• กองทัพไทยทดสอบโดรนโจมตี "ฝีมือคนไทย" หวังพัฒนาใช้จริงในกองทัพ ทั้งโดรนทิ้งระเบิดและโดรนพุ่งชน
    https://www.thai-tai.tv/news/21119/
    .
    #กองทัพไทย #โดรน #อากาศยานไร้คนขับ #วิจัยและพัฒนา #เทคโนโลยีการทหาร #ไทยไท
    กองทัพไทยทดสอบโดรนโจมตี "ฝีมือคนไทย" หวังพัฒนาใช้จริงในกองทัพ ทั้งโดรนทิ้งระเบิดและโดรนพุ่งชน https://www.thai-tai.tv/news/21119/ . #กองทัพไทย #โดรน #อากาศยานไร้คนขับ #วิจัยและพัฒนา #เทคโนโลยีการทหาร #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัจจุบัน **เทคโนโลยีทางทหารที่ร้​ววและแม่นยำ (Rapid and Precise Military Technology)** เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศ ประเทศที่ถือว่าเป็นผู้นำในสาขานี้ ได้แก่:

    1. **สหรัฐอเมริกา:**
    * **จุดแข็ง:** ลงทุนมหาศาลใน R&D, นำโด่งด้านอาวุธไฮเปอร์โซนิก (Hypersonic Weapons - เร็วเหนือเสียงมาก), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น THAAD, Aegis), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติในสงคราม, การรบด้วยเครือข่าย (Network-Centric Warfare), โดรนรบ (UCAVs) ขั้นสูง (เช่น MQ-9 Reaper, XQ-58 Valkyrie), และดาวเทียมลาดตระเวนแม่นยำสูง
    * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การพัฒนาอาวุธพลังงานนำทาง (Directed Energy Weapons) เช่น เลเซอร์, การบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการตัดสินใจทางการทหาร (JADC2 - Joint All-Domain Command and Control)

    2. **จีน:**
    * **จุดแข็ง:** พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นการทุ่มงบประมาณและขโมยเทคโนโลยี, นำโด่งในด้านขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลาง (SRBMs/MRBMs) ที่แม่นยำ, อาวุธไฮเปอร์โซนิก (เช่น DF-ZF), ระบบต่อต้านดาวเทียม (ASAT) และต่อต้านขีปนาวุธ, โดรนรบจำนวนมากและก้าวหน้า (เช่น Wing Loong, CH-series), และกำลังพัฒนากองเรือทะเลหลวงที่ทันสมัย
    * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การทดสอบอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่สร้างความประหลาดใจให้วงการ, การขยายขีดความสามารถทางไซเบอร์และอวกาศ

    3. **รัสเซีย:**
    * **จุดแข็ง:** แม้เศรษฐกิจมีข้อจำกัด แต่ยังคงเน้นการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่เพื่อรักษาความสมดุล, มีอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่ประจำการแล้ว (เช่น Kinzhal, Avangard), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น S-400, S-500), ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) ที่ทรงพลัง, และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลางแม่นยำ
    * **สถานะปัจจุบัน:** การรุกรานยูเครนส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการผลิตและอาจชะลอการพัฒนาบางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นการใช้ขีปนาวุธแม่นยำ (และความท้าทายของมัน) รวมถึงสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างเข้มข้น

    4. **ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้า:**
    * **อิสราเอล:** เป็นสุดยอดด้านเทคโนโลยีโดรน (UAVs/UCAVs), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (Iron Dome, David's Sling, Arrow), สงครามไซเบอร์, ระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance) และเทคโนโลยีภาคพื้นดินแม่นยำ
    * **สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี (และสหภาพยุโรป):** มีความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะระบบอากาศยาน (รบกริปเพน, ราฟาเอล), เรือดำน้ำ, ระบบป้องกันขีปนาวุธ (ร่วมกับ NATO), เทคโนโลยีไซเบอร์ และกำลังร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบอากาศยานรุ่นต่อไป (FCAS), รถถังหลักใหม่ (MGCS)

    **ผลดีของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:**

    1. **เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันประเทศ:** ป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำกว่าเดิม
    2. **ลดความเสียหายพลเรือน (ในทางทฤษฎี):** ความแม่นยำสูง *ควรจะ* ลดการโจมตีพลาดเป้าและความสูญเสียของพลเรือนได้
    3. **เพิ่มขีดความสามารถในการป้องปราม:** การมีอาวุธที่รวดเร็ว แม่นยำ และยากต่อการสกัดกั้น (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) ทำให้ศัตรูต้องคิดหนักก่อนจะโจมตี
    4. **เพิ่มประสิทธิภาพในการรบ:** ระบบ C4ISR และเครือข่ายการรบช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
    5. **ลดความสูญเสียของทหาร:** การใช้โดรนหรือระบบอัตโนมัติสามารถลดการส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยตรง

    **ผลเสียและความท้าทายของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:**

    1. **ความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางการ bewaffnung (Arms Race):** ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกระตุ้นให้ประเทศคู่แข่งเร่งพัฒนาตาม นำไปสู่การแข่งขันที่สิ้นเปลืองและเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศ
    2. **ความท้าทายด้านเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Stability):** อาวุธที่รวดเร็วมาก (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) และระบบป้องกันขีปนาวุธ อาจลดเวลาในการตัดสินใจตอบโต้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่าเป็นการโจมตีครั้งแรก (First Strike) ในช่วงวิกฤต
    3. **ความซับซ้อนของสงครามไซเบอร์และอวกาศ:** เทคโนโลยีทหารสมัยใหม่พึ่งพาระบบดิจิทัล ดาวเทียม และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการทำสงครามในอวกาศ
    4. **ความท้าทายด้านจริยธรรมและกฎหมาย (โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ):**
    * **อาวุธอัตโนมัติร้ายแรง (Lethal Autonomous Weapons Systems - LAWS):** การที่เครื่องจักรตัดสินใจใช้กำลังร้ายแรงโดยมนุษย์ควบคุมน้อยเกินไป ก่อให้เกิดคำถามจริยธรรมใหญ่หลวงเรื่องความรับผิดชอบ การควบคุม และการปกป้องพลเรือน
    * **การลดอุปสรรคในการใช้กำลัง:** ความแม่นยำและความ "สะอาด" (ในทางทฤษฎี) ของอาวุธอาจทำให้ผู้นำทางการเมืองตัดสินใจใช้กำลังทางทหารได้ง่ายขึ้น
    5. **ค่าใช้จ่ายมหาศาล:** การวิจัย พัฒนา และจัดหาอาวุธเทคโนโลยีสูงเหล่านี้ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การศึกษา
    6. **ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย:** เทคโนโลยีบางส่วนอาจรั่วไหลหรือถูกถ่ายทอดไปยังรัฐหรือกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่างๆ

    **สรุป:**
    สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เป็นผู้นำหลักในเทคโนโลยีการทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีอิสราเอลและชาติยุโรปชั้นนำเป็นผู้เล่นสำคัญในด้านเฉพาะทาง แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ป้องปราม และ *มีศักยภาพ* ในการลดความเสียหายพลเรือนได้อย่างมาก แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ทั้งในด้านการแข่งขัน bewaffnung เสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ จริยธรรม (โดยเฉพาะเรื่องอาวุธอัตโนมัติ) และงบประมาณ การบริหารจัดการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทหารควบคู่ไปกับการทูตและการควบคุม bewaffnung จึงมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของโลกในระยะยาว
    ปัจจุบัน **เทคโนโลยีทางทหารที่ร้​ววและแม่นยำ (Rapid and Precise Military Technology)** เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศ ประเทศที่ถือว่าเป็นผู้นำในสาขานี้ ได้แก่: 1. **สหรัฐอเมริกา:** * **จุดแข็ง:** ลงทุนมหาศาลใน R&D, นำโด่งด้านอาวุธไฮเปอร์โซนิก (Hypersonic Weapons - เร็วเหนือเสียงมาก), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น THAAD, Aegis), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติในสงคราม, การรบด้วยเครือข่าย (Network-Centric Warfare), โดรนรบ (UCAVs) ขั้นสูง (เช่น MQ-9 Reaper, XQ-58 Valkyrie), และดาวเทียมลาดตระเวนแม่นยำสูง * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การพัฒนาอาวุธพลังงานนำทาง (Directed Energy Weapons) เช่น เลเซอร์, การบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการตัดสินใจทางการทหาร (JADC2 - Joint All-Domain Command and Control) 2. **จีน:** * **จุดแข็ง:** พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นการทุ่มงบประมาณและขโมยเทคโนโลยี, นำโด่งในด้านขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลาง (SRBMs/MRBMs) ที่แม่นยำ, อาวุธไฮเปอร์โซนิก (เช่น DF-ZF), ระบบต่อต้านดาวเทียม (ASAT) และต่อต้านขีปนาวุธ, โดรนรบจำนวนมากและก้าวหน้า (เช่น Wing Loong, CH-series), และกำลังพัฒนากองเรือทะเลหลวงที่ทันสมัย * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การทดสอบอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่สร้างความประหลาดใจให้วงการ, การขยายขีดความสามารถทางไซเบอร์และอวกาศ 3. **รัสเซีย:** * **จุดแข็ง:** แม้เศรษฐกิจมีข้อจำกัด แต่ยังคงเน้นการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่เพื่อรักษาความสมดุล, มีอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่ประจำการแล้ว (เช่น Kinzhal, Avangard), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น S-400, S-500), ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) ที่ทรงพลัง, และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลางแม่นยำ * **สถานะปัจจุบัน:** การรุกรานยูเครนส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการผลิตและอาจชะลอการพัฒนาบางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นการใช้ขีปนาวุธแม่นยำ (และความท้าทายของมัน) รวมถึงสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างเข้มข้น 4. **ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้า:** * **อิสราเอล:** เป็นสุดยอดด้านเทคโนโลยีโดรน (UAVs/UCAVs), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (Iron Dome, David's Sling, Arrow), สงครามไซเบอร์, ระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance) และเทคโนโลยีภาคพื้นดินแม่นยำ * **สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี (และสหภาพยุโรป):** มีความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะระบบอากาศยาน (รบกริปเพน, ราฟาเอล), เรือดำน้ำ, ระบบป้องกันขีปนาวุธ (ร่วมกับ NATO), เทคโนโลยีไซเบอร์ และกำลังร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบอากาศยานรุ่นต่อไป (FCAS), รถถังหลักใหม่ (MGCS) **ผลดีของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:** 1. **เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันประเทศ:** ป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำกว่าเดิม 2. **ลดความเสียหายพลเรือน (ในทางทฤษฎี):** ความแม่นยำสูง *ควรจะ* ลดการโจมตีพลาดเป้าและความสูญเสียของพลเรือนได้ 3. **เพิ่มขีดความสามารถในการป้องปราม:** การมีอาวุธที่รวดเร็ว แม่นยำ และยากต่อการสกัดกั้น (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) ทำให้ศัตรูต้องคิดหนักก่อนจะโจมตี 4. **เพิ่มประสิทธิภาพในการรบ:** ระบบ C4ISR และเครือข่ายการรบช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 5. **ลดความสูญเสียของทหาร:** การใช้โดรนหรือระบบอัตโนมัติสามารถลดการส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยตรง **ผลเสียและความท้าทายของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:** 1. **ความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางการ bewaffnung (Arms Race):** ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกระตุ้นให้ประเทศคู่แข่งเร่งพัฒนาตาม นำไปสู่การแข่งขันที่สิ้นเปลืองและเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศ 2. **ความท้าทายด้านเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Stability):** อาวุธที่รวดเร็วมาก (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) และระบบป้องกันขีปนาวุธ อาจลดเวลาในการตัดสินใจตอบโต้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่าเป็นการโจมตีครั้งแรก (First Strike) ในช่วงวิกฤต 3. **ความซับซ้อนของสงครามไซเบอร์และอวกาศ:** เทคโนโลยีทหารสมัยใหม่พึ่งพาระบบดิจิทัล ดาวเทียม และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการทำสงครามในอวกาศ 4. **ความท้าทายด้านจริยธรรมและกฎหมาย (โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ):** * **อาวุธอัตโนมัติร้ายแรง (Lethal Autonomous Weapons Systems - LAWS):** การที่เครื่องจักรตัดสินใจใช้กำลังร้ายแรงโดยมนุษย์ควบคุมน้อยเกินไป ก่อให้เกิดคำถามจริยธรรมใหญ่หลวงเรื่องความรับผิดชอบ การควบคุม และการปกป้องพลเรือน * **การลดอุปสรรคในการใช้กำลัง:** ความแม่นยำและความ "สะอาด" (ในทางทฤษฎี) ของอาวุธอาจทำให้ผู้นำทางการเมืองตัดสินใจใช้กำลังทางทหารได้ง่ายขึ้น 5. **ค่าใช้จ่ายมหาศาล:** การวิจัย พัฒนา และจัดหาอาวุธเทคโนโลยีสูงเหล่านี้ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การศึกษา 6. **ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย:** เทคโนโลยีบางส่วนอาจรั่วไหลหรือถูกถ่ายทอดไปยังรัฐหรือกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่างๆ **สรุป:** สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เป็นผู้นำหลักในเทคโนโลยีการทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีอิสราเอลและชาติยุโรปชั้นนำเป็นผู้เล่นสำคัญในด้านเฉพาะทาง แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ป้องปราม และ *มีศักยภาพ* ในการลดความเสียหายพลเรือนได้อย่างมาก แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ทั้งในด้านการแข่งขัน bewaffnung เสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ จริยธรรม (โดยเฉพาะเรื่องอาวุธอัตโนมัติ) และงบประมาณ การบริหารจัดการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทหารควบคู่ไปกับการทูตและการควบคุม bewaffnung จึงมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของโลกในระยะยาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 629 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกาหลีเหนือส่งรัฐมนตรีต่างประเทศเดินทางไปรัสเซีย หนึ่งวันหลังจากสหรัฐฯ ออกมาระบุ โสมแดงส่งทหาร 10,000 นาย ไปฝึกในแดนหมีขาวและอาจส่งไปร่วมรบในยูเครนในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า พร้อมประกาศหากเป็นเช่นนั้นจริงจะเลิกตั้งข้อจำกัดเคียฟในการใช้อาวุธโจมตีเข้าไปในรัสเซีย ขณะที่หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้คาดทหารโสมแดงอาจถูกส่งลงสมรภูมิยูเครนเร็วกว่าคาด
    .
    สำนักข่าวทาสส์ของทางการรัสเซียรายงานเมื่อวันอังคาร (29) ว่า โช ซอนฮุย รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ เดินทางถึงเมืองวลาดิวอสต็อก เมืองใหญ่ทางภาคตะวันออกไกลของรัสเซียแล้ว และมีกำหนดจะเดินทางต่อไปยังกรุงมอสโกในวันพุธ (30) เพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่รัสเซีย แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร
    .
    รายงานนี้ออกมาหลังจากเมื่อวันจันทร์ (28) ซาบรินา ซิงห์ รองโฆษกของกระทรวงกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) แถลงว่า เกาหลีเหนือจัดส่งทหารราว 10,000 นายไปฝึกในรัสเซีย ซึ่งมากกว่าที่เคยประเมินก่อนหน้านี้ถึง 7,000 นาย และทหารเหล่านั้นอาจถูกส่งไปสู้รบในยูเครนในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า
    .
    ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุว่า สถานการณ์นี้ “อันตรายมาก”
    .
    เพนตากอนยังประกาศว่า หากทหารเกาหลีเหนือเข้าสู่สงครามยูเครน ก็จะไม่ตั้งข้อจำกัดห้ามเคียฟใช้อาวุธของอเมริกา หลังจากก่อนหน้านี้สหรัฐฯ แสดงท่าทียังไม่พร้อมที่จะทำตามคำรบเร้าของเคียฟ ที่ต้องการให้สหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตกจัดส่งพวกอาวุธพิสัยทำการไกลๆ ให้แก่ยูเครน รวมทั้งอนุญาตให้ยูเครนนำอาวุธที่ได้รับจากตะวันตกซึ่งมีสมรรถนะเช่นนี้อยู่แล้ว ไปใช้ในการโจมตีลึกเข้าไปแดนหมีขาว
    .
    ขณะที่ แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ได้แจ้งกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของทั้งรัสเซียและเกาหลีเหนือ เกี่ยวกับการดำเนินการของทั้งสองประเทศที่ถือเป็นการบ่อนทำลายเสถียรภาพ
    .
    ด้านมาร์ค รึตเตอ เลขาธิการขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ความเคลื่อนไหวนี้เป็นการขยายสงครามที่อันตรายของรัสเซีย อีกทั้งเป็นสัญญาณว่า ปูตินสิ้นหวังมากขึ้น
    .
    รึตเตออ้างตัวเลขของฝ่ายตะวันตกที่ระบุว่า ทหารรัสเซียกว่า 600,000 นายเสียชีวิตหรือบาดเจ็บระหว่างสงครามในยูเครนที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และเวลานี้เครมลินไม่สามารถบุกต่อโดยไม่มีการสนับสนุนจากต่างชาติ
    .
    เลขาธิการนาโตแถลงเช่นนี้ในบรัสเซลส์ หลังจากได้ฟังสรุปสถานการณ์จากทางเจ้าหน้าที่ข่าวกรองเกาหลีใต้ว่า ขณะนี้สามารถยืนยันได้ว่า ทหารเกาหลีเหนือถูกส่งไปประจำการภาคสนามในแคว้นคูร์สก์ ทางตะวันตกของรัสเซีย ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยูเครนได้ส่งกำลังบุกเข้าไปในคูร์สก์ และยึดพื้นที่ได้จำนวนหนึ่ง ถึงแม้ทางรัสเซียแถลงในระยะหลังๆ ว่า ได้ยันการบุกของฝ่ายเคียฟเอาไว้ได้แล้ว และกำลังค่อยๆ ช่วงชิงพื้นที่ซึ่งถูกยึดไปกลับคืนมา
    .
    ทางด้านประธานาธิบดียุน ซอกยอน ของเกาหลีใต้ ระบุเมื่อวันอังคาร (29 ต.ค.) ว่า การขยายความร่วมมือทางทหารอย่างผิดกฎหมายระหว่างมอสโกกับเปียงยางเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงด้านความมั่นคงสำหรับนานาชาติ และเตือนว่า โซลกำลังพิจารณามาตรการตอบโต้
    .
    ก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ เผยว่า กำลังทบทวนการพิจารณาส่งอาวุธให้ยูเครนโดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่พันธมิตรตะวันตกเรียกร้องมานาน แต่โซลยังคัดค้านเนื่องจากขัดกับนโยบายดั้งเดิมภายในประเทศ
    .
    ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ยังกล่าวกับ อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป หรือก็คือองค์กรบริหารของอียู ระหว่างหารือทางโทรศัพท์ว่า ทหารเกาหลีเหนืออาจถูกส่งไปยังแนวรบในยูเครนเร็วกว่าที่คาด
    .
    นอกจากนั้น หน่วยงานข่าวกรองของโซลแถลงต่อสมาชิกรัฐสภาว่า แม้แต่นายพลระดับสูงของเกาหลีเหนือยังถูกส่งไปยังแนวหน้าในสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ตอกย้ำการกระชับความร่วมมือทางทหารของสองประเทศนี้
    .
    ลี ซองควน สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้ กล่าวเช่นนี้หลังได้รับการบรรยายสรุปจากสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (เอ็นไอเอส) ว่าเกาหลีเหนือกำลังเตรียมปล่อยดาวเทียมสอดแนมอีกครั้งโดยใช้ส่วนประกอบขั้นสูงและความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีจากรัสเซีย หลังจากความพยายามในเดือนพฤษภาคมล้มเหลว
    .
    พวกผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เพื่อแลกเปลี่ยนกับการส่งทหารไปช่วยรัสเซีย เกาหลีเหนือมีแนวโน้มต้องการเทคโนโลยีการทหารตั้งแต่ดาวเทียมจนถึงเรือดำน้ำสอดแนม และอาจรวมถึงการรับประกันด้านความมั่นคงจากมอสโก
    .
    ลีเสริมว่า เกาหลีเหนือพยายามปิดข่าวการส่งทหารไปประจำการในรัสเซีย โดยแจ้งกับครอบครัวทหารเหล่านั้นว่า ถูกส่งไปฝึก
    .
    สำหรับท่าทีของ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน นั้น ในช่วงหลังๆ นี้ไม่ได้ปฏิเสธข่าวนี้ โดยบอกว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือ ขณะที่เปียงยางตอนแรกยืนกรานว่า ไม่ได้ส่งทหารไปรัสเซีย กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศจึงแถลงแก้เกี้ยวว่า ถ้าหากจะมีการส่งทหารไปจริงก็จะเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ
    .
    ทางฝ่ายประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน กล่าวสำทับว่า “เร็วๆ นี้” อาจมีทหารเกาหลีเหนือในรัสเซียถึง 12,000 นาย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104387
    ..............
    Sondhi X
    เกาหลีเหนือส่งรัฐมนตรีต่างประเทศเดินทางไปรัสเซีย หนึ่งวันหลังจากสหรัฐฯ ออกมาระบุ โสมแดงส่งทหาร 10,000 นาย ไปฝึกในแดนหมีขาวและอาจส่งไปร่วมรบในยูเครนในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า พร้อมประกาศหากเป็นเช่นนั้นจริงจะเลิกตั้งข้อจำกัดเคียฟในการใช้อาวุธโจมตีเข้าไปในรัสเซีย ขณะที่หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้คาดทหารโสมแดงอาจถูกส่งลงสมรภูมิยูเครนเร็วกว่าคาด . สำนักข่าวทาสส์ของทางการรัสเซียรายงานเมื่อวันอังคาร (29) ว่า โช ซอนฮุย รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ เดินทางถึงเมืองวลาดิวอสต็อก เมืองใหญ่ทางภาคตะวันออกไกลของรัสเซียแล้ว และมีกำหนดจะเดินทางต่อไปยังกรุงมอสโกในวันพุธ (30) เพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่รัสเซีย แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร . รายงานนี้ออกมาหลังจากเมื่อวันจันทร์ (28) ซาบรินา ซิงห์ รองโฆษกของกระทรวงกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) แถลงว่า เกาหลีเหนือจัดส่งทหารราว 10,000 นายไปฝึกในรัสเซีย ซึ่งมากกว่าที่เคยประเมินก่อนหน้านี้ถึง 7,000 นาย และทหารเหล่านั้นอาจถูกส่งไปสู้รบในยูเครนในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า . ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุว่า สถานการณ์นี้ “อันตรายมาก” . เพนตากอนยังประกาศว่า หากทหารเกาหลีเหนือเข้าสู่สงครามยูเครน ก็จะไม่ตั้งข้อจำกัดห้ามเคียฟใช้อาวุธของอเมริกา หลังจากก่อนหน้านี้สหรัฐฯ แสดงท่าทียังไม่พร้อมที่จะทำตามคำรบเร้าของเคียฟ ที่ต้องการให้สหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตกจัดส่งพวกอาวุธพิสัยทำการไกลๆ ให้แก่ยูเครน รวมทั้งอนุญาตให้ยูเครนนำอาวุธที่ได้รับจากตะวันตกซึ่งมีสมรรถนะเช่นนี้อยู่แล้ว ไปใช้ในการโจมตีลึกเข้าไปแดนหมีขาว . ขณะที่ แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ได้แจ้งกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของทั้งรัสเซียและเกาหลีเหนือ เกี่ยวกับการดำเนินการของทั้งสองประเทศที่ถือเป็นการบ่อนทำลายเสถียรภาพ . ด้านมาร์ค รึตเตอ เลขาธิการขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ความเคลื่อนไหวนี้เป็นการขยายสงครามที่อันตรายของรัสเซีย อีกทั้งเป็นสัญญาณว่า ปูตินสิ้นหวังมากขึ้น . รึตเตออ้างตัวเลขของฝ่ายตะวันตกที่ระบุว่า ทหารรัสเซียกว่า 600,000 นายเสียชีวิตหรือบาดเจ็บระหว่างสงครามในยูเครนที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และเวลานี้เครมลินไม่สามารถบุกต่อโดยไม่มีการสนับสนุนจากต่างชาติ . เลขาธิการนาโตแถลงเช่นนี้ในบรัสเซลส์ หลังจากได้ฟังสรุปสถานการณ์จากทางเจ้าหน้าที่ข่าวกรองเกาหลีใต้ว่า ขณะนี้สามารถยืนยันได้ว่า ทหารเกาหลีเหนือถูกส่งไปประจำการภาคสนามในแคว้นคูร์สก์ ทางตะวันตกของรัสเซีย ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยูเครนได้ส่งกำลังบุกเข้าไปในคูร์สก์ และยึดพื้นที่ได้จำนวนหนึ่ง ถึงแม้ทางรัสเซียแถลงในระยะหลังๆ ว่า ได้ยันการบุกของฝ่ายเคียฟเอาไว้ได้แล้ว และกำลังค่อยๆ ช่วงชิงพื้นที่ซึ่งถูกยึดไปกลับคืนมา . ทางด้านประธานาธิบดียุน ซอกยอน ของเกาหลีใต้ ระบุเมื่อวันอังคาร (29 ต.ค.) ว่า การขยายความร่วมมือทางทหารอย่างผิดกฎหมายระหว่างมอสโกกับเปียงยางเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงด้านความมั่นคงสำหรับนานาชาติ และเตือนว่า โซลกำลังพิจารณามาตรการตอบโต้ . ก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ เผยว่า กำลังทบทวนการพิจารณาส่งอาวุธให้ยูเครนโดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่พันธมิตรตะวันตกเรียกร้องมานาน แต่โซลยังคัดค้านเนื่องจากขัดกับนโยบายดั้งเดิมภายในประเทศ . ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ยังกล่าวกับ อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป หรือก็คือองค์กรบริหารของอียู ระหว่างหารือทางโทรศัพท์ว่า ทหารเกาหลีเหนืออาจถูกส่งไปยังแนวรบในยูเครนเร็วกว่าที่คาด . นอกจากนั้น หน่วยงานข่าวกรองของโซลแถลงต่อสมาชิกรัฐสภาว่า แม้แต่นายพลระดับสูงของเกาหลีเหนือยังถูกส่งไปยังแนวหน้าในสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ตอกย้ำการกระชับความร่วมมือทางทหารของสองประเทศนี้ . ลี ซองควน สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้ กล่าวเช่นนี้หลังได้รับการบรรยายสรุปจากสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (เอ็นไอเอส) ว่าเกาหลีเหนือกำลังเตรียมปล่อยดาวเทียมสอดแนมอีกครั้งโดยใช้ส่วนประกอบขั้นสูงและความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีจากรัสเซีย หลังจากความพยายามในเดือนพฤษภาคมล้มเหลว . พวกผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เพื่อแลกเปลี่ยนกับการส่งทหารไปช่วยรัสเซีย เกาหลีเหนือมีแนวโน้มต้องการเทคโนโลยีการทหารตั้งแต่ดาวเทียมจนถึงเรือดำน้ำสอดแนม และอาจรวมถึงการรับประกันด้านความมั่นคงจากมอสโก . ลีเสริมว่า เกาหลีเหนือพยายามปิดข่าวการส่งทหารไปประจำการในรัสเซีย โดยแจ้งกับครอบครัวทหารเหล่านั้นว่า ถูกส่งไปฝึก . สำหรับท่าทีของ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน นั้น ในช่วงหลังๆ นี้ไม่ได้ปฏิเสธข่าวนี้ โดยบอกว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือ ขณะที่เปียงยางตอนแรกยืนกรานว่า ไม่ได้ส่งทหารไปรัสเซีย กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศจึงแถลงแก้เกี้ยวว่า ถ้าหากจะมีการส่งทหารไปจริงก็จะเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ . ทางฝ่ายประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน กล่าวสำทับว่า “เร็วๆ นี้” อาจมีทหารเกาหลีเหนือในรัสเซียถึง 12,000 นาย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104387 .............. Sondhi X
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1786 มุมมอง 0 รีวิว