• Apple M5 ทำลายสถิติ! ชนะ Intel และ AMD ในการทดสอบ single-core บน Windows 11 แบบ virtualized

    ชิป Apple M5 รุ่นใหม่ถูกนำไปทดสอบบน Windows 11 ผ่านระบบ virtualization โดยนักรีวิวจากจีนชื่อ NPacific และผลลัพธ์ก็สร้างความฮือฮา เพราะ M5 ทำคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ CPU-Z สำหรับการทดสอบแบบ single-thread โดยไม่ต้องโอเวอร์คล็อกเลย

    M5 ทำคะแนนได้ถึง 1600.2 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Intel Core i9-14900KS ที่ได้ 952 คะแนน และ AMD Ryzen 9 9950X3D ที่ได้ 867 คะแนน แม้จะรันบน Windows ผ่าน virtualization ซึ่งไม่ใช่ระบบ native ก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบแบบ multi-threaded M5 ยังตามหลังชิปที่มีจำนวนคอร์มากกว่า เช่น Ryzen 9 9950X3D หรือ Intel Core i7-12700K เพราะ M5 มีเพียง 10 คอร์ และไม่มี simultaneous multithreading (SMT)

    ผลการทดสอบ single-thread CPU-Z
    Apple M5 ทำคะแนนสูงสุด 1600.2 (ไม่โอเวอร์คล็อก)
    สูงกว่า Intel Core i9-14900KS (952) และ AMD Ryzen 9 9950X3D (867)
    ทดสอบผ่าน Windows 11 virtualization

    จุดเด่นของ Apple M5
    ใช้ custom Armv9 core ความเร็วสูงสุด 4.60 GHz
    ออกแบบเพื่อเน้นประสิทธิภาพ single-thread และประหยัดพลังงาน
    เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วแบบเฉพาะจุด เช่น UI, แอปทั่วไป

    ผลการทดสอบ multi-thread CPU-Z
    M5 ทำได้ 5976.2 คะแนนจาก 10 threads
    ใกล้เคียงกับ Intel Core i7-12700K (5533) และ Ryzen 9 7900X (5935)
    ตามหลังชิปที่มี 16 threads เช่น Ryzen 9 9950X3D และ Core i5-13450HX

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/virtualized-windows-11-test-shows-apples-m5-destroying-intel-and-amds-best-in-single-core-benchmark-chinese-enthusiast-pits-ryzen-9-9950x3d-and-core-i9-14900ks-against-apples-latest-soc
    🍎 Apple M5 ทำลายสถิติ! ชนะ Intel และ AMD ในการทดสอบ single-core บน Windows 11 แบบ virtualized ชิป Apple M5 รุ่นใหม่ถูกนำไปทดสอบบน Windows 11 ผ่านระบบ virtualization โดยนักรีวิวจากจีนชื่อ NPacific และผลลัพธ์ก็สร้างความฮือฮา เพราะ M5 ทำคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ CPU-Z สำหรับการทดสอบแบบ single-thread โดยไม่ต้องโอเวอร์คล็อกเลย M5 ทำคะแนนได้ถึง 1600.2 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Intel Core i9-14900KS ที่ได้ 952 คะแนน และ AMD Ryzen 9 9950X3D ที่ได้ 867 คะแนน แม้จะรันบน Windows ผ่าน virtualization ซึ่งไม่ใช่ระบบ native ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบแบบ multi-threaded M5 ยังตามหลังชิปที่มีจำนวนคอร์มากกว่า เช่น Ryzen 9 9950X3D หรือ Intel Core i7-12700K เพราะ M5 มีเพียง 10 คอร์ และไม่มี simultaneous multithreading (SMT) ✅ ผลการทดสอบ single-thread CPU-Z ➡️ Apple M5 ทำคะแนนสูงสุด 1600.2 (ไม่โอเวอร์คล็อก) ➡️ สูงกว่า Intel Core i9-14900KS (952) และ AMD Ryzen 9 9950X3D (867) ➡️ ทดสอบผ่าน Windows 11 virtualization ✅ จุดเด่นของ Apple M5 ➡️ ใช้ custom Armv9 core ความเร็วสูงสุด 4.60 GHz ➡️ ออกแบบเพื่อเน้นประสิทธิภาพ single-thread และประหยัดพลังงาน ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วแบบเฉพาะจุด เช่น UI, แอปทั่วไป ✅ ผลการทดสอบ multi-thread CPU-Z ➡️ M5 ทำได้ 5976.2 คะแนนจาก 10 threads ➡️ ใกล้เคียงกับ Intel Core i7-12700K (5533) และ Ryzen 9 7900X (5935) ➡️ ตามหลังชิปที่มี 16 threads เช่น Ryzen 9 9950X3D และ Core i5-13450HX https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/virtualized-windows-11-test-shows-apples-m5-destroying-intel-and-amds-best-in-single-core-benchmark-chinese-enthusiast-pits-ryzen-9-9950x3d-and-core-i9-14900ks-against-apples-latest-soc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟีเจอร์ลับบน Android: “App Archiving” ตัวช่วยจัดระเบียบมือถือโดยไม่ต้องลบแอป

    หลายคนมีแอปในมือถือมากมาย ทั้งที่ใช้ทุกวันและแอปที่โหลดมาแล้วแทบไม่ได้แตะ เช่น แอปจองโรงแรม, สแกน QR, หรือแปลภาษา ซึ่งแม้จะไม่ได้ใช้บ่อย แต่ก็ยังจำเป็นในบางช่วงเวลา ปัญหาคือแอปเหล่านี้กินพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่จำเป็น และการลบออกก็ยุ่งยากเมื่อต้องติดตั้งใหม่

    Android จึงเปิดตัวฟีเจอร์ “App Archiving” ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างชาญฉลาด โดยจะลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราว, สิทธิ์การเข้าถึง และตัวซอฟต์แวร์หลัก แต่ยังเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ครบ ทำให้สามารถเรียกคืนแอปได้ทันทีเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องตั้งค่าใหม่

    สรุปฟีเจอร์ App Archiving บน Android

    1️⃣ วิธีการทำงานของ App Archiving
    หลักการของฟีเจอร์
    ลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราวและตัวซอฟต์แวร์
    เก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ในเครื่อง เช่น การตั้งค่าและบัญชี
    แอปจะไม่สามารถใช้งานได้ แต่สามารถเรียกคืนได้ทันที

    คำเตือน
    แอปที่ถูก archive จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้จนกว่าจะ restore
    หากพื้นที่เก็บข้อมูลเต็ม การ restore จะไม่สำเร็จ

    2️⃣ วิธีเปิดใช้งานแบบอัตโนมัติผ่าน Google Play Store
    ขั้นตอนการตั้งค่า
    เปิด Google Play Store
    แตะไอคอนโปรไฟล์ > Settings
    ขยายแท็บ General แล้วเปิด “Automatically archive apps”
    ระบบจะ archive แอปที่ไม่ค่อยใช้เมื่อพื้นที่ใกล้เต็ม

    คำเตือน
    แอปจะถูก archive โดยอัตโนมัติเมื่อพื้นที่เริ่มเต็ม
    หากไม่ต้องการให้แอปบางตัวถูก archive ต้องตั้งค่าแยก

    3️⃣ วิธี archive แอปแบบแมนนวลผ่าน Settings
    ขั้นตอนการ archive ด้วยตนเอง
    เปิด Settings > Apps
    เลือกแอปที่ต้องการ archive
    กด “Archive” ที่ด้านล่าง
    แอปจะถูกทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ และแสดงเป็นไอคอนจางพร้อมลูกศร

    คำเตือน
    ต้อง archive ทีละแอป ไม่สามารถเลือกหลายแอปพร้อมกันได้
    แอปที่ archive แล้วจะไม่สามารถตั้งค่าหรือเข้าถึงได้จนกว่าจะ restore

    4️⃣ วิธี restore แอปที่ถูก archive
    ขั้นตอนการเรียกคืนแอป
    แตะไอคอนแอปใน app drawer เพื่อ restore
    หรือไปที่ Settings > Apps > [ชื่อแอป] > Restore
    แอปจะถูกดาวน์โหลดใหม่จาก Play Store

    คำเตือน
    ต้องมีอินเทอร์เน็ตเพื่อดาวน์โหลดแอปกลับมา
    หากพื้นที่เต็ม จะไม่สามารถติดตั้งแอปได้

    5️⃣ วิธีปิดการ archive อัตโนมัติสำหรับแอปบางตัว
    ขั้นตอนการยกเว้นแอป
    ไปที่ Settings > Apps
    เลือกแอปที่ต้องการยกเว้น
    ปิด “Manage app if unused”

    คำเตือน
    แอปที่ถูกยกเว้นจะไม่ถูก archive แม้จะไม่ใช้งานนาน
    อาจทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลเต็มเร็วขึ้น

    https://www.slashgear.com/2001308/hidden-android-apps-archive-feature-how-use/
    📱 ฟีเจอร์ลับบน Android: “App Archiving” ตัวช่วยจัดระเบียบมือถือโดยไม่ต้องลบแอป หลายคนมีแอปในมือถือมากมาย ทั้งที่ใช้ทุกวันและแอปที่โหลดมาแล้วแทบไม่ได้แตะ เช่น แอปจองโรงแรม, สแกน QR, หรือแปลภาษา ซึ่งแม้จะไม่ได้ใช้บ่อย แต่ก็ยังจำเป็นในบางช่วงเวลา ปัญหาคือแอปเหล่านี้กินพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่จำเป็น และการลบออกก็ยุ่งยากเมื่อต้องติดตั้งใหม่ Android จึงเปิดตัวฟีเจอร์ “App Archiving” ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างชาญฉลาด โดยจะลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราว, สิทธิ์การเข้าถึง และตัวซอฟต์แวร์หลัก แต่ยังเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ครบ ทำให้สามารถเรียกคืนแอปได้ทันทีเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องตั้งค่าใหม่ 🔍 สรุปฟีเจอร์ App Archiving บน Android 1️⃣ วิธีการทำงานของ App Archiving ✅ หลักการของฟีเจอร์ ➡️ ลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราวและตัวซอฟต์แวร์ ➡️ เก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ในเครื่อง เช่น การตั้งค่าและบัญชี ➡️ แอปจะไม่สามารถใช้งานได้ แต่สามารถเรียกคืนได้ทันที ‼️ คำเตือน ⛔ แอปที่ถูก archive จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้จนกว่าจะ restore ⛔ หากพื้นที่เก็บข้อมูลเต็ม การ restore จะไม่สำเร็จ 2️⃣ วิธีเปิดใช้งานแบบอัตโนมัติผ่าน Google Play Store ✅ ขั้นตอนการตั้งค่า ➡️ เปิด Google Play Store ➡️ แตะไอคอนโปรไฟล์ > Settings ➡️ ขยายแท็บ General แล้วเปิด “Automatically archive apps” ➡️ ระบบจะ archive แอปที่ไม่ค่อยใช้เมื่อพื้นที่ใกล้เต็ม ‼️ คำเตือน ⛔ แอปจะถูก archive โดยอัตโนมัติเมื่อพื้นที่เริ่มเต็ม ⛔ หากไม่ต้องการให้แอปบางตัวถูก archive ต้องตั้งค่าแยก 3️⃣ วิธี archive แอปแบบแมนนวลผ่าน Settings ✅ ขั้นตอนการ archive ด้วยตนเอง ➡️ เปิด Settings > Apps ➡️ เลือกแอปที่ต้องการ archive ➡️ กด “Archive” ที่ด้านล่าง ➡️ แอปจะถูกทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ และแสดงเป็นไอคอนจางพร้อมลูกศร ‼️ คำเตือน ⛔ ต้อง archive ทีละแอป ไม่สามารถเลือกหลายแอปพร้อมกันได้ ⛔ แอปที่ archive แล้วจะไม่สามารถตั้งค่าหรือเข้าถึงได้จนกว่าจะ restore 4️⃣ วิธี restore แอปที่ถูก archive ✅ ขั้นตอนการเรียกคืนแอป ➡️ แตะไอคอนแอปใน app drawer เพื่อ restore ➡️ หรือไปที่ Settings > Apps > [ชื่อแอป] > Restore ➡️ แอปจะถูกดาวน์โหลดใหม่จาก Play Store ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีอินเทอร์เน็ตเพื่อดาวน์โหลดแอปกลับมา ⛔ หากพื้นที่เต็ม จะไม่สามารถติดตั้งแอปได้ 5️⃣ วิธีปิดการ archive อัตโนมัติสำหรับแอปบางตัว ✅ ขั้นตอนการยกเว้นแอป ➡️ ไปที่ Settings > Apps ➡️ เลือกแอปที่ต้องการยกเว้น ➡️ ปิด “Manage app if unused” ‼️ คำเตือน ⛔ แอปที่ถูกยกเว้นจะไม่ถูก archive แม้จะไม่ใช้งานนาน ⛔ อาจทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลเต็มเร็วขึ้น https://www.slashgear.com/2001308/hidden-android-apps-archive-feature-how-use/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Hidden Android Setting Makes Managing Apps Easier And Quicker - SlashGear
    Android’s app archiving feature automatically removes unused apps while keeping data safe, freeing storage and decluttering your phone.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ OAuth เจาะระบบคลาวด์ – เปลี่ยนรหัสผ่านก็ไม่ช่วย!”

    นักวิจัยจาก Proofpoint ออกมาเตือนว่า ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังใช้ช่องโหว่ในระบบ OAuth เพื่อเจาะเข้าระบบคลาวด์ขององค์กรต่าง ๆ และที่น่ากลัวคือ แม้จะเปลี่ยนรหัสผ่านหรือเปิดใช้ MFA (Multi-Factor Authentication) ก็ยังไม่สามารถไล่แฮกเกอร์ออกจากระบบได้!

    วิธีการคือ แฮกเกอร์จะใช้บัญชีที่ถูกเจาะเข้าไปสร้างแอปภายในที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เช่น ไฟล์ อีเมล หรือระบบสื่อสาร แล้วอนุมัติแอปนั้นให้ทำงานได้อย่างถาวร แม้บัญชีผู้ใช้จะถูกเปลี่ยนรหัสหรือปิดการใช้งาน แอปที่ถูกสร้างไว้ก็ยังคงทำงานอยู่ ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบได้ต่อเนื่อง

    มีกรณีตัวอย่างที่นักวิจัยพบว่า หลังจากผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านแล้ว ยังมีการพยายามล็อกอินจาก IP ในไนจีเรีย ซึ่งคาดว่าเป็นต้นทางของแฮกเกอร์ แต่แอปที่ถูกสร้างไว้ยังคงทำงานได้ตามปกติ

    ช่องโหว่นี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี เพราะมีการใช้งานจริงแล้วในหลายกรณี และอาจนำไปสู่การขโมยข้อมูล การแฝงตัวในระบบ และการโจมตีต่อเนื่องแบบเงียบ ๆ โดยที่องค์กรไม่รู้ตัว

    วิธีการโจมตีผ่าน OAuth
    แฮกเกอร์ใช้บัญชีที่ถูกเจาะสร้างแอปภายในที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล
    แอปได้รับการอนุมัติให้ทำงานอย่างถาวร
    แม้เปลี่ยนรหัสผ่านหรือเปิด MFA แอปยังคงทำงานได้
    แอปสามารถเข้าถึงไฟล์ อีเมล และระบบสื่อสารภายใน
    เป็นการโจมตีแบบ “Adversary-in-the-middle” ที่แฝงตัวในระบบ

    กรณีตัวอย่างจาก Proofpoint
    พบการล็อกอินจาก IP ในไนจีเรียหลังเปลี่ยนรหัสผ่าน
    แอปยังคงทำงานได้แม้บัญชีถูกเปลี่ยน
    เป็นการโจมตีที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี
    นักวิจัยสร้างเครื่องมือจำลองการโจมตีเพื่อศึกษารูปแบบ

    แนวทางป้องกันและคำแนะนำ
    ต้องตรวจสอบสิทธิ์ของแอปภายในอย่างสม่ำเสมอ
    ควรมีระบบตรวจสอบและแจ้งเตือนเมื่อมีการสร้างแอปใหม่
    การลบสิทธิ์ของแอปเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดการเข้าถึง
    แอปที่ได้รับสิทธิ์จะมี credential ที่ใช้ได้นานถึง 2 ปี

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-exploiting-oauth-loophole-for-persistent-access-and-resetting-your-password-wont-save-you
    🕵️‍♂️ “แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ OAuth เจาะระบบคลาวด์ – เปลี่ยนรหัสผ่านก็ไม่ช่วย!” นักวิจัยจาก Proofpoint ออกมาเตือนว่า ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังใช้ช่องโหว่ในระบบ OAuth เพื่อเจาะเข้าระบบคลาวด์ขององค์กรต่าง ๆ และที่น่ากลัวคือ แม้จะเปลี่ยนรหัสผ่านหรือเปิดใช้ MFA (Multi-Factor Authentication) ก็ยังไม่สามารถไล่แฮกเกอร์ออกจากระบบได้! วิธีการคือ แฮกเกอร์จะใช้บัญชีที่ถูกเจาะเข้าไปสร้างแอปภายในที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เช่น ไฟล์ อีเมล หรือระบบสื่อสาร แล้วอนุมัติแอปนั้นให้ทำงานได้อย่างถาวร แม้บัญชีผู้ใช้จะถูกเปลี่ยนรหัสหรือปิดการใช้งาน แอปที่ถูกสร้างไว้ก็ยังคงทำงานอยู่ ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบได้ต่อเนื่อง มีกรณีตัวอย่างที่นักวิจัยพบว่า หลังจากผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านแล้ว ยังมีการพยายามล็อกอินจาก IP ในไนจีเรีย ซึ่งคาดว่าเป็นต้นทางของแฮกเกอร์ แต่แอปที่ถูกสร้างไว้ยังคงทำงานได้ตามปกติ ช่องโหว่นี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี เพราะมีการใช้งานจริงแล้วในหลายกรณี และอาจนำไปสู่การขโมยข้อมูล การแฝงตัวในระบบ และการโจมตีต่อเนื่องแบบเงียบ ๆ โดยที่องค์กรไม่รู้ตัว ✅ วิธีการโจมตีผ่าน OAuth ➡️ แฮกเกอร์ใช้บัญชีที่ถูกเจาะสร้างแอปภายในที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล ➡️ แอปได้รับการอนุมัติให้ทำงานอย่างถาวร ➡️ แม้เปลี่ยนรหัสผ่านหรือเปิด MFA แอปยังคงทำงานได้ ➡️ แอปสามารถเข้าถึงไฟล์ อีเมล และระบบสื่อสารภายใน ➡️ เป็นการโจมตีแบบ “Adversary-in-the-middle” ที่แฝงตัวในระบบ ✅ กรณีตัวอย่างจาก Proofpoint ➡️ พบการล็อกอินจาก IP ในไนจีเรียหลังเปลี่ยนรหัสผ่าน ➡️ แอปยังคงทำงานได้แม้บัญชีถูกเปลี่ยน ➡️ เป็นการโจมตีที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ➡️ นักวิจัยสร้างเครื่องมือจำลองการโจมตีเพื่อศึกษารูปแบบ ✅ แนวทางป้องกันและคำแนะนำ ➡️ ต้องตรวจสอบสิทธิ์ของแอปภายในอย่างสม่ำเสมอ ➡️ ควรมีระบบตรวจสอบและแจ้งเตือนเมื่อมีการสร้างแอปใหม่ ➡️ การลบสิทธิ์ของแอปเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดการเข้าถึง ➡️ แอปที่ได้รับสิทธิ์จะมี credential ที่ใช้ได้นานถึง 2 ปี https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-exploiting-oauth-loophole-for-persistent-access-and-resetting-your-password-wont-save-you
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Spring อุดช่องโหว่ SpEL และ STOMP CSRF — ป้องกันการรั่วไหลข้อมูลและการแฮ็ก WebSocket” — เมื่อเฟรมเวิร์กยอดนิยมของ Java ต้องรีบออกแพตช์เพื่อหยุดการโจมตีแบบใหม่

    ทีม Spring ของ VMware Tanzu ได้ออกแพตช์ด่วนสำหรับช่องโหว่ 2 รายการที่ส่งผลกระทบต่อ Spring Cloud Gateway และ Spring Framework ซึ่งอาจเปิดช่องให้แฮ็กเกอร์เข้าถึงข้อมูลลับ หรือส่งข้อความ WebSocket โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-41253 เกิดจากการใช้ Spring Expression Language (SpEL) ในการกำหนด route ของแอปพลิเคชัน Spring Cloud Gateway Server Webflux โดยหากเปิด actuator endpoint แบบไม่ปลอดภัย และอนุญาตให้บุคคลภายนอกกำหนด route ได้ ก็อาจทำให้แฮ็กเกอร์อ่าน environment variables, system properties หรือแม้แต่ token และ API key ได้จาก runtime environment

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-41254 เกิดใน Spring Framework ที่ใช้ STOMP over WebSocket ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อส่งข้อความโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ CSRF ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์แบบ real-time ได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์

    Spring ได้ออกแพตช์สำหรับทั้งสองช่องโหว่แล้ว โดยแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถอัปเดตทันที ให้ปิดการเข้าถึง actuator endpoint หรือเพิ่มการป้องกันให้ปลอดภัยมากขึ้น

    Spring ออกแพตช์สำหรับช่องโหว่ CVE-2025-41253 และ CVE-2025-41254
    ส่งผลกระทบต่อ Spring Cloud Gateway และ Spring Framework

    CVE-2025-41253 เกิดจากการใช้ SpEL ใน route configuration
    อาจทำให้แฮ็กเกอร์อ่านข้อมูลลับจาก environment ได้

    เงื่อนไขที่ทำให้เกิดช่องโหว่: ใช้ Webflux, เปิด actuator endpoint, และอนุญาตให้กำหนด route ด้วย SpEL
    ไม่ส่งผลกับ WebMVC

    CVE-2025-41254 เกิดจาก STOMP over WebSocket ที่ไม่ตรวจสอบ CSRF
    อาจถูกใช้ส่งข้อความโดยไม่ได้รับอนุญาต

    Spring ออกแพตช์ในเวอร์ชัน OSS และ Commercial หลายรุ่น
    เช่น 4.3.2, 4.2.6, 6.2.12, 5.3.46 เป็นต้น

    มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตทันที
    เช่น ปิด actuator endpoint หรือเพิ่มการป้องกัน

    แอปที่เปิด actuator endpoint โดยไม่ป้องกันมีความเสี่ยงสูง
    อาจถูกใช้เพื่ออ่านข้อมูลลับจากระบบ

    STOMP over WebSocket ที่ไม่ตรวจสอบ CSRF อาจถูกใช้โจมตีแบบ real-time
    เหมาะกับระบบแชต, dashboard หรือ IoT ที่มีความอ่อนไหว

    ผู้ใช้ Spring รุ่นเก่าอาจยังไม่ได้รับแพตช์
    ต้องอัปเกรดหรือใช้วิธีป้องกันชั่วคราว

    การใช้ SpEL โดยไม่จำกัดสิทธิ์อาจเปิดช่องให้รันคำสั่งอันตราย
    ควรจำกัดการเข้าถึงและตรวจสอบ route configuration อย่างเข้มงวด

    https://securityonline.info/spring-patches-two-flaws-spel-injection-cve-2025-41253-leaks-secrets-stomp-csrf-bypasses-websocket-security/
    🛡️ “Spring อุดช่องโหว่ SpEL และ STOMP CSRF — ป้องกันการรั่วไหลข้อมูลและการแฮ็ก WebSocket” — เมื่อเฟรมเวิร์กยอดนิยมของ Java ต้องรีบออกแพตช์เพื่อหยุดการโจมตีแบบใหม่ ทีม Spring ของ VMware Tanzu ได้ออกแพตช์ด่วนสำหรับช่องโหว่ 2 รายการที่ส่งผลกระทบต่อ Spring Cloud Gateway และ Spring Framework ซึ่งอาจเปิดช่องให้แฮ็กเกอร์เข้าถึงข้อมูลลับ หรือส่งข้อความ WebSocket โดยไม่ได้รับอนุญาต ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-41253 เกิดจากการใช้ Spring Expression Language (SpEL) ในการกำหนด route ของแอปพลิเคชัน Spring Cloud Gateway Server Webflux โดยหากเปิด actuator endpoint แบบไม่ปลอดภัย และอนุญาตให้บุคคลภายนอกกำหนด route ได้ ก็อาจทำให้แฮ็กเกอร์อ่าน environment variables, system properties หรือแม้แต่ token และ API key ได้จาก runtime environment ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-41254 เกิดใน Spring Framework ที่ใช้ STOMP over WebSocket ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อส่งข้อความโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ CSRF ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์แบบ real-time ได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ Spring ได้ออกแพตช์สำหรับทั้งสองช่องโหว่แล้ว โดยแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถอัปเดตทันที ให้ปิดการเข้าถึง actuator endpoint หรือเพิ่มการป้องกันให้ปลอดภัยมากขึ้น ✅ Spring ออกแพตช์สำหรับช่องโหว่ CVE-2025-41253 และ CVE-2025-41254 ➡️ ส่งผลกระทบต่อ Spring Cloud Gateway และ Spring Framework ✅ CVE-2025-41253 เกิดจากการใช้ SpEL ใน route configuration ➡️ อาจทำให้แฮ็กเกอร์อ่านข้อมูลลับจาก environment ได้ ✅ เงื่อนไขที่ทำให้เกิดช่องโหว่: ใช้ Webflux, เปิด actuator endpoint, และอนุญาตให้กำหนด route ด้วย SpEL ➡️ ไม่ส่งผลกับ WebMVC ✅ CVE-2025-41254 เกิดจาก STOMP over WebSocket ที่ไม่ตรวจสอบ CSRF ➡️ อาจถูกใช้ส่งข้อความโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ Spring ออกแพตช์ในเวอร์ชัน OSS และ Commercial หลายรุ่น ➡️ เช่น 4.3.2, 4.2.6, 6.2.12, 5.3.46 เป็นต้น ✅ มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตทันที ➡️ เช่น ปิด actuator endpoint หรือเพิ่มการป้องกัน ‼️ แอปที่เปิด actuator endpoint โดยไม่ป้องกันมีความเสี่ยงสูง ⛔ อาจถูกใช้เพื่ออ่านข้อมูลลับจากระบบ ‼️ STOMP over WebSocket ที่ไม่ตรวจสอบ CSRF อาจถูกใช้โจมตีแบบ real-time ⛔ เหมาะกับระบบแชต, dashboard หรือ IoT ที่มีความอ่อนไหว ‼️ ผู้ใช้ Spring รุ่นเก่าอาจยังไม่ได้รับแพตช์ ⛔ ต้องอัปเกรดหรือใช้วิธีป้องกันชั่วคราว ‼️ การใช้ SpEL โดยไม่จำกัดสิทธิ์อาจเปิดช่องให้รันคำสั่งอันตราย ⛔ ควรจำกัดการเข้าถึงและตรวจสอบ route configuration อย่างเข้มงวด https://securityonline.info/spring-patches-two-flaws-spel-injection-cve-2025-41253-leaks-secrets-stomp-csrf-bypasses-websocket-security/
    SECURITYONLINE.INFO
    Spring Patches Two Flaws: SpEL Injection (CVE-2025-41253) Leaks Secrets, STOMP CSRF Bypasses WebSocket Security
    Spring fixed two flaws: CVE-2025-41253 allows SpEL injection in Cloud Gateway to expose secrets, and CVE-2025-41254 allows STOMP CSRF to send unauthorized WebSocket messages. Update immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อ Kindle ไม่ให้ดาวน์โหลดหนังสือที่ซื้อ — นักพัฒนาแฮกระบบเว็บเพื่ออ่านในแอปที่ตัวเองเลือก”

    Pixelmelt นักพัฒนาสายแฮกเกอร์สายเทคนิค ได้เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์สุดหัวร้อนหลังซื้อ eBook จาก Amazon แล้วพบว่าไม่สามารถอ่านผ่านแอปอื่นได้เลย Kindle Android app ก็ดันแครชซ้ำ ๆ ส่วน Kindle Web Reader ก็ไม่ให้ดาวน์โหลดไฟล์หรือ export ไปยัง Calibre ซึ่งเป็นแอปจัดการหนังสือยอดนิยมของสาย eBook

    เขาจึงตัดสินใจ “reverse-engineer” ระบบ obfuscation ของ Kindle Web Reader เพื่อดึงข้อมูลหนังสือออกมาอ่านในแอปที่ตัวเองเลือก โดยพบว่า Amazon ใช้เทคนิคซับซ้อนหลายชั้นเพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาจริง เช่น:
    การแปลงตัวอักษรเป็น glyph ID แบบสุ่ม
    การเปลี่ยน mapping ทุก 5 หน้า
    การฝัง path SVG ที่ทำให้ parser ภายนอกอ่านผิด
    การใช้หลาย font variant และ ligature
    การจำกัด API ให้โหลดได้ทีละ 5 หน้าเท่านั้น

    Pixelmelt ลองใช้ OCR แต่ล้มเหลว จึงหันมาใช้เทคนิค “pixel-perfect matching” โดยเรนเดอร์ glyph เป็นภาพ แล้วใช้ perceptual hash และ SSIM เพื่อจับคู่กับตัวอักษรจากฟอนต์ Bookerly ที่ Amazon ใช้

    ผลลัพธ์คือ เขาสามารถถอดรหัส glyph ทั้งหมด 361 แบบจากหนังสือ 920 หน้า และสร้างไฟล์ EPUB ที่มีการจัดรูปแบบเหมือนต้นฉบับแทบทุกประการ

    เขาย้ำว่าเป้าหมายไม่ใช่การละเมิดลิขสิทธิ์ แต่เพื่ออ่านหนังสือที่ “ซื้อมาแล้ว” ในแอปที่ตัวเองเลือก และเพื่อเรียนรู้เทคนิคด้าน SVG, hashing และ font metrics

    ข้อมูลในข่าว
    นักพัฒนาไม่สามารถอ่าน eBook ที่ซื้อจาก Amazon ในแอปอื่นได้
    Kindle Android app แครช และ Web Reader ไม่ให้ดาวน์โหลดหรือ export
    Amazon ใช้ระบบ obfuscation หลายชั้นเพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหา
    ตัวอักษรถูกแปลงเป็น glyph ID แบบสุ่ม และเปลี่ยนทุก 5 หน้า
    API จำกัดให้โหลดได้ทีละ 5 หน้า
    glyphs ถูกฝังด้วย path SVG ที่ทำให้ parser อ่านผิด
    ใช้หลาย font variant เช่น bold, italic, ligature
    OCR ล้มเหลวในการจับคู่ glyph กับตัวอักษร
    ใช้ perceptual hash และ SSIM เพื่อจับคู่ glyph กับฟอนต์ Bookerly
    ถอดรหัส glyph ได้ครบ 361 แบบจากหนังสือ 920 หน้า
    สร้างไฟล์ EPUB ที่มีการจัดรูปแบบเหมือนต้นฉบับ
    ย้ำว่าเป้าหมายคือการอ่านหนังสือที่ซื้อมาแล้ว ไม่ใช่ละเมิดลิขสิทธิ์
    ได้เรียนรู้เทคนิคด้าน SVG rendering, hashing และ font metrics

    https://blog.pixelmelt.dev/kindle-web-drm/
    📚 “เมื่อ Kindle ไม่ให้ดาวน์โหลดหนังสือที่ซื้อ — นักพัฒนาแฮกระบบเว็บเพื่ออ่านในแอปที่ตัวเองเลือก” Pixelmelt นักพัฒนาสายแฮกเกอร์สายเทคนิค ได้เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์สุดหัวร้อนหลังซื้อ eBook จาก Amazon แล้วพบว่าไม่สามารถอ่านผ่านแอปอื่นได้เลย Kindle Android app ก็ดันแครชซ้ำ ๆ ส่วน Kindle Web Reader ก็ไม่ให้ดาวน์โหลดไฟล์หรือ export ไปยัง Calibre ซึ่งเป็นแอปจัดการหนังสือยอดนิยมของสาย eBook เขาจึงตัดสินใจ “reverse-engineer” ระบบ obfuscation ของ Kindle Web Reader เพื่อดึงข้อมูลหนังสือออกมาอ่านในแอปที่ตัวเองเลือก โดยพบว่า Amazon ใช้เทคนิคซับซ้อนหลายชั้นเพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาจริง เช่น: 🔡 การแปลงตัวอักษรเป็น glyph ID แบบสุ่ม 🔡 การเปลี่ยน mapping ทุก 5 หน้า 🔡 การฝัง path SVG ที่ทำให้ parser ภายนอกอ่านผิด 🔡 การใช้หลาย font variant และ ligature 🔡 การจำกัด API ให้โหลดได้ทีละ 5 หน้าเท่านั้น Pixelmelt ลองใช้ OCR แต่ล้มเหลว จึงหันมาใช้เทคนิค “pixel-perfect matching” โดยเรนเดอร์ glyph เป็นภาพ แล้วใช้ perceptual hash และ SSIM เพื่อจับคู่กับตัวอักษรจากฟอนต์ Bookerly ที่ Amazon ใช้ ผลลัพธ์คือ เขาสามารถถอดรหัส glyph ทั้งหมด 361 แบบจากหนังสือ 920 หน้า และสร้างไฟล์ EPUB ที่มีการจัดรูปแบบเหมือนต้นฉบับแทบทุกประการ เขาย้ำว่าเป้าหมายไม่ใช่การละเมิดลิขสิทธิ์ แต่เพื่ออ่านหนังสือที่ “ซื้อมาแล้ว” ในแอปที่ตัวเองเลือก และเพื่อเรียนรู้เทคนิคด้าน SVG, hashing และ font metrics ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ นักพัฒนาไม่สามารถอ่าน eBook ที่ซื้อจาก Amazon ในแอปอื่นได้ ➡️ Kindle Android app แครช และ Web Reader ไม่ให้ดาวน์โหลดหรือ export ➡️ Amazon ใช้ระบบ obfuscation หลายชั้นเพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหา ➡️ ตัวอักษรถูกแปลงเป็น glyph ID แบบสุ่ม และเปลี่ยนทุก 5 หน้า ➡️ API จำกัดให้โหลดได้ทีละ 5 หน้า ➡️ glyphs ถูกฝังด้วย path SVG ที่ทำให้ parser อ่านผิด ➡️ ใช้หลาย font variant เช่น bold, italic, ligature ➡️ OCR ล้มเหลวในการจับคู่ glyph กับตัวอักษร ➡️ ใช้ perceptual hash และ SSIM เพื่อจับคู่ glyph กับฟอนต์ Bookerly ➡️ ถอดรหัส glyph ได้ครบ 361 แบบจากหนังสือ 920 หน้า ➡️ สร้างไฟล์ EPUB ที่มีการจัดรูปแบบเหมือนต้นฉบับ ➡️ ย้ำว่าเป้าหมายคือการอ่านหนังสือที่ซื้อมาแล้ว ไม่ใช่ละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ ได้เรียนรู้เทคนิคด้าน SVG rendering, hashing และ font metrics https://blog.pixelmelt.dev/kindle-web-drm/
    BLOG.PIXELMELT.DEV
    How I Reversed Amazon's Kindle Web Obfuscation Because Their App Sucked
    As it turns out they don't actually want you to do this (and have some interesting ways to stop you)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Thunderbird 144 อัปเดต Flatpak Runtime — เสริมความปลอดภัยและเสถียรภาพให้ผู้ใช้ Linux”

    Mozilla Thunderbird โปรแกรมอีเมลโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยเวอร์ชัน 144 ผ่านช่องทาง Flatpak โดยมีการอัปเดตสำคัญคือการเปลี่ยน runtime ไปใช้ Freedesktop SDK 24.08 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มาพร้อมกับการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับระบบ Linux รุ่นใหม่

    การเปลี่ยน runtime นี้ช่วยให้ Thunderbird สามารถทำงานได้ดีขึ้นบนดิสโทรที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น Wayland, PipeWire และระบบ sandbox ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีเก่าที่อาจมีช่องโหว่

    นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแพ็กเกจพื้นฐาน เช่น GTK4, glibc, systemd และ Flatpak runtime core ซึ่งช่วยให้แอปทำงานได้เร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ GNOME หรือ KDE

    Thunderbird 144 ยังรองรับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream เช่น การจัดการบัญชีหลายชุด, การปรับแต่งอินเทอร์เฟซ และการเชื่อมต่อกับบริการอีเมลแบบ OAuth2 ได้ดีขึ้น

    Thunderbird 144 ปล่อยผ่าน Flatpak พร้อมอัปเดต runtime
    ใช้ Freedesktop SDK 24.08 แทนเวอร์ชันเก่า

    Freedesktop SDK 24.08 รองรับเทคโนโลยีใหม่ใน Linux
    เช่น Wayland, PipeWire, sandbox ที่ปลอดภัยขึ้น

    อัปเดตแพ็กเกจพื้นฐาน เช่น GTK4, glibc, systemd
    ช่วยให้แอปทำงานเร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น

    รองรับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream Thunderbird
    เช่น การจัดการบัญชีหลายชุด, OAuth2, ปรับแต่ง UI

    Flatpak ช่วยให้แอปทำงานแบบ isolated
    ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การอัปเดตนี้มีผลเฉพาะผู้ใช้ที่ติดตั้งผ่าน Flatpak
    ผู้ใช้จากช่องทางอื่นต้องรออัปเดตแยก

    https://9to5linux.com/mozilla-thunderbird-144-updates-the-flatpak-runtime-to-freedesktop-sdk-24-08
    📬 “Thunderbird 144 อัปเดต Flatpak Runtime — เสริมความปลอดภัยและเสถียรภาพให้ผู้ใช้ Linux” Mozilla Thunderbird โปรแกรมอีเมลโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยเวอร์ชัน 144 ผ่านช่องทาง Flatpak โดยมีการอัปเดตสำคัญคือการเปลี่ยน runtime ไปใช้ Freedesktop SDK 24.08 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มาพร้อมกับการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับระบบ Linux รุ่นใหม่ การเปลี่ยน runtime นี้ช่วยให้ Thunderbird สามารถทำงานได้ดีขึ้นบนดิสโทรที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น Wayland, PipeWire และระบบ sandbox ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีเก่าที่อาจมีช่องโหว่ นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแพ็กเกจพื้นฐาน เช่น GTK4, glibc, systemd และ Flatpak runtime core ซึ่งช่วยให้แอปทำงานได้เร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ GNOME หรือ KDE Thunderbird 144 ยังรองรับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream เช่น การจัดการบัญชีหลายชุด, การปรับแต่งอินเทอร์เฟซ และการเชื่อมต่อกับบริการอีเมลแบบ OAuth2 ได้ดีขึ้น ✅ Thunderbird 144 ปล่อยผ่าน Flatpak พร้อมอัปเดต runtime ➡️ ใช้ Freedesktop SDK 24.08 แทนเวอร์ชันเก่า ✅ Freedesktop SDK 24.08 รองรับเทคโนโลยีใหม่ใน Linux ➡️ เช่น Wayland, PipeWire, sandbox ที่ปลอดภัยขึ้น ✅ อัปเดตแพ็กเกจพื้นฐาน เช่น GTK4, glibc, systemd ➡️ ช่วยให้แอปทำงานเร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น ✅ รองรับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream Thunderbird ➡️ เช่น การจัดการบัญชีหลายชุด, OAuth2, ปรับแต่ง UI ✅ Flatpak ช่วยให้แอปทำงานแบบ isolated ➡️ ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การอัปเดตนี้มีผลเฉพาะผู้ใช้ที่ติดตั้งผ่าน Flatpak ➡️ ผู้ใช้จากช่องทางอื่นต้องรออัปเดตแยก https://9to5linux.com/mozilla-thunderbird-144-updates-the-flatpak-runtime-to-freedesktop-sdk-24-08
    9TO5LINUX.COM
    Mozilla Thunderbird 144 Updates the Flatpak Runtime to Freedesktop SDK 24.08 - 9to5Linux
    Mozilla Thunderbird 144 open-source email client is now available for download with an updated Flatpak runtime and various bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • “5 สิ่งที่ไม่ควรใช้ AI — เพราะอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่อันตรายและผิดจริยธรรม”

    แม้ AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การสร้างเพลง การสมัครงาน ไปจนถึงการควบคุมเครื่องบินรบ แต่ก็มีบางกรณีที่การใช้ AI อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่อันตราย ผิดจริยธรรม หรือส่งผลเสียต่อสังคมโดยรวม บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 5 กรณีที่ไม่ควรใช้ AI โดยเด็ดขาด พร้อมเหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง

    1. การสร้าง Deepfake ของผู้อื่น
    98% ของ deepfake ถูกใช้เพื่อสร้างสื่อโป๊โดยไม่ได้รับความยินยอม
    มีกรณีใช้ภาพนักเรียนและผู้หญิงทั่วไปเพื่อสร้างภาพลามก
    ถูกใช้เพื่อกลั่นแกล้งนักข่าวและทำลายชื่อเสียงคนดัง

    คำเตือน
    แม้ไม่ได้เผยแพร่ก็ถือว่าผิดจริยธรรม
    เทคโนโลยี deepfake ยังถูกใช้เพื่อหลอกลวงและปลอมแปลงข้อมูลทางการเมือง

    2. ขอคำแนะนำด้านสุขภาพจาก AI
    ผู้คนใช้ AI เพื่อวางแผนมื้ออาหาร ออกกำลังกาย และตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ
    AI มีแนวโน้ม “หลอน” หรือให้ข้อมูลผิดพลาด
    AI ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้

    คำเตือน
    การทำตามคำแนะนำด้านสุขภาพจาก AI อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย
    ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แทน

    3. ใช้ AI ทำการบ้านหรือเรียนแทน
    นักเรียนใช้ AI เขียนเรียงความและแก้โจทย์
    สถาบันการศึกษาบางแห่งเริ่มปรับนิยามการโกงใหม่
    การใช้ AI ทำให้ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา

    คำเตือน
    อาจส่งผลต่อคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญในอนาคต เช่น แพทย์หรือวิศวกร
    การเรียนรู้ที่ขาดกระบวนการอาจนำไปสู่ความผิดพลาดร้ายแรง

    4. ขอคำแนะนำชีวิตหรือใช้ AI เป็นนักบำบัด
    ผู้คนใช้ AI เป็นเพื่อนคุยหรือที่ปรึกษา
    มีกรณีที่ AI ไม่สามารถช่วยผู้มีแนวโน้มฆ่าตัวตายได้
    บางคนได้รับคำแนะนำที่เป็นอันตรายจาก AI

    คำเตือน
    AI ไม่ใช่นักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
    อย่าใช้ AI เป็นที่พึ่งหลักในการตัดสินใจชีวิต

    5. Vibe Coding — เขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบ
    ผู้ใช้บางคนให้ AI เขียนโค้ดทั้งหมดโดยไม่ตรวจสอบ
    ทำให้ขาดทักษะการเขียนโปรแกรมและแก้ไขข้อผิดพลาด
    มีกรณีแอปที่ใช้ vibe coding แล้วเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    คำเตือน
    โค้ดที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้รั่วไหล
    ควรตรวจสอบและทดสอบโค้ดทุกครั้งก่อนนำไปใช้งานจริง

    AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็เหมือนมีด — ใช้ถูกวิธีคือประโยชน์ ใช้ผิดคืออันตราย การรู้ขอบเขตของการใช้งานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีนี้อย่างปลอดภัยและมีจริยธรรม

    https://www.slashgear.com/1989154/things-should-never-use-ai-for/
    🤖 “5 สิ่งที่ไม่ควรใช้ AI — เพราะอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่อันตรายและผิดจริยธรรม” แม้ AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การสร้างเพลง การสมัครงาน ไปจนถึงการควบคุมเครื่องบินรบ แต่ก็มีบางกรณีที่การใช้ AI อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่อันตราย ผิดจริยธรรม หรือส่งผลเสียต่อสังคมโดยรวม บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 5 กรณีที่ไม่ควรใช้ AI โดยเด็ดขาด พร้อมเหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง ✅ 1. การสร้าง Deepfake ของผู้อื่น ➡️ 98% ของ deepfake ถูกใช้เพื่อสร้างสื่อโป๊โดยไม่ได้รับความยินยอม ➡️ มีกรณีใช้ภาพนักเรียนและผู้หญิงทั่วไปเพื่อสร้างภาพลามก ➡️ ถูกใช้เพื่อกลั่นแกล้งนักข่าวและทำลายชื่อเสียงคนดัง ‼️ คำเตือน ⛔ แม้ไม่ได้เผยแพร่ก็ถือว่าผิดจริยธรรม ⛔ เทคโนโลยี deepfake ยังถูกใช้เพื่อหลอกลวงและปลอมแปลงข้อมูลทางการเมือง ✅ 2. ขอคำแนะนำด้านสุขภาพจาก AI ➡️ ผู้คนใช้ AI เพื่อวางแผนมื้ออาหาร ออกกำลังกาย และตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ ➡️ AI มีแนวโน้ม “หลอน” หรือให้ข้อมูลผิดพลาด ➡️ AI ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ ‼️ คำเตือน ⛔ การทำตามคำแนะนำด้านสุขภาพจาก AI อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย ⛔ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แทน ✅ 3. ใช้ AI ทำการบ้านหรือเรียนแทน ➡️ นักเรียนใช้ AI เขียนเรียงความและแก้โจทย์ ➡️ สถาบันการศึกษาบางแห่งเริ่มปรับนิยามการโกงใหม่ ➡️ การใช้ AI ทำให้ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา ‼️ คำเตือน ⛔ อาจส่งผลต่อคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญในอนาคต เช่น แพทย์หรือวิศวกร ⛔ การเรียนรู้ที่ขาดกระบวนการอาจนำไปสู่ความผิดพลาดร้ายแรง ✅ 4. ขอคำแนะนำชีวิตหรือใช้ AI เป็นนักบำบัด ➡️ ผู้คนใช้ AI เป็นเพื่อนคุยหรือที่ปรึกษา ➡️ มีกรณีที่ AI ไม่สามารถช่วยผู้มีแนวโน้มฆ่าตัวตายได้ ➡️ บางคนได้รับคำแนะนำที่เป็นอันตรายจาก AI ‼️ คำเตือน ⛔ AI ไม่ใช่นักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ⛔ อย่าใช้ AI เป็นที่พึ่งหลักในการตัดสินใจชีวิต ✅ 5. Vibe Coding — เขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบ ➡️ ผู้ใช้บางคนให้ AI เขียนโค้ดทั้งหมดโดยไม่ตรวจสอบ ➡️ ทำให้ขาดทักษะการเขียนโปรแกรมและแก้ไขข้อผิดพลาด ➡️ มีกรณีแอปที่ใช้ vibe coding แล้วเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ‼️ คำเตือน ⛔ โค้ดที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้รั่วไหล ⛔ ควรตรวจสอบและทดสอบโค้ดทุกครั้งก่อนนำไปใช้งานจริง AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็เหมือนมีด — ใช้ถูกวิธีคือประโยชน์ ใช้ผิดคืออันตราย การรู้ขอบเขตของการใช้งานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีนี้อย่างปลอดภัยและมีจริยธรรม https://www.slashgear.com/1989154/things-should-never-use-ai-for/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things You Should Never Use AI For - SlashGear
    AI can make life easier, but some uses cross a line. Here’s why relying on it for health, education, coding, or advice can do more harm than good.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Datastar — เฟรมเวิร์กใหม่ที่พลิกโฉมการสร้างเว็บแบบเรียลไทม์ ด้วยไฟล์เดียวและไม่ต้องใช้ JavaScript”

    ลองนึกภาพว่าคุณสามารถสร้างเว็บแอปแบบเรียลไทม์ที่ตอบสนองไว ใช้งานง่าย และไม่ต้องพึ่งพา JavaScript ฝั่งผู้ใช้เลย — นั่นคือสิ่งที่ Datastar เสนอให้กับนักพัฒนาในยุคที่หลายคนเริ่มเบื่อกับความซับซ้อนของ SPA (Single Page Application)

    Datastar เป็นเฟรมเวิร์กน้ำหนักเบาเพียง 10.75 KiB ที่ช่วยให้คุณสร้างเว็บตั้งแต่หน้าเว็บธรรมดาไปจนถึงแอปแบบ collaborative ที่ทำงานแบบเรียลไทม์ โดยใช้แนวคิด “hypermedia-driven frontend” ซึ่งหมายถึงการควบคุม DOM และ state จากฝั่ง backend ผ่าน HTML attributes เช่น data-on-click="@get('/endpoint')" โดยไม่ต้องเขียน JavaScript ฝั่งผู้ใช้เลย

    เฟรมเวิร์กนี้รองรับการส่งข้อมูลแบบ HTML ปกติและแบบ event-stream (SSE) ทำให้สามารถอัปเดต DOM แบบเรียลไทม์ได้ง่าย และยังสามารถใช้ backend ภาษาใดก็ได้ เช่น Go, Python, Rust หรือ Node.js โดยมี SDK รองรับ

    นักพัฒนาหลายคนที่เคยใช้ React, htmx หรือ Alpine.js ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Datastar ช่วยลดความซับซ้อนของ frontend ได้อย่างมาก และทำให้พวกเขากลับมาโฟกัสกับการแก้ปัญหาทางธุรกิจแทนที่จะต้องมานั่งจัดการกับ state และ virtual DOM

    จุดเด่นของ Datastar
    เป็นเฟรมเวิร์กน้ำหนักเบาเพียง 10.75 KiB
    รองรับการสร้างเว็บแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องใช้ JavaScript ฝั่งผู้ใช้
    ใช้แนวคิด hypermedia-driven frontend ควบคุม DOM ผ่าน HTML attributes

    การทำงานแบบเรียลไทม์
    รองรับการส่งข้อมูลแบบ text/html และ text/event-stream (SSE)
    สามารถอัปเดต DOM จาก backend ได้ทันที
    ใช้คำสั่งเช่น PatchElements() เพื่อเปลี่ยนแปลง DOM แบบสดๆ

    ความยืดหยุ่นของ backend
    สามารถใช้ภาษาใดก็ได้ในการเขียน backend เช่น Go, Python, Rust
    มี SDK รองรับหลายภาษา
    ไม่จำกัดเทคโนโลยีฝั่งเซิร์ฟเวอร์

    ความเห็นจากนักพัฒนา
    ลดความซับซ้อนจาก SPA และ virtual DOM
    ใช้งานง่ายกว่า htmx หรือ Alpine.js
    เหมาะกับแอปที่ต้องการความเร็วและความเสถียร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSE (Server-Sent Events) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยัง client แบบต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเปิด WebSocket
    Hypermedia-driven frontend เป็นแนวคิดที่ใช้ข้อมูลจาก backend ควบคุม UI โดยตรง ผ่าน HTML attributes
    การไม่ใช้ JavaScript ฝั่งผู้ใช้ช่วยลดปัญหาเรื่อง bundle size, security และ performance

    https://data-star.dev/
    ⭐ “Datastar — เฟรมเวิร์กใหม่ที่พลิกโฉมการสร้างเว็บแบบเรียลไทม์ ด้วยไฟล์เดียวและไม่ต้องใช้ JavaScript” ลองนึกภาพว่าคุณสามารถสร้างเว็บแอปแบบเรียลไทม์ที่ตอบสนองไว ใช้งานง่าย และไม่ต้องพึ่งพา JavaScript ฝั่งผู้ใช้เลย — นั่นคือสิ่งที่ Datastar เสนอให้กับนักพัฒนาในยุคที่หลายคนเริ่มเบื่อกับความซับซ้อนของ SPA (Single Page Application) Datastar เป็นเฟรมเวิร์กน้ำหนักเบาเพียง 10.75 KiB ที่ช่วยให้คุณสร้างเว็บตั้งแต่หน้าเว็บธรรมดาไปจนถึงแอปแบบ collaborative ที่ทำงานแบบเรียลไทม์ โดยใช้แนวคิด “hypermedia-driven frontend” ซึ่งหมายถึงการควบคุม DOM และ state จากฝั่ง backend ผ่าน HTML attributes เช่น data-on-click="@get('/endpoint')" โดยไม่ต้องเขียน JavaScript ฝั่งผู้ใช้เลย เฟรมเวิร์กนี้รองรับการส่งข้อมูลแบบ HTML ปกติและแบบ event-stream (SSE) ทำให้สามารถอัปเดต DOM แบบเรียลไทม์ได้ง่าย และยังสามารถใช้ backend ภาษาใดก็ได้ เช่น Go, Python, Rust หรือ Node.js โดยมี SDK รองรับ นักพัฒนาหลายคนที่เคยใช้ React, htmx หรือ Alpine.js ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Datastar ช่วยลดความซับซ้อนของ frontend ได้อย่างมาก และทำให้พวกเขากลับมาโฟกัสกับการแก้ปัญหาทางธุรกิจแทนที่จะต้องมานั่งจัดการกับ state และ virtual DOM ✅ จุดเด่นของ Datastar ➡️ เป็นเฟรมเวิร์กน้ำหนักเบาเพียง 10.75 KiB ➡️ รองรับการสร้างเว็บแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องใช้ JavaScript ฝั่งผู้ใช้ ➡️ ใช้แนวคิด hypermedia-driven frontend ควบคุม DOM ผ่าน HTML attributes ✅ การทำงานแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับการส่งข้อมูลแบบ text/html และ text/event-stream (SSE) ➡️ สามารถอัปเดต DOM จาก backend ได้ทันที ➡️ ใช้คำสั่งเช่น PatchElements() เพื่อเปลี่ยนแปลง DOM แบบสดๆ ✅ ความยืดหยุ่นของ backend ➡️ สามารถใช้ภาษาใดก็ได้ในการเขียน backend เช่น Go, Python, Rust ➡️ มี SDK รองรับหลายภาษา ➡️ ไม่จำกัดเทคโนโลยีฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ✅ ความเห็นจากนักพัฒนา ➡️ ลดความซับซ้อนจาก SPA และ virtual DOM ➡️ ใช้งานง่ายกว่า htmx หรือ Alpine.js ➡️ เหมาะกับแอปที่ต้องการความเร็วและความเสถียร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSE (Server-Sent Events) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยัง client แบบต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเปิด WebSocket ➡️ Hypermedia-driven frontend เป็นแนวคิดที่ใช้ข้อมูลจาก backend ควบคุม UI โดยตรง ผ่าน HTML attributes ➡️ การไม่ใช้ JavaScript ฝั่งผู้ใช้ช่วยลดปัญหาเรื่อง bundle size, security และ performance https://data-star.dev/
    DATA-STAR.DEV
    Datastar
    The hypermedia framework.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Pebble กลับมาอีกครั้ง! เปิดตัว Appstore ใหม่ พร้อมนาฬิการุ่นล่าสุดและเครื่องมือพัฒนาอัจฉริยะ”

    ลองจินตนาการว่าแบรนด์นาฬิกาอัจฉริยะที่เคยเป็นขวัญใจนักพัฒนาเมื่อสิบปีก่อน กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมกับการเปิดตัว Pebble Appstore ใหม่ที่เต็มไปด้วยแอปเก่าและใหม่จากชุมชนผู้พัฒนา และนาฬิการุ่นล่าสุด Pebble 2 Duo และ Pebble Time 2 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และการสนับสนุนจาก Rebble กลุ่มผู้รักษาไฟ Pebble ให้ลุกโชนต่อเนื่องตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา

    Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้ประกาศข่าวดีนี้ผ่านบล็อกส่วนตัว โดยเล่าถึงความคืบหน้าในการผลิตนาฬิการุ่นใหม่ การพัฒนา Appstore และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา รวมถึงความร่วมมือกับ Rebble ที่ช่วยให้ PebbleOS กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในโลกโอเพนซอร์ส

    นอกจากนั้นยังมีการเปิดตัว SDK ที่อัปเดตใหม่ รองรับ Python 3 และ Cloud IDE ที่ให้คุณสร้างแอปได้ในเบราว์เซอร์ภายใน 2 นาที พร้อมฟีเจอร์ AI ที่ช่วยสร้างแอปอัตโนมัติ และแผนการพัฒนา SDK ที่จะรองรับเซ็นเซอร์ใหม่ๆ เช่น บารอมิเตอร์ ทัชสกรีน และลำโพง

    แม้จะมีความล่าช้าในการผลิตและข้อจำกัดบางประการ เช่น แอปเก่าบางตัวอาจไม่ทำงานได้เต็มที่ แต่ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาก็ยังคงตื่นเต้นและพร้อมกลับมาสร้างสิ่งใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มนี้อีกครั้ง

    สรุปเนื้อหาจากข่าว
    การกลับมาของ Pebble Appstore
    เปิดตัวใหม่บนเว็บไซต์ apps.rePebble.com
    รวมแอปเก่าและใหม่กว่า 2,000 แอป และ 10,000 หน้าปัดนาฬิกา
    เพิ่มฟีเจอร์แนะนำแอปคล้ายกัน และแชร์ลิงก์ผ่านโซเชียล

    ความร่วมมือกับ Rebble
    Rebble เป็นพันธมิตรหลักในการเปิด Appstore ใหม่
    ให้บริการ backend และ dev portal โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก
    Core Devices สนับสนุนเงินทุนให้ Rebble โดยตรง

    การผลิตนาฬิการุ่นใหม่
    Pebble 2 Duo สีขาวผลิตแล้ว 2,960 เรือนในเดือนกันยายน
    Pebble Time 2 อยู่ในขั้นตอน DVT และคาดว่าจะผลิตจริงปลายธันวาคม
    รองรับการขยายหน้าจอแอปเก่าให้เต็มจอ PT2

    เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา
    SDK อัปเดตจาก Python 2 เป็น Python 3
    Cloud IDE สร้างแอปในเบราว์เซอร์ได้ภายใน 2 นาที
    รองรับการสร้างแอปด้วย AI ผ่านคำสั่ง pebble new-project --ai
    รองรับการทดสอบบน emulator รุ่นใหม่
    แผนพัฒนา SDK รวมถึง API ใหม่และ JS SDK จาก Moddable

    ความเห็นจากชุมชน
    นักพัฒนาเก่ากลับมาสร้างแอปใหม่อีกครั้ง
    ผู้ใช้ตื่นเต้นกับการกลับมาของ Pebble และการสนับสนุนจาก Rebble
    มีข้อเสนอแนะให้เพิ่มระบบตรวจสอบแอปที่ยังใช้งานได้

    คำเตือนและข้อจำกัด
    แอปเก่าบางตัวอาจไม่ทำงานเนื่องจาก API ที่ล้าสมัยหรือหน้าตั้งค่าที่เสีย
    การผลิต Pebble Time 2 ล่าช้ากว่ากำหนด อาจส่งผลต่อการจัดส่ง
    แอปที่สร้างด้วย AI อาจมีคุณภาพไม่เสถียร หากผู้สร้างไม่มีความรู้ในการแก้ไข
    แอปมือถือใหม่ยังไม่เปิดซอร์ส ทำให้บางผู้ใช้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

    https://ericmigi.com/blog/re-introducing-the-pebble-appstore
    ⌚ “Pebble กลับมาอีกครั้ง! เปิดตัว Appstore ใหม่ พร้อมนาฬิการุ่นล่าสุดและเครื่องมือพัฒนาอัจฉริยะ” ลองจินตนาการว่าแบรนด์นาฬิกาอัจฉริยะที่เคยเป็นขวัญใจนักพัฒนาเมื่อสิบปีก่อน กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมกับการเปิดตัว Pebble Appstore ใหม่ที่เต็มไปด้วยแอปเก่าและใหม่จากชุมชนผู้พัฒนา และนาฬิการุ่นล่าสุด Pebble 2 Duo และ Pebble Time 2 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และการสนับสนุนจาก Rebble กลุ่มผู้รักษาไฟ Pebble ให้ลุกโชนต่อเนื่องตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้ประกาศข่าวดีนี้ผ่านบล็อกส่วนตัว โดยเล่าถึงความคืบหน้าในการผลิตนาฬิการุ่นใหม่ การพัฒนา Appstore และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา รวมถึงความร่วมมือกับ Rebble ที่ช่วยให้ PebbleOS กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในโลกโอเพนซอร์ส นอกจากนั้นยังมีการเปิดตัว SDK ที่อัปเดตใหม่ รองรับ Python 3 และ Cloud IDE ที่ให้คุณสร้างแอปได้ในเบราว์เซอร์ภายใน 2 นาที พร้อมฟีเจอร์ AI ที่ช่วยสร้างแอปอัตโนมัติ และแผนการพัฒนา SDK ที่จะรองรับเซ็นเซอร์ใหม่ๆ เช่น บารอมิเตอร์ ทัชสกรีน และลำโพง แม้จะมีความล่าช้าในการผลิตและข้อจำกัดบางประการ เช่น แอปเก่าบางตัวอาจไม่ทำงานได้เต็มที่ แต่ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาก็ยังคงตื่นเต้นและพร้อมกลับมาสร้างสิ่งใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มนี้อีกครั้ง สรุปเนื้อหาจากข่าว ✅ การกลับมาของ Pebble Appstore ➡️ เปิดตัวใหม่บนเว็บไซต์ apps.rePebble.com ➡️ รวมแอปเก่าและใหม่กว่า 2,000 แอป และ 10,000 หน้าปัดนาฬิกา ➡️ เพิ่มฟีเจอร์แนะนำแอปคล้ายกัน และแชร์ลิงก์ผ่านโซเชียล ✅ ความร่วมมือกับ Rebble ➡️ Rebble เป็นพันธมิตรหลักในการเปิด Appstore ใหม่ ➡️ ให้บริการ backend และ dev portal โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก ➡️ Core Devices สนับสนุนเงินทุนให้ Rebble โดยตรง ✅ การผลิตนาฬิการุ่นใหม่ ➡️ Pebble 2 Duo สีขาวผลิตแล้ว 2,960 เรือนในเดือนกันยายน ➡️ Pebble Time 2 อยู่ในขั้นตอน DVT และคาดว่าจะผลิตจริงปลายธันวาคม ➡️ รองรับการขยายหน้าจอแอปเก่าให้เต็มจอ PT2 ✅ เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา ➡️ SDK อัปเดตจาก Python 2 เป็น Python 3 ➡️ Cloud IDE สร้างแอปในเบราว์เซอร์ได้ภายใน 2 นาที ➡️ รองรับการสร้างแอปด้วย AI ผ่านคำสั่ง pebble new-project --ai ➡️ รองรับการทดสอบบน emulator รุ่นใหม่ ➡️ แผนพัฒนา SDK รวมถึง API ใหม่และ JS SDK จาก Moddable ✅ ความเห็นจากชุมชน ➡️ นักพัฒนาเก่ากลับมาสร้างแอปใหม่อีกครั้ง ➡️ ผู้ใช้ตื่นเต้นกับการกลับมาของ Pebble และการสนับสนุนจาก Rebble ➡️ มีข้อเสนอแนะให้เพิ่มระบบตรวจสอบแอปที่ยังใช้งานได้ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ แอปเก่าบางตัวอาจไม่ทำงานเนื่องจาก API ที่ล้าสมัยหรือหน้าตั้งค่าที่เสีย ⛔ การผลิต Pebble Time 2 ล่าช้ากว่ากำหนด อาจส่งผลต่อการจัดส่ง ⛔ แอปที่สร้างด้วย AI อาจมีคุณภาพไม่เสถียร หากผู้สร้างไม่มีความรู้ในการแก้ไข ⛔ แอปมือถือใหม่ยังไม่เปิดซอร์ส ทำให้บางผู้ใช้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว https://ericmigi.com/blog/re-introducing-the-pebble-appstore
    ERICMIGI.COM
    (re)Introducing the Pebble Appstore
    (re)Introducing the Pebble Appstore
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: Ubuntu 25.10 เจอปัญหาใหญ่! Flatpak ติดตั้งไม่ได้ – Canonical เร่งปล่อยแพตช์แก้ไข

    หลังจาก Ubuntu 25.10 “Questing Quokka” เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น Linux Kernel 6.17 และ GNOME 49 ก็ดูเหมือนว่าผู้ใช้จะได้เจอกับปัญหาใหญ่ที่ไม่คาดคิด นั่นคือ Flatpak ซึ่งเป็นระบบจัดการแพ็กเกจยอดนิยม กลับไม่สามารถติดตั้งแอปได้เลยในเวอร์ชันนี้!

    เรื่องเริ่มต้นจากผู้ใช้ที่อัปเกรดมาใช้ Ubuntu 25.10 แล้วพบว่าไม่สามารถติดตั้งแอปจาก Flathub ได้ โดยระบบแจ้งข้อผิดพลาดว่า “Could not unmount revokefs-fuse filesystem” และ “Child process exited with code 1” ซึ่งทำให้การติดตั้ง Flatpak ล้มเหลวทั้งหมด

    สาเหตุของปัญหานี้มาจาก AppArmor ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยของ Ubuntu โดยโปรไฟล์ของ fusermount3 ที่ Flatpak ใช้ในการ mount/unmount ไฟล์ระบบนั้น ถูกจำกัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าถึงไฟล์สำคัญอย่าง /run/mount/utab และไฟล์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้กระบวนการติดตั้งไม่สามารถดำเนินการได้

    แม้ว่าจะมีวิธีแก้ชั่วคราวคือการปิดโปรไฟล์ AppArmor สำหรับ fusermount3 แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยนัก และยังไม่ได้ผลในทุกกรณี ทาง Canonical จึงเร่งออกแพตช์แก้ไข ซึ่งล่าสุดได้ปล่อยออกมาแล้ว

    นอกจากข่าวนี้ ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Flatpak:

    Flatpak เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่เน้นความปลอดภัย โดยแอปจะทำงานใน sandbox แยกจากระบบหลัก
    ได้รับความนิยมในหลายดิสโทร เช่น Fedora, Linux Mint และมีแหล่งรวมแอปชื่อ Flathub
    การทำงานของ Flatpak พึ่งพา fusermount3 ในการจัดการไฟล์ระบบ ซึ่งหากถูกจำกัดสิทธิ์โดย AppArmor ก็จะทำให้การติดตั้งล้มเหลว

    Ubuntu 25.10 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่
    ใช้ Linux Kernel 6.17 และ GNOME 49
    มีการปรับปรุงแอปเริ่มต้นและระบบเบื้องหลังหลายจุด

    ปัญหา Flatpak ติดตั้งไม่ได้
    เกิดจากข้อผิดพลาด “Could not unmount revokefs-fuse filesystem”
    ระบบแจ้ง “Child process exited with code 1”
    Flatpak ล้มเหลวในการติดตั้งแอปทั้งหมด

    สาเหตุของปัญหา
    AppArmor จำกัดสิทธิ์ fusermount3
    ไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ /run/mount/utab และไฟล์ที่เกี่ยวข้อง
    ส่งผลให้การ unmount ล้มเหลว

    วิธีแก้ไข
    Canonical ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้ว
    มีวิธีชั่วคราวคือปิดโปรไฟล์ AppArmor สำหรับ fusermount3

    คำเตือนเกี่ยวกับวิธีแก้ชั่วคราว
    การปิด AppArmor ลดความปลอดภัยของระบบ
    วิธีนี้อาจไม่ได้ผลในทุกกรณี

    ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับ Flatpak
    เป็นระบบจัดการแพ็กเกจแบบ sandbox
    ใช้ fusermount3 ในการจัดการไฟล์ระบบ
    มีแหล่งรวมแอปชื่อ Flathub ที่ได้รับความนิยมในวงการ Linux

    https://news.itsfoss.com/ubuntu-25-10-flatpak-bug/
    📰 หัวข้อข่าว: Ubuntu 25.10 เจอปัญหาใหญ่! Flatpak ติดตั้งไม่ได้ – Canonical เร่งปล่อยแพตช์แก้ไข หลังจาก Ubuntu 25.10 “Questing Quokka” เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น Linux Kernel 6.17 และ GNOME 49 ก็ดูเหมือนว่าผู้ใช้จะได้เจอกับปัญหาใหญ่ที่ไม่คาดคิด นั่นคือ Flatpak ซึ่งเป็นระบบจัดการแพ็กเกจยอดนิยม กลับไม่สามารถติดตั้งแอปได้เลยในเวอร์ชันนี้! เรื่องเริ่มต้นจากผู้ใช้ที่อัปเกรดมาใช้ Ubuntu 25.10 แล้วพบว่าไม่สามารถติดตั้งแอปจาก Flathub ได้ โดยระบบแจ้งข้อผิดพลาดว่า “Could not unmount revokefs-fuse filesystem” และ “Child process exited with code 1” ซึ่งทำให้การติดตั้ง Flatpak ล้มเหลวทั้งหมด สาเหตุของปัญหานี้มาจาก AppArmor ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยของ Ubuntu โดยโปรไฟล์ของ fusermount3 ที่ Flatpak ใช้ในการ mount/unmount ไฟล์ระบบนั้น ถูกจำกัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าถึงไฟล์สำคัญอย่าง /run/mount/utab และไฟล์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้กระบวนการติดตั้งไม่สามารถดำเนินการได้ แม้ว่าจะมีวิธีแก้ชั่วคราวคือการปิดโปรไฟล์ AppArmor สำหรับ fusermount3 แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยนัก และยังไม่ได้ผลในทุกกรณี ทาง Canonical จึงเร่งออกแพตช์แก้ไข ซึ่งล่าสุดได้ปล่อยออกมาแล้ว นอกจากข่าวนี้ ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Flatpak: ⭐ Flatpak เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่เน้นความปลอดภัย โดยแอปจะทำงานใน sandbox แยกจากระบบหลัก ⭐ ได้รับความนิยมในหลายดิสโทร เช่น Fedora, Linux Mint และมีแหล่งรวมแอปชื่อ Flathub ⭐ การทำงานของ Flatpak พึ่งพา fusermount3 ในการจัดการไฟล์ระบบ ซึ่งหากถูกจำกัดสิทธิ์โดย AppArmor ก็จะทำให้การติดตั้งล้มเหลว ✅ Ubuntu 25.10 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.17 และ GNOME 49 ➡️ มีการปรับปรุงแอปเริ่มต้นและระบบเบื้องหลังหลายจุด ✅ ปัญหา Flatpak ติดตั้งไม่ได้ ➡️ เกิดจากข้อผิดพลาด “Could not unmount revokefs-fuse filesystem” ➡️ ระบบแจ้ง “Child process exited with code 1” ➡️ Flatpak ล้มเหลวในการติดตั้งแอปทั้งหมด ✅ สาเหตุของปัญหา ➡️ AppArmor จำกัดสิทธิ์ fusermount3 ➡️ ไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ /run/mount/utab และไฟล์ที่เกี่ยวข้อง ➡️ ส่งผลให้การ unmount ล้มเหลว ✅ วิธีแก้ไข ➡️ Canonical ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้ว ➡️ มีวิธีชั่วคราวคือปิดโปรไฟล์ AppArmor สำหรับ fusermount3 ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับวิธีแก้ชั่วคราว ⛔ การปิด AppArmor ลดความปลอดภัยของระบบ ⛔ วิธีนี้อาจไม่ได้ผลในทุกกรณี ✅ ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับ Flatpak ➡️ เป็นระบบจัดการแพ็กเกจแบบ sandbox ➡️ ใช้ fusermount3 ในการจัดการไฟล์ระบบ ➡️ มีแหล่งรวมแอปชื่อ Flathub ที่ได้รับความนิยมในวงการ Linux https://news.itsfoss.com/ubuntu-25-10-flatpak-bug/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    A Bug Broke Flatpaks on Ubuntu 25.10 [Patch Released]
    Critical Bug Prevents Flatpak Apps from Installing on Ubuntu 25.10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI โตเร็วกว่าอินเทอร์เน็ต 4 เท่า — รายงานใหม่เผยพฤติกรรมผู้ใช้ทั่วโลกเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน”

    รายงานจาก Financial Times เผยว่า “การใช้งาน AI ทั่วโลกเติบโตเร็วกว่าการใช้อินเทอร์เน็ตในยุคแรกถึง 4 เท่า” โดยเฉพาะ ChatGPT ที่มีผู้ใช้งานเกือบ 800 ล้านคนภายในเวลาเพียง 3 ปี ขณะที่อินเทอร์เน็ตใช้เวลากว่า 13 ปีจึงถึงระดับเดียวกัน

    Meta รายงานว่า AI Assistant ของตนที่ฝังอยู่ใน WhatsApp, Instagram และแว่น Ray-Ban มีผู้ใช้งานถึง 1 พันล้านคนต่อเดือน ขณะที่ Google ระบุว่า AI overview บนหน้าผลการค้นหามีผู้ใช้ถึง 2 พันล้านคนต่อเดือน และ 70% ของผู้ใช้ Google Docs และ Gmail ใช้ฟีเจอร์ช่วยเขียนเมื่อระบบแนะนำ

    Microsoft Copilot มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคนต่อเดือน ส่วน Claude ของ Anthropic ถูกใช้เพื่อช่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และโปรแกรมมิ่งเป็นหลัก โดยมีแนวโน้มถูกใช้เพื่อ “ทำงานแทน” มากขึ้นเรื่อย ๆ

    ประเทศที่มีอัตราการใช้งาน AI สูงสุดคือสิงคโปร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยมีผู้ใช้งาน AI ถึง 60% ของประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดย UAE แจก ChatGPT Plus ให้ประชาชนใช้ฟรี และมีการสอน AI ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบ

    อย่างไรก็ตาม รายงานยังเตือนถึง “Shadow AI” หรือการใช้ AI โดยพนักงานโดยไม่แจ้งบริษัท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลายองค์กรยังติดอยู่ในขั้นทดลองและไม่สามารถบูรณาการ AI เข้ากับระบบงานได้จริง

    MIT ยังเผยผลวิจัยว่า การใช้ AI เขียนงานแบบเต็มรูปแบบอาจทำให้ผู้ใช้เกิด “หนี้ทางปัญญา” และลดทักษะการเรียนรู้ โดยผู้ใช้ไม่สามารถอธิบายงานที่ตนเอง “สร้างร่วมกับ AI” ได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatGPT มีผู้ใช้งานเกือบ 800 ล้านคนภายใน 3 ปี
    Meta AI Assistant มีผู้ใช้งาน 1 พันล้านคนต่อเดือน
    Google AI overview มีผู้ใช้ 2 พันล้านคนต่อเดือน
    70% ของผู้ใช้ Google Docs และ Gmail ใช้ฟีเจอร์ช่วยเขียน
    Microsoft Copilot มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคนต่อเดือน
    Claude ถูกใช้เพื่อช่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และโปรแกรมมิ่ง
    สิงคโปร์และ UAE มีอัตราการใช้งาน AI สูงสุด (60%)
    UAE แจก ChatGPT Plus ฟรี และสอน AI ตั้งแต่เด็ก
    Shadow AI เพิ่มขึ้นในองค์กรที่ยังไม่บูรณาการ AI
    MIT พบว่าการใช้ AI เขียนงานเต็มรูปแบบอาจลดทักษะการเรียนรู้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ChatGPT เป็นแอปที่โตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีผู้ใช้ 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน
    Claude ของ Anthropic เน้นความปลอดภัยและความแม่นยำในการตอบคำถาม
    Gemini ของ Google เป็น AI ผู้ช่วยที่เน้นบริบทและการเรียนรู้จากผู้ใช้
    Shadow AI เป็นปัญหาที่องค์กรต้องจัดการผ่านนโยบายและการอบรม
    การใช้ AI ในงานเขียนควรเป็น “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ผู้แทน” เพื่อรักษาทักษะของผู้ใช้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-adoption-far-outpaces-that-of-the-early-internet-report-sheds-light-on-worldwide-ai-penetration-and-usage-patterns
    🌍 “AI โตเร็วกว่าอินเทอร์เน็ต 4 เท่า — รายงานใหม่เผยพฤติกรรมผู้ใช้ทั่วโลกเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน” รายงานจาก Financial Times เผยว่า “การใช้งาน AI ทั่วโลกเติบโตเร็วกว่าการใช้อินเทอร์เน็ตในยุคแรกถึง 4 เท่า” โดยเฉพาะ ChatGPT ที่มีผู้ใช้งานเกือบ 800 ล้านคนภายในเวลาเพียง 3 ปี ขณะที่อินเทอร์เน็ตใช้เวลากว่า 13 ปีจึงถึงระดับเดียวกัน Meta รายงานว่า AI Assistant ของตนที่ฝังอยู่ใน WhatsApp, Instagram และแว่น Ray-Ban มีผู้ใช้งานถึง 1 พันล้านคนต่อเดือน ขณะที่ Google ระบุว่า AI overview บนหน้าผลการค้นหามีผู้ใช้ถึง 2 พันล้านคนต่อเดือน และ 70% ของผู้ใช้ Google Docs และ Gmail ใช้ฟีเจอร์ช่วยเขียนเมื่อระบบแนะนำ Microsoft Copilot มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคนต่อเดือน ส่วน Claude ของ Anthropic ถูกใช้เพื่อช่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และโปรแกรมมิ่งเป็นหลัก โดยมีแนวโน้มถูกใช้เพื่อ “ทำงานแทน” มากขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศที่มีอัตราการใช้งาน AI สูงสุดคือสิงคโปร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยมีผู้ใช้งาน AI ถึง 60% ของประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดย UAE แจก ChatGPT Plus ให้ประชาชนใช้ฟรี และมีการสอน AI ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบ อย่างไรก็ตาม รายงานยังเตือนถึง “Shadow AI” หรือการใช้ AI โดยพนักงานโดยไม่แจ้งบริษัท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลายองค์กรยังติดอยู่ในขั้นทดลองและไม่สามารถบูรณาการ AI เข้ากับระบบงานได้จริง MIT ยังเผยผลวิจัยว่า การใช้ AI เขียนงานแบบเต็มรูปแบบอาจทำให้ผู้ใช้เกิด “หนี้ทางปัญญา” และลดทักษะการเรียนรู้ โดยผู้ใช้ไม่สามารถอธิบายงานที่ตนเอง “สร้างร่วมกับ AI” ได้อย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatGPT มีผู้ใช้งานเกือบ 800 ล้านคนภายใน 3 ปี ➡️ Meta AI Assistant มีผู้ใช้งาน 1 พันล้านคนต่อเดือน ➡️ Google AI overview มีผู้ใช้ 2 พันล้านคนต่อเดือน ➡️ 70% ของผู้ใช้ Google Docs และ Gmail ใช้ฟีเจอร์ช่วยเขียน ➡️ Microsoft Copilot มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคนต่อเดือน ➡️ Claude ถูกใช้เพื่อช่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และโปรแกรมมิ่ง ➡️ สิงคโปร์และ UAE มีอัตราการใช้งาน AI สูงสุด (60%) ➡️ UAE แจก ChatGPT Plus ฟรี และสอน AI ตั้งแต่เด็ก ➡️ Shadow AI เพิ่มขึ้นในองค์กรที่ยังไม่บูรณาการ AI ➡️ MIT พบว่าการใช้ AI เขียนงานเต็มรูปแบบอาจลดทักษะการเรียนรู้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ChatGPT เป็นแอปที่โตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีผู้ใช้ 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน ➡️ Claude ของ Anthropic เน้นความปลอดภัยและความแม่นยำในการตอบคำถาม ➡️ Gemini ของ Google เป็น AI ผู้ช่วยที่เน้นบริบทและการเรียนรู้จากผู้ใช้ ➡️ Shadow AI เป็นปัญหาที่องค์กรต้องจัดการผ่านนโยบายและการอบรม ➡️ การใช้ AI ในงานเขียนควรเป็น “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ผู้แทน” เพื่อรักษาทักษะของผู้ใช้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-adoption-far-outpaces-that-of-the-early-internet-report-sheds-light-on-worldwide-ai-penetration-and-usage-patterns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • “KDE Gear 25.08.2 อัปเดตครั้งใหญ่ — แอป KDE หลายตัวเสถียรขึ้น ใช้งานลื่นไหล พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ”

    KDE Project ได้ปล่อยอัปเดต KDE Gear 25.08.2 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นการบำรุงรักษารอบที่สองของชุดแอป KDE Gear 25.08 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับแอปยอดนิยมในระบบ KDE Plasma เช่น Dolphin, Kdenlive, Ark, Dragon Player, KMail, Kate, Akregator, KTorrent, Tokodon และ Itinerary

    หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจคือการรองรับการส่งภาพ thumbnail เมื่ออัปโหลดวิดีโอผ่าน NeoChat และการรองรับ keysyms ตัวพิมพ์ใหญ่ใน KDE Connect เพื่อให้การส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์แม่นยำขึ้น นอกจากนี้ Akregator ยังรองรับ mimetype แบบ x-scheme-handler/feed เพื่อให้การจัดการ RSS feed มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    KDE Itinerary ได้รับการปรับปรุงให้รองรับการค้นหาเส้นทางที่มี funiculars และ aerial lifts (รถรางและกระเช้า) พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่แสดงผลการเดินทางจากปลายทางก่อนเมื่อค้นหาการมาถึง ส่วน KAlarm ได้รับการแก้ไขปัญหา loop ไม่สิ้นสุดเมื่อปฏิทินเป็นแบบ read-only

    Tokodon ซึ่งเป็น Mastodon client ได้รับการแก้ไขการจัดวางแนวตั้งของชื่อหน้าเมื่อใช้ emoji แบบกำหนดเอง และปรับปรุงระบบ push notification ให้เชื่อถือได้มากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการอัปเดต library หลายตัว เช่น kpublictransport ที่รองรับ MOTIS 2.5.0 และ timezone parsing, kitinerary ที่สามารถดึงข้อมูลจาก PDF ตั๋วของสายการบินต่าง ๆ ได้แม่นยำขึ้น รวมถึง Keysmith ที่ขอสิทธิ์กล้องเพื่อสแกน QR code ได้โดยตรง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    KDE Gear 25.08.2 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการบำรุงรักษารอบที่สองของเวอร์ชัน 25.08
    Dolphin, Kdenlive, Ark, Dragon Player, KMail, Kate, Akregator, KTorrent, Tokodon และ Itinerary ได้รับการปรับปรุง
    NeoChat รองรับการส่ง thumbnail เมื่ออัปโหลดวิดีโอ
    KDE Connect รองรับ keysyms ตัวพิมพ์ใหญ่สำหรับ portal input
    Akregator รองรับ mimetype แบบ x-scheme-handler/feed
    Itinerary รองรับ funiculars และ aerial lifts ในการค้นหาเส้นทาง
    KAlarm แก้ปัญหา loop เมื่อปฏิทินเป็น read-only
    Tokodon แก้การจัดวางชื่อหน้าและปรับปรุง push notification
    Merkuro แก้ปัญหาการเพิ่ม sub-item ใน task ไม่ทำงาน
    kitinerary รองรับการดึงข้อมูลจาก PDF ตั๋วของสายการบินหลายเจ้า เช่น Ethiad, AirAsia, SNCF
    Keysmith ขอสิทธิ์กล้องเพื่อสแกน QR code ได้โดยตรง
    KSaneCore แก้ปัญหา crash เมื่อไม่มี source/mode options

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KDE Gear เป็นชุดแอปที่พัฒนาโดยชุมชน KDE และปล่อยอัปเดตทุก 4 เดือน
    MOTIS เป็นระบบจัดการข้อมูลขนส่งที่ใช้ใน kpublictransport
    kitinerary เป็น library ที่ใช้ในแอป Itinerary สำหรับจัดการการเดินทาง
    Akregator เป็นแอปอ่าน RSS feed ที่ได้รับความนิยมใน KDE
    Tokodon เป็น Mastodon client ที่ออกแบบให้ใช้งานบน KDE Plasma ได้ลื่นไหล

    https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-2-rolls-out-with-more-improvements-for-your-favorite-kde-apps
    🖥️ “KDE Gear 25.08.2 อัปเดตครั้งใหญ่ — แอป KDE หลายตัวเสถียรขึ้น ใช้งานลื่นไหล พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ” KDE Project ได้ปล่อยอัปเดต KDE Gear 25.08.2 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นการบำรุงรักษารอบที่สองของชุดแอป KDE Gear 25.08 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับแอปยอดนิยมในระบบ KDE Plasma เช่น Dolphin, Kdenlive, Ark, Dragon Player, KMail, Kate, Akregator, KTorrent, Tokodon และ Itinerary หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจคือการรองรับการส่งภาพ thumbnail เมื่ออัปโหลดวิดีโอผ่าน NeoChat และการรองรับ keysyms ตัวพิมพ์ใหญ่ใน KDE Connect เพื่อให้การส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์แม่นยำขึ้น นอกจากนี้ Akregator ยังรองรับ mimetype แบบ x-scheme-handler/feed เพื่อให้การจัดการ RSS feed มีประสิทธิภาพมากขึ้น KDE Itinerary ได้รับการปรับปรุงให้รองรับการค้นหาเส้นทางที่มี funiculars และ aerial lifts (รถรางและกระเช้า) พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่แสดงผลการเดินทางจากปลายทางก่อนเมื่อค้นหาการมาถึง ส่วน KAlarm ได้รับการแก้ไขปัญหา loop ไม่สิ้นสุดเมื่อปฏิทินเป็นแบบ read-only Tokodon ซึ่งเป็น Mastodon client ได้รับการแก้ไขการจัดวางแนวตั้งของชื่อหน้าเมื่อใช้ emoji แบบกำหนดเอง และปรับปรุงระบบ push notification ให้เชื่อถือได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการอัปเดต library หลายตัว เช่น kpublictransport ที่รองรับ MOTIS 2.5.0 และ timezone parsing, kitinerary ที่สามารถดึงข้อมูลจาก PDF ตั๋วของสายการบินต่าง ๆ ได้แม่นยำขึ้น รวมถึง Keysmith ที่ขอสิทธิ์กล้องเพื่อสแกน QR code ได้โดยตรง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ KDE Gear 25.08.2 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการบำรุงรักษารอบที่สองของเวอร์ชัน 25.08 ➡️ Dolphin, Kdenlive, Ark, Dragon Player, KMail, Kate, Akregator, KTorrent, Tokodon และ Itinerary ได้รับการปรับปรุง ➡️ NeoChat รองรับการส่ง thumbnail เมื่ออัปโหลดวิดีโอ ➡️ KDE Connect รองรับ keysyms ตัวพิมพ์ใหญ่สำหรับ portal input ➡️ Akregator รองรับ mimetype แบบ x-scheme-handler/feed ➡️ Itinerary รองรับ funiculars และ aerial lifts ในการค้นหาเส้นทาง ➡️ KAlarm แก้ปัญหา loop เมื่อปฏิทินเป็น read-only ➡️ Tokodon แก้การจัดวางชื่อหน้าและปรับปรุง push notification ➡️ Merkuro แก้ปัญหาการเพิ่ม sub-item ใน task ไม่ทำงาน ➡️ kitinerary รองรับการดึงข้อมูลจาก PDF ตั๋วของสายการบินหลายเจ้า เช่น Ethiad, AirAsia, SNCF ➡️ Keysmith ขอสิทธิ์กล้องเพื่อสแกน QR code ได้โดยตรง ➡️ KSaneCore แก้ปัญหา crash เมื่อไม่มี source/mode options ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KDE Gear เป็นชุดแอปที่พัฒนาโดยชุมชน KDE และปล่อยอัปเดตทุก 4 เดือน ➡️ MOTIS เป็นระบบจัดการข้อมูลขนส่งที่ใช้ใน kpublictransport ➡️ kitinerary เป็น library ที่ใช้ในแอป Itinerary สำหรับจัดการการเดินทาง ➡️ Akregator เป็นแอปอ่าน RSS feed ที่ได้รับความนิยมใน KDE ➡️ Tokodon เป็น Mastodon client ที่ออกแบบให้ใช้งานบน KDE Plasma ได้ลื่นไหล https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-2-rolls-out-with-more-improvements-for-your-favorite-kde-apps
    9TO5LINUX.COM
    KDE Gear 25.08.2 Rolls Out with More Improvements for Your Favorite KDE Apps - 9to5Linux
    KDE Gear 25.08.2 is now available as the second maintenance update to the latest KDE Gear 25.08 open-source software suite series.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025”

    Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก

    หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท

    ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic

    Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้

    นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง

    แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ
    คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025
    เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก
    ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน
    ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency
    โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล
    ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030
    Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration
    AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ
    การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม
    การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ
    Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย

    https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    📶 “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025” Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้ นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ ➡️ คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025 ➡️ เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก ➡️ ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน ➡️ ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency ➡️ โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030 ➡️ Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration ➡️ AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ ➡️ การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม ➡️ การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ ➡️ Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    WWW.TECHRADAR.COM
    Huawei 5G-Advanced promises futuristic connectivity and AI agents
    Huawei's market is likely to be mostly, if not entirely, in China
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gemini 2.5 Computer Use — โมเดล AI ที่คลิก พิมพ์ และเลื่อนหน้าเว็บแทนคุณได้จริง เปิดประตูสู่ยุคผู้ช่วยดิจิทัลที่ลงมือทำ”

    Google DeepMind เปิดตัวโมเดลใหม่ “Gemini 2.5 Computer Use” ซึ่งเป็นเวอร์ชันเฉพาะทางของ Gemini 2.5 Pro ที่ออกแบบมาเพื่อให้ AI สามารถควบคุมอินเทอร์เฟซของเว็บไซต์และแอปได้โดยตรง ไม่ใช่แค่เข้าใจคำสั่งหรือภาพ แต่สามารถ “ลงมือทำ” ได้จริง เช่น คลิกปุ่ม พิมพ์ข้อความ เลื่อนหน้าเว็บ หรือกรอกแบบฟอร์ม — ทั้งหมดนี้จากคำสั่งเดียวของผู้ใช้

    โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI โดยใช้เครื่องมือใหม่ชื่อว่า computer_use ซึ่งทำงานในรูปแบบลูป: รับคำสั่ง → วิเคราะห์ภาพหน้าจอและประวัติการกระทำ → สร้างคำสั่ง UI → ส่งกลับไปยังระบบ → ถ่ายภาพหน้าจอใหม่ → ประเมินผล → ทำต่อหรือหยุด

    Gemini 2.5 Computer Use รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลากวัตถุ เลื่อนหน้าเว็บ และจัดการ dropdown โดยสามารถทำงานหลังล็อกอินได้ด้วย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง “agent” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในระบบดิจิทัล

    ด้านความปลอดภัย Google ได้ฝังระบบตรวจสอบไว้ในตัวโมเดล เช่น per-step safety service ที่ตรวจสอบทุกคำสั่งก่อนรัน และ system instructions ที่ให้ผู้พัฒนากำหนดว่าต้องขออนุมัติก่อนทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น การซื้อของหรือควบคุมอุปกรณ์ทางการแพทย์

    ทีมภายในของ Google ได้ใช้โมเดลนี้ในงานจริง เช่น Project Mariner, Firebase Testing Agent และ AI Mode ใน Search โดยช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และแก้ปัญหาการทำงานล้มเหลวได้ถึง 60% ในบางกรณี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini 2.5 Computer Use เป็นโมเดล AI ที่ควบคุม UI ได้โดยตรง
    ทำงานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI
    ใช้เครื่องมือ computer_use ที่ทำงานแบบลูปต่อเนื่อง
    รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลาก เลื่อน dropdown
    สามารถทำงานหลังล็อกอิน และจัดการฟอร์มได้เหมือนมนุษย์
    มีระบบ per-step safety service ตรวจสอบคำสั่งก่อนรัน
    ผู้พัฒนาสามารถตั้ง system instructions เพื่อป้องกันความเสี่ยง
    ใช้ในโปรเจกต์จริงของ Google เช่น Project Mariner และ Firebase Testing Agent
    ช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน
    เปิดให้ใช้งานแบบ public preview แล้ววันนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Browserbase เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ทดสอบ Gemini 2.5 Computer Use แบบ headless browser
    โมเดลนี้ outperform คู่แข่งใน benchmark เช่น Online-Mind2Web และ AndroidWorld
    Claude Sonnet 4.5 และ ChatGPT Agent ก็มีฟีเจอร์ควบคุม UI แต่ยังไม่เน้นภาพหน้าจอ
    การควบคุม UI ด้วยภาพหน้าจอช่วยให้ AI ทำงานในระบบที่ไม่มี API ได้
    Gemini 2.5 Computer Use ใช้ Gemini Pro เป็นฐาน โดยเสริมความเข้าใจภาพและตรรกะ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ยังไม่รองรับการควบคุมระบบปฏิบัติการแบบเต็ม เช่น Windows หรือ macOS
    การทำงานผ่านภาพหน้าจออาจมีข้อจำกัดในแอปที่เปลี่ยน UI แบบไดนามิก
    หากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย อาจเกิดการคลิกผิดหรือกรอกข้อมูลผิด
    การใช้งานในระบบที่มีข้อมูลอ่อนไหวต้องมีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนเสมอ
    ผู้พัฒนาต้องทดสอบระบบอย่างละเอียดก่อนนำไปใช้จริงในองค์กร

    https://blog.google/technology/google-deepmind/gemini-computer-use-model/
    🖱️ “Gemini 2.5 Computer Use — โมเดล AI ที่คลิก พิมพ์ และเลื่อนหน้าเว็บแทนคุณได้จริง เปิดประตูสู่ยุคผู้ช่วยดิจิทัลที่ลงมือทำ” Google DeepMind เปิดตัวโมเดลใหม่ “Gemini 2.5 Computer Use” ซึ่งเป็นเวอร์ชันเฉพาะทางของ Gemini 2.5 Pro ที่ออกแบบมาเพื่อให้ AI สามารถควบคุมอินเทอร์เฟซของเว็บไซต์และแอปได้โดยตรง ไม่ใช่แค่เข้าใจคำสั่งหรือภาพ แต่สามารถ “ลงมือทำ” ได้จริง เช่น คลิกปุ่ม พิมพ์ข้อความ เลื่อนหน้าเว็บ หรือกรอกแบบฟอร์ม — ทั้งหมดนี้จากคำสั่งเดียวของผู้ใช้ โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI โดยใช้เครื่องมือใหม่ชื่อว่า computer_use ซึ่งทำงานในรูปแบบลูป: รับคำสั่ง → วิเคราะห์ภาพหน้าจอและประวัติการกระทำ → สร้างคำสั่ง UI → ส่งกลับไปยังระบบ → ถ่ายภาพหน้าจอใหม่ → ประเมินผล → ทำต่อหรือหยุด Gemini 2.5 Computer Use รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลากวัตถุ เลื่อนหน้าเว็บ และจัดการ dropdown โดยสามารถทำงานหลังล็อกอินได้ด้วย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง “agent” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในระบบดิจิทัล ด้านความปลอดภัย Google ได้ฝังระบบตรวจสอบไว้ในตัวโมเดล เช่น per-step safety service ที่ตรวจสอบทุกคำสั่งก่อนรัน และ system instructions ที่ให้ผู้พัฒนากำหนดว่าต้องขออนุมัติก่อนทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น การซื้อของหรือควบคุมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทีมภายในของ Google ได้ใช้โมเดลนี้ในงานจริง เช่น Project Mariner, Firebase Testing Agent และ AI Mode ใน Search โดยช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และแก้ปัญหาการทำงานล้มเหลวได้ถึง 60% ในบางกรณี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini 2.5 Computer Use เป็นโมเดล AI ที่ควบคุม UI ได้โดยตรง ➡️ ทำงานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI ➡️ ใช้เครื่องมือ computer_use ที่ทำงานแบบลูปต่อเนื่อง ➡️ รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลาก เลื่อน dropdown ➡️ สามารถทำงานหลังล็อกอิน และจัดการฟอร์มได้เหมือนมนุษย์ ➡️ มีระบบ per-step safety service ตรวจสอบคำสั่งก่อนรัน ➡️ ผู้พัฒนาสามารถตั้ง system instructions เพื่อป้องกันความเสี่ยง ➡️ ใช้ในโปรเจกต์จริงของ Google เช่น Project Mariner และ Firebase Testing Agent ➡️ ช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน ➡️ เปิดให้ใช้งานแบบ public preview แล้ววันนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Browserbase เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ทดสอบ Gemini 2.5 Computer Use แบบ headless browser ➡️ โมเดลนี้ outperform คู่แข่งใน benchmark เช่น Online-Mind2Web และ AndroidWorld ➡️ Claude Sonnet 4.5 และ ChatGPT Agent ก็มีฟีเจอร์ควบคุม UI แต่ยังไม่เน้นภาพหน้าจอ ➡️ การควบคุม UI ด้วยภาพหน้าจอช่วยให้ AI ทำงานในระบบที่ไม่มี API ได้ ➡️ Gemini 2.5 Computer Use ใช้ Gemini Pro เป็นฐาน โดยเสริมความเข้าใจภาพและตรรกะ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ยังไม่รองรับการควบคุมระบบปฏิบัติการแบบเต็ม เช่น Windows หรือ macOS ⛔ การทำงานผ่านภาพหน้าจออาจมีข้อจำกัดในแอปที่เปลี่ยน UI แบบไดนามิก ⛔ หากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย อาจเกิดการคลิกผิดหรือกรอกข้อมูลผิด ⛔ การใช้งานในระบบที่มีข้อมูลอ่อนไหวต้องมีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนเสมอ ⛔ ผู้พัฒนาต้องทดสอบระบบอย่างละเอียดก่อนนำไปใช้จริงในองค์กร https://blog.google/technology/google-deepmind/gemini-computer-use-model/
    BLOG.GOOGLE
    Introducing the Gemini 2.5 Computer Use model
    Today we are releasing the Gemini 2.5 Computer Use model via the API, which outperforms leading alternatives at browser and mobile tasks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Xogot พา Godot ลง iPhone — เปลี่ยนมือถือให้กลายเป็นสตูดิโอสร้างเกมเต็มรูปแบบ”

    การพัฒนาเกมเคยเป็นเรื่องของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ต้องใช้เครื่องแรง ๆ และหน้าจอใหญ่ ๆ แต่ตอนนี้ Xibbon บริษัทที่ก่อตั้งโดย Miguel De Icaza และ Joseph Hill ได้เปิดตัว “Xogot” บน iPhone ซึ่งเป็นแอปที่นำเอาเอนจินเกมโอเพ่นซอร์สยอดนิยมอย่าง Godot มาปรับแต่งให้ใช้งานได้เต็มรูปแบบบนมือถือ

    หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน iPad ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 Xogot ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักพัฒนาเกมสายอินดี้และนักเรียนที่ต้องการเครื่องมือสร้างสรรค์บนอุปกรณ์พกพา ล่าสุด Xibbon ได้ขยายการรองรับมายัง iPhone โดยออกแบบอินเทอร์เฟซใหม่ทั้งหมดด้วย SwiftUI ให้เหมาะกับหน้าจอเล็กและการใช้งานแบบสัมผัส

    Xogot รองรับการพัฒนาเกมทั้ง 2D และ 3D โดยมีระบบ tile map, scene system, lighting, และ scripting ครบครัน พร้อม editor สำหรับ GDScript ที่มี debugger ในตัว สามารถตั้ง breakpoint และตรวจสอบสถานะโปรแกรมได้ทันทีบนมือถือ

    ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด ได้แก่ Jolt Physics สำหรับฟิสิกส์ 3D, embedded game view สำหรับทดสอบเกมทันที, Camera3D preview และ Metal rendering ที่ปรับแต่งมาเพื่อ GPU ของ Apple โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังรองรับอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอย Bluetooth

    นักพัฒนาสามารถซิงก์โปรเจกต์ระหว่าง Xogot กับ Godot บนเดสก์ท็อปได้อย่างราบรื่นผ่าน iCloud, USB หรือ GitHub ทำให้สามารถทำงานต่อเนื่องได้ทุกที่ทุกเวลา

    แม้ Xogot จะไม่ใช่ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ก็ได้รับความสนใจจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส เพราะเชื่อมโยงกับ Godot และผู้สร้างอย่าง Miguel ที่เคยมีบทบาทสำคัญในโครงการ GNOME และ Mono

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Xogot เป็นแอปที่นำ Godot มาสู่ iPhone โดยปรับอินเทอร์เฟซใหม่ด้วย SwiftUI
    รองรับการพัฒนาเกมทั้ง 2D และ 3D พร้อม editor สำหรับ GDScript
    มี debugger ในตัว สามารถตั้ง breakpoint และตรวจสอบสถานะโปรแกรมได้
    ฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่ Jolt Physics, embedded game view, Camera3D preview และ Metal rendering
    รองรับอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอย Bluetooth
    สามารถซิงก์โปรเจกต์กับ Godot บนเดสก์ท็อปผ่าน iCloud, USB หรือ GitHub
    เปิดตัวครั้งแรกบน iPad ในเดือนพฤษภาคม 2025 และขยายมายัง iPhone
    มีเวอร์ชัน Lite ฟรี และเวอร์ชัน Pro ที่มีฟีเจอร์เต็ม ราคา $2.99/เดือน หรือ $149.99 ตลอดชีพ
    นักเรียนและผู้เข้าร่วม Game Jam สามารถขอใช้งาน Pro ฟรีได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Godot เป็นเอนจินเกมโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มนักพัฒนาอินดี้
    Miguel De Icaza เป็นผู้ก่อตั้ง GNOME, Mono และ Xamarin
    แอปสร้างสรรค์บน iPad เช่น Procreate และ Logic Pro ได้รับความนิยมในสายศิลปะและดนตรี
    Xogot ถูกพัฒนาเพื่อเติมช่องว่างของเครื่องมือสร้างเกมบนอุปกรณ์พกพา
    การพัฒนาเกมบนมือถือช่วยให้สามารถทำงานได้ทุกที่ เช่น บนรถไฟหรือร้านกาแฟ

    https://news.itsfoss.com/xogot-for-iphone/
    🎮 “Xogot พา Godot ลง iPhone — เปลี่ยนมือถือให้กลายเป็นสตูดิโอสร้างเกมเต็มรูปแบบ” การพัฒนาเกมเคยเป็นเรื่องของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ต้องใช้เครื่องแรง ๆ และหน้าจอใหญ่ ๆ แต่ตอนนี้ Xibbon บริษัทที่ก่อตั้งโดย Miguel De Icaza และ Joseph Hill ได้เปิดตัว “Xogot” บน iPhone ซึ่งเป็นแอปที่นำเอาเอนจินเกมโอเพ่นซอร์สยอดนิยมอย่าง Godot มาปรับแต่งให้ใช้งานได้เต็มรูปแบบบนมือถือ หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน iPad ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 Xogot ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักพัฒนาเกมสายอินดี้และนักเรียนที่ต้องการเครื่องมือสร้างสรรค์บนอุปกรณ์พกพา ล่าสุด Xibbon ได้ขยายการรองรับมายัง iPhone โดยออกแบบอินเทอร์เฟซใหม่ทั้งหมดด้วย SwiftUI ให้เหมาะกับหน้าจอเล็กและการใช้งานแบบสัมผัส Xogot รองรับการพัฒนาเกมทั้ง 2D และ 3D โดยมีระบบ tile map, scene system, lighting, และ scripting ครบครัน พร้อม editor สำหรับ GDScript ที่มี debugger ในตัว สามารถตั้ง breakpoint และตรวจสอบสถานะโปรแกรมได้ทันทีบนมือถือ ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด ได้แก่ Jolt Physics สำหรับฟิสิกส์ 3D, embedded game view สำหรับทดสอบเกมทันที, Camera3D preview และ Metal rendering ที่ปรับแต่งมาเพื่อ GPU ของ Apple โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังรองรับอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอย Bluetooth นักพัฒนาสามารถซิงก์โปรเจกต์ระหว่าง Xogot กับ Godot บนเดสก์ท็อปได้อย่างราบรื่นผ่าน iCloud, USB หรือ GitHub ทำให้สามารถทำงานต่อเนื่องได้ทุกที่ทุกเวลา แม้ Xogot จะไม่ใช่ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ก็ได้รับความสนใจจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส เพราะเชื่อมโยงกับ Godot และผู้สร้างอย่าง Miguel ที่เคยมีบทบาทสำคัญในโครงการ GNOME และ Mono ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Xogot เป็นแอปที่นำ Godot มาสู่ iPhone โดยปรับอินเทอร์เฟซใหม่ด้วย SwiftUI ➡️ รองรับการพัฒนาเกมทั้ง 2D และ 3D พร้อม editor สำหรับ GDScript ➡️ มี debugger ในตัว สามารถตั้ง breakpoint และตรวจสอบสถานะโปรแกรมได้ ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่ Jolt Physics, embedded game view, Camera3D preview และ Metal rendering ➡️ รองรับอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอย Bluetooth ➡️ สามารถซิงก์โปรเจกต์กับ Godot บนเดสก์ท็อปผ่าน iCloud, USB หรือ GitHub ➡️ เปิดตัวครั้งแรกบน iPad ในเดือนพฤษภาคม 2025 และขยายมายัง iPhone ➡️ มีเวอร์ชัน Lite ฟรี และเวอร์ชัน Pro ที่มีฟีเจอร์เต็ม ราคา $2.99/เดือน หรือ $149.99 ตลอดชีพ ➡️ นักเรียนและผู้เข้าร่วม Game Jam สามารถขอใช้งาน Pro ฟรีได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Godot เป็นเอนจินเกมโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มนักพัฒนาอินดี้ ➡️ Miguel De Icaza เป็นผู้ก่อตั้ง GNOME, Mono และ Xamarin ➡️ แอปสร้างสรรค์บน iPad เช่น Procreate และ Logic Pro ได้รับความนิยมในสายศิลปะและดนตรี ➡️ Xogot ถูกพัฒนาเพื่อเติมช่องว่างของเครื่องมือสร้างเกมบนอุปกรณ์พกพา ➡️ การพัฒนาเกมบนมือถือช่วยให้สามารถทำงานได้ทุกที่ เช่น บนรถไฟหรือร้านกาแฟ https://news.itsfoss.com/xogot-for-iphone/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Xogot Brings Full Godot Game Development to iPhone
    Game development with open source game engine Godot is now possible on iPhone with Xogot.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI เปิดตัว Apps SDK — สร้างแอปที่ทำงานร่วมกับ ChatGPT ได้โดยตรง พร้อมระบบ MCP ที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย”

    OpenAI เปิดตัว Apps SDK ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กใหม่สำหรับนักพัฒนาในการสร้างแอปที่สามารถทำงานร่วมกับ ChatGPT ได้โดยตรง โดยระบบนี้เปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันพรีวิวแล้ว และจะเปิดให้ส่งแอปเข้าสู่ระบบในช่วงปลายปี 2025

    หัวใจของ Apps SDK คือ MCP Server (Model Context Protocol) ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่นักพัฒนาต้องตั้งค่าเพื่อให้ ChatGPT สามารถเรียกใช้งานเครื่องมือ (tools) ที่กำหนดไว้ได้ โดยแต่ละ tool จะมี metadata, JSON schema และ HTML component ที่ ChatGPT สามารถเรนเดอร์แบบอินไลน์ในแชตได้ทันที

    นักพัฒนาสามารถใช้ SDK ภาษา Python หรือ TypeScript เพื่อสร้าง MCP Server ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีตัวอย่างการใช้งานผ่าน FastAPI หรือ Express และสามารถใช้ tunneling service เช่น ngrok เพื่อทดสอบในระหว่างการพัฒนา ก่อนจะนำไป deploy บนเซิร์ฟเวอร์ HTTPS ที่มี latency ต่ำ

    Apps SDK ยังมีระบบการจัดการผู้ใช้ เช่น OAuth 2.1, token verification และการจัดการ state ของผู้ใช้ เพื่อให้แอปสามารถทำงานแบบ personalized ได้อย่างปลอดภัย และสามารถเรียกใช้ tools จาก component UI ได้โดยตรงผ่าน widget-accessible flag

    OpenAI ยังเน้นเรื่องความปลอดภัย โดยกำหนดให้ทุก widget ต้องมี Content Security Policy (CSP) ที่เข้มงวด และจะมีการตรวจสอบ CSP ก่อนอนุมัติให้แอปเผยแพร่ในระบบ ChatGPT

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI เปิดตัว Apps SDK สำหรับสร้างแอปที่ทำงานร่วมกับ ChatGPT
    ใช้ MCP Server เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่าง ChatGPT กับ backend
    tools ต้องมี metadata, JSON schema และ HTML component สำหรับเรนเดอร์
    SDK รองรับ Python และ TypeScript โดยใช้ FastAPI หรือ Express
    สามารถใช้ ngrok เพื่อทดสอบ MCP Server ในระหว่างพัฒนา
    แอปต้อง deploy บนเซิร์ฟเวอร์ HTTPS ที่มี latency ต่ำ
    รองรับระบบผู้ใช้ เช่น OAuth 2.1 และ token verification
    tools สามารถเรียกจาก component UI ได้โดยใช้ widget-accessible flag
    ทุก widget ต้องมี CSP ที่ปลอดภัยก่อนเผยแพร่
    Apps SDK เปิดให้ใช้งานแบบพรีวิว และจะเปิดให้ส่งแอปปลายปีนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MCP เป็นโปรโตคอลที่ช่วยให้ ChatGPT เข้าใจบริบทของแอปและเรียกใช้งานได้อย่างแม่นยำ
    HTML component ที่เรนเดอร์ในแชตช่วยให้ผู้ใช้โต้ตอบกับแอปได้โดยไม่ต้องออกจาก ChatGPT
    การใช้ metadata ช่วยให้ ChatGPT ค้นหาแอปได้จากคำถามของผู้ใช้
    Apps SDK คล้ายระบบ Intent บน Android แต่ใช้ภาษาธรรมชาติแทน
    การเปิดระบบนี้ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปที่เข้าถึงผู้ใช้ ChatGPT กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์

    https://developers.openai.com/apps-sdk/
    🧩 “OpenAI เปิดตัว Apps SDK — สร้างแอปที่ทำงานร่วมกับ ChatGPT ได้โดยตรง พร้อมระบบ MCP ที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย” OpenAI เปิดตัว Apps SDK ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กใหม่สำหรับนักพัฒนาในการสร้างแอปที่สามารถทำงานร่วมกับ ChatGPT ได้โดยตรง โดยระบบนี้เปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันพรีวิวแล้ว และจะเปิดให้ส่งแอปเข้าสู่ระบบในช่วงปลายปี 2025 หัวใจของ Apps SDK คือ MCP Server (Model Context Protocol) ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่นักพัฒนาต้องตั้งค่าเพื่อให้ ChatGPT สามารถเรียกใช้งานเครื่องมือ (tools) ที่กำหนดไว้ได้ โดยแต่ละ tool จะมี metadata, JSON schema และ HTML component ที่ ChatGPT สามารถเรนเดอร์แบบอินไลน์ในแชตได้ทันที นักพัฒนาสามารถใช้ SDK ภาษา Python หรือ TypeScript เพื่อสร้าง MCP Server ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีตัวอย่างการใช้งานผ่าน FastAPI หรือ Express และสามารถใช้ tunneling service เช่น ngrok เพื่อทดสอบในระหว่างการพัฒนา ก่อนจะนำไป deploy บนเซิร์ฟเวอร์ HTTPS ที่มี latency ต่ำ Apps SDK ยังมีระบบการจัดการผู้ใช้ เช่น OAuth 2.1, token verification และการจัดการ state ของผู้ใช้ เพื่อให้แอปสามารถทำงานแบบ personalized ได้อย่างปลอดภัย และสามารถเรียกใช้ tools จาก component UI ได้โดยตรงผ่าน widget-accessible flag OpenAI ยังเน้นเรื่องความปลอดภัย โดยกำหนดให้ทุก widget ต้องมี Content Security Policy (CSP) ที่เข้มงวด และจะมีการตรวจสอบ CSP ก่อนอนุมัติให้แอปเผยแพร่ในระบบ ChatGPT ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI เปิดตัว Apps SDK สำหรับสร้างแอปที่ทำงานร่วมกับ ChatGPT ➡️ ใช้ MCP Server เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่าง ChatGPT กับ backend ➡️ tools ต้องมี metadata, JSON schema และ HTML component สำหรับเรนเดอร์ ➡️ SDK รองรับ Python และ TypeScript โดยใช้ FastAPI หรือ Express ➡️ สามารถใช้ ngrok เพื่อทดสอบ MCP Server ในระหว่างพัฒนา ➡️ แอปต้อง deploy บนเซิร์ฟเวอร์ HTTPS ที่มี latency ต่ำ ➡️ รองรับระบบผู้ใช้ เช่น OAuth 2.1 และ token verification ➡️ tools สามารถเรียกจาก component UI ได้โดยใช้ widget-accessible flag ➡️ ทุก widget ต้องมี CSP ที่ปลอดภัยก่อนเผยแพร่ ➡️ Apps SDK เปิดให้ใช้งานแบบพรีวิว และจะเปิดให้ส่งแอปปลายปีนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MCP เป็นโปรโตคอลที่ช่วยให้ ChatGPT เข้าใจบริบทของแอปและเรียกใช้งานได้อย่างแม่นยำ ➡️ HTML component ที่เรนเดอร์ในแชตช่วยให้ผู้ใช้โต้ตอบกับแอปได้โดยไม่ต้องออกจาก ChatGPT ➡️ การใช้ metadata ช่วยให้ ChatGPT ค้นหาแอปได้จากคำถามของผู้ใช้ ➡️ Apps SDK คล้ายระบบ Intent บน Android แต่ใช้ภาษาธรรมชาติแทน ➡️ การเปิดระบบนี้ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปที่เข้าถึงผู้ใช้ ChatGPT กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ https://developers.openai.com/apps-sdk/
    DEVELOPERS.OPENAI.COM
    Apps SDK
    Learn how to use Apps SDK by OpenAI. Our framework to build apps for ChatGPT.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า”

    หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025

    Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น

    เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย

    เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก

    แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV
    ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS
    เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select
    Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล
    เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView
    ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป
    ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น
    เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์
    Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก
    ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว
    การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android
    React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย
    Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0
    Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง

    https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    📺 “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า” หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV ➡️ ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS ➡️ เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select ➡️ Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล ➡️ เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView ➡️ ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ➡️ ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น ➡️ เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ ➡️ Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก ➡️ ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว ➡️ การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android ➡️ React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย ➡️ Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0 ➡️ Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Amazon Ditches Android — Launches 'Linux-Based' Vega OS for Fire TV
    Amazon's new OS has some Linux bits inside. The move aims to stop relying on Google's Android for Amazon devices.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft แก้บั๊ก ‘Update and Shutdown’ บน Windows 11 ที่หลอกให้เครื่องรีสตาร์ทแทนการปิด — ปัญหายาวนานหลายปีใกล้จบแล้ว”

    ใครที่เคยใช้ Windows 11 แล้วเลือกคำสั่ง “Update and Shutdown” เพื่อให้เครื่องอัปเดตแล้วปิดตัวลงทันที อาจเคยเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด: เครื่องกลับรีสตาร์ทแทนที่จะปิด ทำให้ต้องรอให้ระบบกลับมาหน้าเดสก์ท็อป แล้วค่อยกดปิดเครื่องอีกครั้ง — เสียเวลาและพลังงานโดยไม่จำเป็น

    บั๊กนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ Windows 11 เปิดตัว และยังคงหลอกผู้ใช้มาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ใช้แล็ปท็อปที่คิดว่าเครื่องจะปิด แต่กลับเปิดค้างไว้จนแบตหมดโดยไม่รู้ตัว

    ล่าสุด Microsoft ได้ประกาศใน Windows 11 Preview Build (Dev Channel) ว่าได้แก้ไขปัญหานี้แล้ว โดยระบุว่า “Fixed an underlying issue which could lead ‘Update and shutdown’ to not actually shut down your PC after.” ซึ่งหมายความว่าคำสั่งนี้จะทำงานตามที่ควรเป็น — อัปเดตแล้วปิดเครื่องทันที

    แม้การแก้ไขยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบ แต่ถือเป็นสัญญาณดีว่าปัญหานี้กำลังจะหมดไป และผู้ใช้จะสามารถใช้คำสั่ง “Update and Shutdown” ได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft แก้ไขบั๊กคำสั่ง “Update and Shutdown” บน Windows 11
    ปัญหาคือเครื่องรีสตาร์ทแทนที่จะปิดหลังอัปเดต
    บั๊กนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของ Windows 11 และยังคงอยู่หลายปี
    ผู้ใช้แล็ปท็อปได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเครื่องอาจเปิดค้างจนแบตหมด
    การแก้ไขอยู่ใน Windows 11 Preview Build (Dev Channel)
    Microsoft ระบุว่าได้แก้ไข “underlying issue” ที่ทำให้คำสั่งไม่ทำงานตามที่ควร
    คำสั่ง “Update and Shutdown” จะกลับมาทำงานได้ตามปกติ
    ผู้ใช้ไม่ต้องรอให้เครื่องรีสตาร์ทแล้วค่อยปิดเองอีกต่อไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ 25H2 มีการปรับปรุงเสถียรภาพหลายจุด
    Microsoft เคยเผชิญปัญหาบั๊กการอัปเดตหลายครั้งในปี 2023–2024
    คำสั่ง “Update and Restart” ทำงานได้ปกติมากกว่าคำสั่ง “Update and Shutdown”
    ผู้ใช้บางคนหลีกเลี่ยงการใช้คำสั่งนี้มานานเพราะไม่มั่นใจในผลลัพธ์
    การแก้ไขบั๊กนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทำให้ Windows 11 เป็นเวอร์ชันที่ “เสถียรที่สุด”

    https://www.techradar.com/computing/windows/microsoft-fixes-weird-bug-thats-been-messing-with-windows-11-updates-for-years
    🛠️ “Microsoft แก้บั๊ก ‘Update and Shutdown’ บน Windows 11 ที่หลอกให้เครื่องรีสตาร์ทแทนการปิด — ปัญหายาวนานหลายปีใกล้จบแล้ว” ใครที่เคยใช้ Windows 11 แล้วเลือกคำสั่ง “Update and Shutdown” เพื่อให้เครื่องอัปเดตแล้วปิดตัวลงทันที อาจเคยเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด: เครื่องกลับรีสตาร์ทแทนที่จะปิด ทำให้ต้องรอให้ระบบกลับมาหน้าเดสก์ท็อป แล้วค่อยกดปิดเครื่องอีกครั้ง — เสียเวลาและพลังงานโดยไม่จำเป็น บั๊กนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ Windows 11 เปิดตัว และยังคงหลอกผู้ใช้มาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ใช้แล็ปท็อปที่คิดว่าเครื่องจะปิด แต่กลับเปิดค้างไว้จนแบตหมดโดยไม่รู้ตัว ล่าสุด Microsoft ได้ประกาศใน Windows 11 Preview Build (Dev Channel) ว่าได้แก้ไขปัญหานี้แล้ว โดยระบุว่า “Fixed an underlying issue which could lead ‘Update and shutdown’ to not actually shut down your PC after.” ซึ่งหมายความว่าคำสั่งนี้จะทำงานตามที่ควรเป็น — อัปเดตแล้วปิดเครื่องทันที แม้การแก้ไขยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบ แต่ถือเป็นสัญญาณดีว่าปัญหานี้กำลังจะหมดไป และผู้ใช้จะสามารถใช้คำสั่ง “Update and Shutdown” ได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft แก้ไขบั๊กคำสั่ง “Update and Shutdown” บน Windows 11 ➡️ ปัญหาคือเครื่องรีสตาร์ทแทนที่จะปิดหลังอัปเดต ➡️ บั๊กนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของ Windows 11 และยังคงอยู่หลายปี ➡️ ผู้ใช้แล็ปท็อปได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเครื่องอาจเปิดค้างจนแบตหมด ➡️ การแก้ไขอยู่ใน Windows 11 Preview Build (Dev Channel) ➡️ Microsoft ระบุว่าได้แก้ไข “underlying issue” ที่ทำให้คำสั่งไม่ทำงานตามที่ควร ➡️ คำสั่ง “Update and Shutdown” จะกลับมาทำงานได้ตามปกติ ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องรอให้เครื่องรีสตาร์ทแล้วค่อยปิดเองอีกต่อไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ 25H2 มีการปรับปรุงเสถียรภาพหลายจุด ➡️ Microsoft เคยเผชิญปัญหาบั๊กการอัปเดตหลายครั้งในปี 2023–2024 ➡️ คำสั่ง “Update and Restart” ทำงานได้ปกติมากกว่าคำสั่ง “Update and Shutdown” ➡️ ผู้ใช้บางคนหลีกเลี่ยงการใช้คำสั่งนี้มานานเพราะไม่มั่นใจในผลลัพธ์ ➡️ การแก้ไขบั๊กนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทำให้ Windows 11 เป็นเวอร์ชันที่ “เสถียรที่สุด” https://www.techradar.com/computing/windows/microsoft-fixes-weird-bug-thats-been-messing-with-windows-11-updates-for-years
    WWW.TECHRADAR.COM
    Ever come back to a laptop with a dead battery when you told Windows 11 to 'Update and shutdown'? Microsoft has finally fixed this annoying bug
    Windows 11 could soon actually obey your instructions when you apply an update and want your PC to shut down
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ระวัง! แอปปลอม Signal และ ToTok แฝงสปายแวร์โจมตีผู้ใช้ Android ใน UAE — ขโมยข้อมูลส่วนตัวแบบเงียบ ๆ”

    นักวิจัยจาก ESET ได้เปิดเผยแคมเปญสปายแวร์ใหม่ที่กำลังระบาดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านแอปปลอมของ Signal และ ToTok ซึ่งเป็นแอปส่งข้อความที่ผู้ใช้ไว้วางใจ โดยแอปปลอมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ใน Google Play หรือ App Store แต่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบหน้าตาแอปจริงอย่างแนบเนียน

    แคมเปญนี้ประกอบด้วยมัลแวร์สองสายพันธุ์ ได้แก่

    ProSpy (Android/Spy.ProSpy): ปลอมเป็น Signal Encryption Plugin และ ToTok Pro
    ToSpy (Android/Spy.ToSpy): ปลอมเป็นแอป ToTok โดยตรง

    เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง APK จากเว็บไซต์ปลอม แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ ไฟล์ และข้อมูลสำรองการแชท โดยเฉพาะ ToSpy จะมุ่งเป้าไปที่ไฟล์ .ttkmbackup ซึ่งเป็นไฟล์สำรองของ ToTok โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสด้วย AES และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมที่ยังคงทำงานอยู่ในปี 2025

    ProSpy ยังมีเทคนิคซ่อนตัวขั้นสูง เช่น เปลี่ยนไอคอนเป็น Google Play Services และเปิดหน้าข้อมูลของแอปจริงเมื่อแตะไอคอน ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยว่าเป็นมัลแวร์

    ESET พบว่าแคมเปญนี้เริ่มต้นตั้งแต่กลางปี 2022 และยังคงดำเนินอยู่ โดยมีการใช้เว็บไซต์ปลอมที่ลงท้ายด้วย .ae.net ซึ่งบ่งชี้ว่าเน้นโจมตีผู้ใช้ใน UAE โดยเฉพาะ

    เพื่อป้องกันตัวเอง ผู้ใช้ควรติดตั้งแอปจากแหล่งทางการเท่านั้น ปิดการติดตั้งจากแหล่งไม่รู้จัก และเปิดใช้งาน Google Play Protect ซึ่งจะบล็อกมัลแวร์ที่รู้จักโดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    พบมัลแวร์สองสายพันธุ์คือ ProSpy และ ToSpy ที่ปลอมเป็นแอป Signal และ ToTok
    แอปปลอมไม่ได้อยู่ใน Store ทางการ ต้องติดตั้ง APK จากเว็บไซต์ปลอม
    ProSpy ปลอมเป็น Signal Encryption Plugin และ ToTok Pro
    ToSpy ปลอมเป็นแอป ToTok โดยตรง และมุ่งเป้าไปที่ไฟล์สำรอง .ttkmbackup
    แอปขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รายชื่อ ข้อความ ไฟล์ และข้อมูลแชท
    ข้อมูลถูกเข้ารหัสด้วย AES และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ProSpy ใช้เทคนิคซ่อนตัวโดยเปลี่ยนไอคอนเป็น Google Play Services
    แคมเปญเริ่มตั้งแต่ปี 2022 และยังคงดำเนินอยู่ในปี 2025
    ESET แจ้ง Google แล้ว และ Play Protect บล็อกมัลแวร์โดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ToTok เคยถูกถอดออกจาก Google Play และ App Store ในปี 2019 จากข้อกล่าวหาเรื่องการสอดแนม
    Signal เป็นแอปเข้ารหัสที่มีผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก
    การโจมตีแบบนี้เรียกว่า “social engineering” โดยใช้ความไว้วางใจในแบรนด์เพื่อหลอกลวง
    การติดตั้ง APK จากแหล่งภายนอกเป็นช่องทางหลักของมัลแวร์ Android
    การใช้ไอคอนและชื่อแอปที่เหมือนของจริงช่วยให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับได้

    https://hackread.com/spyware-fake-signal-totok-apps-uae-android-users/
    📱 “ระวัง! แอปปลอม Signal และ ToTok แฝงสปายแวร์โจมตีผู้ใช้ Android ใน UAE — ขโมยข้อมูลส่วนตัวแบบเงียบ ๆ” นักวิจัยจาก ESET ได้เปิดเผยแคมเปญสปายแวร์ใหม่ที่กำลังระบาดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านแอปปลอมของ Signal และ ToTok ซึ่งเป็นแอปส่งข้อความที่ผู้ใช้ไว้วางใจ โดยแอปปลอมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ใน Google Play หรือ App Store แต่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบหน้าตาแอปจริงอย่างแนบเนียน แคมเปญนี้ประกอบด้วยมัลแวร์สองสายพันธุ์ ได้แก่ 🐛 ProSpy (Android/Spy.ProSpy): ปลอมเป็น Signal Encryption Plugin และ ToTok Pro 🐛 ToSpy (Android/Spy.ToSpy): ปลอมเป็นแอป ToTok โดยตรง เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง APK จากเว็บไซต์ปลอม แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ ไฟล์ และข้อมูลสำรองการแชท โดยเฉพาะ ToSpy จะมุ่งเป้าไปที่ไฟล์ .ttkmbackup ซึ่งเป็นไฟล์สำรองของ ToTok โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสด้วย AES และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมที่ยังคงทำงานอยู่ในปี 2025 ProSpy ยังมีเทคนิคซ่อนตัวขั้นสูง เช่น เปลี่ยนไอคอนเป็น Google Play Services และเปิดหน้าข้อมูลของแอปจริงเมื่อแตะไอคอน ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยว่าเป็นมัลแวร์ ESET พบว่าแคมเปญนี้เริ่มต้นตั้งแต่กลางปี 2022 และยังคงดำเนินอยู่ โดยมีการใช้เว็บไซต์ปลอมที่ลงท้ายด้วย .ae.net ซึ่งบ่งชี้ว่าเน้นโจมตีผู้ใช้ใน UAE โดยเฉพาะ เพื่อป้องกันตัวเอง ผู้ใช้ควรติดตั้งแอปจากแหล่งทางการเท่านั้น ปิดการติดตั้งจากแหล่งไม่รู้จัก และเปิดใช้งาน Google Play Protect ซึ่งจะบล็อกมัลแวร์ที่รู้จักโดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ พบมัลแวร์สองสายพันธุ์คือ ProSpy และ ToSpy ที่ปลอมเป็นแอป Signal และ ToTok ➡️ แอปปลอมไม่ได้อยู่ใน Store ทางการ ต้องติดตั้ง APK จากเว็บไซต์ปลอม ➡️ ProSpy ปลอมเป็น Signal Encryption Plugin และ ToTok Pro ➡️ ToSpy ปลอมเป็นแอป ToTok โดยตรง และมุ่งเป้าไปที่ไฟล์สำรอง .ttkmbackup ➡️ แอปขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รายชื่อ ข้อความ ไฟล์ และข้อมูลแชท ➡️ ข้อมูลถูกเข้ารหัสด้วย AES และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ProSpy ใช้เทคนิคซ่อนตัวโดยเปลี่ยนไอคอนเป็น Google Play Services ➡️ แคมเปญเริ่มตั้งแต่ปี 2022 และยังคงดำเนินอยู่ในปี 2025 ➡️ ESET แจ้ง Google แล้ว และ Play Protect บล็อกมัลแวร์โดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ToTok เคยถูกถอดออกจาก Google Play และ App Store ในปี 2019 จากข้อกล่าวหาเรื่องการสอดแนม ➡️ Signal เป็นแอปเข้ารหัสที่มีผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก ➡️ การโจมตีแบบนี้เรียกว่า “social engineering” โดยใช้ความไว้วางใจในแบรนด์เพื่อหลอกลวง ➡️ การติดตั้ง APK จากแหล่งภายนอกเป็นช่องทางหลักของมัลแวร์ Android ➡️ การใช้ไอคอนและชื่อแอปที่เหมือนของจริงช่วยให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ https://hackread.com/spyware-fake-signal-totok-apps-uae-android-users/
    HACKREAD.COM
    Spyware Disguised as Signal and ToTok Apps Targets UAE Android Users
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Smart TV ไม่ได้ฉลาดตลอดไป ถ้าไม่อัปเดต — ช่องโหว่ความปลอดภัยที่คุณอาจมองข้าม”

    ในยุคที่โทรทัศน์กลายเป็นมากกว่าแค่จอภาพ Smart TV ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบปฏิบัติการ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ และแอปพลิเคชันมากมาย ซึ่งหมายความว่า มันคือ “คอมพิวเตอร์ที่ดูหนังได้” และเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง มันต้องการการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ

    หลายคนอาจคิดว่า Smart TV ไม่จำเป็นต้องอัปเดตบ่อย แต่ความจริงคือ การไม่อัปเดตอาจทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่การทำงานช้า แอปค้าง ไปจนถึงการถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ผลิตหยุดสนับสนุนซอฟต์แวร์ แม้ฮาร์ดแวร์ยังใช้งานได้ดีอยู่ก็ตาม

    รายงานจาก NETGEAR และ Bitdefender ในปี 2024 พบว่า Smart TV เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ IoT ที่ถูกโจมตีมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของอุปกรณ์ที่มีช่องโหว่ทั้งหมด สาเหตุหลักคือการใช้งานยาวนานและการหยุดอัปเดตจากผู้ผลิต

    Smart TV ที่ไม่ได้อัปเดตอาจถูกแฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล บัตรเครดิต หรือบัญชีสตรีมมิ่ง โดยเฉพาะหากมีการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ หรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย

    แม้การอัปเดตจะไม่เกิดขึ้นบ่อยเท่ากับสมาร์ทโฟน แต่ผู้ผลิตมักปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส และอัปเดตใหญ่ปีละครั้ง เช่น Android TV 14 ที่เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026

    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการอัปเดตได้จากเมนูตั้งค่าของทีวี และควรเปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติไว้เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ยังปลอดภัยและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Smart TV มีระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์คล้ายคอมพิวเตอร์
    ต้องการการอัปเดตเพื่อแก้บั๊ก เพิ่มฟีเจอร์ และเสริมความปลอดภัย
    Android TV 14 เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปี 2025–2026
    ผู้ผลิตปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส
    Smart TV มีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ปี แต่การสนับสนุนซอฟต์แวร์อาจสิ้นสุดก่อน
    ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดการอัปเดตอัตโนมัติได้จากเมนูตั้งค่า
    การอัปเดตช่วยให้แอปทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Smart TV บางรุ่นมีไมโครโฟนและกล้องในตัว ซึ่งอาจถูกใช้โจมตีได้
    ผู้ผลิตบางรายให้การสนับสนุนซอฟต์แวร์เพียง 2–3 ปีหลังเปิดตัว
    มีกรณีจริงที่แฮกเกอร์สามารถควบคุมทีวีจากระยะไกล เช่น เปลี่ยนช่องหรือเพิ่มเสียง
    FTC เคยปรับบริษัท Vizio ฐานเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
    การใช้รหัสผ่าน Wi-Fi ที่แข็งแรงและการตั้งค่าความปลอดภัยของเครือข่ายช่วยลดความเสี่ยง

    https://www.slashgear.com/1984686/smart-tvs-need-software-updates-reason-why-how-often/
    📺 “Smart TV ไม่ได้ฉลาดตลอดไป ถ้าไม่อัปเดต — ช่องโหว่ความปลอดภัยที่คุณอาจมองข้าม” ในยุคที่โทรทัศน์กลายเป็นมากกว่าแค่จอภาพ Smart TV ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบปฏิบัติการ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ และแอปพลิเคชันมากมาย ซึ่งหมายความว่า มันคือ “คอมพิวเตอร์ที่ดูหนังได้” และเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง มันต้องการการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ หลายคนอาจคิดว่า Smart TV ไม่จำเป็นต้องอัปเดตบ่อย แต่ความจริงคือ การไม่อัปเดตอาจทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่การทำงานช้า แอปค้าง ไปจนถึงการถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ผลิตหยุดสนับสนุนซอฟต์แวร์ แม้ฮาร์ดแวร์ยังใช้งานได้ดีอยู่ก็ตาม รายงานจาก NETGEAR และ Bitdefender ในปี 2024 พบว่า Smart TV เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ IoT ที่ถูกโจมตีมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของอุปกรณ์ที่มีช่องโหว่ทั้งหมด สาเหตุหลักคือการใช้งานยาวนานและการหยุดอัปเดตจากผู้ผลิต Smart TV ที่ไม่ได้อัปเดตอาจถูกแฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล บัตรเครดิต หรือบัญชีสตรีมมิ่ง โดยเฉพาะหากมีการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ หรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย แม้การอัปเดตจะไม่เกิดขึ้นบ่อยเท่ากับสมาร์ทโฟน แต่ผู้ผลิตมักปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส และอัปเดตใหญ่ปีละครั้ง เช่น Android TV 14 ที่เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026 ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการอัปเดตได้จากเมนูตั้งค่าของทีวี และควรเปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติไว้เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ยังปลอดภัยและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Smart TV มีระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์คล้ายคอมพิวเตอร์ ➡️ ต้องการการอัปเดตเพื่อแก้บั๊ก เพิ่มฟีเจอร์ และเสริมความปลอดภัย ➡️ Android TV 14 เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปี 2025–2026 ➡️ ผู้ผลิตปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส ➡️ Smart TV มีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ปี แต่การสนับสนุนซอฟต์แวร์อาจสิ้นสุดก่อน ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดการอัปเดตอัตโนมัติได้จากเมนูตั้งค่า ➡️ การอัปเดตช่วยให้แอปทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Smart TV บางรุ่นมีไมโครโฟนและกล้องในตัว ซึ่งอาจถูกใช้โจมตีได้ ➡️ ผู้ผลิตบางรายให้การสนับสนุนซอฟต์แวร์เพียง 2–3 ปีหลังเปิดตัว ➡️ มีกรณีจริงที่แฮกเกอร์สามารถควบคุมทีวีจากระยะไกล เช่น เปลี่ยนช่องหรือเพิ่มเสียง ➡️ FTC เคยปรับบริษัท Vizio ฐานเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ➡️ การใช้รหัสผ่าน Wi-Fi ที่แข็งแรงและการตั้งค่าความปลอดภัยของเครือข่ายช่วยลดความเสี่ยง https://www.slashgear.com/1984686/smart-tvs-need-software-updates-reason-why-how-often/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Yes, Smart TVs Need Software Updates - Here's Why & How Often - SlashGear
    Smart TVs require regular software updates to patch security flaws, improve app compatibility, fix bugs, and add new features over time.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • “openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ปรับโฉมใหม่หมด พร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน และระบบติดตั้งแบบเว็บ”

    หลังจากการพัฒนาอย่างเข้มข้นและการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ openSUSE Leap 16 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งในระดับสถาปัตยกรรม ระบบติดตั้ง และแนวทางการสนับสนุนที่ยาวนานถึง 24 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับความนิยมในองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป

    Leap 16 ถูกสร้างขึ้นบนฐานของ SUSE Linux Enterprise 16 (SLES) และแพลตฟอร์มใหม่ SUSE Linux Framework One (SLFO) ซึ่งเคยรู้จักกันในชื่อ ALP ทำให้ Leap 16 ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES และสามารถย้ายไปใช้เวอร์ชันเชิงพาณิชย์ได้อย่างราบรื่น

    หนึ่งในไฮไลต์ของเวอร์ชันนี้คือการเปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ที่ใช้มานานกว่า 30 ปี ไปเป็น Agama ซึ่งเป็นระบบติดตั้งแบบเว็บที่สามารถเข้าถึงจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายได้ ช่วยให้การติดตั้งสะดวกและทันสมัยมากขึ้น

    Leap 16 ยังเปลี่ยนมาใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักแทน X11 โดยมีเดสก์ท็อปให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20 (แบบทดลอง) พร้อมรองรับ XWayland สำหรับแอปเก่า

    ด้านความปลอดภัย Leap 16 เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลหลักแทน AppArmor เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ SLES และเพิ่มการควบคุมสิทธิ์แบบบังคับที่แข็งแกร่งขึ้น

    Leap 16 ยังรองรับเฉพาะระบบ 64-bit โดยต้องใช้ CPU ที่รองรับ x86-64-v2 (ตั้งแต่ปี 2008 ขึ้นไป) และปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วย grub2-compat-ia32 และพารามิเตอร์ ia32_emulation=1 สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นเกมผ่าน Steam

    การปรับปรุงอื่น ๆ ได้แก่ การเพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ, การเปลี่ยน GUI สำหรับจัดการแพ็กเกจจาก YaST ไปเป็น Myrlyn, การเพิ่ม parallel downloads ใน Zypper และการรวม repository ระหว่าง community กับ enterprise ให้เป็น repo-oss เดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    openSUSE Leap 16 เปิดตัวพร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน
    สร้างบนฐาน SUSE Linux Enterprise 16 และ SUSE Linux Framework One
    ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES สามารถย้ายไปใช้เชิงพาณิชย์ได้
    เปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ไปเป็น Agama แบบเว็บ
    รองรับการติดตั้งจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่าย
    ใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลัก พร้อม GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20
    รองรับ XWayland สำหรับแอปที่ยังใช้ X11
    เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลความปลอดภัยหลัก
    รองรับเฉพาะ CPU ที่มี x86-64-v2 (ปี 2008 ขึ้นไป)
    ปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้
    เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ
    เปลี่ยน GUI จัดการแพ็กเกจเป็น Myrlyn
    เพิ่ม parallel downloads ใน Zypper
    รวม repository เป็น repo-oss เดียว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agama เป็นระบบติดตั้งที่สามารถควบคุมผ่านเว็บและมี CLI สำหรับผู้ดูแลระบบ
    Wayland ให้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยดีกว่า X11 โดยเฉพาะในระบบสมัยใหม่
    SELinux เป็นระบบควบคุมสิทธิ์แบบ MAC ที่ใช้ใน Red Hat และระบบองค์กรหลายแห่ง
    การรวม repository ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการแพ็กเกจ
    Leap 16 เป็นดิสโทรแรกที่ประกาศรองรับ Y2038 โดยไม่มีปัญหา timestamp overflow

    https://news.itsfoss.com/opensuse-leap-16-release/
    🐧 “openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ปรับโฉมใหม่หมด พร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน และระบบติดตั้งแบบเว็บ” หลังจากการพัฒนาอย่างเข้มข้นและการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ openSUSE Leap 16 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งในระดับสถาปัตยกรรม ระบบติดตั้ง และแนวทางการสนับสนุนที่ยาวนานถึง 24 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับความนิยมในองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป Leap 16 ถูกสร้างขึ้นบนฐานของ SUSE Linux Enterprise 16 (SLES) และแพลตฟอร์มใหม่ SUSE Linux Framework One (SLFO) ซึ่งเคยรู้จักกันในชื่อ ALP ทำให้ Leap 16 ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES และสามารถย้ายไปใช้เวอร์ชันเชิงพาณิชย์ได้อย่างราบรื่น หนึ่งในไฮไลต์ของเวอร์ชันนี้คือการเปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ที่ใช้มานานกว่า 30 ปี ไปเป็น Agama ซึ่งเป็นระบบติดตั้งแบบเว็บที่สามารถเข้าถึงจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายได้ ช่วยให้การติดตั้งสะดวกและทันสมัยมากขึ้น Leap 16 ยังเปลี่ยนมาใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักแทน X11 โดยมีเดสก์ท็อปให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20 (แบบทดลอง) พร้อมรองรับ XWayland สำหรับแอปเก่า ด้านความปลอดภัย Leap 16 เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลหลักแทน AppArmor เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ SLES และเพิ่มการควบคุมสิทธิ์แบบบังคับที่แข็งแกร่งขึ้น Leap 16 ยังรองรับเฉพาะระบบ 64-bit โดยต้องใช้ CPU ที่รองรับ x86-64-v2 (ตั้งแต่ปี 2008 ขึ้นไป) และปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วย grub2-compat-ia32 และพารามิเตอร์ ia32_emulation=1 สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นเกมผ่าน Steam การปรับปรุงอื่น ๆ ได้แก่ การเพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ, การเปลี่ยน GUI สำหรับจัดการแพ็กเกจจาก YaST ไปเป็น Myrlyn, การเพิ่ม parallel downloads ใน Zypper และการรวม repository ระหว่าง community กับ enterprise ให้เป็น repo-oss เดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ openSUSE Leap 16 เปิดตัวพร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน ➡️ สร้างบนฐาน SUSE Linux Enterprise 16 และ SUSE Linux Framework One ➡️ ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES สามารถย้ายไปใช้เชิงพาณิชย์ได้ ➡️ เปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ไปเป็น Agama แบบเว็บ ➡️ รองรับการติดตั้งจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่าย ➡️ ใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลัก พร้อม GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20 ➡️ รองรับ XWayland สำหรับแอปที่ยังใช้ X11 ➡️ เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลความปลอดภัยหลัก ➡️ รองรับเฉพาะ CPU ที่มี x86-64-v2 (ปี 2008 ขึ้นไป) ➡️ ปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้ ➡️ เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ ➡️ เปลี่ยน GUI จัดการแพ็กเกจเป็น Myrlyn ➡️ เพิ่ม parallel downloads ใน Zypper ➡️ รวม repository เป็น repo-oss เดียว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agama เป็นระบบติดตั้งที่สามารถควบคุมผ่านเว็บและมี CLI สำหรับผู้ดูแลระบบ ➡️ Wayland ให้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยดีกว่า X11 โดยเฉพาะในระบบสมัยใหม่ ➡️ SELinux เป็นระบบควบคุมสิทธิ์แบบ MAC ที่ใช้ใน Red Hat และระบบองค์กรหลายแห่ง ➡️ การรวม repository ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการแพ็กเกจ ➡️ Leap 16 เป็นดิสโทรแรกที่ประกาศรองรับ Y2038 โดยไม่มีปัญหา timestamp overflow https://news.itsfoss.com/opensuse-leap-16-release/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Unity เจอช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-59489 — เกมมือถือหลายล้านแอปเสี่ยงถูกโจมตีผ่านไฟล์ .so”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GMO Flatt Security ชื่อ RyotaK ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Unity Runtime ซึ่งถูกระบุเป็น CVE-2025-59489 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS สูงถึง 8.4 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดในเครื่องได้ (Local Code Execution) ผ่านการแทรกไฟล์ .so โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับสูง

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ intent ใน UnityPlayerActivity บน Android ซึ่งเป็น entry point หลักของแอป Unity โดย Unity จะเพิ่ม handler สำหรับ “unity extra” เพื่อใช้ในการดีบักผ่าน ADB แต่กลับเปิดช่องให้แอปอื่นส่ง intent พร้อมพารามิเตอร์ที่เป็นอันตราย เช่น -xrsdk-pre-init-library เพื่อบังคับให้โหลดไฟล์ .so ที่ผู้โจมตีเตรียมไว้

    RyotaK สาธิตการโจมตีโดยใช้แอป Android ที่มีสิทธิ์ต่ำ ส่ง intent ไปยังแอป Unity พร้อมพารามิเตอร์ที่ชี้ไปยังไฟล์ .so ที่ฝังอยู่ใน APK หรือในโฟลเดอร์ /data/local/tmp/ ซึ่งทำให้แอป Unity โหลดและรันโค้ดอันตรายภายใต้สิทธิ์ของตัวเอง ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น GPS, กล้อง, หรือข้อมูลผู้ใช้ในเกม

    ในบางกรณี ช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลผ่านเบราว์เซอร์ Android หากแอป Unity เปิดให้เรียก UnityPlayerActivity ด้วย intent URL ที่มีพารามิเตอร์อันตราย อย่างไรก็ตาม Android SELinux ยังช่วยป้องกันการโหลดไฟล์จากโฟลเดอร์ดาวน์โหลดได้บางส่วน

    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกแพลตฟอร์มที่ใช้ Unity ได้แก่ Android, Windows, macOS และ Linux โดยเฉพาะแอปที่สร้างจาก Unity Editor เวอร์ชันตั้งแต่ 2017.1 เป็นต้นมา Unity ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน เช่น 2022.3.67f2, 2021.3.56f2 และ 2019.4.41f1 พร้อมเครื่องมือ Binary Patch สำหรับโปรเจกต์เก่าที่ไม่สามารถ rebuild ได้ง่าย

    Microsoft และ Steam ได้ออกคำเตือนแก่ผู้ใช้และนักพัฒนา โดยแนะนำให้ถอนการติดตั้งเกมที่ยังไม่ได้อัปเดต และให้ผู้พัฒนารีบ rebuild เกมด้วย Unity เวอร์ชันที่ปลอดภัยทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-59489 เกิดจากการจัดการ intent ใน UnityPlayerActivity บน Android
    ผู้โจมตีสามารถส่งพารามิเตอร์ -xrsdk-pre-init-library เพื่อโหลดไฟล์ .so อันตราย
    แอปที่สร้างจาก Unity ตั้งแต่เวอร์ชัน 2017.1 เสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    RyotaK สาธิตการโจมตีผ่านแอป Android ที่มีสิทธิ์ต่ำ
    ช่องโหว่สามารถถูกใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูล GPS, กล้อง, และข้อมูลผู้ใช้
    Unity ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2022.3.67f2, 2021.3.56f2, 2019.4.41f1 และอื่น ๆ
    มีเครื่องมือ Binary Patch สำหรับโปรเจกต์เก่าที่ไม่สามารถ rebuild ได้
    Microsoft และ Steam แนะนำให้ถอนการติดตั้งเกมที่ยังไม่ได้อัปเดต
    Unity ระบุว่าไม่มีหลักฐานการโจมตีในโลกจริง ณ วันที่ประกาศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Unity เป็นเอนจินเกมที่ใช้สร้างกว่า 70% ของเกมมือถือยอดนิยม เช่น Pokémon GO, Among Us
    Android Intent เป็นกลไกที่ใช้สื่อสารระหว่างแอป ซึ่งหากจัดการไม่ดีอาจเปิดช่องโหว่
    SELinux บน Android ช่วยป้องกันการโหลดไฟล์จากโฟลเดอร์ดาวน์โหลด
    บน Windows ช่องโหว่นี้สามารถถูกกระตุ้นผ่าน custom URI scheme
    การโหลดไฟล์ .so โดยไม่มีการตรวจสอบเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการโจมตี

    https://securityonline.info/unity-flaw-cve-2025-59489-allows-local-code-execution-in-millions-of-games/
    🎮 “Unity เจอช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-59489 — เกมมือถือหลายล้านแอปเสี่ยงถูกโจมตีผ่านไฟล์ .so” นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GMO Flatt Security ชื่อ RyotaK ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Unity Runtime ซึ่งถูกระบุเป็น CVE-2025-59489 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS สูงถึง 8.4 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดในเครื่องได้ (Local Code Execution) ผ่านการแทรกไฟล์ .so โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับสูง ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ intent ใน UnityPlayerActivity บน Android ซึ่งเป็น entry point หลักของแอป Unity โดย Unity จะเพิ่ม handler สำหรับ “unity extra” เพื่อใช้ในการดีบักผ่าน ADB แต่กลับเปิดช่องให้แอปอื่นส่ง intent พร้อมพารามิเตอร์ที่เป็นอันตราย เช่น -xrsdk-pre-init-library เพื่อบังคับให้โหลดไฟล์ .so ที่ผู้โจมตีเตรียมไว้ RyotaK สาธิตการโจมตีโดยใช้แอป Android ที่มีสิทธิ์ต่ำ ส่ง intent ไปยังแอป Unity พร้อมพารามิเตอร์ที่ชี้ไปยังไฟล์ .so ที่ฝังอยู่ใน APK หรือในโฟลเดอร์ /data/local/tmp/ ซึ่งทำให้แอป Unity โหลดและรันโค้ดอันตรายภายใต้สิทธิ์ของตัวเอง ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น GPS, กล้อง, หรือข้อมูลผู้ใช้ในเกม ในบางกรณี ช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลผ่านเบราว์เซอร์ Android หากแอป Unity เปิดให้เรียก UnityPlayerActivity ด้วย intent URL ที่มีพารามิเตอร์อันตราย อย่างไรก็ตาม Android SELinux ยังช่วยป้องกันการโหลดไฟล์จากโฟลเดอร์ดาวน์โหลดได้บางส่วน ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกแพลตฟอร์มที่ใช้ Unity ได้แก่ Android, Windows, macOS และ Linux โดยเฉพาะแอปที่สร้างจาก Unity Editor เวอร์ชันตั้งแต่ 2017.1 เป็นต้นมา Unity ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน เช่น 2022.3.67f2, 2021.3.56f2 และ 2019.4.41f1 พร้อมเครื่องมือ Binary Patch สำหรับโปรเจกต์เก่าที่ไม่สามารถ rebuild ได้ง่าย Microsoft และ Steam ได้ออกคำเตือนแก่ผู้ใช้และนักพัฒนา โดยแนะนำให้ถอนการติดตั้งเกมที่ยังไม่ได้อัปเดต และให้ผู้พัฒนารีบ rebuild เกมด้วย Unity เวอร์ชันที่ปลอดภัยทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-59489 เกิดจากการจัดการ intent ใน UnityPlayerActivity บน Android ➡️ ผู้โจมตีสามารถส่งพารามิเตอร์ -xrsdk-pre-init-library เพื่อโหลดไฟล์ .so อันตราย ➡️ แอปที่สร้างจาก Unity ตั้งแต่เวอร์ชัน 2017.1 เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ➡️ RyotaK สาธิตการโจมตีผ่านแอป Android ที่มีสิทธิ์ต่ำ ➡️ ช่องโหว่สามารถถูกใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูล GPS, กล้อง, และข้อมูลผู้ใช้ ➡️ Unity ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2022.3.67f2, 2021.3.56f2, 2019.4.41f1 และอื่น ๆ ➡️ มีเครื่องมือ Binary Patch สำหรับโปรเจกต์เก่าที่ไม่สามารถ rebuild ได้ ➡️ Microsoft และ Steam แนะนำให้ถอนการติดตั้งเกมที่ยังไม่ได้อัปเดต ➡️ Unity ระบุว่าไม่มีหลักฐานการโจมตีในโลกจริง ณ วันที่ประกาศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Unity เป็นเอนจินเกมที่ใช้สร้างกว่า 70% ของเกมมือถือยอดนิยม เช่น Pokémon GO, Among Us ➡️ Android Intent เป็นกลไกที่ใช้สื่อสารระหว่างแอป ซึ่งหากจัดการไม่ดีอาจเปิดช่องโหว่ ➡️ SELinux บน Android ช่วยป้องกันการโหลดไฟล์จากโฟลเดอร์ดาวน์โหลด ➡️ บน Windows ช่องโหว่นี้สามารถถูกกระตุ้นผ่าน custom URI scheme ➡️ การโหลดไฟล์ .so โดยไม่มีการตรวจสอบเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการโจมตี https://securityonline.info/unity-flaw-cve-2025-59489-allows-local-code-execution-in-millions-of-games/
    SECURITYONLINE.INFO
    Unity Flaw CVE-2025-59489 Allows Local Code Execution in Millions of Games
    A flaw in the Unity Runtime (CVE-2025-59489) allows local code execution in games via DLL injection through the Android intent handler. Developers must rebuild their apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา — ยกระดับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันแบบมืออาชีพ”

    หลังจากที่ผู้ใช้เรียกร้องกันมานาน Microsoft Teams กำลังจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multitasking) มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความสามารถในการ “แยกหน้าต่างช่องสนทนา” หรือ pop-out channels ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถทำได้เฉพาะกับแชตส่วนตัวเท่านั้น

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทยอยเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025 โดยผู้ใช้ Teams บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS จะสามารถคลิกขวาที่ช่องสนทนา แล้วเลือก “Pop out” เพื่อเปิดหน้าต่างแยกออกมา ทำให้สามารถติดตามหลายช่องทางพร้อมกันได้ เช่น ช่องประกาศของทีม ช่องโครงการ และแชตส่วนตัว โดยไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา

    การอัปเดตนี้จะช่วยลดปัญหา “context switching” หรือการเสียสมาธิจากการเปลี่ยนหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่การประชุมออนไลน์และการทำงานแบบไฮบริดกลายเป็นเรื่องปกติ

    Microsoft ยังระบุว่า ฟีเจอร์นี้จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ จากผู้ดูแลระบบ และไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams แต่อย่างใด

    นอกจากนี้ Microsoft ยังมีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การอัปเดตตำแหน่งที่ทำงานอัตโนมัติผ่าน Wi-Fi และการสนับสนุนการสนทนาแบบ threaded ในช่อง เพื่อให้การติดตามบทสนทนาหลายสายง่ายขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา (pop-out channels)
    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025
    รองรับผู้ใช้บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS
    ผู้ใช้สามารถเปิดช่องสนทนาในหน้าต่างแยกเพื่อดูหลายช่องพร้อมกัน
    ลดปัญหา context switching และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    ฟีเจอร์เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ
    ไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams
    Microsoft มีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น เช่น การอัปเดตตำแหน่งผ่าน Wi-Fi และ threaded conversations

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟีเจอร์ pop-out chats มีอยู่แล้วใน Teams แต่ช่องสนทนายังไม่เคยรองรับมาก่อน
    การทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในประชุมออนไลน์
    การเปิดหลายหน้าต่างช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัด workspace ตามความต้องการ
    การสนทนาแบบ threaded ช่วยให้ติดตามบทสนทนาได้ง่ายขึ้นโดยไม่รบกวนช่องหลัก
    Microsoft Research พบว่า 30% ของการประชุมมีการทำงานอื่นร่วมด้วย

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-teams-is-finally-adding-this-much-demanded-feature-and-it-could-massively-boost-your-productivity
    🖥️ “Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา — ยกระดับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันแบบมืออาชีพ” หลังจากที่ผู้ใช้เรียกร้องกันมานาน Microsoft Teams กำลังจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multitasking) มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความสามารถในการ “แยกหน้าต่างช่องสนทนา” หรือ pop-out channels ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถทำได้เฉพาะกับแชตส่วนตัวเท่านั้น ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทยอยเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025 โดยผู้ใช้ Teams บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS จะสามารถคลิกขวาที่ช่องสนทนา แล้วเลือก “Pop out” เพื่อเปิดหน้าต่างแยกออกมา ทำให้สามารถติดตามหลายช่องทางพร้อมกันได้ เช่น ช่องประกาศของทีม ช่องโครงการ และแชตส่วนตัว โดยไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา การอัปเดตนี้จะช่วยลดปัญหา “context switching” หรือการเสียสมาธิจากการเปลี่ยนหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่การประชุมออนไลน์และการทำงานแบบไฮบริดกลายเป็นเรื่องปกติ Microsoft ยังระบุว่า ฟีเจอร์นี้จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ จากผู้ดูแลระบบ และไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams แต่อย่างใด นอกจากนี้ Microsoft ยังมีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การอัปเดตตำแหน่งที่ทำงานอัตโนมัติผ่าน Wi-Fi และการสนับสนุนการสนทนาแบบ threaded ในช่อง เพื่อให้การติดตามบทสนทนาหลายสายง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา (pop-out channels) ➡️ ฟีเจอร์นี้จะเริ่มเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025 ➡️ รองรับผู้ใช้บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดช่องสนทนาในหน้าต่างแยกเพื่อดูหลายช่องพร้อมกัน ➡️ ลดปัญหา context switching และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ➡️ ฟีเจอร์เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams ➡️ Microsoft มีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น เช่น การอัปเดตตำแหน่งผ่าน Wi-Fi และ threaded conversations ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟีเจอร์ pop-out chats มีอยู่แล้วใน Teams แต่ช่องสนทนายังไม่เคยรองรับมาก่อน ➡️ การทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในประชุมออนไลน์ ➡️ การเปิดหลายหน้าต่างช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัด workspace ตามความต้องการ ➡️ การสนทนาแบบ threaded ช่วยให้ติดตามบทสนทนาได้ง่ายขึ้นโดยไม่รบกวนช่องหลัก ➡️ Microsoft Research พบว่า 30% ของการประชุมมีการทำงานอื่นร่วมด้วย https://www.techradar.com/pro/microsoft-teams-is-finally-adding-this-much-demanded-feature-and-it-could-massively-boost-your-productivity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัปเดต iPhone ไม่ผ่าน? วิธีแก้แบบไม่เสียข้อมูล พร้อมเทคนิคป้องกันล่วงหน้า”

    หลายคนเคยเจอเหตุการณ์กดอัปเดต iOS แล้วเครื่องค้างขึ้นข้อความ “Update Failed” หรือ “Unable to Install Update” ซึ่งสร้างความหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกลัวว่าจะสูญเสียภาพถ่าย แชต หรือข้อมูลงานสำคัญ บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “iPhone Software Update Failed” แบบไม่ต้องล้างเครื่อง พร้อมคำแนะนำป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

    สาเหตุหลักของการอัปเดตไม่ผ่านมักมาจากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตเตอรี่ต่ำ, ไฟล์เฟิร์มแวร์เสีย, เครื่องเจลเบรก หรือแม้แต่ปัญหาฮาร์ดแวร์บางกรณี เช่น หน่วยความจำเสียหาย

    ก่อนเริ่มแก้ไข ควรสำรองข้อมูลผ่าน iCloud หรือ Finder/iTunes เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากต้องใช้วิธีที่เสี่ยง เช่น Recovery Mode

    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่:
    รีสตาร์ทหรือ Force Restart เครื่อง
    ลบไฟล์อัปเดตที่เสียจาก Settings > General > iPhone Storage
    รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย
    เชื่อมต่อกับ Mac หรือ PC แล้วอัปเดตผ่าน Finder หรือ iTunes โดยไม่ล้างข้อมูล

    หากยังไม่สำเร็จ สามารถใช้เครื่องมือซ่อมระบบ iOS เช่น Wondershare Dr.Fone – System Repair ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้กว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้ Apple, หน้าจอขาว, boot loop โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล

    นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำป้องกันล่วงหน้า เช่น:
    เคลียร์พื้นที่ให้ว่าง 5–6 GB ก่อนอัปเดต
    หลีกเลี่ยง Wi-Fi ที่ไม่เสถียร
    ชาร์จแบตให้เกิน 50%
    หลีกเลี่ยงการเจลเบรก
    ล้างแคชและลบแอปที่ไม่จำเป็น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปัญหา “iPhone Software Update Failed” เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พื้นที่ไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตต่ำ
    ข้อความที่พบบ่อย ได้แก่ “Update Failed”, “Unable to Install Update”, “Error 4013/4014”
    การสำรองข้อมูลก่อนแก้ไขเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสูญหาย
    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ลบไฟล์อัปเดต, รีเซ็ตเครือข่าย
    การอัปเดตผ่าน Finder/iTunes ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาบนเครื่อง
    Wondershare Dr.Fone – System Repair สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ลบข้อมูล
    รองรับ iOS 26 และ iPhone 17 series
    ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้
    สามารถดาวน์เกรด iOS, เข้า/ออก Recovery/DFU Mode และแก้ปัญหา iTunes ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การอัปเดตผ่านคอมพิวเตอร์มักเสถียรกว่า OTA เพราะไม่ขึ้นกับ Wi-Fi
    iOS ต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์อัปเดตจริงเพื่อการแตกไฟล์และตรวจสอบ
    Recovery Mode สามารถใช้ “Update” แทน “Restore” เพื่อรักษาข้อมูล
    เครื่องมืออย่าง iToolab FixGo ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ลบข้อมูล
    การใช้ VPN หรือ DNS ที่บล็อกเซิร์ฟเวอร์ของ Apple อาจทำให้การอัปเดตล้มเหลว

    https://hackread.com/iphone-software-update-failed-fix-without-data-loss/
    📱 “อัปเดต iPhone ไม่ผ่าน? วิธีแก้แบบไม่เสียข้อมูล พร้อมเทคนิคป้องกันล่วงหน้า” หลายคนเคยเจอเหตุการณ์กดอัปเดต iOS แล้วเครื่องค้างขึ้นข้อความ “Update Failed” หรือ “Unable to Install Update” ซึ่งสร้างความหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกลัวว่าจะสูญเสียภาพถ่าย แชต หรือข้อมูลงานสำคัญ บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “iPhone Software Update Failed” แบบไม่ต้องล้างเครื่อง พร้อมคำแนะนำป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ สาเหตุหลักของการอัปเดตไม่ผ่านมักมาจากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตเตอรี่ต่ำ, ไฟล์เฟิร์มแวร์เสีย, เครื่องเจลเบรก หรือแม้แต่ปัญหาฮาร์ดแวร์บางกรณี เช่น หน่วยความจำเสียหาย ก่อนเริ่มแก้ไข ควรสำรองข้อมูลผ่าน iCloud หรือ Finder/iTunes เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากต้องใช้วิธีที่เสี่ยง เช่น Recovery Mode วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่: 🔰 รีสตาร์ทหรือ Force Restart เครื่อง 🔰 ลบไฟล์อัปเดตที่เสียจาก Settings > General > iPhone Storage 🔰 รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย 🔰 เชื่อมต่อกับ Mac หรือ PC แล้วอัปเดตผ่าน Finder หรือ iTunes โดยไม่ล้างข้อมูล หากยังไม่สำเร็จ สามารถใช้เครื่องมือซ่อมระบบ iOS เช่น Wondershare Dr.Fone – System Repair ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้กว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้ Apple, หน้าจอขาว, boot loop โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำป้องกันล่วงหน้า เช่น: 🔰 เคลียร์พื้นที่ให้ว่าง 5–6 GB ก่อนอัปเดต 🔰 หลีกเลี่ยง Wi-Fi ที่ไม่เสถียร 🔰 ชาร์จแบตให้เกิน 50% 🔰 หลีกเลี่ยงการเจลเบรก 🔰 ล้างแคชและลบแอปที่ไม่จำเป็น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปัญหา “iPhone Software Update Failed” เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พื้นที่ไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตต่ำ ➡️ ข้อความที่พบบ่อย ได้แก่ “Update Failed”, “Unable to Install Update”, “Error 4013/4014” ➡️ การสำรองข้อมูลก่อนแก้ไขเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสูญหาย ➡️ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ลบไฟล์อัปเดต, รีเซ็ตเครือข่าย ➡️ การอัปเดตผ่าน Finder/iTunes ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาบนเครื่อง ➡️ Wondershare Dr.Fone – System Repair สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ลบข้อมูล ➡️ รองรับ iOS 26 และ iPhone 17 series ➡️ ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้ ➡️ สามารถดาวน์เกรด iOS, เข้า/ออก Recovery/DFU Mode และแก้ปัญหา iTunes ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การอัปเดตผ่านคอมพิวเตอร์มักเสถียรกว่า OTA เพราะไม่ขึ้นกับ Wi-Fi ➡️ iOS ต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์อัปเดตจริงเพื่อการแตกไฟล์และตรวจสอบ ➡️ Recovery Mode สามารถใช้ “Update” แทน “Restore” เพื่อรักษาข้อมูล ➡️ เครื่องมืออย่าง iToolab FixGo ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ลบข้อมูล ➡️ การใช้ VPN หรือ DNS ที่บล็อกเซิร์ฟเวอร์ของ Apple อาจทำให้การอัปเดตล้มเหลว https://hackread.com/iphone-software-update-failed-fix-without-data-loss/
    HACKREAD.COM
    iPhone Software Update Failed? Here’s How to Fix It Without Data Loss
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง

    คณะดอกไม้ป่า ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่

    ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้

    คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง

    การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้

    วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก

    ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง

    "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s

    แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น

    การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง
    1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง

    2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia)

    ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท

    ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

    วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง

    นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม

    คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ

    ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท

    กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง

    การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป)

    นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น

    ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย

    ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น

    ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด

    การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด

    มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้

    สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า
    คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง

    บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว

    มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    🌼 ดอกไม้ป่า—ร่องรอยแห่งชนบทในสำเนียงเมือง คณะดอกไม้ป่า 🌸 ก้าวเข้ามาสู่ฉากดนตรีไทยในช่วงต้นทศวรรษ 2520 (ค.ศ. 1980s) ซึ่งถือเป็น 🔄 ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของรสนิยมและการผลิตดนตรีในประเทศไทย พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มนักร้องที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงการทางดนตรีที่ถูกกำหนดและออกแบบอย่างพิถีพิถันจากผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเพลงมืออาชีพ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อตลาดชนชั้นกลางในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ทำให้วงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งคือความสามารถในการนำ "แก่นเรื่องแบบลูกทุ่ง" 🧬🌾 มาผสมผสานกับการเรียบเรียงและคุณภาพการผลิตแบบ "ดนตรีสตริงหรือป๊อป" 🎧 อันนำไปสู่การก่อกำเนิดของแนวทางใหม่ที่เรียกว่า "ลูกทุ่งประยุกต์" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีป๊อปที่ครองตลาดในทศวรรษต่อมา ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงปี พ.ศ. 2525–2526 🌟 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในทศวรรษก่อนหน้า วงนี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นนักร้องคู่ดูโอหญิงที่เน้นทักษะการประสานเสียง (Harmonizing Duo) พวกเขาสามารถดึงดูดผู้ฟังได้อย่างกว้างขวางด้วยการรักษาความรู้สึกและแก่นเรื่องของความเป็นไทยไว้ ในขณะที่นำเสนอผ่านสำเนียงป๊อปสมัยใหม่ ในเชิงสังคมวิทยา ความสำเร็จของวงมีความสัมพันธ์กับการถอยห่างจากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่รุนแรงของยุค 1970s ดนตรีป๊อปที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้มักหลีกเลี่ยงสารทางการเมือง และหันไปให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนตัว ความรัก ❤️ และการมอบความบันเทิง ดอกไม้ป่าได้ปรับใช้แก่นเรื่องลูกทุ่งให้มีความอ่อนโยนและโรแมนติกในรูปแบบป๊อป ซึ่งทำให้บทเพลงของพวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคในเมืองสามารถยอมรับและเพลิดเพลินได้ คณะดอกไม้ป่าถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดทางธุรกิจที่ชัดเจน 💡 โดยไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีตามธรรมชาติ การก่อตั้งมีรากฐานมาจากความต้องการขยายตลาดและรูปแบบความสำเร็จที่เคยมีมาก่อน โดยผู้ริเริ่มแนวคิดต้องการที่จะสรรหานักร้องหญิงคู่ประสานเสียงเป็นคู่ที่สอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับวง The Hot Pepper Singers การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบของ "นักร้องคู่ประสานเสียง" 🎤🤝 ที่มีภาพลักษณ์สุภาพและเน้นทักษะการร้องถือเป็นกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง การเน้นที่ "นักร้องคู่ประสานเสียง" แสดงให้เห็นว่าคุณภาพเสียงและการจัดวางเสียงประสานถูกกำหนดให้เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้น แนวคิดนี้เป็นความพยายามที่จะยกระดับรูปแบบการร้องเพลงให้แตกต่างจากดนตรีลูกทุ่งทั่วไป การประสานเสียงที่ซับซ้อนนี้ถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติของดนตรีแนวลูกกรุงและป๊อปที่มีความประณีตและมีรสนิยมสูง ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคในเมืองได้ วงดอกไม้ป่าประกอบด้วยนักร้องดูโอหญิงสองคน: โชติมา ช่วงวิทย์ (ตุ้ม) และ ปัทมา มนต์รังสี (อ้อม) คุณโชติมาถือเป็นสมาชิกหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวของ ชวลีย์ ช่วงวิทย์ นักร้องชื่อดังของวงสุนทราภรณ์ 👑 สายเลือดจากสุนทราภรณ์นี้มอบความน่าเชื่อถือทางวัฒนธรรมและ "ความเป็นลูกกรุง" ให้กับวงโดยอัตโนมัติ ทำให้ดอกไม้ป่าสามารถวางตำแหน่งตัวเองอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นลูกทุ่งและความเป็นลูกกรุง/คลาสสิก ในช่วงเวลาที่ดนตรีลูกทุ่งกำลังถูกกลุ่มรสนิยมใหม่ของคนเมืองมองว่าเป็น "ดนตรีบ้านนอก" การมีโชติมาได้ทำหน้าที่เป็น "การสร้างแบรนด์ทางวัฒนธรรม" ที่สำคัญยิ่ง การเชื่อมโยงนี้รับประกันว่าเพลงของดอกไม้ป่า แม้จะมีกลิ่นอายของลูกทุ่ง แต่ก็มีความสุภาพและมีคุณค่าในเชิงศิลปะแบบลูกกรุงสูง "ดอกไม้ป่าซาวด์" คือการผสมผสานทางดนตรี 🔥 ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการนำองค์ประกอบทางทำนองเพลงพื้นบ้านหรือลูกทุ่ง มารวมเข้ากับการเรียบเรียงดนตรีและเครื่องดนตรีสมัยใหม่ตามแบบฉบับดนตรีสตริง/ป๊อปในยุค 80s แก่นเรื่องแบบลูกทุ่งยังคงเป็นหัวใจหลักในการเล่าเรื่อง ตัวอย่างเช่น เพลง "ทุยใจดำ" 💔 ที่สื่อถึงคนรักที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพลง "สาวชนบท" 🏡 ที่หยิบยกเรื่องราวความรักและชีวิตในท้องถิ่นมานำเสนอ แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีความแตกต่างคือการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ การใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อน เช่น เปียโน กีตาร์ไฟฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องเป่า (Brass Section) 🎺🎷 ที่สร้างความหนาแน่นและพลังเสียงที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการนำจังหวะที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกมาใช้ เช่น จังหวะช่าช่าช่า หรือฟังก์กี้ดิสโก้ในเพลงสนุกสนานอย่าง "ระบำยอดหญ้า" 💃 ทั้งหมดนี้ถูกขับร้องด้วยการประสานเสียงที่ไพเราะและสะอาดตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีป๊อปในช่วงนั้น การวิเคราะห์เนื้อหาและแก่นหลักของบทเพลง 1️⃣ ความรักที่ถูกทรยศในบริบทกึ่งชนบท: เพลงอย่าง "ทุยใจดำ" และ "ช้ำ" นำเสนอความผิดหวังในความรักจากมุมมองของผู้หญิง เมื่อเนื้อหาเหล่านี้ถูกขับร้องด้วยคุณภาพเสียงที่สะอาดและการเรียบเรียงแบบป๊อปสมัยใหม่ ความดิบหรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความยากจนในเพลงลูกทุ่งแบบดั้งเดิมก็ถูกลดทอนลง เนื้อหาจึงถูก "ทำให้สะอาด" ให้เหลือเพียงความเศร้าแบบโรแมนติกที่เข้ากับมาตรฐานของเพลงป๊อปในเมือง 2️⃣ ความปรารถนาในชีวิตชนบทและความหวนคิดถึง: เพลง "สาวชนบท" และ "ระบำยอดหญ้า" นำเสนอภาพความสดใสและรื่นเริงของชีวิตในท้องถิ่น ผู้ฟังในเขตเมืองหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพมาจากชนบท ต่างให้การตอบรับต่อเพลงเหล่านี้อย่างดีเยี่ยม ดอกไม้ป่าจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ "การหวนคิดถึงอย่างมีรสนิยม" (Aesthetic Nostalgia) 💖 ความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเพลงสตริง/ป๊อป แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการ "เชื่อมรอยแยกทางวัฒนธรรม" 🔗 ระหว่างรสนิยมของคนเมือง (ที่แสวงหาความทันสมัย) กับความผูกพันของกลุ่มผู้ฟังต่อชนบท ปี พ.ศ. 2525 เป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ของคณะดอกไม้ป่าจากการเปิดตัวอัลบั้ม ทุยใจดำ 💿 ซึ่งได้กำหนดทิศทางและลักษณะเฉพาะของวงอย่างชัดเจน เพลงเอก "ทุยใจดำ" เป็นตัวอย่างชั้นยอดของการผสมผสานระหว่าง Luk Thung และ Pop ผนวกกับการเรียบเรียงที่ใช้เครื่องดนตรีครบวงและจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงเต้นรำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง วงยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปี พ.ศ. 2526 โดยมีผลงานเพลงจากชุดต่อมา เช่น "สาวชนบท," "หนาวลมขมรัก," และ "รักทรมาน" การออกผลงานหลายชุดภายในเวลาอันสั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของค่ายเพลงในศักยภาพเชิงพาณิชย์และกระแสความนิยมที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น การที่เพลงของพวกเขาถูกรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตเงินล้าน 💰 ร่วมกับศิลปินใหญ่แห่งยุค แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นวงชั้นนำในตลาดเพลงเทปคาสเซ็ตต์อย่างแท้จริง นอกจากคุณภาพทางดนตรีแล้ว ภาพลักษณ์ของคณะดอกไม้ป่ามีความสำคัญต่อการตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอมีความเป็นมืออาชีพสูงและสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 80s การปรากฏตัวทั้งในสตูดิโอและภาพคอนเสิร์ต 🎙️ แสดงให้เห็นถึงการลงทุนในการผลิต และการแต่งกายที่ดูทันสมัยและสะอาดตา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากภาพลักษณ์ลูกทุ่งแบบดั้งเดิม คณะดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญสองประการในต้นทศวรรษ 1980s นั่นคือพลวัตของการอพยพย้ายถิ่นฐาน 🚚 และการเปลี่ยนแปลงของบทบาททางเพศ ในช่วงหลังปี 2520 สังคมไทยเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางในเขตเมืองอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนมากอพยพจากชนบทเข้าสู่กรุงเทพฯ 🏙️ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรมระหว่างวิถีชีวิตแบบเมืองกับรากเหง้าที่ยังคงผูกพันกับชนบท กลุ่มผู้ฟังที่ย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ยังคงมีความผูกพันทางอารมณ์กับเนื้อหาและทำนองแบบลูกทุ่ง แต่รสนิยมทางเสียงของพวกเขาได้ถูกหล่อหลอมด้วยดนตรีป๊อปและสตริงที่ทันสมัย ดอกไม้ป่าจึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการนำเสนอ "ลูกทุ่งในแพ็คเกจป๊อป" เพลงที่มีธีมเกี่ยวกับ "สาวชนบท" ซึ่งถูกถ่ายทอดโดยนักร้องที่ดูทันสมัยในบริบทเมือง จึงสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ฟังกลุ่มย้ายถิ่นฐานได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงของดอกไม้ป่าเปรียบเสมือน "ซาวด์แทร็กของการปรับตัว" ของคนชนบทเข้าสู่สังคมเมือง การที่คณะดอกไม้ป่าเป็นนักร้องดูโอหญิงในแนว Pop/Fusion แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาททางเพศในสื่อและสังคมในช่วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ของ โชติมา และ ปัทมา เป็นตัวแทนของ ผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ 👩‍🎤 ที่สามารถเป็นทั้งผู้รักษามรดกทางวัฒนธรรมและเป็นผู้หญิงที่มีความทันสมัย (ผ่านสไตล์การแต่งกายและการนำเสนอแบบป๊อป) นอกจากนี้ เพลงที่กล้าแสดงออกถึงความผิดหวังในความรักและความช้ำ 💔 เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวในที่สาธารณะได้มากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีและไม่ฉีกกรอบทางสังคมมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่บทบาทของผู้หญิงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น ในช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมกำลังฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ดนตรีที่ได้รับความนิยมสูงมักจะไม่มีวาระทางการเมืองที่ชัดเจน คณะดอกไม้ป่าเองก็เน้นที่ความบันเทิงและเรื่องราวส่วนตัว การหลีกเลี่ยงข้อความที่อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองในบทเพลง ส่งผลให้ดอกไม้ป่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหลักได้อย่างง่ายดาย ดอกไม้ป่าประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างสูงในช่วงยุครุ่งเรือง 💵💶💷 ดังที่ปรากฏหลักฐานจากการออกอัลบั้ม Longplay เต็มรูปแบบหลายชุด และการมีอัลบั้มรวมเพลงฮิต การที่เพลงของวงถูกนำไปรวมอยู่ในอัลบั้มที่ทำยอดขายสูงร่วมกับศิลปินสำคัญแห่งยุค ตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงชั้นนำของตลาดเทปคาสเซ็ตต์ 📼 ซึ่งเป็นรูปแบบการบริโภคหลักในยุคนั้น ดอกไม้ป่าไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีที่ขายดี แต่ยังได้สร้างต้นแบบ 🏗️ ให้กับแนวเพลงผสมผสานที่ทรงอิทธิพล พวกเขาเป็นตัวอย่างสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีที่มีรากฐานลูกทุ่งสามารถนำเสนอในรูปแบบป๊อปสตริงที่มีคุณภาพสูงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ การเปิดทางนี้มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังจำนวนมากที่พยายามนำเสนอ "ลูกทุ่งสมัยใหม่" ซึ่งช่วยยืดอายุและปรับโฉมให้ดนตรีลูกทุ่งยังคงอยู่รอดในยุคที่ดนตรี String ครองตลาด การที่ดอกไม้ป่าสามารถนำเอาองค์ประกอบของลูกทุ่งและป๊อปมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ผลิตเพลงเห็นว่า "สูตรผสม" นี้เป็นช่องทางที่มั่นคงในการขยายตลาดไปยังผู้ฟังที่มีรสนิยมหลากหลาย ถือเป็นการเร่งกระบวนการที่ทำให้ดนตรีสตริงได้ครอบครองความโดดเด่นในที่สุด มรดกทางดนตรีของดอกไม้ป่ายังคงยืนยง ⏳ เพลงของพวกเขายังคงถูกค้นหาและรับฟังในปัจจุบันผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทนทานของทำนองและเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังเห็นได้จากการที่สมาชิกหลักของวงยังคงมีความเคลื่อนไหวในการกลับมาทำเพลงใหม่ในนามดอกไม้ป่า ("พลังรัก") และมีการสร้างช่องทาง YouTube เฉพาะ 🎥 การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าศิลปินยุคบุกเบิกสามารถใช้แพลตฟอร์มสมัยใหม่เพื่อรักษาและขยายฐานแฟนคลับให้เข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่ได้ ✨ ✅✅ สรุป: มรดกของดอกไม้ป่า ✅✅ คณะดอกไม้ป่าจัดเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนในช่วงรอยต่อของสังคมไทย พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความสมดุลระหว่างมรดกทางดนตรีคลาสสิก (ผ่านสายเลือดสุนทราภรณ์) กับความต้องการของตลาดป๊อปที่เน้นความทันสมัยและคุณภาพการผลิตสูง บทเพลงของดอกไม้ป่าทำหน้าที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางสังคมภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง ด้วยการนำเสนอความบันเทิงที่ปลอดภัยและเป็นทางออกทางวัฒนธรรมสำหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ต้องการรักษาความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับชนบท ในขณะที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นเมืองอย่างเต็มตัว มรดกที่สำคัญที่สุดของคณะดอกไม้ป่าคือการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งที่สุดของ "ดนตรีลูกทุ่งประยุกต์" 🎶 พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความทันสมัยทางดนตรีไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากรากฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในทศวรรษต่อมาให้ยอมรับและผสมผสานแนวเพลงที่มีรากฐานมาจาก Luk Thung เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักได้อย่างลงตัว 💯 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/NnrS7BYpRRc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 469 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts