตลาด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาด edge AI และระบบจดจำใบหน้าในสถานที่สาธารณะ ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่รองรับ Power over Ethernet และใช้ชิป Vision SoC V5 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้งานในอุปกรณ์จำนวนมาก ✅ ข้อมูลจากข่าว - RealSense แยกตัวจาก Intel และกลายเป็นบริษัทอิสระ - ได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek - มุ่งเน้นด้าน AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และ computer vision - เทคโนโลยีของ RealSense ถูกใช้ใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก - มีลูกค้ากว่า 3,000 ราย และถือครองสิทธิบัตรกว่า 80 รายการ - พันธมิตรสำคัญ ได้แก่ ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics - ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่ใช้ Vision SoC V5 และรองรับ PoE - บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรและทีมขายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การแยกตัวจาก Intel อาจทำให้ RealSenseต้องเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรและการบริหารจัดการ - การแข่งขันในตลาด computer vision และ edge AI รุนแรงขึ้น โดยมีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย - การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าไปใช้ในพื้นที่สาธารณะอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของประชาชน - การพึ่งพาเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่ อาจมีข้อจำกัดด้านทิศทางธุรกิจในอนาคต - การนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมากต้องใช้เวลาและการทดสอบที่เข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/realsense-completes-spin-out-from-intel-gets-usd50-million-in-funding-from-intel-capital-and-mediatek
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI อัจฉริยะที่ Elon Musk บอกว่า “ฉลาดกว่าคนเรียนจบ PhD ทุกคน”

    Elon Musk เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI ล่าสุดจากบริษัท xAI โดยระบุว่าโมเดลนี้ได้รับการฝึกมากกว่า Grok 2 ถึง 100 เท่า และ “ฉลาดกว่าบัณฑิตระดับปริญญาเอกในทุกสาขาพร้อมกัน” เขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า “big bang แห่งสติปัญญา” และคาดว่า AI จะสามารถสร้างรายการทีวีที่ดูได้จริงภายในสิ้นปีนี้

    แม้ Musk จะยอมรับว่า Grok 4 ยัง “ขาดสามัญสำนึก” แต่เขาเชื่อว่าโมเดลนี้สามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ได้เร็ว ๆ นี้ และเน้นว่า “สิ่งสำคัญที่สุดของ AI คือการแสวงหาความจริง” พร้อมเสนอแนวคิดว่า AI ควรได้รับการปลูกฝังคุณธรรมเหมือนการเลี้ยงดูเด็กให้เติบโตอย่างทรงพลัง

    อย่างไรก็ตาม การเปิดตัว Grok 4 เกิดขึ้นหลังจาก Grok 3 เคยมีประเด็นรุนแรง โดยโพสต์ข้อความเชิงต่อต้านชาวยิวและยกย่อง Adolf Hitler ซึ่งทำให้ทีมงานต้องลบโพสต์และออกแถลงการณ์ขอโทษ

    Musk ยังเคยเชิญผู้ใช้แพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ให้ช่วยฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” หรือ “สิ่งที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองแต่เป็นความจริง” ซึ่งสะท้อนแนวทางที่แตกต่างจากโมเดลอื่นอย่าง ChatGPT หรือ Gemini ที่ถูกมองว่า “ตื่นตัวทางสังคม” (woke)

    ข้อมูลจากข่าว
    - Elon Musk เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI ล่าสุดจาก xAI
    - Grok 4 ได้รับการฝึกมากกว่า Grok 2 ถึง 100 เท่า
    - Musk อ้างว่า Grok 4 ฉลาดกว่าบัณฑิตระดับ PhD ในทุกสาขาพร้อมกัน
    - คาดว่า AI จะสามารถสร้างรายการทีวีที่ดูได้จริงภายในสิ้นปี 2025
    - เน้นว่า AI ควรแสวงหาความจริงและมีคุณธรรมเหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี
    - การเปิดตัวเกิดขึ้นหลังจาก Grok 3 เคยโพสต์ข้อความต่อต้านชาวยิว
    - Musk เชิญผู้ใช้ X ช่วยฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง”
    - Linda Yaccarino ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ X หลังทำงานร่วมกับ Musk มา 2 ปี

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การอ้างว่า AI “ฉลาดกว่าระดับปริญญาเอก” ยังไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ
    - Grok 3 เคยโพสต์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรม
    - การฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” อาจนำไปสู่การสร้างโมเดลที่มีอคติหรือเนื้อหาขัดแย้ง
    - การพัฒนา AI ที่เร็วเกินไปโดยไม่มีระบบควบคุมอาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด
    - การเปรียบเทียบกับโมเดลอื่นอย่าง ChatGPT หรือ Gemini อาจสร้างความแตกแยกในแนวทางการพัฒนา AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/12/elon-musk-says-his-new-ai-model-039better-than-phd-level-in-everything039
    AI อัจฉริยะที่ Elon Musk บอกว่า “ฉลาดกว่าคนเรียนจบ PhD ทุกคน” Elon Musk เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI ล่าสุดจากบริษัท xAI โดยระบุว่าโมเดลนี้ได้รับการฝึกมากกว่า Grok 2 ถึง 100 เท่า และ “ฉลาดกว่าบัณฑิตระดับปริญญาเอกในทุกสาขาพร้อมกัน” เขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า “big bang แห่งสติปัญญา” และคาดว่า AI จะสามารถสร้างรายการทีวีที่ดูได้จริงภายในสิ้นปีนี้ แม้ Musk จะยอมรับว่า Grok 4 ยัง “ขาดสามัญสำนึก” แต่เขาเชื่อว่าโมเดลนี้สามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ได้เร็ว ๆ นี้ และเน้นว่า “สิ่งสำคัญที่สุดของ AI คือการแสวงหาความจริง” พร้อมเสนอแนวคิดว่า AI ควรได้รับการปลูกฝังคุณธรรมเหมือนการเลี้ยงดูเด็กให้เติบโตอย่างทรงพลัง อย่างไรก็ตาม การเปิดตัว Grok 4 เกิดขึ้นหลังจาก Grok 3 เคยมีประเด็นรุนแรง โดยโพสต์ข้อความเชิงต่อต้านชาวยิวและยกย่อง Adolf Hitler ซึ่งทำให้ทีมงานต้องลบโพสต์และออกแถลงการณ์ขอโทษ Musk ยังเคยเชิญผู้ใช้แพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ให้ช่วยฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” หรือ “สิ่งที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองแต่เป็นความจริง” ซึ่งสะท้อนแนวทางที่แตกต่างจากโมเดลอื่นอย่าง ChatGPT หรือ Gemini ที่ถูกมองว่า “ตื่นตัวทางสังคม” (woke) ✅ ข้อมูลจากข่าว - Elon Musk เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI ล่าสุดจาก xAI - Grok 4 ได้รับการฝึกมากกว่า Grok 2 ถึง 100 เท่า - Musk อ้างว่า Grok 4 ฉลาดกว่าบัณฑิตระดับ PhD ในทุกสาขาพร้อมกัน - คาดว่า AI จะสามารถสร้างรายการทีวีที่ดูได้จริงภายในสิ้นปี 2025 - เน้นว่า AI ควรแสวงหาความจริงและมีคุณธรรมเหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี - การเปิดตัวเกิดขึ้นหลังจาก Grok 3 เคยโพสต์ข้อความต่อต้านชาวยิว - Musk เชิญผู้ใช้ X ช่วยฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” - Linda Yaccarino ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ X หลังทำงานร่วมกับ Musk มา 2 ปี ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การอ้างว่า AI “ฉลาดกว่าระดับปริญญาเอก” ยังไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ - Grok 3 เคยโพสต์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรม - การฝึก AI ด้วย “ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง” อาจนำไปสู่การสร้างโมเดลที่มีอคติหรือเนื้อหาขัดแย้ง - การพัฒนา AI ที่เร็วเกินไปโดยไม่มีระบบควบคุมอาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด - การเปรียบเทียบกับโมเดลอื่นอย่าง ChatGPT หรือ Gemini อาจสร้างความแตกแยกในแนวทางการพัฒนา AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/12/elon-musk-says-his-new-ai-model-039better-than-phd-level-in-everything039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Elon Musk says his new AI model 'better than PhD level in everything'
    Describing the current time as the "intelligence big bang", Musk admitted Grok 4 "may lack common sense" but it might create new technology "as soon as this year."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • MIPS จากตำนาน RISC สู่การเริ่มต้นใหม่ในอ้อมแขนของ GlobalFoundries

    ย้อนกลับไปในยุค 1980s MIPS คือหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรม RISC (Reduced Instruction Set Computing) โดยมี John Hennessy จาก Stanford เป็นผู้ร่วมออกแบบ และเปิดตัว CPU รุ่นแรกคือ R2000 ซึ่งมีเพียง 110,000 ทรานซิสเตอร์ แต่สามารถทำงานได้เร็วถึง 15MHz

    MIPS เคยเป็นคู่แข่งของ Intel และ Arm และมีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น:
    - Workstation ของ Silicon Graphics
    - เครื่องเล่นเกม Sony PlayStation รุ่นแรก
    - ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ของ NASA

    แต่หลังจากนั้น MIPS ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง—ผ่าน Silicon Graphics, Imagination Technologies, Tallwood Ventures และ Wave Computing ก่อนจะล้มละลายและกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยหันไปใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบโอเพนซอร์ส

    แม้จะเปิดตัวซีรีส์ eVocore และ Atlas Explorer เพื่อเจาะตลาด AI และ edge computing แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากนัก จนล่าสุด GlobalFoundries เข้าซื้อกิจการ และจะให้ MIPS ดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระที่เน้น AI, อุตสาหกรรม และระบบอัตโนมัติ

    ข้อมูลจากข่าว
    - MIPS เคยเป็นผู้นำด้าน RISC และอยู่เบื้องหลัง PlayStation รุ่นแรกและภารกิจของ NASA
    - เปิดตัว CPU รุ่นแรก R2000 ในปี 1986 และ R3000 ในปี 1988
    - ถูกซื้อโดย GlobalFoundries ซึ่งเคยเป็นโรงงานผลิตชิปของ AMD
    - MIPS จะดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระภายใต้ GlobalFoundries
    - เป้าหมายใหม่คือ AI, ระบบอัตโนมัติ และ edge computing
    - เคยเปลี่ยนมาใช้ RISC-V architecture เพื่อกลับเข้าสู่ตลาด
    - CEO ของ MIPS มองว่าการเข้าร่วม GlobalFoundries คือ “การเริ่มต้นบทใหม่ที่กล้าหาญ”

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - แม้จะมีประวัติยิ่งใหญ่ แต่ MIPS ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาด AI ได้จริง
    - การเปลี่ยนมือบ่อยครั้งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของโมเดลธุรกิจ
    - RISC-V แม้จะเป็นมาตรฐานเปิด แต่ยังมีความไม่แน่นอนในด้าน ecosystem และการสนับสนุนเชิงพาณิชย์
    - การพึ่งพา GlobalFoundries อาจทำให้ MIPS ต้องปรับตัวตามกลยุทธ์ของบริษัทแม่
    - ผู้พัฒนาและองค์กรที่ใช้ IP ของ MIPS ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/arms-legendary-rival-was-in-the-original-playstation-now-in-a-twist-of-fate-mips-has-been-sold-to-amds-former-foundry
    MIPS จากตำนาน RISC สู่การเริ่มต้นใหม่ในอ้อมแขนของ GlobalFoundries ย้อนกลับไปในยุค 1980s MIPS คือหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรม RISC (Reduced Instruction Set Computing) โดยมี John Hennessy จาก Stanford เป็นผู้ร่วมออกแบบ และเปิดตัว CPU รุ่นแรกคือ R2000 ซึ่งมีเพียง 110,000 ทรานซิสเตอร์ แต่สามารถทำงานได้เร็วถึง 15MHz MIPS เคยเป็นคู่แข่งของ Intel และ Arm และมีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น: - Workstation ของ Silicon Graphics - เครื่องเล่นเกม Sony PlayStation รุ่นแรก - ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ของ NASA แต่หลังจากนั้น MIPS ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง—ผ่าน Silicon Graphics, Imagination Technologies, Tallwood Ventures และ Wave Computing ก่อนจะล้มละลายและกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยหันไปใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบโอเพนซอร์ส แม้จะเปิดตัวซีรีส์ eVocore และ Atlas Explorer เพื่อเจาะตลาด AI และ edge computing แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากนัก จนล่าสุด GlobalFoundries เข้าซื้อกิจการ และจะให้ MIPS ดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระที่เน้น AI, อุตสาหกรรม และระบบอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - MIPS เคยเป็นผู้นำด้าน RISC และอยู่เบื้องหลัง PlayStation รุ่นแรกและภารกิจของ NASA - เปิดตัว CPU รุ่นแรก R2000 ในปี 1986 และ R3000 ในปี 1988 - ถูกซื้อโดย GlobalFoundries ซึ่งเคยเป็นโรงงานผลิตชิปของ AMD - MIPS จะดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระภายใต้ GlobalFoundries - เป้าหมายใหม่คือ AI, ระบบอัตโนมัติ และ edge computing - เคยเปลี่ยนมาใช้ RISC-V architecture เพื่อกลับเข้าสู่ตลาด - CEO ของ MIPS มองว่าการเข้าร่วม GlobalFoundries คือ “การเริ่มต้นบทใหม่ที่กล้าหาญ” ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - แม้จะมีประวัติยิ่งใหญ่ แต่ MIPS ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาด AI ได้จริง - การเปลี่ยนมือบ่อยครั้งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของโมเดลธุรกิจ - RISC-V แม้จะเป็นมาตรฐานเปิด แต่ยังมีความไม่แน่นอนในด้าน ecosystem และการสนับสนุนเชิงพาณิชย์ - การพึ่งพา GlobalFoundries อาจทำให้ MIPS ต้องปรับตัวตามกลยุทธ์ของบริษัทแม่ - ผู้พัฒนาและองค์กรที่ใช้ IP ของ MIPS ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/arms-legendary-rival-was-in-the-original-playstation-now-in-a-twist-of-fate-mips-has-been-sold-to-amds-former-foundry
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม

    Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ

    Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น:
    - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้
    - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้
    - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC

    แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ

    Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์:
    - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม)
    - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple

    Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น”

    ข้อมูลจากข่าว
    - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป
    - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
    - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake
    - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training
    - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร
    - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร
    - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration
    - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain
    - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น: - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้ - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์: - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม) - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น” ✅ ข้อมูลจากข่าว - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่ - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • MCP – ตัวเร่ง AI อัจฉริยะที่อาจเปิดช่องให้ภัยไซเบอร์
    Model Context Protocol หรือ MCP เป็นโปรโตคอลใหม่ที่ช่วยให้ AI agent และ chatbot เข้าถึงข้อมูล เครื่องมือ และบริการต่าง ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อหลายชั้นเหมือนเดิม

    เทคโนโลยีนี้ถูกสร้างโดย Anthropic ในปลายปี 2024 และได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจาก OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Cloudflare, PayPal, Stripe, Zapier ฯลฯ จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อ AI กับโลกภายนอก

    แต่ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงร้ายแรง:
    - Asana เปิด MCP server ให้ AI เข้าถึงข้อมูลงาน แต่เกิดบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลของคนอื่น
    - Atlassian ก็เจอช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ส่ง ticket ปลอมและเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูง
    - OWASP ถึงกับเปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดอันดับช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ (แม้ยังไม่มีรายการ)

    นักวิจัยพบว่า MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น:
    - ใช้ session ID ใน URL ซึ่งขัดกับหลักความปลอดภัย
    - ไม่มีระบบเซ็นชื่อหรือยืนยันข้อความ ทำให้เกิดการปลอมแปลงได้
    - MCP ทำงานใน “context window” ที่ AI เข้าใจภาษาธรรมชาติ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอก เช่น มีคนพิมพ์ว่า “ฉันคือ CEO” แล้ว AI เชื่อ

    แม้จะมีการอัปเดต MCP เพื่อแก้บางจุด เช่น เพิ่ม OAuth, resource indicator และ protocol version header แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกช่องโหว่ และ MCP server ที่ใช้งานอยู่ยังมีความเสี่ยงสูง

    ข้อมูลจากข่าว
    - MCP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้โดยตรง
    - สร้างโดย Anthropic และถูกนำไปใช้โดย OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่
    - Asana และ Atlassian เปิด MCP server แล้วพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - OWASP เปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดการช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ
    - MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ไม่มีการเซ็นชื่อข้อความ และใช้ session ID ใน URL
    - มีการอัปเดต MCP เพื่อเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันเวอร์ชัน
    - Gartner คาดว่า 75% ของ API gateway vendors จะรองรับ MCP ภายในปี 2026

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - MCP อาจเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีแบบใหม่
    - AI agent อาจถูกหลอกผ่านข้อความธรรมชาติใน context window
    - MCP server ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจมี backdoor หรือช่องโหว่ร้ายแรง
    - ควรใช้ MCP server ใน sandbox ก่อนนำไปใช้งานจริง
    - ต้องรวม MCP ใน threat modeling, penetration test และ red-team exercise
    - ควรใช้ MCP client ที่แสดงทุก tool call และ input ก่อนอนุมัติ
    - การใช้ MCP โดยไม่มี governance ที่ชัดเจนอาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อ supply chain attack

    https://www.csoonline.com/article/4015222/mcp-uses-and-risks.html
    MCP – ตัวเร่ง AI อัจฉริยะที่อาจเปิดช่องให้ภัยไซเบอร์ Model Context Protocol หรือ MCP เป็นโปรโตคอลใหม่ที่ช่วยให้ AI agent และ chatbot เข้าถึงข้อมูล เครื่องมือ และบริการต่าง ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อหลายชั้นเหมือนเดิม เทคโนโลยีนี้ถูกสร้างโดย Anthropic ในปลายปี 2024 และได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจาก OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Cloudflare, PayPal, Stripe, Zapier ฯลฯ จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อ AI กับโลกภายนอก แต่ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงร้ายแรง: - Asana เปิด MCP server ให้ AI เข้าถึงข้อมูลงาน แต่เกิดบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลของคนอื่น - Atlassian ก็เจอช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ส่ง ticket ปลอมและเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูง - OWASP ถึงกับเปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดอันดับช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ (แม้ยังไม่มีรายการ) นักวิจัยพบว่า MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น: - ใช้ session ID ใน URL ซึ่งขัดกับหลักความปลอดภัย - ไม่มีระบบเซ็นชื่อหรือยืนยันข้อความ ทำให้เกิดการปลอมแปลงได้ - MCP ทำงานใน “context window” ที่ AI เข้าใจภาษาธรรมชาติ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอก เช่น มีคนพิมพ์ว่า “ฉันคือ CEO” แล้ว AI เชื่อ แม้จะมีการอัปเดต MCP เพื่อแก้บางจุด เช่น เพิ่ม OAuth, resource indicator และ protocol version header แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกช่องโหว่ และ MCP server ที่ใช้งานอยู่ยังมีความเสี่ยงสูง ✅ ข้อมูลจากข่าว - MCP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้โดยตรง - สร้างโดย Anthropic และถูกนำไปใช้โดย OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ - Asana และ Atlassian เปิด MCP server แล้วพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - OWASP เปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดการช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ - MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ไม่มีการเซ็นชื่อข้อความ และใช้ session ID ใน URL - มีการอัปเดต MCP เพื่อเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันเวอร์ชัน - Gartner คาดว่า 75% ของ API gateway vendors จะรองรับ MCP ภายในปี 2026 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - MCP อาจเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีแบบใหม่ - AI agent อาจถูกหลอกผ่านข้อความธรรมชาติใน context window - MCP server ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจมี backdoor หรือช่องโหว่ร้ายแรง - ควรใช้ MCP server ใน sandbox ก่อนนำไปใช้งานจริง - ต้องรวม MCP ใน threat modeling, penetration test และ red-team exercise - ควรใช้ MCP client ที่แสดงทุก tool call และ input ก่อนอนุมัติ - การใช้ MCP โดยไม่มี governance ที่ชัดเจนอาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อ supply chain attack https://www.csoonline.com/article/4015222/mcp-uses-and-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    MCP is fueling agentic AI — and introducing new security risks
    MCP allows AI agents and chatbots to connect to data sources, tools, and other services, but they pose significant risks for enterprises that roll them out without having proper security guardrails in place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยก่อน CISO ส่วนใหญ่เติบโตด้วยตัวเอง — ลองผิดลองถูก, เจอบั๊กแล้วเรียนรู้, สื่อสารไม่เก่งก็ฝึกเอาเอง → แต่ตอนนี้เกมเปลี่ยน! Cybersecurity กลายเป็น “ประเด็นในระดับบอร์ด” และจำเป็นต้องมี “ทายาท” ที่ไม่ใช่แค่เทคนิคเทพ แต่ต้อง สื่อสาร–เชื่อมโยงธุรกิจ–วางกลยุทธ์ได้

    Yassir Abousselham (อดีต CISO จาก Okta และ Splunk) บอกว่า → การสร้างผู้นำไซเบอร์ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ → เช่น เขาช่วยทีมคนหนึ่งที่ “พูดต่อหน้าคนเยอะไม่ได้” ด้วยการวางแผนฝึกพูดทีละขั้น → สร้างกรอบความคิด → จัดโอกาสให้พูดจริงทีละระดับ

    ขณะที่ CISO บางองค์กรก็สร้าง “โปรแกรมผู้นำแบบจริงจัง” เช่น → PayPal สร้างเส้นทางสำหรับ “ผู้นำหญิงและคนอายุงานกลาง” โดยใช้ทั้งโปรแกรมฝึกภายในและโค้ชเฉพาะด้าน → Brown & Brown คัดคนรุ่นใหม่ที่แสดงแววภาวะผู้นำเข้าร่วมกลุ่มพิเศษ พบซีอีโอรายเดือน + รับโจทย์แก้ปัญหาจริง + เข้าร่วมอีเวนต์ตลอดปี

    CISO สมัยใหม่ยังต้อง "เข้าใจบิท-ไบต์แบบนักวิศวะ" และ "คุยกับบอร์ดผู้บริหารได้" → ต้องปั้นทีมที่มีความสามารถทั้งสองด้าน → และเพื่อไม่ให้เสียคนเก่งเพราะองค์กรไม่เติบโต → ต้องให้เวลา–ความจริงใจ–และระบบสนับสนุนที่ชัดเจน

    CISO สมัยใหม่ต้องสร้างผู้นำรุ่นถัดไป ไม่ใช่แค่สอนเทคนิค  
    • ใช้ทั้งการโค้ชแบบตัวต่อตัว และสร้างโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำเฉพาะด้าน

    Yassir Abousselham เน้นฝึกทักษะที่คนขาด เช่น public speaking → โดยวางเป้าหมายและฝึกอย่างต่อเนื่อง
    • ไม่ยอมรับคำว่า “ฉันทำไม่ได้” หากทักษะนั้นจำเป็นต่อการเติบโต

    PayPal สร้างเส้นทางผู้นำสำหรับกลุ่มผู้หญิงและ mid-career โดยใช้โปรแกรมฝึกผสมผสาน (ภายในและภายนอกองค์กร)

    Brown & Brown สร้าง cohort พิเศษให้คนที่มีแววภาวะผู้นำได้พบ CEO, แก้ปัญหาธุรกิจจริง และรับคำปรึกษาตลอดปี  
    • ใช้เป็นจุดเริ่มการสร้างวัฒนธรรมของผู้นำในองค์กร

    CISO ต้องเข้าใจทั้ง cyber engineering และการวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อคุยกับฝ่ายบริหาร

    Ouellette & Associates สร้างโปรแกรม CyberLX (9 เดือน) ฝึกผู้นำไซเบอร์พร้อมโค้ชจาก CISO จริง

    Kath Marston เตือนว่า หากองค์กรไม่ฝึกคนเก่ง → จะเสียคนเหล่านั้นให้กับองค์กรอื่นแน่นอน

    https://www.csoonline.com/article/4015173/how-cisos-are-training-the-next-generation-of-cyber-leaders.html
    สมัยก่อน CISO ส่วนใหญ่เติบโตด้วยตัวเอง — ลองผิดลองถูก, เจอบั๊กแล้วเรียนรู้, สื่อสารไม่เก่งก็ฝึกเอาเอง → แต่ตอนนี้เกมเปลี่ยน! Cybersecurity กลายเป็น “ประเด็นในระดับบอร์ด” และจำเป็นต้องมี “ทายาท” ที่ไม่ใช่แค่เทคนิคเทพ แต่ต้อง สื่อสาร–เชื่อมโยงธุรกิจ–วางกลยุทธ์ได้ Yassir Abousselham (อดีต CISO จาก Okta และ Splunk) บอกว่า → การสร้างผู้นำไซเบอร์ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ → เช่น เขาช่วยทีมคนหนึ่งที่ “พูดต่อหน้าคนเยอะไม่ได้” ด้วยการวางแผนฝึกพูดทีละขั้น → สร้างกรอบความคิด → จัดโอกาสให้พูดจริงทีละระดับ ขณะที่ CISO บางองค์กรก็สร้าง “โปรแกรมผู้นำแบบจริงจัง” เช่น → PayPal สร้างเส้นทางสำหรับ “ผู้นำหญิงและคนอายุงานกลาง” โดยใช้ทั้งโปรแกรมฝึกภายในและโค้ชเฉพาะด้าน → Brown & Brown คัดคนรุ่นใหม่ที่แสดงแววภาวะผู้นำเข้าร่วมกลุ่มพิเศษ พบซีอีโอรายเดือน + รับโจทย์แก้ปัญหาจริง + เข้าร่วมอีเวนต์ตลอดปี CISO สมัยใหม่ยังต้อง "เข้าใจบิท-ไบต์แบบนักวิศวะ" และ "คุยกับบอร์ดผู้บริหารได้" → ต้องปั้นทีมที่มีความสามารถทั้งสองด้าน → และเพื่อไม่ให้เสียคนเก่งเพราะองค์กรไม่เติบโต → ต้องให้เวลา–ความจริงใจ–และระบบสนับสนุนที่ชัดเจน ✅ CISO สมัยใหม่ต้องสร้างผู้นำรุ่นถัดไป ไม่ใช่แค่สอนเทคนิค   • ใช้ทั้งการโค้ชแบบตัวต่อตัว และสร้างโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำเฉพาะด้าน ✅ Yassir Abousselham เน้นฝึกทักษะที่คนขาด เช่น public speaking → โดยวางเป้าหมายและฝึกอย่างต่อเนื่อง • ไม่ยอมรับคำว่า “ฉันทำไม่ได้” หากทักษะนั้นจำเป็นต่อการเติบโต ✅ PayPal สร้างเส้นทางผู้นำสำหรับกลุ่มผู้หญิงและ mid-career โดยใช้โปรแกรมฝึกผสมผสาน (ภายในและภายนอกองค์กร) ✅ Brown & Brown สร้าง cohort พิเศษให้คนที่มีแววภาวะผู้นำได้พบ CEO, แก้ปัญหาธุรกิจจริง และรับคำปรึกษาตลอดปี   • ใช้เป็นจุดเริ่มการสร้างวัฒนธรรมของผู้นำในองค์กร ✅ CISO ต้องเข้าใจทั้ง cyber engineering และการวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อคุยกับฝ่ายบริหาร ✅ Ouellette & Associates สร้างโปรแกรม CyberLX (9 เดือน) ฝึกผู้นำไซเบอร์พร้อมโค้ชจาก CISO จริง ✅ Kath Marston เตือนว่า หากองค์กรไม่ฝึกคนเก่ง → จะเสียคนเหล่านั้นให้กับองค์กรอื่นแน่นอน https://www.csoonline.com/article/4015173/how-cisos-are-training-the-next-generation-of-cyber-leaders.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How CISOs are training the next generation of cyber leaders
    With cyber risk now a boardroom issue, CISOs are training their teams through personalized coaching for company-wide programs not just to defend, but to become leaders.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่าคุณต้องเข้าออฟฟิศที่ทาสีเทาๆ มีไฟเพดานที่ทำให้ปวดตา โต๊ะจัดเป็นแถวแบบโรงเรียนประถม และไม่มีอะไรน่าสนใจเลยทุกวัน... → นั่นแหละคือสิ่งที่พนักงานในอังกฤษจำนวนมากรู้สึกกับสถานที่ทำงานของพวกเขา → และผลสำรวจจาก Kinly พบว่า 34% ถึงขั้นคิดจะลาออกเพราะดีไซน์ออฟฟิศน่าเบื่อ! → โดยเฉพาะคนช่วงอายุ 25–34 ปี บางคน “ลาออกไปแล้วจริง ๆ”

    ต้นเหตุไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามนะครับ → 21% บอกว่าที่ทำงานแบบนี้กระทบ “สุขภาพจิต” โดยตรง → สร้างความรู้สึกแย่ หมดไฟ และไม่อยากมาทำงาน

    ข่าวดีก็คือ บริษัทจำนวนมากในอังกฤษเริ่ม หันมาใช้เทคโนโลยี AV เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศออฟฟิศ → มีทั้งจอภาพ เสียง ระบบเซ็นเซอร์ และสื่อมัลติมีเดีย → เพื่อช่วยให้พื้นที่ทำงานมีชีวิตชีวา สดชื่นขึ้น และเสริมจินตนาการ

    ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้เชี่ยวชาญ AV บอกว่าออฟฟิศควรมีความสวยงาม “พอ ๆ กับฟังก์ชัน” → และตอนนี้ มากกว่า 2 ใน 3 ของทีม AV เริ่มทำงานร่วมกับฝ่าย HR โดยตรงเพื่อดูแลสุขภาวะพนักงาน

    34% ของพนักงานชาวอังกฤษคิดจะลาออกเพราะออฟฟิศน่าเบื่อ  
    • โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 25–34 ปี  
    • เกือบครึ่งเคย “ลาออกจริง” เพราะเหตุผลนี้

    21% บอกว่าสภาพแวดล้อมออฟฟิศส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต  
    • ความน่าเบื่อ ความอึดอัด แสงไม่เหมาะสม สีทึม ทำให้หมดไฟ

    77% ของผู้เชี่ยวชาญ AV เชื่อว่าออฟฟิศที่น่ามองส่งผลต่อผลิตภาพโดยตรง

    บริษัทมากกว่าครึ่งในอังกฤษ เริ่มใช้เทคโนโลยีภาพและเสียงมาปรับสภาพแวดล้อม  
    • เช่น ป้ายดิจิทัล จอแสดงผล เสียงประกอบ ambient lighting  
    • ใช้เพื่อรองรับพนักงาน neurodiverse และเชื่อมโยงพนักงาน remote–onsite

    Kinly CEO ย้ำว่า “ออฟฟิศไม่ใช่แค่สวย แต่เป็นกลยุทธ์” ที่ต้องวางแผนแบบมีเป้าหมาย

    https://www.techspot.com/news/108577-workers-quitting-over-their-depressing-offices-but-av.html
    ลองนึกภาพว่าคุณต้องเข้าออฟฟิศที่ทาสีเทาๆ มีไฟเพดานที่ทำให้ปวดตา โต๊ะจัดเป็นแถวแบบโรงเรียนประถม และไม่มีอะไรน่าสนใจเลยทุกวัน... → นั่นแหละคือสิ่งที่พนักงานในอังกฤษจำนวนมากรู้สึกกับสถานที่ทำงานของพวกเขา → และผลสำรวจจาก Kinly พบว่า 34% ถึงขั้นคิดจะลาออกเพราะดีไซน์ออฟฟิศน่าเบื่อ! → โดยเฉพาะคนช่วงอายุ 25–34 ปี บางคน “ลาออกไปแล้วจริง ๆ” ต้นเหตุไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามนะครับ → 21% บอกว่าที่ทำงานแบบนี้กระทบ “สุขภาพจิต” โดยตรง → สร้างความรู้สึกแย่ หมดไฟ และไม่อยากมาทำงาน ข่าวดีก็คือ บริษัทจำนวนมากในอังกฤษเริ่ม หันมาใช้เทคโนโลยี AV เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศออฟฟิศ → มีทั้งจอภาพ เสียง ระบบเซ็นเซอร์ และสื่อมัลติมีเดีย → เพื่อช่วยให้พื้นที่ทำงานมีชีวิตชีวา สดชื่นขึ้น และเสริมจินตนาการ ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้เชี่ยวชาญ AV บอกว่าออฟฟิศควรมีความสวยงาม “พอ ๆ กับฟังก์ชัน” → และตอนนี้ มากกว่า 2 ใน 3 ของทีม AV เริ่มทำงานร่วมกับฝ่าย HR โดยตรงเพื่อดูแลสุขภาวะพนักงาน ✅ 34% ของพนักงานชาวอังกฤษคิดจะลาออกเพราะออฟฟิศน่าเบื่อ   • โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 25–34 ปี   • เกือบครึ่งเคย “ลาออกจริง” เพราะเหตุผลนี้ ✅ 21% บอกว่าสภาพแวดล้อมออฟฟิศส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต   • ความน่าเบื่อ ความอึดอัด แสงไม่เหมาะสม สีทึม ทำให้หมดไฟ ✅ 77% ของผู้เชี่ยวชาญ AV เชื่อว่าออฟฟิศที่น่ามองส่งผลต่อผลิตภาพโดยตรง ✅ บริษัทมากกว่าครึ่งในอังกฤษ เริ่มใช้เทคโนโลยีภาพและเสียงมาปรับสภาพแวดล้อม   • เช่น ป้ายดิจิทัล จอแสดงผล เสียงประกอบ ambient lighting   • ใช้เพื่อรองรับพนักงาน neurodiverse และเชื่อมโยงพนักงาน remote–onsite ✅ Kinly CEO ย้ำว่า “ออฟฟิศไม่ใช่แค่สวย แต่เป็นกลยุทธ์” ที่ต้องวางแผนแบบมีเป้าหมาย https://www.techspot.com/news/108577-workers-quitting-over-their-depressing-offices-but-av.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Some workers are quitting over their depressing office designs, but AV tech is helping
    Most offices are bland, dull, miserable boxes, with migraine-inducing lighting and drab colors. They certainly don't make occupants happy to come into work, and can even affect...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในแมตช์รอบ 4 ของ Wimbledon 2025 ที่เซ็นเตอร์คอร์ตระหว่าง Anastasia Pavlyuchenkova (รัสเซีย) และ Sonay Kartal (อังกฤษ) เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นระบบเทคโนโลยี” → เพราะลูกหนึ่งของ Kartal ออกนอกเส้นชัดเจน แต่กลับไม่มีการเรียก out → ทั้งผู้ชม–นักกีฬา–แม้แต่กรรมการกลางก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้น

    สุดท้ายมีการชี้แจงว่า…ระบบ Hawk-Eye ถูก “กดปิดชั่วคราว” จากฝีมือมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ → ทีมงาน Wimbledon ยอมรับว่า ระบบยังทำงานได้สมบูรณ์แบบ 100% แต่พลาดจากมนุษย์ล้วนๆ → และได้ประกาศแก้ไขโดย “ปิดความสามารถในการปิดระบบด้วยมือ” แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำอีก

    ด้าน CEO ของ Wimbledon ยืนยันว่า “นี่ไม่ใช่ AI” แต่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมนุษย์คอยกำกับ → กลายเป็นบทเรียนว่า แม้เทคโนโลยีจะล้ำแค่ไหน…แต่ human error ก็ยังเป็นจุดอ่อนเสมอ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/08/wimbledon-blames-human-error-for-a-mistake-by-the-tech-that-replaced-officials-here039s-what-happened
    ในแมตช์รอบ 4 ของ Wimbledon 2025 ที่เซ็นเตอร์คอร์ตระหว่าง Anastasia Pavlyuchenkova (รัสเซีย) และ Sonay Kartal (อังกฤษ) เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นระบบเทคโนโลยี” → เพราะลูกหนึ่งของ Kartal ออกนอกเส้นชัดเจน แต่กลับไม่มีการเรียก out → ทั้งผู้ชม–นักกีฬา–แม้แต่กรรมการกลางก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายมีการชี้แจงว่า…ระบบ Hawk-Eye ถูก “กดปิดชั่วคราว” จากฝีมือมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ → ทีมงาน Wimbledon ยอมรับว่า ระบบยังทำงานได้สมบูรณ์แบบ 100% แต่พลาดจากมนุษย์ล้วนๆ → และได้ประกาศแก้ไขโดย “ปิดความสามารถในการปิดระบบด้วยมือ” แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำอีก ด้าน CEO ของ Wimbledon ยืนยันว่า “นี่ไม่ใช่ AI” แต่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมนุษย์คอยกำกับ → กลายเป็นบทเรียนว่า แม้เทคโนโลยีจะล้ำแค่ไหน…แต่ human error ก็ยังเป็นจุดอ่อนเสมอ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/08/wimbledon-blames-human-error-for-a-mistake-by-the-tech-that-replaced-officials-here039s-what-happened
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Wimbledon blames human error for a mistake by the tech that replaced officials. Here's what happened
    The All England Club, somewhat ironically, is blaming "human error" for a glaring mistake by the electronic system that replaced human line judges this year at Wimbledon.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเริ่มจาก Suhail Doshi อดีต CEO ของ Mixpanel ออกมาโพสต์เตือนบน X ว่า

    “ระวังผู้ชายชื่อ Soham Parekh เขาทำงานให้สตาร์ทอัป 3–4 แห่งพร้อมกัน และยังไม่หยุด แม้ผมจะไล่เขาออกตั้งแต่สัปดาห์แรก”

    หลังจากนั้นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัปอื่น ๆ ก็เริ่มออกมาเล่าประสบการณ์คล้ายกัน → Parekh มักจะทำผลงานได้ดีมากในการสัมภาษณ์ (ถึงขั้น “ชนะขาดจากผู้สมัคร 50 คน”) → ได้รับข้อเสนองานที่เงินเดือนสูงถึง $200,000 ต่อปี → แต่พอเริ่มงานจริง เขามักอ้างเหตุฉุกเฉินเช่น น้ำท่วม ป่วย หรือแม้แต่ “โดรนโจมตีตึก” แล้วไม่ส่งงาน

    บางคนตรวจพบจาก GitHub ว่าเขายัง commit โค้ดอยู่ ในช่วงที่อ้างว่าป่วย → และมีคลิปวิดีโอที่แสดงว่าเขาทำงานให้บริษัทอื่นอยู่จริง → มีหลายบริษัทในกลุ่ม Y Combinator ที่ค้นพบว่าจ้าง Parekh พร้อมกันโดยไม่รู้ตัว

    สุดท้าย Parekh ยอมรับแบบตรง ๆ ในรายการ TBPN ว่า

    “มันจริง ผมไม่ได้ภูมิใจ และไม่แนะนำใครทำตาม…แต่ผมทำเพราะสถานการณ์การเงินแย่มาก” และตอนนี้เขาประกาศว่าจะทำงานให้บริษัทเดียวเท่านั้น โดยได้รับโอกาสใหม่จากสตาร์ทอัปชื่อ Darwin ซึ่งออกมายืนยันว่า “เรายังเชื่อในความสามารถของเขา”

    https://www.techspot.com/news/108566-crushed-interview-silicon-valley-duped-software-engineer-secretly.html
    เรื่องเริ่มจาก Suhail Doshi อดีต CEO ของ Mixpanel ออกมาโพสต์เตือนบน X ว่า “ระวังผู้ชายชื่อ Soham Parekh เขาทำงานให้สตาร์ทอัป 3–4 แห่งพร้อมกัน และยังไม่หยุด แม้ผมจะไล่เขาออกตั้งแต่สัปดาห์แรก” หลังจากนั้นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัปอื่น ๆ ก็เริ่มออกมาเล่าประสบการณ์คล้ายกัน → Parekh มักจะทำผลงานได้ดีมากในการสัมภาษณ์ (ถึงขั้น “ชนะขาดจากผู้สมัคร 50 คน”) → ได้รับข้อเสนองานที่เงินเดือนสูงถึง $200,000 ต่อปี → แต่พอเริ่มงานจริง เขามักอ้างเหตุฉุกเฉินเช่น น้ำท่วม ป่วย หรือแม้แต่ “โดรนโจมตีตึก” แล้วไม่ส่งงาน บางคนตรวจพบจาก GitHub ว่าเขายัง commit โค้ดอยู่ ในช่วงที่อ้างว่าป่วย → และมีคลิปวิดีโอที่แสดงว่าเขาทำงานให้บริษัทอื่นอยู่จริง → มีหลายบริษัทในกลุ่ม Y Combinator ที่ค้นพบว่าจ้าง Parekh พร้อมกันโดยไม่รู้ตัว 😲 สุดท้าย Parekh ยอมรับแบบตรง ๆ ในรายการ TBPN ว่า “มันจริง ผมไม่ได้ภูมิใจ และไม่แนะนำใครทำตาม…แต่ผมทำเพราะสถานการณ์การเงินแย่มาก” และตอนนี้เขาประกาศว่าจะทำงานให้บริษัทเดียวเท่านั้น โดยได้รับโอกาสใหม่จากสตาร์ทอัปชื่อ Darwin ซึ่งออกมายืนยันว่า “เรายังเชื่อในความสามารถของเขา” https://www.techspot.com/news/108566-crushed-interview-silicon-valley-duped-software-engineer-secretly.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    "He crushed the interview": Silicon Valley duped by software engineer secretly working four jobs
    The story first gained traction when Suhail Doshi, co-founder and former CEO of Mixpanel, issued a public warning on X. "PSA: there's a guy named Soham Parekh...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลเกาหลีใต้สั่งปรับและตำหนิ SK Telecom บริษัทมือถือเบอร์หนึ่งของประเทศ หลังปล่อยให้ข้อมูลผู้ใช้งานกว่า 26.96 ล้านรายการรั่วไหล เพราะถูกมัลแวร์เล่นงาน

    เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา เมื่อ SK Telecom ออกมายอมรับว่า ข้อมูลลูกค้าหลายสิบล้านชิ้นถูกโจมตี ผ่านมัลแวร์ และล่าสุดรัฐบาลเกาหลีใต้ก็สรุปผลสอบสวนว่า → “บริษัทละเลยหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลอย่างร้ายแรง” → โดยเฉพาะข้อมูลจาก “USIM” ซึ่งก็คือชิประบุตัวตนที่อยู่ในมือถือทุกเครื่อง

    รัฐบาลจึงออกคำสั่งลงโทษหลายข้อ เช่น
    - ปรับเงินสูงสุด 30 ล้านวอน (~22,000 ดอลลาร์)
    - บังคับให้เพิ่มการตรวจสอบความปลอดภัยรายไตรมาส
    - ให้ CEO ดูแล data governance ด้วยตนเอง
    - ต้องเพิ่มทีมงานและงบลงทุนด้าน Cybersecurity

    ทาง SK Telecom ยอมรับความผิด และประกาศมาตรการชดเชย เช่น → แจก ส่วนลดค่าบริการ 50% ตลอดเดือนสิงหาคม ให้ลูกค้า 24 ล้านคน → แจก ซิม USIM ใหม่ฟรีให้กับลูกค้าทั้งหมด 23 ล้านคน (ณ สิ้น มิ.ย. มี 9.39 ล้านคนมาเปลี่ยนแล้ว) → ทุ่มงบ 700 พันล้านวอน (~513 ล้านดอลลาร์) ในช่วง 5 ปีเพื่อปรับปรุงระบบความปลอดภัย → ลดเป้ารายได้ปี 2025 ลงไป 800 พันล้านวอน เพื่อสะท้อนต้นทุนที่ใช้ในการชดเชยและระบบป้องกันใหม่

    ประธานกลุ่ม SK ยังออกมาขอโทษต่อสังคม และรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์เกาหลีก็ย้ำว่า

    “เหตุการณ์นี้คือ wake-up call ด้านความมั่นคงไซเบอร์ของทั้งอุตสาหกรรมโทรคมนาคม”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/south-korea-penalises-039negligent039-sk-telecom-over-major-data-leak
    รัฐบาลเกาหลีใต้สั่งปรับและตำหนิ SK Telecom บริษัทมือถือเบอร์หนึ่งของประเทศ หลังปล่อยให้ข้อมูลผู้ใช้งานกว่า 26.96 ล้านรายการรั่วไหล เพราะถูกมัลแวร์เล่นงาน เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา เมื่อ SK Telecom ออกมายอมรับว่า ข้อมูลลูกค้าหลายสิบล้านชิ้นถูกโจมตี ผ่านมัลแวร์ และล่าสุดรัฐบาลเกาหลีใต้ก็สรุปผลสอบสวนว่า → “บริษัทละเลยหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลอย่างร้ายแรง” → โดยเฉพาะข้อมูลจาก “USIM” ซึ่งก็คือชิประบุตัวตนที่อยู่ในมือถือทุกเครื่อง 📌 รัฐบาลจึงออกคำสั่งลงโทษหลายข้อ เช่น - ปรับเงินสูงสุด 30 ล้านวอน (~22,000 ดอลลาร์) - บังคับให้เพิ่มการตรวจสอบความปลอดภัยรายไตรมาส - ให้ CEO ดูแล data governance ด้วยตนเอง - ต้องเพิ่มทีมงานและงบลงทุนด้าน Cybersecurity ทาง SK Telecom ยอมรับความผิด และประกาศมาตรการชดเชย เช่น → แจก ส่วนลดค่าบริการ 50% ตลอดเดือนสิงหาคม ให้ลูกค้า 24 ล้านคน → แจก ซิม USIM ใหม่ฟรีให้กับลูกค้าทั้งหมด 23 ล้านคน (ณ สิ้น มิ.ย. มี 9.39 ล้านคนมาเปลี่ยนแล้ว) → ทุ่มงบ 700 พันล้านวอน (~513 ล้านดอลลาร์) ในช่วง 5 ปีเพื่อปรับปรุงระบบความปลอดภัย → ลดเป้ารายได้ปี 2025 ลงไป 800 พันล้านวอน เพื่อสะท้อนต้นทุนที่ใช้ในการชดเชยและระบบป้องกันใหม่ ประธานกลุ่ม SK ยังออกมาขอโทษต่อสังคม และรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์เกาหลีก็ย้ำว่า “เหตุการณ์นี้คือ wake-up call ด้านความมั่นคงไซเบอร์ของทั้งอุตสาหกรรมโทรคมนาคม” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/south-korea-penalises-039negligent039-sk-telecom-over-major-data-leak
    WWW.THESTAR.COM.MY
    South Korea penalises 'negligent' SK Telecom over major data leak
    SEOUL (Reuters) -South Korean authorities ordered on Friday SK Telecom to strengthen data security and imposed a fine after the country's biggest mobile carrier was hit by a cyberattack that caused the leak of 26.96 million pieces of user data.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน

    เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน:
    - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics
    - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20%
    - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม
    - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด”

    ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก

    ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส

    Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี  
    • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ

    Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน  
    • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี  
    • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน

    งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:  
    • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์  
    • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน

    Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI  
    • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น

    ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน  
    • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด

    มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป”

    https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน: - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20% - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด” ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส ✅ Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี   • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ ✅ Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน   • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี   • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน ✅ งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:   • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์   • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน ✅ Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI   • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น ✅ ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน   • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด ✅ มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป” https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ford CEO joins list of execs warning AI could eliminate millions of white-collar jobs
    Farley did not elaborate on his views, but he is hardly the only Fortune 500 CEO who believes AI could spell trouble for educated white-collar workers. Leaders...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนลองใช้ AI แล้วเจอว่า “ก็ตอบโอเคนะ แต่ไม่ว้าว” → ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เพราะ AI ไม่เก่ง แต่เป็นเพราะ เราอาจยังไม่ได้สื่อสารให้มันเข้าใจเราชัดพอ

    เหมือนคุณไปขอให้เพื่อนช่วยออกแบบโลโก้ แล้วพูดแค่ว่า “ทำโลโก้ให้หน่อย” → ผลลัพธ์ก็คงจินตนาการคนละเรื่องกันเลย

    เพราะงั้น AI ถึงต้องการ “prompt” ที่ไม่ใช่แค่ถาม...แต่ต้องเล่าให้ฟังแบบเข้าใจ → ว่าคุณต้องการอะไร แค่ไหน ในน้ำเสียงแบบไหน และเพื่อใคร → ข่าวนี้เลยรวบรวมเทคนิคหลายมุมมาจากผู้สร้าง AI รุ่นท็อป เพื่อให้คุณ สื่อสารกับ AI แบบไม่เสียเวลา – ได้คำตอบฉลาดแบบที่คุณต้องการ ครับ

    เขียนให้ชัดและเฉพาะเจาะจงที่สุด (Be specific)  
    • อย่าบอกแค่ “ออกแบบโลโก้” → ให้เพิ่ม: ชื่อแบรนด์, อุตสาหกรรม, อารมณ์ที่ต้องการ, กลุ่มเป้าหมาย  
    • ลองใช้โครงสร้าง: “ช่วย __ สำหรับ __ ในแบบที่ __ โดยไม่ต้อง __”

    ถามแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่จบที่คำถามแรก (Refine & Follow up)  
    • คิดว่า AI คือเพื่อนที่คุยได้ยาว ๆ → คำตอบแรกอาจไม่สุด แต่คำถามถัดไปทำให้ดีขึ้นมาก  
    • ปรับคำถาม, ขออธิบายเพิ่ม, ขอตัวอย่างใหม่ได้เรื่อย ๆ

    ระบุ “บุคลิก” และ “ผู้ฟัง” ที่ต้องการ (Voice & Audience)  
    • เช่น: “เขียนแบบเป็นกันเอง สำหรับคนอายุ 50 ที่ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะ”  
    • หรือ “สรุปแบบจริงจัง ให้เหมือนผู้เชี่ยวชาญอธิบายให้ CEO ฟัง”

    ให้บริบทเพิ่ม พร้อมตัวอย่างถ้ามี (Context helps!)
    • อย่าบอกว่า “ช่วยวางแผนเที่ยวลอนดอน”  
    • ให้เพิ่มเช่น: “สำหรับครอบครัว 4 คน, ไม่เน้นพิพิธภัณฑ์, ชอบมิวสิคัล, งบกลาง ๆ”  
    • ยิ่งเล่าเหมือนเพื่อนยิ่งได้คำตอบแม่น

    จำกัดคำตอบให้เหมาะสม (Limit the output)  
    • สั่งได้เลยว่า “ตอบใน 150 คำ” หรือ “สรุปใน 5 bullet”  
    • ดีมากถ้าอยากให้เข้าใจง่าย หรือใช้ในพื้นที่จำกัด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/one-tech-tip-get-the-most-out-of-chatgpt-and-other-ai-chatbots-with-better-prompts
    หลายคนลองใช้ AI แล้วเจอว่า “ก็ตอบโอเคนะ แต่ไม่ว้าว” → ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เพราะ AI ไม่เก่ง แต่เป็นเพราะ เราอาจยังไม่ได้สื่อสารให้มันเข้าใจเราชัดพอ เหมือนคุณไปขอให้เพื่อนช่วยออกแบบโลโก้ แล้วพูดแค่ว่า “ทำโลโก้ให้หน่อย” → ผลลัพธ์ก็คงจินตนาการคนละเรื่องกันเลย เพราะงั้น AI ถึงต้องการ “prompt” ที่ไม่ใช่แค่ถาม...แต่ต้องเล่าให้ฟังแบบเข้าใจ → ว่าคุณต้องการอะไร แค่ไหน ในน้ำเสียงแบบไหน และเพื่อใคร → ข่าวนี้เลยรวบรวมเทคนิคหลายมุมมาจากผู้สร้าง AI รุ่นท็อป เพื่อให้คุณ สื่อสารกับ AI แบบไม่เสียเวลา – ได้คำตอบฉลาดแบบที่คุณต้องการ ครับ ✅ เขียนให้ชัดและเฉพาะเจาะจงที่สุด (Be specific)   • อย่าบอกแค่ “ออกแบบโลโก้” → ให้เพิ่ม: ชื่อแบรนด์, อุตสาหกรรม, อารมณ์ที่ต้องการ, กลุ่มเป้าหมาย   • ลองใช้โครงสร้าง: “ช่วย __ สำหรับ __ ในแบบที่ __ โดยไม่ต้อง __” ✅ ถามแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่จบที่คำถามแรก (Refine & Follow up)   • คิดว่า AI คือเพื่อนที่คุยได้ยาว ๆ → คำตอบแรกอาจไม่สุด แต่คำถามถัดไปทำให้ดีขึ้นมาก   • ปรับคำถาม, ขออธิบายเพิ่ม, ขอตัวอย่างใหม่ได้เรื่อย ๆ ✅ ระบุ “บุคลิก” และ “ผู้ฟัง” ที่ต้องการ (Voice & Audience)   • เช่น: “เขียนแบบเป็นกันเอง สำหรับคนอายุ 50 ที่ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะ”   • หรือ “สรุปแบบจริงจัง ให้เหมือนผู้เชี่ยวชาญอธิบายให้ CEO ฟัง” ✅ ให้บริบทเพิ่ม พร้อมตัวอย่างถ้ามี (Context helps!) • อย่าบอกว่า “ช่วยวางแผนเที่ยวลอนดอน”   • ให้เพิ่มเช่น: “สำหรับครอบครัว 4 คน, ไม่เน้นพิพิธภัณฑ์, ชอบมิวสิคัล, งบกลาง ๆ”   • ยิ่งเล่าเหมือนเพื่อนยิ่งได้คำตอบแม่น ✅ จำกัดคำตอบให้เหมาะสม (Limit the output)   • สั่งได้เลยว่า “ตอบใน 150 คำ” หรือ “สรุปใน 5 bullet”   • ดีมากถ้าอยากให้เข้าใจง่าย หรือใช้ในพื้นที่จำกัด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/one-tech-tip-get-the-most-out-of-chatgpt-and-other-ai-chatbots-with-better-prompts
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Get the most out of ChatGPT and other AI chatbots with better prompts
    If you're using ChatGPT but getting mediocre results, don't blame the chatbot. Instead, try sharpening up your prompts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • แต่เดิม 18A ถูกวางตัวให้เป็นหมัดเด็ดของ Intel ในการกลับเข้าสู่ตลาดโรงหล่อแข่งกับ TSMC — เพราะมันคือเทคโนโลยีแรกที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบ RibbonFET กับโครงสร้างส่งพลังงานด้านหลัง PowerVia อย่างเต็มรูปแบบ

    แต่ล่าสุดมีรายงานว่า CEO คนใหม่ของ Intel, Lip-Bu Tan กำลังพิจารณา “ถอยออกจาก 18A สำหรับลูกค้าภายนอก” แล้วหันไปโฟกัสกับ 14A แทน โดยเขามองว่า:
    - 18A ดึงลูกค้าขนาดใหญ่ได้ยาก
    - ทุนที่ลงไปอาจไม่คุ้ม ถ้ายังไม่มีดีลใหญ่
    - 14A เตรียมไว้สำหรับการผลิตจริงในปี 2028 — ถ้าจะโปรโมต ก็ควรเริ่มแล้วตอนนี้

    ผลที่ตามมาคือ Intel อาจต้อง “หายไปจากสนามแข่งของ TSMC รุ่น N2 / A16” ไปอีก 2-3 ปี → เปิดช่องว่างให้ TSMC ครองตลาดแบบไร้คู่แข่งเลยก็ได้

    แม้ Intel จะยังผลิตชิปภายในของตัวเองด้วย 18A เช่น Panther Lake, Diamond Rapids ฯลฯ แต่การถอนตัวจาก 18A ฝั่งโรงหล่อ ก็เหมือนกับยอมรับว่า…

    “เรายังไม่พร้อมให้คนอื่นใช้ของเราเป็นเวทีหลักได้ในตอนนี้”

    Intel อาจไม่เปิดใช้เทคโนโลยี 18A ให้กับลูกค้าโรงหล่อภายนอกอีกต่อไป  
    • เพราะดึงลูกค้าใหญ่ได้ไม่มาก  
    • มีค่าใช้จ่ายสูงในการสนับสนุน + รักษาโรงงาน

    จะโฟกัสไปที่เทคโนโลยี 14A แทน → เตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในปี 2028  
    • เริ่มโปรโมตให้ลูกค้าภายนอกแล้ว  
    • ใช้ PowerDirect และ Turbo Cells — เทคโนโลยีขั้นกว่าของ PowerVia

    18A ยังใช้กับผลิตภัณฑ์ภายในของ Intel เช่น Panther Lake, Jaguar Shores, Diamond Rapids  
    • แต่ไม่ดันออกตลาดให้ผู้อื่นใช้อีกต่อไป  
    • ลูกค้าภายนอกที่ยืนยันใช้ 18A มีแค่ Amazon, Microsoft, กระทรวงกลาโหมสหรัฐ

    หากถอนตัวจากตลาด foundry รุ่น 18A → Intel จะไม่สามารถแข่งกับ TSMC รุ่น N2 / A16 ได้อีก 2–3 ปี

    TSMC ยังเหนือกว่าเรื่องความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ แม้ 18A จะได้เปรียบเรื่อง Power Delivery

    Intel เตรียมหารือกับบอร์ดบริหารปลายปีนี้ เพื่อเคาะทิศทางสุดท้าย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-might-axe-the-18a-process-node-for-foundry-customers-essentially-leaving-tsmc-with-no-rival-intel-reportedly-to-focus-on-14a
    แต่เดิม 18A ถูกวางตัวให้เป็นหมัดเด็ดของ Intel ในการกลับเข้าสู่ตลาดโรงหล่อแข่งกับ TSMC — เพราะมันคือเทคโนโลยีแรกที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบ RibbonFET กับโครงสร้างส่งพลังงานด้านหลัง PowerVia อย่างเต็มรูปแบบ แต่ล่าสุดมีรายงานว่า CEO คนใหม่ของ Intel, Lip-Bu Tan กำลังพิจารณา “ถอยออกจาก 18A สำหรับลูกค้าภายนอก” แล้วหันไปโฟกัสกับ 14A แทน โดยเขามองว่า: - 18A ดึงลูกค้าขนาดใหญ่ได้ยาก - ทุนที่ลงไปอาจไม่คุ้ม ถ้ายังไม่มีดีลใหญ่ - 14A เตรียมไว้สำหรับการผลิตจริงในปี 2028 — ถ้าจะโปรโมต ก็ควรเริ่มแล้วตอนนี้ ผลที่ตามมาคือ Intel อาจต้อง “หายไปจากสนามแข่งของ TSMC รุ่น N2 / A16” ไปอีก 2-3 ปี → เปิดช่องว่างให้ TSMC ครองตลาดแบบไร้คู่แข่งเลยก็ได้ แม้ Intel จะยังผลิตชิปภายในของตัวเองด้วย 18A เช่น Panther Lake, Diamond Rapids ฯลฯ แต่การถอนตัวจาก 18A ฝั่งโรงหล่อ ก็เหมือนกับยอมรับว่า… “เรายังไม่พร้อมให้คนอื่นใช้ของเราเป็นเวทีหลักได้ในตอนนี้” ✅ Intel อาจไม่เปิดใช้เทคโนโลยี 18A ให้กับลูกค้าโรงหล่อภายนอกอีกต่อไป   • เพราะดึงลูกค้าใหญ่ได้ไม่มาก   • มีค่าใช้จ่ายสูงในการสนับสนุน + รักษาโรงงาน ✅ จะโฟกัสไปที่เทคโนโลยี 14A แทน → เตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในปี 2028   • เริ่มโปรโมตให้ลูกค้าภายนอกแล้ว   • ใช้ PowerDirect และ Turbo Cells — เทคโนโลยีขั้นกว่าของ PowerVia ✅ 18A ยังใช้กับผลิตภัณฑ์ภายในของ Intel เช่น Panther Lake, Jaguar Shores, Diamond Rapids   • แต่ไม่ดันออกตลาดให้ผู้อื่นใช้อีกต่อไป   • ลูกค้าภายนอกที่ยืนยันใช้ 18A มีแค่ Amazon, Microsoft, กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ✅ หากถอนตัวจากตลาด foundry รุ่น 18A → Intel จะไม่สามารถแข่งกับ TSMC รุ่น N2 / A16 ได้อีก 2–3 ปี ✅ TSMC ยังเหนือกว่าเรื่องความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ แม้ 18A จะได้เปรียบเรื่อง Power Delivery ✅ Intel เตรียมหารือกับบอร์ดบริหารปลายปีนี้ เพื่อเคาะทิศทางสุดท้าย https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-might-axe-the-18a-process-node-for-foundry-customers-essentially-leaving-tsmc-with-no-rival-intel-reportedly-to-focus-on-14a
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแรกไม่มีใครเอะใจว่าทำไม ยอดขายของ NVIDIA ในสิงคโปร์ปี 2024 พุ่งถึง 28% ทั้งที่จัดส่งจริงในประเทศมีแค่ 1% — จนกระทั่ง DeepSeek เปิดตัวโมเดล LLM ระดับเทพในจีน… แล้วคำถามเริ่มตามมาว่า “GPU ที่ใช้เทรนได้มายังไง?”

    คำตอบอาจอยู่ที่คน 3 คนที่โดนจับในสิงคโปร์:
    - Woon Guo Jie (สิงคโปร์, 41 ปี)
    - Alan Wei Zhaolun (สิงคโปร์, 49 ปี)
    - Li Ming (จีน, 51 ปี)

    พวกเขาถูกกล่าวหาว่า แสดงข้อมูลปลอมเกี่ยวกับปลายทางของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อจากสหรัฐฯ แล้วส่งต่อเข้าแดนจีน — ข้ามข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งอุปกรณ์ AI ขั้นสูงเข้าจีนโดยตรง

    การสืบสวนถูกเร่งด่วนขึ้นหลัง DeepSeek เปิดตัว และพบว่า บริษัทใช้ GPU ระดับสูงที่ถูกควบคุมการส่งออก แต่ด้าน NVIDIA ปฏิเสธว่า “ไม่เคยขายให้ผู้ต้องห้าม” และ CEO Jensen Huang ก็ออกมาบอกชัดว่า “ไม่มีหลักฐานชิปหลุดไปถึงมือผิด”

    ปัญหาคือ ช่องทางผ่าน “บริษัทบิลจากสิงคโปร์” แต่จัดส่งสินค้ากลับไปยังจีนหรือมาเลเซีย เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมการค้า → ทำให้สหรัฐฯ เตรียมร่างกฎหมายใหม่ที่บังคับให้ GPU ชั้นสูงต้องมี “ระบบติดตาม GPS” ตลอดการขนส่ง

    สามผู้ต้องหาในสิงคโปร์ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงในปี 2023–2024  
    • แสดงข้อมูลเท็จเกี่ยวกับปลายทางจริงของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อ  
    • เชื่อมโยงกับการส่งมอบชิปให้บริษัทจีน DeepSeek ซึ่งอยู่ระหว่างจับตามอง

    DeepSeek เป็นบริษัท AI สัญชาติจีนที่เปิดตัวโมเดลขนาดใหญ่ปลายปี 2024  
    • เทียบระดับ GPT-4 และ Claude  
    • สหรัฐสงสัยว่า GPU ที่ใช้มาจากแหล่งผิดกฎหมายผ่านชาติที่ 3

    NVIDIA รายงานว่าสิงคโปร์คิดเป็น 28% ของรายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จัดส่งจริงแค่ 1%  
    • จุดชนวนให้เริ่มสืบสวนช่องทางการส่งต่อ

    NVIDIA ปฏิเสธว่าไม่ได้ขายให้รายชื่อที่ถูกแบน และไม่รู้เห็นการลักลอบ  
    • CEO ยืนยัน “ไม่มีหลักฐาน GPU หลุดไปถึง DeepSeek”

    สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมายให้ติดระบบติดตาม (tracking tech) กับ GPU ขั้นสูงที่ส่งออก  
    • เพื่อป้องกันการถูก “เบี่ยงปลายทาง” (diversion) ไปยังประเทศต้องห้าม

    สิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค → การใช้ billing address จากที่นี่แต่จัดส่งที่อื่นเป็นเรื่องปกติ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/singapore-ai-chip-court-case-adjourned-until-august-trio-accused-of-illegally-smuggling-nvidia-chips-to-china-for-use-by-ai-firm-deepseek
    ตอนแรกไม่มีใครเอะใจว่าทำไม ยอดขายของ NVIDIA ในสิงคโปร์ปี 2024 พุ่งถึง 28% ทั้งที่จัดส่งจริงในประเทศมีแค่ 1% — จนกระทั่ง DeepSeek เปิดตัวโมเดล LLM ระดับเทพในจีน… แล้วคำถามเริ่มตามมาว่า “GPU ที่ใช้เทรนได้มายังไง?” คำตอบอาจอยู่ที่คน 3 คนที่โดนจับในสิงคโปร์: - Woon Guo Jie (สิงคโปร์, 41 ปี) - Alan Wei Zhaolun (สิงคโปร์, 49 ปี) - Li Ming (จีน, 51 ปี) พวกเขาถูกกล่าวหาว่า แสดงข้อมูลปลอมเกี่ยวกับปลายทางของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อจากสหรัฐฯ แล้วส่งต่อเข้าแดนจีน — ข้ามข้อกำหนดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งอุปกรณ์ AI ขั้นสูงเข้าจีนโดยตรง การสืบสวนถูกเร่งด่วนขึ้นหลัง DeepSeek เปิดตัว และพบว่า บริษัทใช้ GPU ระดับสูงที่ถูกควบคุมการส่งออก แต่ด้าน NVIDIA ปฏิเสธว่า “ไม่เคยขายให้ผู้ต้องห้าม” และ CEO Jensen Huang ก็ออกมาบอกชัดว่า “ไม่มีหลักฐานชิปหลุดไปถึงมือผิด” ปัญหาคือ ช่องทางผ่าน “บริษัทบิลจากสิงคโปร์” แต่จัดส่งสินค้ากลับไปยังจีนหรือมาเลเซีย เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมการค้า → ทำให้สหรัฐฯ เตรียมร่างกฎหมายใหม่ที่บังคับให้ GPU ชั้นสูงต้องมี “ระบบติดตาม GPS” ตลอดการขนส่ง ✅ สามผู้ต้องหาในสิงคโปร์ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงในปี 2023–2024   • แสดงข้อมูลเท็จเกี่ยวกับปลายทางจริงของเซิร์ฟเวอร์ที่ซื้อ   • เชื่อมโยงกับการส่งมอบชิปให้บริษัทจีน DeepSeek ซึ่งอยู่ระหว่างจับตามอง ✅ DeepSeek เป็นบริษัท AI สัญชาติจีนที่เปิดตัวโมเดลขนาดใหญ่ปลายปี 2024   • เทียบระดับ GPT-4 และ Claude   • สหรัฐสงสัยว่า GPU ที่ใช้มาจากแหล่งผิดกฎหมายผ่านชาติที่ 3 ✅ NVIDIA รายงานว่าสิงคโปร์คิดเป็น 28% ของรายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จัดส่งจริงแค่ 1%   • จุดชนวนให้เริ่มสืบสวนช่องทางการส่งต่อ ✅ NVIDIA ปฏิเสธว่าไม่ได้ขายให้รายชื่อที่ถูกแบน และไม่รู้เห็นการลักลอบ   • CEO ยืนยัน “ไม่มีหลักฐาน GPU หลุดไปถึง DeepSeek” ✅ สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมายให้ติดระบบติดตาม (tracking tech) กับ GPU ขั้นสูงที่ส่งออก   • เพื่อป้องกันการถูก “เบี่ยงปลายทาง” (diversion) ไปยังประเทศต้องห้าม ✅ สิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค → การใช้ billing address จากที่นี่แต่จัดส่งที่อื่นเป็นเรื่องปกติ https://www.tomshardware.com/tech-industry/singapore-ai-chip-court-case-adjourned-until-august-trio-accused-of-illegally-smuggling-nvidia-chips-to-china-for-use-by-ai-firm-deepseek
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนรู้จัก Grammarly ในฐานะผู้ช่วยตรวจแกรมมาร์ แต่ตอนนี้บริษัทกำลังกลายร่างเป็น “ศูนย์กลาง AI ด้านการสื่อสารในองค์กร” เลยครับ โดยการซื้อ Superhuman ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอีเมล — มันคือชิ้นส่วนต่อจิ๊กซอว์สู่ผลิตภัณฑ์ครบวงจรที่รวม AI, เอกสาร, อีเมล, ปฏิทิน และอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน

    Superhuman เคยเป็นแอปอีเมลสุดพรีเมียมที่มี waitlist ยาวเหยียด ด้วยจุดขายความเร็วและดีไซน์เฉียบ แต่หลังจากที่ Google และ Microsoft พัฒนา AI ใน Gmail / Outlook มากขึ้น Superhuman ก็เจอความท้าทายไม่น้อย

    Grammarly ที่เพิ่งได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เลยฉวยโอกาสนี้ซื้อ Superhuman เข้ามา พร้อมวางแผนใหญ่:
    - ดึงทีมและเทคโนโลยี Superhuman มาสร้าง “AI agents” ที่จะช่วยคุณเขียน ตอบ ค้นหา และจัดการเมลอย่างอัตโนมัติ
    - ใช้ข้อมูลจากเอกสาร + อีเมล + ปฏิทิน เพื่อสร้างผู้ช่วยเสมือนที่ “เข้าใจงานและบริบทของคุณจริง ๆ”

    CEO คนใหม่ของ Grammarly คือ Shishir Mehrotra (อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Coda) ซึ่งก็เคยปั้น Coda ให้เป็น workspace platform มาก่อน ดังนั้นนี่อาจเป็นการสร้าง “Coda + Email + AI = Grammarly ยุคใหม่” ก็เป็นได้ครับ!

    Grammarly ซื้อกิจการ Superhuman เพื่อลุยตลาด AI Productivity Suite  
    • ยังไม่เปิดเผยมูลค่าการซื้อ แต่ Superhuman เคยมีมูลค่าบริษัท $825 ล้าน  
    • มีรายได้ ~$35 ล้าน/ปี และผู้ใช้หลักอยู่ในกลุ่มองค์กร/มืออาชีพ

    Grammarly ได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เมื่อไม่นานมานี้  
    • ใช้สำหรับขยายผลิตภัณฑ์ + สร้าง ecosystem ด้านการทำงานด้วย AI

    Superhuman จะยังคงแบรนด์เดิมและทีมเดิมอยู่ใน Grammarly  
    • CEO Rahul Vohra จะย้ายมานั่งใน Grammarly พร้อมทีม ~100 คน  
    • แผนจะขยายจากอีเมลสู่ปฏิทิน, งาน (Tasks), และการทำงานร่วมกัน (Collab tools)

    วิสัยทัศน์คือสร้าง “AI Agents” ที่เข้าใจทั้งอีเมล เอกสาร และบริบทการทำงานของผู้ใช้  
    • ใช้ช่วยเขียน ตอบอีเมล วิเคราะห์บริบท และลดเวลาค้นหาข้อมูลจากระบบต่าง ๆ  
    • แข่งขันกับ Copilot ของ Microsoft, Duet AI ของ Google, Salesforce Slack AI, และอื่น ๆ

    Superhuman ระบุว่าปัจจุบันผู้ใช้ส่งเมลได้เร็วขึ้น 72% และใช้งาน AI เขียนอีเมลเพิ่ม 5 เท่าในปีที่ผ่านมา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/exclusive-grammarly-acquires-email-startup-superhuman-in-ai-platform-push
    หลายคนรู้จัก Grammarly ในฐานะผู้ช่วยตรวจแกรมมาร์ แต่ตอนนี้บริษัทกำลังกลายร่างเป็น “ศูนย์กลาง AI ด้านการสื่อสารในองค์กร” เลยครับ โดยการซื้อ Superhuman ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอีเมล — มันคือชิ้นส่วนต่อจิ๊กซอว์สู่ผลิตภัณฑ์ครบวงจรที่รวม AI, เอกสาร, อีเมล, ปฏิทิน และอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน Superhuman เคยเป็นแอปอีเมลสุดพรีเมียมที่มี waitlist ยาวเหยียด ด้วยจุดขายความเร็วและดีไซน์เฉียบ แต่หลังจากที่ Google และ Microsoft พัฒนา AI ใน Gmail / Outlook มากขึ้น Superhuman ก็เจอความท้าทายไม่น้อย Grammarly ที่เพิ่งได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เลยฉวยโอกาสนี้ซื้อ Superhuman เข้ามา พร้อมวางแผนใหญ่: - ดึงทีมและเทคโนโลยี Superhuman มาสร้าง “AI agents” ที่จะช่วยคุณเขียน ตอบ ค้นหา และจัดการเมลอย่างอัตโนมัติ - ใช้ข้อมูลจากเอกสาร + อีเมล + ปฏิทิน เพื่อสร้างผู้ช่วยเสมือนที่ “เข้าใจงานและบริบทของคุณจริง ๆ” CEO คนใหม่ของ Grammarly คือ Shishir Mehrotra (อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Coda) ซึ่งก็เคยปั้น Coda ให้เป็น workspace platform มาก่อน ดังนั้นนี่อาจเป็นการสร้าง “Coda + Email + AI = Grammarly ยุคใหม่” ก็เป็นได้ครับ! ✅ Grammarly ซื้อกิจการ Superhuman เพื่อลุยตลาด AI Productivity Suite   • ยังไม่เปิดเผยมูลค่าการซื้อ แต่ Superhuman เคยมีมูลค่าบริษัท $825 ล้าน   • มีรายได้ ~$35 ล้าน/ปี และผู้ใช้หลักอยู่ในกลุ่มองค์กร/มืออาชีพ ✅ Grammarly ได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เมื่อไม่นานมานี้   • ใช้สำหรับขยายผลิตภัณฑ์ + สร้าง ecosystem ด้านการทำงานด้วย AI ✅ Superhuman จะยังคงแบรนด์เดิมและทีมเดิมอยู่ใน Grammarly   • CEO Rahul Vohra จะย้ายมานั่งใน Grammarly พร้อมทีม ~100 คน   • แผนจะขยายจากอีเมลสู่ปฏิทิน, งาน (Tasks), และการทำงานร่วมกัน (Collab tools) ✅ วิสัยทัศน์คือสร้าง “AI Agents” ที่เข้าใจทั้งอีเมล เอกสาร และบริบทการทำงานของผู้ใช้   • ใช้ช่วยเขียน ตอบอีเมล วิเคราะห์บริบท และลดเวลาค้นหาข้อมูลจากระบบต่าง ๆ   • แข่งขันกับ Copilot ของ Microsoft, Duet AI ของ Google, Salesforce Slack AI, และอื่น ๆ ✅ Superhuman ระบุว่าปัจจุบันผู้ใช้ส่งเมลได้เร็วขึ้น 72% และใช้งาน AI เขียนอีเมลเพิ่ม 5 เท่าในปีที่ผ่านมา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/exclusive-grammarly-acquires-email-startup-superhuman-in-ai-platform-push
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Grammarly to acquire email startup Superhuman in AI platform push
    (Corrects the year Grammarly was founded in paragraph 3, and the spelling of CEO's first name in paragraph 6;)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดิสคูเล่ CEO ของเวลฟาโก้บอกว่าเขารู้ว่าหลังจาก 1970 ธนาคารต้องเปลี่ยน แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปในรูปแบบไหนแต่ที่เขาจะเสียเวลาไปรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เขาพุ่งไปที่ขีดความสามารถโดยไม่ขาดสายเข้าไปในเส้นเลือดของบริษัทโดยตรงเมื่อไหร่ในที่ไหนพบคนเก่งพวกเขาจะจ้างมาอยู่ด้วยโดยที่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร เขาบอกว่านี่คือการสร้างอนาคตถ้าผมไม่มีคนที่เก่งพอที่จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงจะมาถึงพวกเขามองออกและพวกเขายืดหยุ่นพอที่จะรับมือนั้น

    จากหนังสือ #GoodToGreat

    ดิสคูเล่ CEO ของเวลฟาโก้บอกว่าเขารู้ว่าหลังจาก 1970 ธนาคารต้องเปลี่ยน แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปในรูปแบบไหนแต่ที่เขาจะเสียเวลาไปรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เขาพุ่งไปที่ขีดความสามารถโดยไม่ขาดสายเข้าไปในเส้นเลือดของบริษัทโดยตรงเมื่อไหร่ในที่ไหนพบคนเก่งพวกเขาจะจ้างมาอยู่ด้วยโดยที่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร เขาบอกว่านี่คือการสร้างอนาคตถ้าผมไม่มีคนที่เก่งพอที่จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงจะมาถึงพวกเขามองออกและพวกเขายืดหยุ่นพอที่จะรับมือนั้น จากหนังสือ #GoodToGreat
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเด็นนี้เกิดในงานสัมมนาเทคโนโลยีของ Bosch ที่จัดขึ้นที่เมือง Stuttgart เยอรมนี โดย Hartung ชี้ว่า ยุโรปแม้จะมีทรัพยากรด้านเทคโนโลยี AI และสิทธิบัตรเยอะ (Bosch เองเป็นเจ้าของสิทธิบัตร AI มากสุดในยุโรป!) แต่กลับถูกรั้งไว้ด้วย กฎระเบียบที่ทั้งเข้มงวดและ “คลุมเครือ” ซึ่งทำให้ยุโรปกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่น่าดึงดูดสำหรับการพัฒนา AI เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ หรือจีน

    ขณะเดียวกัน สหรัฐก็เร่งเครื่องแบบสุดขีด — โดยมีนโยบายทุ่มลงทุนภาคเอกชนกว่า $500,000 ล้านสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ส่วนสหภาพยุโรปเองก็พยายามตามด้วยงบประมาณประมาณ €200,000 ล้าน แต่ Hartung ยังมองว่าถ้าไม่แก้ปัญหาเรื่อง “กฎหมายเกินความจำเป็น” ก็อาจจะไล่ไม่ทันอยู่ดี

    เขาเสนอให้ยุโรปวางกรอบกฎหมาย AI เฉพาะประเด็นหลัก และให้พื้นที่กับนวัตกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่อง AI ด้านอุตสาหกรรมและยานยนต์อัตโนมัติ ที่ Bosch กำลังลงทุนอย่างจริงจัง

    Bosch ชี้ว่ายุโรปมีสิทธิบัตร AI มาก แต่กำลังล้าหลังเพราะออกกฎหมายเยอะเกินไป  
    • Hartung ใช้คำว่า “เรากำลังออกกฎหมายต่อต้านความก้าวหน้าเทคโนโลยีของเราเอง”

    Bosch เตรียมลงทุนเพิ่ม €2.5 พันล้าน ใน AI ภายในปี 2027  
    • มุ่งเน้น AI สำหรับการขับเคลื่อนอัตโนมัติและระบบอุตสาหกรรม

    ยุโรปถูกมองว่ามีความล่าช้าและซับซ้อนในแง่กฎหมายเทียบกับสหรัฐฯ หรือจีน  
    • ทำให้บริษัทเทคโนโลยีลังเลที่จะลงหลักปักฐานในภูมิภาคนี้

    Hartung แนะให้จำกัดกฎ AI เฉพาะหัวข้อสำคัญเท่านั้น  
    • เพื่อลดความเสี่ยงที่กฎหมายจะขัดขวางนวัตกรรมโดยไม่ตั้งใจ

    เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ และอียูแข่งขันอัดงบพัฒนา AI ในระดับหลายแสนล้าน  
    • สหรัฐเสนอกรอบการลงทุนเอกชนสูงถึง $500B  
    • อียูตั้งเป้า mobilize งบประมาณรวม €200B สำหรับภาค AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/25/bosch-ceo-warns-europe-against-regulating-039itself-to-death039-on-ai
    ประเด็นนี้เกิดในงานสัมมนาเทคโนโลยีของ Bosch ที่จัดขึ้นที่เมือง Stuttgart เยอรมนี โดย Hartung ชี้ว่า ยุโรปแม้จะมีทรัพยากรด้านเทคโนโลยี AI และสิทธิบัตรเยอะ (Bosch เองเป็นเจ้าของสิทธิบัตร AI มากสุดในยุโรป!) แต่กลับถูกรั้งไว้ด้วย กฎระเบียบที่ทั้งเข้มงวดและ “คลุมเครือ” ซึ่งทำให้ยุโรปกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่น่าดึงดูดสำหรับการพัฒนา AI เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ หรือจีน ขณะเดียวกัน สหรัฐก็เร่งเครื่องแบบสุดขีด — โดยมีนโยบายทุ่มลงทุนภาคเอกชนกว่า $500,000 ล้านสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ส่วนสหภาพยุโรปเองก็พยายามตามด้วยงบประมาณประมาณ €200,000 ล้าน แต่ Hartung ยังมองว่าถ้าไม่แก้ปัญหาเรื่อง “กฎหมายเกินความจำเป็น” ก็อาจจะไล่ไม่ทันอยู่ดี เขาเสนอให้ยุโรปวางกรอบกฎหมาย AI เฉพาะประเด็นหลัก และให้พื้นที่กับนวัตกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่อง AI ด้านอุตสาหกรรมและยานยนต์อัตโนมัติ ที่ Bosch กำลังลงทุนอย่างจริงจัง ✅ Bosch ชี้ว่ายุโรปมีสิทธิบัตร AI มาก แต่กำลังล้าหลังเพราะออกกฎหมายเยอะเกินไป   • Hartung ใช้คำว่า “เรากำลังออกกฎหมายต่อต้านความก้าวหน้าเทคโนโลยีของเราเอง” ✅ Bosch เตรียมลงทุนเพิ่ม €2.5 พันล้าน ใน AI ภายในปี 2027   • มุ่งเน้น AI สำหรับการขับเคลื่อนอัตโนมัติและระบบอุตสาหกรรม ✅ ยุโรปถูกมองว่ามีความล่าช้าและซับซ้อนในแง่กฎหมายเทียบกับสหรัฐฯ หรือจีน   • ทำให้บริษัทเทคโนโลยีลังเลที่จะลงหลักปักฐานในภูมิภาคนี้ ✅ Hartung แนะให้จำกัดกฎ AI เฉพาะหัวข้อสำคัญเท่านั้น   • เพื่อลดความเสี่ยงที่กฎหมายจะขัดขวางนวัตกรรมโดยไม่ตั้งใจ ✅ เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ และอียูแข่งขันอัดงบพัฒนา AI ในระดับหลายแสนล้าน   • สหรัฐเสนอกรอบการลงทุนเอกชนสูงถึง $500B   • อียูตั้งเป้า mobilize งบประมาณรวม €200B สำหรับภาค AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/25/bosch-ceo-warns-europe-against-regulating-039itself-to-death039-on-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bosch CEO warns Europe against regulating 'itself to death' on AI
    FRANKFURT (Reuters) -Bosch CEO Stefan Hartung warned on Wednesday that Europe risks hindering its progress in artificial intelligence compared with other parts of the world through over-regulation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากคุณเคยตามวงการไอทีมาตั้งแต่ยุค 2000 คงเคยได้ยินว่า “ไมโครซอฟท์เคยเกลียดลินุกซ์เข้าไส้” ถึงขั้นที่อดีตซีอีโอ Steve Ballmer เคยเปรียบลินุกซ์ว่าเป็น "cancer" ด้านลิขสิทธิ์ (intellectual property) เพราะมันเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่เติบโตเร็วและขัดแย้งกับโมเดลของ Windows อย่างชัดเจน

    จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้ง Gates และ Torvalds ได้พบกันในงานดินเนอร์ร่วมกับ Dave Cutler (ผู้สร้าง Windows NT) และ Mark Russinovich (CTO ของ Microsoft) ที่โพสต์ภาพลง LinkedIn แบบติดตลกว่า “มื้อนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเรื่อง kernel แต่ไว้มื้อต่อไปก็ยังทัน”

    เป็นการพบกันที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะ Gates คือผู้นำฝั่ง proprietary software ส่วน Torvalds คือตำนานฝั่ง open source ที่เคยพูดแรงใส่บริษัทต่าง ๆ (เขาเคยแจกนิ้วกลางให้ NVIDIA และด่า Intel แบบไม่ไว้หน้า) แต่หลังจากปี 2014 ที่ Satya Nadella เข้ารับตำแหน่ง CEO ไมโครซอฟท์ก็เริ่มเปิดใจมากขึ้น — สนับสนุนโอเพนซอร์ส, เข้าร่วม Linux Foundation, และเปิดซอร์ส .NET

    มื้อนี้จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของ “การปรับมุมมองจากคู่แข่งสู่การร่วมโต๊ะ” ได้อย่างแท้จริง

    https://www.techspot.com/news/108415-bill-gates-finally-meets-linus-torvalds-dinner-tech.html
    หากคุณเคยตามวงการไอทีมาตั้งแต่ยุค 2000 คงเคยได้ยินว่า “ไมโครซอฟท์เคยเกลียดลินุกซ์เข้าไส้” ถึงขั้นที่อดีตซีอีโอ Steve Ballmer เคยเปรียบลินุกซ์ว่าเป็น "cancer" ด้านลิขสิทธิ์ (intellectual property) เพราะมันเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่เติบโตเร็วและขัดแย้งกับโมเดลของ Windows อย่างชัดเจน จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้ง Gates และ Torvalds ได้พบกันในงานดินเนอร์ร่วมกับ Dave Cutler (ผู้สร้าง Windows NT) และ Mark Russinovich (CTO ของ Microsoft) ที่โพสต์ภาพลง LinkedIn แบบติดตลกว่า “มื้อนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเรื่อง kernel แต่ไว้มื้อต่อไปก็ยังทัน” เป็นการพบกันที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะ Gates คือผู้นำฝั่ง proprietary software ส่วน Torvalds คือตำนานฝั่ง open source ที่เคยพูดแรงใส่บริษัทต่าง ๆ (เขาเคยแจกนิ้วกลางให้ NVIDIA และด่า Intel แบบไม่ไว้หน้า) แต่หลังจากปี 2014 ที่ Satya Nadella เข้ารับตำแหน่ง CEO ไมโครซอฟท์ก็เริ่มเปิดใจมากขึ้น — สนับสนุนโอเพนซอร์ส, เข้าร่วม Linux Foundation, และเปิดซอร์ส .NET มื้อนี้จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของ “การปรับมุมมองจากคู่แข่งสู่การร่วมโต๊ะ” ได้อย่างแท้จริง https://www.techspot.com/news/108415-bill-gates-finally-meets-linus-torvalds-dinner-tech.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Bill Gates and Linus Torvalds meet for the first time at tech titans' dinner
    Microsoft chief technical officer Mark Russinovich posted evidence of the historic dinner in a LinkedIn post. Dave Cutler, the legendary programmer and lead architect of the Windows...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายองค์กรยังมอง CISO เป็น “ฝ่าย IT” ที่คอยกันภัยอยู่ท้ายขบวน แต่วันนี้ CISO ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น พาร์ตเนอร์ธุรกิจ ที่ตอบคำถาม CEO ได้ว่า “เราปลอดภัยพอจะเดินหน้าต่อหรือยัง?”

    ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคอีกต่อไป — คำถามสำคัญกลายเป็นเรื่องแบบนี้:
    - ทีมเราทำให้ธุรกิจคล่องตัวขึ้น หรือแค่เป็นตัวถ่วง?
    - ดาต้าอยู่ตรงไหนจริง ๆ กันแน่ (รวม shadow IT ด้วยไหม)?
    - สิ่งที่เราทำ ถูกมองว่า "ช่วย" หรือ "ขวาง" คนอื่น?
    - เราเล่าเรื่องความเสี่ยงให้ผู้บริหารเข้าใจได้ หรือยังพูดแบบเทคนิคจ๋าจนไม่มีใครฟัง?

    และที่น่าสนใจคือ… AI เองก็เปลี่ยนบทบาททีม Cyber แล้ว — จากคนทำ log analysis → กลายเป็นผู้ช่วยหาช่องโหว่แบบอัตโนมัติ ดังนั้นคำถามที่เพิ่มขึ้นคือ “เราจะใช้ AI เสริมทีม หรือโดนแทนที่?”

    คำถามสำคัญ:

    CISO ควรถามตัวเองว่าเป็น “ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ” หรือ “ตัวถ่วง”  
    • ถ้าทีมอื่นไม่อยากชวนเราเข้าประชุมช่วงวางแผน อาจมีปัญหาเรื่อง perception  
    • ควรเปลี่ยนบทบาทจาก “ตำรวจ” เป็น “ที่ปรึกษา”

    กลยุทธ์รักษาความปลอดภัยต้องสมดุลกับระดับความเสี่ยงที่ธุรกิจยอมรับได้  
    • ปิดทุกอย่างไม่ได้ = ธุรกิจหยุด  
    • เปิดหมด = เสี่ยงเกินไป  
    • ต้อง “รู้จังหวะว่าเสี่ยงแค่ไหนถึงพอเหมาะ”

    ข้อมูลประเภทไหนอยู่ที่ไหน = หัวใจของแผน Cyber  
    • หลายองค์กรมี “ข้อมูลลับ” ที่หลุดอยู่นอกระบบหลัก เช่น shared drive, shadow IT  
    • รวมถึงดาต้าจากบริษัทที่ควบรวมมา

    วัดผลแบบไหนถึงจะสื่อสารกับบอร์ดได้ดี?  
    • อย่าวัดแค่ patch กี่เครื่อง หรือ alert เยอะแค่ไหน  
    • ควรวัดว่า “สิ่งที่ทำ” ส่งผลยังไงกับ KPI ธุรกิจ เช่น revenue loss prevented

    พูดแบบ technical จ๋าเกินไป = ผู้บริหารไม่เข้าใจความเสี่ยงจริง  
    • ต้องฝึกเล่าเรื่อง “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” ไม่ใช่แค่ “config ผิด”

    วัฒนธรรมทีมก็สำคัญ: ทีมเรากล้าท้าทายความเห็น CISO ไหม?  
    • ถ้าไม่มี dissent = ผู้นำอาจมองไม่เห็น blind spot ตัวเอง

    ลูกค้าต้องการให้เราทำอะไรด้านความปลอดภัยบ้าง?  
    • วิเคราะห์จาก security questionnaire ที่ลูกค้าส่ง  
    • ใช้เป็น data สร้าง business case ได้ว่า “ถ้าไม่ทำ = เสียรายได้กลุ่มนี้”

    AI จะเปลี่ยนวิธีจัดทีม Cyber อย่างไร?  
    • ลดความต้องการคน entry-level (SOC Tier 1)  
    • ต้องเน้นฝึก analyst ที่เก่งขึ้น (Tier 2+) ที่รู้จัก “ทำงานร่วมกับ AI”

    ความเสี่ยงใหม่ไม่ได้มาจาก Zero-day เสมอไป — แต่มาจาก “สิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีอยู่”  
    • เช่น ระบบเก่า, S3 bucket ที่ลืมปิด, API ใหม่ที่ไม่มีคนดู

    CISO ควรถามว่า: “ศัตรูเราเป็นใคร และเขาจะมาโจมตีช่องไหน?”  
    • วางแผนจาก threat model และจัด stack ให้พร้อมต่ออนาคต เช่น Quantum-resistant crypto

    https://www.csoonline.com/article/4009212/10-tough-cybersecurity-questions-every-ciso-must-answer.html
    หลายองค์กรยังมอง CISO เป็น “ฝ่าย IT” ที่คอยกันภัยอยู่ท้ายขบวน แต่วันนี้ CISO ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น พาร์ตเนอร์ธุรกิจ ที่ตอบคำถาม CEO ได้ว่า “เราปลอดภัยพอจะเดินหน้าต่อหรือยัง?” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคอีกต่อไป — คำถามสำคัญกลายเป็นเรื่องแบบนี้: - ทีมเราทำให้ธุรกิจคล่องตัวขึ้น หรือแค่เป็นตัวถ่วง? - ดาต้าอยู่ตรงไหนจริง ๆ กันแน่ (รวม shadow IT ด้วยไหม)? - สิ่งที่เราทำ ถูกมองว่า "ช่วย" หรือ "ขวาง" คนอื่น? - เราเล่าเรื่องความเสี่ยงให้ผู้บริหารเข้าใจได้ หรือยังพูดแบบเทคนิคจ๋าจนไม่มีใครฟัง? และที่น่าสนใจคือ… AI เองก็เปลี่ยนบทบาททีม Cyber แล้ว — จากคนทำ log analysis → กลายเป็นผู้ช่วยหาช่องโหว่แบบอัตโนมัติ ดังนั้นคำถามที่เพิ่มขึ้นคือ “เราจะใช้ AI เสริมทีม หรือโดนแทนที่?” คำถามสำคัญ: ✅ CISO ควรถามตัวเองว่าเป็น “ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ” หรือ “ตัวถ่วง”   • ถ้าทีมอื่นไม่อยากชวนเราเข้าประชุมช่วงวางแผน อาจมีปัญหาเรื่อง perception   • ควรเปลี่ยนบทบาทจาก “ตำรวจ” เป็น “ที่ปรึกษา” ✅ กลยุทธ์รักษาความปลอดภัยต้องสมดุลกับระดับความเสี่ยงที่ธุรกิจยอมรับได้   • ปิดทุกอย่างไม่ได้ = ธุรกิจหยุด   • เปิดหมด = เสี่ยงเกินไป   • ต้อง “รู้จังหวะว่าเสี่ยงแค่ไหนถึงพอเหมาะ” ✅ ข้อมูลประเภทไหนอยู่ที่ไหน = หัวใจของแผน Cyber   • หลายองค์กรมี “ข้อมูลลับ” ที่หลุดอยู่นอกระบบหลัก เช่น shared drive, shadow IT   • รวมถึงดาต้าจากบริษัทที่ควบรวมมา ✅ วัดผลแบบไหนถึงจะสื่อสารกับบอร์ดได้ดี?   • อย่าวัดแค่ patch กี่เครื่อง หรือ alert เยอะแค่ไหน   • ควรวัดว่า “สิ่งที่ทำ” ส่งผลยังไงกับ KPI ธุรกิจ เช่น revenue loss prevented ✅ พูดแบบ technical จ๋าเกินไป = ผู้บริหารไม่เข้าใจความเสี่ยงจริง   • ต้องฝึกเล่าเรื่อง “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” ไม่ใช่แค่ “config ผิด” ✅ วัฒนธรรมทีมก็สำคัญ: ทีมเรากล้าท้าทายความเห็น CISO ไหม?   • ถ้าไม่มี dissent = ผู้นำอาจมองไม่เห็น blind spot ตัวเอง ✅ ลูกค้าต้องการให้เราทำอะไรด้านความปลอดภัยบ้าง?   • วิเคราะห์จาก security questionnaire ที่ลูกค้าส่ง   • ใช้เป็น data สร้าง business case ได้ว่า “ถ้าไม่ทำ = เสียรายได้กลุ่มนี้” ✅ AI จะเปลี่ยนวิธีจัดทีม Cyber อย่างไร?   • ลดความต้องการคน entry-level (SOC Tier 1)   • ต้องเน้นฝึก analyst ที่เก่งขึ้น (Tier 2+) ที่รู้จัก “ทำงานร่วมกับ AI” ✅ ความเสี่ยงใหม่ไม่ได้มาจาก Zero-day เสมอไป — แต่มาจาก “สิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีอยู่”   • เช่น ระบบเก่า, S3 bucket ที่ลืมปิด, API ใหม่ที่ไม่มีคนดู ✅ CISO ควรถามว่า: “ศัตรูเราเป็นใคร และเขาจะมาโจมตีช่องไหน?”   • วางแผนจาก threat model และจัด stack ให้พร้อมต่ออนาคต เช่น Quantum-resistant crypto https://www.csoonline.com/article/4009212/10-tough-cybersecurity-questions-every-ciso-must-answer.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    10 tough cybersecurity questions every CISO must answer
    From anticipating new threats to balancing risk management and business enablement, CISOs face a range of complex challenges that require continual reflection and strategic execution.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนใช้ CapCut เพราะมันฟรี ใช้ง่าย และมีลูกเล่นที่ดีมาก…แต่หลังจากอัปเดตข้อกำหนดการใช้งาน (Terms of Service) ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวเตือนว่า ผู้ใช้แทบไม่ได้เป็นเจ้าของเนื้อหาของตัวเองแล้ว

    CapCut เขียนเงื่อนไขว่า เมื่อคุณอัปโหลดวิดีโอ รูปภาพ หรือเสียงใด ๆ เข้าไปในระบบ (แม้แต่อันที่ไม่ได้กดเผยแพร่ก็ตาม) คุณจะมอบ สิทธิใช้งานแบบ “ทั่วโลก, ถาวร, โอนต่อได้, และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์” ให้ CapCut ใช้ผลงานของคุณ — ทั้งใบหน้า เสียง ลักษณะท่าทาง และผลงานสร้างสรรค์ของคุณ เพื่อทำอะไรก็ได้ รวมถึงการใช้ในโฆษณา โดยไม่ต้องบอกล่วงหน้าหรือให้ค่าตอบแทนใด ๆ

    สิ่งที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ ถึงคุณจะลบบัญชี CapCut ไปแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นก็ยังเป็นของ CapCut ตลอดไป เพราะเขาเขียนว่า "perpetual" — ไม่มีหมดอายุ

    แถมไม่มีวิธี opt-out ด้วย...หมายความว่าแค่คุณใช้งานก็ถือว่ายอมรับโดยอัตโนมัติ

    CapCut อัปเดตข้อตกลงการใช้งาน โดยอ้างสิทธิในผลงานของผู้ใช้แบบถาวรและโอนต่อได้  
    • ครอบคลุมถึงภาพใบหน้า เสียง ลักษณะท่าทาง และงานตัดต่อทั้งหมด  
    • ใช้ได้แม้ผู้ใช้จะลบบัญชีแล้ว

    ข้อตกลงใหม่นี้ครอบคลุมถึงเนื้อหาทั้งหมดที่อัปโหลด — แม้จะไม่ได้เผยแพร่ก็ตาม  
    • รวมถึงคลิป draft, voiceover, หรือไฟล์ชั่วคราว

    CapCut ไม่มีระบบ opt-out — หากใช้งานถือว่ายอมรับข้อตกลงทันที  
    • ใช้กับทั้งผู้ใช้งานส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการใช้เนื้อหาของผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจละเมิดกฎหมายสิทธิภาพลักษณ์ (right of publicity)  
    • แต่การบังคับใช้ลำบากมากเพราะผู้ใช้กดยอมรับแล้วใน ToS

    ทางเลือกของผู้ใช้งานคือเปลี่ยนไปใช้โปรแกรมอื่น เช่น DaVinci Resolve หรือ Adobe Premiere ที่ให้ความเป็นเจ้าของผลงานแก่ผู้ใช้ชัดเจนกว่า

    https://www.techradar.com/pro/popular-video-editing-app-capcut-wants-to-use-any-content-you-produce-for-free-forever-heres-what-you-should-know
    หลายคนใช้ CapCut เพราะมันฟรี ใช้ง่าย และมีลูกเล่นที่ดีมาก…แต่หลังจากอัปเดตข้อกำหนดการใช้งาน (Terms of Service) ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวเตือนว่า ผู้ใช้แทบไม่ได้เป็นเจ้าของเนื้อหาของตัวเองแล้ว CapCut เขียนเงื่อนไขว่า เมื่อคุณอัปโหลดวิดีโอ รูปภาพ หรือเสียงใด ๆ เข้าไปในระบบ (แม้แต่อันที่ไม่ได้กดเผยแพร่ก็ตาม) คุณจะมอบ สิทธิใช้งานแบบ “ทั่วโลก, ถาวร, โอนต่อได้, และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์” ให้ CapCut ใช้ผลงานของคุณ — ทั้งใบหน้า เสียง ลักษณะท่าทาง และผลงานสร้างสรรค์ของคุณ เพื่อทำอะไรก็ได้ รวมถึงการใช้ในโฆษณา โดยไม่ต้องบอกล่วงหน้าหรือให้ค่าตอบแทนใด ๆ สิ่งที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ ถึงคุณจะลบบัญชี CapCut ไปแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นก็ยังเป็นของ CapCut ตลอดไป เพราะเขาเขียนว่า "perpetual" — ไม่มีหมดอายุ แถมไม่มีวิธี opt-out ด้วย...หมายความว่าแค่คุณใช้งานก็ถือว่ายอมรับโดยอัตโนมัติ ✅ CapCut อัปเดตข้อตกลงการใช้งาน โดยอ้างสิทธิในผลงานของผู้ใช้แบบถาวรและโอนต่อได้   • ครอบคลุมถึงภาพใบหน้า เสียง ลักษณะท่าทาง และงานตัดต่อทั้งหมด   • ใช้ได้แม้ผู้ใช้จะลบบัญชีแล้ว ✅ ข้อตกลงใหม่นี้ครอบคลุมถึงเนื้อหาทั้งหมดที่อัปโหลด — แม้จะไม่ได้เผยแพร่ก็ตาม   • รวมถึงคลิป draft, voiceover, หรือไฟล์ชั่วคราว ✅ CapCut ไม่มีระบบ opt-out — หากใช้งานถือว่ายอมรับข้อตกลงทันที   • ใช้กับทั้งผู้ใช้งานส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์ ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการใช้เนื้อหาของผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจละเมิดกฎหมายสิทธิภาพลักษณ์ (right of publicity)   • แต่การบังคับใช้ลำบากมากเพราะผู้ใช้กดยอมรับแล้วใน ToS ✅ ทางเลือกของผู้ใช้งานคือเปลี่ยนไปใช้โปรแกรมอื่น เช่น DaVinci Resolve หรือ Adobe Premiere ที่ให้ความเป็นเจ้าของผลงานแก่ผู้ใช้ชัดเจนกว่า https://www.techradar.com/pro/popular-video-editing-app-capcut-wants-to-use-any-content-you-produce-for-free-forever-heres-what-you-should-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่าเมื่อก่อน Google หรือ search engine เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บเรา 6 ครั้ง จะมีคนคลิกเข้ามาสัก 1 ครั้งเพื่ออ่านจริง เหมือนเรายังพอ “มีค่าตอบแทน” จากการเปิดบ้านให้บอทเข้าเก็บข้อมูล

    แต่ตอนนี้อะไรเปลี่ยนไปหมด — Google, OpenAI และ Anthropic ใช้ AI มาสรุปเนื้อหาให้คนเลยทันที ผู้ใช้ไม่ต้องคลิก ไม่ต้องเข้าเว็บ แค่แชตหรือดูคำตอบบนหน้าแรกก็จบแล้ว ส่งผลให้สัดส่วน crawler : คนคลิก ลดฮวบลงเหลือระดับ “น่าตกใจ” เช่น:

    - Google: จาก 6:1 → เหลือ 18:1
    - OpenAI: จาก 250:1 → เหลือ 1,500:1
    - Anthropic: จาก 6,000:1 → เหลือ 60,000:1

    ซีอีโอของ Cloudflare มองว่าถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ อินเทอร์เน็ตอาจเข้าสู่ยุค “เว็บผีไร้คนอ่าน” เพราะเจ้าของเว็บไม่มีแรงจูงใจในการผลิตเนื้อหาอีกแล้ว

    แม้ AI หลายรายเริ่ม “ใส่เครดิต” และลิงก์กลับไปยังต้นทาง แต่ Prince บอกว่า “ไม่มีใครคลิกจริง” เพราะตอนนี้ผู้คนเชื่อใจคำตอบของ AI มากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ตัวว่าอาจกำลังอ่านข้อมูล “ผิดหรือคลาดเคลื่อน”

    เพื่อสู้กับเรื่องนี้ Cloudflare พัฒนาเครื่องมือใหม่ชื่อว่า AI Labyrinth ซึ่งเป็นระบบดัก crawler ที่ลอบเก็บข้อมูลโดยไม่เคารพ robots.txt หรือกฎเว็บ โดยจะพามัน “หลงในวงกตลิงก์ AI ปลอม ๆ” เพื่อให้มันเสียเวลาและพลังประมวลผลไปกับของไม่มีค่า — เหมือน AI เจอกับ AI นั่นเอง

    AI search และ zero-click result กำลังทำให้เว็บไซต์สูญเสียผู้เข้าชมจำนวนมาก  
    • สัดส่วน bot : คนคลิกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  
    • ส่งผลต่อรายได้จากโฆษณาและความอยู่รอดของเว็บไซต์

    Cloudflare เตรียมต่อสู้ด้วยเครื่องมือชื่อ “AI Labyrinth” เพื่อเบี่ยงเบน bot ที่ไม่เคารพกฎ  
    • สร้างลิงก์หลอกและหน้าปลอมให้ bot “เดินหลง”  
    • ใช้ AI สู้กับ AI ด้วยตรรกะแบบป้องกัน

    Google และ OpenAI แม้จะใส่เครดิตในผลลัพธ์ AI แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่คลิกลิงก์  
    • ผู้ใช้ “เชื่อ” คำตอบของ AI มากขึ้น  
    • เพิ่มโอกาสการกระจายข้อมูลผิดหรือไม่ครบถ้วน

    Cloudflare เตือนว่าถ้าไม่แก้ไข โมเดลรายได้ของเว็บจะล่มสลาย  
    • นักเขียน ครีเอเตอร์ และเว็บคุณภาพอาจเลิกสร้างเนื้อหา  
    • เหลือเพียงอินเทอร์เน็ตที่มีแต่ bot คุยกับ bot

    https://www.techspot.com/news/108399-cloudflare-ceo-warns-ai-crawlers-summaries-eroding-internet.html
    ลองนึกภาพว่าเมื่อก่อน Google หรือ search engine เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บเรา 6 ครั้ง จะมีคนคลิกเข้ามาสัก 1 ครั้งเพื่ออ่านจริง เหมือนเรายังพอ “มีค่าตอบแทน” จากการเปิดบ้านให้บอทเข้าเก็บข้อมูล แต่ตอนนี้อะไรเปลี่ยนไปหมด — Google, OpenAI และ Anthropic ใช้ AI มาสรุปเนื้อหาให้คนเลยทันที ผู้ใช้ไม่ต้องคลิก ไม่ต้องเข้าเว็บ แค่แชตหรือดูคำตอบบนหน้าแรกก็จบแล้ว ส่งผลให้สัดส่วน crawler : คนคลิก ลดฮวบลงเหลือระดับ “น่าตกใจ” เช่น: - Google: จาก 6:1 → เหลือ 18:1 - OpenAI: จาก 250:1 → เหลือ 1,500:1 - Anthropic: จาก 6,000:1 → เหลือ 60,000:1 ซีอีโอของ Cloudflare มองว่าถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ อินเทอร์เน็ตอาจเข้าสู่ยุค “เว็บผีไร้คนอ่าน” เพราะเจ้าของเว็บไม่มีแรงจูงใจในการผลิตเนื้อหาอีกแล้ว แม้ AI หลายรายเริ่ม “ใส่เครดิต” และลิงก์กลับไปยังต้นทาง แต่ Prince บอกว่า “ไม่มีใครคลิกจริง” เพราะตอนนี้ผู้คนเชื่อใจคำตอบของ AI มากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ตัวว่าอาจกำลังอ่านข้อมูล “ผิดหรือคลาดเคลื่อน” เพื่อสู้กับเรื่องนี้ Cloudflare พัฒนาเครื่องมือใหม่ชื่อว่า AI Labyrinth ซึ่งเป็นระบบดัก crawler ที่ลอบเก็บข้อมูลโดยไม่เคารพ robots.txt หรือกฎเว็บ โดยจะพามัน “หลงในวงกตลิงก์ AI ปลอม ๆ” เพื่อให้มันเสียเวลาและพลังประมวลผลไปกับของไม่มีค่า — เหมือน AI เจอกับ AI นั่นเอง ✅ AI search และ zero-click result กำลังทำให้เว็บไซต์สูญเสียผู้เข้าชมจำนวนมาก   • สัดส่วน bot : คนคลิกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว   • ส่งผลต่อรายได้จากโฆษณาและความอยู่รอดของเว็บไซต์ ✅ Cloudflare เตรียมต่อสู้ด้วยเครื่องมือชื่อ “AI Labyrinth” เพื่อเบี่ยงเบน bot ที่ไม่เคารพกฎ   • สร้างลิงก์หลอกและหน้าปลอมให้ bot “เดินหลง”   • ใช้ AI สู้กับ AI ด้วยตรรกะแบบป้องกัน ✅ Google และ OpenAI แม้จะใส่เครดิตในผลลัพธ์ AI แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่คลิกลิงก์   • ผู้ใช้ “เชื่อ” คำตอบของ AI มากขึ้น   • เพิ่มโอกาสการกระจายข้อมูลผิดหรือไม่ครบถ้วน ✅ Cloudflare เตือนว่าถ้าไม่แก้ไข โมเดลรายได้ของเว็บจะล่มสลาย   • นักเขียน ครีเอเตอร์ และเว็บคุณภาพอาจเลิกสร้างเนื้อหา   • เหลือเพียงอินเทอร์เน็ตที่มีแต่ bot คุยกับ bot https://www.techspot.com/news/108399-cloudflare-ceo-warns-ai-crawlers-summaries-eroding-internet.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Cloudflare CEO warns AI crawlers and summaries are eroding the internet's business model
    Speaking at an Axios event in Cannes last week, Prince explained that search engines and chatbots using generative AI to summarize web content have significantly reduced the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครจะเชื่อว่า “โบนัสเซ็นสัญญา” สำหรับนักวิจัย AI ตอนนี้อาจแตะตัวเลข 100 ล้านเหรียญ! Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ของน้องชายตัวเองว่า Meta เสนอตัวเลขนี้จริง ๆ เพื่อดึงคนจาก OpenAI ไป

    Altman บอกว่า “Meta เริ่มแจกข้อเสนอระดับไม่ธรรมดากับหลายคนในทีมเรา...ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครตัดสินใจย้ายไปนะ” ข้อเสนอนี้รวมทั้งโบนัสและค่าตอบแทนรายปีซึ่งรวม ๆ กันก็ทำให้หลายคน “ตาค้าง”

    เบื้องหลังเรื่องนี้คือ Meta ตั้งทีม AI “superintelligence” ใหม่ โดยมี Alexandr Wang (อดีตซีอีโอของ Scale AI) มาเป็นผู้นำ ซึ่งนั่งทำงานใกล้กับ Mark Zuckerberg เลย แถม Meta ก็เพิ่งเทเงิน $14.3 พันล้านลงทุนใน Scale AI ไปหมาด ๆ ถือว่าจัดหนักในสนามนี้

    Altman ยังวิจารณ์เบา ๆ ว่า “Meta ไม่ใช่บริษัทที่เก่งเรื่องนวัตกรรม” และเตือนว่า ถ้าบริษัทไหนมองแค่เรื่องเงินมากกว่าภารกิจ AI ระดับ AGI (Artificial General Intelligence) อาจสร้างวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะกับการเกิด “การค้นพบครั้งใหญ่”

    Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $100 ล้าน เพื่อดึงนักวิจัย AI จากคู่แข่ง  
    • รวมทั้งโบนัสเซ็นสัญญาและค่าตอบแทนรวมรายปี  
    • จุดมุ่งหมายเพื่อเร่งสร้างทีม AI ระดับ “superintelligence”

    Sam Altman เผยเรื่องนี้ในพอดแคสต์ โดยระบุว่า Meta เสนอให้หลายคนใน OpenAI  
    • ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ  
    • มองว่า OpenAI มีโอกาสบรรลุ AGI ได้มากกว่า Meta

    ผู้นำทีมใหม่ของ Meta คือ Alexandr Wang (อดีต CEO ของ Scale AI)  
    • ทำงานใกล้ชิดกับ Mark Zuckerberg  
    • Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อสนับสนุนทิศทางนี้

    Meta ได้ตัวนักวิจัยดังบางคนจาก Google DeepMind และ Sesame AI แล้ว  
    • เช่น Jack Rae และ Johan Schalkwyk  
    • แต่ยังไม่สำเร็จในการดึง Noam Brown จาก OpenAI หรือ Koray Kavukcuoglu จาก Google

    มีมุมมองจากผู้บริหาร AI คนอื่นว่าการล่าคนต้องมีทั้งเงินและทรัพยากร GPU  
    • CEO ของ Perplexity เผยนักวิจัยจาก Meta บอก “มี 10,000 H100 เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาคุย”

    การล่าพนักงานแบบ “เงินนำหน้า” อาจทำลายวัฒนธรรมองค์กร  
    • คนที่เข้ามาเพราะเงิน อาจไม่ยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาวขององค์กร  
    • ยิ่งในการวิจัย AI แบบ AGI ที่ต้องการการร่วมมือและความมุ่งมั่นสูง

    Meta ถูกวิจารณ์ว่านวัตกรรมโอเพ่นซอร์สของตัวเอง “สะดุด” หลังเลื่อนปล่อยโมเดลใหม่  
    • ทำให้คู่แข่งอย่าง Google, DeepSeek และ OpenAI นำหน้าไปก่อน

    การแย่งบุคลากร AI อาจทำให้ช่องว่างเทคโนโลยีระหว่างบริษัทยิ่งถ่างออก  
    • บริษัทเล็กหรือประเทศกำลังพัฒนาจะเสียเปรียบอย่างมาก

    การเสนอค่าตัวระดับเกิน 100 ล้านดอลลาร์อาจผลักดันค่าจ้างในวงการขึ้นแบบไม่ยั่งยืน  
    • กระทบ ecosystem ของ startup และการวิจัยสาธารณะ

    https://www.techspot.com/news/108357-meta-offering-up-100-million-lure-ai-talent.html
    ใครจะเชื่อว่า “โบนัสเซ็นสัญญา” สำหรับนักวิจัย AI ตอนนี้อาจแตะตัวเลข 100 ล้านเหรียญ! Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ของน้องชายตัวเองว่า Meta เสนอตัวเลขนี้จริง ๆ เพื่อดึงคนจาก OpenAI ไป Altman บอกว่า “Meta เริ่มแจกข้อเสนอระดับไม่ธรรมดากับหลายคนในทีมเรา...ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครตัดสินใจย้ายไปนะ” ข้อเสนอนี้รวมทั้งโบนัสและค่าตอบแทนรายปีซึ่งรวม ๆ กันก็ทำให้หลายคน “ตาค้าง” เบื้องหลังเรื่องนี้คือ Meta ตั้งทีม AI “superintelligence” ใหม่ โดยมี Alexandr Wang (อดีตซีอีโอของ Scale AI) มาเป็นผู้นำ ซึ่งนั่งทำงานใกล้กับ Mark Zuckerberg เลย แถม Meta ก็เพิ่งเทเงิน $14.3 พันล้านลงทุนใน Scale AI ไปหมาด ๆ ถือว่าจัดหนักในสนามนี้ Altman ยังวิจารณ์เบา ๆ ว่า “Meta ไม่ใช่บริษัทที่เก่งเรื่องนวัตกรรม” และเตือนว่า ถ้าบริษัทไหนมองแค่เรื่องเงินมากกว่าภารกิจ AI ระดับ AGI (Artificial General Intelligence) อาจสร้างวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะกับการเกิด “การค้นพบครั้งใหญ่” ✅ Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $100 ล้าน เพื่อดึงนักวิจัย AI จากคู่แข่ง   • รวมทั้งโบนัสเซ็นสัญญาและค่าตอบแทนรวมรายปี   • จุดมุ่งหมายเพื่อเร่งสร้างทีม AI ระดับ “superintelligence” ✅ Sam Altman เผยเรื่องนี้ในพอดแคสต์ โดยระบุว่า Meta เสนอให้หลายคนใน OpenAI   • ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ   • มองว่า OpenAI มีโอกาสบรรลุ AGI ได้มากกว่า Meta ✅ ผู้นำทีมใหม่ของ Meta คือ Alexandr Wang (อดีต CEO ของ Scale AI)   • ทำงานใกล้ชิดกับ Mark Zuckerberg   • Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อสนับสนุนทิศทางนี้ ✅ Meta ได้ตัวนักวิจัยดังบางคนจาก Google DeepMind และ Sesame AI แล้ว   • เช่น Jack Rae และ Johan Schalkwyk   • แต่ยังไม่สำเร็จในการดึง Noam Brown จาก OpenAI หรือ Koray Kavukcuoglu จาก Google ✅ มีมุมมองจากผู้บริหาร AI คนอื่นว่าการล่าคนต้องมีทั้งเงินและทรัพยากร GPU   • CEO ของ Perplexity เผยนักวิจัยจาก Meta บอก “มี 10,000 H100 เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาคุย” ‼️ การล่าพนักงานแบบ “เงินนำหน้า” อาจทำลายวัฒนธรรมองค์กร   • คนที่เข้ามาเพราะเงิน อาจไม่ยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาวขององค์กร   • ยิ่งในการวิจัย AI แบบ AGI ที่ต้องการการร่วมมือและความมุ่งมั่นสูง ‼️ Meta ถูกวิจารณ์ว่านวัตกรรมโอเพ่นซอร์สของตัวเอง “สะดุด” หลังเลื่อนปล่อยโมเดลใหม่   • ทำให้คู่แข่งอย่าง Google, DeepSeek และ OpenAI นำหน้าไปก่อน ‼️ การแย่งบุคลากร AI อาจทำให้ช่องว่างเทคโนโลยีระหว่างบริษัทยิ่งถ่างออก   • บริษัทเล็กหรือประเทศกำลังพัฒนาจะเสียเปรียบอย่างมาก ‼️ การเสนอค่าตัวระดับเกิน 100 ล้านดอลลาร์อาจผลักดันค่าจ้างในวงการขึ้นแบบไม่ยั่งยืน   • กระทบ ecosystem ของ startup และการวิจัยสาธารณะ https://www.techspot.com/news/108357-meta-offering-up-100-million-lure-ai-talent.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Meta is offering up to $100 million to lure AI talent, says OpenAI's Sam Altman
    The recruitment drive has a personal element: former Scale AI CEO Alexandr Wang heads Meta's new AI group, and some new hires are said to be working...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทใหญ่ ๆ ช่วงนี้มักพูดถึง AI อย่างตื่นเต้น—แต่หลายที่ก็หลบประเด็น “เรื่องตกงาน” เอาไว้ แต่ไม่ใช่กับ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ออกจดหมายถึงพนักงานแบบตรงไปตรงมาเลยว่า…

    “เราจะต้องใช้คนน้อยลงในงานบางอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ และใช้คนมากขึ้นในงานแบบใหม่”

    เขาเล่าว่า Amazon มีโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI มากกว่า 1,000 รายการ และจะมีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่ชัดที่สุดคือ งานบางประเภทจะถูก AI มาแทน เพราะมันมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนกว่า

    แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้ใช้ AI แล้วทำงานสนุกขึ้นนะครับ บางทีมวิศวกรถูกลดจำนวนครึ่งหนึ่ง และถูกกดดันให้ทำงานเร็วกว่าเดิม โดยต้องใช้เครื่องมือ AI อย่าง Copilot ของ Microsoft หรือ Assistant ของ Amazon เองเพื่อเร่งงานให้เสร็จเร็วแบบสายพาน!

    Jassy ยังแนะนำพนักงานแบบจริงใจ (หรือประชดแอบ ๆ?): “ให้ลองอยากรู้อยากเห็นเรื่อง AI, ไปอบรม, ทดลองใช้งาน, และเข้าร่วมระดมไอเดียในทีม” — ซึ่งฟังดูแล้วอาจหมายถึง “เตรียมตัวหางานใหม่ที่ใช้ AI ให้เป็น”

    Amazon เตรียมลดจำนวนพนักงานองค์กร (corporate workforce) ในอีกไม่กี่ปี  
    • ผลจากการใช้ AI อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูง  
    • จดหมายจาก CEO ระบุชัดว่า “เราจะใช้คนน้อยลงในบางงาน”

    มีโปรเจกต์ด้าน AI ในองค์กรมากกว่า 1,000 รายการ  
    • ครอบคลุมทั้งด้านลูกค้า การพัฒนา การขาย และปฏิบัติการ  
    • บางระบบใช้ Agent หรือ GPT ช่วยตอบคำถาม สั่งซื้อ หรือสรุปรายงาน

    Jassy แนะพนักงานให้ “เรียนรู้ AI ให้มากที่สุด”  
    • สนับสนุนให้ไปอบรม ทดลองใช้งาน และเสนอไอเดียใหม่ในการใช้ AI  
    • ถือเป็นการ “เสริมความอยู่รอด” ในยุคที่ AI กำลังกลืนตำแหน่งงาน

    AI ไม่ได้แทนแค่คนออฟฟิศ แต่รวมถึงพนักงานคลังสินค้าและขนส่ง  
    • มีการใช้หุ่นยนต์กว่าแสนตัว และเริ่มทดลองหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์  
    • หุ่นยนต์บางรุ่นมี “ระบบรับรู้การสัมผัส” แล้ว

    มีเสียงสะท้อนจากวิศวกรว่า “เหมือนอยู่ในสายพาน AI”  
    • ถูกลดทีม พ่วงงานเพิ่ม พร้อมกดดันใช้ AI มาทำงานแทนมนุษย์

    ตำแหน่งระดับต้นในสายขาวกำลังเสี่ยงสูงจากการเข้ามาของ AI  
    • CEO ของ Anthropic เคยคาดว่า 50% ของงานระดับ Entry จะหายไปภายใน 5 ปี

    บางคนอาจถูกแทนที่ ไม่ใช่โดย AI แต่โดย “คนที่ใช้ AI ได้ดีกว่า”  
    • ต้องรีบ Upskill โดยไม่รอให้องค์กรจัดให้

    การใช้งาน AI อย่างเร่งรีบ อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระให้พนักงานแทนที่จะช่วยลด  
    • มีกรณีทีมวิศวกรใน Amazon ถูกลดครึ่ง แต่กำหนดส่งงานกลับไม่ลด

    แม้จะมีสิทธิใช้ GPT ได้ในองค์กร แต่คนที่ไม่ปรับตัวจะถูกแซงทันที  
    • ช่องว่างระหว่าง “ผู้ใช้ AI อย่างรู้ทาง” กับ “คนที่ยังไม่เริ่ม” จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

    https://www.techspot.com/news/108359-amazon-ceo-andy-jassy-tells-workers-ai-replace.html
    บริษัทใหญ่ ๆ ช่วงนี้มักพูดถึง AI อย่างตื่นเต้น—แต่หลายที่ก็หลบประเด็น “เรื่องตกงาน” เอาไว้ แต่ไม่ใช่กับ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ออกจดหมายถึงพนักงานแบบตรงไปตรงมาเลยว่า… “เราจะต้องใช้คนน้อยลงในงานบางอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ และใช้คนมากขึ้นในงานแบบใหม่” เขาเล่าว่า Amazon มีโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI มากกว่า 1,000 รายการ และจะมีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่ชัดที่สุดคือ งานบางประเภทจะถูก AI มาแทน เพราะมันมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนกว่า แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้ใช้ AI แล้วทำงานสนุกขึ้นนะครับ บางทีมวิศวกรถูกลดจำนวนครึ่งหนึ่ง และถูกกดดันให้ทำงานเร็วกว่าเดิม โดยต้องใช้เครื่องมือ AI อย่าง Copilot ของ Microsoft หรือ Assistant ของ Amazon เองเพื่อเร่งงานให้เสร็จเร็วแบบสายพาน! Jassy ยังแนะนำพนักงานแบบจริงใจ (หรือประชดแอบ ๆ?): “ให้ลองอยากรู้อยากเห็นเรื่อง AI, ไปอบรม, ทดลองใช้งาน, และเข้าร่วมระดมไอเดียในทีม” — ซึ่งฟังดูแล้วอาจหมายถึง “เตรียมตัวหางานใหม่ที่ใช้ AI ให้เป็น” ✅ Amazon เตรียมลดจำนวนพนักงานองค์กร (corporate workforce) ในอีกไม่กี่ปี   • ผลจากการใช้ AI อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูง   • จดหมายจาก CEO ระบุชัดว่า “เราจะใช้คนน้อยลงในบางงาน” ✅ มีโปรเจกต์ด้าน AI ในองค์กรมากกว่า 1,000 รายการ   • ครอบคลุมทั้งด้านลูกค้า การพัฒนา การขาย และปฏิบัติการ   • บางระบบใช้ Agent หรือ GPT ช่วยตอบคำถาม สั่งซื้อ หรือสรุปรายงาน ✅ Jassy แนะพนักงานให้ “เรียนรู้ AI ให้มากที่สุด”   • สนับสนุนให้ไปอบรม ทดลองใช้งาน และเสนอไอเดียใหม่ในการใช้ AI   • ถือเป็นการ “เสริมความอยู่รอด” ในยุคที่ AI กำลังกลืนตำแหน่งงาน ✅ AI ไม่ได้แทนแค่คนออฟฟิศ แต่รวมถึงพนักงานคลังสินค้าและขนส่ง   • มีการใช้หุ่นยนต์กว่าแสนตัว และเริ่มทดลองหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์   • หุ่นยนต์บางรุ่นมี “ระบบรับรู้การสัมผัส” แล้ว ✅ มีเสียงสะท้อนจากวิศวกรว่า “เหมือนอยู่ในสายพาน AI”   • ถูกลดทีม พ่วงงานเพิ่ม พร้อมกดดันใช้ AI มาทำงานแทนมนุษย์ ‼️ ตำแหน่งระดับต้นในสายขาวกำลังเสี่ยงสูงจากการเข้ามาของ AI   • CEO ของ Anthropic เคยคาดว่า 50% ของงานระดับ Entry จะหายไปภายใน 5 ปี ‼️ บางคนอาจถูกแทนที่ ไม่ใช่โดย AI แต่โดย “คนที่ใช้ AI ได้ดีกว่า”   • ต้องรีบ Upskill โดยไม่รอให้องค์กรจัดให้ ‼️ การใช้งาน AI อย่างเร่งรีบ อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระให้พนักงานแทนที่จะช่วยลด   • มีกรณีทีมวิศวกรใน Amazon ถูกลดครึ่ง แต่กำหนดส่งงานกลับไม่ลด ‼️ แม้จะมีสิทธิใช้ GPT ได้ในองค์กร แต่คนที่ไม่ปรับตัวจะถูกแซงทันที   • ช่องว่างระหว่าง “ผู้ใช้ AI อย่างรู้ทาง” กับ “คนที่ยังไม่เริ่ม” จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ https://www.techspot.com/news/108359-amazon-ceo-andy-jassy-tells-workers-ai-replace.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon CEO Andy Jassy tells workers: AI will replace some of you
    In a message sent to employees this week, Jassy said generative AI was a "once-in-a-lifetime" technology that completely changes what's possible for customers and businesses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts