• เรื่องเล่าจากโน้ตบุ๊กยุคใหม่: เมื่อ AI สร้างภาพได้เองโดยไม่ต้องต่อเน็ต

    ก่อนหน้านี้ การใช้ Stable Diffusion ต้องใช้ GPU ที่แรงมาก หรือเชื่อมต่อ cloud เพื่อประมวลผลภาพ แต่ตอนนี้ AMD และ Stability AI ได้พัฒนาโมเดลใหม่ชื่อ block FP16 SD 3.0 Medium ที่สามารถรันบน NPU ได้โดยตรง — โดยใช้หน่วยความจำเพียง 9 GB และทำงานได้บนโน้ตบุ๊กที่มี RAM 24 GB ขึ้นไป

    ระบบนี้ทำงานผ่านแอป Amuse 3.1 โดย Tensorstack ซึ่งมีโหมด HQ ที่ใช้ pipeline แบบสองขั้นตอน:

    1️⃣ สร้างภาพขนาด 1024×1024 พิกเซล
    2️⃣ Upscale เป็น 2048×2048 พิกเซล โดยใช้พลังของ XDNA 2 NPU

    ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ GPU หรือ NPU ในการประมวลผล และสามารถเปิดใช้งานได้ง่าย ๆ ด้วยการติดตั้งไดรเวอร์ Adrenalin ล่าสุด แล้วเปิด Amuse 3.1 Beta และปรับโหมด EZ ให้เป็น HQ พร้อมเปิดการ offload ไปยัง XDNA 2

    AMD และ Stability AI เปิดตัวโมเดล block FP16 SD 3.0 Medium สำหรับการสร้างภาพ AI แบบ local
    ทำงานบน NPU ของ Ryzen AI XDNA 2 โดยไม่ต้องใช้ GPU หรือ cloud

    ใช้หน่วยความจำเพียง 9 GB และทำงานได้บนโน้ตบุ๊กที่มี RAM 24 GB ขึ้นไป
    ลดข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึง AI image generation

    ระบบใช้ pipeline สองขั้นตอนเพื่อ upscale ภาพจาก 2MP เป็น 4MP
    ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้นโดยไม่ต้องใช้พลัง GPU

    แอป Amuse 3.1 รองรับการเลือกใช้ GPU หรือ NPU ได้ตามต้องการ
    ผู้ใช้สามารถเปิดโหมด HQ และเปิดการ offload ไปยัง XDNA 2 ได้ง่าย ๆ

    โมเดลนี้ใช้ precision แบบ FP16 แต่ให้ประสิทธิภาพเทียบเท่า INT8
    เป็นการพัฒนาเชิงเทคนิคที่ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มความเร็ว

    ก่อนหน้านี้ Amuse ต้องใช้ GPU เท่านั้น ทำให้การใช้งานจำกัด
    ตอนนี้สามารถใช้ NPU ได้ ทำให้โน้ตบุ๊กทั่วไปก็สามารถสร้างภาพ AI ได้

    โมเดล block FP16 SD 3.0 Medium ยังต้องการ RAM ขั้นต่ำ 24 GB
    โน้ตบุ๊กทั่วไปที่มี RAM 8–16 GB อาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

    การเปิดใช้งาน NPU ต้องใช้ไดรเวอร์ Adrenalin ล่าสุดและตั้งค่าผ่าน Amuse 3.1 Beta
    หากไม่ได้อัปเดตหรือตั้งค่าถูกต้อง อาจไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้

    แม้จะไม่ต้องใช้ GPU แต่การประมวลผลภาพยังใช้เวลาหลายนาทีต่อภาพ
    ผู้ใช้ควรคาดหวังว่า NPU ยังไม่เร็วเท่า GPU ระดับสูง

    การใช้โมเดล AI บนเครื่องอาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและการควบคุมเนื้อหา
    ควรมีระบบตรวจสอบการใช้งานเพื่อป้องกันการสร้างภาพที่ไม่เหมาะสม

    https://www.techpowerup.com/339112/amd-and-stability-ai-enable-local-ai-image-generation-on-npu-powered-laptops
    🎙️ เรื่องเล่าจากโน้ตบุ๊กยุคใหม่: เมื่อ AI สร้างภาพได้เองโดยไม่ต้องต่อเน็ต ก่อนหน้านี้ การใช้ Stable Diffusion ต้องใช้ GPU ที่แรงมาก หรือเชื่อมต่อ cloud เพื่อประมวลผลภาพ แต่ตอนนี้ AMD และ Stability AI ได้พัฒนาโมเดลใหม่ชื่อ block FP16 SD 3.0 Medium ที่สามารถรันบน NPU ได้โดยตรง — โดยใช้หน่วยความจำเพียง 9 GB และทำงานได้บนโน้ตบุ๊กที่มี RAM 24 GB ขึ้นไป ระบบนี้ทำงานผ่านแอป Amuse 3.1 โดย Tensorstack ซึ่งมีโหมด HQ ที่ใช้ pipeline แบบสองขั้นตอน: 1️⃣ สร้างภาพขนาด 1024×1024 พิกเซล 2️⃣ Upscale เป็น 2048×2048 พิกเซล โดยใช้พลังของ XDNA 2 NPU ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ GPU หรือ NPU ในการประมวลผล และสามารถเปิดใช้งานได้ง่าย ๆ ด้วยการติดตั้งไดรเวอร์ Adrenalin ล่าสุด แล้วเปิด Amuse 3.1 Beta และปรับโหมด EZ ให้เป็น HQ พร้อมเปิดการ offload ไปยัง XDNA 2 ✅ AMD และ Stability AI เปิดตัวโมเดล block FP16 SD 3.0 Medium สำหรับการสร้างภาพ AI แบบ local ➡️ ทำงานบน NPU ของ Ryzen AI XDNA 2 โดยไม่ต้องใช้ GPU หรือ cloud ✅ ใช้หน่วยความจำเพียง 9 GB และทำงานได้บนโน้ตบุ๊กที่มี RAM 24 GB ขึ้นไป ➡️ ลดข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึง AI image generation ✅ ระบบใช้ pipeline สองขั้นตอนเพื่อ upscale ภาพจาก 2MP เป็น 4MP ➡️ ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้นโดยไม่ต้องใช้พลัง GPU ✅ แอป Amuse 3.1 รองรับการเลือกใช้ GPU หรือ NPU ได้ตามต้องการ ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดโหมด HQ และเปิดการ offload ไปยัง XDNA 2 ได้ง่าย ๆ ✅ โมเดลนี้ใช้ precision แบบ FP16 แต่ให้ประสิทธิภาพเทียบเท่า INT8 ➡️ เป็นการพัฒนาเชิงเทคนิคที่ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มความเร็ว ✅ ก่อนหน้านี้ Amuse ต้องใช้ GPU เท่านั้น ทำให้การใช้งานจำกัด ➡️ ตอนนี้สามารถใช้ NPU ได้ ทำให้โน้ตบุ๊กทั่วไปก็สามารถสร้างภาพ AI ได้ ‼️ โมเดล block FP16 SD 3.0 Medium ยังต้องการ RAM ขั้นต่ำ 24 GB ⛔ โน้ตบุ๊กทั่วไปที่มี RAM 8–16 GB อาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ‼️ การเปิดใช้งาน NPU ต้องใช้ไดรเวอร์ Adrenalin ล่าสุดและตั้งค่าผ่าน Amuse 3.1 Beta ⛔ หากไม่ได้อัปเดตหรือตั้งค่าถูกต้อง อาจไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ ‼️ แม้จะไม่ต้องใช้ GPU แต่การประมวลผลภาพยังใช้เวลาหลายนาทีต่อภาพ ⛔ ผู้ใช้ควรคาดหวังว่า NPU ยังไม่เร็วเท่า GPU ระดับสูง ‼️ การใช้โมเดล AI บนเครื่องอาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและการควบคุมเนื้อหา ⛔ ควรมีระบบตรวจสอบการใช้งานเพื่อป้องกันการสร้างภาพที่ไม่เหมาะสม https://www.techpowerup.com/339112/amd-and-stability-ai-enable-local-ai-image-generation-on-npu-powered-laptops
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD and Stability AI Enable Local AI Image Generation on NPU-Powered Laptops
    AMD and Stability AI made an announcement today about their joint effort to adapt Stable Diffusion 3.0 Medium for Stability Amuse AI art creator. This move allows for better picture generation and text handling abilities to run on Neural Processing Units (NPUs). Earlier, at Computex 2024, AMD showed...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโครงการพันล้าน: เมื่อ Stargate กลายเป็นสนามขัดแย้งของยักษ์ใหญ่ AI

    Stargate ถูกประกาศโดยประธานาธิบดี Trump ในเดือนมกราคม 2025 โดยมีเป้าหมายลงทุน $500B เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับชาติ โดยมี OpenAI, SoftBank, Oracle และ MGX เป็นแกนหลัก

    แต่ 6 เดือนผ่านไป:
    - OpenAI และ SoftBank ซึ่งถือเป็นผู้สนับสนุนหลัก กลับมีความขัดแย้งหลายด้าน
    - SoftBank ถือครองเครื่องหมายการค้า Stargate แต่ OpenAI ใช้ชื่อนี้ในโครงการที่ไม่เกี่ยวกับ SoftBank เช่นศูนย์ข้อมูลใน Abilene และ Denton
    - OpenAI ไม่ต้องการสร้างศูนย์ข้อมูลบนพื้นที่ของ SB Energy ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ SoftBank

    แม้จะประกาศว่าจะลงทุน $100B “ทันที” แต่สุดท้ายกลับสร้างได้แค่ศูนย์ข้อมูลเล็ก ๆ ในรัฐโอไฮโอ

    ในทางกลับกัน OpenAI เดินหน้าลุยเอง:
    - เซ็นสัญญา 4.5GW กับ Oracle มูลค่า $30B ต่อปี
    - ลงทุนเพิ่ม $4B กับ CoreWeave จากดีลเดิม $11.9B
    - รวมแล้ว OpenAI ลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลไปแล้วกว่า $100B ในปีนี้ — เท่ากับเป้าหมายของ Stargate แต่ไม่รวม SoftBank

    แม้ทั้งสองฝ่ายยังประกาศว่า “ยังร่วมมือกัน” แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีดีลใดที่เป็นของ Stargate โดยตรง

    Stargate เป็นโครงการ AI Infrastructure มูลค่า $500B ที่ประกาศโดย Trump
    มีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10GW ทั่วสหรัฐฯ ภายใน 4 ปี

    OpenAI และ SoftBank เป็นผู้สนับสนุนหลักของโครงการ
    เคยประกาศว่าจะลงทุน $100B “ทันที” ตั้งแต่ต้นปี 2025

    ขณะนี้ยังไม่มีดีลศูนย์ข้อมูลใดที่สำเร็จภายใต้ชื่อ Stargate
    มีเพียงศูนย์ข้อมูลเล็กในโอไฮโอที่กำลังสร้าง

    OpenAI ใช้ชื่อ Stargate ในโครงการที่ไม่เกี่ยวกับ SoftBank เช่นในเท็กซัส
    แม้ SoftBank ถือเครื่องหมายการค้า Stargate

    OpenAI เซ็นดีล 4.5GW กับ Oracle มูลค่า $30B ต่อปี
    เทียบเท่าการลงทุน $100B สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาด 5GW

    ลงทุนเพิ่ม $4B กับ CoreWeave รวมเป็น $15.9B สำหรับ GPU infrastructure
    ใช้สำหรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ เช่น GPT และ Sora

    ทั้งสองฝ่ายยังประกาศว่าจะร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล 10GW ในสหรัฐฯ
    แต่ยังไม่มีแผนหรือดีลที่ชัดเจนออกมา

    https://wccftech.com/the-half-a-trillion-dollar-stargate-ai-venture-is-now-falling-victim-to-the-disagreements-between-openai-and-softbank/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโครงการพันล้าน: เมื่อ Stargate กลายเป็นสนามขัดแย้งของยักษ์ใหญ่ AI Stargate ถูกประกาศโดยประธานาธิบดี Trump ในเดือนมกราคม 2025 โดยมีเป้าหมายลงทุน $500B เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับชาติ โดยมี OpenAI, SoftBank, Oracle และ MGX เป็นแกนหลัก แต่ 6 เดือนผ่านไป: - OpenAI และ SoftBank ซึ่งถือเป็นผู้สนับสนุนหลัก กลับมีความขัดแย้งหลายด้าน - SoftBank ถือครองเครื่องหมายการค้า Stargate แต่ OpenAI ใช้ชื่อนี้ในโครงการที่ไม่เกี่ยวกับ SoftBank เช่นศูนย์ข้อมูลใน Abilene และ Denton - OpenAI ไม่ต้องการสร้างศูนย์ข้อมูลบนพื้นที่ของ SB Energy ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ SoftBank แม้จะประกาศว่าจะลงทุน $100B “ทันที” แต่สุดท้ายกลับสร้างได้แค่ศูนย์ข้อมูลเล็ก ๆ ในรัฐโอไฮโอ ในทางกลับกัน OpenAI เดินหน้าลุยเอง: - เซ็นสัญญา 4.5GW กับ Oracle มูลค่า $30B ต่อปี - ลงทุนเพิ่ม $4B กับ CoreWeave จากดีลเดิม $11.9B - รวมแล้ว OpenAI ลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลไปแล้วกว่า $100B ในปีนี้ — เท่ากับเป้าหมายของ Stargate แต่ไม่รวม SoftBank แม้ทั้งสองฝ่ายยังประกาศว่า “ยังร่วมมือกัน” แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีดีลใดที่เป็นของ Stargate โดยตรง ✅ Stargate เป็นโครงการ AI Infrastructure มูลค่า $500B ที่ประกาศโดย Trump ➡️ มีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10GW ทั่วสหรัฐฯ ภายใน 4 ปี ✅ OpenAI และ SoftBank เป็นผู้สนับสนุนหลักของโครงการ ➡️ เคยประกาศว่าจะลงทุน $100B “ทันที” ตั้งแต่ต้นปี 2025 ✅ ขณะนี้ยังไม่มีดีลศูนย์ข้อมูลใดที่สำเร็จภายใต้ชื่อ Stargate ➡️ มีเพียงศูนย์ข้อมูลเล็กในโอไฮโอที่กำลังสร้าง ✅ OpenAI ใช้ชื่อ Stargate ในโครงการที่ไม่เกี่ยวกับ SoftBank เช่นในเท็กซัส ➡️ แม้ SoftBank ถือเครื่องหมายการค้า Stargate ✅ OpenAI เซ็นดีล 4.5GW กับ Oracle มูลค่า $30B ต่อปี ➡️ เทียบเท่าการลงทุน $100B สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาด 5GW ✅ ลงทุนเพิ่ม $4B กับ CoreWeave รวมเป็น $15.9B สำหรับ GPU infrastructure ➡️ ใช้สำหรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ เช่น GPT และ Sora ✅ ทั้งสองฝ่ายยังประกาศว่าจะร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล 10GW ในสหรัฐฯ ➡️ แต่ยังไม่มีแผนหรือดีลที่ชัดเจนออกมา https://wccftech.com/the-half-a-trillion-dollar-stargate-ai-venture-is-now-falling-victim-to-the-disagreements-between-openai-and-softbank/
    WCCFTECH.COM
    The Half A Trillion Dollar Stargate AI Venture Is Now Falling Victim To The Disagreements Between OpenAI And SoftBank
    Stargate's $500B AI venture struggles as OpenAI and SoftBank clash, stalling progress on US infrastructure. OpenAI pushes ahead solo.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pikashow feels like a hidden gem for movie and TV lovers who just want quick, hassle-free entertainment. It brings together a huge collection of movies, shows, and even live TV in one simple app that anyone can use. What makes it special is how easy it is—you don’t need to be tech-savvy to enjoy it. The ability to download your favorite content and watch it later is a big plus, especially during travel or when the internet is slow. It’s like carrying a mini cinema in your pocket. Yes, it’s not on the official app stores, so you have to be careful where you download it from, but once you get it working, it becomes a reliable companion. Whether you're catching up on a missed cricket match or binge-watching a series over the weekend, Pikashow quietly delivers what you need without the noise of ads or subscriptions.
    https://pikashowsapps.org/
    Pikashow feels like a hidden gem for movie and TV lovers who just want quick, hassle-free entertainment. It brings together a huge collection of movies, shows, and even live TV in one simple app that anyone can use. What makes it special is how easy it is—you don’t need to be tech-savvy to enjoy it. The ability to download your favorite content and watch it later is a big plus, especially during travel or when the internet is slow. It’s like carrying a mini cinema in your pocket. Yes, it’s not on the official app stores, so you have to be careful where you download it from, but once you get it working, it becomes a reliable companion. Whether you're catching up on a missed cricket match or binge-watching a series over the weekend, Pikashow quietly delivers what you need without the noise of ads or subscriptions. https://pikashowsapps.org/
    PIKASHOWSAPPS.ORG
    Pikashow Apk Download v87 Latest Version for Android 2025
    PikaShow APK Download is a Streaming Platform For Android 2025. Includes TV Shows, Live Cricket, Download Videos, Movies, and many more
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวดี⭐️⭐️
    HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

    วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568—
    วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO-
    “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว

    “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป”
    รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“
    คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว

    “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก
    เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)”
    วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว

    “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว

    “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว

    “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว

    การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ

    HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations

    WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable.
    https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html
    July 18, 2025
    ☘️🌿 ข่าวดี⭐️⭐️ HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568— วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO- “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป” รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“ คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)” วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable. https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html July 18, 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 336 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก AWS: Amazon เปิดเกมรุกเต็มรูปแบบสู่ยุค AI Agents

    ในงาน AWS Summit ที่นิวยอร์ก Amazon ประกาศเปิดตัวชุดบริการใหม่ภายใต้ชื่อ “Bedrock AgentCore” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับสร้างและจัดการ AI agents โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกองค์กรสามารถนำ agent ไปใช้งานได้ ไม่ว่าจะมีความเชี่ยวชาญด้าน IT มากน้อยแค่ไหน

    AgentCore ประกอบด้วยบริการหลายส่วน เช่น:
    - Runtime ที่ปลอดภัยและปรับขนาดได้
    - ระบบยืนยันตัวตน (AgentCore Identity)
    - ระบบติดตามการทำงาน (AgentCore Observability)
    - ระบบเชื่อมต่อ API และข้อมูล (AgentCore Gateway)
    - ระบบหน่วยความจำระยะสั้นและยาว (AgentCore Memory)
    - ระบบแปลความหมายโค้ด (AgentCore Code Interpreter)
    - ระบบทำงานในเบราว์เซอร์ (AgentCore Browser)

    นอกจากนี้ AWS ยังเปิดตัว Strands Agents ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับสร้าง agent ด้วยโมเดลจาก Langchain, CrewAI และ LlamaIndex รวมถึงเปิดตัว Agent Marketplace ที่มี agent สำเร็จรูปกว่า 800 รายการให้เลือกใช้งาน

    เพื่อรองรับการฝึกและปรับแต่งโมเดล AI สำหรับ agent AWS ยังเพิ่มฟีเจอร์ใน SageMaker และเปิดตัวบริการจัดเก็บเวกเตอร์ใหม่ชื่อ Amazon S3 Vectors

    AWS เปิดตัว Bedrock AgentCore สำหรับสร้างและจัดการ AI agents
    รองรับการทำงานแบบปลอดภัย ปรับขนาดได้ และเชื่อมต่อกับระบบต่าง ๆ

    AgentCore รองรับโมเดลจาก Langchain, CrewAI, LlamaIndex และ Strands Agents
    เปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาและโอเพ่นซอร์ส

    AgentCore Identity รองรับ OAuth และระบบยืนยันตัวตนอื่น ๆ
    เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน agent

    AgentCore Observability ช่วยติดตามการทำงานและการเข้าถึงข้อมูล
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการตรวจสอบการทำงานของ agent

    AgentCore Gateway รองรับ MCP และ A2A protocol
    ช่วยให้ agent เชื่อมต่อกับ API และระบบภายนอกได้หลากหลาย

    AgentCore Memory รองรับการสร้างหน่วยความจำระยะสั้นและยาว
    ช่วยให้ agent เรียนรู้จากบริบทและประวัติการใช้งาน

    AgentCore Code Interpreter ช่วยให้เข้าใจการทำงานของ agent
    เหมาะสำหรับการดีบักและปรับแต่งพฤติกรรมของ agent

    AWS เปิดตัว Agent Marketplace พร้อม agent สำเร็จรูปกว่า 800 รายการ
    ช่วยให้องค์กรเริ่มใช้งาน agent ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องพัฒนาเอง

    AWS เพิ่มฟีเจอร์ใน SageMaker สำหรับปรับแต่งโมเดล Nova
    รองรับการใช้ข้อมูลภายในองค์กรเพื่อฝึกโมเดล

    เปิดตัว Amazon S3 Vectors สำหรับจัดเก็บข้อมูลเวกเตอร์ราคาประหยัด
    เหมาะกับการฝึกและปรับแต่งโมเดล AI ขนาดใหญ่

    AI agents ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งานจริง
    องค์กรต้องทดลองและปรับแต่งก่อนใช้งานในระดับ production

    การทำงานแบบอัตโนมัติของ agent อาจเกิดผลกระทบที่ไม่คาดคิด
    ต้องมีระบบ guardrails และการตรวจสอบอย่างรัดกุม

    การเชื่อมต่อกับระบบภายนอกผ่าน agent อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    ต้องตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงและการจัดการข้อมูลอย่างละเอียด

    Agent Marketplace ยังไม่มีมาตรฐานกลางในการประเมินคุณภาพ agent
    ผู้ใช้อาจต้องทดสอบ agent ด้วยตนเองก่อนนำไปใช้งานจริง

    https://www.techspot.com/news/108714-amazon-big-bet-ai-agents-comes-focus-aws.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก AWS: Amazon เปิดเกมรุกเต็มรูปแบบสู่ยุค AI Agents ในงาน AWS Summit ที่นิวยอร์ก Amazon ประกาศเปิดตัวชุดบริการใหม่ภายใต้ชื่อ “Bedrock AgentCore” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับสร้างและจัดการ AI agents โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกองค์กรสามารถนำ agent ไปใช้งานได้ ไม่ว่าจะมีความเชี่ยวชาญด้าน IT มากน้อยแค่ไหน AgentCore ประกอบด้วยบริการหลายส่วน เช่น: - Runtime ที่ปลอดภัยและปรับขนาดได้ - ระบบยืนยันตัวตน (AgentCore Identity) - ระบบติดตามการทำงาน (AgentCore Observability) - ระบบเชื่อมต่อ API และข้อมูล (AgentCore Gateway) - ระบบหน่วยความจำระยะสั้นและยาว (AgentCore Memory) - ระบบแปลความหมายโค้ด (AgentCore Code Interpreter) - ระบบทำงานในเบราว์เซอร์ (AgentCore Browser) นอกจากนี้ AWS ยังเปิดตัว Strands Agents ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับสร้าง agent ด้วยโมเดลจาก Langchain, CrewAI และ LlamaIndex รวมถึงเปิดตัว Agent Marketplace ที่มี agent สำเร็จรูปกว่า 800 รายการให้เลือกใช้งาน เพื่อรองรับการฝึกและปรับแต่งโมเดล AI สำหรับ agent AWS ยังเพิ่มฟีเจอร์ใน SageMaker และเปิดตัวบริการจัดเก็บเวกเตอร์ใหม่ชื่อ Amazon S3 Vectors ✅ AWS เปิดตัว Bedrock AgentCore สำหรับสร้างและจัดการ AI agents ➡️ รองรับการทำงานแบบปลอดภัย ปรับขนาดได้ และเชื่อมต่อกับระบบต่าง ๆ ✅ AgentCore รองรับโมเดลจาก Langchain, CrewAI, LlamaIndex และ Strands Agents ➡️ เปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาและโอเพ่นซอร์ส ✅ AgentCore Identity รองรับ OAuth และระบบยืนยันตัวตนอื่น ๆ ➡️ เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน agent ✅ AgentCore Observability ช่วยติดตามการทำงานและการเข้าถึงข้อมูล ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการตรวจสอบการทำงานของ agent ✅ AgentCore Gateway รองรับ MCP และ A2A protocol ➡️ ช่วยให้ agent เชื่อมต่อกับ API และระบบภายนอกได้หลากหลาย ✅ AgentCore Memory รองรับการสร้างหน่วยความจำระยะสั้นและยาว ➡️ ช่วยให้ agent เรียนรู้จากบริบทและประวัติการใช้งาน ✅ AgentCore Code Interpreter ช่วยให้เข้าใจการทำงานของ agent ➡️ เหมาะสำหรับการดีบักและปรับแต่งพฤติกรรมของ agent ✅ AWS เปิดตัว Agent Marketplace พร้อม agent สำเร็จรูปกว่า 800 รายการ ➡️ ช่วยให้องค์กรเริ่มใช้งาน agent ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องพัฒนาเอง ✅ AWS เพิ่มฟีเจอร์ใน SageMaker สำหรับปรับแต่งโมเดล Nova ➡️ รองรับการใช้ข้อมูลภายในองค์กรเพื่อฝึกโมเดล ✅ เปิดตัว Amazon S3 Vectors สำหรับจัดเก็บข้อมูลเวกเตอร์ราคาประหยัด ➡️ เหมาะกับการฝึกและปรับแต่งโมเดล AI ขนาดใหญ่ ‼️ AI agents ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งานจริง ⛔ องค์กรต้องทดลองและปรับแต่งก่อนใช้งานในระดับ production ‼️ การทำงานแบบอัตโนมัติของ agent อาจเกิดผลกระทบที่ไม่คาดคิด ⛔ ต้องมีระบบ guardrails และการตรวจสอบอย่างรัดกุม ‼️ การเชื่อมต่อกับระบบภายนอกผ่าน agent อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ ต้องตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงและการจัดการข้อมูลอย่างละเอียด ‼️ Agent Marketplace ยังไม่มีมาตรฐานกลางในการประเมินคุณภาพ agent ⛔ ผู้ใช้อาจต้องทดสอบ agent ด้วยตนเองก่อนนำไปใช้งานจริง https://www.techspot.com/news/108714-amazon-big-bet-ai-agents-comes-focus-aws.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon's big bet on AI agents comes into focus at AWS Summit
    At AWS Summit, Amazon's cloud computing division addressed these challenges head-on, unveiling a broad range of offerings that include development and deployment tools for agents, as well...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเกมพกพา: Razer เปิดตัวอุปกรณ์ Thunderbolt 5 เพื่อเกมเมอร์สายโน้ตบุ๊ก

    หลังจาก Thunderbolt 5 เปิดตัวปลายปี 2024 หลายแบรนด์เริ่มนำมาใช้กับอุปกรณ์เสริมกราฟิก ล่าสุด Razer เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่:

    1. Razer Thunderbolt 5 Dock – ด็อกกิ้งสเตชันที่รองรับการชาร์จเร็ว, จอภาพหลายจอความละเอียดสูง และการเชื่อมต่อครบครัน 2. Razer Core X V2 (รุ่นปี 2025) – กล่อง eGPU สำหรับใส่การ์ดจอเดสก์ท็อป Nvidia หรือ AMD เพื่อใช้งานกับโน้ตบุ๊กหรือเครื่องเกมพกพา

    Thunderbolt 5 รองรับแบนด์วิดท์สูงถึง 120 Gbps (upstream) และ 80 Gbps (bidirectional) ซึ่งช่วยลดปัญหาคอขวดที่เคยเกิดกับ Thunderbolt 4 หรือ OCuLink โดยเฉพาะเมื่อใช้ GPU ระดับสูงอย่าง RTX 4090

    อุปกรณ์เหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกระดับเดสก์ท็อปแต่ยังคงความคล่องตัวของโน้ตบุ๊กหรือเครื่องพกพา

    Razer เปิดตัว Thunderbolt 5 Dock ราคาเริ่มต้น $389.99
    รองรับการชาร์จสูงสุด 140W, จอ 4K 3 จอที่ 144Hz, และ SSD M.2 สูงสุด 8TB

    มีพอร์ต Thunderbolt 5 downstream 3 ช่อง และ upstream 1 ช่อง
    รองรับ DisplayPort 2.1 และ USB 3.2 ความเร็ว 10Gbps

    มี SD card slot, Gigabit Ethernet, และช่องหูฟัง 7.1 surround
    ครบครันสำหรับงานกราฟิกและเกม

    Razer Core X V2 รุ่นปี 2025 รองรับการ์ดจอสูงสุด 4 สล็อต
    ใช้กับ Thunderbolt 5, Thunderbolt 4 หรือ USB4 ได้

    Thunderbolt 5 มีแบนด์วิดท์สูงกว่า OCuLink และ Thunderbolt 4
    ลดการสูญเสียประสิทธิภาพของ GPU ได้มากถึง 23% ในบางกรณี

    Asus และ Gigabyte เปิดตัว eGPU ที่ใช้ Thunderbolt 5 ไปก่อนหน้านี้
    เช่น RTX 5090 แบบพกพา และรุ่น water-cooled สำหรับเดสก์ท็อป

    https://www.techspot.com/news/108696-razer-introduces-new-thunderbolt-5-dock-egpu-enclosure.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเกมพกพา: Razer เปิดตัวอุปกรณ์ Thunderbolt 5 เพื่อเกมเมอร์สายโน้ตบุ๊ก หลังจาก Thunderbolt 5 เปิดตัวปลายปี 2024 หลายแบรนด์เริ่มนำมาใช้กับอุปกรณ์เสริมกราฟิก ล่าสุด Razer เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่: 1. Razer Thunderbolt 5 Dock – ด็อกกิ้งสเตชันที่รองรับการชาร์จเร็ว, จอภาพหลายจอความละเอียดสูง และการเชื่อมต่อครบครัน 2. Razer Core X V2 (รุ่นปี 2025) – กล่อง eGPU สำหรับใส่การ์ดจอเดสก์ท็อป Nvidia หรือ AMD เพื่อใช้งานกับโน้ตบุ๊กหรือเครื่องเกมพกพา Thunderbolt 5 รองรับแบนด์วิดท์สูงถึง 120 Gbps (upstream) และ 80 Gbps (bidirectional) ซึ่งช่วยลดปัญหาคอขวดที่เคยเกิดกับ Thunderbolt 4 หรือ OCuLink โดยเฉพาะเมื่อใช้ GPU ระดับสูงอย่าง RTX 4090 อุปกรณ์เหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกระดับเดสก์ท็อปแต่ยังคงความคล่องตัวของโน้ตบุ๊กหรือเครื่องพกพา ✅ Razer เปิดตัว Thunderbolt 5 Dock ราคาเริ่มต้น $389.99 ➡️ รองรับการชาร์จสูงสุด 140W, จอ 4K 3 จอที่ 144Hz, และ SSD M.2 สูงสุด 8TB ✅ มีพอร์ต Thunderbolt 5 downstream 3 ช่อง และ upstream 1 ช่อง ➡️ รองรับ DisplayPort 2.1 และ USB 3.2 ความเร็ว 10Gbps ✅ มี SD card slot, Gigabit Ethernet, และช่องหูฟัง 7.1 surround ➡️ ครบครันสำหรับงานกราฟิกและเกม ✅ Razer Core X V2 รุ่นปี 2025 รองรับการ์ดจอสูงสุด 4 สล็อต ➡️ ใช้กับ Thunderbolt 5, Thunderbolt 4 หรือ USB4 ได้ ✅ Thunderbolt 5 มีแบนด์วิดท์สูงกว่า OCuLink และ Thunderbolt 4 ➡️ ลดการสูญเสียประสิทธิภาพของ GPU ได้มากถึง 23% ในบางกรณี ✅ Asus และ Gigabyte เปิดตัว eGPU ที่ใช้ Thunderbolt 5 ไปก่อนหน้านี้ ➡️ เช่น RTX 5090 แบบพกพา และรุ่น water-cooled สำหรับเดสก์ท็อป https://www.techspot.com/news/108696-razer-introduces-new-thunderbolt-5-dock-egpu-enclosure.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Razer introduces new Thunderbolt 5 dock and eGPU enclosure
    Razer recently unveiled its first Thunderbolt 5-compatible docking station and external graphics card enclosure. These accessories provide laptops and handheld gaming PCs with ample bandwidth for fast...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google รวม Chrome OS กับ Android – สร้างระบบเดียวที่ใช้ได้ทุกอุปกรณ์

    Google ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Chrome OS และ Android จะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นแพลตฟอร์มเดียว โดย Sameer Samat ประธานฝ่าย Android ecosystem ได้เปิดเผยแผนนี้ระหว่างการสัมภาษณ์กับ TechRadar ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย

    เป้าหมายของการรวมระบบคือ:
    - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่
    - สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์
    - แข่งขันกับระบบนิเวศของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา

    ก่อนหน้านี้ นักพัฒนาต้องปรับแต่งแอปให้ทำงานได้ทั้งบน Android และ Chrome OS แยกกัน ซึ่งใช้เวลามากและซับซ้อน แต่การรวมระบบจะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น และผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์

    Android เองก็มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ดีขึ้น และการปรับตัวของแอปให้เหมาะกับอุปกรณ์หลากหลาย

    แม้ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัว แต่การประกาศนี้สะท้อนว่า Google กำลังมุ่งสู่การสร้าง “ระบบปฏิบัติการเดียวเพื่อทุกอุปกรณ์” อย่างจริงจัง

    ข้อมูลจากข่าว
    - Google ยืนยันว่าจะรวม Chrome OS เข้ากับ Android เป็นแพลตฟอร์มเดียว
    - Sameer Samat เปิดเผยแผนนี้ในการสัมภาษณ์กับ TechRadar
    - เป้าหมายคือสร้างระบบที่ทำงานได้ไร้รอยต่อบนโทรศัพท์ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต
    - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่
    - Android มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอใหญ่ เช่น window management และ app adaptability
    - การรวมระบบจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์
    - เป็นการตอบโต้ ecosystem ของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัวที่แน่ชัด
    - ผู้ใช้ Chromebook อาจกังวลเรื่องการอัปเดตและการเปลี่ยนแปลงระบบ
    - การรวมระบบอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปหรืออุปกรณ์บางรุ่น
    - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่และแนวทางการพัฒนาแบบรวม
    - หากการรวมระบบไม่ราบรื่น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักพัฒนา

    https://wccftech.com/google-is-merging-chrome-os-with-android-to-create-one-seamless-platform-that-works-across-phones-laptops-and-tablets-say-goodbye-to-multiple-devices/
    Google รวม Chrome OS กับ Android – สร้างระบบเดียวที่ใช้ได้ทุกอุปกรณ์ Google ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Chrome OS และ Android จะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นแพลตฟอร์มเดียว โดย Sameer Samat ประธานฝ่าย Android ecosystem ได้เปิดเผยแผนนี้ระหว่างการสัมภาษณ์กับ TechRadar ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย เป้าหมายของการรวมระบบคือ: - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่ - สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์ - แข่งขันกับระบบนิเวศของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา ก่อนหน้านี้ นักพัฒนาต้องปรับแต่งแอปให้ทำงานได้ทั้งบน Android และ Chrome OS แยกกัน ซึ่งใช้เวลามากและซับซ้อน แต่การรวมระบบจะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น และผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์ Android เองก็มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ดีขึ้น และการปรับตัวของแอปให้เหมาะกับอุปกรณ์หลากหลาย แม้ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัว แต่การประกาศนี้สะท้อนว่า Google กำลังมุ่งสู่การสร้าง “ระบบปฏิบัติการเดียวเพื่อทุกอุปกรณ์” อย่างจริงจัง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google ยืนยันว่าจะรวม Chrome OS เข้ากับ Android เป็นแพลตฟอร์มเดียว - Sameer Samat เปิดเผยแผนนี้ในการสัมภาษณ์กับ TechRadar - เป้าหมายคือสร้างระบบที่ทำงานได้ไร้รอยต่อบนโทรศัพท์ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่ - Android มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอใหญ่ เช่น window management และ app adaptability - การรวมระบบจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์ - เป็นการตอบโต้ ecosystem ของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัวที่แน่ชัด - ผู้ใช้ Chromebook อาจกังวลเรื่องการอัปเดตและการเปลี่ยนแปลงระบบ - การรวมระบบอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปหรืออุปกรณ์บางรุ่น - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่และแนวทางการพัฒนาแบบรวม - หากการรวมระบบไม่ราบรื่น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักพัฒนา https://wccftech.com/google-is-merging-chrome-os-with-android-to-create-one-seamless-platform-that-works-across-phones-laptops-and-tablets-say-goodbye-to-multiple-devices/
    WCCFTECH.COM
    Google Is Merging Chrome OS With Android To Create One Seamless Platform That Works Across Phones, Laptops, And Tablets - Say Goodbye To Multiple Devices
    Google has confirmed in a conversation recently about its plan to consolidate Chrome OS and Android into a single platform
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung เร่งฟื้นความเชื่อมั่น – ตั้งเป้า yield 2nm ให้ถึง 70% ภายในปีนี้

    Samsung กำลังเผชิญความท้าทายในการผลิตชิป 2nm GAA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่ปัญหาใหญ่คือ yield ต่ำมาก—ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% เท่านั้น

    เพื่อแข่งขันกับ TSMC ที่มี yield สูงกว่าในเทคโนโลยีระดับเดียวกัน Samsung จึงตัดสินใจชะลอการพัฒนา 1.4nm และทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปที่ 2nm โดยตั้งเป้าเพิ่ม yield เป็น 50% ภายในไม่กี่เดือน และ 60–70% ภายในสิ้นปี 2025

    Qualcomm ซึ่งเคยมีข่าวว่าจะยกเลิกการสั่งผลิต Snapdragon 8 Elite Gen 2 กับ Samsung ก็ยังคงใช้บริการอยู่ในบางส่วน ทำให้ Samsung ต้องเร่งสร้างความมั่นใจเพื่อรักษาลูกค้ารายนี้ไว้

    Samsung ยังพัฒนาเทคโนโลยี 2nm GAA รุ่นที่สองและสาม (SF2P+) เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยหวังว่าจะสามารถกลับมาเป็นผู้นำในตลาดการผลิตชิปได้อีกครั้ง

    https://wccftech.com/samsung-requires-more-time-to-stabilize-2nm-yields-with-a-goal-of-70-percent-by-year-end/
    Samsung เร่งฟื้นความเชื่อมั่น – ตั้งเป้า yield 2nm ให้ถึง 70% ภายในปีนี้ Samsung กำลังเผชิญความท้าทายในการผลิตชิป 2nm GAA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่ปัญหาใหญ่คือ yield ต่ำมาก—ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% เท่านั้น เพื่อแข่งขันกับ TSMC ที่มี yield สูงกว่าในเทคโนโลยีระดับเดียวกัน Samsung จึงตัดสินใจชะลอการพัฒนา 1.4nm และทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปที่ 2nm โดยตั้งเป้าเพิ่ม yield เป็น 50% ภายในไม่กี่เดือน และ 60–70% ภายในสิ้นปี 2025 Qualcomm ซึ่งเคยมีข่าวว่าจะยกเลิกการสั่งผลิต Snapdragon 8 Elite Gen 2 กับ Samsung ก็ยังคงใช้บริการอยู่ในบางส่วน ทำให้ Samsung ต้องเร่งสร้างความมั่นใจเพื่อรักษาลูกค้ารายนี้ไว้ Samsung ยังพัฒนาเทคโนโลยี 2nm GAA รุ่นที่สองและสาม (SF2P+) เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยหวังว่าจะสามารถกลับมาเป็นผู้นำในตลาดการผลิตชิปได้อีกครั้ง https://wccftech.com/samsung-requires-more-time-to-stabilize-2nm-yields-with-a-goal-of-70-percent-by-year-end/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Requires More Time To Stabilize Its 2nm Yields, New Report Says Goal Of 70 Percent Is Being Targeted By The End Of 2025 To Secure Large Chip Orders From Qualcomm & Others
    To secure larger chip orders from the likes of Qualcomm, a new report states that Samsung needs more time to stabilize its 2nm GAA yields
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘สุชาติ’ เผย รัฐบาลจับมือยักษ์ใหญ่ธุรกิจ ช่วยชาวสวนมังคุดใต้พ้นวิกฤตราคาตกต่ำ
    https://www.thai-tai.tv/news/20221/
    .
    #ThaiAgriculture #Mangosteen #มังคุด #กระทรวงพาณิชย์ #สุชาติชมกลิ่น #ช่วยเหลือเกษตรกร #PriceStabilization #PublicPrivatePartnership #ไทยช่วยไทย
    ‘สุชาติ’ เผย รัฐบาลจับมือยักษ์ใหญ่ธุรกิจ ช่วยชาวสวนมังคุดใต้พ้นวิกฤตราคาตกต่ำ https://www.thai-tai.tv/news/20221/ . #ThaiAgriculture #Mangosteen #มังคุด #กระทรวงพาณิชย์ #สุชาติชมกลิ่น #ช่วยเหลือเกษตรกร #PriceStabilization #PublicPrivatePartnership #ไทยช่วยไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนอาจคิดว่า Nvidia ยังเป็นเจ้าตลาด GPU แบบเบ็ดเสร็จทุกแพลตฟอร์ม → แต่ถ้าเรามองไปที่ตลาด eGPU (GPU ภายนอกสำหรับโน้ตบุ๊ก), เกมกลับพลิก!

    ล่าสุดบริษัท Onexplayer เปิดตัว OnexGPU Lite ซึ่งใช้ Radeon RX 7600M XT แบบโมบายจาก AMD เป็นตัวประมวลผล → นี่คือ eGPU ตัวที่ 11 แล้วที่ใช้ชิป AMD จากซีรีส์ RX 7000 → ที่น่าสนใจคือยังไม่มี eGPU ที่ใช้ชิป RDNA4 ใหม่เลย — ทุกตัวใช้รุ่นเดิม แต่เปลี่ยนพอร์ตให้รองรับ Thunderbolt 5

    แม้ RX 7600M XT จะไม่ใช่ GPU ที่แรงที่สุด แต่กลับกลายเป็น "มาตรฐานของ eGPU รุ่นใหม่" ที่เน้นความบาง, น้ำหนักเบา, และการประหยัดพลังงาน → ขณะที่ Nvidia แทบไม่มีบทบาทในกลุ่มนี้ → Vendor หลายรายเลือก AMD เพราะจัดการเรื่อง driver ได้ง่ายกว่า, ประหยัดไฟกว่า และราคาอาจคุ้มค่ากว่าในแพลตฟอร์ม eGPU

    จุดขายล่าสุดคือพอร์ต Thunderbolt 5 ที่ทำงานได้ทั้งส่งภาพ, ส่งข้อมูล, และจ่ายไฟผ่านสายเดียว → แม้แบนด์วิดธ์ PCIe ยังเท่ากับ OCuLink (64Gbps) แต่ Thunderbolt 5 ใช้งานง่ายกว่า เพราะรองรับ display + power + data → เหมาะมากสำหรับ creator สายวีดีโอ หรือคนที่ใช้ Photoshop บนโน้ตบุ๊กบาง ๆ

    OnexGPU Lite ใช้ Radeon RX 7600M XT พร้อมพอร์ต Thunderbolt 5  
    • เป็น eGPU ตัวที่ 11 แล้วจาก AMD RX 7000 Series  
    • พัฒนาจาก OnexGPU 2 ที่ใช้ RX 7800M  
    • เน้น balance ระหว่างประสิทธิภาพ & portability

    Thunderbolt 5 รองรับทั้ง PCIe, display output และการจ่ายไฟผ่านสายเดียว  
    • PCIe bandwidth เทียบเท่า OCuLink (64Gbps)  
    • แต่มอบประสบการณ์ใช้งานที่ง่ายกว่าและเหมาะสำหรับ creator

    AMD ครองตลาด eGPU แบบเงียบ ๆ ขณะที่ Nvidia ยังไม่โดดเข้ามาเต็มตัว

    Vendor หลายรายอาจเลือก AMD เพราะเหตุผลด้าน power efficiency, driver compatibility, และราคาต่อโมบาย GPU

    แม้จะใช้ RX 7600M XT ซ้ำในหลายรุ่น แต่การเปลี่ยน chassis และพอร์ตเป็น Thunderbolt 5 คือทางเลือกที่คุ้มค่าในตลาด eGPU

    https://www.techradar.com/pro/amd-is-surpassing-nvidia-in-one-particular-market-and-i-dont-understand-why-11th-egpu-based-on-amd-radeon-rx-7000-series-debuts-and-even-has-thunderbolt-5
    หลายคนอาจคิดว่า Nvidia ยังเป็นเจ้าตลาด GPU แบบเบ็ดเสร็จทุกแพลตฟอร์ม → แต่ถ้าเรามองไปที่ตลาด eGPU (GPU ภายนอกสำหรับโน้ตบุ๊ก), เกมกลับพลิก! ล่าสุดบริษัท Onexplayer เปิดตัว OnexGPU Lite ซึ่งใช้ Radeon RX 7600M XT แบบโมบายจาก AMD เป็นตัวประมวลผล → นี่คือ eGPU ตัวที่ 11 แล้วที่ใช้ชิป AMD จากซีรีส์ RX 7000 → ที่น่าสนใจคือยังไม่มี eGPU ที่ใช้ชิป RDNA4 ใหม่เลย — ทุกตัวใช้รุ่นเดิม แต่เปลี่ยนพอร์ตให้รองรับ Thunderbolt 5 แม้ RX 7600M XT จะไม่ใช่ GPU ที่แรงที่สุด แต่กลับกลายเป็น "มาตรฐานของ eGPU รุ่นใหม่" ที่เน้นความบาง, น้ำหนักเบา, และการประหยัดพลังงาน → ขณะที่ Nvidia แทบไม่มีบทบาทในกลุ่มนี้ → Vendor หลายรายเลือก AMD เพราะจัดการเรื่อง driver ได้ง่ายกว่า, ประหยัดไฟกว่า และราคาอาจคุ้มค่ากว่าในแพลตฟอร์ม eGPU จุดขายล่าสุดคือพอร์ต Thunderbolt 5 ที่ทำงานได้ทั้งส่งภาพ, ส่งข้อมูล, และจ่ายไฟผ่านสายเดียว → แม้แบนด์วิดธ์ PCIe ยังเท่ากับ OCuLink (64Gbps) แต่ Thunderbolt 5 ใช้งานง่ายกว่า เพราะรองรับ display + power + data → เหมาะมากสำหรับ creator สายวีดีโอ หรือคนที่ใช้ Photoshop บนโน้ตบุ๊กบาง ๆ ✅ OnexGPU Lite ใช้ Radeon RX 7600M XT พร้อมพอร์ต Thunderbolt 5   • เป็น eGPU ตัวที่ 11 แล้วจาก AMD RX 7000 Series   • พัฒนาจาก OnexGPU 2 ที่ใช้ RX 7800M   • เน้น balance ระหว่างประสิทธิภาพ & portability ✅ Thunderbolt 5 รองรับทั้ง PCIe, display output และการจ่ายไฟผ่านสายเดียว   • PCIe bandwidth เทียบเท่า OCuLink (64Gbps)   • แต่มอบประสบการณ์ใช้งานที่ง่ายกว่าและเหมาะสำหรับ creator ✅ AMD ครองตลาด eGPU แบบเงียบ ๆ ขณะที่ Nvidia ยังไม่โดดเข้ามาเต็มตัว ✅ Vendor หลายรายอาจเลือก AMD เพราะเหตุผลด้าน power efficiency, driver compatibility, และราคาต่อโมบาย GPU ✅ แม้จะใช้ RX 7600M XT ซ้ำในหลายรุ่น แต่การเปลี่ยน chassis และพอร์ตเป็น Thunderbolt 5 คือทางเลือกที่คุ้มค่าในตลาด eGPU https://www.techradar.com/pro/amd-is-surpassing-nvidia-in-one-particular-market-and-i-dont-understand-why-11th-egpu-based-on-amd-radeon-rx-7000-series-debuts-and-even-has-thunderbolt-5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครกำลังมองหามื้ออร่อย บรรยากาศดี แวะมาที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲 นะคะ

    𝐅𝐨𝐫 𝐭𝐡𝐨𝐬𝐞 𝐬𝐞𝐞𝐤𝐢𝐧𝐠 𝐚 𝐝𝐞𝐥𝐢𝐜𝐢𝐨𝐮𝐬 𝐦𝐞𝐚𝐥 𝐢𝐧 𝐚 𝐰𝐨𝐧𝐝𝐞𝐫𝐟𝐮𝐥 𝐚𝐭𝐦𝐨𝐬𝐩𝐡𝐞𝐫𝐞, 𝐜𝐨𝐦𝐞 𝐯𝐢𝐬𝐢𝐭 Ao Luek Ocean View

    ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover #sky
    ใครกำลังมองหามื้ออร่อย บรรยากาศดี แวะมาที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲 ⛱️ นะคะ 😊 𝐅𝐨𝐫 𝐭𝐡𝐨𝐬𝐞 𝐬𝐞𝐞𝐤𝐢𝐧𝐠 𝐚 𝐝𝐞𝐥𝐢𝐜𝐢𝐨𝐮𝐬 𝐦𝐞𝐚𝐥 𝐢𝐧 𝐚 𝐰𝐨𝐧𝐝𝐞𝐫𝐟𝐮𝐥 𝐚𝐭𝐦𝐨𝐬𝐩𝐡𝐞𝐫𝐞, 𝐜𝐨𝐦𝐞 𝐯𝐢𝐬𝐢𝐭 Ao Luek Ocean View 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover #sky
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราคุ้นกับการที่ Windows อัปเดตแล้วขอรีสตาร์ต… แถมบางครั้งก็ดันรีเองตอนเผลออีกต่างหาก → แต่ “Hotpatching” คือการปล่อยแพตช์เข้าไปในหน่วยความจำโดยตรงแบบสด ๆ → ไม่ต้องรีบูตก็ได้! → แน่นอนว่าใช้ได้เฉพาะการอัปเดตความปลอดภัย (security updates)

    Microsoft เริ่มใช้กับ Windows 11 24H2 (x64) ตั้งแต่เมษายน 2025 → และตอนนี้ก็ขยายมาที่ Windows on ARM แล้ว!

    ทำงานยังไง?
    - ทุกเดือนจะมี hotpatch update แบบ “ไม่ต้องรีสตาร์ตเลย”
    - ทุก 3 เดือนจะมี “baseline update” ที่ต้องรีบูต 1 ครั้ง
    - หลังจากนั้น…อีก 2 เดือนคุณจะใช้คอมได้แบบไม่มี popup จิกให้รีสตาร์ตเลย!

    ที่เจ๋งคือ เหมาะกับองค์กรมาก ๆ → เพราะ admin สามารถควบคุมผ่าน Intune, Windows Autopatch → แถมแพตช์ขนาดเล็กลง โหลดเร็ว และปลอดภัยทันทีไม่ต้องรอให้ผู้ใช้กดรีบูตก่อน

    Microsoft บอกว่าตั้งแต่เปิดตัวมาในเดือนเมษายน มี “อุปกรณ์หลายล้านเครื่อง” ได้รับ hotpatch แล้ว → และ “feedback ส่วนใหญ่มาในแง่บวกมาก”

    Hotpatching ช่วยให้ Windows 11 อัปเดตความปลอดภัยโดยไม่ต้องรีสตาร์ตทุกครั้ง  
    • ขยายจาก x64 → ARM แล้วในเวอร์ชัน 24H2

    อัปเดตแบบนี้จะช่วยลด “ช่วงเวลาที่ระบบไม่ปลอดภัย” (vulnerability window)  
    • เพราะไม่ต้องรอให้ผู้ใช้ reboot

    admin สามารถควบคุมผ่าน Microsoft Intune และ Windows Autopatch ได้เต็มรูปแบบ  
    • รองรับการกำหนดการ rollout ของแพตช์  • เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ uptime สูง

    ทุก 3 เดือนจะมี baseline update ที่ต้องรีบูต 1 ครั้ง จากนั้นใช้ hotpatch ต่อได้ 2 เดือนโดยไม่ต้อง reboot

    Feedback จากผู้ใช้หลายล้านเครื่องหลังใช้ hotpatch ช่วงเดือนเมษายน–กรกฎาคม → “เป็นบวกอย่างมาก”

    https://www.neowin.net/news/more-windows-pcs-can-now-apply-updates-with-fewer-restarts/
    เราคุ้นกับการที่ Windows อัปเดตแล้วขอรีสตาร์ต… แถมบางครั้งก็ดันรีเองตอนเผลออีกต่างหาก → แต่ “Hotpatching” คือการปล่อยแพตช์เข้าไปในหน่วยความจำโดยตรงแบบสด ๆ → ไม่ต้องรีบูตก็ได้! → แน่นอนว่าใช้ได้เฉพาะการอัปเดตความปลอดภัย (security updates) Microsoft เริ่มใช้กับ Windows 11 24H2 (x64) ตั้งแต่เมษายน 2025 → และตอนนี้ก็ขยายมาที่ Windows on ARM แล้ว! ทำงานยังไง? - ทุกเดือนจะมี hotpatch update แบบ “ไม่ต้องรีสตาร์ตเลย” - ทุก 3 เดือนจะมี “baseline update” ที่ต้องรีบูต 1 ครั้ง - หลังจากนั้น…อีก 2 เดือนคุณจะใช้คอมได้แบบไม่มี popup จิกให้รีสตาร์ตเลย! ที่เจ๋งคือ เหมาะกับองค์กรมาก ๆ → เพราะ admin สามารถควบคุมผ่าน Intune, Windows Autopatch → แถมแพตช์ขนาดเล็กลง โหลดเร็ว และปลอดภัยทันทีไม่ต้องรอให้ผู้ใช้กดรีบูตก่อน Microsoft บอกว่าตั้งแต่เปิดตัวมาในเดือนเมษายน มี “อุปกรณ์หลายล้านเครื่อง” ได้รับ hotpatch แล้ว → และ “feedback ส่วนใหญ่มาในแง่บวกมาก” ✅ Hotpatching ช่วยให้ Windows 11 อัปเดตความปลอดภัยโดยไม่ต้องรีสตาร์ตทุกครั้ง   • ขยายจาก x64 → ARM แล้วในเวอร์ชัน 24H2 ✅ อัปเดตแบบนี้จะช่วยลด “ช่วงเวลาที่ระบบไม่ปลอดภัย” (vulnerability window)   • เพราะไม่ต้องรอให้ผู้ใช้ reboot ✅ admin สามารถควบคุมผ่าน Microsoft Intune และ Windows Autopatch ได้เต็มรูปแบบ   • รองรับการกำหนดการ rollout ของแพตช์  • เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ uptime สูง ✅ ทุก 3 เดือนจะมี baseline update ที่ต้องรีบูต 1 ครั้ง จากนั้นใช้ hotpatch ต่อได้ 2 เดือนโดยไม่ต้อง reboot ✅ Feedback จากผู้ใช้หลายล้านเครื่องหลังใช้ hotpatch ช่วงเดือนเมษายน–กรกฎาคม → “เป็นบวกอย่างมาก” https://www.neowin.net/news/more-windows-pcs-can-now-apply-updates-with-fewer-restarts/
    WWW.NEOWIN.NET
    More Windows PCs can now apply updates with fewer restarts
    If you have a Windows computer with an ARM processor, you can now benefit from a new feature that enables more updates without disruptions and restarts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ตำแหน่ง CISO นี่แหละคือด่านบอสของวงการ IT Security — เพราะต้องแบกรับทั้งภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน, การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล, ไปจนถึงความคาดหวังจากบอร์ดบริหารที่สูงกว่าเพดาน

    จากบทสัมภาษณ์และรายงานล่าสุดใน CSO Online พบว่า → CISO จำนวนมากรู้สึกเหมือน “ถูกตั้งความรับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ” → หลายองค์กรยังจัดให้ CISO อยู่ลำดับชั้นต่ำในแผนผังผู้บริหาร เช่น รายงานต่อ CFO หรือ CTO แทนที่จะได้ที่นั่งในบอร์ด → และที่แย่กว่าคือ CISO อาจต้องรับผิดทางกฎหมายเป็นรายบุคคล หากบริษัทละเมิดนโยบายหรือถูกโจมตีไซเบอร์

    George Gerchow อดีต CISO ของหลายองค์กรบอกว่า “ผมไม่อยากกลับไปนั่งใต้ CTO อีกแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งในโต๊ะกลุ่มผู้บริหาร ก็เหมือนทำงานโดยไม่มีพวงมาลัย” → เขาเห็นเพื่อนร่วมวงการลาออกเพียบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

    ไม่ใช่แค่เรื่ององค์กร แต่ความคาดหวังของโลกก็เพิ่มขึ้น → ยุโรปบังคับใช้ DORA (กฎหมาย Digital Resilience) ที่เพิ่มภาระให้ CISO → สหรัฐฯ เริ่มมีกรณีที่ CISO ถูกฟ้องคดีอาญา เช่น กรณี Uber → ส่งผลให้คนในตำแหน่งนี้เสี่ยงต่อ “burnout”, “legal liability” และ “reputation damage” แบบไม่สมส่วน

    แม้จะมีเสียงบางส่วนที่มองว่าปัญหาอยู่ที่ “การบริหารเวลาและการกระจายงาน” แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า “CISO ยุคนี้คือสายงานที่แบกความเสี่ยงไว้สูงกว่าผู้บริหารหลายตำแหน่ง”

    https://www.csoonline.com/article/4016334/has-ciso-become-the-least-desirable-role-in-business.html
    ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ตำแหน่ง CISO นี่แหละคือด่านบอสของวงการ IT Security — เพราะต้องแบกรับทั้งภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน, การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล, ไปจนถึงความคาดหวังจากบอร์ดบริหารที่สูงกว่าเพดาน จากบทสัมภาษณ์และรายงานล่าสุดใน CSO Online พบว่า → CISO จำนวนมากรู้สึกเหมือน “ถูกตั้งความรับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ” → หลายองค์กรยังจัดให้ CISO อยู่ลำดับชั้นต่ำในแผนผังผู้บริหาร เช่น รายงานต่อ CFO หรือ CTO แทนที่จะได้ที่นั่งในบอร์ด → และที่แย่กว่าคือ CISO อาจต้องรับผิดทางกฎหมายเป็นรายบุคคล หากบริษัทละเมิดนโยบายหรือถูกโจมตีไซเบอร์ George Gerchow อดีต CISO ของหลายองค์กรบอกว่า “ผมไม่อยากกลับไปนั่งใต้ CTO อีกแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งในโต๊ะกลุ่มผู้บริหาร ก็เหมือนทำงานโดยไม่มีพวงมาลัย” → เขาเห็นเพื่อนร่วมวงการลาออกเพียบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เรื่ององค์กร แต่ความคาดหวังของโลกก็เพิ่มขึ้น → ยุโรปบังคับใช้ DORA (กฎหมาย Digital Resilience) ที่เพิ่มภาระให้ CISO → สหรัฐฯ เริ่มมีกรณีที่ CISO ถูกฟ้องคดีอาญา เช่น กรณี Uber → ส่งผลให้คนในตำแหน่งนี้เสี่ยงต่อ “burnout”, “legal liability” และ “reputation damage” แบบไม่สมส่วน แม้จะมีเสียงบางส่วนที่มองว่าปัญหาอยู่ที่ “การบริหารเวลาและการกระจายงาน” แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า “CISO ยุคนี้คือสายงานที่แบกความเสี่ยงไว้สูงกว่าผู้บริหารหลายตำแหน่ง” https://www.csoonline.com/article/4016334/has-ciso-become-the-least-desirable-role-in-business.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Has CISO become the least desirable role in business?
    Problematic reporting structures, outsized responsibility for enterprise risk, and personal accountability without authority are just a few reasons CISO roles are experiencing high churn.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัจจุบัน **เทคโนโลยีทางทหารที่ร้​ววและแม่นยำ (Rapid and Precise Military Technology)** เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศ ประเทศที่ถือว่าเป็นผู้นำในสาขานี้ ได้แก่:

    1. **สหรัฐอเมริกา:**
    * **จุดแข็ง:** ลงทุนมหาศาลใน R&D, นำโด่งด้านอาวุธไฮเปอร์โซนิก (Hypersonic Weapons - เร็วเหนือเสียงมาก), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น THAAD, Aegis), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติในสงคราม, การรบด้วยเครือข่าย (Network-Centric Warfare), โดรนรบ (UCAVs) ขั้นสูง (เช่น MQ-9 Reaper, XQ-58 Valkyrie), และดาวเทียมลาดตระเวนแม่นยำสูง
    * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การพัฒนาอาวุธพลังงานนำทาง (Directed Energy Weapons) เช่น เลเซอร์, การบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการตัดสินใจทางการทหาร (JADC2 - Joint All-Domain Command and Control)

    2. **จีน:**
    * **จุดแข็ง:** พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นการทุ่มงบประมาณและขโมยเทคโนโลยี, นำโด่งในด้านขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลาง (SRBMs/MRBMs) ที่แม่นยำ, อาวุธไฮเปอร์โซนิก (เช่น DF-ZF), ระบบต่อต้านดาวเทียม (ASAT) และต่อต้านขีปนาวุธ, โดรนรบจำนวนมากและก้าวหน้า (เช่น Wing Loong, CH-series), และกำลังพัฒนากองเรือทะเลหลวงที่ทันสมัย
    * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การทดสอบอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่สร้างความประหลาดใจให้วงการ, การขยายขีดความสามารถทางไซเบอร์และอวกาศ

    3. **รัสเซีย:**
    * **จุดแข็ง:** แม้เศรษฐกิจมีข้อจำกัด แต่ยังคงเน้นการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่เพื่อรักษาความสมดุล, มีอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่ประจำการแล้ว (เช่น Kinzhal, Avangard), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น S-400, S-500), ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) ที่ทรงพลัง, และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลางแม่นยำ
    * **สถานะปัจจุบัน:** การรุกรานยูเครนส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการผลิตและอาจชะลอการพัฒนาบางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นการใช้ขีปนาวุธแม่นยำ (และความท้าทายของมัน) รวมถึงสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างเข้มข้น

    4. **ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้า:**
    * **อิสราเอล:** เป็นสุดยอดด้านเทคโนโลยีโดรน (UAVs/UCAVs), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (Iron Dome, David's Sling, Arrow), สงครามไซเบอร์, ระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance) และเทคโนโลยีภาคพื้นดินแม่นยำ
    * **สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี (และสหภาพยุโรป):** มีความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะระบบอากาศยาน (รบกริปเพน, ราฟาเอล), เรือดำน้ำ, ระบบป้องกันขีปนาวุธ (ร่วมกับ NATO), เทคโนโลยีไซเบอร์ และกำลังร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบอากาศยานรุ่นต่อไป (FCAS), รถถังหลักใหม่ (MGCS)

    **ผลดีของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:**

    1. **เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันประเทศ:** ป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำกว่าเดิม
    2. **ลดความเสียหายพลเรือน (ในทางทฤษฎี):** ความแม่นยำสูง *ควรจะ* ลดการโจมตีพลาดเป้าและความสูญเสียของพลเรือนได้
    3. **เพิ่มขีดความสามารถในการป้องปราม:** การมีอาวุธที่รวดเร็ว แม่นยำ และยากต่อการสกัดกั้น (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) ทำให้ศัตรูต้องคิดหนักก่อนจะโจมตี
    4. **เพิ่มประสิทธิภาพในการรบ:** ระบบ C4ISR และเครือข่ายการรบช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
    5. **ลดความสูญเสียของทหาร:** การใช้โดรนหรือระบบอัตโนมัติสามารถลดการส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยตรง

    **ผลเสียและความท้าทายของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:**

    1. **ความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางการ bewaffnung (Arms Race):** ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกระตุ้นให้ประเทศคู่แข่งเร่งพัฒนาตาม นำไปสู่การแข่งขันที่สิ้นเปลืองและเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศ
    2. **ความท้าทายด้านเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Stability):** อาวุธที่รวดเร็วมาก (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) และระบบป้องกันขีปนาวุธ อาจลดเวลาในการตัดสินใจตอบโต้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่าเป็นการโจมตีครั้งแรก (First Strike) ในช่วงวิกฤต
    3. **ความซับซ้อนของสงครามไซเบอร์และอวกาศ:** เทคโนโลยีทหารสมัยใหม่พึ่งพาระบบดิจิทัล ดาวเทียม และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการทำสงครามในอวกาศ
    4. **ความท้าทายด้านจริยธรรมและกฎหมาย (โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ):**
    * **อาวุธอัตโนมัติร้ายแรง (Lethal Autonomous Weapons Systems - LAWS):** การที่เครื่องจักรตัดสินใจใช้กำลังร้ายแรงโดยมนุษย์ควบคุมน้อยเกินไป ก่อให้เกิดคำถามจริยธรรมใหญ่หลวงเรื่องความรับผิดชอบ การควบคุม และการปกป้องพลเรือน
    * **การลดอุปสรรคในการใช้กำลัง:** ความแม่นยำและความ "สะอาด" (ในทางทฤษฎี) ของอาวุธอาจทำให้ผู้นำทางการเมืองตัดสินใจใช้กำลังทางทหารได้ง่ายขึ้น
    5. **ค่าใช้จ่ายมหาศาล:** การวิจัย พัฒนา และจัดหาอาวุธเทคโนโลยีสูงเหล่านี้ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การศึกษา
    6. **ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย:** เทคโนโลยีบางส่วนอาจรั่วไหลหรือถูกถ่ายทอดไปยังรัฐหรือกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่างๆ

    **สรุป:**
    สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เป็นผู้นำหลักในเทคโนโลยีการทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีอิสราเอลและชาติยุโรปชั้นนำเป็นผู้เล่นสำคัญในด้านเฉพาะทาง แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ป้องปราม และ *มีศักยภาพ* ในการลดความเสียหายพลเรือนได้อย่างมาก แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ทั้งในด้านการแข่งขัน bewaffnung เสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ จริยธรรม (โดยเฉพาะเรื่องอาวุธอัตโนมัติ) และงบประมาณ การบริหารจัดการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทหารควบคู่ไปกับการทูตและการควบคุม bewaffnung จึงมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของโลกในระยะยาว
    ปัจจุบัน **เทคโนโลยีทางทหารที่ร้​ววและแม่นยำ (Rapid and Precise Military Technology)** เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศ ประเทศที่ถือว่าเป็นผู้นำในสาขานี้ ได้แก่: 1. **สหรัฐอเมริกา:** * **จุดแข็ง:** ลงทุนมหาศาลใน R&D, นำโด่งด้านอาวุธไฮเปอร์โซนิก (Hypersonic Weapons - เร็วเหนือเสียงมาก), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น THAAD, Aegis), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติในสงคราม, การรบด้วยเครือข่าย (Network-Centric Warfare), โดรนรบ (UCAVs) ขั้นสูง (เช่น MQ-9 Reaper, XQ-58 Valkyrie), และดาวเทียมลาดตระเวนแม่นยำสูง * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การพัฒนาอาวุธพลังงานนำทาง (Directed Energy Weapons) เช่น เลเซอร์, การบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการตัดสินใจทางการทหาร (JADC2 - Joint All-Domain Command and Control) 2. **จีน:** * **จุดแข็ง:** พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นการทุ่มงบประมาณและขโมยเทคโนโลยี, นำโด่งในด้านขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลาง (SRBMs/MRBMs) ที่แม่นยำ, อาวุธไฮเปอร์โซนิก (เช่น DF-ZF), ระบบต่อต้านดาวเทียม (ASAT) และต่อต้านขีปนาวุธ, โดรนรบจำนวนมากและก้าวหน้า (เช่น Wing Loong, CH-series), และกำลังพัฒนากองเรือทะเลหลวงที่ทันสมัย * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การทดสอบอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่สร้างความประหลาดใจให้วงการ, การขยายขีดความสามารถทางไซเบอร์และอวกาศ 3. **รัสเซีย:** * **จุดแข็ง:** แม้เศรษฐกิจมีข้อจำกัด แต่ยังคงเน้นการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่เพื่อรักษาความสมดุล, มีอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่ประจำการแล้ว (เช่น Kinzhal, Avangard), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น S-400, S-500), ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) ที่ทรงพลัง, และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลางแม่นยำ * **สถานะปัจจุบัน:** การรุกรานยูเครนส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการผลิตและอาจชะลอการพัฒนาบางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นการใช้ขีปนาวุธแม่นยำ (และความท้าทายของมัน) รวมถึงสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างเข้มข้น 4. **ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้า:** * **อิสราเอล:** เป็นสุดยอดด้านเทคโนโลยีโดรน (UAVs/UCAVs), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (Iron Dome, David's Sling, Arrow), สงครามไซเบอร์, ระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance) และเทคโนโลยีภาคพื้นดินแม่นยำ * **สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี (และสหภาพยุโรป):** มีความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะระบบอากาศยาน (รบกริปเพน, ราฟาเอล), เรือดำน้ำ, ระบบป้องกันขีปนาวุธ (ร่วมกับ NATO), เทคโนโลยีไซเบอร์ และกำลังร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบอากาศยานรุ่นต่อไป (FCAS), รถถังหลักใหม่ (MGCS) **ผลดีของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:** 1. **เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันประเทศ:** ป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำกว่าเดิม 2. **ลดความเสียหายพลเรือน (ในทางทฤษฎี):** ความแม่นยำสูง *ควรจะ* ลดการโจมตีพลาดเป้าและความสูญเสียของพลเรือนได้ 3. **เพิ่มขีดความสามารถในการป้องปราม:** การมีอาวุธที่รวดเร็ว แม่นยำ และยากต่อการสกัดกั้น (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) ทำให้ศัตรูต้องคิดหนักก่อนจะโจมตี 4. **เพิ่มประสิทธิภาพในการรบ:** ระบบ C4ISR และเครือข่ายการรบช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 5. **ลดความสูญเสียของทหาร:** การใช้โดรนหรือระบบอัตโนมัติสามารถลดการส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยตรง **ผลเสียและความท้าทายของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:** 1. **ความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางการ bewaffnung (Arms Race):** ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกระตุ้นให้ประเทศคู่แข่งเร่งพัฒนาตาม นำไปสู่การแข่งขันที่สิ้นเปลืองและเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศ 2. **ความท้าทายด้านเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Stability):** อาวุธที่รวดเร็วมาก (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) และระบบป้องกันขีปนาวุธ อาจลดเวลาในการตัดสินใจตอบโต้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่าเป็นการโจมตีครั้งแรก (First Strike) ในช่วงวิกฤต 3. **ความซับซ้อนของสงครามไซเบอร์และอวกาศ:** เทคโนโลยีทหารสมัยใหม่พึ่งพาระบบดิจิทัล ดาวเทียม และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการทำสงครามในอวกาศ 4. **ความท้าทายด้านจริยธรรมและกฎหมาย (โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ):** * **อาวุธอัตโนมัติร้ายแรง (Lethal Autonomous Weapons Systems - LAWS):** การที่เครื่องจักรตัดสินใจใช้กำลังร้ายแรงโดยมนุษย์ควบคุมน้อยเกินไป ก่อให้เกิดคำถามจริยธรรมใหญ่หลวงเรื่องความรับผิดชอบ การควบคุม และการปกป้องพลเรือน * **การลดอุปสรรคในการใช้กำลัง:** ความแม่นยำและความ "สะอาด" (ในทางทฤษฎี) ของอาวุธอาจทำให้ผู้นำทางการเมืองตัดสินใจใช้กำลังทางทหารได้ง่ายขึ้น 5. **ค่าใช้จ่ายมหาศาล:** การวิจัย พัฒนา และจัดหาอาวุธเทคโนโลยีสูงเหล่านี้ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การศึกษา 6. **ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย:** เทคโนโลยีบางส่วนอาจรั่วไหลหรือถูกถ่ายทอดไปยังรัฐหรือกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่างๆ **สรุป:** สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เป็นผู้นำหลักในเทคโนโลยีการทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีอิสราเอลและชาติยุโรปชั้นนำเป็นผู้เล่นสำคัญในด้านเฉพาะทาง แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ป้องปราม และ *มีศักยภาพ* ในการลดความเสียหายพลเรือนได้อย่างมาก แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ทั้งในด้านการแข่งขัน bewaffnung เสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ จริยธรรม (โดยเฉพาะเรื่องอาวุธอัตโนมัติ) และงบประมาณ การบริหารจัดการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทหารควบคู่ไปกับการทูตและการควบคุม bewaffnung จึงมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของโลกในระยะยาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 453 มุมมอง 0 รีวิว
  • Aujourd’hui Emmanuel Macron a eu un entretien téléphonique avec la Première Ministre thaïlandaise Paetongtarn Shinawatra. Au cours de leur conversation, cette dernière aurait exprimé son souhait que la France contribue à créer une atmosphère propice à la reprise des négociations bilatérales sur les questions frontalières entre la Thaïlande et le Cambodge, selon Thai Enquirer.
    Emmanuel Macron aurait accepté de discuter de la question avec le Cambodge, selon le porte-parole du gouvernement thaïlandais Jirayu Huangsap.
    HUN Manet, le Premier Ministre cambodgien, lors de sa viste récente à Nice, aurait également mentionné à Emmanuel Macron cette épineuse question liée au conflit frontalier avec la Thaïlande. Ce dernier a répondu que la France pourrait jouer un rôle constructif.
    La délimitation de la frontière terrestre entre le Cambodge et la Thaïlande a été actée par la Convention Franco-siamoise du 13 Février 1904 et du traité du 23 Mars 1907 signé entre la France et le Siam avec la publication des cartes à l’échelle 1:200 000 en 1907 et 1908. Il y aurait eu 73-74 bornes érigées le long de cette frontière dont certaines n’ont pas été retrouvées.
    Depuis ce traité le problème de la délimitation et de la démarcation effectives de la frontière entre ces deux pays reste entier.
    Dans ce contexte, le rôle de la France est crucial pour amener les deux parties à négocier sur la base de ce Traité et des cartes déjà publiées tout en apportant éventuellement une expertise technique complémentaire.
    C’est la responsabilité morale de la France vis à vis d’un passé commun.
    Aujourd’hui Emmanuel Macron a eu un entretien téléphonique avec la Première Ministre thaïlandaise Paetongtarn Shinawatra. Au cours de leur conversation, cette dernière aurait exprimé son souhait que la France contribue à créer une atmosphère propice à la reprise des négociations bilatérales sur les questions frontalières entre la Thaïlande et le Cambodge, selon Thai Enquirer. Emmanuel Macron aurait accepté de discuter de la question avec le Cambodge, selon le porte-parole du gouvernement thaïlandais Jirayu Huangsap. HUN Manet, le Premier Ministre cambodgien, lors de sa viste récente à Nice, aurait également mentionné à Emmanuel Macron cette épineuse question liée au conflit frontalier avec la Thaïlande. Ce dernier a répondu que la France pourrait jouer un rôle constructif. La délimitation de la frontière terrestre entre le Cambodge et la Thaïlande a été actée par la Convention Franco-siamoise du 13 Février 1904 et du traité du 23 Mars 1907 signé entre la France et le Siam avec la publication des cartes à l’échelle 1:200 000 en 1907 et 1908. Il y aurait eu 73-74 bornes érigées le long de cette frontière dont certaines n’ont pas été retrouvées. Depuis ce traité le problème de la délimitation et de la démarcation effectives de la frontière entre ces deux pays reste entier. Dans ce contexte, le rôle de la France est crucial pour amener les deux parties à négocier sur la base de ce Traité et des cartes déjà publiées tout en apportant éventuellement une expertise technique complémentaire. C’est la responsabilité morale de la France vis à vis d’un passé commun.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เริ่มจาก Dylan ที่ตอนอายุแค่ 10–11 ก็เล่นแฮกโค้ดเว็บเรียนออนไลน์ในโรงเรียน จนสามารถ “ปลดล็อกเกมบนคอมพิวเตอร์เรียน” ได้ — แม้จะโดนตักเตือน แต่ก็เป็นจุดเริ่มของความสนใจด้านการหาช่องโหว่

    พอช่วงโควิด Dylan เริ่ม “เลี่ยงข้อจำกัดบนเครือข่ายนักเรียน” และมาสู่จุดเปลี่ยนตอนเจอช่องโหว่ใน Microsoft Teams ที่สามารถ takeover กลุ่มใดก็ได้ → เขาเลือกไม่ใช้ประโยชน์เอง แต่แจ้งไปยัง MSRC แบบ responsible disclosure

    ผลคือ:
    - เขาได้เป็นนักวิจัย bug bounty อย่างเป็นทางการตอนอายุ 13
    - Microsoft ต้องปรับข้อกำหนดให้เปิดรับเด็กอายุ 13 ขึ้นไป
    - และเขายังติดโผ “MSRC Most Valuable Researcher” ในปี 2022 และ 2024 ด้วย!

    ช่วงซัมเมอร์ล่าสุด (2024) Dylan ส่งรายงานช่องโหว่ให้ Microsoft ถึง 20 ฉบับในเวลาไม่กี่เดือน (จากก่อนหน้าที่เคยส่งแค่ 6) → ยังคว้าอันดับ 3 ในงานแข่งขัน Zero Day Quest ที่ Microsoft จัดใน Redmond ได้อีกด้วย

    แม้วันนี้เขายังเป็นเด็กมัธยม แต่ก็เข้าใจหลักความรับผิดชอบของสาย white-hat อย่างเต็มตัว และยังมองว่า security เป็น “แค่กิจกรรมสนุก ๆ” ที่อยากทำควบคู่กับวิทยาศาสตร์และพลเมืองศึกษาด้วยซ้ำ

    Dylan เริ่มต้นศึกษาเขียนโค้ดตั้งแต่เด็กก่อนวัยรุ่น → ด้วย Scratch, HTML ฯลฯ

    พบช่องโหว่ takeover group บน Microsoft Teams และเลือก responsible disclosure

    กลายเป็นเหตุผลที่ Microsoft แก้เงื่อนไข Bug Bounty ให้เด็กอายุ 13 เข้าร่วมได้

    ได้รับรางวัล “Most Valuable Researcher” จาก Microsoft MSRC ปี 2022 และ 2024

    ส่งรายงานช่องโหว่ 20 ฉบับในฤดูร้อนเดียว (2024)

    คว้าอันดับ 3 ในการแข่งขัน Zero Day Quest จัดโดย Microsoft เดือนเมษายน 2025

    แม้จะยังเป็นนักเรียนมัธยม แต่ได้รับความเคารพในวงการและสร้างแรงบันดาลใจวงกว้าง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/microsofts-youngest-security-researcher-started-collaboration-with-the-company-at-just-13-high-school-junior-filed-20-vulnerability-reports-last-summer-named-msrc-most-valuable-researcher-twice
    เรื่องนี้เริ่มจาก Dylan ที่ตอนอายุแค่ 10–11 ก็เล่นแฮกโค้ดเว็บเรียนออนไลน์ในโรงเรียน จนสามารถ “ปลดล็อกเกมบนคอมพิวเตอร์เรียน” ได้ — แม้จะโดนตักเตือน แต่ก็เป็นจุดเริ่มของความสนใจด้านการหาช่องโหว่ พอช่วงโควิด Dylan เริ่ม “เลี่ยงข้อจำกัดบนเครือข่ายนักเรียน” และมาสู่จุดเปลี่ยนตอนเจอช่องโหว่ใน Microsoft Teams ที่สามารถ takeover กลุ่มใดก็ได้ → เขาเลือกไม่ใช้ประโยชน์เอง แต่แจ้งไปยัง MSRC แบบ responsible disclosure ผลคือ: - เขาได้เป็นนักวิจัย bug bounty อย่างเป็นทางการตอนอายุ 13 - Microsoft ต้องปรับข้อกำหนดให้เปิดรับเด็กอายุ 13 ขึ้นไป - และเขายังติดโผ “MSRC Most Valuable Researcher” ในปี 2022 และ 2024 ด้วย! ช่วงซัมเมอร์ล่าสุด (2024) Dylan ส่งรายงานช่องโหว่ให้ Microsoft ถึง 20 ฉบับในเวลาไม่กี่เดือน (จากก่อนหน้าที่เคยส่งแค่ 6) → ยังคว้าอันดับ 3 ในงานแข่งขัน Zero Day Quest ที่ Microsoft จัดใน Redmond ได้อีกด้วย แม้วันนี้เขายังเป็นเด็กมัธยม แต่ก็เข้าใจหลักความรับผิดชอบของสาย white-hat อย่างเต็มตัว และยังมองว่า security เป็น “แค่กิจกรรมสนุก ๆ” ที่อยากทำควบคู่กับวิทยาศาสตร์และพลเมืองศึกษาด้วยซ้ำ ✅ Dylan เริ่มต้นศึกษาเขียนโค้ดตั้งแต่เด็กก่อนวัยรุ่น → ด้วย Scratch, HTML ฯลฯ ✅ พบช่องโหว่ takeover group บน Microsoft Teams และเลือก responsible disclosure ✅ กลายเป็นเหตุผลที่ Microsoft แก้เงื่อนไข Bug Bounty ให้เด็กอายุ 13 เข้าร่วมได้ ✅ ได้รับรางวัล “Most Valuable Researcher” จาก Microsoft MSRC ปี 2022 และ 2024 ✅ ส่งรายงานช่องโหว่ 20 ฉบับในฤดูร้อนเดียว (2024) ✅ คว้าอันดับ 3 ในการแข่งขัน Zero Day Quest จัดโดย Microsoft เดือนเมษายน 2025 ✅ แม้จะยังเป็นนักเรียนมัธยม แต่ได้รับความเคารพในวงการและสร้างแรงบันดาลใจวงกว้าง https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/microsofts-youngest-security-researcher-started-collaboration-with-the-company-at-just-13-high-school-junior-filed-20-vulnerability-reports-last-summer-named-msrc-most-valuable-researcher-twice
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • WinRAR คือซอฟต์แวร์ยอดนิยมที่เอาไว้แตกไฟล์ .zip .rar .7z ฯลฯ ที่คนใช้กันมานานเกิน 20 ปีแล้ว — แต่ล่าสุดกลับกลายเป็นจุดอ่อนให้คนร้ายใช้ “หลอกเราให้เปิดไฟล์” ที่เหมือนจะไม่อันตราย แต่จริง ๆ แล้ว มันสั่งให้ Windows วางไฟล์ไว้ในโฟลเดอร์ Startup ได้เลย

    จุดอ่อนนี้ชื่อว่า CVE-2025-6218 — เกิดจากการที่ WinRAR ไม่ป้องกัน “การใส่พาธแอบแฝง” ไว้ในไฟล์ archive → พอเรากดแตกไฟล์ มันจะเขียนไฟล์ไปวางไว้ที่อื่นนอกโฟลเดอร์เป้าหมาย เช่น:

    C:\Users\Username\AppData\Roaming\Microsoft\Windows\Start Menu\Programs\Startup

    ซึ่งเป็นโฟลเดอร์ที่ใช้เรียกไฟล์ “ให้รันอัตโนมัติเมื่อเปิดเครื่อง” — ถ้ามี .exe อยู่ในนั้น = ติดไวรัสทันทีหลัง reboot!

    ข่าวดีคือ RARLAB ออกเวอร์ชัน 7.12 มาแก้แล้ว พร้อมอุดช่องโหว่นี้ + ช่อง HTML Injection ในระบบ “สร้างรายงาน (Generate Report)” ด้วย

    ช่องโหว่ CVE-2025-6218 เป็นแบบ path traversal  
    • คนร้ายแอบใส่พาธหลอกไว้ในไฟล์ .rar → เขียนไฟล์ไปยังโฟลเดอร์อ่อนไหว  
    • เช่น โฟลเดอร์ Startup ที่ทำให้มัลแวร์รันเองเมื่อเปิดเครื่อง

    เกิดเฉพาะบน WinRAR รุ่น Windows เท่านั้น (ไม่กระทบ Linux, Android)

    RARLAB อัปเดต WinRAR เวอร์ชัน 7.12 แก้เรียบร้อยแล้ว  
    • ปิดช่องโหว่ path traversal  
    • ป้องกัน HTML injection ในรายงาน HTML ที่มีชื่อไฟล์ไม่ปลอดภัย  
    • เพิ่มฟีเจอร์เล็ก ๆ เช่น ตรวจ recovery volume, บันทึก nanosecond timestamp บน Unix

    ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัย “whs3-detonator” ร่วมกับ Zero Day Initiative ของ Trend Micro

    ยังไม่มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกโจมตีจริงในวงกว้าง (แต่ควรอัปเดตทันทีเพื่อความปลอดภัย)

    https://www.techradar.com/pro/security/this-popular-windows-software-used-by-millions-has-a-serious-security-vulnerability-heres-what-you-need-to-know
    WinRAR คือซอฟต์แวร์ยอดนิยมที่เอาไว้แตกไฟล์ .zip .rar .7z ฯลฯ ที่คนใช้กันมานานเกิน 20 ปีแล้ว — แต่ล่าสุดกลับกลายเป็นจุดอ่อนให้คนร้ายใช้ “หลอกเราให้เปิดไฟล์” ที่เหมือนจะไม่อันตราย แต่จริง ๆ แล้ว มันสั่งให้ Windows วางไฟล์ไว้ในโฟลเดอร์ Startup ได้เลย จุดอ่อนนี้ชื่อว่า CVE-2025-6218 — เกิดจากการที่ WinRAR ไม่ป้องกัน “การใส่พาธแอบแฝง” ไว้ในไฟล์ archive → พอเรากดแตกไฟล์ มันจะเขียนไฟล์ไปวางไว้ที่อื่นนอกโฟลเดอร์เป้าหมาย เช่น: C:\Users\Username\AppData\Roaming\Microsoft\Windows\Start Menu\Programs\Startup ซึ่งเป็นโฟลเดอร์ที่ใช้เรียกไฟล์ “ให้รันอัตโนมัติเมื่อเปิดเครื่อง” — ถ้ามี .exe อยู่ในนั้น = ติดไวรัสทันทีหลัง reboot! ข่าวดีคือ RARLAB ออกเวอร์ชัน 7.12 มาแก้แล้ว พร้อมอุดช่องโหว่นี้ + ช่อง HTML Injection ในระบบ “สร้างรายงาน (Generate Report)” ด้วย ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-6218 เป็นแบบ path traversal   • คนร้ายแอบใส่พาธหลอกไว้ในไฟล์ .rar → เขียนไฟล์ไปยังโฟลเดอร์อ่อนไหว   • เช่น โฟลเดอร์ Startup ที่ทำให้มัลแวร์รันเองเมื่อเปิดเครื่อง ✅ เกิดเฉพาะบน WinRAR รุ่น Windows เท่านั้น (ไม่กระทบ Linux, Android) ✅ RARLAB อัปเดต WinRAR เวอร์ชัน 7.12 แก้เรียบร้อยแล้ว   • ปิดช่องโหว่ path traversal   • ป้องกัน HTML injection ในรายงาน HTML ที่มีชื่อไฟล์ไม่ปลอดภัย   • เพิ่มฟีเจอร์เล็ก ๆ เช่น ตรวจ recovery volume, บันทึก nanosecond timestamp บน Unix ✅ ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัย “whs3-detonator” ร่วมกับ Zero Day Initiative ของ Trend Micro ✅ ยังไม่มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกโจมตีจริงในวงกว้าง (แต่ควรอัปเดตทันทีเพื่อความปลอดภัย) https://www.techradar.com/pro/security/this-popular-windows-software-used-by-millions-has-a-serious-security-vulnerability-heres-what-you-need-to-know
    WWW.TECHRADAR.COM
    Bug in file archiving tool WinRAR let crafted archives write files outside their folder during extraction
    Flaw allows hackers access to system locations, such as the Windows Startup folder
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CVE” ย่อมาจาก Common Vulnerabilities and Exposures เป็นฐานข้อมูลกลางที่ใช้ระบุชื่อช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ เช่น CVE-2023-12345 เป็นต้น ทุกทีมความปลอดภัยทั่วโลกใช้มันในการแพตช์ ประสานงาน จัดการความเสี่ยง ฯลฯ

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ MITRE (ผู้ดูแล CVE) ส่งจดหมายแจ้งว่าจะหมดสัญญากับรัฐบาลกลางในเดือนเมษายน 2025 และหากไม่มีการต่อสัญญา จะส่งผลให้ระบบแจ้งช่องโหว่ทั่วโลกหยุดชะงัก → โชคดีที่ CISA ขยายสัญญาอีก 11 เดือนทัน

    แม้ระเบิดจะยังไม่ลง แต่เหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายรู้ว่า “ควรเริ่มหาแหล่งข้อมูลช่องโหว่สำรอง” เพราะ:
    - CVE มี backlog เพียบ (หลายช่องโหว่ยังไม่มีรหัส)
    - ช่องโหว่จำนวนมากถูกใช้โจมตีก่อนจะถูกใส่ใน CVE
    - การอัปเดตจาก NVD (หน่วยงานที่ใส่รายละเอียดให้ CVE) ช้ากว่าความเป็นจริงมาก

    ยุโรปจึงเร่งเปิดตัว EU Vulnerability Database (EUVD) เพื่อสร้างระบบแจ้งเตือนในภูมิภาคของตนเอง และหลายองค์กรเริ่มหันไปใช้บริการจากผู้ให้ข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ เช่น Flashpoint, VulnCheck, GitHub Advisory, HackerOne, BitSight เป็นต้น

    CVE ยังเป็นมาตรฐานกลางที่ใช้ระบุช่องโหว่ในระบบทั่วโลก  
    • เช่น CVE-2024-12345  
    • ทุกซอฟต์แวร์และเครื่องมือ patch management พึ่งพามัน

    เมื่อเมษายน 2025 CVE เกือบหยุดทำงานเพราะหมดสัญญา → CISA ต่ออายุอีก 11 เดือนทันเวลา
    • ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงด้าน “ความพึ่งพิงมากเกินไป”

    ปัญหาที่ CVE เจอ:  
    • Backlog ช่องโหว่ที่รอยืนยันจาก NVD จำนวนมาก  
    • ความล่าช้าในการใส่รายละเอียด CVSS, CWE, CPE  
    • ช่องโหว่บางอันถูกใช้โจมตีก่อนจะมี CVE ID

    ข้อมูลจาก Google GTIG ระบุว่า มีช่องโหว่ zero-day ถึง 75 รายการในปี 2024  
    • ส่วนใหญ่ถูกใช้โจมตีก่อนจะถูกเผยแพร่ใน CVE

    ยุโรปจึงเปิดตัว European Vulnerability Database (EUVD) ในปี 2025  
    • ดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง  
    • มีหมวดแสดง critical, exploited, และช่องโหว่ที่ประสานในระดับ EU  
    • เน้นลดการพึ่ง CVE และสร้างความเป็นอิสระระดับภูมิภาค

    ผู้ให้บริการอื่นที่องค์กรควรพิจารณา:  
    • GitHub Advisory Database  
    • Flashpoint, VulnCheck, BitSight  
    • HackerOne / Bugcrowd  
    • ฐานข้อมูลระดับชาติ เช่น JPCERT, CNNVD, AusCERT  
    • CISA KEV (Known Exploited Vulnerabilities)

    แนวโน้ม: ต้องพึ่ง “Threat-informed prioritization” มากกว่ารอ CVE อย่างเดียว  
    • ใช้ปัจจัยเช่น exploit availability, asset exposure, ransomware targeting ในการตัดสินใจ patch

    https://www.csoonline.com/article/4008708/beyond-cve-the-hunt-for-other-sources-of-vulnerability-intel.html
    “CVE” ย่อมาจาก Common Vulnerabilities and Exposures เป็นฐานข้อมูลกลางที่ใช้ระบุชื่อช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ เช่น CVE-2023-12345 เป็นต้น ทุกทีมความปลอดภัยทั่วโลกใช้มันในการแพตช์ ประสานงาน จัดการความเสี่ยง ฯลฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ MITRE (ผู้ดูแล CVE) ส่งจดหมายแจ้งว่าจะหมดสัญญากับรัฐบาลกลางในเดือนเมษายน 2025 และหากไม่มีการต่อสัญญา จะส่งผลให้ระบบแจ้งช่องโหว่ทั่วโลกหยุดชะงัก → โชคดีที่ CISA ขยายสัญญาอีก 11 เดือนทัน แม้ระเบิดจะยังไม่ลง แต่เหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายรู้ว่า “ควรเริ่มหาแหล่งข้อมูลช่องโหว่สำรอง” เพราะ: - CVE มี backlog เพียบ (หลายช่องโหว่ยังไม่มีรหัส) - ช่องโหว่จำนวนมากถูกใช้โจมตีก่อนจะถูกใส่ใน CVE - การอัปเดตจาก NVD (หน่วยงานที่ใส่รายละเอียดให้ CVE) ช้ากว่าความเป็นจริงมาก ยุโรปจึงเร่งเปิดตัว EU Vulnerability Database (EUVD) เพื่อสร้างระบบแจ้งเตือนในภูมิภาคของตนเอง และหลายองค์กรเริ่มหันไปใช้บริการจากผู้ให้ข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ เช่น Flashpoint, VulnCheck, GitHub Advisory, HackerOne, BitSight เป็นต้น ✅ CVE ยังเป็นมาตรฐานกลางที่ใช้ระบุช่องโหว่ในระบบทั่วโลก   • เช่น CVE-2024-12345   • ทุกซอฟต์แวร์และเครื่องมือ patch management พึ่งพามัน ✅ เมื่อเมษายน 2025 CVE เกือบหยุดทำงานเพราะหมดสัญญา → CISA ต่ออายุอีก 11 เดือนทันเวลา • ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงด้าน “ความพึ่งพิงมากเกินไป” ✅ ปัญหาที่ CVE เจอ:   • Backlog ช่องโหว่ที่รอยืนยันจาก NVD จำนวนมาก   • ความล่าช้าในการใส่รายละเอียด CVSS, CWE, CPE   • ช่องโหว่บางอันถูกใช้โจมตีก่อนจะมี CVE ID ✅ ข้อมูลจาก Google GTIG ระบุว่า มีช่องโหว่ zero-day ถึง 75 รายการในปี 2024   • ส่วนใหญ่ถูกใช้โจมตีก่อนจะถูกเผยแพร่ใน CVE ✅ ยุโรปจึงเปิดตัว European Vulnerability Database (EUVD) ในปี 2025   • ดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง   • มีหมวดแสดง critical, exploited, และช่องโหว่ที่ประสานในระดับ EU   • เน้นลดการพึ่ง CVE และสร้างความเป็นอิสระระดับภูมิภาค ✅ ผู้ให้บริการอื่นที่องค์กรควรพิจารณา:   • GitHub Advisory Database   • Flashpoint, VulnCheck, BitSight   • HackerOne / Bugcrowd   • ฐานข้อมูลระดับชาติ เช่น JPCERT, CNNVD, AusCERT   • CISA KEV (Known Exploited Vulnerabilities) ✅ แนวโน้ม: ต้องพึ่ง “Threat-informed prioritization” มากกว่ารอ CVE อย่างเดียว   • ใช้ปัจจัยเช่น exploit availability, asset exposure, ransomware targeting ในการตัดสินใจ patch https://www.csoonline.com/article/4008708/beyond-cve-the-hunt-for-other-sources-of-vulnerability-intel.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Beyond CVE: The hunt for other sources of vulnerability intel
    Were the CVE program to be discontinued, security teams would have a hard time finding one resource that would function with the same impact across the board. Here are current issues of relying on CVE and some existing options to look into.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น) มีดังนี้:

    1. **เป็นหัวหน้ารัฐบาล:**
    * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน
    * กำหนดนโยบายของคณะรัฐมนตรี (Cabinet) และรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายนั้น
    * คุมทิศทางและประสานงานการทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ

    2. **คัดเลือกและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี:**
    * เป็นผู้เสนอชื่อบุคคลเพื่อพระมหากษัตริย์ (ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) หรือประมุขแห่งรัฐ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
    * มีอำนาจปรับเปลี่ยน (reshuffle) คณะรัฐมนตรี โดยการแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรี

    3. **เป็นผู้นำในรัฐสภา:**
    * แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
    * ตอบคำถามและชี้แจงนโยบายในการอภิปรายทั่วไปในรัฐสภา (เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ)
    * เสนอร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลต่อรัฐสภา

    4. **เป็นโฆษกหลักของรัฐบาล:**
    * ชี้แจงนโยบายและสถานการณ์สำคัญของประเทศต่อสาธารณชน
    * เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการแถลงข่าวหรือสื่อสารในประเด็นเร่งด่วนหรือสำคัญระดับชาติ

    5. **เป็นผู้แทนประเทศในเวทีระหว่างประเทศ:**
    * เป็นตัวแทนสูงสุดของรัฐบาลในการเยือนต่างประเทศและต้อนรับผู้นำต่างประเทศ
    * เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศ (เช่น การประชุมอาเซียน สหประชาชาติ G20)

    6. **เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี:**
    * เรียกประชุมและเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี
    * นำเสนอวาระการประชุมและชี้ขาดในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีความเห็นไม่ตรงกัน

    7. **รับผิดชอบต่อความมั่นคงของชาติ:**
    * เป็นประธานในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง (เช่น คณะกรรมการนโยบายต่างประเทศ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ - ในบางประเทศ)
    * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในยามสงบ (ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ) หรือประสานงานกับฝ่ายทหาร (ในประเทศที่ประมุขแห่งรัฐเป็นผู้บัญชาการสูงสุด เช่น ไทย)

    8. **การใช้อำนาจตามกฎหมาย:**
    * ลงนามในพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และเอกสารราชการสำคัญต่างๆ ร่วมกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ
    * ใช้อำนาจอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด

    9. **การแก้ไขวิกฤต:**
    * เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจและแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือภัยธรรมชาติ

    10. **การรับผิดชอบทางการเมือง:**
    * ต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาและประชาชน หากรัฐบาลบริหารงานผิดพลาดหรือนโยบายล้มเหลว นายกรัฐมนตรีมักจะเป็นผู้ที่ต้องลาออกหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนใคร

    **หมายเหตุ:**
    * รายละเอียดหน้าที่และอำนาจอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและประเพณีทางการเมืองของประเทศนั้นๆ
    * ในประเทศไทย หน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2560) โดยเฉพาะในมาตรา 171, 172, 173 และหมวด 6 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี
    * นายกรัฐมนตรีต้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย

    สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญที่สุดในฝ่ายบริหาร ในการกำหนดทิศทางประเทศ นำการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ของชาติ
    หน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น) มีดังนี้: 1. **เป็นหัวหน้ารัฐบาล:** * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน * กำหนดนโยบายของคณะรัฐมนตรี (Cabinet) และรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายนั้น * คุมทิศทางและประสานงานการทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ 2. **คัดเลือกและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี:** * เป็นผู้เสนอชื่อบุคคลเพื่อพระมหากษัตริย์ (ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) หรือประมุขแห่งรัฐ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี * มีอำนาจปรับเปลี่ยน (reshuffle) คณะรัฐมนตรี โดยการแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรี 3. **เป็นผู้นำในรัฐสภา:** * แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา * ตอบคำถามและชี้แจงนโยบายในการอภิปรายทั่วไปในรัฐสภา (เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ) * เสนอร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลต่อรัฐสภา 4. **เป็นโฆษกหลักของรัฐบาล:** * ชี้แจงนโยบายและสถานการณ์สำคัญของประเทศต่อสาธารณชน * เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการแถลงข่าวหรือสื่อสารในประเด็นเร่งด่วนหรือสำคัญระดับชาติ 5. **เป็นผู้แทนประเทศในเวทีระหว่างประเทศ:** * เป็นตัวแทนสูงสุดของรัฐบาลในการเยือนต่างประเทศและต้อนรับผู้นำต่างประเทศ * เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศ (เช่น การประชุมอาเซียน สหประชาชาติ G20) 6. **เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี:** * เรียกประชุมและเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี * นำเสนอวาระการประชุมและชี้ขาดในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีความเห็นไม่ตรงกัน 7. **รับผิดชอบต่อความมั่นคงของชาติ:** * เป็นประธานในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง (เช่น คณะกรรมการนโยบายต่างประเทศ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ - ในบางประเทศ) * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในยามสงบ (ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ) หรือประสานงานกับฝ่ายทหาร (ในประเทศที่ประมุขแห่งรัฐเป็นผู้บัญชาการสูงสุด เช่น ไทย) 8. **การใช้อำนาจตามกฎหมาย:** * ลงนามในพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และเอกสารราชการสำคัญต่างๆ ร่วมกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ * ใช้อำนาจอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด 9. **การแก้ไขวิกฤต:** * เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจและแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือภัยธรรมชาติ 10. **การรับผิดชอบทางการเมือง:** * ต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาและประชาชน หากรัฐบาลบริหารงานผิดพลาดหรือนโยบายล้มเหลว นายกรัฐมนตรีมักจะเป็นผู้ที่ต้องลาออกหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนใคร **หมายเหตุ:** * รายละเอียดหน้าที่และอำนาจอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและประเพณีทางการเมืองของประเทศนั้นๆ * ในประเทศไทย หน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2560) โดยเฉพาะในมาตรา 171, 172, 173 และหมวด 6 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี * นายกรัฐมนตรีต้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญที่สุดในฝ่ายบริหาร ในการกำหนดทิศทางประเทศ นำการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ของชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 364 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องดื่มที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲 ทุกแก้วเราชงด้วยใจ มาดื่มด่ำความสุขนี้กับเรากันนะคะ

    𝐖𝐞 𝐩𝐨𝐮𝐫 𝐨𝐮𝐫 𝐡𝐞𝐚𝐫𝐭 𝐢𝐧𝐭𝐨 𝐞𝐯𝐞𝐫𝐲 𝐜𝐮𝐩, 𝐬𝐨 𝐲𝐨𝐮 𝐜𝐚𝐧 𝐬𝐚𝐯𝐨𝐫 𝐧𝐨𝐭 𝐣𝐮𝐬𝐭 𝐭𝐡𝐞 𝐟𝐥𝐚𝐯𝐨𝐫, 𝐛𝐮𝐭 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐞𝐚𝐜𝐞 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐜𝐨𝐦𝐞𝐬 𝐰𝐢𝐭𝐡 𝐢𝐭 — 𝐬𝐮𝐫𝐫𝐨𝐮𝐧𝐝𝐞𝐝 𝐛𝐲 𝐚 𝐯𝐢𝐞𝐰 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐧𝐞𝐞𝐝𝐬 𝐧𝐨 𝐟𝐢𝐥𝐭𝐞𝐫.

    ขอบคุณรูปต้นฉบับสวยๆ จาก FB: พักก๊อนน

    ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover #sky
    เครื่องดื่มที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲 ⛱️ ทุกแก้วเราชงด้วยใจ มาดื่มด่ำความสุขนี้กับเรากันนะคะ 𝐖𝐞 𝐩𝐨𝐮𝐫 𝐨𝐮𝐫 𝐡𝐞𝐚𝐫𝐭 𝐢𝐧𝐭𝐨 𝐞𝐯𝐞𝐫𝐲 𝐜𝐮𝐩, 𝐬𝐨 𝐲𝐨𝐮 𝐜𝐚𝐧 𝐬𝐚𝐯𝐨𝐫 𝐧𝐨𝐭 𝐣𝐮𝐬𝐭 𝐭𝐡𝐞 𝐟𝐥𝐚𝐯𝐨𝐫, 𝐛𝐮𝐭 𝐭𝐡𝐞 𝐩𝐞𝐚𝐜𝐞 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐜𝐨𝐦𝐞𝐬 𝐰𝐢𝐭𝐡 𝐢𝐭 — 𝐬𝐮𝐫𝐫𝐨𝐮𝐧𝐝𝐞𝐝 𝐛𝐲 𝐚 𝐯𝐢𝐞𝐰 𝐭𝐡𝐚𝐭 𝐧𝐞𝐞𝐝𝐬 𝐧𝐨 𝐟𝐢𝐥𝐭𝐞𝐫. ขอบคุณรูปต้นฉบับสวยๆ จาก FB: พักก๊อนน🙏 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover #sky
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติเวลาเราดาวน์โหลดไฟล์บีบอัด (เช่น .RAR) แล้วแตกไฟล์ด้วย WinRAR — เราก็มักไม่ทันระวังว่าไฟล์ด้านในมันจะทำอะไรได้บ้าง

    แต่ล่าสุดนักวิจัยจากโครงการ Zero Day Initiative ของ Trend Micro เผยว่า WinRAR มีช่องโหว่ Directory Traversal (รหัส CVE-2025-6218) ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์ใส่ “เส้นทางหลอก” ในไฟล์ RAR เพื่อหลอกให้ WinRAR แตกไฟล์ออกไปอยู่นอกโฟลเดอร์ที่ควรอยู่ เช่น ไปอยู่ในโฟลเดอร์ระบบ หรือวาง .exe ไว้ที่ Desktop เลยก็ยังได้!

    เมื่อเหยื่อคลิกแตกไฟล์และเปิดเนื้อหา…ก็เท่ากับเชิญแฮกเกอร์เข้าบ้านอย่างเป็นทางการ

    ช่องโหว่นี้ได้คะแนนอันตราย 7.8/10 บนระบบ CVSS ซึ่งถือว่าสูงมาก โดยเฉพาะเพราะ WinRAR มีผู้ใช้กว่า 500 ล้านคนทั่วโลก

    ข่าวดีคือทีม RARLAB ได้ปล่อยแพตช์แล้วใน WinRAR 7.12 Beta 1 — แนะนำให้รีบอัปเดตทันที เพราะเวอร์ชันเดิม (7.11 และเก่ากว่านั้น) ยังอันตรายอยู่

    ช่องโหว่ CVE-2025-6218 เปิดทางให้โจมตีผ่านไฟล์ RAR ที่มี path หลอก  
    • หลอก WinRAR แตกไฟล์ไปยังไดเรกทอรีผิด เช่น system32 หรือ desktop  
    • แฮกเกอร์สามารถฝังสคริปต์อันตรายและสั่งรันได้เมื่อเหยื่อเปิด

    พบโดยนักวิจัยอิสระชื่อ ‘whs3-detonator’ ภายใต้โครงการ Zero Day Initiative

    ช่องโหว่นี้ได้คะแนน 7.8/10 บน CVSS → เสี่ยงต่อข้อมูลหลุด, เปลี่ยนแปลงไฟล์ระบบ หรือทำให้เครื่องใช้การไม่ได้

    อัปเดต WinRAR 7.12 Beta 1 แก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว  
    • แพตช์ครอบคลุม: RAR บน Windows, UnRAR, portable UnRAR, และ UnRAR.dll  
    • ไม่กระทบ: RAR บน Unix, Android, และซอร์สโค้ด UnRAR รุ่น Unix

    ช่องโหว่นี้คล้ายกับเหตุการณ์ในเดือนเมษายน ที่ WinRAR เคยโดนโจมตีแบบหลบการเตือนของ Windows (MotW)
    • บ่งชี้ว่าเครื่องมือบีบอัดไฟล์กลายเป็นช่องทางโจมตีใหม่ที่คนมองข้าม

    https://www.tomshardware.com/software/winrar-exploit-enables-attackers-to-run-malicious-code-on-your-pc-critical-vulnerability-patched-in-latest-beta-update
    ปกติเวลาเราดาวน์โหลดไฟล์บีบอัด (เช่น .RAR) แล้วแตกไฟล์ด้วย WinRAR — เราก็มักไม่ทันระวังว่าไฟล์ด้านในมันจะทำอะไรได้บ้าง แต่ล่าสุดนักวิจัยจากโครงการ Zero Day Initiative ของ Trend Micro เผยว่า WinRAR มีช่องโหว่ Directory Traversal (รหัส CVE-2025-6218) ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์ใส่ “เส้นทางหลอก” ในไฟล์ RAR เพื่อหลอกให้ WinRAR แตกไฟล์ออกไปอยู่นอกโฟลเดอร์ที่ควรอยู่ เช่น ไปอยู่ในโฟลเดอร์ระบบ หรือวาง .exe ไว้ที่ Desktop เลยก็ยังได้! เมื่อเหยื่อคลิกแตกไฟล์และเปิดเนื้อหา…ก็เท่ากับเชิญแฮกเกอร์เข้าบ้านอย่างเป็นทางการ ช่องโหว่นี้ได้คะแนนอันตราย 7.8/10 บนระบบ CVSS ซึ่งถือว่าสูงมาก โดยเฉพาะเพราะ WinRAR มีผู้ใช้กว่า 500 ล้านคนทั่วโลก ข่าวดีคือทีม RARLAB ได้ปล่อยแพตช์แล้วใน WinRAR 7.12 Beta 1 — แนะนำให้รีบอัปเดตทันที เพราะเวอร์ชันเดิม (7.11 และเก่ากว่านั้น) ยังอันตรายอยู่ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-6218 เปิดทางให้โจมตีผ่านไฟล์ RAR ที่มี path หลอก   • หลอก WinRAR แตกไฟล์ไปยังไดเรกทอรีผิด เช่น system32 หรือ desktop   • แฮกเกอร์สามารถฝังสคริปต์อันตรายและสั่งรันได้เมื่อเหยื่อเปิด ✅ พบโดยนักวิจัยอิสระชื่อ ‘whs3-detonator’ ภายใต้โครงการ Zero Day Initiative ✅ ช่องโหว่นี้ได้คะแนน 7.8/10 บน CVSS → เสี่ยงต่อข้อมูลหลุด, เปลี่ยนแปลงไฟล์ระบบ หรือทำให้เครื่องใช้การไม่ได้ ✅ อัปเดต WinRAR 7.12 Beta 1 แก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว   • แพตช์ครอบคลุม: RAR บน Windows, UnRAR, portable UnRAR, และ UnRAR.dll   • ไม่กระทบ: RAR บน Unix, Android, และซอร์สโค้ด UnRAR รุ่น Unix ✅ ช่องโหว่นี้คล้ายกับเหตุการณ์ในเดือนเมษายน ที่ WinRAR เคยโดนโจมตีแบบหลบการเตือนของ Windows (MotW) • บ่งชี้ว่าเครื่องมือบีบอัดไฟล์กลายเป็นช่องทางโจมตีใหม่ที่คนมองข้าม https://www.tomshardware.com/software/winrar-exploit-enables-attackers-to-run-malicious-code-on-your-pc-critical-vulnerability-patched-in-latest-beta-update
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพดูว่าในศูนย์ข้อมูลหนึ่ง มีงานมากมายที่ IT ต้องจัดการทุกวัน เช่น แก้ไข network, config storage, เช็ก log, ปรับโหลด cloud — ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายคน

    แต่ HPE กำลังจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็น “การสนทนากับ agent” — คุณแค่ถามในสไตล์แชต แล้ว AI จะประมวลผลข้อมูล, หา insight, เสนอทางแก้ หรือ บางทียังทำแทนให้เองเลยด้วยซ้ำ (แต่ยังให้คุณกดยืนยันก่อนเสมอ)

    หัวใจอยู่ที่ GreenLake Intelligence ซึ่งมี multi-agent system ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น จัดการ storage, monitor network, สร้าง dashboard, หรือคุยกับระบบ cloud อื่นได้ — และมี “GreenLake Copilot” เป็นอินเทอร์เฟซแบบแชต ช่วยให้คนไอทีใช้งานง่ายแบบไม่ต้องพิมพ์โค้ด

    นอกจากนี้ HPE ยังพัฒนา hardware และ software เสริมชุดใหญ่ เช่น AI Factory รุ่นใหม่ที่ใช้ Nvidia Blackwell GPU, ระบบ CloudOps, และหน่วยเก็บข้อมูล Alletra X10000 ที่รองรับการวิเคราะห์ context ระดับระบบ (ผ่านโปรโตคอล MCP)

    HPE เปิดตัว GreenLake Intelligence พร้อมแนวคิด AgenticOps  
    • ใช้ AI agents ทำงานซ้ำซ้อนในระบบ IT แทนคนได้ (แต่มี human-in-the-loop)  
    • ครอบคลุมงาน config, observability, storage, network และ more

    GreenLake Copilot คืออินเทอร์เฟซแบบแชตที่ให้คุยกับ AI ได้ทันที  
    • ใช้ภาษาธรรมดาถามเรื่อง log, ปัญหา network, ความเสถียรระบบ ฯลฯ  
    • ทำงานร่วมกับ LLM และ ML ที่เทรนจากข้อมูลองค์กร

    ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ:  
    • Aruba Central ใช้ GreenLake Copilot ในการจัดการเครือข่ายแบบ real-time  
    • สร้าง visual dashboard จาก log อัตโนมัติ  
    • เสนอวิธีแก้ปัญหาแบบทีละขั้น หรือลงมือทำแทนได้

    HPE เสริมด้วย CloudOps (รวม OpsRamp, Morpheus, Zerto)  
    • ใช้ GenAI ช่วยจัดการ observability, virtualization, และความปลอดภัยของ data

    เปิดตัว AI Factory Gen 2 ที่ใช้ Nvidia Blackwell RTX Pro 6000  
    • รองรับการประมวลผล AI model สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ  
    • ใช้งานร่วมกับระบบของคู่แข่งได้ (เช่น OpsRamp ใช้กับ AI Factory ทุกแบรนด์)

    ระบบเก็บข้อมูล Alletra X10000 รองรับ MCP (Media Context Protocol)  
    • เชื่อมโยงกับ AI/LLM ได้โดยตรง  
    • ส่งข้อมูลระหว่าง server, storage, observability tools ได้รวดเร็ว

    ลุงจะตกงานแล้วววววว !!!

    https://www.techspot.com/news/108437-hpe-greenlake-intelligence-brings-agentic-ai-operations.html
    ลองนึกภาพดูว่าในศูนย์ข้อมูลหนึ่ง มีงานมากมายที่ IT ต้องจัดการทุกวัน เช่น แก้ไข network, config storage, เช็ก log, ปรับโหลด cloud — ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายคน แต่ HPE กำลังจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็น “การสนทนากับ agent” — คุณแค่ถามในสไตล์แชต แล้ว AI จะประมวลผลข้อมูล, หา insight, เสนอทางแก้ หรือ บางทียังทำแทนให้เองเลยด้วยซ้ำ (แต่ยังให้คุณกดยืนยันก่อนเสมอ) หัวใจอยู่ที่ GreenLake Intelligence ซึ่งมี multi-agent system ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น จัดการ storage, monitor network, สร้าง dashboard, หรือคุยกับระบบ cloud อื่นได้ — และมี “GreenLake Copilot” เป็นอินเทอร์เฟซแบบแชต ช่วยให้คนไอทีใช้งานง่ายแบบไม่ต้องพิมพ์โค้ด นอกจากนี้ HPE ยังพัฒนา hardware และ software เสริมชุดใหญ่ เช่น AI Factory รุ่นใหม่ที่ใช้ Nvidia Blackwell GPU, ระบบ CloudOps, และหน่วยเก็บข้อมูล Alletra X10000 ที่รองรับการวิเคราะห์ context ระดับระบบ (ผ่านโปรโตคอล MCP) ✅ HPE เปิดตัว GreenLake Intelligence พร้อมแนวคิด AgenticOps   • ใช้ AI agents ทำงานซ้ำซ้อนในระบบ IT แทนคนได้ (แต่มี human-in-the-loop)   • ครอบคลุมงาน config, observability, storage, network และ more ✅ GreenLake Copilot คืออินเทอร์เฟซแบบแชตที่ให้คุยกับ AI ได้ทันที   • ใช้ภาษาธรรมดาถามเรื่อง log, ปัญหา network, ความเสถียรระบบ ฯลฯ   • ทำงานร่วมกับ LLM และ ML ที่เทรนจากข้อมูลองค์กร ✅ ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ:   • Aruba Central ใช้ GreenLake Copilot ในการจัดการเครือข่ายแบบ real-time   • สร้าง visual dashboard จาก log อัตโนมัติ   • เสนอวิธีแก้ปัญหาแบบทีละขั้น หรือลงมือทำแทนได้ ✅ HPE เสริมด้วย CloudOps (รวม OpsRamp, Morpheus, Zerto)   • ใช้ GenAI ช่วยจัดการ observability, virtualization, และความปลอดภัยของ data ✅ เปิดตัว AI Factory Gen 2 ที่ใช้ Nvidia Blackwell RTX Pro 6000   • รองรับการประมวลผล AI model สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ   • ใช้งานร่วมกับระบบของคู่แข่งได้ (เช่น OpsRamp ใช้กับ AI Factory ทุกแบรนด์) ✅ ระบบเก็บข้อมูล Alletra X10000 รองรับ MCP (Media Context Protocol)   • เชื่อมโยงกับ AI/LLM ได้โดยตรง   • ส่งข้อมูลระหว่าง server, storage, observability tools ได้รวดเร็ว ลุงจะตกงานแล้วววววว !!! 😭😭 https://www.techspot.com/news/108437-hpe-greenlake-intelligence-brings-agentic-ai-operations.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    HPE's GreenLake intelligence brings agentic AI to IT operations
    In case you haven't heard, GenAI is old news. Now, it's all about agentic AI. At least, that certainly seems to be the theme based on the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครที่เคยทำงานกับระบบเซิร์ฟเวอร์หรือ Data Center จะรู้ว่าหนึ่งในปัญหาคอขวดใหญ่สุดคือ “หน่วยความจำไม่พอ” หรือไม่สามารถขยายได้ตามปริมาณข้อมูลที่โตแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล — โดยเฉพาะในยุคที่งาน AI ต้องใช้โมเดลใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และต้องการแรมมากกว่าก่อนหลายเท่า

    Primemas เลยสร้าง “Hublet” — หน่วยย่อยที่ทำหน้าที่เหมือนด่านแปลงสัญญาณและจัดการ DRAM ที่เชื่อมต่อด้วยมาตรฐาน CXL 3.0 ซึ่งทำให้สามารถนำไปประกอบเป็นระบบความจำแบบยืดหยุ่นได้หลายขนาด เช่น:

    - 1x1 Hublet: รองรับ DRAM ได้ถึง 512 GB ในฟอร์มแฟกเตอร์เล็ก E3.S
    - 2x2 Hublet: รองรับ Add-in card แบบ PCIe ที่ใส่ได้ถึง 2 TB
    - 4x4 Hublet: ประกอบเป็น rack memory appliance ขนาด 1U ได้ถึง 8 TB

    ที่น่าสนใจคือ Primemas ทำงานร่วมกับ Micron ในโปรแกรม CXL ASIC Validation Lab (AVL) เพื่อทดสอบความเข้ากันได้กับแรมแบบ 128 GB RDIMM รุ่นล่าสุด ซึ่งจะช่วยเร่งให้เทคโนโลยีนี้นำไปใช้ได้จริงเร็วขึ้น

    https://www.techpowerup.com/338302/primemas-announces-availability-of-customer-samples-of-its-cxl-3-0-soc-memory-controller
    ใครที่เคยทำงานกับระบบเซิร์ฟเวอร์หรือ Data Center จะรู้ว่าหนึ่งในปัญหาคอขวดใหญ่สุดคือ “หน่วยความจำไม่พอ” หรือไม่สามารถขยายได้ตามปริมาณข้อมูลที่โตแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล — โดยเฉพาะในยุคที่งาน AI ต้องใช้โมเดลใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และต้องการแรมมากกว่าก่อนหลายเท่า Primemas เลยสร้าง “Hublet” — หน่วยย่อยที่ทำหน้าที่เหมือนด่านแปลงสัญญาณและจัดการ DRAM ที่เชื่อมต่อด้วยมาตรฐาน CXL 3.0 ซึ่งทำให้สามารถนำไปประกอบเป็นระบบความจำแบบยืดหยุ่นได้หลายขนาด เช่น: - 1x1 Hublet: รองรับ DRAM ได้ถึง 512 GB ในฟอร์มแฟกเตอร์เล็ก E3.S - 2x2 Hublet: รองรับ Add-in card แบบ PCIe ที่ใส่ได้ถึง 2 TB - 4x4 Hublet: ประกอบเป็น rack memory appliance ขนาด 1U ได้ถึง 8 TB ที่น่าสนใจคือ Primemas ทำงานร่วมกับ Micron ในโปรแกรม CXL ASIC Validation Lab (AVL) เพื่อทดสอบความเข้ากันได้กับแรมแบบ 128 GB RDIMM รุ่นล่าสุด ซึ่งจะช่วยเร่งให้เทคโนโลยีนี้นำไปใช้ได้จริงเร็วขึ้น https://www.techpowerup.com/338302/primemas-announces-availability-of-customer-samples-of-its-cxl-3-0-soc-memory-controller
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Primemas Announces Availability of Customer Samples of Its CXL 3.0 SoC Memory Controller
    Primemas Inc., a fabless semiconductor company specializing in chiplet-based SoC solutions through its Hublet architecture, today announced the availability of customer samples of the world's first Compute Express Link (CXL) memory 3.0 controller. Primemas has been delivering engineering samples and...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติในชิปคอมพิวเตอร์ การส่งข้อมูลระหว่างส่วนต่าง ๆ จะใช้กระแสไฟฟ้า (electrons) แต่ข้อจำกัดคือมันร้อน ใช้พลังงานเยอะ และช้าเมื่อเทียบกับความเร็วของ “แสง”

    ทีมจาก Fudan University เลยเปิดตัว “multiplexer แบบใช้แสง” หรือชิปที่รับข้อมูลจากหลายช่อง แล้วส่งออกผ่านช่องเดียว — โดยใช้ “แสงเลเซอร์” แทนกระแสไฟฟ้า

    ชิปตัวนี้สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงถึง 38 Tbps (terabits per second) เร็วพอจะส่งพารามิเตอร์ของ LLM (เช่น ChatGPT ขนาดใหญ่) ได้ 4.75 ล้านล้านพารามิเตอร์ต่อวินาที

    ที่สำคัญคือมันทำงานร่วมกับระบบที่ใช้ CMOS (พื้นฐานของชิปยุคปัจจุบัน) ได้ — แปลว่าไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ช่วยลด latency ระหว่างโลกของ “แสง” กับ “ไฟฟ้า”

    แม้ข้อมูลจะมาจากสื่อของรัฐบาลจีน แต่ก็มีรายงานว่า ทีมส่งผลวิจัยนี้ไปยังวารสาร Nature แล้ว — ถ้าได้รับการตีพิมพ์เมื่อไร ก็ถือเป็นหลักฐานเชิงวิชาการที่น่าเชื่อถือ

    นักวิเคราะห์ในจีนเชื่อว่า ภายใน 3–5 ปีข้างหน้า เราอาจได้เห็น CPU หรือหน่วยความจำที่ใช้การสื่อสารด้วย “แสงเต็มระบบ” ก็เป็นได้!

    ทีมจากมหาวิทยาลัย Fudan พัฒนาชิป multiplexer แบบ photonic — ส่งข้อมูลด้วยแสงแทนไฟฟ้า  
    • ชื่อทางเทคนิคคือ “silicon photonic integrated high-order mode multiplexer”  
    • เป็นชิปในตระกูล silicon photonics

    ความเร็วการส่งข้อมูลสูงถึง 38 Tbps  
    • รองรับโหลดการประมวลผลระดับ LLM ขนาดหลายร้อยพันล้านพารามิเตอร์

    สามารถเชื่อมต่อกับระบบที่ใช้ CMOS (เช่น CPU, RAM แบบเดิม) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
    • ลด latency ในการเชื่อมระหว่าง photonic–electronic

    ทีมวิจัยยื่นผลการวิจัยไปยังวารสาร Nature แล้ว รอการพิจารณา  
    • หากผ่านตีพิมพ์จะเพิ่มเครดิตอย่างมากในวงการวิชาการ

    จีนกำลังเร่งพัฒนา photonic chip และมีเป้าหมายจะใช้เต็มรูปแบบภายใน 3–5 ปี  
    • เริ่มเข้าสู่สนาม post-Moore’s Law อย่างจริงจัง

    นักวิเคราะห์ระบุว่าระบบ photonic มีศักยภาพสูงกว่าชิปอิเล็กทรอนิกส์ด้านความเร็วและพลังงาน  
    • ตัวอย่าง: สวิตช์ photonic สำหรับ AI cluster รองรับสูงถึง 400 Tb/s เช่นจาก Nvidia

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-researchers-invent-silicon-photonic-multiplexer-chip-that-uses-light-instead-of-electricity-for-communication-ccp-says-chinas-early-steps-into-light-based-chips-precede-major-breakthroughs-in-three-years
    ปกติในชิปคอมพิวเตอร์ การส่งข้อมูลระหว่างส่วนต่าง ๆ จะใช้กระแสไฟฟ้า (electrons) แต่ข้อจำกัดคือมันร้อน ใช้พลังงานเยอะ และช้าเมื่อเทียบกับความเร็วของ “แสง” ทีมจาก Fudan University เลยเปิดตัว “multiplexer แบบใช้แสง” หรือชิปที่รับข้อมูลจากหลายช่อง แล้วส่งออกผ่านช่องเดียว — โดยใช้ “แสงเลเซอร์” แทนกระแสไฟฟ้า ชิปตัวนี้สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงถึง 38 Tbps (terabits per second) เร็วพอจะส่งพารามิเตอร์ของ LLM (เช่น ChatGPT ขนาดใหญ่) ได้ 4.75 ล้านล้านพารามิเตอร์ต่อวินาที ที่สำคัญคือมันทำงานร่วมกับระบบที่ใช้ CMOS (พื้นฐานของชิปยุคปัจจุบัน) ได้ — แปลว่าไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ช่วยลด latency ระหว่างโลกของ “แสง” กับ “ไฟฟ้า” แม้ข้อมูลจะมาจากสื่อของรัฐบาลจีน แต่ก็มีรายงานว่า ทีมส่งผลวิจัยนี้ไปยังวารสาร Nature แล้ว — ถ้าได้รับการตีพิมพ์เมื่อไร ก็ถือเป็นหลักฐานเชิงวิชาการที่น่าเชื่อถือ นักวิเคราะห์ในจีนเชื่อว่า ภายใน 3–5 ปีข้างหน้า เราอาจได้เห็น CPU หรือหน่วยความจำที่ใช้การสื่อสารด้วย “แสงเต็มระบบ” ก็เป็นได้! ✅ ทีมจากมหาวิทยาลัย Fudan พัฒนาชิป multiplexer แบบ photonic — ส่งข้อมูลด้วยแสงแทนไฟฟ้า   • ชื่อทางเทคนิคคือ “silicon photonic integrated high-order mode multiplexer”   • เป็นชิปในตระกูล silicon photonics ✅ ความเร็วการส่งข้อมูลสูงถึง 38 Tbps   • รองรับโหลดการประมวลผลระดับ LLM ขนาดหลายร้อยพันล้านพารามิเตอร์ ✅ สามารถเชื่อมต่อกับระบบที่ใช้ CMOS (เช่น CPU, RAM แบบเดิม) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   • ลด latency ในการเชื่อมระหว่าง photonic–electronic ✅ ทีมวิจัยยื่นผลการวิจัยไปยังวารสาร Nature แล้ว รอการพิจารณา   • หากผ่านตีพิมพ์จะเพิ่มเครดิตอย่างมากในวงการวิชาการ ✅ จีนกำลังเร่งพัฒนา photonic chip และมีเป้าหมายจะใช้เต็มรูปแบบภายใน 3–5 ปี   • เริ่มเข้าสู่สนาม post-Moore’s Law อย่างจริงจัง ✅ นักวิเคราะห์ระบุว่าระบบ photonic มีศักยภาพสูงกว่าชิปอิเล็กทรอนิกส์ด้านความเร็วและพลังงาน   • ตัวอย่าง: สวิตช์ photonic สำหรับ AI cluster รองรับสูงถึง 400 Tb/s เช่นจาก Nvidia https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinese-researchers-invent-silicon-photonic-multiplexer-chip-that-uses-light-instead-of-electricity-for-communication-ccp-says-chinas-early-steps-into-light-based-chips-precede-major-breakthroughs-in-three-years
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • จุดเช็คอินที่ต้องมา! แสงสวย วิวดี ขนมอร่อย ครบจบในที่เดียว ว่าแล้วก็ tag ชวนเพื่อนกันเลย

    𝐓𝐡𝐞 𝐮𝐥𝐭𝐢𝐦𝐚𝐭𝐞 𝐬𝐩𝐨𝐭 𝐲𝐨𝐮 𝐡𝐚𝐯𝐞 𝐭𝐨 𝐜𝐡𝐞𝐜𝐤 𝐢𝐧! 𝐏𝐞𝐫𝐟𝐞𝐜𝐭 𝐥𝐢𝐠𝐡𝐭, 𝐬𝐭𝐮𝐧𝐧𝐢𝐧𝐠 𝐯𝐢𝐞𝐰𝐬, 𝐚𝐧𝐝 𝐭𝐚𝐬𝐭𝐲 𝐭𝐫𝐞𝐚𝐭𝐬. 𝐓𝐡𝐢𝐬 𝐩𝐥𝐚𝐜𝐞 𝐡𝐚𝐬 𝐢𝐭 𝐚𝐥𝐥!

    ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #sunsetlover #skylover #cafehopping #cafe
    🎯 จุดเช็คอินที่ต้องมา! แสงสวย วิวดี ขนมอร่อย ครบจบในที่เดียว ว่าแล้วก็ tag ชวนเพื่อนกันเลย 😍 𝐓𝐡𝐞 𝐮𝐥𝐭𝐢𝐦𝐚𝐭𝐞 𝐬𝐩𝐨𝐭 𝐲𝐨𝐮 𝐡𝐚𝐯𝐞 𝐭𝐨 𝐜𝐡𝐞𝐜𝐤 𝐢𝐧! 𝐏𝐞𝐫𝐟𝐞𝐜𝐭 𝐥𝐢𝐠𝐡𝐭, 𝐬𝐭𝐮𝐧𝐧𝐢𝐧𝐠 𝐯𝐢𝐞𝐰𝐬, 𝐚𝐧𝐝 𝐭𝐚𝐬𝐭𝐲 𝐭𝐫𝐞𝐚𝐭𝐬. 𝐓𝐡𝐢𝐬 𝐩𝐥𝐚𝐜𝐞 𝐡𝐚𝐬 𝐢𝐭 𝐚𝐥𝐥! 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #sunsetlover #skylover #cafehopping #cafe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 495 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts