• FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา

    ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่

    เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้”

    น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป

    มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก
    ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
    หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา
    หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก

    FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก
    เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ

    ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด
    ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่

    Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg
    แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่

    กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
    ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน

    แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero
    กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ

    ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก
    หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก

    https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    📰 FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้” น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก 🌍 🔰 ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ 🔰 หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา 🔰 หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก ✅ FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก ➡️ เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ ✅ ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด ➡️ ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ ✅ Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg ➡️ แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ ✅ กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ➡️ ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน ‼️ แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero ⛔ กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ‼️ ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก ⛔ หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    THENEWSTACK.IO
    FFmpeg to Google: Fund Us or Stop Sending Bugs
    A lively discussion about open source, security, and who pays the bills has erupted on Twitter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • BIG Story | โรงพักร้าง ค่าโง่ของใคร

    ย้อนรอยคดีฉาวโครงการก่อสร้างโรงพัก 369 แห่ง และแฟลตตำรวจ 163 หลัง ที่กินงบมหาศาล แต่กลับถูกปล่อยทิ้งร้างนานนับสิบปี บางแห่งยังไม่แล้วเสร็จจนถึงวันนี้ แม้ศาลจะมีคำสั่งยกฟ้อง แต่คำถามยังค้างคา—ใครต้องรับผิด? และใครควรรับผิดชอบกับ "ค่าโง่" ครั้งนี้

    ติดตามสารคดีเชิงข่าว BIG STORY: โรงพักร้าง ค่าโง่ของใคร ได้ที่ Thaitimes App

    #BigStory #โรงพักร้าง #ค่าโง่ของใคร #โครงการก่อสร้างล้มเหลว #งบประมาณแผ่นดิน #คดีทุจริต #ThaiTimes
    BIG Story | โรงพักร้าง ค่าโง่ของใคร ย้อนรอยคดีฉาวโครงการก่อสร้างโรงพัก 369 แห่ง และแฟลตตำรวจ 163 หลัง ที่กินงบมหาศาล แต่กลับถูกปล่อยทิ้งร้างนานนับสิบปี บางแห่งยังไม่แล้วเสร็จจนถึงวันนี้ แม้ศาลจะมีคำสั่งยกฟ้อง แต่คำถามยังค้างคา—ใครต้องรับผิด? และใครควรรับผิดชอบกับ "ค่าโง่" ครั้งนี้ 📲 ติดตามสารคดีเชิงข่าว BIG STORY: โรงพักร้าง ค่าโง่ของใคร ได้ที่ Thaitimes App #BigStory #โรงพักร้าง #ค่าโง่ของใคร #โครงการก่อสร้างล้มเหลว #งบประมาณแผ่นดิน #คดีทุจริต #ThaiTimes
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 706 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกแรงงาน: เมื่อแรงงานมนุษย์ต้องทำงานเคียงข้างแรงงานดิจิทัล

    ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กำลังกลายเป็น “เพื่อนร่วมงาน” โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “digital labour” หรือแรงงานดิจิทัล ซึ่งหมายถึงการที่คอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อ AI แบบ agentic หรือ AI ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งชัดเจน เริ่มถูกนำมาใช้ในองค์กรจริง

    Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce บอกว่าเขาอาจเป็น “ซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์” เพราะตอนนี้ Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า และลดต้นทุนได้ถึง 17% ภายใน 9 เดือน

    แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี มันกระทบถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและจริยธรรม เช่น ถ้าองค์กร A ใช้ AI ที่สร้างโดยบริษัท B แล้วพัฒนาให้เก่งขึ้นด้วยข้อมูลของตัวเอง ใครควรได้รับเครดิตและผลตอบแทน? และถ้า AI ทำงานผิดพลาด ใครควรรับผิดชอบ—ผู้สร้างหรือผู้ใช้งาน?

    แม้จะยังไม่แพร่หลาย แต่บริษัทเทคโนโลยีและการเงินบางแห่งเริ่มใช้ AI แบบอัตโนมัติในการทำงานแทนมนุษย์แล้ว และในอนาคตอาจมีตำแหน่ง “digital labourer” ปรากฏในโครงสร้างองค์กรจริง ๆ

    “Digital labour” หมายถึงคอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์
    โดยเฉพาะ AI แบบ agentic ที่ทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง

    Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า
    ลดต้นทุนได้ 17% ภายใน 9 เดือน

    Marc Benioff กล่าวว่าจะเป็นซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์
    สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่แรงงานดิจิทัล

    Harvard ระบุว่า digital labour เปลี่ยนความหมายจากเดิม
    จากเดิมหมายถึง gig workers กลายเป็น AI ที่ทำงานแทนมนุษย์

    มีคำถามเรื่องสิทธิและผลตอบแทนของ AI ที่ถูกพัฒนาโดยองค์กร
    เช่น ใครควรได้รับเครดิตเมื่อ AI ทำงานดีขึ้นจากข้อมูลขององค์กร

    Salesforce ยังมีระบบให้ลูกค้า escalate ไปหาคนจริงได้
    เป็นการตั้ง “human guardrails” เพื่อควบคุมความผิดพลาดของ AI

    ILO รายงานว่าแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลเติบโต 5 เท่าในทศวรรษที่ผ่านมา
    แต่ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมและความมั่นคงของงาน

    Digital labour platforms มีผลต่อ SDG5 ด้านความเท่าเทียมทางเพศ
    ผู้หญิงมีสัดส่วนต่ำในแพลตฟอร์มขนส่งและมีช่องว่างรายได้

    การใช้ AI ในแรงงานอาจไม่สร้างงานใหม่ แต่เปลี่ยนรูปแบบงานเดิม
    ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาว

    การพัฒนา AI agent ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบและความโปร่งใส
    เช่น การกำหนดว่าใครรับผิดชอบเมื่อ AI ทำงานผิดพลาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/05/where-human-labour-meets-digital-labour
    🤖👷‍♀️ เรื่องเล่าจากโลกแรงงาน: เมื่อแรงงานมนุษย์ต้องทำงานเคียงข้างแรงงานดิจิทัล ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กำลังกลายเป็น “เพื่อนร่วมงาน” โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “digital labour” หรือแรงงานดิจิทัล ซึ่งหมายถึงการที่คอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อ AI แบบ agentic หรือ AI ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งชัดเจน เริ่มถูกนำมาใช้ในองค์กรจริง Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce บอกว่าเขาอาจเป็น “ซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์” เพราะตอนนี้ Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า และลดต้นทุนได้ถึง 17% ภายใน 9 เดือน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี มันกระทบถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและจริยธรรม เช่น ถ้าองค์กร A ใช้ AI ที่สร้างโดยบริษัท B แล้วพัฒนาให้เก่งขึ้นด้วยข้อมูลของตัวเอง ใครควรได้รับเครดิตและผลตอบแทน? และถ้า AI ทำงานผิดพลาด ใครควรรับผิดชอบ—ผู้สร้างหรือผู้ใช้งาน? แม้จะยังไม่แพร่หลาย แต่บริษัทเทคโนโลยีและการเงินบางแห่งเริ่มใช้ AI แบบอัตโนมัติในการทำงานแทนมนุษย์แล้ว และในอนาคตอาจมีตำแหน่ง “digital labourer” ปรากฏในโครงสร้างองค์กรจริง ๆ ✅ “Digital labour” หมายถึงคอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์ ➡️ โดยเฉพาะ AI แบบ agentic ที่ทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง ✅ Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า ➡️ ลดต้นทุนได้ 17% ภายใน 9 เดือน ✅ Marc Benioff กล่าวว่าจะเป็นซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์ ➡️ สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่แรงงานดิจิทัล ✅ Harvard ระบุว่า digital labour เปลี่ยนความหมายจากเดิม ➡️ จากเดิมหมายถึง gig workers กลายเป็น AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ ✅ มีคำถามเรื่องสิทธิและผลตอบแทนของ AI ที่ถูกพัฒนาโดยองค์กร ➡️ เช่น ใครควรได้รับเครดิตเมื่อ AI ทำงานดีขึ้นจากข้อมูลขององค์กร ✅ Salesforce ยังมีระบบให้ลูกค้า escalate ไปหาคนจริงได้ ➡️ เป็นการตั้ง “human guardrails” เพื่อควบคุมความผิดพลาดของ AI ✅ ILO รายงานว่าแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลเติบโต 5 เท่าในทศวรรษที่ผ่านมา ➡️ แต่ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมและความมั่นคงของงาน ✅ Digital labour platforms มีผลต่อ SDG5 ด้านความเท่าเทียมทางเพศ ➡️ ผู้หญิงมีสัดส่วนต่ำในแพลตฟอร์มขนส่งและมีช่องว่างรายได้ ✅ การใช้ AI ในแรงงานอาจไม่สร้างงานใหม่ แต่เปลี่ยนรูปแบบงานเดิม ➡️ ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาว ✅ การพัฒนา AI agent ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบและความโปร่งใส ➡️ เช่น การกำหนดว่าใครรับผิดชอบเมื่อ AI ทำงานผิดพลาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/05/where-human-labour-meets-digital-labour
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Where human labour meets 'digital labour'
    In a still largely speculative vision of the future, A.I. tools would be full employees that work independently, with a bit of management.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ เวลาที่เสียไป 4 ปี สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน การจราจร การพัฒนาระบบขนส่งทางราง และต้นทุนในการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นตลอด 4 ปี ใครควรรับผิดชอบ #คีรีกาญจนพลาด
    #7ดอกจิก
    #เวลาที่เสียไป
    #ใครควรรับผิดชอบ
    #ความเดือดร้อน
    ♣ เวลาที่เสียไป 4 ปี สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน การจราจร การพัฒนาระบบขนส่งทางราง และต้นทุนในการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นตลอด 4 ปี ใครควรรับผิดชอบ #คีรีกาญจนพลาด #7ดอกจิก #เวลาที่เสียไป #ใครควรรับผิดชอบ #ความเดือดร้อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 912 มุมมอง 0 รีวิว