• ช่องโหว่ RCE ใน ASUS DriverHub: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ต้องรีบแก้ไข

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบ ช่องโหว่ร้ายแรงใน ASUS DriverHub ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการไดรเวอร์ของ ASUS ช่องโหว่นี้ เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดอันตรายจากระยะไกล บนเครื่องที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ASUS ได้ออก แพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตซอฟต์แวร์ทันที

    ✅ ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยด้านความปลอดภัยที่ใช้นามแฝง MrBruh
    - พบว่า DriverHub มีการตรวจสอบคำสั่งที่ไม่ดี ทำให้สามารถใช้ช่องโหว่สองตัวร่วมกันเพื่อรันโค้ดอันตราย

    ✅ ช่องโหว่ได้รับการติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-3462 และ CVE-2025-3463
    - ช่องโหว่เหล่านี้ เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์อันตรายจากระยะไกล

    ✅ ASUS ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2025
    - แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดต DriverHub โดยกดปุ่ม "Update Now" ในตัวโปรแกรม

    ✅ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบเฉพาะกับเมนบอร์ด ASUS เท่านั้น
    - ไม่ส่งผลกระทบต่อ แล็ปท็อป, เดสก์ท็อป หรืออุปกรณ์อื่น ๆ

    ✅ ไม่มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีจริงในขณะนี้
    - นักวิจัยเชื่อว่า MrBruh เป็นคนแรกที่ค้นพบช่องโหว่นี้

    https://www.techradar.com/pro/security/asus-driverhub-driver-management-tool-targeted-by-rce-vulnerability
    ช่องโหว่ RCE ใน ASUS DriverHub: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ต้องรีบแก้ไข นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบ ช่องโหว่ร้ายแรงใน ASUS DriverHub ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการไดรเวอร์ของ ASUS ช่องโหว่นี้ เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดอันตรายจากระยะไกล บนเครื่องที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ASUS ได้ออก แพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตซอฟต์แวร์ทันที ✅ ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยด้านความปลอดภัยที่ใช้นามแฝง MrBruh - พบว่า DriverHub มีการตรวจสอบคำสั่งที่ไม่ดี ทำให้สามารถใช้ช่องโหว่สองตัวร่วมกันเพื่อรันโค้ดอันตราย ✅ ช่องโหว่ได้รับการติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-3462 และ CVE-2025-3463 - ช่องโหว่เหล่านี้ เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์อันตรายจากระยะไกล ✅ ASUS ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2025 - แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดต DriverHub โดยกดปุ่ม "Update Now" ในตัวโปรแกรม ✅ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบเฉพาะกับเมนบอร์ด ASUS เท่านั้น - ไม่ส่งผลกระทบต่อ แล็ปท็อป, เดสก์ท็อป หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ✅ ไม่มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีจริงในขณะนี้ - นักวิจัยเชื่อว่า MrBruh เป็นคนแรกที่ค้นพบช่องโหว่นี้ https://www.techradar.com/pro/security/asus-driverhub-driver-management-tool-targeted-by-rce-vulnerability
    WWW.TECHRADAR.COM
    ASUS DriverHub driver management tool targeted by RCE vulnerability
    Researchers found a critical vulnerability in ASUS' driver management tool
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ส่ง 18,000 AI GPUs ไปยังศูนย์ข้อมูลของซาอุดีอาระเบีย หลังสหรัฐฯ ยกเลิกกฎควบคุมการส่งออก

    Nvidia ได้ประกาศส่ง 18,000 AI GPUs ไปยัง Humain ซึ่งเป็นบริษัท AI ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจาก สหรัฐฯ ยกเลิกกฎ AI Diffusion Rule ซึ่งเดิมจะจำกัดการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังบางประเทศ

    ✅ Nvidia ส่ง 18,000 AI GPUs ไปยัง Humain ซึ่งเป็นบริษัท AI ของซาอุดีอาระเบีย
    - CEO Jensen Huang ประกาศเรื่องนี้ที่ Saudi-US Investment Forum

    ✅ Humain เป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจาก Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย
    - มีเป้าหมายสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน AI และศูนย์ข้อมูลระดับโลก

    ✅ AI GPUs เหล่านี้จะถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาด 500 เมกะวัตต์
    - ช่วยให้ซาอุดีอาระเบีย พัฒนาโมเดล AI ขั้นสูง รวมถึง LLM ภาษาอาหรับ

    ✅ การส่งออกเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกกฎ AI Diffusion Rule
    - เดิมที ซาอุดีอาระเบียอยู่ใน Tier 2 ซึ่งจะถูกจำกัดการนำเข้า AI GPUs

    ✅ บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Amazon, Google และ Oracle ต้องสร้างศูนย์ข้อมูลในซาอุดีอาระเบีย
    - เนื่องจากรัฐบาล กำหนดให้ข้อมูลส่วนบุคคลและการเงินต้องถูกจัดเก็บภายในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-sending-18-000-ai-gpus-to-saudi-arabias-state-backed-ai-data-centers-in-wake-of-cancelled-export-rules
    Nvidia ส่ง 18,000 AI GPUs ไปยังศูนย์ข้อมูลของซาอุดีอาระเบีย หลังสหรัฐฯ ยกเลิกกฎควบคุมการส่งออก Nvidia ได้ประกาศส่ง 18,000 AI GPUs ไปยัง Humain ซึ่งเป็นบริษัท AI ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจาก สหรัฐฯ ยกเลิกกฎ AI Diffusion Rule ซึ่งเดิมจะจำกัดการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังบางประเทศ ✅ Nvidia ส่ง 18,000 AI GPUs ไปยัง Humain ซึ่งเป็นบริษัท AI ของซาอุดีอาระเบีย - CEO Jensen Huang ประกาศเรื่องนี้ที่ Saudi-US Investment Forum ✅ Humain เป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจาก Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย - มีเป้าหมายสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน AI และศูนย์ข้อมูลระดับโลก ✅ AI GPUs เหล่านี้จะถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาด 500 เมกะวัตต์ - ช่วยให้ซาอุดีอาระเบีย พัฒนาโมเดล AI ขั้นสูง รวมถึง LLM ภาษาอาหรับ ✅ การส่งออกเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกกฎ AI Diffusion Rule - เดิมที ซาอุดีอาระเบียอยู่ใน Tier 2 ซึ่งจะถูกจำกัดการนำเข้า AI GPUs ✅ บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Amazon, Google และ Oracle ต้องสร้างศูนย์ข้อมูลในซาอุดีอาระเบีย - เนื่องจากรัฐบาล กำหนดให้ข้อมูลส่วนบุคคลและการเงินต้องถูกจัดเก็บภายในประเทศ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-sending-18-000-ai-gpus-to-saudi-arabias-state-backed-ai-data-centers-in-wake-of-cancelled-export-rules
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google เปิดตัว Gemini Live สำหรับผู้ใช้ Workspace Google ได้เริ่มเปิดตัว Gemini Live ให้กับผู้ใช้ Google Workspace ซึ่งเป็น ฟีเจอร์ AI ที่ช่วยให้สามารถสนทนาแบบเสียงกับ AI ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ Gemini's multi-modal capabilities

    Gemini Live เปิดตัวครั้งแรกในงาน Pixel launch event ปี 2024 และเริ่มทยอยเปิดให้ใช้งานบน Android และ iOS ก่อนที่จะ เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปใช้ฟรี หลังจากที่เคยจำกัดเฉพาะ ผู้ใช้ Gemini Advanced แบบเสียเงิน

    ✅ Gemini Live ใช้ AI เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสนทนาแบบเสียงกับ AI ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    - สามารถ ขัดจังหวะ AI ระหว่างการตอบเพื่อถามคำถามหรือเปลี่ยนหัวข้อได้

    ✅ เปิดตัวครั้งแรกในงาน Pixel launch event ปี 2024 และทยอยเปิดให้ใช้งานบน Android และ iOS
    - เริ่มต้นสำหรับ ผู้ใช้ Gemini Advanced แบบเสียเงิน ก่อนเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปใช้ฟรี

    ✅ ผู้ใช้สามารถเลือกเสียง AI ได้จากตัวเลือก 10 เสียง
    - ช่วยให้ การสนทนามีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

    ✅ Gemini Live รองรับการวิเคราะห์ภาพจากกล้องและการให้คำแนะนำจากการบันทึกหน้าจอ
    - สามารถ ใช้ร่วมกับไฟล์, รูปภาพ และวิดีโอ YouTube ในการสนทนา

    ✅ Google Workspace ผู้ใช้สามารถใช้ Gemini Live เพื่อช่วยในการประชุม, การวางแผน และการฝึกซ้อมการนำเสนอ
    - ช่วยให้ สามารถรับฟีดแบ็กจาก AI ได้แบบเรียลไทม์

    https://www.neowin.net/news/google-starts-pushing-gemini-live-voice-chat-mode-to-workspace-users/
    Google เปิดตัว Gemini Live สำหรับผู้ใช้ Workspace Google ได้เริ่มเปิดตัว Gemini Live ให้กับผู้ใช้ Google Workspace ซึ่งเป็น ฟีเจอร์ AI ที่ช่วยให้สามารถสนทนาแบบเสียงกับ AI ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ Gemini's multi-modal capabilities Gemini Live เปิดตัวครั้งแรกในงาน Pixel launch event ปี 2024 และเริ่มทยอยเปิดให้ใช้งานบน Android และ iOS ก่อนที่จะ เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปใช้ฟรี หลังจากที่เคยจำกัดเฉพาะ ผู้ใช้ Gemini Advanced แบบเสียเงิน ✅ Gemini Live ใช้ AI เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสนทนาแบบเสียงกับ AI ได้อย่างเป็นธรรมชาติ - สามารถ ขัดจังหวะ AI ระหว่างการตอบเพื่อถามคำถามหรือเปลี่ยนหัวข้อได้ ✅ เปิดตัวครั้งแรกในงาน Pixel launch event ปี 2024 และทยอยเปิดให้ใช้งานบน Android และ iOS - เริ่มต้นสำหรับ ผู้ใช้ Gemini Advanced แบบเสียเงิน ก่อนเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปใช้ฟรี ✅ ผู้ใช้สามารถเลือกเสียง AI ได้จากตัวเลือก 10 เสียง - ช่วยให้ การสนทนามีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ✅ Gemini Live รองรับการวิเคราะห์ภาพจากกล้องและการให้คำแนะนำจากการบันทึกหน้าจอ - สามารถ ใช้ร่วมกับไฟล์, รูปภาพ และวิดีโอ YouTube ในการสนทนา ✅ Google Workspace ผู้ใช้สามารถใช้ Gemini Live เพื่อช่วยในการประชุม, การวางแผน และการฝึกซ้อมการนำเสนอ - ช่วยให้ สามารถรับฟีดแบ็กจาก AI ได้แบบเรียลไทม์ https://www.neowin.net/news/google-starts-pushing-gemini-live-voice-chat-mode-to-workspace-users/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google starts pushing Gemini Live voice chat mode to Workspace users
    Google announced that its Gemini Live voice chat mode is now rolling out to Workspace users. The AI feature enables two-way, in-depth conversations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤตงบประมาณของ CVE อาจเป็นโอกาสในการปรับแนวทางการจัดการช่องโหว่ โครงการ Common Vulnerabilities and Exposures (CVE) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลช่องโหว่ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย เผชิญกับวิกฤตงบประมาณ หลังจากที่ MITRE Corporation ประกาศว่าการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกระงับ อย่างไรก็ตาม CISA ได้ใช้ตัวเลือกขยายงบประมาณออกไปอีก 11 เดือน ทำให้โครงการยังคงดำเนินต่อไป

    แม้ว่าการขยายงบประมาณจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของ CVE ยังคงอยู่ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยต้อง พิจารณาแนวทางใหม่ในการจัดการช่องโหว่ โดยเฉพาะในช่วงที่ จำนวนช่องโหว่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ✅ CVE เป็นแหล่งข้อมูลช่องโหว่ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย
    - ช่วยให้ องค์กรสามารถจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขช่องโหว่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ✅ MITRE Corporation ประกาศว่าการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกระงับ
    - ทำให้เกิด ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโครงการ

    ✅ CISA ใช้ตัวเลือกขยายงบประมาณออกไปอีก 11 เดือน
    - ช่วยให้ CVE ยังคงดำเนินต่อไปในระยะสั้น

    ✅ จำนวนช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยเพิ่มขึ้น 38% ในปี 2024
    - มีช่องโหว่กว่า 40,000 รายการถูกเปิดเผย โดย 4,400 รายการถูกจัดเป็นระดับวิกฤต

    ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทางที่เน้นความเสี่ยงในโลกจริงแทนการพึ่งพา CVSS เพียงอย่างเดียว
    - ควรพิจารณา ความสามารถในการถูกโจมตี, การเปิดเผยออนไลน์ และผลกระทบต่อซัพพลายเชน

    https://www.csoonline.com/article/3980423/cve-funding-crisis-offers-chance-for-vulnerability-remediation-rethink.html
    วิกฤตงบประมาณของ CVE อาจเป็นโอกาสในการปรับแนวทางการจัดการช่องโหว่ โครงการ Common Vulnerabilities and Exposures (CVE) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลช่องโหว่ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย เผชิญกับวิกฤตงบประมาณ หลังจากที่ MITRE Corporation ประกาศว่าการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกระงับ อย่างไรก็ตาม CISA ได้ใช้ตัวเลือกขยายงบประมาณออกไปอีก 11 เดือน ทำให้โครงการยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าการขยายงบประมาณจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของ CVE ยังคงอยู่ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยต้อง พิจารณาแนวทางใหม่ในการจัดการช่องโหว่ โดยเฉพาะในช่วงที่ จำนวนช่องโหว่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ CVE เป็นแหล่งข้อมูลช่องโหว่ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย - ช่วยให้ องค์กรสามารถจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขช่องโหว่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ MITRE Corporation ประกาศว่าการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกระงับ - ทำให้เกิด ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโครงการ ✅ CISA ใช้ตัวเลือกขยายงบประมาณออกไปอีก 11 เดือน - ช่วยให้ CVE ยังคงดำเนินต่อไปในระยะสั้น ✅ จำนวนช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยเพิ่มขึ้น 38% ในปี 2024 - มีช่องโหว่กว่า 40,000 รายการถูกเปิดเผย โดย 4,400 รายการถูกจัดเป็นระดับวิกฤต ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทางที่เน้นความเสี่ยงในโลกจริงแทนการพึ่งพา CVSS เพียงอย่างเดียว - ควรพิจารณา ความสามารถในการถูกโจมตี, การเปิดเผยออนไลน์ และผลกระทบต่อซัพพลายเชน https://www.csoonline.com/article/3980423/cve-funding-crisis-offers-chance-for-vulnerability-remediation-rethink.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CVE funding crisis offers chance for vulnerability remediation rethink
    Rising tide of vulnerabilities requires fresh approaches to risk mitigation. A sound security foundation, broad asset oversight, and threat intelligence supported by context can help.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • SZBOX S9: แท็บเล็ต Windows 11 Pro ที่มีแบตเตอรี่เล็กแต่พอร์ตเยอะเกินคาด SZBOX S9 เป็นแท็บเล็ตที่ แตกต่างจากแท็บเล็ตทั่วไป ด้วยขนาดหน้าจอเพียง 7 นิ้ว และแบตเตอรี่ 3400mAh ซึ่งถือว่าเล็กมากสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของมันคือ พอร์ตเชื่อมต่อที่มากถึง 8 พอร์ต ทำให้สามารถ เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมได้หลากหลาย

    แท็บเล็ตนี้ใช้ Intel N200 ซึ่งเป็น ชิป 10nm แบบ 4 คอร์ พร้อม RAM LPDDR5 ขนาด 16GB และ SSD สูงสุด 1TB รองรับ การเล่นวิดีโอ 4K ที่ 60fps และมี ขาตั้งด้านหลัง เพื่อความสะดวกในการใช้งานบนโต๊ะ

    ✅ SZBOX S9 ใช้ Windows 11 Pro และสามารถเปลี่ยนไปใช้ Linux ได้
    - รองรับ การใช้งานที่หลากหลายสำหรับงานธุรกิจและอุตสาหกรรม

    ✅ มีพอร์ตเชื่อมต่อมากถึง 8 พอร์ต
    - รวมถึง USB-A 3.2 จำนวน 3 พอร์ต, USB-A 2.0, USB-C 2 พอร์ต, HDMI 2.0, Gigabit Ethernet และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

    ✅ ใช้ Intel N200 พร้อม RAM LPDDR5 ขนาด 16GB และ SSD สูงสุด 1TB
    - รองรับ การเล่นวิดีโอ 4K ที่ 60fps และการทำงานแบบมัลติทาสก์

    ✅ แบตเตอรี่ 3400mAh ออกแบบมาสำหรับการใช้งานระยะสั้นหรือการทำงานขณะเสียบปลั๊ก
    - ไม่เหมาะสำหรับ การใช้งานต่อเนื่องโดยไม่เสียบชาร์จ

    ✅ รองรับ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6 สำหรับการเชื่อมต่อไร้สาย
    - ทำให้ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เสริมได้อย่างรวดเร็ว

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-weirdest-windows-tablet-youll-see-today-s9-has-a-tiny-battery-but-also-windows-11-pro-and-eight-yes-8-ports
    SZBOX S9: แท็บเล็ต Windows 11 Pro ที่มีแบตเตอรี่เล็กแต่พอร์ตเยอะเกินคาด SZBOX S9 เป็นแท็บเล็ตที่ แตกต่างจากแท็บเล็ตทั่วไป ด้วยขนาดหน้าจอเพียง 7 นิ้ว และแบตเตอรี่ 3400mAh ซึ่งถือว่าเล็กมากสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของมันคือ พอร์ตเชื่อมต่อที่มากถึง 8 พอร์ต ทำให้สามารถ เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมได้หลากหลาย แท็บเล็ตนี้ใช้ Intel N200 ซึ่งเป็น ชิป 10nm แบบ 4 คอร์ พร้อม RAM LPDDR5 ขนาด 16GB และ SSD สูงสุด 1TB รองรับ การเล่นวิดีโอ 4K ที่ 60fps และมี ขาตั้งด้านหลัง เพื่อความสะดวกในการใช้งานบนโต๊ะ ✅ SZBOX S9 ใช้ Windows 11 Pro และสามารถเปลี่ยนไปใช้ Linux ได้ - รองรับ การใช้งานที่หลากหลายสำหรับงานธุรกิจและอุตสาหกรรม ✅ มีพอร์ตเชื่อมต่อมากถึง 8 พอร์ต - รวมถึง USB-A 3.2 จำนวน 3 พอร์ต, USB-A 2.0, USB-C 2 พอร์ต, HDMI 2.0, Gigabit Ethernet และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ✅ ใช้ Intel N200 พร้อม RAM LPDDR5 ขนาด 16GB และ SSD สูงสุด 1TB - รองรับ การเล่นวิดีโอ 4K ที่ 60fps และการทำงานแบบมัลติทาสก์ ✅ แบตเตอรี่ 3400mAh ออกแบบมาสำหรับการใช้งานระยะสั้นหรือการทำงานขณะเสียบปลั๊ก - ไม่เหมาะสำหรับ การใช้งานต่อเนื่องโดยไม่เสียบชาร์จ ✅ รองรับ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6 สำหรับการเชื่อมต่อไร้สาย - ทำให้ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เสริมได้อย่างรวดเร็ว https://www.techradar.com/pro/this-is-the-weirdest-windows-tablet-youll-see-today-s9-has-a-tiny-battery-but-also-windows-11-pro-and-eight-yes-8-ports
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ่นยนต์ Unitree เกิดข้อผิดพลาดในโรงงาน เกือบทำร้ายพนักงาน วิดีโอที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็น หุ่นยนต์ Unitree H1 เกิดข้อผิดพลาดในโรงงาน โดยเริ่ม แกว่งแขนอย่างรุนแรงและเดินไปข้างหน้า ทำให้พนักงานต้อง หลบหลีกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่หนึ่งในพนักงานจะสามารถ ควบคุมหุ่นยนต์ได้โดยจับสายรัด

    https://x.com/sentdefender/status/1918879138019946557

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน โรงงานทดสอบในประเทศจีน และคาดว่า อาจเกิดจากข้อผิดพลาดทางซอฟต์แวร์ อย่างไรก็ตาม Unitree ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา

    ✅ หุ่นยนต์ Unitree H1 เกิดข้อผิดพลาดในโรงงานทดสอบในจีน
    - เริ่ม แกว่งแขนอย่างรุนแรงและเดินไปข้างหน้า
    - พนักงานต้อง หลบหลีกก่อนควบคุมหุ่นยนต์ได้

    ✅ คาดว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากข้อผิดพลาดทางซอฟต์แวร์
    - Unitree ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา

    ✅ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดขึ้นในงาน Tianjin Winter Gala Festival
    - หุ่นยนต์ Unitree H1 พุ่งเข้าหาผู้ชมโดยไม่คาดคิด

    ✅ Unitree G1 เป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยในบ้านที่มีราคาประมาณ $16,000
    - ใช้ กล้อง 3D Lidar และสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ผ่านการเลียนแบบ

    ✅ บริษัทอื่น ๆ กำลังทดสอบหุ่นยนต์ในคลังสินค้า
    - เช่น Apptronik และ Jabil กำลังทดลองใช้หุ่นยนต์ในการประกอบแผงวงจร

    https://www.techspot.com/news/107856-factory-video-shows-unitree-robot-going-berserk-nearly.html
    หุ่นยนต์ Unitree เกิดข้อผิดพลาดในโรงงาน เกือบทำร้ายพนักงาน วิดีโอที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็น หุ่นยนต์ Unitree H1 เกิดข้อผิดพลาดในโรงงาน โดยเริ่ม แกว่งแขนอย่างรุนแรงและเดินไปข้างหน้า ทำให้พนักงานต้อง หลบหลีกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่หนึ่งในพนักงานจะสามารถ ควบคุมหุ่นยนต์ได้โดยจับสายรัด https://x.com/sentdefender/status/1918879138019946557 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน โรงงานทดสอบในประเทศจีน และคาดว่า อาจเกิดจากข้อผิดพลาดทางซอฟต์แวร์ อย่างไรก็ตาม Unitree ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา ✅ หุ่นยนต์ Unitree H1 เกิดข้อผิดพลาดในโรงงานทดสอบในจีน - เริ่ม แกว่งแขนอย่างรุนแรงและเดินไปข้างหน้า - พนักงานต้อง หลบหลีกก่อนควบคุมหุ่นยนต์ได้ ✅ คาดว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากข้อผิดพลาดทางซอฟต์แวร์ - Unitree ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา ✅ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดขึ้นในงาน Tianjin Winter Gala Festival - หุ่นยนต์ Unitree H1 พุ่งเข้าหาผู้ชมโดยไม่คาดคิด ✅ Unitree G1 เป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยในบ้านที่มีราคาประมาณ $16,000 - ใช้ กล้อง 3D Lidar และสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ผ่านการเลียนแบบ ✅ บริษัทอื่น ๆ กำลังทดสอบหุ่นยนต์ในคลังสินค้า - เช่น Apptronik และ Jabil กำลังทดลองใช้หุ่นยนต์ในการประกอบแผงวงจร https://www.techspot.com/news/107856-factory-video-shows-unitree-robot-going-berserk-nearly.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Factory video shows Unitree robot going berserk, nearly injuring workers
    A chilling video that recently began circulating on social media allegedly shows a Unitree robot going berserk in a factory, nearly injuring two nearby workers. The cause...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ออกอัปเดตไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสถียรของซีพียูรุ่นที่ 13 และ 14 Intel ได้ปล่อย ไมโครโค้ดเวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift Instability ซึ่งเป็นปัญหาที่พบใน ซีพียูเดสก์ท็อปรุ่นที่ 13 และ 14 โดยอัปเดตใหม่นี้ ช่วยปรับปรุงเสถียรภาพของระบบโดยไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพ

    ก่อนหน้านี้ Intel ได้ออก ไมโครโค้ดเวอร์ชัน 0x12B เพื่อลดแรงดันไฟฟ้าที่สูงเกินไป แต่ยังพบปัญหาในบางกรณี ทำให้ต้องออก เวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม

    ✅ Intel ออกไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift Instability
    - เป็น ส่วนขยายของอัปเดต 0x12B
    - ช่วยปรับปรุง เสถียรภาพของซีพียูรุ่นที่ 13 และ 14

    ✅ อัปเดตใหม่นี้ไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของซีพียู
    - Intel ยืนยันว่า ไม่มีการลดประสิทธิภาพจากอัปเดตนี้

    ✅ Intel แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้ง BIOS เวอร์ชันล่าสุด
    - ควรใช้ Intel Default Settings ใน BIOS เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของ Vmin Shift Instability

    ✅ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบอัปเดต BIOS ได้จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตเมนบอร์ด
    - หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับรุ่นเมนบอร์ด สามารถใช้คำสั่ง msinfo32 เพื่อตรวจสอบข้อมูลระบบ

    https://www.neowin.net/news/intel-says-latest-13th14th-gen-cpu-instability-bug-firmware-does-not-impact-performance/
    Intel ออกอัปเดตไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสถียรของซีพียูรุ่นที่ 13 และ 14 Intel ได้ปล่อย ไมโครโค้ดเวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift Instability ซึ่งเป็นปัญหาที่พบใน ซีพียูเดสก์ท็อปรุ่นที่ 13 และ 14 โดยอัปเดตใหม่นี้ ช่วยปรับปรุงเสถียรภาพของระบบโดยไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ก่อนหน้านี้ Intel ได้ออก ไมโครโค้ดเวอร์ชัน 0x12B เพื่อลดแรงดันไฟฟ้าที่สูงเกินไป แต่ยังพบปัญหาในบางกรณี ทำให้ต้องออก เวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม ✅ Intel ออกไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift Instability - เป็น ส่วนขยายของอัปเดต 0x12B - ช่วยปรับปรุง เสถียรภาพของซีพียูรุ่นที่ 13 และ 14 ✅ อัปเดตใหม่นี้ไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของซีพียู - Intel ยืนยันว่า ไม่มีการลดประสิทธิภาพจากอัปเดตนี้ ✅ Intel แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้ง BIOS เวอร์ชันล่าสุด - ควรใช้ Intel Default Settings ใน BIOS เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของ Vmin Shift Instability ✅ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบอัปเดต BIOS ได้จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตเมนบอร์ด - หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับรุ่นเมนบอร์ด สามารถใช้คำสั่ง msinfo32 เพื่อตรวจสอบข้อมูลระบบ https://www.neowin.net/news/intel-says-latest-13th14th-gen-cpu-instability-bug-firmware-does-not-impact-performance/
    WWW.NEOWIN.NET
    Intel says latest 13th/14th Gen CPU instability bug firmware does not impact performance
    Intel has issued new firmware to further fix stability issues on 13th and 14th Gen desktop processors. The new update is said to have almost no performance impact.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • การท่องอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในอนาคตจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโฉมการเชื่อมต่อและประสบการณ์ออนไลน์ของผู้ใช้ โดยมีแนวโน้มสำคัญดังนี้:

    ### 1. **เทคโนโลยีเครือข่ายขั้นสูง**
    - **5G และ 6G**: ความเร็วสูงถึง **หลายสิบ Gbps** (เร็วกว่า 4G เป็นร้อยเท่า) พร้อม latency ต่ำสุด **1 ms** หรือน้อยกว่า เหมาะสำหรับ VR/AR, การแพทย์ทางไกล และรถยนต์อิสระ
    - **ดาวเทียมความเร็วสูง**: เช่น Starlink (SpaceX), Project Kuiper (Amazon) ให้ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกลด้วยความเร็ว **100 Mbps–1 Gbps**

    ### 2. **โครงสร้างพื้นฐานใหม่**
    - **ไฟเบอร์ออปติกทั่วถึง**: เคเบิลใยแก้ว **Terabit-class** (เช่นเทคโนโลยี **Alcatel Lucent's 1.6 Tbps**) จะเชื่อมต่อเมืองใหญ่และชนบท
    - **Li-Fi**: ใช้แสงส่องสว่างส่งข้อมูลด้วยความเร็ว **สูงถึง 224 Gbps** ในห้องปฏิบัติการ

    ### 3. **การประมวลผลแบบกระจายศูนย์**
    - **Edge Computing**: ลด latency โดยประมวลผลข้อมูลใกล้ผู้ใช้ (เช่น ศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กในเมือง)
    - **Quantum Networking**: การสื่อสารควอนตัมผ่าน **Quantum Key Distribution (QKD)** ป้องกันการแฮก 100%

    ### 4. **แอปพลิเคชันแห่งอนาคต**
    - **Metaverse**: โลกเสมือนจริงที่ต้องการ **ความเร็ว ≥ 50 Mbps/คน** และ latency ≤ 10 ms
    - **Holographic Communication**: การสตรีมโฮโลแกรม 3D ใช้แบนด์วิธ **≥ 1 Tbps/วินาที** (ทดสอบโดย MIT Media Lab)
    - **AI Real-Time Processing**: เช่นรถยนต์ไร้คนขับวิเคราะห์ข้อมูล **4 TB/วัน/คัน**

    ### 5. **ความท้าทาย**
    - **ค่าใช้จ่าย**: การติดตั้งโครงสร้าง 6G อาจใช้งบ **3-5 เท่าของ 5G**
    - **ความปลอดภัย**: การโจมตีแบบ **DDoS ขนาด > 100 Tbps** (เทียบกับ 2.3 Tbps ในปี 2020)
    - **Digital Divide**: 30% ของประชากรโลกยังขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตพื้นฐาน (ข้อมูล ITU 2023)

    ### 6. **ตัวเลขที่น่าสนใจ**
    - ปี 2030 คาดการณ์:
    - อุปกรณ์ IoT ทั่วโลก **> 50,000 ล้านชิ้น**
    - ปริมาณข้อมูลโลก **> 5,000 EB/ปี** (1 EB = 1 ล้าน TB)
    - ความเร็วเฉลี่ยทั่วโลก **> 500 Mbps** (จาก 100 Mbps ในปี 2025)

    อนาคตอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะไม่ใช่แค่การโหลดเร็วขึ้น แต่เป็นพื้นฐานของ **Smart Cities, Digital Twins, และเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก** ที่ต้องการการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์สมบูรณ์แบบ โดยอาจเห็นการใช้งานทั่วไปภายใน **ปี 2030-2035**
    การท่องอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในอนาคตจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโฉมการเชื่อมต่อและประสบการณ์ออนไลน์ของผู้ใช้ โดยมีแนวโน้มสำคัญดังนี้: ### 1. **เทคโนโลยีเครือข่ายขั้นสูง** - **5G และ 6G**: ความเร็วสูงถึง **หลายสิบ Gbps** (เร็วกว่า 4G เป็นร้อยเท่า) พร้อม latency ต่ำสุด **1 ms** หรือน้อยกว่า เหมาะสำหรับ VR/AR, การแพทย์ทางไกล และรถยนต์อิสระ - **ดาวเทียมความเร็วสูง**: เช่น Starlink (SpaceX), Project Kuiper (Amazon) ให้ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกลด้วยความเร็ว **100 Mbps–1 Gbps** ### 2. **โครงสร้างพื้นฐานใหม่** - **ไฟเบอร์ออปติกทั่วถึง**: เคเบิลใยแก้ว **Terabit-class** (เช่นเทคโนโลยี **Alcatel Lucent's 1.6 Tbps**) จะเชื่อมต่อเมืองใหญ่และชนบท - **Li-Fi**: ใช้แสงส่องสว่างส่งข้อมูลด้วยความเร็ว **สูงถึง 224 Gbps** ในห้องปฏิบัติการ ### 3. **การประมวลผลแบบกระจายศูนย์** - **Edge Computing**: ลด latency โดยประมวลผลข้อมูลใกล้ผู้ใช้ (เช่น ศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กในเมือง) - **Quantum Networking**: การสื่อสารควอนตัมผ่าน **Quantum Key Distribution (QKD)** ป้องกันการแฮก 100% ### 4. **แอปพลิเคชันแห่งอนาคต** - **Metaverse**: โลกเสมือนจริงที่ต้องการ **ความเร็ว ≥ 50 Mbps/คน** และ latency ≤ 10 ms - **Holographic Communication**: การสตรีมโฮโลแกรม 3D ใช้แบนด์วิธ **≥ 1 Tbps/วินาที** (ทดสอบโดย MIT Media Lab) - **AI Real-Time Processing**: เช่นรถยนต์ไร้คนขับวิเคราะห์ข้อมูล **4 TB/วัน/คัน** ### 5. **ความท้าทาย** - **ค่าใช้จ่าย**: การติดตั้งโครงสร้าง 6G อาจใช้งบ **3-5 เท่าของ 5G** - **ความปลอดภัย**: การโจมตีแบบ **DDoS ขนาด > 100 Tbps** (เทียบกับ 2.3 Tbps ในปี 2020) - **Digital Divide**: 30% ของประชากรโลกยังขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตพื้นฐาน (ข้อมูล ITU 2023) ### 6. **ตัวเลขที่น่าสนใจ** - ปี 2030 คาดการณ์: - อุปกรณ์ IoT ทั่วโลก **> 50,000 ล้านชิ้น** - ปริมาณข้อมูลโลก **> 5,000 EB/ปี** (1 EB = 1 ล้าน TB) - ความเร็วเฉลี่ยทั่วโลก **> 500 Mbps** (จาก 100 Mbps ในปี 2025) อนาคตอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะไม่ใช่แค่การโหลดเร็วขึ้น แต่เป็นพื้นฐานของ **Smart Cities, Digital Twins, และเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก** ที่ต้องการการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์สมบูรณ์แบบ โดยอาจเห็นการใช้งานทั่วไปภายใน **ปี 2030-2035**
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌌 Awakening Song Pt. 1 – Echoes from the Unwanted Image
    🎧 A Sweet Notice to Those Who Still Breathe Quietly
    📅 Official Album Launch: May 28, 2025

    🔗 Pre-listen the unofficial debut single:
    ▶️ No More Masks (Unofficial Preview)
    https://youtu.be/H-Og0cbfrJA

    🎶 Follow the full release here:
    Spotify Artist Profile https://open.spotify.com/artist/4lUbgHzsclX3utQs8ZQe9c
    YouTube Music Channel https://music.youtube.com/channel/UCU5BwquaVTJ2ZeKJRjShtew

    Emotional & Functional Trackmap

    A guided journey through six honest songs confronting the truths we usually hide.
    A Sweet Notice from the universe — softly reminding you that you’re still here.

    🌌 Concept Expansion: What is a “Sweet Notice”?
    In a world of noise, shame, and false strength, a Sweet Notice is not a command.
    It is not a scream.

    It is the soft whisper from your own soul —
    saying: “I see you, even when you’re hiding.”

    Each track in this album is a Sweet Notice
    sent from different corners of the inner landscape — from wounds, from regrets, from voices long silenced.
    And together, they form a path that begins in darkness, but does not end in despair.

    1. The True First Step
    Function: Awakening
    Emotion: Vulnerability, gentle courage
    This is not a song that performs — it breathes.
    It teaches that honesty doesn’t begin with clarity, but with movement.
    A soft notice that the first trembling step is sacred.
    “The first step is not clean. It is messy. It is breathing while scared.”
    Sweet Notice: You’re allowed to start before you're ready.

    2. No More Masks
    Function: Confrontation
    Emotion: Rage turned into truth
    This is the roar that breaks silence.
    It confronts the false peace we build with smiles and the roles we wear to be loved.
    Not bitter — just done.
    “This rap’s my truth. And my goodbye.”
    Sweet Notice: You don’t have to perform your pain anymore.

    3. Echoes of the Heart
    Function: Remembrance
    Emotion: Longing, warmth in absence
    A fusion of country and trap, this song returns you to a love that never left.
    It doesn’t mourn — it reminds. The heart’s echo is still playing.
    “In every beat, I hear — echoes of the heart.”
    Sweet Notice: Love does not vanish. It transforms.

    4. One More Lie
    Function: Realization
    Emotion: Quiet despair, recognition
    This is the silent war inside — between the truths we know and the lies we repeat.
    It is not an anthem. It is a mirror.
    “One more lie is one too many.”
    Sweet Notice: Stop lying to survive. Begin living to tell the truth.

    5. Still Worth It
    Function: Redemption
    Emotion: Silent strength, quiet dignity
    This is for those who don’t win — but still show up.
    It carries no pride, but dignity. No boast, but breath.
    “Still worth it. Even cracked. Still worth it. Even blacked.”
    Sweet Notice: You’re tired. Not finished.

    6. Bleed for Real
    Function: Cleansing
    Emotion: Raw honesty, uncompromised healing
    This is where grief becomes sacred.
    Where pain is no longer paraded, but purified.
    A space for healing that doesn’t demand applause.
    “That’s the only cut that’ll let you heal.”
    Sweet Notice: Bleed — not for likes, but for light.

    🌀 Album Summary: The Function of Echoes
    This is not an album that tells you what to believe.
    It is an album that notices you — where you are, how long you've been hiding, and how deeply you want to return to yourself.
    In every song, there’s a message:
    “Your mess is seen. Your silence is heard.
    You are still worth the song.”

    This album isn’t made to entertain.
    It’s made to tell the truth — the one we usually hide.
    💬 You’re not alone. You’re not broken beyond repair. You’re just waiting for your echo to come home.
    🌌 Awakening Song Pt. 1 – Echoes from the Unwanted Image 🎧 A Sweet Notice to Those Who Still Breathe Quietly 📅 Official Album Launch: May 28, 2025 🔗 Pre-listen the unofficial debut single: ▶️ No More Masks (Unofficial Preview) https://youtu.be/H-Og0cbfrJA 🎶 Follow the full release here: Spotify Artist Profile https://open.spotify.com/artist/4lUbgHzsclX3utQs8ZQe9c YouTube Music Channel https://music.youtube.com/channel/UCU5BwquaVTJ2ZeKJRjShtew Emotional & Functional Trackmap A guided journey through six honest songs confronting the truths we usually hide. A Sweet Notice from the universe — softly reminding you that you’re still here. 🌌 Concept Expansion: What is a “Sweet Notice”? In a world of noise, shame, and false strength, a Sweet Notice is not a command. It is not a scream. It is the soft whisper from your own soul — saying: “I see you, even when you’re hiding.” Each track in this album is a Sweet Notice sent from different corners of the inner landscape — from wounds, from regrets, from voices long silenced. And together, they form a path that begins in darkness, but does not end in despair. 1. The True First Step Function: Awakening Emotion: Vulnerability, gentle courage This is not a song that performs — it breathes. It teaches that honesty doesn’t begin with clarity, but with movement. A soft notice that the first trembling step is sacred. “The first step is not clean. It is messy. It is breathing while scared.” Sweet Notice: You’re allowed to start before you're ready. 2. No More Masks Function: Confrontation Emotion: Rage turned into truth This is the roar that breaks silence. It confronts the false peace we build with smiles and the roles we wear to be loved. Not bitter — just done. “This rap’s my truth. And my goodbye.” Sweet Notice: You don’t have to perform your pain anymore. 3. Echoes of the Heart Function: Remembrance Emotion: Longing, warmth in absence A fusion of country and trap, this song returns you to a love that never left. It doesn’t mourn — it reminds. The heart’s echo is still playing. “In every beat, I hear — echoes of the heart.” Sweet Notice: Love does not vanish. It transforms. 4. One More Lie Function: Realization Emotion: Quiet despair, recognition This is the silent war inside — between the truths we know and the lies we repeat. It is not an anthem. It is a mirror. “One more lie is one too many.” Sweet Notice: Stop lying to survive. Begin living to tell the truth. 5. Still Worth It Function: Redemption Emotion: Silent strength, quiet dignity This is for those who don’t win — but still show up. It carries no pride, but dignity. No boast, but breath. “Still worth it. Even cracked. Still worth it. Even blacked.” Sweet Notice: You’re tired. Not finished. 6. Bleed for Real Function: Cleansing Emotion: Raw honesty, uncompromised healing This is where grief becomes sacred. Where pain is no longer paraded, but purified. A space for healing that doesn’t demand applause. “That’s the only cut that’ll let you heal.” Sweet Notice: Bleed — not for likes, but for light. 🌀 Album Summary: The Function of Echoes This is not an album that tells you what to believe. It is an album that notices you — where you are, how long you've been hiding, and how deeply you want to return to yourself. In every song, there’s a message: “Your mess is seen. Your silence is heard. You are still worth the song.” This album isn’t made to entertain. It’s made to tell the truth — the one we usually hide. 💬 You’re not alone. You’re not broken beyond repair. You’re just waiting for your echo to come home.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ได้ออก อัปเดตไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift instability ซึ่งเป็นปัญหาที่เคยคิดว่าได้รับการแก้ไขแล้วในอัปเดตก่อนหน้า แต่ยังคงเกิดขึ้นในบางกรณี

    ไมโครโค้ด 0x12F เป็น ส่วนขยายของอัปเดต 0x12B โดยเพิ่มการแก้ไขที่ไม่ได้ครอบคลุมในอัปเดตเดิม ซึ่งช่วยลดปัญหาความไม่เสถียรของ ซีพียู Raptor Lake รุ่นที่ 13 และ 14 ที่ทำงานต่อเนื่องหลายวันและใช้โหลดงานเบา

    ✅ Intel ออกอัปเดตไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift instability
    - เป็น ส่วนขยายของอัปเดต 0x12B
    - ช่วยลด ปัญหาความไม่เสถียรของซีพียู Raptor Lake รุ่นที่ 13 และ 14

    ✅ อัปเดตนี้ไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพเพิ่มเติม
    - Intel ยืนยันว่า ไม่มีการลดประสิทธิภาพของซีพียูจากอัปเดตนี้

    ✅ ไมโครโค้ด 0x12F ไม่เกี่ยวข้องกับซีพียู Core Ultra 200S series
    - ซีพียูรุ่นใหม่ ไม่มีปัญหาความไม่เสถียรที่พบใน Raptor Lake

    ✅ ผู้ผลิตเมนบอร์ดเริ่มปล่อยอัปเดต BIOS ที่รวมไมโครโค้ด 0x12F แล้ว
    - ASRock เป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ เริ่มปล่อยอัปเดต BIOS ให้ผู้ใช้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/raptor-lake-instability-saga-continues-as-intel-releases-0x12f-update-to-fix-vmin-instability
    Intel ได้ออก อัปเดตไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift instability ซึ่งเป็นปัญหาที่เคยคิดว่าได้รับการแก้ไขแล้วในอัปเดตก่อนหน้า แต่ยังคงเกิดขึ้นในบางกรณี ไมโครโค้ด 0x12F เป็น ส่วนขยายของอัปเดต 0x12B โดยเพิ่มการแก้ไขที่ไม่ได้ครอบคลุมในอัปเดตเดิม ซึ่งช่วยลดปัญหาความไม่เสถียรของ ซีพียู Raptor Lake รุ่นที่ 13 และ 14 ที่ทำงานต่อเนื่องหลายวันและใช้โหลดงานเบา ✅ Intel ออกอัปเดตไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift instability - เป็น ส่วนขยายของอัปเดต 0x12B - ช่วยลด ปัญหาความไม่เสถียรของซีพียู Raptor Lake รุ่นที่ 13 และ 14 ✅ อัปเดตนี้ไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพเพิ่มเติม - Intel ยืนยันว่า ไม่มีการลดประสิทธิภาพของซีพียูจากอัปเดตนี้ ✅ ไมโครโค้ด 0x12F ไม่เกี่ยวข้องกับซีพียู Core Ultra 200S series - ซีพียูรุ่นใหม่ ไม่มีปัญหาความไม่เสถียรที่พบใน Raptor Lake ✅ ผู้ผลิตเมนบอร์ดเริ่มปล่อยอัปเดต BIOS ที่รวมไมโครโค้ด 0x12F แล้ว - ASRock เป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ เริ่มปล่อยอัปเดต BIOS ให้ผู้ใช้ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/raptor-lake-instability-saga-continues-as-intel-releases-0x12f-update-to-fix-vmin-instability
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Raptor Lake instability saga continues as Intel releases 0x12F update to fix Vmin instability
    Microcode update 0x12F rectifies rare circumstances where Vmin shift can still occur
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linux 6.15-rc5 ได้รับการปล่อยตัวโดย Linus Torvalds ซึ่งระบุว่าการพัฒนาเป็นไปตามแผนและมีความเสถียร โดยการอัปเดตครั้งนี้เน้นไปที่ การปรับปรุงไดรเวอร์เครือข่าย และ การแก้ไขระบบไฟล์ bcachefs

    แม้ว่าปกติแล้ว GPU drivers จะเป็นส่วนสำคัญของการอัปเดต แต่ครั้งนี้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก นอกจากนี้ยังมี การแก้ไขข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัย เช่น NULL pointer dereferences และ memory leaks

    ✅ การปรับปรุงไดรเวอร์เครือข่าย
    - มีการแก้ไขไดรเวอร์ bnxt_en, mtk_eth_soc และ mlx5
    - ปรับปรุง การจัดการเครือข่ายและการควบคุมทราฟฟิก (net_sched)

    ✅ การแก้ไขระบบไฟล์ bcachefs
    - มีการแก้ไข 21 patches โดย Kent Overstreet
    - ปรับปรุง การจัดการข้อมูลและประสิทธิภาพของระบบไฟล์

    ✅ การแก้ไขข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัย
    - แก้ไข NULL pointer dereferences และ memory leaks
    - ปรับปรุง การจัดการหน่วยความจำและการป้องกัน use-after-free vulnerabilities

    ✅ การปรับปรุงระบบเสียงและการสื่อสารฮาร์ดแวร์
    - ปรับปรุง Audio Subsystem (ASoC และ ALSA)
    - ปรับปรุง Inter-Integrated Circuit (I2C) และ Serial Peripheral Interface (SPI)

    ✅ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต
    - คาดว่า Linux 6.15 เวอร์ชันเสถียรจะเปิดตัวในอีก 3 สัปดาห์
    - นักพัฒนามุ่งเน้นการทดสอบความเสถียรของระบบ (Kernel self-tests)

    https://www.neowin.net/news/linus-torvalds-happy-with-linux-615-rc5-heres-whats-new/
    Linux 6.15-rc5 ได้รับการปล่อยตัวโดย Linus Torvalds ซึ่งระบุว่าการพัฒนาเป็นไปตามแผนและมีความเสถียร โดยการอัปเดตครั้งนี้เน้นไปที่ การปรับปรุงไดรเวอร์เครือข่าย และ การแก้ไขระบบไฟล์ bcachefs แม้ว่าปกติแล้ว GPU drivers จะเป็นส่วนสำคัญของการอัปเดต แต่ครั้งนี้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก นอกจากนี้ยังมี การแก้ไขข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัย เช่น NULL pointer dereferences และ memory leaks ✅ การปรับปรุงไดรเวอร์เครือข่าย - มีการแก้ไขไดรเวอร์ bnxt_en, mtk_eth_soc และ mlx5 - ปรับปรุง การจัดการเครือข่ายและการควบคุมทราฟฟิก (net_sched) ✅ การแก้ไขระบบไฟล์ bcachefs - มีการแก้ไข 21 patches โดย Kent Overstreet - ปรับปรุง การจัดการข้อมูลและประสิทธิภาพของระบบไฟล์ ✅ การแก้ไขข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัย - แก้ไข NULL pointer dereferences และ memory leaks - ปรับปรุง การจัดการหน่วยความจำและการป้องกัน use-after-free vulnerabilities ✅ การปรับปรุงระบบเสียงและการสื่อสารฮาร์ดแวร์ - ปรับปรุง Audio Subsystem (ASoC และ ALSA) - ปรับปรุง Inter-Integrated Circuit (I2C) และ Serial Peripheral Interface (SPI) ✅ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต - คาดว่า Linux 6.15 เวอร์ชันเสถียรจะเปิดตัวในอีก 3 สัปดาห์ - นักพัฒนามุ่งเน้นการทดสอบความเสถียรของระบบ (Kernel self-tests) https://www.neowin.net/news/linus-torvalds-happy-with-linux-615-rc5-heres-whats-new/
    WWW.NEOWIN.NET
    Linus Torvalds happy with Linux 6.15-rc5, here's what's new
    Linus Torvalds has announced the release of Linux 6.15-rc5. He said he's happy with the release. Here's a look at some of the changes this week.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • Cerabyte บริษัทสตาร์ทอัพด้านการจัดเก็บข้อมูล ได้เผยแพร่วิดีโอทดสอบความทนทานของ สื่อจัดเก็บข้อมูลแบบแก้วเซรามิก โดยนำไป ต้มในน้ำเกลือเดือด และ อบในเตาอบที่อุณหภูมิสูง เพื่อพิสูจน์ว่า ข้อมูลยังคงอยู่ครบถ้วนแม้ผ่านการทดสอบสุดโหด

    Cerabyte อ้างว่า สื่อจัดเก็บข้อมูลนี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 5,000 ปี และมีความทนทานต่อ ไฟ, น้ำ, รังสี และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMP) ซึ่งอาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับ การจัดเก็บข้อมูลระยะยาว

    ✅ การทดสอบความทนทานของสื่อจัดเก็บข้อมูล
    - นำไป ต้มในน้ำเกลือเดือด (100°C) และ อบในเตาอบที่ 250°C
    - ข้อมูลยังคงอยู่ครบถ้วนหลังจากผ่านการทดสอบ

    ✅ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบแก้วเซรามิก
    - ใช้ Femtosecond Laser ในการสร้างรูระดับนาโนบนแผ่นเซรามิก
    - Femtosecond Laser) เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่สามารถปล่อยพลังงานในช่วงเวลาสั้นมาก โดยมีความเร็วระดับ หนึ่งในพันล้านล้านวินาที (10⁻¹⁵ วินาที) หรือเฟมโตวินาที ซึ่งทำให้สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำโดยไม่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ
    - แผ่นแก้วบางเฉียบขนาด 9 ซม. สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ 1GB ต่อด้าน

    ✅ ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม
    - ทนต่อ ไฟ, น้ำ, รังสี และ EMP
    - ไม่เสื่อมสภาพง่ายเหมือน ฮาร์ดดิสก์หรือ SSD

    ✅ แผนการพัฒนาในอนาคต
    - ตั้งเป้าลดต้นทุนให้ต่ำกว่า $1 ต่อ TB ภายในปี 2030
    - พัฒนา CeraTape ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลระดับ Exabyte

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/firm-boils-storage-device-in-salt-water-then-grills-it-as-proof-of-durability-cerabytes-glass-storage-media-claimed-to-be-ultra-rugged
    Cerabyte บริษัทสตาร์ทอัพด้านการจัดเก็บข้อมูล ได้เผยแพร่วิดีโอทดสอบความทนทานของ สื่อจัดเก็บข้อมูลแบบแก้วเซรามิก โดยนำไป ต้มในน้ำเกลือเดือด และ อบในเตาอบที่อุณหภูมิสูง เพื่อพิสูจน์ว่า ข้อมูลยังคงอยู่ครบถ้วนแม้ผ่านการทดสอบสุดโหด Cerabyte อ้างว่า สื่อจัดเก็บข้อมูลนี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 5,000 ปี และมีความทนทานต่อ ไฟ, น้ำ, รังสี และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMP) ซึ่งอาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับ การจัดเก็บข้อมูลระยะยาว ✅ การทดสอบความทนทานของสื่อจัดเก็บข้อมูล - นำไป ต้มในน้ำเกลือเดือด (100°C) และ อบในเตาอบที่ 250°C - ข้อมูลยังคงอยู่ครบถ้วนหลังจากผ่านการทดสอบ ✅ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบแก้วเซรามิก - ใช้ Femtosecond Laser ในการสร้างรูระดับนาโนบนแผ่นเซรามิก - Femtosecond Laser) เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่สามารถปล่อยพลังงานในช่วงเวลาสั้นมาก โดยมีความเร็วระดับ หนึ่งในพันล้านล้านวินาที (10⁻¹⁵ วินาที) หรือเฟมโตวินาที ซึ่งทำให้สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำโดยไม่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ - แผ่นแก้วบางเฉียบขนาด 9 ซม. สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ 1GB ต่อด้าน ✅ ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม - ทนต่อ ไฟ, น้ำ, รังสี และ EMP - ไม่เสื่อมสภาพง่ายเหมือน ฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ✅ แผนการพัฒนาในอนาคต - ตั้งเป้าลดต้นทุนให้ต่ำกว่า $1 ต่อ TB ภายในปี 2030 - พัฒนา CeraTape ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลระดับ Exabyte https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/firm-boils-storage-device-in-salt-water-then-grills-it-as-proof-of-durability-cerabytes-glass-storage-media-claimed-to-be-ultra-rugged
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.cannabiscup.com/socal-2/
    https://www.cannabiscup.com/socal-2/
    WWW.CANNABISCUP.COM
    SoCal - Cannabis Cup
    [vc_row type=”in_container” full_screen_row_position=”middle” column_margin=”default” column_direction=”default” column_direction_tablet=”default” column_direction_phone=”default” scene_position=”center” text_color=”dark” text_align=”left” row_border_radius=”none” row_border_radius_applies=”bg” overflow=”visible” overlay_strength=”0.3″ gradient_direction=”left_to_right” shape_divider_position=”bottom” bg_image_animation=”none”][vc_column column_padding=”no-extra-padding” column_padding_tablet=”inherit” column_padding_phone=”inherit” column_padding_position=”all” column_element_spacing=”default” background_color_opacity=”1″ background_hover_color_opacity=”1″ column_shadow=”none” column_border_radius=”none” column_link_target=”_self” column_position=”default” gradient_direction=”left_to_right” overlay_strength=”0.3″...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากนักวิจัย AI ไทยที่ MIT ถึงบอร์ด AI เเห่งชาติ:ในฐานะที่พีพีเป็นนักวิจัย AI จากประเทศไทยที่ทำวิจัยใน frontier ของ Human-AI Interaction ที่ MIT เเละมีโอกาสร่วมมือกับบริษัทเเละสถาบัน AI ชั้นนำหลายๆที่ พีพีคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะนำประสบการณ์เเละสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้เขียนออกมาเป็นไอเดียเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบอร์ด AI เเห่งชาติ การที่รัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของ AI ในประเทศไทยเเละได้ตั้งบอร์ด AI เเห่งชาติ ซึ่งเป็นก้าวเเรกที่สำคัญมากๆ พีพีเลยอยากเเชร์มุมมองของ AI ในอนาคตจากในฝั่งงานวิจัย การศึกษา เเละชวนให้เห็นถึงคนไทยเก่งๆ ที่น่าจะช่วยกันสร้างอนาคตได้ครับ1) เราควรมอง AI อย่างไรในอนาคต?โดยส่วนตัวมองว่าพลังของ AI ไม่ใช่ตัวมันเองเเต่คือการที่ AI ไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆ เเบบเดียวกับที่ internet หรือ social media กลายไปเป็น platform ที่อยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับ reality AI จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลังอาหารที่เรากิน คนที่เราคบ สิ่งที่เราเสพ ความเชื่อที่เราเชื่อ ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่าเราจะออกเเบบ AI ที่เป็นตัวบงการประสบการณ์ของมนุษย์เเบบไหน? เราต้องมอง AI ไม่ใช่เเค่โครงสร้างพื้นฐานอย่าง server หรือ data center เเต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ การมองเเบบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับ AI ในมิติที่มากกว่าเเค่ “Artificial Intelligence” เเต่รวมไปถึง: AI ในฐานะ "Augmented Intuition” หรือ สัญชาติญาณใหม่ของมนุษย์ ที่อาจจะทำให้มนุษย์คิดได้ไกลขึ้นหรือเเคบลงขึ้นอยู่กับการออกเเบบวิธีการที่มนุษย์สัมพันกับ AI ตัวอย่าง เช่น งานวิจัยที่พีพีทำที่ MIT ใน project “Wearable Reasoner” ซึ่งเป็น AI ที่กระตุ้น critical thinking ของคนเวลาเจอข้อมูลต่างๆ ผ่านกระบวนการ nudging Choawalit Chotwattanaphong หรือ AI ในฐานะ "Addictive Intelligence” หรือสิ่งเสพติดที่รู้จักมนุษย์คนนั้นดีกว่าตัวเค้าเอง เช่น AI companion ที่ถูกออกเเบบมาเเทนที่ความสัมพันธ์มนุษย์ เป็น romance scammer เเบบใหม่ที่อันตรายมาก [2] ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด OpenAI ได้ทำวิจัยร่วมกับ MIT ในการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ในวงกว้าง [3]เเละ AI ในฐานะ “Algorithmic Inequality” หรือตัวเร่งความเหลื่อมล้ำในสังคม งานวิจัยของ ดร Nattavudh Powdthavee โชว์ให้เห็นว่าในไทย AI คัดเลือกคนเข้าทำงานจากนามสกุลเเทนที่จะเป็นความสามารถซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ [4]ดังนั้นเวลาเรามอง AI เราต้องมองให้ไกลว่าเทคโนโลยี หรือ ธุรกิจเเต่มองให้เห็นผลกระทบต่อประสบการณ์ของมนุษย์ในหลายๆมิติ โดยเฉพาะมิติทางการศึกษาที่จะเป็นรากฐานของประเทศ2) เราควรออกเเบบการศึกษาในยุค AI อย่างไร?การที่หลายประเทศเข้าถึง internet ได้เเต่ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศพัฒนาเท่ากัน ส่วนนึงเป็นเพราะผลลัพธ์ของเทคโนโลยีขึ้นกับวิธีที่คนใช้ด้วย ดังนั้น AI จะทำให้คนมีศักยภาพมากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นกับ HI หรือ Human Intelligence ด้วย การศึกษาในยุค AI ควรมองไปไกลกว่าเเค่การใช้เป็น หรือ การสร้างคนเข้าสู่อุตสาหกรรม เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เเละอุตสาหกรรมวันนี้จะไม่ใช่อุตสาหกรรมในวันข้างหน้า Steve Jobs เคยกล่าวว่า technology is a bicycle for the mind ทุกๆเครื่องมือคือสิ่งที่สมองขับเคลื่อนไปเร็วขึ้น สิ่งที่เราต้องช่วยให้เด็กๆได้ขบคิดคือเค้าจะจะขับ AI ไปไหน เเละขับอย่างไรไม่ให้ชน การศึกษาในอนาคตในยุคที่ AI ทำให้เด็กๆเป็น “Cyborg Generation” คือคนที่ความคิดเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีตลอดเวลา เราควร focus ที่การทำให้เด็กๆมีความเป็นมนุษย์ รู้จักตัวเองมี meta-cognitive thinking คือคิดเกี่ยวกับการคิดได้ลึกซึ้งขึ้น เข้าใจว่าสิ่งภายนอกส่งผลกับความรู้สึกภายในอย่างไร เเละมีความกล้าที่จะนำความคิดนั้นออกมาเเสดงออกอย่างสร้างสรรค์ สิ่งนี้เเทบจะไม่เกี่ยวกับ AI เลยเเต่จะเป็นพื้นฐานให้เค้ารับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปได้ เมื่อโตขึ้นเราควรส่งเสริมให้เด็กๆ มองเห็นศักยภาพตัวเองกับโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งโจทย์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น climate change, ความเหลื่อมล้ำ, ปัญหาต่างๆจะไม่เเก้ตัวเอง เเละ AI ก็จะไม่เเก้สิ่งนี้ด้วยตัวมันเอง เราไม่ควรให้เด็กมองตัวเองผ่านอาชีพเเคบๆ ว่าเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรก็เเล้วเเต่ เเต่มองเป็นคนที่มีศักยภาพที่สามารถจะใช้เครื่องมือขยายศักยภาพตัวเองไปเเก้ปัญหาใหญ่ๆ เเละสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้ สิ่งสุดท้ายเลยคือเราต้องช่วยให้เด็กๆ ไม่ติดกับดักใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพติด AI ที่ถูกออกเเบบมาให้มีความเสพติดมากขึ้น หรือ การรู้สึกหมดพลังเพราะเก่งไม่เท่ากับ AI เราต้องสร้าง narrative ใหม่ที่ช่วยให้เด็กรู้ทันกับความท้าทายในวันข้างหน้า3) ทิศทางของ AI ในอนาคต เเละไทย?เมื่อมองภาพใหญ่กว่านั้นว่าสิ่งที่จะเป็น next frontier ของ AI คืออะไร หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ agent หรือ physical AI เเต่โดยส่วนตัวคิดว่าทั้ง agent หรือ physical AI เป็นปลายทาง สิ่งที่พื้นฐานที่สุดคือเรื่องของ mechanistic interpretability [5] หรือการพยายามเข้าใจ AI ลงไปในระดับกลไกผ่านการศึกษา cluster ของ neural networks ใน large models ซึ่งพีพีคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเพราะไม่ใช่เเค่เราจะเข้าใจ model มากขึ้นเเต่จะทำให้เราควบคุมโมเดลได้ดีขึ้นด้วย เช่น ถ้าเรารู้ว่า cluster ทำหน้าทีอะไร เราก็จะเช็คได้ว่ามี cluster ของ neurons ไม่พึงประสงค์ทำงานรึเปล่า (อาจจะลด hallucination ได้) หรือ เราสามารถปิด neuron cluster ในส่วนที่ไม่จำเป็นออกได้จะทำให้ลดทรัพยากรณ์เเละนำมาสู่ model ขนาดเล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมขึ้นได้ นี่คือเหตุผลว่าตอนนี้ยักใหญ่ในวงการ AI หลายๆที่เเข่งกันทำ interpretability เพราะมันจะลด lost, เพิ่ม trust, เเละ robutness ได้ อย่างที่ CEO ของ Anthropic ประกาศว่าจะต้องเปิด blackbox ของ AI ให้ได้ภายในปี 2027 [6]ในไทยการวิจัยด้านนี้อาจจะทำได้ยากเพราะต้องการ compute มหาศาล เเละโจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ของระดับโลก ดังนั้นสิ่งที่เราควรสนใจอาจจะเป็นเรื่องของ research เเละ innovation ที่ connect AI เพื่อเข้ามา enhance อุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นผ่าน network ของ AI services ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว หรือ อาหาร วัฒนธรรม เเละ creative industry โดยสิ่งที่เราต้องทำคือต้องคิดเเตกต่างเเละไม่ยึดกับ AI เเบบเดิมๆที่เป็นมาพีพีได้รับเชิญจากทั้งรัฐบาลเเละเอกชนให้ไปเเชร์งานวิจัยเกี่ยวกับ Human-AI Interaction ที่เกาหลี 3 ครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความตื่นตัวเรื่อง AI กับ creative industry มาก ครั้งเเรกเป็นงานของรัฐบาลที่ focus เรื่อง AI & cultural innovation เเละอีกสองครั้งเป็นงานของ Busan International Fim Festival เเละ Busan AI Fim Festival ซึ่งทำให้เห็นว่าเกาหลีมองเรื่องของ AI ในฐานะ creative medium เเบบใหม่ที่จะสร้างงานสร้างสรรค์เเบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (ไม่ใช่เเค่การเอา AI มาเเทนที่สื่อเเบบเดิม) เช่นการสร้าง interactive cinema ที่ทำให้ character ในภาพยนต์หรือ series ออกมาอยู่ในโลกจริงร่วมกับคนดูได้ เเถมยังกลายเป็น interfaces ที่ช่วยขายสินค้าเเละวัฒนธรรมเกาหลีได้อีก นี่เป็นตัวอย่างของการมอง AI เเละ network ของ AI เป็น infrastructure ที่ connect กับวัฒนธรรมเเละ soft power ได้ครับในไทยเองก็มีโปรเจคที่พีพีเกี่ยวข้องอยู่อย่าง Cyber Subin กับพี่ Pichet Klunchun [7] ที่พยายามใช้ AI ถอดรหัสวัฒนธรรมไทยออกมาซึ่งถูกเชิญไปนำเสนอเเละโชว์ทั่วโลกในฐานะงาน AI ที่เชื่อมโยงกับการสร้างศิลปะเเละวัฒนธรรมเเบบใหม่ ดังนั้นพีพีโดยส่วนตัวค่อนข้าง optimistic ว่าไทยสามารถมีบทบาทต่อวงการ AI โลกเเละสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นได้ในประเทศได้ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง เพราะไทยมีคนไทยเก่งๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังวงการ AI ระดับโลกอย่าง ดร Supasorn Aek Suwajanakorn ที่เป็น pioneer ของ generative AI คนเเรกๆของโลก มี TED talk ที่คนดูเป็นล้าน [8] หรือ วีระ บุญจริง ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลัง Siri ที่กลายมาเป็น conversational AI ที่มีคนใช้ทั่วโลกอย่าง Apple [9] ล่าสุดพีพีไปงานประชุม Human-Computer Interaction ที่สำคัญที่สุดในสาขาเจอคนไทยเก่งๆ หลายคนที่อยู่ทั่วโลก หรือ ในภาคเอกชนก็คนเก่งๆ มากมายอย่างพี่ผลักดันวงการ AI ใน industry ของไทย ดังนั้นก็อยากฝากไปถึงบอร์ด AI เเห่งชาตินะครับว่าประเทศไทยจะมีอนาคตทางด้าน AI ได้เเน่ๆ ถ้าเรามอง AI ให้ครบทุกมิติ ออกเเบบการศึกษาในยุค AI เเบบ all of education เเละ education for all เเละรวมพลังเอาคนเก่งๆ มาช่วยกันครับ คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำถ้าตั้งใจให้เกิด impact จริงๆ เชื่อว่าจะพลิกประเทศไทยได้ครับ เพราะคำว่า Th[AI]land จะขาด AI ไปไม่ได้ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ Choawalit Chotwattanaphong https://www.media.mit.edu/projects/wearable-reasoner/overview/[2] https://mit-serc.pubpub.org/pub/iopjyxcx/release/2[3] https://openai.com/index/affective-use-study/[4] https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2025arXiv250119407P/abstract[5] https://www.neelnanda.io/mechanistic-interpretability/glossary[6] https://techsauce.co/news/anthropic-aims-to-unlock-ai-black-box-by-2027[7] https://cybersubin.media.mit.edu/[8] https://www.ted.com/speakers/supasorn_suwajanakorn[9] https://www.salika.co/2018/10/16/siri-artificial-intelligence-thai-owned/
    จากนักวิจัย AI ไทยที่ MIT ถึงบอร์ด AI เเห่งชาติ:ในฐานะที่พีพีเป็นนักวิจัย AI จากประเทศไทยที่ทำวิจัยใน frontier ของ Human-AI Interaction ที่ MIT เเละมีโอกาสร่วมมือกับบริษัทเเละสถาบัน AI ชั้นนำหลายๆที่ พีพีคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะนำประสบการณ์เเละสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้เขียนออกมาเป็นไอเดียเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบอร์ด AI เเห่งชาติ การที่รัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของ AI ในประเทศไทยเเละได้ตั้งบอร์ด AI เเห่งชาติ ซึ่งเป็นก้าวเเรกที่สำคัญมากๆ พีพีเลยอยากเเชร์มุมมองของ AI ในอนาคตจากในฝั่งงานวิจัย การศึกษา เเละชวนให้เห็นถึงคนไทยเก่งๆ ที่น่าจะช่วยกันสร้างอนาคตได้ครับ1) เราควรมอง AI อย่างไรในอนาคต?โดยส่วนตัวมองว่าพลังของ AI ไม่ใช่ตัวมันเองเเต่คือการที่ AI ไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆ เเบบเดียวกับที่ internet หรือ social media กลายไปเป็น platform ที่อยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับ reality AI จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลังอาหารที่เรากิน คนที่เราคบ สิ่งที่เราเสพ ความเชื่อที่เราเชื่อ ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่าเราจะออกเเบบ AI ที่เป็นตัวบงการประสบการณ์ของมนุษย์เเบบไหน? เราต้องมอง AI ไม่ใช่เเค่โครงสร้างพื้นฐานอย่าง server หรือ data center เเต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ การมองเเบบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับ AI ในมิติที่มากกว่าเเค่ “Artificial Intelligence” เเต่รวมไปถึง: AI ในฐานะ "Augmented Intuition” หรือ สัญชาติญาณใหม่ของมนุษย์ ที่อาจจะทำให้มนุษย์คิดได้ไกลขึ้นหรือเเคบลงขึ้นอยู่กับการออกเเบบวิธีการที่มนุษย์สัมพันกับ AI ตัวอย่าง เช่น งานวิจัยที่พีพีทำที่ MIT ใน project “Wearable Reasoner” ซึ่งเป็น AI ที่กระตุ้น critical thinking ของคนเวลาเจอข้อมูลต่างๆ ผ่านกระบวนการ nudging [1] หรือ AI ในฐานะ "Addictive Intelligence” หรือสิ่งเสพติดที่รู้จักมนุษย์คนนั้นดีกว่าตัวเค้าเอง เช่น AI companion ที่ถูกออกเเบบมาเเทนที่ความสัมพันธ์มนุษย์ เป็น romance scammer เเบบใหม่ที่อันตรายมาก [2] ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด OpenAI ได้ทำวิจัยร่วมกับ MIT ในการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ในวงกว้าง [3]เเละ AI ในฐานะ “Algorithmic Inequality” หรือตัวเร่งความเหลื่อมล้ำในสังคม งานวิจัยของ ดร Nattavudh Powdthavee โชว์ให้เห็นว่าในไทย AI คัดเลือกคนเข้าทำงานจากนามสกุลเเทนที่จะเป็นความสามารถซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ [4]ดังนั้นเวลาเรามอง AI เราต้องมองให้ไกลว่าเทคโนโลยี หรือ ธุรกิจเเต่มองให้เห็นผลกระทบต่อประสบการณ์ของมนุษย์ในหลายๆมิติ โดยเฉพาะมิติทางการศึกษาที่จะเป็นรากฐานของประเทศ2) เราควรออกเเบบการศึกษาในยุค AI อย่างไร?การที่หลายประเทศเข้าถึง internet ได้เเต่ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศพัฒนาเท่ากัน ส่วนนึงเป็นเพราะผลลัพธ์ของเทคโนโลยีขึ้นกับวิธีที่คนใช้ด้วย ดังนั้น AI จะทำให้คนมีศักยภาพมากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นกับ HI หรือ Human Intelligence ด้วย การศึกษาในยุค AI ควรมองไปไกลกว่าเเค่การใช้เป็น หรือ การสร้างคนเข้าสู่อุตสาหกรรม เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เเละอุตสาหกรรมวันนี้จะไม่ใช่อุตสาหกรรมในวันข้างหน้า Steve Jobs เคยกล่าวว่า technology is a bicycle for the mind ทุกๆเครื่องมือคือสิ่งที่สมองขับเคลื่อนไปเร็วขึ้น สิ่งที่เราต้องช่วยให้เด็กๆได้ขบคิดคือเค้าจะจะขับ AI ไปไหน เเละขับอย่างไรไม่ให้ชน การศึกษาในอนาคตในยุคที่ AI ทำให้เด็กๆเป็น “Cyborg Generation” คือคนที่ความคิดเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีตลอดเวลา เราควร focus ที่การทำให้เด็กๆมีความเป็นมนุษย์ รู้จักตัวเองมี meta-cognitive thinking คือคิดเกี่ยวกับการคิดได้ลึกซึ้งขึ้น เข้าใจว่าสิ่งภายนอกส่งผลกับความรู้สึกภายในอย่างไร เเละมีความกล้าที่จะนำความคิดนั้นออกมาเเสดงออกอย่างสร้างสรรค์ สิ่งนี้เเทบจะไม่เกี่ยวกับ AI เลยเเต่จะเป็นพื้นฐานให้เค้ารับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปได้ เมื่อโตขึ้นเราควรส่งเสริมให้เด็กๆ มองเห็นศักยภาพตัวเองกับโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งโจทย์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น climate change, ความเหลื่อมล้ำ, ปัญหาต่างๆจะไม่เเก้ตัวเอง เเละ AI ก็จะไม่เเก้สิ่งนี้ด้วยตัวมันเอง เราไม่ควรให้เด็กมองตัวเองผ่านอาชีพเเคบๆ ว่าเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรก็เเล้วเเต่ เเต่มองเป็นคนที่มีศักยภาพที่สามารถจะใช้เครื่องมือขยายศักยภาพตัวเองไปเเก้ปัญหาใหญ่ๆ เเละสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้ สิ่งสุดท้ายเลยคือเราต้องช่วยให้เด็กๆ ไม่ติดกับดักใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพติด AI ที่ถูกออกเเบบมาให้มีความเสพติดมากขึ้น หรือ การรู้สึกหมดพลังเพราะเก่งไม่เท่ากับ AI เราต้องสร้าง narrative ใหม่ที่ช่วยให้เด็กรู้ทันกับความท้าทายในวันข้างหน้า3) ทิศทางของ AI ในอนาคต เเละไทย?เมื่อมองภาพใหญ่กว่านั้นว่าสิ่งที่จะเป็น next frontier ของ AI คืออะไร หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ agent หรือ physical AI เเต่โดยส่วนตัวคิดว่าทั้ง agent หรือ physical AI เป็นปลายทาง สิ่งที่พื้นฐานที่สุดคือเรื่องของ mechanistic interpretability [5] หรือการพยายามเข้าใจ AI ลงไปในระดับกลไกผ่านการศึกษา cluster ของ neural networks ใน large models ซึ่งพีพีคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเพราะไม่ใช่เเค่เราจะเข้าใจ model มากขึ้นเเต่จะทำให้เราควบคุมโมเดลได้ดีขึ้นด้วย เช่น ถ้าเรารู้ว่า cluster ทำหน้าทีอะไร เราก็จะเช็คได้ว่ามี cluster ของ neurons ไม่พึงประสงค์ทำงานรึเปล่า (อาจจะลด hallucination ได้) หรือ เราสามารถปิด neuron cluster ในส่วนที่ไม่จำเป็นออกได้จะทำให้ลดทรัพยากรณ์เเละนำมาสู่ model ขนาดเล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมขึ้นได้ นี่คือเหตุผลว่าตอนนี้ยักใหญ่ในวงการ AI หลายๆที่เเข่งกันทำ interpretability เพราะมันจะลด lost, เพิ่ม trust, เเละ robutness ได้ อย่างที่ CEO ของ Anthropic ประกาศว่าจะต้องเปิด blackbox ของ AI ให้ได้ภายในปี 2027 [6]ในไทยการวิจัยด้านนี้อาจจะทำได้ยากเพราะต้องการ compute มหาศาล เเละโจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ของระดับโลก ดังนั้นสิ่งที่เราควรสนใจอาจจะเป็นเรื่องของ research เเละ innovation ที่ connect AI เพื่อเข้ามา enhance อุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นผ่าน network ของ AI services ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว หรือ อาหาร วัฒนธรรม เเละ creative industry โดยสิ่งที่เราต้องทำคือต้องคิดเเตกต่างเเละไม่ยึดกับ AI เเบบเดิมๆที่เป็นมาพีพีได้รับเชิญจากทั้งรัฐบาลเเละเอกชนให้ไปเเชร์งานวิจัยเกี่ยวกับ Human-AI Interaction ที่เกาหลี 3 ครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความตื่นตัวเรื่อง AI กับ creative industry มาก ครั้งเเรกเป็นงานของรัฐบาลที่ focus เรื่อง AI & cultural innovation เเละอีกสองครั้งเป็นงานของ Busan International Fim Festival เเละ Busan AI Fim Festival ซึ่งทำให้เห็นว่าเกาหลีมองเรื่องของ AI ในฐานะ creative medium เเบบใหม่ที่จะสร้างงานสร้างสรรค์เเบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (ไม่ใช่เเค่การเอา AI มาเเทนที่สื่อเเบบเดิม) เช่นการสร้าง interactive cinema ที่ทำให้ character ในภาพยนต์หรือ series ออกมาอยู่ในโลกจริงร่วมกับคนดูได้ เเถมยังกลายเป็น interfaces ที่ช่วยขายสินค้าเเละวัฒนธรรมเกาหลีได้อีก นี่เป็นตัวอย่างของการมอง AI เเละ network ของ AI เป็น infrastructure ที่ connect กับวัฒนธรรมเเละ soft power ได้ครับในไทยเองก็มีโปรเจคที่พีพีเกี่ยวข้องอยู่อย่าง Cyber Subin กับพี่ Pichet Klunchun [7] ที่พยายามใช้ AI ถอดรหัสวัฒนธรรมไทยออกมาซึ่งถูกเชิญไปนำเสนอเเละโชว์ทั่วโลกในฐานะงาน AI ที่เชื่อมโยงกับการสร้างศิลปะเเละวัฒนธรรมเเบบใหม่ ดังนั้นพีพีโดยส่วนตัวค่อนข้าง optimistic ว่าไทยสามารถมีบทบาทต่อวงการ AI โลกเเละสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นได้ในประเทศได้ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง เพราะไทยมีคนไทยเก่งๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังวงการ AI ระดับโลกอย่าง ดร Supasorn Aek Suwajanakorn ที่เป็น pioneer ของ generative AI คนเเรกๆของโลก มี TED talk ที่คนดูเป็นล้าน [8] หรือ วีระ บุญจริง ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลัง Siri ที่กลายมาเป็น conversational AI ที่มีคนใช้ทั่วโลกอย่าง Apple [9] ล่าสุดพีพีไปงานประชุม Human-Computer Interaction ที่สำคัญที่สุดในสาขาเจอคนไทยเก่งๆ หลายคนที่อยู่ทั่วโลก หรือ ในภาคเอกชนก็คนเก่งๆ มากมายอย่างพี่ผลักดันวงการ AI ใน industry ของไทย ดังนั้นก็อยากฝากไปถึงบอร์ด AI เเห่งชาตินะครับว่าประเทศไทยจะมีอนาคตทางด้าน AI ได้เเน่ๆ ถ้าเรามอง AI ให้ครบทุกมิติ ออกเเบบการศึกษาในยุค AI เเบบ all of education เเละ education for all เเละรวมพลังเอาคนเก่งๆ มาช่วยกันครับ คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำถ้าตั้งใจให้เกิด impact จริงๆ เชื่อว่าจะพลิกประเทศไทยได้ครับ เพราะคำว่า Th[AI]land จะขาด AI ไปไม่ได้ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ [1] https://www.media.mit.edu/projects/wearable-reasoner/overview/[2] https://mit-serc.pubpub.org/pub/iopjyxcx/release/2[3] https://openai.com/index/affective-use-study/[4] https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2025arXiv250119407P/abstract[5] https://www.neelnanda.io/mechanistic-interpretability/glossary[6] https://techsauce.co/news/anthropic-aims-to-unlock-ai-black-box-by-2027[7] https://cybersubin.media.mit.edu/[8] https://www.ted.com/speakers/supasorn_suwajanakorn[9] https://www.salika.co/2018/10/16/siri-artificial-intelligence-thai-owned/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 415 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้านเปิดให้บริการทุกวัน มาทานอาหารและเค้กอร่อยๆ ที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲 ⛱️ กันนะคะ

    𝐂𝐚𝐤𝐞, 𝐜𝐨𝐟𝐟𝐞𝐞, 𝐚𝐧𝐝 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐞𝐫𝐟𝐞𝐜𝐭 𝐬𝐮𝐧𝐬𝐞𝐭 𝐯𝐢𝐞𝐰—𝐲𝐨𝐮𝐫 𝐫𝐞𝐜𝐢𝐩𝐞 𝐟𝐨𝐫 𝐩𝐮𝐫𝐞 𝐛𝐥𝐢𝐬𝐬. 🍰☕

    📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover #sky
    ร้านเปิดให้บริการทุกวัน มาทานอาหารและเค้กอร่อยๆ ที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲 ⛱️ กันนะคะ 𝐂𝐚𝐤𝐞, 𝐜𝐨𝐟𝐟𝐞𝐞, 𝐚𝐧𝐝 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐞𝐫𝐟𝐞𝐜𝐭 𝐬𝐮𝐧𝐬𝐞𝐭 𝐯𝐢𝐞𝐰—𝐲𝐨𝐮𝐫 𝐫𝐞𝐜𝐢𝐩𝐞 𝐟𝐨𝐫 𝐩𝐮𝐫𝐞 𝐛𝐥𝐢𝐬𝐬. 🍰☕ 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover #sky
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • Raspberry Pi ได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยใช้ เทคนิคการบัดกรีแบบ Intrusive Reflow Soldering ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    เทคนิคใหม่นี้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกกับ Raspberry Pi 5 และกำลังถูกนำไปใช้กับรุ่นก่อนหน้า โดยช่วยลด ขั้นตอนที่สิ้นเปลืองในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถใช้เครื่องจักรเดียวกันในการติดตั้ง ตัวเชื่อมต่อแบบ Through-hole และชิ้นส่วน SMT

    ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ อัตราการคืนสินค้าลดลง 50% ความเร็วในการผลิตเพิ่มขึ้น 15% และลดการปล่อย CO₂ ลง 43 ตันต่อปี ซึ่งช่วยให้ Raspberry Pi สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ การใช้เทคนิค Intrusive Reflow Soldering
    - ช่วยให้สามารถใช้เครื่องจักรเดียวกันในการติดตั้ง ตัวเชื่อมต่อแบบ Through-hole และชิ้นส่วน SMT
    - ลดขั้นตอนที่สิ้นเปลืองในกระบวนการผลิต

    ✅ ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลง
    - อัตราการคืนสินค้าลดลง 50%
    - ความเร็วในการผลิตเพิ่มขึ้น 15%
    - ลดการปล่อย CO₂ ลง 43 ตันต่อปี

    ✅ การนำเทคนิคนี้ไปใช้กับรุ่นก่อนหน้า
    - เริ่มต้นจาก Raspberry Pi 5 และกำลังถูกนำไปใช้กับรุ่นก่อนหน้า

    ✅ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
    - ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - ช่วยให้ Raspberry Pi ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107777-raspberry-pi-improved-manufacturing-sustainability-thanks-new-soldering.html
    Raspberry Pi ได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยใช้ เทคนิคการบัดกรีแบบ Intrusive Reflow Soldering ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เทคนิคใหม่นี้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกกับ Raspberry Pi 5 และกำลังถูกนำไปใช้กับรุ่นก่อนหน้า โดยช่วยลด ขั้นตอนที่สิ้นเปลืองในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถใช้เครื่องจักรเดียวกันในการติดตั้ง ตัวเชื่อมต่อแบบ Through-hole และชิ้นส่วน SMT ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ อัตราการคืนสินค้าลดลง 50% ความเร็วในการผลิตเพิ่มขึ้น 15% และลดการปล่อย CO₂ ลง 43 ตันต่อปี ซึ่งช่วยให้ Raspberry Pi สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ การใช้เทคนิค Intrusive Reflow Soldering - ช่วยให้สามารถใช้เครื่องจักรเดียวกันในการติดตั้ง ตัวเชื่อมต่อแบบ Through-hole และชิ้นส่วน SMT - ลดขั้นตอนที่สิ้นเปลืองในกระบวนการผลิต ✅ ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลง - อัตราการคืนสินค้าลดลง 50% - ความเร็วในการผลิตเพิ่มขึ้น 15% - ลดการปล่อย CO₂ ลง 43 ตันต่อปี ✅ การนำเทคนิคนี้ไปใช้กับรุ่นก่อนหน้า - เริ่มต้นจาก Raspberry Pi 5 และกำลังถูกนำไปใช้กับรุ่นก่อนหน้า ✅ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน - ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - ช่วยให้ Raspberry Pi ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techspot.com/news/107777-raspberry-pi-improved-manufacturing-sustainability-thanks-new-soldering.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Raspberry Pi says it's improved manufacturing and sustainability thanks to a new soldering solution
    Raspberry Pi Hardware Engineer Roger Thornton explained the change in a recent blog post. Working with its manufacturing partner Sony, the UK organization gradually implemented a soldering...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • Acer ได้เปิดตัว Reliability Promise ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถขอรับเงินคืนเต็มจำนวน หากอุปกรณ์ที่ซื้อมีปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ภายในปีแรกและได้รับการซ่อมแซมภายใต้การรับประกัน

    นโยบายนี้ครอบคลุมอุปกรณ์ Chrome และ Windows Pro รวมถึง จอภาพและโปรเจ็กเตอร์สำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะรุ่นที่มี เทคโนโลยี Vero และ SpatialLabs 3D ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Acer ไม่ได้จำกัดข้อเสนอเฉพาะอุปกรณ์ระดับเริ่มต้น

    ธุรกิจที่ต้องการใช้สิทธิ์ต้องลงทะเบียนภายใน 30 วันหลังจากซื้อสินค้า และสามารถขอคืนเงินได้ภายใน 30 วันหลังจากได้รับการซ่อมแซม อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ไม่ครอบคลุมถึง ปัญหาซอฟต์แวร์, ความเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี หรืออุปกรณ์เสริม

    Acer หวังว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม และกระตุ้นให้ผู้ผลิตรายอื่นปรับปรุงนโยบายการรับประกันของตนเอง

    ✅ เงื่อนไขการรับเงินคืน
    - หากอุปกรณ์มีปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ภายในปีแรกและได้รับการซ่อมแซมภายใต้การรับประกัน
    - ครอบคลุมอุปกรณ์ Chrome และ Windows Pro, จอภาพ และโปรเจ็กเตอร์สำหรับธุรกิจ

    ✅ ข้อกำหนดในการลงทะเบียน
    - ต้องลงทะเบียนภายใน 30 วันหลังจากซื้อสินค้า
    - สามารถขอคืนเงินได้ภายใน 30 วันหลังจากได้รับการซ่อมแซม

    ✅ ข้อจำกัดของนโยบาย
    - ไม่ครอบคลุม ปัญหาซอฟต์แวร์, ความเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี หรืออุปกรณ์เสริม
    - ใช้ได้เฉพาะธุรกิจที่ลงทะเบียน VAT เท่านั้น

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    - Acer หวังว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม
    - อาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตรายอื่นปรับปรุงนโยบายการรับประกัน

    https://www.techradar.com/pro/acer-just-did-something-that-all-computer-vendors-should-copy-right-now-heres-what-you-need-to-know-about-its-game-changing-move
    Acer ได้เปิดตัว Reliability Promise ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถขอรับเงินคืนเต็มจำนวน หากอุปกรณ์ที่ซื้อมีปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ภายในปีแรกและได้รับการซ่อมแซมภายใต้การรับประกัน นโยบายนี้ครอบคลุมอุปกรณ์ Chrome และ Windows Pro รวมถึง จอภาพและโปรเจ็กเตอร์สำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะรุ่นที่มี เทคโนโลยี Vero และ SpatialLabs 3D ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Acer ไม่ได้จำกัดข้อเสนอเฉพาะอุปกรณ์ระดับเริ่มต้น ธุรกิจที่ต้องการใช้สิทธิ์ต้องลงทะเบียนภายใน 30 วันหลังจากซื้อสินค้า และสามารถขอคืนเงินได้ภายใน 30 วันหลังจากได้รับการซ่อมแซม อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ไม่ครอบคลุมถึง ปัญหาซอฟต์แวร์, ความเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี หรืออุปกรณ์เสริม Acer หวังว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม และกระตุ้นให้ผู้ผลิตรายอื่นปรับปรุงนโยบายการรับประกันของตนเอง ✅ เงื่อนไขการรับเงินคืน - หากอุปกรณ์มีปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ภายในปีแรกและได้รับการซ่อมแซมภายใต้การรับประกัน - ครอบคลุมอุปกรณ์ Chrome และ Windows Pro, จอภาพ และโปรเจ็กเตอร์สำหรับธุรกิจ ✅ ข้อกำหนดในการลงทะเบียน - ต้องลงทะเบียนภายใน 30 วันหลังจากซื้อสินค้า - สามารถขอคืนเงินได้ภายใน 30 วันหลังจากได้รับการซ่อมแซม ✅ ข้อจำกัดของนโยบาย - ไม่ครอบคลุม ปัญหาซอฟต์แวร์, ความเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี หรืออุปกรณ์เสริม - ใช้ได้เฉพาะธุรกิจที่ลงทะเบียน VAT เท่านั้น ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม - Acer หวังว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม - อาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตรายอื่นปรับปรุงนโยบายการรับประกัน https://www.techradar.com/pro/acer-just-did-something-that-all-computer-vendors-should-copy-right-now-heres-what-you-need-to-know-about-its-game-changing-move
    WWW.TECHRADAR.COM
    Your company’s next laptop could pay for itself if it fails — Acer’s wild refund plan explained
    Acer's new Reliability Promise offers a full refund if your professional device hardware fails
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • Winhance ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับปรับแต่งและปรับปรุง Windows 11 และ 10 ได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจาก PowerShell GUI เป็น C# เพื่อให้มีการติดตั้งและถอนการติดตั้งที่ง่ายขึ้น รวมถึงรองรับเวอร์ชันพกพา

    การอัปเดตนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้าน UI และฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น การใช้ Google Material Symbols แทน Windows Fonts เพื่อให้มีความสม่ำเสมอระหว่าง Windows 10 และ 11 นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม ปุ่มบันทึกและนำเข้าค่าการตั้งค่า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถจัดการการตั้งค่าได้สะดวกขึ้น

    Winhance ยังได้เพิ่ม ฟีเจอร์ใหม่ในหลายหมวดหมู่ เช่น การจัดการแอปพลิเคชัน Windows, การปรับแต่งระบบ, การเพิ่มประสิทธิภาพ และการตั้งค่าพลังงาน โดยมีการแยกหมวดหมู่ให้ชัดเจนขึ้นเพื่อให้ใช้งานง่าย

    ✅ เปลี่ยนจาก PowerShell GUI เป็น C#
    - รองรับการติดตั้งและถอนการติดตั้งที่ง่ายขึ้น
    - มีเวอร์ชันพกพาสำหรับใช้งานโดยไม่ต้องติดตั้ง

    ✅ การปรับปรุง UI และฟีเจอร์ใหม่
    - ใช้ Google Material Symbols แทน Windows Fonts
    - เพิ่มปุ่มบันทึกและนำเข้าค่าการตั้งค่า

    ✅ การจัดการแอปพลิเคชัน Windows
    - เพิ่มหมวดหมู่ใหม่สำหรับแอป Windows, Legacy Capabilities และ Optional Features
    - สามารถติดตั้งและลบแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้น

    ✅ การปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพระบบ
    - เพิ่มตัวเลือกการปรับแต่ง Taskbar, Start Menu และ Explorer

    https://www.neowin.net/news/this-unofficial-powershell-gui-windows-1110-customization-and-tweaking-app-gets-big-upgrade/
    Winhance ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับปรับแต่งและปรับปรุง Windows 11 และ 10 ได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจาก PowerShell GUI เป็น C# เพื่อให้มีการติดตั้งและถอนการติดตั้งที่ง่ายขึ้น รวมถึงรองรับเวอร์ชันพกพา การอัปเดตนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้าน UI และฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น การใช้ Google Material Symbols แทน Windows Fonts เพื่อให้มีความสม่ำเสมอระหว่าง Windows 10 และ 11 นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม ปุ่มบันทึกและนำเข้าค่าการตั้งค่า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถจัดการการตั้งค่าได้สะดวกขึ้น Winhance ยังได้เพิ่ม ฟีเจอร์ใหม่ในหลายหมวดหมู่ เช่น การจัดการแอปพลิเคชัน Windows, การปรับแต่งระบบ, การเพิ่มประสิทธิภาพ และการตั้งค่าพลังงาน โดยมีการแยกหมวดหมู่ให้ชัดเจนขึ้นเพื่อให้ใช้งานง่าย ✅ เปลี่ยนจาก PowerShell GUI เป็น C# - รองรับการติดตั้งและถอนการติดตั้งที่ง่ายขึ้น - มีเวอร์ชันพกพาสำหรับใช้งานโดยไม่ต้องติดตั้ง ✅ การปรับปรุง UI และฟีเจอร์ใหม่ - ใช้ Google Material Symbols แทน Windows Fonts - เพิ่มปุ่มบันทึกและนำเข้าค่าการตั้งค่า ✅ การจัดการแอปพลิเคชัน Windows - เพิ่มหมวดหมู่ใหม่สำหรับแอป Windows, Legacy Capabilities และ Optional Features - สามารถติดตั้งและลบแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้น ✅ การปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพระบบ - เพิ่มตัวเลือกการปรับแต่ง Taskbar, Start Menu และ Explorer https://www.neowin.net/news/this-unofficial-powershell-gui-windows-1110-customization-and-tweaking-app-gets-big-upgrade/
    WWW.NEOWIN.NET
    This unofficial PowerShell GUI Windows 11/10 customization and tweaking app gets big upgrade
    Winhance, an unofficial, third-party app for Windows 11/10 tweaking and customisation, has received its latest update, and it's a major one.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover
    📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • การดูแสงเหนือ (Aurora Borealis) ที่แถบ สแกนดิเนเวีย (โดยเฉพาะ นอร์เวย์,สวีเดน, และ ฟินแลนด์) ควรไปในช่วง:

    🗓️ เดือนกันยายน - มีนาคม
    โดยเฉพาะช่วง พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ ที่จะมีโอกาสเห็นแสงเหนือได้ชัดเจนที่สุด เพราะ...

    ✨ กลางคืนยาวนาน (มืดเร็วและนาน)
    ☁️ ท้องฟ้าเปิดมากกว่า
    🌌 ความมืดของฤดูหนาวทำให้เห็นแสงเหนือชัดเจนขึ้น

    📍จุดแนะนำ:
    - นอร์เวย์: Tromsø, Alta
    - สวีเดน: Abisko (ที่นี่ได้ชื่อว่าเห็นแสงเหนือได้บ่อยที่สุดแห่งหนึ่ง)
    - ฟินแลนด์: Rovaniemi, Ivalo

    #แสงเหนือ #Aurora #สแกนดิเนเวีย #เที่ยวฟินแลนด์ #เที่ยวนอร์เวย์ #เที่ยวสวีเดน #ล่าแสงเหนือ #ดูแสงเหนือ

    ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/c15f96

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395
    การดูแสงเหนือ (Aurora Borealis) ที่แถบ สแกนดิเนเวีย (โดยเฉพาะ นอร์เวย์,สวีเดน, และ ฟินแลนด์) ควรไปในช่วง: 🗓️ เดือนกันยายน - มีนาคม โดยเฉพาะช่วง พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ ที่จะมีโอกาสเห็นแสงเหนือได้ชัดเจนที่สุด เพราะ... ✨ กลางคืนยาวนาน (มืดเร็วและนาน) ☁️ ท้องฟ้าเปิดมากกว่า 🌌 ความมืดของฤดูหนาวทำให้เห็นแสงเหนือชัดเจนขึ้น 📍จุดแนะนำ: - นอร์เวย์: Tromsø, Alta - สวีเดน: Abisko (ที่นี่ได้ชื่อว่าเห็นแสงเหนือได้บ่อยที่สุดแห่งหนึ่ง) - ฟินแลนด์: Rovaniemi, Ivalo #แสงเหนือ #Aurora #สแกนดิเนเวีย #เที่ยวฟินแลนด์ #เที่ยวนอร์เวย์ #เที่ยวสวีเดน #ล่าแสงเหนือ #ดูแสงเหนือ ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/c15f96 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • SAP ได้เปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับสูงสุดใน NetWeaver Visual Composer ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันธุรกิจ โดยช่องโหว่นี้ถูกเรียกว่า CVE-2025-31324 และมีคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 เนื่องจากผู้โจมตีสามารถอัปโหลดไฟล์ที่เป็นอันตรายได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ Metadata Uploader ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ Visual Composer ไม่มีการป้องกันด้วยการอนุญาตที่เหมาะสม ทำให้ผู้โจมตีสามารถอัปโหลดไฟล์ที่เป็นอันตราย เช่น web shells ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่มีช่องโหว่ได้

    SAP ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้ในปลายเดือนเมษายน และแนะนำให้ผู้ใช้ดำเนินการอัปเดตโดยเร็วที่สุด เนื่องจากมีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้ในการโจมตีจริง โดยมีองค์กรกว่า 1,200 แห่ง ที่อาจได้รับผลกระทบ รวมถึงบริษัทในกลุ่ม Fortune 500

    ✅ ช่องโหว่ใน NetWeaver Visual Composer
    - CVE-2025-31324 มีคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10
    - ผู้โจมตีสามารถอัปโหลดไฟล์ที่เป็นอันตรายได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน

    ✅ ผลกระทบต่อองค์กร
    - มีองค์กรกว่า 1,200 แห่งที่อาจได้รับผลกระทบ
    - รวมถึงบริษัทในกลุ่ม Fortune 500

    ✅ การตอบสนองของ SAP
    - SAP ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในปลายเดือนเมษายน
    - แนะนำให้ผู้ใช้ดำเนินการอัปเดตโดยเร็วที่สุด

    ✅ การโจมตีที่เกิดขึ้นจริง
    - ผู้โจมตีใช้ช่องโหว่เพื่ออัปโหลด web shells ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่มีช่องโหว่

    https://www.techradar.com/pro/security/maximum-severity-vulnerability-puts-over-1200-sap-netweaver-servers-at-risk-of-hijacking
    SAP ได้เปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับสูงสุดใน NetWeaver Visual Composer ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันธุรกิจ โดยช่องโหว่นี้ถูกเรียกว่า CVE-2025-31324 และมีคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 เนื่องจากผู้โจมตีสามารถอัปโหลดไฟล์ที่เป็นอันตรายได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ Metadata Uploader ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ Visual Composer ไม่มีการป้องกันด้วยการอนุญาตที่เหมาะสม ทำให้ผู้โจมตีสามารถอัปโหลดไฟล์ที่เป็นอันตราย เช่น web shells ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่มีช่องโหว่ได้ SAP ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้ในปลายเดือนเมษายน และแนะนำให้ผู้ใช้ดำเนินการอัปเดตโดยเร็วที่สุด เนื่องจากมีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้ในการโจมตีจริง โดยมีองค์กรกว่า 1,200 แห่ง ที่อาจได้รับผลกระทบ รวมถึงบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 ✅ ช่องโหว่ใน NetWeaver Visual Composer - CVE-2025-31324 มีคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 - ผู้โจมตีสามารถอัปโหลดไฟล์ที่เป็นอันตรายได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน ✅ ผลกระทบต่อองค์กร - มีองค์กรกว่า 1,200 แห่งที่อาจได้รับผลกระทบ - รวมถึงบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 ✅ การตอบสนองของ SAP - SAP ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในปลายเดือนเมษายน - แนะนำให้ผู้ใช้ดำเนินการอัปเดตโดยเร็วที่สุด ✅ การโจมตีที่เกิดขึ้นจริง - ผู้โจมตีใช้ช่องโหว่เพื่ออัปโหลด web shells ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่มีช่องโหว่ https://www.techradar.com/pro/security/maximum-severity-vulnerability-puts-over-1200-sap-netweaver-servers-at-risk-of-hijacking
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ในโปรโตคอล AirPlay ของ Apple ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ Apple และอุปกรณ์ของบุคคลที่สามได้โดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้ ช่องโหว่นี้ถูกเรียกว่า AirBorne และประกอบด้วย 23 ช่องโหว่ โดยมี 17 ช่องโหว่ที่ได้รับการระบุ CVE

    ช่องโหว่ที่สำคัญ เช่น CVE-2025-24252 และ CVE-2025-24206 ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบ macOS ที่ตั้งค่าให้รับการเชื่อมต่อ AirPlay ได้โดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่แบบ zero-click เช่น CVE-2025-24132 ที่ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดได้โดยไม่ต้องมีการแจ้งเตือน

    แม้ว่า Apple จะออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในอุปกรณ์ของตนเอง แต่ผู้ผลิตอุปกรณ์ของบุคคลที่สามยังคงมีความเสี่ยงเนื่องจากการอัปเดตที่ล่าช้า

    ✅ ช่องโหว่ในโปรโตคอล AirPlay
    - AirBorne ประกอบด้วย 23 ช่องโหว่ โดยมี 17 ช่องโหว่ที่ได้รับการระบุ CVE
    - ช่องโหว่ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้

    ✅ ผลกระทบต่ออุปกรณ์ Apple และบุคคลที่สาม
    - ช่องโหว่ CVE-2025-24252 และ CVE-2025-24206 ช่วยให้แฮกเกอร์ควบคุมระบบ macOS
    - ช่องโหว่ CVE-2025-24132 เป็น zero-click ที่ช่วยให้แฮกเกอร์รันโค้ดได้โดยไม่มีการแจ้งเตือน

    ✅ การตอบสนองของ Apple
    - Apple ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ใน macOS, iPadOS และ iOS
    - ผู้ใช้ควรอัปเดตอุปกรณ์และตรวจสอบการตั้งค่า AirPlay

    ✅ ความเสี่ยงต่ออุปกรณ์ของบุคคลที่สาม
    - อุปกรณ์ของบุคคลที่สาม เช่น ลำโพงและระบบ CarPlay อาจยังคงมีความเสี่ยง

    https://www.techspot.com/news/107728-researchers-find-numerous-apple-airplay-vulnerabilities-allowing-wormable.html
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ในโปรโตคอล AirPlay ของ Apple ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ Apple และอุปกรณ์ของบุคคลที่สามได้โดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้ ช่องโหว่นี้ถูกเรียกว่า AirBorne และประกอบด้วย 23 ช่องโหว่ โดยมี 17 ช่องโหว่ที่ได้รับการระบุ CVE ช่องโหว่ที่สำคัญ เช่น CVE-2025-24252 และ CVE-2025-24206 ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบ macOS ที่ตั้งค่าให้รับการเชื่อมต่อ AirPlay ได้โดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่แบบ zero-click เช่น CVE-2025-24132 ที่ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดได้โดยไม่ต้องมีการแจ้งเตือน แม้ว่า Apple จะออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในอุปกรณ์ของตนเอง แต่ผู้ผลิตอุปกรณ์ของบุคคลที่สามยังคงมีความเสี่ยงเนื่องจากการอัปเดตที่ล่าช้า ✅ ช่องโหว่ในโปรโตคอล AirPlay - AirBorne ประกอบด้วย 23 ช่องโหว่ โดยมี 17 ช่องโหว่ที่ได้รับการระบุ CVE - ช่องโหว่ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้ ✅ ผลกระทบต่ออุปกรณ์ Apple และบุคคลที่สาม - ช่องโหว่ CVE-2025-24252 และ CVE-2025-24206 ช่วยให้แฮกเกอร์ควบคุมระบบ macOS - ช่องโหว่ CVE-2025-24132 เป็น zero-click ที่ช่วยให้แฮกเกอร์รันโค้ดได้โดยไม่มีการแจ้งเตือน ✅ การตอบสนองของ Apple - Apple ออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ใน macOS, iPadOS และ iOS - ผู้ใช้ควรอัปเดตอุปกรณ์และตรวจสอบการตั้งค่า AirPlay ✅ ความเสี่ยงต่ออุปกรณ์ของบุคคลที่สาม - อุปกรณ์ของบุคคลที่สาม เช่น ลำโพงและระบบ CarPlay อาจยังคงมีความเสี่ยง https://www.techspot.com/news/107728-researchers-find-numerous-apple-airplay-vulnerabilities-allowing-wormable.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researchers find numerous Apple AirPlay vulnerabilities allowing "wormable" exploits over Wi-Fi
    Cybersecurity firm Oligo identified several "critical" flaws in Apple's native AirPlay protocol and the AirPlay Software Development Kit (SDK) used by audio and automotive manufacturers. While Apple...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูดี้ส์ลดอันดับอนาคตของไทย เกิดจากนโยบายรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 เม.ย. มูดี้ส์ลดอันดับอนาคตของไทยจากสถานะ “ทรงตัว” เป็น “โน้มลง” ถึงแม้ระดับเรตติ้งจะคงเดิมก็ตาม (Baa1)นักวิเคราะห์บางคนเข้าใจว่า เกิดจากปัจจัยภาษีทรัมป์ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของรัฐบาล โดยอาจดูจากคำบรรยาย[The already announced US tariffs are likely to weigh significantly on global trade and global economic growth, and which will affect Thailand's open economy. In addition, there remains significant uncertainty as to whether the US will implement additional tariffs on Thailand and other countries, after the 90-day pause elapse.][ภาษีทรัมป์จะกระทบเศรษฐกิจการค้าโลก และจะกระทบไทยเนื่องจากมีการส่งออกมาก รวมทั้งไม่ชัดเจนว่า เมื่อครบ 90 วัน สหรัฐจะยังเก็บภาษีตอบโต้เท่าใด]**แต่ในข้อเท็จจริง ปัจจัยหลักที่ มูดี้ส์ ใช้พิจารณานั้น อยู่ที่นโยบายรัฐบาล ดังเห็นได้ว่า คำอธิบายเหตุผลเริ่มต้นว่า[The decision to change the outlook to negative from stable captures the risks that Thailand's economic and fiscal strength will weaken further.][เหตุผลที่เราลดอันดับ เนื่องจากไทยมีความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและฐานะการคลังมีแนวโน้มจะเลวลง][This shock exacerbates Thailand's already sluggish economic recovery post-pandemic, and risk aggravating the trend decline in the country's potential growth. Material downward pressures on Thailand's growth raises risks of further weakening in the government's fiscal position, which has already deteriorated since the pandemic.][เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิดอย่างอืดอาด และศักยภาพการเติบโตมีแนวโน้มต่ำลง ซึ่งจะยิ่งทำให้ฐานะการคลังที่อ่อนแออยู่แล้วตั้งแต่โควิด จะเลวลงไปอีก]**นี่เอง ปัจจัยหลักที่ มูดี้ส์ ลดอันดับอนาคตไทย ก็เนื่องจากความเป็นห่วงในฐานะการคลัง **ซึ่งรัฐบาลมีรายจ่ายเกินรายได้ > ทำให้ขาดดุลงบประมาณทุกปี > ประกอบกับรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนหน้ากู้เงินมาแจกหมื่น > เพื่อกินใช้รายวัน > โดยไม่กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน > ถึงแม้ จีดีพีเพิ่มบ้างเล็กน้อยก็เป็นแบบไฟไหม้ฟาง วูบเดียวก็หมดไป**อย่างไรก็ดี มูดี้ส์ ให้คะแนน 3 ปัจจัยบวกหนึ่ง แบงค์ชาติและระบบราชการน่าเชื่อถือ[The affirmation of the Baa1 ratings reflects the country's moderately strong institutions and governance which support sound monetary and macroeconomic policies.][เรายังคงอันดับเครดิตไว้ที่ Baa1 เพราะองค์กรด้านนโยบายการเงินและพัฒนาเศรษฐกิจยังพอจะสามารถประคองความน่าเชื่อถือ]**ผมเพิ่มเติมว่า คือสังคมไทยยังช่วยกันคัดค้านการแทรกแซงที่ไม่ถูกต้องสอง มีการพัฒนาตลาดพันธบัตรดี[The Baal ratings also take into account Thailand's moderately strong debt affordability - despite the sharp increase in government debt since the pandemic - supported by its deep domestic markets and the fact that its government debt is almost entirely denominated in local currency.][และถึงแม้รัฐบาลจะกู้เงินมากแล้วตั้งแต่วิกฤตโควิด ตลาดพันธบัตรไทยได้พัฒนาจนมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับการกู้เพิ่มได้ การที่หนี้สาธารณะเกือบทั้งหมดเป็นสกุลบาท (ทำให้รัฐบาลไม่มีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน)]**ผมเพิ่มเติมว่า บุคคลหลักที่สร้างรากฐานตลาดพันธบัตรไทยคือ 2 อดีตผู้ว่าฯ ม.ร.ว.จตุมงคล และ ม.ร.ว.ปรีดียาธร โดยผมรับลูกในตำแหน่งเลขา ก.ล.ต.สาม มีทุนสำรองมั่นคง[Moreover, Thailand has a strong external position, with ample foreign exchange reserves buffer.][และไทยมีทุนสำรองมากพอ ฐานะหนี้สกุลต่างประเทศต่ำ]ผมจึงขอแนะนำให้รัฐบาลนำข้อวิเคราะห์เหล่านี้ไปปรับปรุงนโยบายเป็นการด่วนวันที่ 30 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    มูดี้ส์ลดอันดับอนาคตของไทย เกิดจากนโยบายรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 เม.ย. มูดี้ส์ลดอันดับอนาคตของไทยจากสถานะ “ทรงตัว” เป็น “โน้มลง” ถึงแม้ระดับเรตติ้งจะคงเดิมก็ตาม (Baa1)นักวิเคราะห์บางคนเข้าใจว่า เกิดจากปัจจัยภาษีทรัมป์ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของรัฐบาล โดยอาจดูจากคำบรรยาย[The already announced US tariffs are likely to weigh significantly on global trade and global economic growth, and which will affect Thailand's open economy. In addition, there remains significant uncertainty as to whether the US will implement additional tariffs on Thailand and other countries, after the 90-day pause elapse.][ภาษีทรัมป์จะกระทบเศรษฐกิจการค้าโลก และจะกระทบไทยเนื่องจากมีการส่งออกมาก รวมทั้งไม่ชัดเจนว่า เมื่อครบ 90 วัน สหรัฐจะยังเก็บภาษีตอบโต้เท่าใด]**แต่ในข้อเท็จจริง ปัจจัยหลักที่ มูดี้ส์ ใช้พิจารณานั้น อยู่ที่นโยบายรัฐบาล ดังเห็นได้ว่า คำอธิบายเหตุผลเริ่มต้นว่า[The decision to change the outlook to negative from stable captures the risks that Thailand's economic and fiscal strength will weaken further.][เหตุผลที่เราลดอันดับ เนื่องจากไทยมีความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและฐานะการคลังมีแนวโน้มจะเลวลง][This shock exacerbates Thailand's already sluggish economic recovery post-pandemic, and risk aggravating the trend decline in the country's potential growth. Material downward pressures on Thailand's growth raises risks of further weakening in the government's fiscal position, which has already deteriorated since the pandemic.][เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิดอย่างอืดอาด และศักยภาพการเติบโตมีแนวโน้มต่ำลง ซึ่งจะยิ่งทำให้ฐานะการคลังที่อ่อนแออยู่แล้วตั้งแต่โควิด จะเลวลงไปอีก]**นี่เอง ปัจจัยหลักที่ มูดี้ส์ ลดอันดับอนาคตไทย ก็เนื่องจากความเป็นห่วงในฐานะการคลัง **ซึ่งรัฐบาลมีรายจ่ายเกินรายได้ > ทำให้ขาดดุลงบประมาณทุกปี > ประกอบกับรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนหน้ากู้เงินมาแจกหมื่น > เพื่อกินใช้รายวัน > โดยไม่กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน > ถึงแม้ จีดีพีเพิ่มบ้างเล็กน้อยก็เป็นแบบไฟไหม้ฟาง วูบเดียวก็หมดไป**อย่างไรก็ดี มูดี้ส์ ให้คะแนน 3 ปัจจัยบวกหนึ่ง แบงค์ชาติและระบบราชการน่าเชื่อถือ[The affirmation of the Baa1 ratings reflects the country's moderately strong institutions and governance which support sound monetary and macroeconomic policies.][เรายังคงอันดับเครดิตไว้ที่ Baa1 เพราะองค์กรด้านนโยบายการเงินและพัฒนาเศรษฐกิจยังพอจะสามารถประคองความน่าเชื่อถือ]**ผมเพิ่มเติมว่า คือสังคมไทยยังช่วยกันคัดค้านการแทรกแซงที่ไม่ถูกต้องสอง มีการพัฒนาตลาดพันธบัตรดี[The Baal ratings also take into account Thailand's moderately strong debt affordability - despite the sharp increase in government debt since the pandemic - supported by its deep domestic markets and the fact that its government debt is almost entirely denominated in local currency.][และถึงแม้รัฐบาลจะกู้เงินมากแล้วตั้งแต่วิกฤตโควิด ตลาดพันธบัตรไทยได้พัฒนาจนมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับการกู้เพิ่มได้ การที่หนี้สาธารณะเกือบทั้งหมดเป็นสกุลบาท (ทำให้รัฐบาลไม่มีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน)]**ผมเพิ่มเติมว่า บุคคลหลักที่สร้างรากฐานตลาดพันธบัตรไทยคือ 2 อดีตผู้ว่าฯ ม.ร.ว.จตุมงคล และ ม.ร.ว.ปรีดียาธร โดยผมรับลูกในตำแหน่งเลขา ก.ล.ต.สาม มีทุนสำรองมั่นคง[Moreover, Thailand has a strong external position, with ample foreign exchange reserves buffer.][และไทยมีทุนสำรองมากพอ ฐานะหนี้สกุลต่างประเทศต่ำ]ผมจึงขอแนะนำให้รัฐบาลนำข้อวิเคราะห์เหล่านี้ไปปรับปรุงนโยบายเป็นการด่วนวันที่ 30 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงโครงการ Secure by Design ของ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ชั้นนำถึง 68 ราย แต่ปัจจุบันโครงการกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในทีมงานและการลดงบประมาณ

    Secure by Design เป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งบริหารด้านความมั่นคงไซเบอร์ของประธานาธิบดีไบเดนในปี 2021 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดข้อบกพร่องในซอฟต์แวร์ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม การลาออกของผู้บริหารสำคัญในโครงการ เช่น Lauren Zabierek และ Bob Lord ทำให้เกิดคำถามว่าโครงการนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร

    แม้ว่า CISA อาจลดบทบาทในโครงการนี้ แต่แนวคิด Secure by Design ยังคงได้รับการสนับสนุนในภาคเอกชน โดยเฉพาะจากบริษัทที่ต้องการสร้างซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและตอบสนองความต้องการของลูกค้า

    ✅ เป้าหมายของโครงการ
    - ลดข้อบกพร่องในซอฟต์แวร์ก่อนเข้าสู่ตลาด
    - ส่งเสริมการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ

    ✅ การสนับสนุนจากภาคเอกชน
    - บริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำ 68 รายลงนามสนับสนุนโครงการ
    - แนวคิด Secure by Design ยังคงมีบทบาทในภาคเอกชน

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
    - การปรับปรุงความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์
    - การใช้ OWASP Top 10 เป็นมาตรฐานช่วยเพิ่มความโปร่งใสในอุตสาหกรรม

    ✅ ความสำเร็จที่ผ่านมาของโครงการ
    - รายงานจาก Veracode แสดงให้เห็นว่าความปลอดภัยของซอฟต์แวร์มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

    https://www.csoonline.com/article/3971375/secure-by-design-is-likely-dead-at-cisa-will-the-private-sector-make-good-on-its-pledge.html
    บทความนี้กล่าวถึงโครงการ Secure by Design ของ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ชั้นนำถึง 68 ราย แต่ปัจจุบันโครงการกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในทีมงานและการลดงบประมาณ Secure by Design เป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งบริหารด้านความมั่นคงไซเบอร์ของประธานาธิบดีไบเดนในปี 2021 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดข้อบกพร่องในซอฟต์แวร์ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม การลาออกของผู้บริหารสำคัญในโครงการ เช่น Lauren Zabierek และ Bob Lord ทำให้เกิดคำถามว่าโครงการนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร แม้ว่า CISA อาจลดบทบาทในโครงการนี้ แต่แนวคิด Secure by Design ยังคงได้รับการสนับสนุนในภาคเอกชน โดยเฉพาะจากบริษัทที่ต้องการสร้างซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและตอบสนองความต้องการของลูกค้า ✅ เป้าหมายของโครงการ - ลดข้อบกพร่องในซอฟต์แวร์ก่อนเข้าสู่ตลาด - ส่งเสริมการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ✅ การสนับสนุนจากภาคเอกชน - บริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำ 68 รายลงนามสนับสนุนโครงการ - แนวคิด Secure by Design ยังคงมีบทบาทในภาคเอกชน ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ - การปรับปรุงความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ - การใช้ OWASP Top 10 เป็นมาตรฐานช่วยเพิ่มความโปร่งใสในอุตสาหกรรม ✅ ความสำเร็จที่ผ่านมาของโครงการ - รายงานจาก Veracode แสดงให้เห็นว่าความปลอดภัยของซอฟต์แวร์มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง https://www.csoonline.com/article/3971375/secure-by-design-is-likely-dead-at-cisa-will-the-private-sector-make-good-on-its-pledge.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Secure by Design is likely dead at CISA. Will the private sector make good on its pledge?
    CISA’s high-profile proselytizing of its Secure by Design program will likely end, but some experts think the idea still has momentum in the private sector, while others have become disillusioned altogether.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • Huntress ได้ขยายความสามารถของ Identity Threat Detection and Response (ITDR) เพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลประจำตัวและการโจมตีแบบ Business Email Compromise (BEC) โดยเพิ่มฟีเจอร์ Unwanted Access ที่ช่วยตรวจจับพฤติกรรมการเข้าสู่ระบบที่ผิดปกติ เช่น การใช้ VPN ที่ไม่คาดคิด หรือการเดินทางที่เป็นไปไม่ได้

    นอกจากนี้ Huntress ยังเพิ่มระบบตรวจจับ Rogue Applications ซึ่งช่วยวิเคราะห์แอปพลิเคชันที่ใช้ OAuth เพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยระบบนี้สามารถตรวจจับแอปพลิเคชันที่มีสิทธิ์มากเกินไป หรือมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย และให้คำแนะนำในการลบแอปพลิเคชันที่เป็นอันตราย

    Huntress ยังเปิดตัว Shadow Workflows ซึ่งช่วยป้องกันการตั้งค่ากฎการส่งต่ออีเมลที่เป็นอันตราย และประกาศความพร้อมใช้งานของ Managed SIEM ที่มีการรวมระบบรักษาความปลอดภัยจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 20 ราย เช่น 1Password, Fortinet, Palo Alto Networks, Sophos และ LastPass

    ✅ การเพิ่มฟีเจอร์ Unwanted Access
    - ตรวจจับพฤติกรรมการเข้าสู่ระบบที่ผิดปกติ เช่น VPN ที่ไม่คาดคิด
    - แยกบัญชีที่ถูกบุกรุกออกจากระบบแบบเรียลไทม์

    ✅ ระบบตรวจจับ Rogue Applications
    - วิเคราะห์แอปพลิเคชันที่ใช้ OAuth เพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    - ตรวจจับแอปพลิเคชันที่มีสิทธิ์มากเกินไปและให้คำแนะนำในการลบ

    ✅ การเปิดตัว Shadow Workflows
    - ป้องกันการตั้งค่ากฎการส่งต่ออีเมลที่เป็นอันตราย
    - ลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ BEC

    ✅ Managed SIEM พร้อมใช้งาน
    - รวมระบบรักษาความปลอดภัยจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 20 ราย
    - ช่วยให้การตรวจจับภัยคุกคามมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/3972409/huntress-expands-itdr-capabilities-to-combat-credential-theft-and-bec.html
    Huntress ได้ขยายความสามารถของ Identity Threat Detection and Response (ITDR) เพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลประจำตัวและการโจมตีแบบ Business Email Compromise (BEC) โดยเพิ่มฟีเจอร์ Unwanted Access ที่ช่วยตรวจจับพฤติกรรมการเข้าสู่ระบบที่ผิดปกติ เช่น การใช้ VPN ที่ไม่คาดคิด หรือการเดินทางที่เป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ Huntress ยังเพิ่มระบบตรวจจับ Rogue Applications ซึ่งช่วยวิเคราะห์แอปพลิเคชันที่ใช้ OAuth เพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยระบบนี้สามารถตรวจจับแอปพลิเคชันที่มีสิทธิ์มากเกินไป หรือมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย และให้คำแนะนำในการลบแอปพลิเคชันที่เป็นอันตราย Huntress ยังเปิดตัว Shadow Workflows ซึ่งช่วยป้องกันการตั้งค่ากฎการส่งต่ออีเมลที่เป็นอันตราย และประกาศความพร้อมใช้งานของ Managed SIEM ที่มีการรวมระบบรักษาความปลอดภัยจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 20 ราย เช่น 1Password, Fortinet, Palo Alto Networks, Sophos และ LastPass ✅ การเพิ่มฟีเจอร์ Unwanted Access - ตรวจจับพฤติกรรมการเข้าสู่ระบบที่ผิดปกติ เช่น VPN ที่ไม่คาดคิด - แยกบัญชีที่ถูกบุกรุกออกจากระบบแบบเรียลไทม์ ✅ ระบบตรวจจับ Rogue Applications - วิเคราะห์แอปพลิเคชันที่ใช้ OAuth เพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต - ตรวจจับแอปพลิเคชันที่มีสิทธิ์มากเกินไปและให้คำแนะนำในการลบ ✅ การเปิดตัว Shadow Workflows - ป้องกันการตั้งค่ากฎการส่งต่ออีเมลที่เป็นอันตราย - ลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ BEC ✅ Managed SIEM พร้อมใช้งาน - รวมระบบรักษาความปลอดภัยจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 20 ราย - ช่วยให้การตรวจจับภัยคุกคามมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.csoonline.com/article/3972409/huntress-expands-itdr-capabilities-to-combat-credential-theft-and-bec.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Huntress expands ITDR capabilities to combat credential theft and BEC
    The identity-based improvements target rogue applications, credential theft, and BEC attacks while fully managed SIEM adds to Huntress’ SOC workflows.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts