• บทวิเคราะห์ UGC (User-Generated Content )เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” โดย ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน เจ้าของนามปากกา “นกป่า อุษาคเนย์” อยู่ในวงการสื่อสารมวลชนมา 25 ปี เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า

    “หากนำทฤษฎี UGC มาจับกับปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” ก็จะเห็นได้ว่า กระแสความโด่งดังของ “หมูเด้ง” ตรงตามรูปแบบของการทำ UGC ทุกประการ

    แม้ในตอนเริ่มต้น ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” จัดประกวดตั้งชื่อ “หมูเด้ง” ในช่วงแรก ที่ชื่อ “หมูเด้ง” ชนะ VOTE “หมูแดง” และ “หมูสับ” ด้วยคะแนน 20,000 กว่า เรียกได้ว่าขาดลอย

    ในช่วงนั้น ยังไม่เกิดกระแส “หมูเด้ง” แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ หลังจากได้ชื่อแล้ว ก็เหลือคนสนใจ “หมูเด้ง” น้อยมาก

    เพราะค่าเฉลี่ยความสนใจลูกสัตว์เกิดใหม่ จะมีอยู่เพียงสั้นๆ คือประมาณ 7 วัน ที่ประชาชนให้ความสนใจ ทำให้สื่อมวลชนต้องคอยตามติดในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะเริ่มซาลง และเริ่มห่างหาย จนกระแสเงียบไปในที่สุด

    ซึ่งทาง “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ก็อาจมีการนำเสนอลูกสัตว์เกิดใหม่รายอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ พอผลตัดสินการประกวดจบสิ้นลงแล้ว กระแสก็จะกลับไปเงียบอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้

    ต่างจาก “หมูเด้ง” โดยสิ้นเชิง

    เป็นเพราะว่า “หมูเด้ง” เกิดในยุคที่ทุกคนบนโลกเข้าถึง Social Media โดยเรื่องราวที่น่าสนใจจะไม่จำกัดอยู่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ไม่เหมือนกระแสลูกสัตว์เกิดใหม่ที่ผ่านมาของ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว”

    แต่ทันทีที่ “อรรถพล หนุนดี” หรือ “พี่เบนซ์” เจ้าของ Facebook Fanpage “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ได้เริ่มทำ Content “หมูเด้ง” กระแส “หมูเด้ง” ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

    ฐาน “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่น หรือที่เรียกว่า “ลูกเพจ” ดั้งเดิมของ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ที่มีปริมาณมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี Empathy หรือ “ความผูกพัน” อย่างสูง ยิ่งช่วยต่อยอด Content ในแบบฉบับ UGC ได้เป็นอย่างดี

    ผนวกกับการที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” อยู่ใกล้ศรีราชา จุดที่มีชาวญี่ปุ่นพำนักในเมืองไทยเป็นชุมชน ทำให้มีการแชร์ Content “หมูเด้ง” ต่อๆ กันไปในหมู่ชาวญี่ปุ่น จากเมืองไทยไปญี่ปุ่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก

    สำทับด้วยสำนักข่าวตะวันตก ได้แห่กันมาทำข่าว “หมูเด้ง” ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น AP, AFP, BBC, VOA, CNN ก็ยิ่งช่วยสร้าง UGC ให้กับ “หมูเด้ง” จนกลายเป็น Viral ระดับโลกไปแล้ว

    จากความน่ารัก น่าเอ็นดู การสัมผัสได้ถึงการไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงใน Content เนื่องจากเป็นลูกสัตว์เกิดใหม่ในสวนสัตว์ที่ค่าเข้าชมไม่ได้มากมายอะไร และการขายสินค้าของสวนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกต่างๆ ก็ไม่ได้มีราคาค่างวดที่แพงจนจับต้องไม่ได้

    แปลไทยเป็นไทยก็คือ Brand “หมูเด้ง” เป็น Brand บริสุทธิ์ ผนวกกับความทะลึ่ง สะดีดสะดิ้ง น่ารักน่าชัง เมื่อรวมกับบุคลิกดั้งเดิมของ “หมูเด้ง” ที่เป็นลูกฮิปโปแคระที่มีลีลาตลกเป็นพื้นเพอยู่แล้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความประทับใจได้ไม่ยาก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกลึกๆ ในใจมนุษย์เกี่ยวกับ “ลูกสัตว์” หรือ Baby Animal ทั้งลูกมนุษย์ด้วยกันที่ถือเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง และลูกสัตว์ต่างๆ ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกน่ารัก น่าเอ็นดู อยากอุ้ม อยากเลี้ยง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม

    ประกอบกับคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ที่แอบเกรี้ยวกราด น่ารัก น่าหยิก ทำให้เป็น UGC ที่ถูกนำไปต่อยอดได้ง่ายใน “วัฒนธรรมมีม” หรือ Meme Culture

    ยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media

    เบื้องหลังความสำเร็จของ UGC “หมูเด้ง” คงต้องยกเครดิตให้ “พี่เบนซ์” ไปเต็มๆ ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ออกมาเล่าได้อย่างน่ารัก

    พูดอีกแบบก็คือ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” มาถูกที่ ถูกเวลา และเล่นได้ถูกจุด จับจุด อารมณ์ร่วมของผู้คนได้อยู่หมัด สร้างการเชื่อมต่อ และเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เข้ากับ “หมูเด้ง” ได้ตรงจุด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เสพ Social Media ที่อยู่ไกลจาก “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ที่ไม่สะดวกเดินทางมาสัมผัสกับ “หมูเด้ง” ได้ด้วยตัวเอง

    ตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักสัตว์เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลูกสัตว์” น่ารัก ที่ตนไม่สามารถเลี้ยงเอาไว้ในบ้านได้

    จึงสามารถสรุปได้ว่า UGC อยู่เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง”

    https://www.salika.co/2024/10/04/user-generated-content-moodeng/

    #Thaitimes
    บทวิเคราะห์ UGC (User-Generated Content )เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” โดย ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน เจ้าของนามปากกา “นกป่า อุษาคเนย์” อยู่ในวงการสื่อสารมวลชนมา 25 ปี เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า “หากนำทฤษฎี UGC มาจับกับปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” ก็จะเห็นได้ว่า กระแสความโด่งดังของ “หมูเด้ง” ตรงตามรูปแบบของการทำ UGC ทุกประการ แม้ในตอนเริ่มต้น ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” จัดประกวดตั้งชื่อ “หมูเด้ง” ในช่วงแรก ที่ชื่อ “หมูเด้ง” ชนะ VOTE “หมูแดง” และ “หมูสับ” ด้วยคะแนน 20,000 กว่า เรียกได้ว่าขาดลอย ในช่วงนั้น ยังไม่เกิดกระแส “หมูเด้ง” แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ หลังจากได้ชื่อแล้ว ก็เหลือคนสนใจ “หมูเด้ง” น้อยมาก เพราะค่าเฉลี่ยความสนใจลูกสัตว์เกิดใหม่ จะมีอยู่เพียงสั้นๆ คือประมาณ 7 วัน ที่ประชาชนให้ความสนใจ ทำให้สื่อมวลชนต้องคอยตามติดในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะเริ่มซาลง และเริ่มห่างหาย จนกระแสเงียบไปในที่สุด ซึ่งทาง “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ก็อาจมีการนำเสนอลูกสัตว์เกิดใหม่รายอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ พอผลตัดสินการประกวดจบสิ้นลงแล้ว กระแสก็จะกลับไปเงียบอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้ ต่างจาก “หมูเด้ง” โดยสิ้นเชิง เป็นเพราะว่า “หมูเด้ง” เกิดในยุคที่ทุกคนบนโลกเข้าถึง Social Media โดยเรื่องราวที่น่าสนใจจะไม่จำกัดอยู่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ไม่เหมือนกระแสลูกสัตว์เกิดใหม่ที่ผ่านมาของ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” แต่ทันทีที่ “อรรถพล หนุนดี” หรือ “พี่เบนซ์” เจ้าของ Facebook Fanpage “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ได้เริ่มทำ Content “หมูเด้ง” กระแส “หมูเด้ง” ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ฐาน “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่น หรือที่เรียกว่า “ลูกเพจ” ดั้งเดิมของ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ที่มีปริมาณมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี Empathy หรือ “ความผูกพัน” อย่างสูง ยิ่งช่วยต่อยอด Content ในแบบฉบับ UGC ได้เป็นอย่างดี ผนวกกับการที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” อยู่ใกล้ศรีราชา จุดที่มีชาวญี่ปุ่นพำนักในเมืองไทยเป็นชุมชน ทำให้มีการแชร์ Content “หมูเด้ง” ต่อๆ กันไปในหมู่ชาวญี่ปุ่น จากเมืองไทยไปญี่ปุ่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก สำทับด้วยสำนักข่าวตะวันตก ได้แห่กันมาทำข่าว “หมูเด้ง” ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น AP, AFP, BBC, VOA, CNN ก็ยิ่งช่วยสร้าง UGC ให้กับ “หมูเด้ง” จนกลายเป็น Viral ระดับโลกไปแล้ว จากความน่ารัก น่าเอ็นดู การสัมผัสได้ถึงการไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงใน Content เนื่องจากเป็นลูกสัตว์เกิดใหม่ในสวนสัตว์ที่ค่าเข้าชมไม่ได้มากมายอะไร และการขายสินค้าของสวนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกต่างๆ ก็ไม่ได้มีราคาค่างวดที่แพงจนจับต้องไม่ได้ แปลไทยเป็นไทยก็คือ Brand “หมูเด้ง” เป็น Brand บริสุทธิ์ ผนวกกับความทะลึ่ง สะดีดสะดิ้ง น่ารักน่าชัง เมื่อรวมกับบุคลิกดั้งเดิมของ “หมูเด้ง” ที่เป็นลูกฮิปโปแคระที่มีลีลาตลกเป็นพื้นเพอยู่แล้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความประทับใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกลึกๆ ในใจมนุษย์เกี่ยวกับ “ลูกสัตว์” หรือ Baby Animal ทั้งลูกมนุษย์ด้วยกันที่ถือเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง และลูกสัตว์ต่างๆ ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกน่ารัก น่าเอ็นดู อยากอุ้ม อยากเลี้ยง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม ประกอบกับคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ที่แอบเกรี้ยวกราด น่ารัก น่าหยิก ทำให้เป็น UGC ที่ถูกนำไปต่อยอดได้ง่ายใน “วัฒนธรรมมีม” หรือ Meme Culture ยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media เบื้องหลังความสำเร็จของ UGC “หมูเด้ง” คงต้องยกเครดิตให้ “พี่เบนซ์” ไปเต็มๆ ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ออกมาเล่าได้อย่างน่ารัก พูดอีกแบบก็คือ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” มาถูกที่ ถูกเวลา และเล่นได้ถูกจุด จับจุด อารมณ์ร่วมของผู้คนได้อยู่หมัด สร้างการเชื่อมต่อ และเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เข้ากับ “หมูเด้ง” ได้ตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เสพ Social Media ที่อยู่ไกลจาก “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ที่ไม่สะดวกเดินทางมาสัมผัสกับ “หมูเด้ง” ได้ด้วยตัวเอง ตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักสัตว์เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลูกสัตว์” น่ารัก ที่ตนไม่สามารถเลี้ยงเอาไว้ในบ้านได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า UGC อยู่เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” https://www.salika.co/2024/10/04/user-generated-content-moodeng/ #Thaitimes
    WWW.SALIKA.CO
    UGC เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง”
    User-Generated Content (UGC) หมายถึง Story ที่ผู้บริโภค หรือลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย สร้างขึ้นมาเอง โดยผู้คนเหล่านั้น จะพูดถึงเรื่องราวที่พวกเขาประทับใจ หรือให้ความสนใจ โดยที่ต้นเรื่องไม่ต้องเสียเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!!

    ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!!

    ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง
    ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน
    ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป

    สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ
    ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ
    แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว
    พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด ……
    แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!!

    ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย
    ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน
    เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก)
    และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!!

    วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ
    เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21
    ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา
    แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ
    โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า
    เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน……
    เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

    แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน…
    ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน……
    (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…)
    แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์
    ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!!
    แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ
    จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ……
    เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน……

    ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน
    เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้…
    แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม
    แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย……
    นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!!

    เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง
    ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า
    “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน)
    จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน
    และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้
    ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น
    การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!!

    ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง
    ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ

    ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน
    ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ)

    วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!!

    สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ
    การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……)
    แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว
    เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า
    “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “

    วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน
    แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น”
    เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย
    ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!!

    ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น
    แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่……
    มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น
    เต้นมาร้องกันใหม่……

    การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย
    นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน……
    นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย
    เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด
    ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน
    แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.……

    ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden
    แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์
    สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร
    กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์

    เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย
    ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม
    เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
    มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต
    ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า
    Novorossiya อันหมายถึง New Russia…

    ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์
    ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน
    ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป……

    ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ
    Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ)

    วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว
    แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน…
    เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง
    สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี
    จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป
    แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน
    วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์
    ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!!

    ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!!


    Wiwanda W. Vichit
    เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!! ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!! ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด …… แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!! ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก) และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!! วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21 ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน…… เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน… ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน…… (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…) แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!! แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ…… เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน…… ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้… แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย…… นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!! เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน) จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้ ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!! ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ) วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!! สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……) แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “ วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น” เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!! ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่…… มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น เต้นมาร้องกันใหม่…… การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน…… นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.…… ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์ สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์ เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า Novorossiya อันหมายถึง New Russia… ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์ ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป…… ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ) วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน… เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์ ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!! ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนอย่างอิโจ นอกจากตกขาวยังตลกอีกด้วย โพสท้าพี่คิงส์ทั้งที่พี่จะพักวันนึง พอจัดก็โพส สมออย
    ให้ฉงฉาน อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    คนอย่างอิโจ นอกจากตกขาวยังตลกอีกด้วย โพสท้าพี่คิงส์ทั้งที่พี่จะพักวันนึง พอจัดก็โพส สมออย ให้ฉงฉาน อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 550 มุมมอง 0 รีวิว
  • #โจมณทนีแอ๊บแตกออกหน้าเชียร์เพจกาก
    #เริ่มสงสัยความสัมพันธ์
    แฟนเพจทุกท่าน จากที่พี่คิงส์ได้โพสไปแล้วว่า
    เพจกากนี้พี่คิงส์บล็อคเป็นอย่างแรกที่ทำวันนี้
    เพราะอะไรก็อธิบายไปเยอะย้อนกลับไปอ่าน
    และคิดว่าจะไม่โพสถึงไอ่เฒ่าตันหากลับคนนี้อีก
    ทั้งๆที่นั่งเฉยๆพี่คิงส์ไม่ต้องทำอะไรเลย
    นังโจ ถึงกันโดดเด้ง เพราะปั๊นตาลุงมากับมือ
    เอาความรู้แค่วุฒม.ต้น มาสอนไอ่เฒ่าตันหากลับ
    สอนซื้อแอด ไว้ให้คนเห็นโพสเยอะๆ แต่มันโพสแต่ละอย่าง
    น่าสะอิดสะเอียน เลยรู้สึกเป็นอัปมงคลลูกกะตา
    ไอ่เฒ่าบอกมีคนสั่ง จะสั่งอะไร เมิงสำคัญตัวเองอะไรนักหนา
    อิโจเลือกคนรู้ใจโคตะระศีลเสมอจริงๆ
    กล้าออกตัว ลุ้นไปกับไอ่เฒ่าที่โพสแต่ละวัน
    ไม่เคยมีสะระ ทักษณะแซะคุณภาพเตี้ยเรี่ยดิน
    เหมือนเกรียนคีบอร์ดระดับประถม เวิ่นไปวันๆ
    ตลกดี กะให้ไอ่เฒ่าเป็นเป้าให้เสียเวลาตอบโต้
    โจ กรรูอะบอกแล้วว่า กรรูไม่ชอบคนท้า
    ไอ่ลุงกากตันหากลับเนี่ย กรรูไม่ยุ่งแล้ว
    บอกแล้วว่าอ่านโพสมันแล้วหยะแหย๋งที่สุด
    แต่เมิงอะ อีกยาววววว
    อิฉัดโจ ตกขาว นั่นน่ะพากันไปรักฉานะ
    เอาไอ่ลุงไปทำฟัน แม่มเหลือแต่เหงือก
    เวลาดูดดื่มโจคงชอบแหละ ไม่มีกำแพงกั้น
    ส่วนโจ ก็ไปรักษานาซิซิสนะ กับเฉบติดดราม่า
    ชอบอะ โจมากระตุ้นให้เล่นโจหนักๆ
    แบบไม่ต้องมีไอ่ลุงมาทำให้เสียเวลา
    ยาวเลยโจ ศ.ดร.มโนของทุย ที่จบแค่ม.ต้น
    ทุ๊ยยยย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #โจมณทนีแอ๊บแตกออกหน้าเชียร์เพจกาก #เริ่มสงสัยความสัมพันธ์ แฟนเพจทุกท่าน จากที่พี่คิงส์ได้โพสไปแล้วว่า เพจกากนี้พี่คิงส์บล็อคเป็นอย่างแรกที่ทำวันนี้ เพราะอะไรก็อธิบายไปเยอะย้อนกลับไปอ่าน และคิดว่าจะไม่โพสถึงไอ่เฒ่าตันหากลับคนนี้อีก ทั้งๆที่นั่งเฉยๆพี่คิงส์ไม่ต้องทำอะไรเลย นังโจ ถึงกันโดดเด้ง เพราะปั๊นตาลุงมากับมือ เอาความรู้แค่วุฒม.ต้น มาสอนไอ่เฒ่าตันหากลับ สอนซื้อแอด ไว้ให้คนเห็นโพสเยอะๆ แต่มันโพสแต่ละอย่าง น่าสะอิดสะเอียน เลยรู้สึกเป็นอัปมงคลลูกกะตา ไอ่เฒ่าบอกมีคนสั่ง จะสั่งอะไร เมิงสำคัญตัวเองอะไรนักหนา อิโจเลือกคนรู้ใจโคตะระศีลเสมอจริงๆ กล้าออกตัว ลุ้นไปกับไอ่เฒ่าที่โพสแต่ละวัน ไม่เคยมีสะระ ทักษณะแซะคุณภาพเตี้ยเรี่ยดิน เหมือนเกรียนคีบอร์ดระดับประถม เวิ่นไปวันๆ ตลกดี กะให้ไอ่เฒ่าเป็นเป้าให้เสียเวลาตอบโต้ โจ กรรูอะบอกแล้วว่า กรรูไม่ชอบคนท้า ไอ่ลุงกากตันหากลับเนี่ย กรรูไม่ยุ่งแล้ว บอกแล้วว่าอ่านโพสมันแล้วหยะแหย๋งที่สุด แต่เมิงอะ อีกยาววววว อิฉัดโจ ตกขาว นั่นน่ะพากันไปรักฉานะ เอาไอ่ลุงไปทำฟัน แม่มเหลือแต่เหงือก เวลาดูดดื่มโจคงชอบแหละ ไม่มีกำแพงกั้น ส่วนโจ ก็ไปรักษานาซิซิสนะ กับเฉบติดดราม่า ชอบอะ โจมากระตุ้นให้เล่นโจหนักๆ แบบไม่ต้องมีไอ่ลุงมาทำให้เสียเวลา ยาวเลยโจ ศ.ดร.มโนของทุย ที่จบแค่ม.ต้น ทุ๊ยยยย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 502 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลวงตามหาบัว เล่าเรื่องตลกขบขัน ฮา ๆ #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน
    #หลวงตามหาบัว เล่าเรื่องตลกขบขัน ฮา ๆ #ธรรมะ #อานาปานสติ #ทางพ้นทุกข์ #ธรรมทาน #ธรรมะก่อนนอน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 79 0 รีวิว
  • PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ

    People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”

    ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย

    กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)

    #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    Like
    Sad
    Angry
    Haha
    15
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 453 มุมมอง 0 รีวิว
  • (ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน)

    PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ

    People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”

    ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย

    กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)

    #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    (ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน) PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 561 มุมมอง 0 รีวิว
  • #โจงานงอกหาทางลงแต่คุมทุยไม่ได้
    เพจคิงส์โพธิ์แดงพบว่า โจ มณฑานี พยายามหาทางลง
    คุยกับบรรดาทุยหัวรุงแรง ว่าให้หยุดได้แล้ว
    แต่ พลังแห่งการสะกดจิตของโจที่สร้างวาทะกรรม
    มานานหลายเดือน มันฝังลงไปในดีเอ็นเอ
    ทำให้มนุษย์ กลายเป็นทุยโดยสมบูรณ์
    โดยพบว่า เมื่อคืนนี้ เป็นคืนแห่งความสุข
    ของคนไทยจำนวนมาก ที่ได้ฟังเพลงดี
    และได้ยินเสียงน้องชายแห่งชาติ
    ร้องเพลง คืองานดีมาก
    กับการร่วมงานกับวันเดอร์เฟรม
    ที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างน่าขนลุก
    แต่น่าเวทนา ที่มีชนกลุ่มหนึ่ง
    กลุ่มเล็กๆ กลุ่มเท่าหะมอยหมา
    คุ้ม คลั่ง ไประดมเล่นงานวันเดอร์เฟรม
    กับแค่เลือกใส่เสื้อในเอ็มวี มีดอกไม้
    ก็แปลความหมายได้ตลกโปกฮา
    เป็นที่ขบขันกันอย่างมาก
    อยากให้อิเหม็นมาเล่นเอ็มวีคนเดียว
    คิดได้ไง ไม่สงสารทีมงานที่ต้องทนกลิ่นเลยเหรอ
    น้ำท่าไม่อาบ ซกมกขนาดนั้น
    ที่สำคัญ ดังได้ด้วยตัวเอง แล้วจะมาเล่นเอ็มวีในไทยเพื่อ
    ประเด็นไม่ใช่เค้าเลือกแน๊ก ประเด็นคือต่อให้แน๊กไม่เล่น
    เค้าก็ไม่เอาอิเน่ามา ตอนนี้ใครเค้าก็รู้
    ว่ายูซผี เทรนทิพย์ทั้งนั้น พวกเมิงต้มสื่อได้แค่รอบเดียวแค่นั้นแหละ
    ตอนนี้ สื่อเค้าไม่แลตาแล้ว ไอ่ ฟาย
    เป็นไง สุดท้าย แบนยังไง ให้ยอดวิไปครึ่งล้านในคืนเดียว
    ตื่นเถิด ทุยไทย
    น่าเสียดาย ที่พวกทุยไม่ได้มีความสุขเหมือนคนไทยส่วนใหญ่
    ที่ได้รื่นรม
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #savecharlie
    #savethailand
    #โจงานงอกหาทางลงแต่คุมทุยไม่ได้ เพจคิงส์โพธิ์แดงพบว่า โจ มณฑานี พยายามหาทางลง คุยกับบรรดาทุยหัวรุงแรง ว่าให้หยุดได้แล้ว แต่ พลังแห่งการสะกดจิตของโจที่สร้างวาทะกรรม มานานหลายเดือน มันฝังลงไปในดีเอ็นเอ ทำให้มนุษย์ กลายเป็นทุยโดยสมบูรณ์ โดยพบว่า เมื่อคืนนี้ เป็นคืนแห่งความสุข ของคนไทยจำนวนมาก ที่ได้ฟังเพลงดี และได้ยินเสียงน้องชายแห่งชาติ ร้องเพลง คืองานดีมาก กับการร่วมงานกับวันเดอร์เฟรม ที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างน่าขนลุก แต่น่าเวทนา ที่มีชนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มเล็กๆ กลุ่มเท่าหะมอยหมา คุ้ม คลั่ง ไประดมเล่นงานวันเดอร์เฟรม กับแค่เลือกใส่เสื้อในเอ็มวี มีดอกไม้ ก็แปลความหมายได้ตลกโปกฮา เป็นที่ขบขันกันอย่างมาก อยากให้อิเหม็นมาเล่นเอ็มวีคนเดียว คิดได้ไง ไม่สงสารทีมงานที่ต้องทนกลิ่นเลยเหรอ น้ำท่าไม่อาบ ซกมกขนาดนั้น ที่สำคัญ ดังได้ด้วยตัวเอง แล้วจะมาเล่นเอ็มวีในไทยเพื่อ ประเด็นไม่ใช่เค้าเลือกแน๊ก ประเด็นคือต่อให้แน๊กไม่เล่น เค้าก็ไม่เอาอิเน่ามา ตอนนี้ใครเค้าก็รู้ ว่ายูซผี เทรนทิพย์ทั้งนั้น พวกเมิงต้มสื่อได้แค่รอบเดียวแค่นั้นแหละ ตอนนี้ สื่อเค้าไม่แลตาแล้ว ไอ่ ฟาย เป็นไง สุดท้าย แบนยังไง ให้ยอดวิไปครึ่งล้านในคืนเดียว ตื่นเถิด ทุยไทย น่าเสียดาย ที่พวกทุยไม่ได้มีความสุขเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ ที่ได้รื่นรม #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #savecharlie #savethailand
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 588 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉีกหน้ากาก“ขิ่นแก้วตา”กับ“หม่องรังสิมันต์ โรม”
    สส.ไทยใจพม่าในพรรคประชาชน
    .
    จริงๆ แล้วผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่วันนี้ถึงจุดแตกหัก ต้องพูดแล้ว ทำไมผมถึงไม่อยากพูด รู้ไหม ? เพราะว่าคนที่ชื่อ "ธิษะณา ชุณหะวัณ" หรือที่เรียกว่า "แก้วตา" นั้น พ่อของเขาคือ "ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ" ซึ่งเป็นเพื่อนรักผม และปู่ของเขาคือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งผมเคารพนับถือและเราสนิทสนมกันมาก ครอบครัวนี้ แม้กระทั่งแม่ของเขา ชื่อ "โน" ก็รู้จักกันดี และเป็นหนึ่งในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาต่อสู้เพื่อล้มล้างระบอบทักษิณ
    .
    แต่วันนี้ผมคิดว่าเด็กคนนี้ล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว และมันส่อวุฒิภาวะให้เห็นหลายๆมิติ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่วันนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
    .
    มาดูคุณสมบัติ คุณวุฒิของคุณแก้วตากันหน่อย จบมหิดลอินเตอร์ เคยไปเรียนนอกตั้งแต่เด็ก แล้วไปจบ“SOAS”( School of Oriental and African Studies) University of London แต่คุณแก้วตายังอ่านตัวเลขมั่ว ผิดแล้วผิดอีก เรื่องนี้มันเป็นเรื่องตลก แต่มันไม่ตลกสำหรับผม และมิหนำซ้ำแล้วยังมีเรื่องเก่าๆ คุณไลฟ์สดถ่อย โชว์ถ่อย ด่าดับเพลิงกู้ภัย 22 มิถุนายน 2567 มันสะท้อนวุฒิภาวะของคุณ
    .
    ล่าสุดคุณธิษะณา ชุณหะวัณ อภิปรายเรื่องพม่า คำพูดของคุณไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook, YouTube, TikTok แล้วคนรับไม่ได้ พูดยังไง
    .
    "เรื่องพม่าอย่าหาทำครับ เอาให้คนไทยมีกิน มีใช้ คุณภาพชีวิตดีก่อน คิดจะช่วยประเทศอื่น คนไทยบางคนยังไม่มีบ้านอยู่ ยังไม่มีที่ทำมาหากิน แต่พวกคุณกลับเลือกที่จะช่วยพม่า คนไทยเป็นคนเลือกคุณให้เข้ามาทำงานให้ประชาชนชาวไทย ไม่ใช่พม่านะครับ ผมจะบอกว่าถ้ายังไม่สนใจ รอบหน้าผมไม่เลือกพวกคุณอีกแล้ว ไม่ต้องไปเลือกอีกแล้ว ไอ้พรรคส้มนี่"
    .
    “ เอาเรื่องคนภายในประเทศให้รอดก่อนดีไหม คุณ สส. ใจพม่า คุณมันคือจุดอ่อนของพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียง"
    .
    "คนต่างด้าวเข้ามาทำงาน นายจ้างให้เงินตอบแทนค่ะ เขาไม่ได้ใช้งานฟรี อย่าเรียกร้องอะไรให้เท่าเทียมคนไทย อยากเท่าเทียมให้ไปเรียกร้องสิทธิที่บ้านตัวเอง ไม่ควรได้สวัสดิการฟรีเหมือนคนไทย อยากเข้าโรงพยาบาลต้องจ่ายค่ารักษา อยากเรียนต้องจ่ายค่าเทอม ค่าสมุด ค่าหนังสือ ค่าอาหารเอง สุดท้ายนี้ ปัญหาในประเทศก็มากจนแก้ไม่ไหวอยู่แล้ว อย่าเพิ่มปัญหาให้คนในชาติอีกเลย เพราะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลประทบจากคนต่างด้าวที่เข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย เสียงเล็กๆ จากประชาชนที่เลือกคุณมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่"
    .
    ที่ผมอ่านให้ฟังนี่ก็คือแฟนคลับเก่าของพรรคอนาคตใหม่ที่เลือกคุณเข้ามา แล้วคุณไม่สังเกตหรือว่าวันนี้พรรคประชาชน (พม่า) เอาตีนก่ายหน้าผาก ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร เลยต้องออกคำสั่งให้ "หม่องรังสิมันต์ โรม" ออกมาชี้แจงตามทุกช่องทีวีหลักๆ ที่มันพยายามแก้ตัวว่า แก้ปัญหาพม่าเพื่อคนไทย ตรงไหนวะ ไอ้หม่อง มึงแก้แบบนี้เพื่อกระทืบคนไทย และวันนี้ พรรณิการ์ (ช่อ) วานิช ก็ออกมาแจ๊ดๆๆๆ แก้ตัวว่าพวกที่โจมตีนโยบายพม่าเป็นพวก IO… ใช่ IO เหรอ แฟนคลับคุณทั้งนั้น หยุดแก้ตัวได้แล้ว
    .
    พรรคของคุณนะ คุณแก้วตา เชื่อมโยงกับพรรค NLD ของอองซาน ซูจี ที่อเมริกันและอียูสนับสนุนอยู่ ด้วยเงินด้วยทอง ด้วยกำลังคนเข้าไปฝึกอาวุธให้ แล้วแอบส่งอาวุธเข้าไปให้พวก NLD เพื่อรบกับรัฐบาลของมิน อ่อง หล่าย สำหรับผมแล้วปัญหามันอยู่ที่ว่า พม่าลี้ภัยทางการเมืองเข้ามา แล้วเชื่อผมสิ ขบวนการนี้ เบื้องหลังก็คือตะวันตก และมันรู้ว่ามี สส.(เรือหาย)อย่างคุณแก้วตา คอยหนุนหลังมัน ซึ่งเบื้องหลังก็มีธนารธร จึงรุ่งเรืองกิจ และหม่องรังสิมันต์ โรม ตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาชน(พม่า)คอยสนับสนุนอยู่ เฮ้ย มาเลยๆ อยู่เมืองไทย เรามี สส. พรรคนี้ช่วยเราอยู่ตอนนี้
    .
    อะไรจะเกิดขึ้นล่ะถ้าพม่าเต็มบ้านเต็มเมือง ประเทศไทยวุ่นวาย ซึ่งมันก็สมใจพวกคุณแล้วใช่ไหม พวกพรรคประชาชน (พม่า) สมใจพวกคุณแล้วใช่ไหม เพราะคุณต้องการให้มีความวุ่นวาย ต้องการให้มันมีความฉิบหาย

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/N4prCnutKD6Uxh29/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ฉีกหน้ากาก“ขิ่นแก้วตา”กับ“หม่องรังสิมันต์ โรม” สส.ไทยใจพม่าในพรรคประชาชน . จริงๆ แล้วผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่วันนี้ถึงจุดแตกหัก ต้องพูดแล้ว ทำไมผมถึงไม่อยากพูด รู้ไหม ? เพราะว่าคนที่ชื่อ "ธิษะณา ชุณหะวัณ" หรือที่เรียกว่า "แก้วตา" นั้น พ่อของเขาคือ "ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ" ซึ่งเป็นเพื่อนรักผม และปู่ของเขาคือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งผมเคารพนับถือและเราสนิทสนมกันมาก ครอบครัวนี้ แม้กระทั่งแม่ของเขา ชื่อ "โน" ก็รู้จักกันดี และเป็นหนึ่งในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาต่อสู้เพื่อล้มล้างระบอบทักษิณ . แต่วันนี้ผมคิดว่าเด็กคนนี้ล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว และมันส่อวุฒิภาวะให้เห็นหลายๆมิติ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่วันนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ . มาดูคุณสมบัติ คุณวุฒิของคุณแก้วตากันหน่อย จบมหิดลอินเตอร์ เคยไปเรียนนอกตั้งแต่เด็ก แล้วไปจบ“SOAS”( School of Oriental and African Studies) University of London แต่คุณแก้วตายังอ่านตัวเลขมั่ว ผิดแล้วผิดอีก เรื่องนี้มันเป็นเรื่องตลก แต่มันไม่ตลกสำหรับผม และมิหนำซ้ำแล้วยังมีเรื่องเก่าๆ คุณไลฟ์สดถ่อย โชว์ถ่อย ด่าดับเพลิงกู้ภัย 22 มิถุนายน 2567 มันสะท้อนวุฒิภาวะของคุณ . ล่าสุดคุณธิษะณา ชุณหะวัณ อภิปรายเรื่องพม่า คำพูดของคุณไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook, YouTube, TikTok แล้วคนรับไม่ได้ พูดยังไง . "เรื่องพม่าอย่าหาทำครับ เอาให้คนไทยมีกิน มีใช้ คุณภาพชีวิตดีก่อน คิดจะช่วยประเทศอื่น คนไทยบางคนยังไม่มีบ้านอยู่ ยังไม่มีที่ทำมาหากิน แต่พวกคุณกลับเลือกที่จะช่วยพม่า คนไทยเป็นคนเลือกคุณให้เข้ามาทำงานให้ประชาชนชาวไทย ไม่ใช่พม่านะครับ ผมจะบอกว่าถ้ายังไม่สนใจ รอบหน้าผมไม่เลือกพวกคุณอีกแล้ว ไม่ต้องไปเลือกอีกแล้ว ไอ้พรรคส้มนี่" . “ เอาเรื่องคนภายในประเทศให้รอดก่อนดีไหม คุณ สส. ใจพม่า คุณมันคือจุดอ่อนของพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียง" . "คนต่างด้าวเข้ามาทำงาน นายจ้างให้เงินตอบแทนค่ะ เขาไม่ได้ใช้งานฟรี อย่าเรียกร้องอะไรให้เท่าเทียมคนไทย อยากเท่าเทียมให้ไปเรียกร้องสิทธิที่บ้านตัวเอง ไม่ควรได้สวัสดิการฟรีเหมือนคนไทย อยากเข้าโรงพยาบาลต้องจ่ายค่ารักษา อยากเรียนต้องจ่ายค่าเทอม ค่าสมุด ค่าหนังสือ ค่าอาหารเอง สุดท้ายนี้ ปัญหาในประเทศก็มากจนแก้ไม่ไหวอยู่แล้ว อย่าเพิ่มปัญหาให้คนในชาติอีกเลย เพราะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลประทบจากคนต่างด้าวที่เข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย เสียงเล็กๆ จากประชาชนที่เลือกคุณมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่" . ที่ผมอ่านให้ฟังนี่ก็คือแฟนคลับเก่าของพรรคอนาคตใหม่ที่เลือกคุณเข้ามา แล้วคุณไม่สังเกตหรือว่าวันนี้พรรคประชาชน (พม่า) เอาตีนก่ายหน้าผาก ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร เลยต้องออกคำสั่งให้ "หม่องรังสิมันต์ โรม" ออกมาชี้แจงตามทุกช่องทีวีหลักๆ ที่มันพยายามแก้ตัวว่า แก้ปัญหาพม่าเพื่อคนไทย ตรงไหนวะ ไอ้หม่อง มึงแก้แบบนี้เพื่อกระทืบคนไทย และวันนี้ พรรณิการ์ (ช่อ) วานิช ก็ออกมาแจ๊ดๆๆๆ แก้ตัวว่าพวกที่โจมตีนโยบายพม่าเป็นพวก IO… ใช่ IO เหรอ แฟนคลับคุณทั้งนั้น หยุดแก้ตัวได้แล้ว . พรรคของคุณนะ คุณแก้วตา เชื่อมโยงกับพรรค NLD ของอองซาน ซูจี ที่อเมริกันและอียูสนับสนุนอยู่ ด้วยเงินด้วยทอง ด้วยกำลังคนเข้าไปฝึกอาวุธให้ แล้วแอบส่งอาวุธเข้าไปให้พวก NLD เพื่อรบกับรัฐบาลของมิน อ่อง หล่าย สำหรับผมแล้วปัญหามันอยู่ที่ว่า พม่าลี้ภัยทางการเมืองเข้ามา แล้วเชื่อผมสิ ขบวนการนี้ เบื้องหลังก็คือตะวันตก และมันรู้ว่ามี สส.(เรือหาย)อย่างคุณแก้วตา คอยหนุนหลังมัน ซึ่งเบื้องหลังก็มีธนารธร จึงรุ่งเรืองกิจ และหม่องรังสิมันต์ โรม ตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาชน(พม่า)คอยสนับสนุนอยู่ เฮ้ย มาเลยๆ อยู่เมืองไทย เรามี สส. พรรคนี้ช่วยเราอยู่ตอนนี้ . อะไรจะเกิดขึ้นล่ะถ้าพม่าเต็มบ้านเต็มเมือง ประเทศไทยวุ่นวาย ซึ่งมันก็สมใจพวกคุณแล้วใช่ไหม พวกพรรคประชาชน (พม่า) สมใจพวกคุณแล้วใช่ไหม เพราะคุณต้องการให้มีความวุ่นวาย ต้องการให้มันมีความฉิบหาย ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/N4prCnutKD6Uxh29/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    3
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 761 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ขอบคุณเต๋าทีวีพูลที่เป็นห่วงคนไทย
    ช่วงนี้ มีคนเป็นห่วงคนไทยเยอะมาก
    ก็มีเส้นแบ่งระหว่างคำห่วงกับคำขู่วว
    กรรูว่าคงมี ผ ต ห ไม่ต่ำกว่าล้าน
    อินี่เป็นใคร ที่คนไทยแตะต้องไม่ได้
    เปิดวงการฟอก เปิดพีเคสู่การฟอก
    ต่างประเทศยืนยัน
    คนไทยที่ตื่นรู้เค้าไม่เอาอิเหวิง
    ดิ้นทำไม ตลก
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ขอบคุณเต๋าทีวีพูลที่เป็นห่วงคนไทย ช่วงนี้ มีคนเป็นห่วงคนไทยเยอะมาก ก็มีเส้นแบ่งระหว่างคำห่วงกับคำขู่วว กรรูว่าคงมี ผ ต ห ไม่ต่ำกว่าล้าน อินี่เป็นใคร ที่คนไทยแตะต้องไม่ได้ เปิดวงการฟอก เปิดพีเคสู่การฟอก ต่างประเทศยืนยัน คนไทยที่ตื่นรู้เค้าไม่เอาอิเหวิง ดิ้นทำไม ตลก #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    Like
    Love
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1506 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เอาน่าเค้าช่วยตั้งสามแสน
    ได้จากทุยไทยเป็นร้อยล้าน
    ไหนจะเป็นต้นแบบโมเดลให้กลุ่มเงินดาร์คได้ฟอก
    ยิ่งเห็นการตีข่าวของสื่อ
    ยิ่งเห็นกองทัพยูซผีที่โจ มณฑานี คุม
    ยิ่งเห็นสำนวนเพื้ยนๆผ่านโซเชียล
    ยิ่งเห็นพฤติกรรมให้ร้ายแน๊ก
    ยิ่งเป็นการยืนยัน
    ว่ากลุ่มเงินดาร์ค ที่สหรัฐ ไต้หวัน จีน ตุรกี เดนมาร์ค กำลังจัดการ
    ได้เข้ามาสู่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้วจริงๆ
    เป็นสิ่งที่คิงส์โพธิ์แดงได้ทำสำเร็จ
    ที่นำข้อมูลมาเปิดเผยล่วงหน้า
    คนไทยตาสว่างไม่ต่ำกว่าครึ่งล้าน
    ที่อันฟอลอิเหวิงจนต้องปิดเป็นส่วนตัว
    ยังยืนยันเสมอว่า เราไม่เคยแพ้
    และสะกดคำว่ากลัวไม่เป็น
    เอาสามแสนมาส่งให้พี่บุ๋มที่มีแสง
    เพราะเคลมก้องห้าแสนไม่ได้
    ก็ตลกดี อย่าเอาทัวร์ไปลงพี่บุ๋ม
    เชื่อพี่คิงส์ อยากแสดงให้แสดงไป
    คิงส์ฯยังมีข้อมูลอีกเยอะ แค่อยากดูหน้าไพ่ของ
    โจ ตกขาวแค่นี้เอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เอาน่าเค้าช่วยตั้งสามแสน ได้จากทุยไทยเป็นร้อยล้าน ไหนจะเป็นต้นแบบโมเดลให้กลุ่มเงินดาร์คได้ฟอก ยิ่งเห็นการตีข่าวของสื่อ ยิ่งเห็นกองทัพยูซผีที่โจ มณฑานี คุม ยิ่งเห็นสำนวนเพื้ยนๆผ่านโซเชียล ยิ่งเห็นพฤติกรรมให้ร้ายแน๊ก ยิ่งเป็นการยืนยัน ว่ากลุ่มเงินดาร์ค ที่สหรัฐ ไต้หวัน จีน ตุรกี เดนมาร์ค กำลังจัดการ ได้เข้ามาสู่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้วจริงๆ เป็นสิ่งที่คิงส์โพธิ์แดงได้ทำสำเร็จ ที่นำข้อมูลมาเปิดเผยล่วงหน้า คนไทยตาสว่างไม่ต่ำกว่าครึ่งล้าน ที่อันฟอลอิเหวิงจนต้องปิดเป็นส่วนตัว ยังยืนยันเสมอว่า เราไม่เคยแพ้ และสะกดคำว่ากลัวไม่เป็น เอาสามแสนมาส่งให้พี่บุ๋มที่มีแสง เพราะเคลมก้องห้าแสนไม่ได้ ก็ตลกดี อย่าเอาทัวร์ไปลงพี่บุ๋ม เชื่อพี่คิงส์ อยากแสดงให้แสดงไป คิงส์ฯยังมีข้อมูลอีกเยอะ แค่อยากดูหน้าไพ่ของ โจ ตกขาวแค่นี้เอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1608 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยืนยันความจริงเรื่อง #Saveอิเหวิงกามิจ
    แอดมินเพจดัง ยอมใช้เวลาไปเช็คด้วยตัวเอง
    ปรากฏว่า ในแอพนกฟ้า
    ยูซผีเกิน 90% โดยโพสข้อความดังนี้
    "เห็นขึ้นเซฟน้องในทวิสเตอร์ แอดเข้าไปสำรวจดูละ 90% ผีทั้งนั้น เอาจริงๆนะ คนที่ตั้งประเด็นแบบนี้ แล้วใช้ผีมาคอมเม้น คือทำให้น้องดูแย่กว่าเดิมอีก ที่แอดพูดเพราะมันดูตลก มันไม่มีความจริงใจ แม่แต่ใน ตต เองก็เหมือนกัน สู้กันหนักมากๆๆ ยิ่งทำก็ยิ่งแย่เด้อ"
    #ความจริงก็คือความจริง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ยืนยันความจริงเรื่อง #Saveอิเหวิงกามิจ แอดมินเพจดัง ยอมใช้เวลาไปเช็คด้วยตัวเอง ปรากฏว่า ในแอพนกฟ้า ยูซผีเกิน 90% โดยโพสข้อความดังนี้ "เห็นขึ้นเซฟน้องในทวิสเตอร์ แอดเข้าไปสำรวจดูละ 90% ผีทั้งนั้น เอาจริงๆนะ คนที่ตั้งประเด็นแบบนี้ แล้วใช้ผีมาคอมเม้น คือทำให้น้องดูแย่กว่าเดิมอีก ที่แอดพูดเพราะมันดูตลก มันไม่มีความจริงใจ แม่แต่ใน ตต เองก็เหมือนกัน สู้กันหนักมากๆๆ ยิ่งทำก็ยิ่งแย่เด้อ" #ความจริงก็คือความจริง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 840 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!!

    ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ

    ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย
    แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง

    สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า
    วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้
    รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน

    นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน
    เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin***

    เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน
    ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน
    รวมทั้งที่ยูเครน

    เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด
    และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ
    ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน

    เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า
    หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล
    ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง

    แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น
    ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996)
    แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก
    งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน
    เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา
    หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา”
    กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น
    จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง

    การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ
    อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ
    งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน
    ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน

    แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น……
    ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ
    ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น
    โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
    ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง
    “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ
    ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว
    ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป”
    นักข่าวถามต่อว่า
    “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??”
    “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “

    นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน
    แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007)
    หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997)
    หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997)

    เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ
    เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น

    เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง

    และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์……
    หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง
    ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่
    เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute
    แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย
    และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย

    ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ
    ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย
    นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย
    เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง
    เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น

    และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน

    แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า
    เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน
    ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร
    ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม
    แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก
    การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย
    เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO
    จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ
    จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล
    ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา

    ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม
    และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส
    โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน
    หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต
    ประทับตรา ผ่านศุลกากร

    การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย
    แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ
    เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน

    คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า
    ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!!

    ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin
    เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่
    ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก……

    เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง
    แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย
    ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.…

    นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน
    เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก
    เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว

    ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ
    หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง
    บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่
    การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง
    และเศรษฐกิจ
    เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ……

    เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน
    ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้
    แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!!
    เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก”

    นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน
    ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล
    ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ”
    “ดีใจอะไรหรือครับ..?”
    “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ”

    ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย…
    สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน
    ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด
    ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ……
    “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..”
    ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ……
    เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป

    ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า
    “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!!

    ~~~ขยายความ

    Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB
    ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย

    Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft

    ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร
    เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ
    แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง

    Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom
    คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน

    ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น
    เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด………

    แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!! ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้ รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin*** เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน รวมทั้งที่ยูเครน เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996) แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา” กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น…… ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป” นักข่าวถามต่อว่า “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??” “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “ นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007) หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997) หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997) เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์…… หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่ เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต ประทับตรา ผ่านศุลกากร การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!! ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่ ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก…… เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.… นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง และเศรษฐกิจ เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ…… เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้ แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!! เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก” นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ” “ดีใจอะไรหรือครับ..?” “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ” ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย… สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ…… “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..” ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ…… เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!! ~~~ขยายความ Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด……… แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2750 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อันตราย” เอามากๆ กับความคิด ความริเริ่ม ของคุณพ่ออเมริกาและพวกพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตก ที่กำลังจะอนุมัติ อนุญาต ให้ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครน นำเอาขีปนาวุธพิสัยไกลที่ได้รับการสนับสนุน ประเภท “Storm Shadows” หรือ “ATACMS” อะไรทำนองนั้น โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของหมีขาวรัสเซีย อันเป็นสิ่งที่ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้แปลความ อธิบายขยายความ ไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ว่าย่อมหมายถึง “การกระทำให้ NATO คือคู่สงครามโดยตรงกับรัสเซีย” และได้เตือนเอาไว้นิ่มๆ ประมาณว่า “ถ้าหากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจริง...เมื่อคำนึงถึงการเปลี่ยนไปของลักษณะความขัดแย้ง เราก็คงต้องตัดสินใจอย่างเหมาะสมต่อภัยคุกคามที่เราจะต้องเผชิญหน้า!!!”

    คือถึงจะเป็นอะไรที่นิ่มๆ...แต่ก็อย่าลืมไปว่าหมีขาวรัสเซียที่ออกจะดุแสนดุนั้น ก็คือ “ชาตินิวเคลียร์” อันดับต้นๆ ของโลก หรืออันดับหนึ่งของโลกเอาเลยก็ว่าได้ ดังนั้น...การที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายAntony Blinken” และรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ “นายDavid Lammy” ที่เกี่ยวก้อยไปเยือนประเทศยูเครนกันถึงที่เมื่อไม่กี่วันนี้ จะออกมาพูดด้วยน้ำเสียง หางเสียงเดียวกัน ถึงความเป็นไปได้ที่จะอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ฝ่ายตะวันตกมอบให้โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย รวมทั้งประธานาธิบดีอเมริกา อย่าง “โจ เอ๋อ” หรือ “โจ ซึมเซา” ที่เหลือเวลาดำรงตำแหน่งแค่อีกไม่กี่เดือนจะออกมาแสดงท่าทีกำๆ กวมๆ ว่ากำลังเร่งพิจารณาเรื่องราวดังกล่าวอย่างเต็มที่ มันจึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “เด็ก” ที่ชอบเล่นไม้ขีดไฟ ที่กำลังจุดไม้ขีดก้านแล้ว-ก้านเล่า อยู่หน้าโรงงานดินระเบิดซึ่งถูกชโลมไว้ด้วยน้ำมันก๊าด น้ำมันเบนซิน ชนิดอะไรต่อมิอะไรอาจลุกพึ่บๆ พั่บๆ ขึ้นมาได้ง่ายๆ...

    เพราะแม้แต่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” และผู้ร่วมก่อตั้งชุมชนข่าวกรอง “VIPS” (Veteran Intelligence Professionals for Sanity) อย่าง “นายRay McGovern” ที่เป็นชาวอเมริกันด้วยกันเอง ยังต้องออกมาให้ความคิด-ความเห็นกับสำนักข่าว “Sputnik” ไปเมื่อสองวันก่อนนั่นแหละว่า... “พวกเขา(อเมริกา)ต้องการที่จะยั่วยุปูติน ให้ต้องลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ร้ายแรงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งอเมริกาในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เพราะพวกเขาสูญเสียอย่างมากในการบุกแคว้น Kursk ของรัสเซีย” หรือพยายายาม “ยั่วยวนกวนส้นตีน” แบบเดียวกับอิสราเอลยั่วอิหร่านในแนวรบตะวันออกกลาง หรือไต้หวัน ฟิลิปปินส์ยั่วจีนในแนวรบทะเลจีนใต้ เพื่อที่จะก่อให้เกิดฉากสถานการณ์ที่ “เครื่องจักรสังหาร” อย่างกองทัพอเมริกันเกิดความชอบธรรมในการใช้กำลังทหาร หรือความชอบธรรมที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งอเมริกา...นั่นเอง...

    โดยที่การยั่วยวนกวนส้นตีนของอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกต่อรัสเซียช่วงหลังๆ นี้...ต้องเรียกว่าน่าหวาดเสียว น่าขนลุกขนพองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” ถึงกับต้องปรารภ รำพึง ถึงขั้นว่า... “สิ่งที่ผมกลัวก็คือ พวกเขาอาจไปไกลถึงขั้นคิดให้ยูเครนใช้อาวุธนิวเคลียร์ฉบับกระเป๋า หรือนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี (mini nuke) สู้กับรัสเซียเอาเลยก็ไม่แน่!!!” และ “มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะรู้ว่าไบเดน ที่ปรึกษาความมั่นคง Sullivan และคณะผู้บริหารรัฐบาลอเมริกันชุดนี้คิดอย่างไร? เพื่อนสนิทของผมบางคนที่เป็นนักวิเคราะห์ด้วยกันถึงกับต้องสรุปว่าพวกเขา...บ้าไปแล้ว (insane) ดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าจริงว่าคงยากเอามากๆ ที่จะทำนายได้ว่าพวกเขาคิดทำอะไรต่อไป ถ้าหากเขาทั้งหลาย...บ้าไปแล้ว!!!” ซึ่งก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะอดีตนักวิเคราะห์ “CIA” อย่าง “นายRay McGovern” รายเดียวเท่านั้น อดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำโซเวียตรัสเซียอย่าง “นายJack Matlock” เอง ก็ยังต้องออกมาตอกย้ำไว้ด้วยว่าความพยายามของรัฐบาลอเมริกันในอันที่จะอาศัย “สงครามที่ไม่มีความชัดเจน” สู้กับรัสเซียโดยอาศัยยูเครนเป็นตัวแทนนั้น เป็นสิ่งที่ “อันตราย”

    เอามากๆ...หรือกระทั่งอดีตผู้คิดจะสมัครลงแข่ง ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ อย่าง “Robert F. Kennedy Jr.” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาเตือนไว้ล่วงหน้าว่า... “นโยบายเผชิญหน้าขั้นสูงสุดของไบเดนเพื่อยัดเยียดความปราชัยอันน่าอับอายให้กับรัสเซียและเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองของปูตินนั้น...คือสูตรสำเร็จสำหรับหายนะทางนิวเคลียร์” เอาเลยถึงขั้นนั้นหรือรัฐบาลคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ที่กำลังเหลือเวลาอยู่ในตำแหน่งแค่อีกไม่กี่เดือนนี่แหละ อาจกำลังฉุดกระชากลากถูบรรดาชาวอเมริกันทั้งประเทศรวมทั้งชาวโลกทั้งหลาย เข้าสู่ “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุเพราะรัสเซียนั้นไม่ใช่ประเทศอื่นๆโดยทั่วไป แต่ถือเป็น “ชาตินิวเคลียร์” แถมยังกำอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ไว้ในมือไม่รู้จะกี่พันต่อกี่พันลูก โดยผู้ที่อาจต้อง “ซวย” เป็นอันดับแรก ก็ดังที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” “นายRay McGovern” ได้วาดจินตนาการไว้ล่วงหน้านั่นแหละว่า... “ถ้าหากรัสเซียต้องการจะบอกกับชาวยุโรปว่า ถ้าพวกคุณคิดจะใช้นิวเคลียร์ทางยุทธวิธีกับเราก็อย่าลืมว่าเราก็มีอาวุธนิวเคลียร์เหมือนกัน แล้วที่ไหนล่ะ...ที่รัสเซียจะงัดคำเตือนเหล่านี้ออกมาแสดงให้เห็น นั่นก็น่าจะเป็น...ยุโรปนั่นเอง!!!”...

    อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” รายนี้ ยังพยายาม “มองโลกในแง่ดี” เอาไว้มั่ง นั่นก็คือ... “ผมคิดว่าปูตินยังฉลาดพอ ที่จะรอให้เห็นกันชัดๆ ซะก่อนว่า ใคร??? ที่จะชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้นำอเมริกา เพียงแต่ในช่วงระหว่างนั้นแม้แต่ผมก็ยังต้องกลั้นหายใจกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่” อันน่าจะเป็นไปเช่นเดียวกับพันธมิตรของจีนและรัสเซียอย่างอิหร่าน เป็นต้น ที่ต้องพยายามก้าวย่างอย่างระมัดระวังในการ “แก้แค้น-เอาคืน” ต่อการยั่วยวนกวนส้นตีนของอิสราเอล เพื่อไม่ให้ต้องก้าวไปสู่ “กับดัก”

    ของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่ออเมริกาเอาง่ายๆ ต้องกลั้นใจ สะกดใจ หันไปเล่น “หมากล้อม” ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดเงื่อนไข-เหตุปัจจัย อันจะทำให้พวก “อีลิทโลก” ผู้ซึ่งเพียรพยายามพิทักษ์ ปกป้อง “ระเบียบโลกแบบเดิมๆ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้ตัวเองมั่งคั่ง ร่ำรวย อย่างชนิดอภิมหาศาล สามารถดำรงคงอยู่ได้อีกต่อไป ที่พยายามทั้งผลัก ทั้งดัน ให้บรรดารัฐบาลแห่งโลกตะวันตกทั้งหลาย “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาให้จงได้!!!

    และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หมีขาวที่ได้ชื่อว่าดุแสนดุอย่างรัสเซีย เลยต้องหันไปส่งสัญญาณด้วยปฏิบัติการ “ซ้อมรบ” ทางเรือครั้งใหญ่ ที่เรียกๆ กันว่า “Ocean-2024” ตั้งแต่เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (10 ก.ย.) ด้วยการขนเอาเรือรบไม่ต่ำกว่า 400 ลำ เครื่องบินรบอีก 120 ลำ ทวยทหารอีกถึง 90,000 นาย ออกมาเบ่งกล้ามอวดโชว์กำลังในน่านน้ำแทบทุกน่านน้ำไม่ว่าในมหาสมุทรแปซิฟิก อาร์กติก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลแคสเปียน ไปจนแถบทะเลบอลติกโดยมีคุณพี่จีนเข้าร่วมด้วยหรือร่วมส่งสัญญาณไปถึงประเทศญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ ที่กำลังคิดเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของคุณพ่ออเมริกามาติดตั้งไว้ในประเทศตัวเองในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้...

    แต่ส่วนจะทำให้อเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตก...พอที่จะ “หายบ้า” หรือพอที่จะได้ “สติ” ขึ้นมาได้มั่งหรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงต้องคอยสวดมนต์และภาวนากันไปตามสภาพ ไม่ก็ต้องหันไป “กลั้นหายใจ” แบบเดียวกับที่ “นายRay McGovern” ได้ว่าเอาไว้นั่นแหละ คือถ้าหากอีก 2 เดือนข้างหน้า “ทรัมป์บ้า” สามารถดิ้นรนกลับมาเป็นผู้นำอเมริกาได้ดังเดิม มันก็อาจเบาๆ ลงไปได้บ้างสำหรับ “แนวรบ” บางด้าน เช่นแนวรบยุโรปตะวันออก เป็นต้น แต่ถ้าหากคุณน้อง “กมลา” เธอสามารถนอนมาโดยไม่ต้องมีพระสวดนำหน้า แบบที่บรรดา “โพล” หลายๆ สำนักพยายามเชียร์แล้ว เชียร์อีก แม้จะก่อให้เกิดความซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ต่อบรรดา “ติ่งอเมริกา” เพียงใดก็เถอะ แต่...ก็อาจนำมาซึ่ง “สงครามกลางเมืองครั้งใหม่” ของอเมริกา หรือนำมาซึ่ง “ความล่มสลาย” ลงไปเองเอาเลยก็เป็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปงัดอาวุธมหาประลัยใดๆ ออกมาใช้ให้ต้องมากเรื่อง-มากความ หรือให้บรรดา “พลโลก” อย่างเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย ต้องพลอยเดือดร้อน หรือพลอย “ซวย” ไปด้วยอย่างมิอาจช่วยอะไรได้เลย...

    https://mgronline.com/daily/detail/9670000086180

    #Thaitimes
    “อันตราย” เอามากๆ กับความคิด ความริเริ่ม ของคุณพ่ออเมริกาและพวกพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตก ที่กำลังจะอนุมัติ อนุญาต ให้ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครน นำเอาขีปนาวุธพิสัยไกลที่ได้รับการสนับสนุน ประเภท “Storm Shadows” หรือ “ATACMS” อะไรทำนองนั้น โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของหมีขาวรัสเซีย อันเป็นสิ่งที่ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้แปลความ อธิบายขยายความ ไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ว่าย่อมหมายถึง “การกระทำให้ NATO คือคู่สงครามโดยตรงกับรัสเซีย” และได้เตือนเอาไว้นิ่มๆ ประมาณว่า “ถ้าหากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจริง...เมื่อคำนึงถึงการเปลี่ยนไปของลักษณะความขัดแย้ง เราก็คงต้องตัดสินใจอย่างเหมาะสมต่อภัยคุกคามที่เราจะต้องเผชิญหน้า!!!” คือถึงจะเป็นอะไรที่นิ่มๆ...แต่ก็อย่าลืมไปว่าหมีขาวรัสเซียที่ออกจะดุแสนดุนั้น ก็คือ “ชาตินิวเคลียร์” อันดับต้นๆ ของโลก หรืออันดับหนึ่งของโลกเอาเลยก็ว่าได้ ดังนั้น...การที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายAntony Blinken” และรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ “นายDavid Lammy” ที่เกี่ยวก้อยไปเยือนประเทศยูเครนกันถึงที่เมื่อไม่กี่วันนี้ จะออกมาพูดด้วยน้ำเสียง หางเสียงเดียวกัน ถึงความเป็นไปได้ที่จะอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ฝ่ายตะวันตกมอบให้โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย รวมทั้งประธานาธิบดีอเมริกา อย่าง “โจ เอ๋อ” หรือ “โจ ซึมเซา” ที่เหลือเวลาดำรงตำแหน่งแค่อีกไม่กี่เดือนจะออกมาแสดงท่าทีกำๆ กวมๆ ว่ากำลังเร่งพิจารณาเรื่องราวดังกล่าวอย่างเต็มที่ มันจึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “เด็ก” ที่ชอบเล่นไม้ขีดไฟ ที่กำลังจุดไม้ขีดก้านแล้ว-ก้านเล่า อยู่หน้าโรงงานดินระเบิดซึ่งถูกชโลมไว้ด้วยน้ำมันก๊าด น้ำมันเบนซิน ชนิดอะไรต่อมิอะไรอาจลุกพึ่บๆ พั่บๆ ขึ้นมาได้ง่ายๆ... เพราะแม้แต่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” และผู้ร่วมก่อตั้งชุมชนข่าวกรอง “VIPS” (Veteran Intelligence Professionals for Sanity) อย่าง “นายRay McGovern” ที่เป็นชาวอเมริกันด้วยกันเอง ยังต้องออกมาให้ความคิด-ความเห็นกับสำนักข่าว “Sputnik” ไปเมื่อสองวันก่อนนั่นแหละว่า... “พวกเขา(อเมริกา)ต้องการที่จะยั่วยุปูติน ให้ต้องลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ร้ายแรงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งอเมริกาในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เพราะพวกเขาสูญเสียอย่างมากในการบุกแคว้น Kursk ของรัสเซีย” หรือพยายายาม “ยั่วยวนกวนส้นตีน” แบบเดียวกับอิสราเอลยั่วอิหร่านในแนวรบตะวันออกกลาง หรือไต้หวัน ฟิลิปปินส์ยั่วจีนในแนวรบทะเลจีนใต้ เพื่อที่จะก่อให้เกิดฉากสถานการณ์ที่ “เครื่องจักรสังหาร” อย่างกองทัพอเมริกันเกิดความชอบธรรมในการใช้กำลังทหาร หรือความชอบธรรมที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งอเมริกา...นั่นเอง... โดยที่การยั่วยวนกวนส้นตีนของอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกต่อรัสเซียช่วงหลังๆ นี้...ต้องเรียกว่าน่าหวาดเสียว น่าขนลุกขนพองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” ถึงกับต้องปรารภ รำพึง ถึงขั้นว่า... “สิ่งที่ผมกลัวก็คือ พวกเขาอาจไปไกลถึงขั้นคิดให้ยูเครนใช้อาวุธนิวเคลียร์ฉบับกระเป๋า หรือนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี (mini nuke) สู้กับรัสเซียเอาเลยก็ไม่แน่!!!” และ “มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะรู้ว่าไบเดน ที่ปรึกษาความมั่นคง Sullivan และคณะผู้บริหารรัฐบาลอเมริกันชุดนี้คิดอย่างไร? เพื่อนสนิทของผมบางคนที่เป็นนักวิเคราะห์ด้วยกันถึงกับต้องสรุปว่าพวกเขา...บ้าไปแล้ว (insane) ดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าจริงว่าคงยากเอามากๆ ที่จะทำนายได้ว่าพวกเขาคิดทำอะไรต่อไป ถ้าหากเขาทั้งหลาย...บ้าไปแล้ว!!!” ซึ่งก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะอดีตนักวิเคราะห์ “CIA” อย่าง “นายRay McGovern” รายเดียวเท่านั้น อดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำโซเวียตรัสเซียอย่าง “นายJack Matlock” เอง ก็ยังต้องออกมาตอกย้ำไว้ด้วยว่าความพยายามของรัฐบาลอเมริกันในอันที่จะอาศัย “สงครามที่ไม่มีความชัดเจน” สู้กับรัสเซียโดยอาศัยยูเครนเป็นตัวแทนนั้น เป็นสิ่งที่ “อันตราย” เอามากๆ...หรือกระทั่งอดีตผู้คิดจะสมัครลงแข่ง ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ อย่าง “Robert F. Kennedy Jr.” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาเตือนไว้ล่วงหน้าว่า... “นโยบายเผชิญหน้าขั้นสูงสุดของไบเดนเพื่อยัดเยียดความปราชัยอันน่าอับอายให้กับรัสเซียและเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองของปูตินนั้น...คือสูตรสำเร็จสำหรับหายนะทางนิวเคลียร์” เอาเลยถึงขั้นนั้นหรือรัฐบาลคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ที่กำลังเหลือเวลาอยู่ในตำแหน่งแค่อีกไม่กี่เดือนนี่แหละ อาจกำลังฉุดกระชากลากถูบรรดาชาวอเมริกันทั้งประเทศรวมทั้งชาวโลกทั้งหลาย เข้าสู่ “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุเพราะรัสเซียนั้นไม่ใช่ประเทศอื่นๆโดยทั่วไป แต่ถือเป็น “ชาตินิวเคลียร์” แถมยังกำอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ไว้ในมือไม่รู้จะกี่พันต่อกี่พันลูก โดยผู้ที่อาจต้อง “ซวย” เป็นอันดับแรก ก็ดังที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” “นายRay McGovern” ได้วาดจินตนาการไว้ล่วงหน้านั่นแหละว่า... “ถ้าหากรัสเซียต้องการจะบอกกับชาวยุโรปว่า ถ้าพวกคุณคิดจะใช้นิวเคลียร์ทางยุทธวิธีกับเราก็อย่าลืมว่าเราก็มีอาวุธนิวเคลียร์เหมือนกัน แล้วที่ไหนล่ะ...ที่รัสเซียจะงัดคำเตือนเหล่านี้ออกมาแสดงให้เห็น นั่นก็น่าจะเป็น...ยุโรปนั่นเอง!!!”... อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” รายนี้ ยังพยายาม “มองโลกในแง่ดี” เอาไว้มั่ง นั่นก็คือ... “ผมคิดว่าปูตินยังฉลาดพอ ที่จะรอให้เห็นกันชัดๆ ซะก่อนว่า ใคร??? ที่จะชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้นำอเมริกา เพียงแต่ในช่วงระหว่างนั้นแม้แต่ผมก็ยังต้องกลั้นหายใจกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่” อันน่าจะเป็นไปเช่นเดียวกับพันธมิตรของจีนและรัสเซียอย่างอิหร่าน เป็นต้น ที่ต้องพยายามก้าวย่างอย่างระมัดระวังในการ “แก้แค้น-เอาคืน” ต่อการยั่วยวนกวนส้นตีนของอิสราเอล เพื่อไม่ให้ต้องก้าวไปสู่ “กับดัก” ของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่ออเมริกาเอาง่ายๆ ต้องกลั้นใจ สะกดใจ หันไปเล่น “หมากล้อม” ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดเงื่อนไข-เหตุปัจจัย อันจะทำให้พวก “อีลิทโลก” ผู้ซึ่งเพียรพยายามพิทักษ์ ปกป้อง “ระเบียบโลกแบบเดิมๆ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้ตัวเองมั่งคั่ง ร่ำรวย อย่างชนิดอภิมหาศาล สามารถดำรงคงอยู่ได้อีกต่อไป ที่พยายามทั้งผลัก ทั้งดัน ให้บรรดารัฐบาลแห่งโลกตะวันตกทั้งหลาย “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาให้จงได้!!! และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หมีขาวที่ได้ชื่อว่าดุแสนดุอย่างรัสเซีย เลยต้องหันไปส่งสัญญาณด้วยปฏิบัติการ “ซ้อมรบ” ทางเรือครั้งใหญ่ ที่เรียกๆ กันว่า “Ocean-2024” ตั้งแต่เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (10 ก.ย.) ด้วยการขนเอาเรือรบไม่ต่ำกว่า 400 ลำ เครื่องบินรบอีก 120 ลำ ทวยทหารอีกถึง 90,000 นาย ออกมาเบ่งกล้ามอวดโชว์กำลังในน่านน้ำแทบทุกน่านน้ำไม่ว่าในมหาสมุทรแปซิฟิก อาร์กติก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลแคสเปียน ไปจนแถบทะเลบอลติกโดยมีคุณพี่จีนเข้าร่วมด้วยหรือร่วมส่งสัญญาณไปถึงประเทศญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ ที่กำลังคิดเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของคุณพ่ออเมริกามาติดตั้งไว้ในประเทศตัวเองในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้... แต่ส่วนจะทำให้อเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตก...พอที่จะ “หายบ้า” หรือพอที่จะได้ “สติ” ขึ้นมาได้มั่งหรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงต้องคอยสวดมนต์และภาวนากันไปตามสภาพ ไม่ก็ต้องหันไป “กลั้นหายใจ” แบบเดียวกับที่ “นายRay McGovern” ได้ว่าเอาไว้นั่นแหละ คือถ้าหากอีก 2 เดือนข้างหน้า “ทรัมป์บ้า” สามารถดิ้นรนกลับมาเป็นผู้นำอเมริกาได้ดังเดิม มันก็อาจเบาๆ ลงไปได้บ้างสำหรับ “แนวรบ” บางด้าน เช่นแนวรบยุโรปตะวันออก เป็นต้น แต่ถ้าหากคุณน้อง “กมลา” เธอสามารถนอนมาโดยไม่ต้องมีพระสวดนำหน้า แบบที่บรรดา “โพล” หลายๆ สำนักพยายามเชียร์แล้ว เชียร์อีก แม้จะก่อให้เกิดความซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ต่อบรรดา “ติ่งอเมริกา” เพียงใดก็เถอะ แต่...ก็อาจนำมาซึ่ง “สงครามกลางเมืองครั้งใหม่” ของอเมริกา หรือนำมาซึ่ง “ความล่มสลาย” ลงไปเองเอาเลยก็เป็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปงัดอาวุธมหาประลัยใดๆ ออกมาใช้ให้ต้องมากเรื่อง-มากความ หรือให้บรรดา “พลโลก” อย่างเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย ต้องพลอยเดือดร้อน หรือพลอย “ซวย” ไปด้วยอย่างมิอาจช่วยอะไรได้เลย... https://mgronline.com/daily/detail/9670000086180 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    “สงครามโลก” ก่อนหรือหลัง “เลือกตั้งอเมริกา”???
    ถึงแม้การเลือกตั้งอเมริกาจะเหลืออีกประมาณเดือนกว่าๆ ใกล้ๆ 2 เดือน...แต่ก็คงไม่น่าถึงกับต้องไปให้ความสำคัญกับการ “ดีเบต” หรือการโต้กันไป-โต้กันมา ระหว่าง 2 ผู้สมัคร คู่ชิง อย่าง “ทรัมป์บ้า” หรือคุณน้อง “กมลา”
    Like
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1047 มุมมอง 0 รีวิว
  • #คนไทยรึปล่าวววววว เวลคัมทูไทยแลนด์
    ถ้าข้อมูลนี้จริง ก็ถือว่าไม่แปลกเลย
    ทำไม โจตกขาว ถึงไม่แคร์คนไทย
    เพราะแค่เกิดในประเทศไทย
    แต่ไม่ได้มีพ่อแม่ปู่ย่าตายยายไทยเลย
    เรียกว่า แค่ได้สัญชาติ ถึงว่าๆๆๆๆ
    หลังจากชีวิตดิ่งเหว จิตเปื่อย รักษายังไม่มันหาย
    ก็เห็นออกมาทำตัวเป็นกูรูววว คนเก่งเรื่องการเงิน
    ทั้งชีวิตไม่เคยได้รับความสำเร็จอะไรเลยซักอย่าง
    แต่ถ้าอยากรวยแบบนาง
    ก็ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ
    ยกตัวอย่างเช่น การต้มคนไทยว่าตัวเองหยั่งรู้ฟ้าดิน อดีตและอนาคต
    แต่ไม่รู้เงาหัวตัวเอง พอมีทุยเชื่อมากๆ
    เปิดคอสสอนแม่มเลย หัวละหมื่นฉองหมื่น
    ฟูเฟื่องมาก ตั้งแต่ซากดจิกหมู่ในกลุ่ม DC
    คิดดู แฟนคลับอิเหวิงก่อนถูกเปิดมีเป็นล้าน
    ในกลุ่ม DC มีห้าพันที่พร้อมเปย์ เป๋าหนัก
    อิโจตกขาว ถ้ามีคนเรียนแค่ 1000 คนนะ
    ได้ไม่ต่ำกว่า 10-20 ล้านแล้ว
    หาแดรกกับความเชื่อของคน
    ไอ่ท็อปอีกตัว เดี๋ยวทำโพสแยกให้ จะได้สว่างวาบกันไป
    ไอ่ท็อปบอก ชอบๆ เปิดเลย จะได้ดัง เออ จัดไป
    เรื่องความใจดำเพือให้ตัวเองได้ประโยชน์ยังไม่จบแค่หาแดรกกับความเชื่อ
    ต้มคนไทยซั้ำแล้วซ้ำอีก
    กับการที่ไม่สนใจความรู้สึกของชาลี ที่เป็นคนไทยที่่ถูกกระทำ
    แต่เพื่อรักษาฐานลูกค้าตัวเอง ก็หันกลับมาสุมหัวกับคนที่เสียประโยชน์
    โดยเฉพาะไอ่ท็อป ที่ฟันธงกันทั้งคู่ ว่าอิเหวิงนี่ คู่แท้ชาลีข้ามภพข้ามชาติกันมา เป็นตุเป็นตะ
    แต่สุดท้าย หมอเดาทั้งสองตัว อิ๊บอ๋ายดิ เอาไงต่อ
    ก็ต้องหันไปที่อิเหวิงแทน เกาะเป็นปลิงเลยทีนี้
    หาเรื่องใส่ความน้องแน๊กว่าเปื่อยจิต มันกล่อมพวกทุยทุกวันนะ
    ฟังกันที่สามสี่ชม. จนทุยแม่มมม เชื่อจริงจังเลย
    เพราะอาศัยความที่ตัวอิโจเองเป็นคนไข้
    ไอ่ที่มันบรรยาย มันก็ฟังจากที่หมอรักฉามันนั่นแ่หละ
    (ตลกดี คนปกตินั่งฟังคนไข้ป่วยจิตที่ยังไม่หาย พูดได้เป็นสี่ห้าชม.)
    พอมาเห็นคอมเม้นในภาพ เลยร้อง อ๋อ แบบนี้นี่เอง
    ตอนนี้ ไผ่ก็หันหลังกลับมาอยู่ฝั่งน้องชาลี ตาสว่างวาบไปพร้อมกับคนไทยอีกจำนวนมาก
    ที่สงสัยว่า อิโจจะได้สติกี่โมง
    สรุป ยากแล้ว เพราะอิโจ ไม่ได้มีเชื้อชาติไทยเลย
    ไม่แปลก ที่พร้อมจะหักหลังคนไทย
    ไปอวยกิมจิ๊ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง
    อิฉัด อิต่างด้าง อิตกขาวเอ๊ย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #คนไทยรึปล่าวววววว เวลคัมทูไทยแลนด์ ถ้าข้อมูลนี้จริง ก็ถือว่าไม่แปลกเลย ทำไม โจตกขาว ถึงไม่แคร์คนไทย เพราะแค่เกิดในประเทศไทย แต่ไม่ได้มีพ่อแม่ปู่ย่าตายยายไทยเลย เรียกว่า แค่ได้สัญชาติ ถึงว่าๆๆๆๆ หลังจากชีวิตดิ่งเหว จิตเปื่อย รักษายังไม่มันหาย ก็เห็นออกมาทำตัวเป็นกูรูววว คนเก่งเรื่องการเงิน ทั้งชีวิตไม่เคยได้รับความสำเร็จอะไรเลยซักอย่าง แต่ถ้าอยากรวยแบบนาง ก็ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ ยกตัวอย่างเช่น การต้มคนไทยว่าตัวเองหยั่งรู้ฟ้าดิน อดีตและอนาคต แต่ไม่รู้เงาหัวตัวเอง พอมีทุยเชื่อมากๆ เปิดคอสสอนแม่มเลย หัวละหมื่นฉองหมื่น ฟูเฟื่องมาก ตั้งแต่ซากดจิกหมู่ในกลุ่ม DC คิดดู แฟนคลับอิเหวิงก่อนถูกเปิดมีเป็นล้าน ในกลุ่ม DC มีห้าพันที่พร้อมเปย์ เป๋าหนัก อิโจตกขาว ถ้ามีคนเรียนแค่ 1000 คนนะ ได้ไม่ต่ำกว่า 10-20 ล้านแล้ว หาแดรกกับความเชื่อของคน ไอ่ท็อปอีกตัว เดี๋ยวทำโพสแยกให้ จะได้สว่างวาบกันไป ไอ่ท็อปบอก ชอบๆ เปิดเลย จะได้ดัง เออ จัดไป เรื่องความใจดำเพือให้ตัวเองได้ประโยชน์ยังไม่จบแค่หาแดรกกับความเชื่อ ต้มคนไทยซั้ำแล้วซ้ำอีก กับการที่ไม่สนใจความรู้สึกของชาลี ที่เป็นคนไทยที่่ถูกกระทำ แต่เพื่อรักษาฐานลูกค้าตัวเอง ก็หันกลับมาสุมหัวกับคนที่เสียประโยชน์ โดยเฉพาะไอ่ท็อป ที่ฟันธงกันทั้งคู่ ว่าอิเหวิงนี่ คู่แท้ชาลีข้ามภพข้ามชาติกันมา เป็นตุเป็นตะ แต่สุดท้าย หมอเดาทั้งสองตัว อิ๊บอ๋ายดิ เอาไงต่อ ก็ต้องหันไปที่อิเหวิงแทน เกาะเป็นปลิงเลยทีนี้ หาเรื่องใส่ความน้องแน๊กว่าเปื่อยจิต มันกล่อมพวกทุยทุกวันนะ ฟังกันที่สามสี่ชม. จนทุยแม่มมม เชื่อจริงจังเลย เพราะอาศัยความที่ตัวอิโจเองเป็นคนไข้ ไอ่ที่มันบรรยาย มันก็ฟังจากที่หมอรักฉามันนั่นแ่หละ (ตลกดี คนปกตินั่งฟังคนไข้ป่วยจิตที่ยังไม่หาย พูดได้เป็นสี่ห้าชม.) พอมาเห็นคอมเม้นในภาพ เลยร้อง อ๋อ แบบนี้นี่เอง ตอนนี้ ไผ่ก็หันหลังกลับมาอยู่ฝั่งน้องชาลี ตาสว่างวาบไปพร้อมกับคนไทยอีกจำนวนมาก ที่สงสัยว่า อิโจจะได้สติกี่โมง สรุป ยากแล้ว เพราะอิโจ ไม่ได้มีเชื้อชาติไทยเลย ไม่แปลก ที่พร้อมจะหักหลังคนไทย ไปอวยกิมจิ๊ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง อิฉัด อิต่างด้าง อิตกขาวเอ๊ย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 679 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เปิดตัวละครปลิงทีม
    -ต้องยอมรับว่าความเป็นซุปเปอร์สตาร์ของชาลีด้วยความเฟรนลี่ ความใจดี จึงเปิดให้คนเข้าหาได้ง่าย
    นอกเหนือจากอิเหวิงกามิจจะอาศัยความใจดีและความรักที่ตรงไปตรงมาที่แน๊กมีให้อิเหวิง เพราะแสดงดีเยี่ยม จนพลาดให้อิเหวิงมาสร้างเครือข่ายหาผลประโยชน์กับคนไทยจนบานปลายมาถึงตอนนี้
    -ถ้าคุยกันตรงๆ ไม่ว่าอิเหวิงหรือเอเจนซี่กิมจิจะพยายามสร้างสตอรี่หรือแพลนงานวางเกมส์ไว้อย่างไรแค่ไหน ถ้าไม่มีพวกปลิงทีมนี้ที่เป็นคนไทยด้วยกันแท้ๆ แต่ได้ผลประโยชน์จากการเป็นปลิงมานานถึงแปดเดือนที่มีอินคัมเข้ารัววๆ ดาวน์นั่นดาวนี่ไปเยอะแยะผ่อนมาได้แปดเดือน ที่เหลือความบังลัยจึงบังเกิดสิ
    -ถ้าชาลีเลิกกับเหวิงจริง ทุกอย่างคือจบ แต่ทีมปลิง จบไม่ได้ เพราะจมไม่ลง เลยทำทุกวิถีทาง แม้ว่าจะเป็นการย้อนกลับมาให้ร้ายน้องชาลีก็ทำ ไอ่ฉัด
    มาว่าที่ตัวละครกันหน่อยว่าทีมปลิงที่สุมหัวเล่นงานแน๊กอยู่ทุกวัน
    "ตัวละครตัวแรก" เชื่อว่าแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง คงรู้จักกันดี
    - ป้าโจตกขาว ก่อนเกาะชาลี เคยเป็นคนไข้เปื่อยจิตที่คิดว่าตัวเองหายแล้ว ชอบเสwดราม่า (ไม่ได้ปั่นนะ เค้ายอมรับเค้าเอง เคยทำคลิปไปแล้ว)
    หลังจากอาศัยแสงชาลี
    1. ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเปื่อย บรรยายดุจเป็นห-มอ- ก็ดึงคนที่เป็นด้อมมาปรับทัศนคติให้เป็นทุย ฟังกันเยอะแต่ละที ก็ตลกดี พวกทุย นั่งฟังได้สามสี่ชม. ทั้งๆที่มันเป็นค-น-ไ-ข้ไม่ใช่ห-ม-อ คนปกติฟังค-น-ไ-ข้ กลายเป็นค-น-ไข้ไปด้วยเฉยเลย
    2. ไม่ได้เป็นห-ม-อ เป็นห-ม-อ-ดูก็ได้ฟร๊ะ คนจิตอ่อนเชื่อเยอะหน่อย เปิดเป็นโรงเรียนรับสอนไปเลย หัวละเป็นหมื่น พอได้ด้อมชาลี โอ๊ย ฟูเฟื่อง คิดดูหัวละหมื่น แค่ร้อยคนก็ล้านแล้ว ขนาดตอนนี้มีทุยตื่นรู้กลับมาเป็นคนเยอะแล้วนะ แต่ใน ตต. ก็ยังมีทุยหลับหูหลับตาเชียร์ แล้วทุยพวกนี้ เปย์ให้อิเหวิง ยูนิรัวๆได้ อินี่ได้อานิสงฆ์เต็มๆ
    3. ส่วนแบ่งจากการเป็นผู้ดูแลกลุ่ม ใน DC ที่เป็นกลุ่มรวมฝูงทุยสายเปย์จิตอ่อนเหลือสมาชิกจากห้าพันเหลือพันนิดๆ และทุกคนในนี้ พร้อมซัพพอต อินี่ก็เหมือนกับเป็นผู้นำจิตวิญญาณของลัตติ๊กิมจิ๊ไปแล้ว
    "ตัวละครที่สอง"
    พอดีมีคนทักไปว่าพี่คิงส์จะเปิดตัว มันบอกให้พูดชื่อไปเลย อยากดังกำลังหิวแสง เอ้า ได้เลย นั่นคือ ไอ่ท็อป ก่อนเกาะชาลีเป็นปลิง อินคัมน้อยมาก พอแสดงเปิดไ-พ่ เดาๆ วาดฝันให้ทุยว่าคู่แท้แต่ปางก่อนร่วมกับอิป้าโจตกขาว ลูกค้านี่เยอะฉัดๆ ใช้จ่ายมือเติบชินอะดิ เจ็ดแปดเดือน พอแน๊กเลิก สะเทือนการดำรงชีพดิเมิง ถึงว่า ฝากบอกคิงส์ "ขอบคุณที่ช่วยให้ดัง"
    ไอ่นี่พอได้แท็กทีมกับอิป้าตกขาว คอเดียวกัน ได้หาแดรกทุยไทยกับความเชื่อเหมือนกัน ไม่ต้องลงทุนเชี๊ยอะไรเลย สนิทกันมาก
    ผลประโยชน์ที่ได้จากน้องชาลี
    -เกาะกระแสด้วยการอวย และทำ--น-า-ยไ-พ่ ว่า กามินนี่ คู่แท้กับชาลี เกิดมาคู่กัน ฟันธง!!!! ดังนั้น การที่เกิดกรณีที่ชาลีเชิญอิเหวิงกลับพร้อมแยกทาง แปลว่า ไม่แม่นหว่ะ 555555
    "ตัวละครตัวที่สาม"
    คือ อิไผ่ รีแอคหลังชาลีแยกกับอิเหวิงคือทำตัวเป็นวงในสุด เรียกตัวเองว่าแม่ไผ่ ทำให้ทุยหลายตัว เข้าใจว่าเป็นแม่ชาลี ทำไปได้นะ ที่ออกมาแก้ตัวแทนอิเหวิงทำคนไทยงงกันไปพักนึงถ้าจำกันได้
    ผลประโยชน์ที่ได้จากน้องชาลี
    1. ตอนมาแรกๆ ก็โอเคนะ เรียกว่า ผลประโยชน์ต่างตอบแทน มาจ้างชาลีกับอิเหวิงดันของ บ้างก็ว่าขนม บ้างก็ว่าคาราเจน แฮร่
    2. จากแม้ค้าออนไลน์ที่ไม่มีแสง การได้แสงได้ความสำคัญได้ความสนใจจากด้อม ทำให้อิไผ่นี่ มีชีวิตชีวา มีนักข่าวเอาไปลงฉ่ำๆ ประมาณว่าฉันวงใน
    เอาหละ คราวนี้ สามตัวละครมีความเชื่อมโยงกันยังไง
    ถึงสุมหัวให้ร้ายน้องแน๊กได้ทุกวัน ต้องทำให้น้องเสียชื่อให้ได้
    มาเริ่มกันเลย
    อิไผ่ ให้น้องแน๊กโปรของ แต่ผลิตไม่ได้ตามกำหนด และอิไผ่ก็เป็น MVP ในห้อง DC ที่อิโจไปกล่อมจนในห้องมองอิเหวิงเป็นเทพี มองชาลีเป็นป่วยจิตนั่นแหละ และเป็นสายเปย์ยูนิให้อิเหวิงสมัยยังจับโป๊ะไม่ได้ อิไผ่นี่ตัวแม่สายเปย์อิเหวิงเลย ของเพิ่งผลิตเสร็จ สต็อกล้นทำไงอะ
    -หมดระยะสัญญากับชาลีแล้วด้วย เอาล่ะ เพื่อผลรักษาผลประโยชน์ เลือกไปเกาะอิเหวิง หวังว่าอิเหวิงจะโปรให้ เพราะเคยเปย์ยูนิไปเยอะมาก ก็เลยต้องไปรวมสุมหัวกับอิโจตกขาว
    -ไอ่ท็อป นอกจากเสียหมากับการฟันธง เรื่องคู่แท้ที่แจ้งไปข้างต้น อิไผ่ก็เคยให้ไอ่ท็อปฟันธงว่า คาราเจนที่จะทำเนี่ย ปังมั๊ย แล้วไอ่ท็อปก็ ปัง ฟันธง! 5555 เรียบร้อย
    ดังนั้น นี่คือปฐมบทของการรวมตัวที่สุมหัวกับอิโจตกขาว เพื่อทำให้แน๊กหมดความน่าเชื่อถือ
    เอาจริงๆนะ อิป้า พี่คิงส์จะเตือนสตินะ
    ที่เมิงส่งสมุนมาข่ม ขู่ว่าจะฟ้องกรรรูอะ
    ไอ่ที่พวกเมิงทำที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้
    ใส่ความน้องแน๊กว่าเปื่อยจิต
    ต่างกรรม ต่างวาระ แต่ละตัวให้อีก 100 ปี
    เมิงจะได้ออกจากซังเตมั๊ย
    ไม่รู้เงาหัวตัวเองเลย หลักฐานชัดเจน
    เชิงประจักษ์เลยหละเมิง พยานก็มี หลักฐานก็มี
    ถ้าเมิงไม่หยุด ไม่เลิกกันนะ ระวัง
    ชาลีหมดความอดทน เงาหัวสุมหัวปลิงทีมจะไม่เหลือซักตัว
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #เปิดตัวละครปลิงทีม -ต้องยอมรับว่าความเป็นซุปเปอร์สตาร์ของชาลีด้วยความเฟรนลี่ ความใจดี จึงเปิดให้คนเข้าหาได้ง่าย นอกเหนือจากอิเหวิงกามิจจะอาศัยความใจดีและความรักที่ตรงไปตรงมาที่แน๊กมีให้อิเหวิง เพราะแสดงดีเยี่ยม จนพลาดให้อิเหวิงมาสร้างเครือข่ายหาผลประโยชน์กับคนไทยจนบานปลายมาถึงตอนนี้ -ถ้าคุยกันตรงๆ ไม่ว่าอิเหวิงหรือเอเจนซี่กิมจิจะพยายามสร้างสตอรี่หรือแพลนงานวางเกมส์ไว้อย่างไรแค่ไหน ถ้าไม่มีพวกปลิงทีมนี้ที่เป็นคนไทยด้วยกันแท้ๆ แต่ได้ผลประโยชน์จากการเป็นปลิงมานานถึงแปดเดือนที่มีอินคัมเข้ารัววๆ ดาวน์นั่นดาวนี่ไปเยอะแยะผ่อนมาได้แปดเดือน ที่เหลือความบังลัยจึงบังเกิดสิ -ถ้าชาลีเลิกกับเหวิงจริง ทุกอย่างคือจบ แต่ทีมปลิง จบไม่ได้ เพราะจมไม่ลง เลยทำทุกวิถีทาง แม้ว่าจะเป็นการย้อนกลับมาให้ร้ายน้องชาลีก็ทำ ไอ่ฉัด มาว่าที่ตัวละครกันหน่อยว่าทีมปลิงที่สุมหัวเล่นงานแน๊กอยู่ทุกวัน "ตัวละครตัวแรก" เชื่อว่าแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง คงรู้จักกันดี - ป้าโจตกขาว ก่อนเกาะชาลี เคยเป็นคนไข้เปื่อยจิตที่คิดว่าตัวเองหายแล้ว ชอบเสwดราม่า (ไม่ได้ปั่นนะ เค้ายอมรับเค้าเอง เคยทำคลิปไปแล้ว) หลังจากอาศัยแสงชาลี 1. ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเปื่อย บรรยายดุจเป็นห-มอ- ก็ดึงคนที่เป็นด้อมมาปรับทัศนคติให้เป็นทุย ฟังกันเยอะแต่ละที ก็ตลกดี พวกทุย นั่งฟังได้สามสี่ชม. ทั้งๆที่มันเป็นค-น-ไ-ข้ไม่ใช่ห-ม-อ คนปกติฟังค-น-ไ-ข้ กลายเป็นค-น-ไข้ไปด้วยเฉยเลย 2. ไม่ได้เป็นห-ม-อ เป็นห-ม-อ-ดูก็ได้ฟร๊ะ คนจิตอ่อนเชื่อเยอะหน่อย เปิดเป็นโรงเรียนรับสอนไปเลย หัวละเป็นหมื่น พอได้ด้อมชาลี โอ๊ย ฟูเฟื่อง คิดดูหัวละหมื่น แค่ร้อยคนก็ล้านแล้ว ขนาดตอนนี้มีทุยตื่นรู้กลับมาเป็นคนเยอะแล้วนะ แต่ใน ตต. ก็ยังมีทุยหลับหูหลับตาเชียร์ แล้วทุยพวกนี้ เปย์ให้อิเหวิง ยูนิรัวๆได้ อินี่ได้อานิสงฆ์เต็มๆ 3. ส่วนแบ่งจากการเป็นผู้ดูแลกลุ่ม ใน DC ที่เป็นกลุ่มรวมฝูงทุยสายเปย์จิตอ่อนเหลือสมาชิกจากห้าพันเหลือพันนิดๆ และทุกคนในนี้ พร้อมซัพพอต อินี่ก็เหมือนกับเป็นผู้นำจิตวิญญาณของลัตติ๊กิมจิ๊ไปแล้ว "ตัวละครที่สอง" พอดีมีคนทักไปว่าพี่คิงส์จะเปิดตัว มันบอกให้พูดชื่อไปเลย อยากดังกำลังหิวแสง เอ้า ได้เลย นั่นคือ ไอ่ท็อป ก่อนเกาะชาลีเป็นปลิง อินคัมน้อยมาก พอแสดงเปิดไ-พ่ เดาๆ วาดฝันให้ทุยว่าคู่แท้แต่ปางก่อนร่วมกับอิป้าโจตกขาว ลูกค้านี่เยอะฉัดๆ ใช้จ่ายมือเติบชินอะดิ เจ็ดแปดเดือน พอแน๊กเลิก สะเทือนการดำรงชีพดิเมิง ถึงว่า ฝากบอกคิงส์ "ขอบคุณที่ช่วยให้ดัง" ไอ่นี่พอได้แท็กทีมกับอิป้าตกขาว คอเดียวกัน ได้หาแดรกทุยไทยกับความเชื่อเหมือนกัน ไม่ต้องลงทุนเชี๊ยอะไรเลย สนิทกันมาก ผลประโยชน์ที่ได้จากน้องชาลี -เกาะกระแสด้วยการอวย และทำ--น-า-ยไ-พ่ ว่า กามินนี่ คู่แท้กับชาลี เกิดมาคู่กัน ฟันธง!!!! ดังนั้น การที่เกิดกรณีที่ชาลีเชิญอิเหวิงกลับพร้อมแยกทาง แปลว่า ไม่แม่นหว่ะ 555555 "ตัวละครตัวที่สาม" คือ อิไผ่ รีแอคหลังชาลีแยกกับอิเหวิงคือทำตัวเป็นวงในสุด เรียกตัวเองว่าแม่ไผ่ ทำให้ทุยหลายตัว เข้าใจว่าเป็นแม่ชาลี ทำไปได้นะ ที่ออกมาแก้ตัวแทนอิเหวิงทำคนไทยงงกันไปพักนึงถ้าจำกันได้ ผลประโยชน์ที่ได้จากน้องชาลี 1. ตอนมาแรกๆ ก็โอเคนะ เรียกว่า ผลประโยชน์ต่างตอบแทน มาจ้างชาลีกับอิเหวิงดันของ บ้างก็ว่าขนม บ้างก็ว่าคาราเจน แฮร่ 2. จากแม้ค้าออนไลน์ที่ไม่มีแสง การได้แสงได้ความสำคัญได้ความสนใจจากด้อม ทำให้อิไผ่นี่ มีชีวิตชีวา มีนักข่าวเอาไปลงฉ่ำๆ ประมาณว่าฉันวงใน เอาหละ คราวนี้ สามตัวละครมีความเชื่อมโยงกันยังไง ถึงสุมหัวให้ร้ายน้องแน๊กได้ทุกวัน ต้องทำให้น้องเสียชื่อให้ได้ มาเริ่มกันเลย อิไผ่ ให้น้องแน๊กโปรของ แต่ผลิตไม่ได้ตามกำหนด และอิไผ่ก็เป็น MVP ในห้อง DC ที่อิโจไปกล่อมจนในห้องมองอิเหวิงเป็นเทพี มองชาลีเป็นป่วยจิตนั่นแหละ และเป็นสายเปย์ยูนิให้อิเหวิงสมัยยังจับโป๊ะไม่ได้ อิไผ่นี่ตัวแม่สายเปย์อิเหวิงเลย ของเพิ่งผลิตเสร็จ สต็อกล้นทำไงอะ -หมดระยะสัญญากับชาลีแล้วด้วย เอาล่ะ เพื่อผลรักษาผลประโยชน์ เลือกไปเกาะอิเหวิง หวังว่าอิเหวิงจะโปรให้ เพราะเคยเปย์ยูนิไปเยอะมาก ก็เลยต้องไปรวมสุมหัวกับอิโจตกขาว -ไอ่ท็อป นอกจากเสียหมากับการฟันธง เรื่องคู่แท้ที่แจ้งไปข้างต้น อิไผ่ก็เคยให้ไอ่ท็อปฟันธงว่า คาราเจนที่จะทำเนี่ย ปังมั๊ย แล้วไอ่ท็อปก็ ปัง ฟันธง! 5555 เรียบร้อย ดังนั้น นี่คือปฐมบทของการรวมตัวที่สุมหัวกับอิโจตกขาว เพื่อทำให้แน๊กหมดความน่าเชื่อถือ เอาจริงๆนะ อิป้า พี่คิงส์จะเตือนสตินะ ที่เมิงส่งสมุนมาข่ม ขู่ว่าจะฟ้องกรรรูอะ ไอ่ที่พวกเมิงทำที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ใส่ความน้องแน๊กว่าเปื่อยจิต ต่างกรรม ต่างวาระ แต่ละตัวให้อีก 100 ปี เมิงจะได้ออกจากซังเตมั๊ย ไม่รู้เงาหัวตัวเองเลย หลักฐานชัดเจน เชิงประจักษ์เลยหละเมิง พยานก็มี หลักฐานก็มี ถ้าเมิงไม่หยุด ไม่เลิกกันนะ ระวัง ชาลีหมดความอดทน เงาหัวสุมหัวปลิงทีมจะไม่เหลือซักตัว ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2072 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอเชิญเหล่า FC ทั้งหลาย มาร่วมในงานมงคลสมรสของพี่ปูค่าาาา……!!!!

    ตอนสาม เริ่มชีวิตครอบครัว เพื่อเดินออกสู่โลกกว้าง ไปตามหาความฝัน………!!!

    เริ่มอารัมภบท คือ……ไม่ต้องกระจองอแงกันนะ เพราะคราวนี้จะต้องเล่าละเอียดในเนื้อหาของการสละโสดหน่อย เพราะทุกบททุกตอนในดีเทล คือ ความเป็นตัวตนของปูตินในวันนี้….

    หลังจากการที่ล้มเลิกการแต่งงานในคราวนั้น ปูตินยังทำตัวเหมือนเดิม ยังอยู่กับพ่อแม่ที่ยังเห็นเขาเป็นลูกแหง่ จนตัวเขาเองก็คิดว่า อาจจะอยู่เป็นโสดไปจนตาย…
    แต่ในเดือน มีนาคม 1980 ที่เขาได้รู้จักสาวอีกนางหนึ่ง นามว่า
    Ludmila Shkrebneva แอร์โฮสเตสสาวของสายการบินแห่งชาติ Aeroflot ที่ต้องประจำอยู่ที่ Kaliningrad (พื้นที่เก่าของของปรัสเซีย ที่โซเวียตยึดไว้หลังจากที่ชนะสงครามกับนาซี
    ลุดมิลา สาวงามวัย 22 ที่เผอิญ Galina เพื่อนสาวของเธอที่เป็นแอร์ด้วยกัน เป็นแฟนของ Andrei เพื่อนของปูติน
    ทีนี้ สองสาว ได้มาที่เลนินกราด เพื่อที่จะเข้าชมละคร Andrei จึงชวนปูตินไปด้วย จะได้ครบคู่ไม่เขิน

    เมื่อพบกันครั้งแรก ลุดมิลาไม่ได้สนใจในตัวของปูตินเลย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ เหมือนไม่ค่อยมีสังคม เธอเคยเล่าว่า
    ผู้ชายแบบนี้ถ้าไปเจอตามถนน…ก็จะมองผ่านทะลุไปเลยเชียว
    ในระหว่างพักครึ่งของการแสดง ลุดมิลาได้ถามเขาถึงการแสดงดนตรีในคืนต่อไป ว่า เขามีทางที่จะหาบัตรชมมาให้ได้หรือไม่?
    ปูตินรับปาก และหามาให้ได้จริงๆ และทั้งสี่คนได้ไปร่วมทีมกันอีกในคืนต่อมา……
    ก่อนจากกัน……ปูตินได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้กับลุดมิลา
    ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของอังเดร

    ส่งสองสาวเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้าน อังเดร ได้ถามขึ้นว่า “นึกยังไงถึงเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ล่ะ ปรกตินายไม่เคยให้เบอร์ใครนี่..?”

    แต่ก็ได้ผล เพราะเมื่อลุดมิลาบินกลับไปแล้ว เธอโทรหาเขา……
    และได้บินมาที่เลนินกราดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม คราวนี้ทั้งคู่เริ่มออกเดทกันเป็นเรื่องเป็นราว
    ลุดมิลาเริ่มคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่ในเลนินกราด เพื่ออยู่ใกล้กับคนรัก……
    ปูตินขอข้อแลกเปลี่ยน……นั่นคือ ขอให้เธอกลับไปเรียนหนังสือ
    เนื่องจากเธอได้พักการเรียนไว้ครึ่งๆกลางๆเพื่อที่จะไปทำงานกับสายการบิน เขาต้องการให้เธอกลับไปสานต่อ
    ซึ่งลุดมิลาได้ทำตามความประสงค์ของคนรัก เธอไปลงเรียนในวิชาปรัชญาที่สถาบันเดียวกันกับปูติน Leningrad State University …

    ความสัมพันธ์เป็นไปเหมือนกับคู่รักอื่นๆ มีการทะเลาะกัน
    ที่หนักสุด คือ ลุดมิลาบินกลับไปที่คาลินินกราด
    แต่ปูตินตามไปง้องอน จนกลับมาดังเดิม
    ปูตินทำตัวเป็นผู้นำในทุกเรื่อง เขาขี้หึง เขาสั่ง สั่ง และสั่ง
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาชนะใจลุดมิลาเพราะความที่เขาเป็นคนโรแมนติก ไม่ขี้เหนียว พาเธอไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป เช่นไปเล่นสกี ไปเที่ยวชนบท แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ เช่น
    ลุดมิลาต้องไปเรียนพิมพ์ดีด

    เขาพาเธอไปพบกับมาเรีย ผู้มารดา แต่เหมือนเคมีจะไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจาก มาเรียยังปักใจชอบลุดมิลาแฟนเก่าของปูติน เพราะเธออ่อนหวาน เรียบร้อย
    มาเรียรีบเล่าให้ลุดมิลาฟังถึงเรื่องปูตินเคยมีแฟนที่มีชื่อลุดมิลาเหมือนกัน แต่คนนั้นน่ะ……เขาเรียบร้อยยยย !!!

    ลุดมิลาไม่เคยรู้ในเรื่องงานที่แท้จริงของปูติน เพราะเท่าที่เธอทราบเหมือนคนอื่นๆ คือ เป็นการทำงานกับหน่วยมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม ที่อยู่ในสายงานของกลาโหม (สายลับส่วนใหญ่จะใช้แบบนี้)
    หลายครั้งที่เธอถามเขาเรื่องงาน เขามักตอบติดตลกว่า
    เช้าไปตกปลา……บ่ายกินปลา…
    เมื่อถึงปี 1981 ที่เป็นแฟนกันมาร่วมปีครึ่ง เธอถึงได้ทราบว่า
    เขาคือ KGB ที่ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเขาขึ้นมาอีกอักโข
    และพลอยเข้าใจในความเป็นเผด็จการของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง

    ในที่สุด เดือนเมษายน 1983 วันสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงก็ได้มาถึง ที่ปูตินได้เริ่มต้นด้วยประโยคว่า
    “นี่ก็สามปีครึ่งที่เราคบหากัน……คุณตัดสินใจได้หรือยัง…?”
    “ได้แล้วค่ะ คือ ตกลงค่ะ”
    “ดีเลย……ผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันนะ”
    พิธีสมรสได้จัดขึ้นในสามเดือนต่อมา ที่ภัตราคารลอยน้ำใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ในวันที่ 28 กรกฎาคม
    มีเพื่อนๆมาร่วมประมาณยี่สิบคน
    คืนต่อมา……ได้จัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม Moscow

    สามีภรรยาคู่ใหม่ไปดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์ที่ยูเครน เริ่มจากขับรถไปที่
    Kyiv, Moldova, Lviv, western Ukraine, Nikolayev และ Crimea ที่เขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่ Yalta ถึงสิบสองวัน
    ปูตินมีความสุขมาก เพราะ ไครเมียเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินสำหรับเขาเสมอมา
    ขากลับ เขาทั้งสองผ่านเข้าทางมอสโคว์ เพราะปูตินจะต้องแวะไปรายงานตัว
    เขาทั้งสอง ชายวัย 30 หญิง 25 ได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน บนถนน Stachek Lane อย่างมีความสุข

    แต่……Igor Antonov (เพื่อนคนหนึ่งของปูติน) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ว่า เพราะปูตินไม่มีทางเลือกอื่นๆแล้ว นอกจากจะต้องสร้างครอบครัว เพราะหน้าที่การงานกำลังจะถึงทางตัน ถ้าสายลับ KGB ที่จะต้องออกไปรับหน้าที่ในต่างประเทศ หรือเลื่อนตำแหน่ง จะต้องมีวุฒิภาวะตามที่ KGB กำหนด เพราะหลังจากที่ปูตินแต่งงาน เขาได้เลื่อนยศเป็นพันตรี และได้ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมในหน่วยปฏิบัติงานต่างประเทศที่ The Red Banner Institute, Moscow
    ที่เป็นสถาบันที่จัดว่าสำหรับชนชั้นปกครอง ผู้อบรมต้องเป็นรัสเชี่ยนชั้นธรรมดา (ลูกผู้ดีไม่รับ) เท่านั้น ไม่มียิว ไม่มีตาร์ต้าร์ หรือ เชเชน หรือ มองโกล
    ห้ามพิธีทางศาสนาทุกชนิด และ…ไม่มีการใช้เส้นใดๆ
    ปูตินเป็นคนเดียว จากเลนินกราดที่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับการอบรม
    The Red Banner Institute (หรือปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อว่า The Academy of Foreign Intelligence) นี้ ตั้งอยู่ในกลางป่าที่ค่อนข้างลึกลับในชายกรุงมอสโคว์ หลักสูตรมีตั้งแต่ หนึ่งถึงสามปี
    ลุดมิลาได้เริ่มตั้งครรภ์แรก จึงยังอยู่ในเลนินกราด
    ส่วนปูติน ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างในศาสตร์ของการเป็นสายลับ
    ในชื่อใหม่ว่า “Platov” ที่แม้แต่เพื่อนผู้รับการอบรมด้วยคน
    ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของกันและกัน ทุกคนจะได้รับชื่อเฉพาะกิจ

    ปูติน ก้าวเข้าไปในชั้นเรียนวันแรก ด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นสูทสามชิ้น (คือมีเสื้อกั๊กเพิ่มข้างใน)
    เรียกเสียงฮาได้จากครูผู้ฝึก ที่ถามว่า
    “คอมราดพลานอฟ นายจะมาเดินแบบหรือไง…?”
    ผู้ที่ให้อบรมทั้งหมด ต่างล้วนเป็นชั้นกระทิสุดยอดของสายลับ
    ที่มีผลงานที่น่าประทับใจ
    ทุกคนที่จะเดินออกจากสถาบันนี้ คือพร้อมที่จะไปเป็นสายลับข้ามชาติได้ทุกแห่งหนในโลก………!!!

    ในขณะนั้นลุดมิลาได้คลอดทารกเพศหญิง ที่ปูตินตั้งชื่อให้ว่า มาเรีย (ไว้ล่วงหน้า เพราะให้เหมือนกับชื่อย่า) Sergei Roldugin เพื่อนรัก ได้ช่วยรับเป็นภาระดูแลให้ รวมทั้งเป็นพ่อทูนหัวให้กับมาเรีย
    ปูตินจึงขอลากลับไปเลนินกราดเพื่อเยี่ยมเยียนเมียและลูกในช่วงวันหยุด ครั้งหนึ่งในการเดินทาง เขาได้เกิดการชกต่อยกับแก๊งอันธพาลในสถานีรถใต้ดิน
    คราวนี้เรียกว่าลุยกันเละ เพราะปูตินถึงกับแขนหัก อีกฝ่ายหนึ่งแทบเอาชีวิตไม่รอด
    และนี่คือ “ความเสี่ยง” ต่ออนาคตการงานของเขาโดยตรง เพราะหากว่าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างคือจบ…

    แต่โชคยังเป็นของเขา เพราะเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ทันทีที่เสร็จสิ้นจากการอบรม ให้ไปประจำการอยู่ที่เมือง Dresden,
    East Germany
    และนี่คือการเดินทางทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ของ ปูตินในวัย 33 ปี

    ขออธิบายเพิ่มเติมค่ะ ว่า ในหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเอาวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 หลังจากนั้นในฐานะของผู้แพ้สงครามให้กับกองทัพสัมพันธมิตร คือ อเมริกา, อังกฤษและ โซเวียต รัสเซีย (ฝรั่งเศส เขาไม่นับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในการมีส่วนร่วม) ที่ได้ทำการตกลงกันไว้ล่วงหน้าระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศ ที่ Yalta ที่ตกลงกันในการแบ่งสันปันส่วนในแผ่นดินของเยอรมันนี

    ขั้นตอนในการแบ่งได้มาย่อยยิบกันอีกในการประชุมที่ Potsdam Conference ว่าจะเฉือนเยอรมันออกเป็นสี่ส่วน
    แบ่งกันคนละส่วน อังกฤษได้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ,
    ฝรั่งเศส ได้ทางตะวันตกเฉียงใต้, อเมริกา ได้ตะวันออกเฉียงใต้ และโซเวียตไัด้ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่

    ส่วนเบอร์ลินเมืองหลวงก็เช่นกัน ตามที่แบ่งกันนั้น เบอร์ลินตกอยู่ในส่วนของโซเวียต และเพื่อความเป็นธรรมจึง แบ่งออกมาเป็นสี่ส่วน แบ่งกันไปคนละส่วน แต่สภาพของเหมือนกับเบอร์ลินเป็นไข่แดง ที่อยู่กลางโซเวียตที่เป็นไข่ขาว
    ส่วนที่เป็นของโซเวียต คือ เบอร์ลินตะวันออกก็จะมีกำแพงกั้นอาณาเขต ที่เราเรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน ……

    ดังนั้น โซเวียตจึงมีหน่วยงานด้านความปลอดภัยอยู่ประจำในเขตต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็มีการเตรียมตัวที่ดี
    เพราะเขาได้ทำการปั้นเด็กๆรุ่นที่เกิดหลังสงคราม ให้เติบโตขึ้นมาอย่างพร้อมรับมือ เช่นการให้เรียนภาษาต่างๆ
    ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้เข้าขั้นระดับการทูต เพราะเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม
    เด็กอื่นๆที่มีแวว ก็ต้องเรียนภาษาอื่นๆอย่างเอาจริงเอาจัง
    เรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมากในครอบครัวของชาวโซเวียต
    เพราะผู้ปกครองเด็กที่แท้จริง คือ รัฐบาล…

    เช่นปูตินได้ผลักดันให้ลุดมิลากลับไปเรียนจนจบ และ เรียนสารพัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้เตรียมตัวมาเป็น หลังบ้านของข้าราชการ, นักการเมือง หรือ ผู้นำได้อย่างสมศักดิ์ศรี
    เพราะปูติน……ไม่ได้มีความหวังว่าจะหยุดอนาคตไว้ที่การเป็นสายลับเท่านั้น…

    อาจมีอธิบายนอกเรื่องเยอะหน่อยนะคะ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้อ่านอีกมากที่ไม่ใช่ baby boomer อย่างผู้เขียน เก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่าาาา ……

    Wiwanda W. Vichit
    ขอเชิญเหล่า FC ทั้งหลาย มาร่วมในงานมงคลสมรสของพี่ปูค่าาาา……!!!! ตอนสาม เริ่มชีวิตครอบครัว เพื่อเดินออกสู่โลกกว้าง ไปตามหาความฝัน………!!! เริ่มอารัมภบท คือ……ไม่ต้องกระจองอแงกันนะ เพราะคราวนี้จะต้องเล่าละเอียดในเนื้อหาของการสละโสดหน่อย เพราะทุกบททุกตอนในดีเทล คือ ความเป็นตัวตนของปูตินในวันนี้…. หลังจากการที่ล้มเลิกการแต่งงานในคราวนั้น ปูตินยังทำตัวเหมือนเดิม ยังอยู่กับพ่อแม่ที่ยังเห็นเขาเป็นลูกแหง่ จนตัวเขาเองก็คิดว่า อาจจะอยู่เป็นโสดไปจนตาย… แต่ในเดือน มีนาคม 1980 ที่เขาได้รู้จักสาวอีกนางหนึ่ง นามว่า Ludmila Shkrebneva แอร์โฮสเตสสาวของสายการบินแห่งชาติ Aeroflot ที่ต้องประจำอยู่ที่ Kaliningrad (พื้นที่เก่าของของปรัสเซีย ที่โซเวียตยึดไว้หลังจากที่ชนะสงครามกับนาซี ลุดมิลา สาวงามวัย 22 ที่เผอิญ Galina เพื่อนสาวของเธอที่เป็นแอร์ด้วยกัน เป็นแฟนของ Andrei เพื่อนของปูติน ทีนี้ สองสาว ได้มาที่เลนินกราด เพื่อที่จะเข้าชมละคร Andrei จึงชวนปูตินไปด้วย จะได้ครบคู่ไม่เขิน เมื่อพบกันครั้งแรก ลุดมิลาไม่ได้สนใจในตัวของปูตินเลย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ เหมือนไม่ค่อยมีสังคม เธอเคยเล่าว่า ผู้ชายแบบนี้ถ้าไปเจอตามถนน…ก็จะมองผ่านทะลุไปเลยเชียว ในระหว่างพักครึ่งของการแสดง ลุดมิลาได้ถามเขาถึงการแสดงดนตรีในคืนต่อไป ว่า เขามีทางที่จะหาบัตรชมมาให้ได้หรือไม่? ปูตินรับปาก และหามาให้ได้จริงๆ และทั้งสี่คนได้ไปร่วมทีมกันอีกในคืนต่อมา…… ก่อนจากกัน……ปูตินได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้กับลุดมิลา ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของอังเดร ส่งสองสาวเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้าน อังเดร ได้ถามขึ้นว่า “นึกยังไงถึงเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ล่ะ ปรกตินายไม่เคยให้เบอร์ใครนี่..?” แต่ก็ได้ผล เพราะเมื่อลุดมิลาบินกลับไปแล้ว เธอโทรหาเขา…… และได้บินมาที่เลนินกราดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม คราวนี้ทั้งคู่เริ่มออกเดทกันเป็นเรื่องเป็นราว ลุดมิลาเริ่มคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่ในเลนินกราด เพื่ออยู่ใกล้กับคนรัก…… ปูตินขอข้อแลกเปลี่ยน……นั่นคือ ขอให้เธอกลับไปเรียนหนังสือ เนื่องจากเธอได้พักการเรียนไว้ครึ่งๆกลางๆเพื่อที่จะไปทำงานกับสายการบิน เขาต้องการให้เธอกลับไปสานต่อ ซึ่งลุดมิลาได้ทำตามความประสงค์ของคนรัก เธอไปลงเรียนในวิชาปรัชญาที่สถาบันเดียวกันกับปูติน Leningrad State University … ความสัมพันธ์เป็นไปเหมือนกับคู่รักอื่นๆ มีการทะเลาะกัน ที่หนักสุด คือ ลุดมิลาบินกลับไปที่คาลินินกราด แต่ปูตินตามไปง้องอน จนกลับมาดังเดิม ปูตินทำตัวเป็นผู้นำในทุกเรื่อง เขาขี้หึง เขาสั่ง สั่ง และสั่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาชนะใจลุดมิลาเพราะความที่เขาเป็นคนโรแมนติก ไม่ขี้เหนียว พาเธอไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป เช่นไปเล่นสกี ไปเที่ยวชนบท แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ เช่น ลุดมิลาต้องไปเรียนพิมพ์ดีด เขาพาเธอไปพบกับมาเรีย ผู้มารดา แต่เหมือนเคมีจะไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจาก มาเรียยังปักใจชอบลุดมิลาแฟนเก่าของปูติน เพราะเธออ่อนหวาน เรียบร้อย มาเรียรีบเล่าให้ลุดมิลาฟังถึงเรื่องปูตินเคยมีแฟนที่มีชื่อลุดมิลาเหมือนกัน แต่คนนั้นน่ะ……เขาเรียบร้อยยยย !!! ลุดมิลาไม่เคยรู้ในเรื่องงานที่แท้จริงของปูติน เพราะเท่าที่เธอทราบเหมือนคนอื่นๆ คือ เป็นการทำงานกับหน่วยมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม ที่อยู่ในสายงานของกลาโหม (สายลับส่วนใหญ่จะใช้แบบนี้) หลายครั้งที่เธอถามเขาเรื่องงาน เขามักตอบติดตลกว่า เช้าไปตกปลา……บ่ายกินปลา… เมื่อถึงปี 1981 ที่เป็นแฟนกันมาร่วมปีครึ่ง เธอถึงได้ทราบว่า เขาคือ KGB ที่ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเขาขึ้นมาอีกอักโข และพลอยเข้าใจในความเป็นเผด็จการของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ในที่สุด เดือนเมษายน 1983 วันสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงก็ได้มาถึง ที่ปูตินได้เริ่มต้นด้วยประโยคว่า “นี่ก็สามปีครึ่งที่เราคบหากัน……คุณตัดสินใจได้หรือยัง…?” “ได้แล้วค่ะ คือ ตกลงค่ะ” “ดีเลย……ผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันนะ” พิธีสมรสได้จัดขึ้นในสามเดือนต่อมา ที่ภัตราคารลอยน้ำใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ในวันที่ 28 กรกฎาคม มีเพื่อนๆมาร่วมประมาณยี่สิบคน คืนต่อมา……ได้จัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม Moscow สามีภรรยาคู่ใหม่ไปดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์ที่ยูเครน เริ่มจากขับรถไปที่ Kyiv, Moldova, Lviv, western Ukraine, Nikolayev และ Crimea ที่เขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่ Yalta ถึงสิบสองวัน ปูตินมีความสุขมาก เพราะ ไครเมียเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินสำหรับเขาเสมอมา ขากลับ เขาทั้งสองผ่านเข้าทางมอสโคว์ เพราะปูตินจะต้องแวะไปรายงานตัว เขาทั้งสอง ชายวัย 30 หญิง 25 ได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน บนถนน Stachek Lane อย่างมีความสุข แต่……Igor Antonov (เพื่อนคนหนึ่งของปูติน) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ว่า เพราะปูตินไม่มีทางเลือกอื่นๆแล้ว นอกจากจะต้องสร้างครอบครัว เพราะหน้าที่การงานกำลังจะถึงทางตัน ถ้าสายลับ KGB ที่จะต้องออกไปรับหน้าที่ในต่างประเทศ หรือเลื่อนตำแหน่ง จะต้องมีวุฒิภาวะตามที่ KGB กำหนด เพราะหลังจากที่ปูตินแต่งงาน เขาได้เลื่อนยศเป็นพันตรี และได้ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมในหน่วยปฏิบัติงานต่างประเทศที่ The Red Banner Institute, Moscow ที่เป็นสถาบันที่จัดว่าสำหรับชนชั้นปกครอง ผู้อบรมต้องเป็นรัสเชี่ยนชั้นธรรมดา (ลูกผู้ดีไม่รับ) เท่านั้น ไม่มียิว ไม่มีตาร์ต้าร์ หรือ เชเชน หรือ มองโกล ห้ามพิธีทางศาสนาทุกชนิด และ…ไม่มีการใช้เส้นใดๆ ปูตินเป็นคนเดียว จากเลนินกราดที่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับการอบรม The Red Banner Institute (หรือปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อว่า The Academy of Foreign Intelligence) นี้ ตั้งอยู่ในกลางป่าที่ค่อนข้างลึกลับในชายกรุงมอสโคว์ หลักสูตรมีตั้งแต่ หนึ่งถึงสามปี ลุดมิลาได้เริ่มตั้งครรภ์แรก จึงยังอยู่ในเลนินกราด ส่วนปูติน ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างในศาสตร์ของการเป็นสายลับ ในชื่อใหม่ว่า “Platov” ที่แม้แต่เพื่อนผู้รับการอบรมด้วยคน ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของกันและกัน ทุกคนจะได้รับชื่อเฉพาะกิจ ปูติน ก้าวเข้าไปในชั้นเรียนวันแรก ด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นสูทสามชิ้น (คือมีเสื้อกั๊กเพิ่มข้างใน) เรียกเสียงฮาได้จากครูผู้ฝึก ที่ถามว่า “คอมราดพลานอฟ นายจะมาเดินแบบหรือไง…?” ผู้ที่ให้อบรมทั้งหมด ต่างล้วนเป็นชั้นกระทิสุดยอดของสายลับ ที่มีผลงานที่น่าประทับใจ ทุกคนที่จะเดินออกจากสถาบันนี้ คือพร้อมที่จะไปเป็นสายลับข้ามชาติได้ทุกแห่งหนในโลก………!!! ในขณะนั้นลุดมิลาได้คลอดทารกเพศหญิง ที่ปูตินตั้งชื่อให้ว่า มาเรีย (ไว้ล่วงหน้า เพราะให้เหมือนกับชื่อย่า) Sergei Roldugin เพื่อนรัก ได้ช่วยรับเป็นภาระดูแลให้ รวมทั้งเป็นพ่อทูนหัวให้กับมาเรีย ปูตินจึงขอลากลับไปเลนินกราดเพื่อเยี่ยมเยียนเมียและลูกในช่วงวันหยุด ครั้งหนึ่งในการเดินทาง เขาได้เกิดการชกต่อยกับแก๊งอันธพาลในสถานีรถใต้ดิน คราวนี้เรียกว่าลุยกันเละ เพราะปูตินถึงกับแขนหัก อีกฝ่ายหนึ่งแทบเอาชีวิตไม่รอด และนี่คือ “ความเสี่ยง” ต่ออนาคตการงานของเขาโดยตรง เพราะหากว่าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างคือจบ… แต่โชคยังเป็นของเขา เพราะเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ทันทีที่เสร็จสิ้นจากการอบรม ให้ไปประจำการอยู่ที่เมือง Dresden, East Germany และนี่คือการเดินทางทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ของ ปูตินในวัย 33 ปี ขออธิบายเพิ่มเติมค่ะ ว่า ในหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเอาวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 หลังจากนั้นในฐานะของผู้แพ้สงครามให้กับกองทัพสัมพันธมิตร คือ อเมริกา, อังกฤษและ โซเวียต รัสเซีย (ฝรั่งเศส เขาไม่นับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในการมีส่วนร่วม) ที่ได้ทำการตกลงกันไว้ล่วงหน้าระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศ ที่ Yalta ที่ตกลงกันในการแบ่งสันปันส่วนในแผ่นดินของเยอรมันนี ขั้นตอนในการแบ่งได้มาย่อยยิบกันอีกในการประชุมที่ Potsdam Conference ว่าจะเฉือนเยอรมันออกเป็นสี่ส่วน แบ่งกันคนละส่วน อังกฤษได้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ, ฝรั่งเศส ได้ทางตะวันตกเฉียงใต้, อเมริกา ได้ตะวันออกเฉียงใต้ และโซเวียตไัด้ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเบอร์ลินเมืองหลวงก็เช่นกัน ตามที่แบ่งกันนั้น เบอร์ลินตกอยู่ในส่วนของโซเวียต และเพื่อความเป็นธรรมจึง แบ่งออกมาเป็นสี่ส่วน แบ่งกันไปคนละส่วน แต่สภาพของเหมือนกับเบอร์ลินเป็นไข่แดง ที่อยู่กลางโซเวียตที่เป็นไข่ขาว ส่วนที่เป็นของโซเวียต คือ เบอร์ลินตะวันออกก็จะมีกำแพงกั้นอาณาเขต ที่เราเรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน …… ดังนั้น โซเวียตจึงมีหน่วยงานด้านความปลอดภัยอยู่ประจำในเขตต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็มีการเตรียมตัวที่ดี เพราะเขาได้ทำการปั้นเด็กๆรุ่นที่เกิดหลังสงคราม ให้เติบโตขึ้นมาอย่างพร้อมรับมือ เช่นการให้เรียนภาษาต่างๆ ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้เข้าขั้นระดับการทูต เพราะเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม เด็กอื่นๆที่มีแวว ก็ต้องเรียนภาษาอื่นๆอย่างเอาจริงเอาจัง เรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมากในครอบครัวของชาวโซเวียต เพราะผู้ปกครองเด็กที่แท้จริง คือ รัฐบาล… เช่นปูตินได้ผลักดันให้ลุดมิลากลับไปเรียนจนจบ และ เรียนสารพัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้เตรียมตัวมาเป็น หลังบ้านของข้าราชการ, นักการเมือง หรือ ผู้นำได้อย่างสมศักดิ์ศรี เพราะปูติน……ไม่ได้มีความหวังว่าจะหยุดอนาคตไว้ที่การเป็นสายลับเท่านั้น… อาจมีอธิบายนอกเรื่องเยอะหน่อยนะคะ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้อ่านอีกมากที่ไม่ใช่ baby boomer อย่างผู้เขียน เก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่าาาา …… Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 619 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหม่ใครเป็นใครไม่เป็น
    ก็ดูเอา
    อิป้านี้ตัวปล่อย หาว่าน้องจิตไม่จาบาย
    มาดูของจริงเอาที่อิป้าโจพูดเองนี่แหละ
    ยอมรับเอง
    คือถ้าป้าไม่จาบายป้าต้องไปรักจ๋า
    ไม่ใช่มาเดินเพ่นพ่านแบบนี้นะ
    เออ นึกถึงเวลาที่ดูหนังตลกอะ
    แบบ คนไข้เอาชุดกราวห-มอ มาใส่
    แล้วมีคนไข้คนอื่นเชื่อ
    คราวนี้พวกทุยที่เป็นสมาชิกกลุ่มคลั่งไคล้กิมจิ๊
    จะรู้ตัวมั๊ยว่าที่ตามๆอยู่เนี่ย ตามคนไขร้ๆๆๆ
    เช็ดดดดด
    อิฉัด
    อ้อ คลิปที่นัดไว้ คลิบลั-บ รอเย็นๆนะ
    พี่คิงส์มีสองมือ แม้ว่าจะมีขาที่สามเหมือน้องแน๊ก
    แต่มันเอามาช่วยงานนี้ไม่ได้
    ตามนั้นคือ ยังไม่จบ มีเรื่องต้องเปิดอีกเยอะ
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    แหม่ใครเป็นใครไม่เป็น ก็ดูเอา อิป้านี้ตัวปล่อย หาว่าน้องจิตไม่จาบาย มาดูของจริงเอาที่อิป้าโจพูดเองนี่แหละ ยอมรับเอง คือถ้าป้าไม่จาบายป้าต้องไปรักจ๋า ไม่ใช่มาเดินเพ่นพ่านแบบนี้นะ เออ นึกถึงเวลาที่ดูหนังตลกอะ แบบ คนไข้เอาชุดกราวห-มอ มาใส่ แล้วมีคนไข้คนอื่นเชื่อ คราวนี้พวกทุยที่เป็นสมาชิกกลุ่มคลั่งไคล้กิมจิ๊ จะรู้ตัวมั๊ยว่าที่ตามๆอยู่เนี่ย ตามคนไขร้ๆๆๆ เช็ดดดดด อิฉัด อ้อ คลิปที่นัดไว้ คลิบลั-บ รอเย็นๆนะ พี่คิงส์มีสองมือ แม้ว่าจะมีขาที่สามเหมือน้องแน๊ก แต่มันเอามาช่วยงานนี้ไม่ได้ ตามนั้นคือ ยังไม่จบ มีเรื่องต้องเปิดอีกเยอะ ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Angry
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 674 มุมมอง 153 0 รีวิว
  • #อรุณสวัสดิ์แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่านคร๊าบบบ
    #ว่าด้วยโพสนี้ของป้าโจววววว
    มีใจความหลักที่ลงไว้คือ
    "ขอเตือนทุกคนตรงนี้นะคะ
    หยุดปั่นกระแสรุมด่าผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาผิดๆได้แล้ว เหมือนสื่อและสังคมกำลังสนุกสนานกับการรุมเหยียบฝ่ายหญิงให้จมธรณี ราวกับฝูงไฮยีน่าฉีกเนื้อเหยื่อ ทั้งที่มันเป็นข้อกล่าวหาผิดๆที่ถูกตีตกไปแล้ว"
    ถูกตีตกอาราย งงงง
    .....................................
    ประเด็นที่หนึ่งงงงง
    การที่ผู้ชายทั้งวงการมารุมเหยียบผู้หญิงที่เคยรักให้มิด เงยหัวขึ้นมาไม่ได้ มันอัปลักษณ์จนเกินไปค่ะ
    #ตอบ ไม่ได้รุมผู้ญ. กำลังเปิดขบวนการกามิจแอนเดอะแก๊vvvvvส์ ที่แต่งสตอรี่ร่วมกับเอเจนซี่กิมจิ สร้างความน่าสงสารเห็นใจ หวังได้ติ๊กเกอร์แล้วแบ่งตังค์กัน ต้มคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก แยกแยะหน่อย อิป้า
    ------------------------
    ประเด็นที่ฉอง
    บทสุดท้ายในคลิปที่พี่โจบอกแบบนั้น เพราะเป็นการคุยจบใหม่ๆ คืนวันที่ 6 กย. พี่โจอยากให้ความทรงจำที่แสนดีปิดฉากลงได้แบบสวยงาม ไม่ทำร้ายใคร จึงเขียนแบบเป็นกลางและเป็นธรรมให้กับทั้งกามินและชาลี
    #ตอบ ถ้าความทรงจำที่แสนดี เน็กจะมานั่งไลฟ์ด้วยความอัดอั้นตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้าหรือ อิป้า ไหนความเป็นธรรม พี่คิงส์เห็นแต่ความลำเอียง แล้วสุดท้าย พวกจิตอ่อนก็พาทัวร์ไปลงแน็ก ตลกมากอิป้า
    ..............................
    ประเด็นที่ฉาม
    แต่ความเป็นจริงที่ตามหลังมา มันโหดร้ายกว่าที่คาดไว้
    และยิ่งมาถึงตอนนี้ยิ่งเล่นกันถึงขั้น #ไร้มนุษยธรรม !
    #ตอบ สิ่งที่กามิจเจอ ก็คือสิ่งที่กามิจทำ แค่มีคนมาเปิดเผยความจริง อิป้ารับไม่ได้ ความจริงยังไง อ่านต่อ
    ----------------------------------
    ประเด็นที่ฉี่
    ปล. 1 ขอเพิ่ม “คนไทยหลอกง่าย” กามินไม่เคยพูดนะคะ เพื่อนของผู้ช่วยฝ่ายชายพูด
    #ตอบ ไม่แปลกใจ ไปถามมิจ มิจคงตอบแหละ "ฉานพูดจริง" ก็ต้องออกตัวแบบนี้ เพราะไม่ได้มีใครอัดเทป บันทึกเสียงเรื่องนี้ไว้
    แต่ๆๆๆๆ
    ป้าโจ ต้องตั้งสติ และทำความเข้าใจกับความจริงที่ป้าหนีไม่ได้แก้ยังไงก็ไม่พ้น
    สิ่งที่กามินพูดในไลฟ์ ตอนยังปากกล้าๆ ได้ถูกแปลออกมาแล้ว
    "ฉันเลิกกับเขาคนนั้นตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม (ไม่เอ่ยชื่อเน็ก) ฉันภูมิใจในตัวเองที่ยืนอยู่บนจุดนี้ได้ เพราะตัวฉันเอง ที่ซื่อสัตย์ และจริงใจ และความสามารถของฉันเอง (ไม่ได้กล่าวถึงเน็กชาลีเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นคนทำให้คนไทยรู้จักเธอ) ฉันพอใจในรายได้จากการ pk ของฉันอยู่แล้ว ตอนอยู่ที่เกาหลี ฉันยอมเสี่ยง อุตส่าห์มาเมืองไทยเพื่อเรียนรุ้จักชาลี
    ตอนนี้เดินออกมาแล้วรู้สึกโล่งขึ้นเยอะ
    ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันดังและมีชื่อเสียงด้วยตัวฉันเอง ฉันเป็นอินฟูลที่มีความสุข มีรายได้ที่ดีอยู่ที่เกาหลี และที่ไปประเทศไทย ก็ไม่ได้อยากไป แต่เพราะชาลีชวนไป ก็ไป และก็ไม่ต้องมาอิจฉาฉันที่ฉันดังและมีชื่อเสียง อยากดังก็ไปทำช่องเองสิ แบบฉันเนี่ยดังได้โดยไม่ต้องได้รับการซัพพอตจากใคร แล้วถ้าใครดูฉันแล้วไม่ชอบ ก็อันฟอลไปได้เลย ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร"
    คนเกาหลีแท้ๆแปลเองเลย โดยไม่ได้ผ่านการดัดแปลงของทีมป้าด้วยการแปลภาษาหลงทิศหลงทาง
    เอาแค่นี้ ที่ป้าแถถถไม่ได้ ลบความจริงไม่ได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนไทยตาสว่าง
    แม้ป้าและทีมงานเอเจนซี่พยายามมาแก้เกมส์ทีหลัง ให้อิเหวิงให้สัมภาษณ์สื่อมาอวยชาลีรัวๆ แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวที่อิเหวิงกาฝากมันพูดด้วยตัวของมันเอง
    ข้อที่สองที่แถถถไม่ได้คือ
    กามินมีเอเจนซี่จริง ตั้งแต่สร้างสตอรี่กินมาม่า ไลฟ์ทั้งวันทั้งคืน เรียกร้องความเห็นใจ กามินบอกเองว่ามีรายได้เดือนละเจ็ดแปดหมื่นไม่ได้ลำบาก แล้วป้าว่าข้อมูลไม่จริงตรงไหน
    ----------------------------------------
    ประเด็นที่ (เท่าไหรแล้วไม่ได้นับ)
    ปล. 2 ขอเตือนคุณสนธิ ลิ้ม อย่าเล่นประเด็นเหยียบย่ำผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ จากข้อมูลที่ได้รับมาแบบเอียงข้างเลยค่ะ
    เช็คข้อเท็จจริงดีๆก่อนค่ะ อย่าสร้างเวรสร้างกรรมให้กับ “เหยื่อ” เลย
    #ตอบ เมิงไปเตือนอะไรเค้า อย่าทาลึ่งเล่นข้ามรุ่น เค้าผู้ใหญ่แล้วข้อมูลเค้าแน่น ต่อสู้เพื่อความถูกต้องตั้งแต่ป้ายังเล่นปั่นแปะอยู่เลย เรื่องข้อมูลแค่นี้ป้าก็ยังแยกไม่ออกเลย ใครโดนกระทำใครถูกกระทำ หลงจนไม่ลืมหูลืมตา ข้อมูลที่ว่าเอียงข้าง
    1. คลิปที่กามิจออกมาพูดเอง ว่าตัวเองดังเองไม่ต้องมีใครซัพพอต
    หรือ
    2. พฤติกรรมของกามิจที่มีพยานรู้เห็นกันทั่วทั้งเรื่องขอส่วนแบ่งสติ๊กเกอร์ ทั้งเรื่องขอเข้าซีนไลฟ์ชาลี ก็เพื่อติ๊กเกอร์
    3. หรือคลิปที่ถ่ายเต้นแร้งเต้นกา หรือ อ่านบทภาษาไทย ทำท่าแสดงร้องไห้ไปหัวเราะไป
    เรื่องไหนฟร๊ะที่ไม่จริง อิป้า
    อ่านปากให้ดีนะ
    ทุกอย่างที่ทำให้คนไทยชัง มาจากตัวกามิจเอง อย่าโทษใคร
    -----------------------------------------
    ประเด็นสุดท้ายอันนี้ชอบ
    ปล. ใครจะมาท้าชนกับเจ้เรื่องนี้แม่ไขว้แหลก เตรียมทำใจไว้ด้วย
    #ตอบ ป้าโจ ยังไม่รู้จักเพจคิงส์โพธิ์แดงดีพอ
    มาลองกันซักตั้ง
    อยากรู้ว่าป้าจะมีฤทธิ์เดชแค่ไหน เอาทัวร์ไปลงแน๊กรัวๆ หงายการ์ดความเป็นหญิงถูกรุงแก
    เริ่มสงสัยแล้วหละ ว่าที่ป้าทำ ป้าทำด้วยรักกามิจ
    หรือป้าและทีมงาน มีเอี่ยวกับผลประโยชน์เอเจนซี่กิมจิรึเปล่าน้าาาาา
    ออกตัวแร๊งๆ แน๊กคนถูกกกระทำชัดๆ ไหงเอาเวลามาช่วยอิเหวิง
    และปกป้องการเปิดความจริงที่กิมจิต้มคนไทย สรุปยังไง
    อิป้า เอาความจริง
    อิเหวิงน่าฉงฉานตรงไหน มันยังเต้นเย้ยหนุกหนาน พร้อมหอบตังกลับบ้านเป็นหลายสิบล้าน
    ในขณะที่ชาลี ต้องรับผิดชอบทั้งสิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน และอดีตมากี่สิบล้านเพราะรักกามิน วงในจริงทำไมไม่รู้ห่านอะไรเลย แล้วชาลียังต้องมานั่งปวดหัวกับพวกด้อมที่ป้าสร้างเอาทั่วร์ไปลงอีกนี่สิ สำนึกหน่อย ต้องยืนข้างใคร
    มนุษป้าชื่อโจ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อรุณสวัสดิ์แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่านคร๊าบบบ #ว่าด้วยโพสนี้ของป้าโจววววว มีใจความหลักที่ลงไว้คือ "ขอเตือนทุกคนตรงนี้นะคะ หยุดปั่นกระแสรุมด่าผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาผิดๆได้แล้ว เหมือนสื่อและสังคมกำลังสนุกสนานกับการรุมเหยียบฝ่ายหญิงให้จมธรณี ราวกับฝูงไฮยีน่าฉีกเนื้อเหยื่อ ทั้งที่มันเป็นข้อกล่าวหาผิดๆที่ถูกตีตกไปแล้ว" ถูกตีตกอาราย งงงง ..................................... ประเด็นที่หนึ่งงงงง การที่ผู้ชายทั้งวงการมารุมเหยียบผู้หญิงที่เคยรักให้มิด เงยหัวขึ้นมาไม่ได้ มันอัปลักษณ์จนเกินไปค่ะ #ตอบ ไม่ได้รุมผู้ญ. กำลังเปิดขบวนการกามิจแอนเดอะแก๊vvvvvส์ ที่แต่งสตอรี่ร่วมกับเอเจนซี่กิมจิ สร้างความน่าสงสารเห็นใจ หวังได้ติ๊กเกอร์แล้วแบ่งตังค์กัน ต้มคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก แยกแยะหน่อย อิป้า ------------------------ ประเด็นที่ฉอง บทสุดท้ายในคลิปที่พี่โจบอกแบบนั้น เพราะเป็นการคุยจบใหม่ๆ คืนวันที่ 6 กย. พี่โจอยากให้ความทรงจำที่แสนดีปิดฉากลงได้แบบสวยงาม ไม่ทำร้ายใคร จึงเขียนแบบเป็นกลางและเป็นธรรมให้กับทั้งกามินและชาลี #ตอบ ถ้าความทรงจำที่แสนดี เน็กจะมานั่งไลฟ์ด้วยความอัดอั้นตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้าหรือ อิป้า ไหนความเป็นธรรม พี่คิงส์เห็นแต่ความลำเอียง แล้วสุดท้าย พวกจิตอ่อนก็พาทัวร์ไปลงแน็ก ตลกมากอิป้า .............................. ประเด็นที่ฉาม แต่ความเป็นจริงที่ตามหลังมา มันโหดร้ายกว่าที่คาดไว้ และยิ่งมาถึงตอนนี้ยิ่งเล่นกันถึงขั้น #ไร้มนุษยธรรม ! #ตอบ สิ่งที่กามิจเจอ ก็คือสิ่งที่กามิจทำ แค่มีคนมาเปิดเผยความจริง อิป้ารับไม่ได้ ความจริงยังไง อ่านต่อ ---------------------------------- ประเด็นที่ฉี่ ปล. 1 ขอเพิ่ม “คนไทยหลอกง่าย” กามินไม่เคยพูดนะคะ เพื่อนของผู้ช่วยฝ่ายชายพูด #ตอบ ไม่แปลกใจ ไปถามมิจ มิจคงตอบแหละ "ฉานพูดจริง" ก็ต้องออกตัวแบบนี้ เพราะไม่ได้มีใครอัดเทป บันทึกเสียงเรื่องนี้ไว้ แต่ๆๆๆๆ ป้าโจ ต้องตั้งสติ และทำความเข้าใจกับความจริงที่ป้าหนีไม่ได้แก้ยังไงก็ไม่พ้น สิ่งที่กามินพูดในไลฟ์ ตอนยังปากกล้าๆ ได้ถูกแปลออกมาแล้ว "ฉันเลิกกับเขาคนนั้นตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม (ไม่เอ่ยชื่อเน็ก) ฉันภูมิใจในตัวเองที่ยืนอยู่บนจุดนี้ได้ เพราะตัวฉันเอง ที่ซื่อสัตย์ และจริงใจ และความสามารถของฉันเอง (ไม่ได้กล่าวถึงเน็กชาลีเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นคนทำให้คนไทยรู้จักเธอ) ฉันพอใจในรายได้จากการ pk ของฉันอยู่แล้ว ตอนอยู่ที่เกาหลี ฉันยอมเสี่ยง อุตส่าห์มาเมืองไทยเพื่อเรียนรุ้จักชาลี ตอนนี้เดินออกมาแล้วรู้สึกโล่งขึ้นเยอะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันดังและมีชื่อเสียงด้วยตัวฉันเอง ฉันเป็นอินฟูลที่มีความสุข มีรายได้ที่ดีอยู่ที่เกาหลี และที่ไปประเทศไทย ก็ไม่ได้อยากไป แต่เพราะชาลีชวนไป ก็ไป และก็ไม่ต้องมาอิจฉาฉันที่ฉันดังและมีชื่อเสียง อยากดังก็ไปทำช่องเองสิ แบบฉันเนี่ยดังได้โดยไม่ต้องได้รับการซัพพอตจากใคร แล้วถ้าใครดูฉันแล้วไม่ชอบ ก็อันฟอลไปได้เลย ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร" คนเกาหลีแท้ๆแปลเองเลย โดยไม่ได้ผ่านการดัดแปลงของทีมป้าด้วยการแปลภาษาหลงทิศหลงทาง เอาแค่นี้ ที่ป้าแถถถไม่ได้ ลบความจริงไม่ได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนไทยตาสว่าง แม้ป้าและทีมงานเอเจนซี่พยายามมาแก้เกมส์ทีหลัง ให้อิเหวิงให้สัมภาษณ์สื่อมาอวยชาลีรัวๆ แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวที่อิเหวิงกาฝากมันพูดด้วยตัวของมันเอง ข้อที่สองที่แถถถไม่ได้คือ กามินมีเอเจนซี่จริง ตั้งแต่สร้างสตอรี่กินมาม่า ไลฟ์ทั้งวันทั้งคืน เรียกร้องความเห็นใจ กามินบอกเองว่ามีรายได้เดือนละเจ็ดแปดหมื่นไม่ได้ลำบาก แล้วป้าว่าข้อมูลไม่จริงตรงไหน ---------------------------------------- ประเด็นที่ (เท่าไหรแล้วไม่ได้นับ) ปล. 2 ขอเตือนคุณสนธิ ลิ้ม อย่าเล่นประเด็นเหยียบย่ำผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ จากข้อมูลที่ได้รับมาแบบเอียงข้างเลยค่ะ เช็คข้อเท็จจริงดีๆก่อนค่ะ อย่าสร้างเวรสร้างกรรมให้กับ “เหยื่อ” เลย #ตอบ เมิงไปเตือนอะไรเค้า อย่าทาลึ่งเล่นข้ามรุ่น เค้าผู้ใหญ่แล้วข้อมูลเค้าแน่น ต่อสู้เพื่อความถูกต้องตั้งแต่ป้ายังเล่นปั่นแปะอยู่เลย เรื่องข้อมูลแค่นี้ป้าก็ยังแยกไม่ออกเลย ใครโดนกระทำใครถูกกระทำ หลงจนไม่ลืมหูลืมตา ข้อมูลที่ว่าเอียงข้าง 1. คลิปที่กามิจออกมาพูดเอง ว่าตัวเองดังเองไม่ต้องมีใครซัพพอต หรือ 2. พฤติกรรมของกามิจที่มีพยานรู้เห็นกันทั่วทั้งเรื่องขอส่วนแบ่งสติ๊กเกอร์ ทั้งเรื่องขอเข้าซีนไลฟ์ชาลี ก็เพื่อติ๊กเกอร์ 3. หรือคลิปที่ถ่ายเต้นแร้งเต้นกา หรือ อ่านบทภาษาไทย ทำท่าแสดงร้องไห้ไปหัวเราะไป เรื่องไหนฟร๊ะที่ไม่จริง อิป้า อ่านปากให้ดีนะ ทุกอย่างที่ทำให้คนไทยชัง มาจากตัวกามิจเอง อย่าโทษใคร ----------------------------------------- ประเด็นสุดท้ายอันนี้ชอบ ปล. ใครจะมาท้าชนกับเจ้เรื่องนี้แม่ไขว้แหลก เตรียมทำใจไว้ด้วย #ตอบ ป้าโจ ยังไม่รู้จักเพจคิงส์โพธิ์แดงดีพอ มาลองกันซักตั้ง อยากรู้ว่าป้าจะมีฤทธิ์เดชแค่ไหน เอาทัวร์ไปลงแน๊กรัวๆ หงายการ์ดความเป็นหญิงถูกรุงแก เริ่มสงสัยแล้วหละ ว่าที่ป้าทำ ป้าทำด้วยรักกามิจ หรือป้าและทีมงาน มีเอี่ยวกับผลประโยชน์เอเจนซี่กิมจิรึเปล่าน้าาาาา ออกตัวแร๊งๆ แน๊กคนถูกกกระทำชัดๆ ไหงเอาเวลามาช่วยอิเหวิง และปกป้องการเปิดความจริงที่กิมจิต้มคนไทย สรุปยังไง อิป้า เอาความจริง อิเหวิงน่าฉงฉานตรงไหน มันยังเต้นเย้ยหนุกหนาน พร้อมหอบตังกลับบ้านเป็นหลายสิบล้าน ในขณะที่ชาลี ต้องรับผิดชอบทั้งสิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน และอดีตมากี่สิบล้านเพราะรักกามิน วงในจริงทำไมไม่รู้ห่านอะไรเลย แล้วชาลียังต้องมานั่งปวดหัวกับพวกด้อมที่ป้าสร้างเอาทั่วร์ไปลงอีกนี่สิ สำนึกหน่อย ต้องยืนข้างใคร มนุษป้าชื่อโจ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2880 มุมมอง 0 รีวิว
  • เออทุยนางนี้ก็ถามไม่คิด
    ถ้ารู้ว่าเป็นขรี้แล้วเค้าจะเอามากินมั๊ยล่ะ
    บอกเฉลยให้ว่าเป็นขรี้
    ทุยก็ถามว่าแล้วทำไมตอนแรกเอามา ทำไมอยากได้
    ก็แล้วจะรู้มั๊ยล่ะว่าเป็นแค่การแสดงว่าตัวเองเป็นข้าว
    พิมพ์ไปก็ตลกตัวพี่คิงส์เอง
    อธิบายเรื่องมนุษย์ให้ทุยอ่าน
    แล้วมันจะเข้าใจได้ยังไงฟร๊ะ
    ฝากบอกเน็ก ไม่ต้องไปอธิบายเยอะ
    มันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ทุยคือทุย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เออทุยนางนี้ก็ถามไม่คิด ถ้ารู้ว่าเป็นขรี้แล้วเค้าจะเอามากินมั๊ยล่ะ บอกเฉลยให้ว่าเป็นขรี้ ทุยก็ถามว่าแล้วทำไมตอนแรกเอามา ทำไมอยากได้ ก็แล้วจะรู้มั๊ยล่ะว่าเป็นแค่การแสดงว่าตัวเองเป็นข้าว พิมพ์ไปก็ตลกตัวพี่คิงส์เอง อธิบายเรื่องมนุษย์ให้ทุยอ่าน แล้วมันจะเข้าใจได้ยังไงฟร๊ะ ฝากบอกเน็ก ไม่ต้องไปอธิบายเยอะ มันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ทุยคือทุย #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • โน๊ต อุดมแต้
    #กับการหากินด้วยการด้อยค่าผู้อื่น ตลกฝืดๆที่คนไทยตื่นรู้
    เพราะลามไปถึงการด้อยค่า แปลความหมายเศรษฐกิจพอเพียง
    ที่เป็นแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
    นำมาทอร์คให้เป็นเรื่องขำ และเป็นกระแส
    ให้ผู้จงรักษ์ภักดีต่างออกมาแสดงควาไม่พอใจ
    แต่โน๊ต หัวใจส้ม ที่สนิทสนม และฝั่กใฝ่
    พรรคล้มล้างการปกครองที่ถูกตัดสินให้ถูกยุบไปไม่นานมานี้
    กลับไม่เคยออกมาขอโทษคนไทยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
    กลับรวมหัวกับอดีตนช.สรยุทธ์ สุทัศนจินดา ผู้ประกาศข่าวช่อง 3
    ทำเป็นเรื่องตลกขบขันกันตามๆมาในหลายวาระ
    แต่ล่าสุด ติ๊ก ชิโร่ นักร้องชื่อดังข้ามกาลเวลา
    ออกมาพูดความจริง เรื่องสั-น-ด-า-ล ลืมตัว
    ทั้งๆที่อดีต มาตีสนิทครอบครัว หวังเกาะกระแสพี่ติ๊ก
    เพื่อผลักดันให้ตัวเองได้มีชื่อเสียงไปด้วย
    แต่ปัจจุบัน ไม่ว่าจะมีงานบุญใดๆ โน๊ตหัวใจส้ม ไม่เคยมาแม้แต่ครั้งเดียว
    แต่จะไปเกาะคนดังที่มีกระแส บางทีไปแบบเค้าไม่ต้องเชิญ
    ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
    วันนึงมันจะเปิดเผยตัวตน
    ทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อผลประโยชน์และความอยู่รอดของตัวเอง
    ดังไม่มาก แต่ดับง่ายมาก
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    โน๊ต อุดมแต้ #กับการหากินด้วยการด้อยค่าผู้อื่น ตลกฝืดๆที่คนไทยตื่นรู้ เพราะลามไปถึงการด้อยค่า แปลความหมายเศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็นแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นำมาทอร์คให้เป็นเรื่องขำ และเป็นกระแส ให้ผู้จงรักษ์ภักดีต่างออกมาแสดงควาไม่พอใจ แต่โน๊ต หัวใจส้ม ที่สนิทสนม และฝั่กใฝ่ พรรคล้มล้างการปกครองที่ถูกตัดสินให้ถูกยุบไปไม่นานมานี้ กลับไม่เคยออกมาขอโทษคนไทยเลยแม้แต่ครั้งเดียว กลับรวมหัวกับอดีตนช.สรยุทธ์ สุทัศนจินดา ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 ทำเป็นเรื่องตลกขบขันกันตามๆมาในหลายวาระ แต่ล่าสุด ติ๊ก ชิโร่ นักร้องชื่อดังข้ามกาลเวลา ออกมาพูดความจริง เรื่องสั-น-ด-า-ล ลืมตัว ทั้งๆที่อดีต มาตีสนิทครอบครัว หวังเกาะกระแสพี่ติ๊ก เพื่อผลักดันให้ตัวเองได้มีชื่อเสียงไปด้วย แต่ปัจจุบัน ไม่ว่าจะมีงานบุญใดๆ โน๊ตหัวใจส้ม ไม่เคยมาแม้แต่ครั้งเดียว แต่จะไปเกาะคนดังที่มีกระแส บางทีไปแบบเค้าไม่ต้องเชิญ ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว วันนึงมันจะเปิดเผยตัวตน ทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อผลประโยชน์และความอยู่รอดของตัวเอง ดังไม่มาก แต่ดับง่ายมาก ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 517 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 กันยายน2567- บัญชีทางการของ “ปารีสเกมส์” (@Paris2024) ได้โพสต์คลิปลีลาการเชียร์นักกีฬาของท้าวดักแด้ พร้อมระบุว่า “Gold medal for him 🇹🇭🥇📹 #Paris2024” ซึ่งท้าวดักแด้ ได้ไปคอมเมนต์ขอบคุณด้วย

    สำหรับ ท้าวดักแด้ หรือ นายไทยแลนด์ คำทอง (ชื่อเดิม บัญชา คำทอง) เป็นนักแสดงตลก มีชื่อเสียงมาจากโฆษณา ปตท. ชุด มนุษย์ตะกั่ว ทั้งยังเคยเป็นนักแสดงสมทบในละครพื้นบ้านเรื่อง เทพสามฤดู รับบท “มาตุลี” เริ่มเชียร์แมตช์แรกในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่ จ.เชียงใหม่ โดยตอนนั้นใส่ชุดตะกั่วจนเป็นที่รู้จัก และเริ่มนำเชียร์มาเรื่อยๆ ทุกประเภทกีฬา ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อ ซึ่งได้นำประสบการณ์จากการเป็นผู้นำเชียร์กีฬาสีที่โรงเรียนมาใช้ รวมถึงเป็นคนมีใจรักกีฬามาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว นี่คือแฟนบอลชาวไทย ที่แสดงให้เห็นความคลั่งไคล้ในการเชียร์ทีมชาติไทย

    https://x.com/paris2024/status/1831400381471191160?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA

    #Thaitimes
    5 กันยายน2567- บัญชีทางการของ “ปารีสเกมส์” (@Paris2024) ได้โพสต์คลิปลีลาการเชียร์นักกีฬาของท้าวดักแด้ พร้อมระบุว่า “Gold medal for him 🇹🇭🥇📹 #Paris2024” ซึ่งท้าวดักแด้ ได้ไปคอมเมนต์ขอบคุณด้วย สำหรับ ท้าวดักแด้ หรือ นายไทยแลนด์ คำทอง (ชื่อเดิม บัญชา คำทอง) เป็นนักแสดงตลก มีชื่อเสียงมาจากโฆษณา ปตท. ชุด มนุษย์ตะกั่ว ทั้งยังเคยเป็นนักแสดงสมทบในละครพื้นบ้านเรื่อง เทพสามฤดู รับบท “มาตุลี” เริ่มเชียร์แมตช์แรกในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่ จ.เชียงใหม่ โดยตอนนั้นใส่ชุดตะกั่วจนเป็นที่รู้จัก และเริ่มนำเชียร์มาเรื่อยๆ ทุกประเภทกีฬา ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อ ซึ่งได้นำประสบการณ์จากการเป็นผู้นำเชียร์กีฬาสีที่โรงเรียนมาใช้ รวมถึงเป็นคนมีใจรักกีฬามาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว นี่คือแฟนบอลชาวไทย ที่แสดงให้เห็นความคลั่งไคล้ในการเชียร์ทีมชาติไทย https://x.com/paris2024/status/1831400381471191160?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA #Thaitimes
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 786 มุมมอง 1 รีวิว
  • ยูซุฟ ดีเคช นักยิงปืนเหรียญเงินโอลิมปิกมาดเท่ ยื่นขอจดเครื่องหมายการค้าท่ายิงปืนที่เป็นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษ เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา จากคนฉวยโอกาสเอาภาพท่ายิงปืนของไปหากินโดยไม่ขออนุญาต

    Yusuf Dekec ยูซุฟ ดิเคช นักแม่นปืนตุรกีวัย51ที่โด่งดังเป็นไวรัลจากการที่เข้าเเข่งขันมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่สุดในโลกอย่าง โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส ด้วยท่ายิงปืนที่เรียบง่าย สงบมีสมาธิแต่น่าประทับใจ ไร้ซึ่งอุปกรณ์พิเศษ มีเพียงปืนคู่ใจเเละเเว่นตากับมือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าเพื่อให้ทรงตัวได้ดี สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์แต่สามารถคว้าเหรียญเงินกีฬายิงปืนในโอลิมปิก ปารีส2024ได้อย่างชิลๆ และโด่งดังมากในโลกโซเชียล

    ด้วยท่ายิงปืนเรียบง่ายแต่เท่ๆเป็นภาพคนทั่วโลกประทับใจ ทำให้มีการสร้างของที่ระลึกต่างๆ มากมาย รวมทั้งเสื้อยืด แก้วกาแฟ และเคสโทรศัพท์มือถือพิมพ์ภาพท่ายิงปืนที่มีเสน่ห์ของเขา และมีคนบางกลุ่มหัวหมอเตรียมชิงจดลิขสิทธิ์ท่าดังกล่าวโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตจากดิเคช

    ด้วยเหตุนี้ ออร์ดินก์ บิลกิลี โค้ชดิเคชกล่าวว่า "หลังจากได้รับแจ้งเกี่ยวกับความพยายามจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจำนวนมากที่ดำเนินการโดยที่ดิเคชไม่ทราบ เราได้ยื่นคำร้องเมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเเจ้งว่าคำขอของคนอื่นๆจะถูกปฏิเสธ"

    การตัดสินใจจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าท่าทางดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของดิเคชเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องการใช้รูปลักษณ์ของเขาในเชิงพาณิชย์อีกด้วย

    นอกจากนี้ ยูซุฟ ดีเคช นักแม่นปืนมาดเท่คนนี้ยังตั้งเป้าไปโอลิมปิก ที่ลอสเองเจลิส 2028 และประกาศว่า“ผมและคู่หูจะคว้าเหรียญทองมาให้ดู“ และยังพูดติดตลกกับดามิร์ มิเค็ค นักกีฬาแม่นปืนเซอร์เบีย เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกคนปัจจุบันว่า“ผมฝากเหรียญทองไว้ที่คุณแค่ปี2028เท่านั้นนะ“

    #Thaitimes
    ยูซุฟ ดีเคช นักยิงปืนเหรียญเงินโอลิมปิกมาดเท่ ยื่นขอจดเครื่องหมายการค้าท่ายิงปืนที่เป็นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษ เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา จากคนฉวยโอกาสเอาภาพท่ายิงปืนของไปหากินโดยไม่ขออนุญาต Yusuf Dekec ยูซุฟ ดิเคช นักแม่นปืนตุรกีวัย51ที่โด่งดังเป็นไวรัลจากการที่เข้าเเข่งขันมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่สุดในโลกอย่าง โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส ด้วยท่ายิงปืนที่เรียบง่าย สงบมีสมาธิแต่น่าประทับใจ ไร้ซึ่งอุปกรณ์พิเศษ มีเพียงปืนคู่ใจเเละเเว่นตากับมือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าเพื่อให้ทรงตัวได้ดี สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์แต่สามารถคว้าเหรียญเงินกีฬายิงปืนในโอลิมปิก ปารีส2024ได้อย่างชิลๆ และโด่งดังมากในโลกโซเชียล ด้วยท่ายิงปืนเรียบง่ายแต่เท่ๆเป็นภาพคนทั่วโลกประทับใจ ทำให้มีการสร้างของที่ระลึกต่างๆ มากมาย รวมทั้งเสื้อยืด แก้วกาแฟ และเคสโทรศัพท์มือถือพิมพ์ภาพท่ายิงปืนที่มีเสน่ห์ของเขา และมีคนบางกลุ่มหัวหมอเตรียมชิงจดลิขสิทธิ์ท่าดังกล่าวโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตจากดิเคช ด้วยเหตุนี้ ออร์ดินก์ บิลกิลี โค้ชดิเคชกล่าวว่า "หลังจากได้รับแจ้งเกี่ยวกับความพยายามจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจำนวนมากที่ดำเนินการโดยที่ดิเคชไม่ทราบ เราได้ยื่นคำร้องเมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเเจ้งว่าคำขอของคนอื่นๆจะถูกปฏิเสธ" การตัดสินใจจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าท่าทางดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของดิเคชเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องการใช้รูปลักษณ์ของเขาในเชิงพาณิชย์อีกด้วย นอกจากนี้ ยูซุฟ ดีเคช นักแม่นปืนมาดเท่คนนี้ยังตั้งเป้าไปโอลิมปิก ที่ลอสเองเจลิส 2028 และประกาศว่า“ผมและคู่หูจะคว้าเหรียญทองมาให้ดู“ และยังพูดติดตลกกับดามิร์ มิเค็ค นักกีฬาแม่นปืนเซอร์เบีย เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกคนปัจจุบันว่า“ผมฝากเหรียญทองไว้ที่คุณแค่ปี2028เท่านั้นนะ“ #Thaitimes
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 788 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

       บ้านไม้เก่าแก่หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ริมน้ำสายใหญ่ เป็นบ้านไม้ที่ทีอายุร่วม 80 ปี ด้านหน้าบ้าน ติดถนนเลียบริมนำ้ หันไปทางทิศ ตะวันตก ส่วนหลังบ้าน ติดแม่นำสายใหญ่ และแน่นอน ฉันเองก็เติบโตขึ้นมา ในบ้านหลังนี้ ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มานาน ตั้งแต่อาก๋ง อาม่า รวมถึงพ่อ แม่ และพี่น้องของฉันด้วย

    มันเป็นบ้านไม้ ชั้นเดียวเป็นเรื่องปกติที่ บ้านไม้อายุขนาดนี้ คงไม่มีการจัดแบ่ง พื้นที่ใช้สอยได้ดีนัก ตัวบ้านแบ่งเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ โดยเป็นโถง ขนาดพอสมควร ซึ่งปัจจุบัน คงจะเรียกกันตามภาษาฝรั่งว่า ลิฟวิ่งรูม ก็คงจะำงบึได้ แต่เอาเถอะไม่ว่าจะเรียกอย่างไร มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันมาตลอด 10 กว่าปี ของการเติบโตในบ้านหลังนั้น แต่น่าจะเป็นเรื่องตลกที่บ้านโบราณจะมี ลิฟวิ่งรูม ชิ้นที่2
    เนื่องจากว่าพื้นที่ๆถัดจากโถง ลงไป1 ก้าว มันเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ชิ้นที่ 2 พวกเราได้ใช้พื้นที่นี้ เป็นส่วนทานอาหาร สำหรับอาม่าใช้เป็น ห้องสมุด และสำหรับแม่ มันกลายเป็น พื้นที่เย็บปักถักร้อย และทำงานอื่นๆ พูดถึงพื้นที่ทานอาหารแล้ว น่าจะเป็นส่วนรับประทานอาหารที่สวยที่สุดในโลก...
       เพราะทุกมื้อเช้าของพวกเราจะต้องทานอาหารเช้าไปพร้อมกับ แสงอ่อนๆของอาทิตย์ยามเช้า แต่ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังเด็ก เกินกว่าจะมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติ ฉันเองกลับคิดว่า มันแย่จังที่มีแสงแดดมาแยงตายามเช้าและมันยังร้อนมากอีกด้วย...

    สุดพื้นที่อเนกประสงค์ เป็นหน้าต่างกระจก กรอบบานเป็นไม้ วางเรียงกันไปตลอดแนวของตัวบ้าน และส่วนริมหน้าต่างนี่เอง ถ้ามองออกไปที่หน้าต่างจะมองเห็น แม่น้ำสายใหญ่ ถัดจากหน้าต่างออกไป จะเป็นส่วนของระเบียง ซึ่งกลายเป็น สวนดอกไม้ลอยฟ้า ของอาม่าฉันเอง
    ภายในตัวบ้าน ด้านซ้ายมือของทางเดินจะเป็นส่วนที่ฉัน หวาดกลัวที่สุด ฉันเรียกมันว่า ห้องมืด จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่ ห้อง อย่าเรียกว่า ห้องดีกว่า น่าจะเป็นพื้นที่เก็บของ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ ฉันได้เข้าไปนั้น น้อยครั้งเหลือเกินที่จะมีการเปิดไฟส่องสว่าง ทำให้ในความรู้สึกของเด็กน้อยอย่างฉัน รู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่เฉียดใกล้ ถ้าเดินผ่านส่วนห้องมืดไป ติดกันนั้นจะเป็นห้องนอนของอาม่า ซึ่งยาวไปจนสุดตัวบ้านติดริมน้ำแต่ แต่ห้องอาม่าจะถูกแบ่งช่วงสุดท้ายเป็นห้องเก็บของเล็กๆจะมีตู้กับข้าว อาหารแห้ง และเป็นพื้นที่ทางสัญจร ไปที่ที่สำหรับตากผ้า ริมหน้าต่าง และยังมีส่วนของห้องนอนแม่บ้านซึ่งอยู่ติดกับห้องมืด

    ทางด้านขวา ของตัวบ้านส่วนแรกจะเป็น ห้องเก็บของ(อีกแล้ว) ซึ่งแต่เดิม ห้องส่วนนี้ เคยเป็นห้องนอนของ บีเอ 2 ห้อง แล้วต่อมาก็เลยกลายมาเป็นห้องเก็บของ
    เข้ามาก็เป็นห้องนอน ของพ่อ และแม่ ของฉัน ถัดมาก็เป็นส่วนของห้องนอนเด็กๆ
    และสุดท้ายก็เป็น ส่วนของห้องน้ำ

    คงจะงงแล้วสิว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน มันอยู่ชั้นล่างครับ ไม่ผิดแน่ครับ ชั้นล่างแน่นอน !
    อ้าว ไหนบอกว่าเป็นบ้านชั้นเดียวไงหละ!!!

        คือมันเป็นอย่างนี้ บังเอิญว่า บ้านหลังนี้อยู่ริมแม่น้ำ ดังนั้น ตัวบ้านจริงๆเป็นบ้านชั้นเดียว แต่มีการต่อเติม บนส่วนของตลิ่ง นานวันเข้าเลยกลายเป็นส่วนถาวร ของบ้านไป ชั้นล่างนี้แหละ เป็นส่วนครัว และส่วนเก็บอุปกรณ์ และผลิตผลทางการเกษตร

         ส่วนพื้นที่ใช้สอยนี้ ในส่วนตัวของฉันคิดว่า บ้านที่อยู่ริมน้ำน่าจะมีแทบทุกบ้าน เหตุเพราะว่าหลังผ่านฤดูน้ำหลากแล้ว ช่วงน้ำลด น้ำจะพาเอาดินที่อุดม มาทับถมที่ตลิ่ง แล้วตลิ่งแถวบ้านฉันก็เป็นตลิ่งที่ค่อนข้างกว้าง หลังช่วงออกพรรษาแล้ว ลมหนาวเริ่มโชยมาก็จะเห็นชาวบ้านลงไปทำสวน ปลูกผัก กันอยู่ครึกโครม ซึ่งบ้านของฉันก็รวมอยู่ในนั้นด้วย.....
    สมัยที่ผมยังเด็ก...    บ้านไม้เก่าแก่หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ริมน้ำสายใหญ่ เป็นบ้านไม้ที่ทีอายุร่วม 80 ปี ด้านหน้าบ้าน ติดถนนเลียบริมนำ้ หันไปทางทิศ ตะวันตก ส่วนหลังบ้าน ติดแม่นำสายใหญ่ และแน่นอน ฉันเองก็เติบโตขึ้นมา ในบ้านหลังนี้ ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มานาน ตั้งแต่อาก๋ง อาม่า รวมถึงพ่อ แม่ และพี่น้องของฉันด้วย มันเป็นบ้านไม้ ชั้นเดียวเป็นเรื่องปกติที่ บ้านไม้อายุขนาดนี้ คงไม่มีการจัดแบ่ง พื้นที่ใช้สอยได้ดีนัก ตัวบ้านแบ่งเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ โดยเป็นโถง ขนาดพอสมควร ซึ่งปัจจุบัน คงจะเรียกกันตามภาษาฝรั่งว่า ลิฟวิ่งรูม ก็คงจะำงบึได้ แต่เอาเถอะไม่ว่าจะเรียกอย่างไร มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันมาตลอด 10 กว่าปี ของการเติบโตในบ้านหลังนั้น แต่น่าจะเป็นเรื่องตลกที่บ้านโบราณจะมี ลิฟวิ่งรูม ชิ้นที่2 เนื่องจากว่าพื้นที่ๆถัดจากโถง ลงไป1 ก้าว มันเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ชิ้นที่ 2 พวกเราได้ใช้พื้นที่นี้ เป็นส่วนทานอาหาร สำหรับอาม่าใช้เป็น ห้องสมุด และสำหรับแม่ มันกลายเป็น พื้นที่เย็บปักถักร้อย และทำงานอื่นๆ พูดถึงพื้นที่ทานอาหารแล้ว น่าจะเป็นส่วนรับประทานอาหารที่สวยที่สุดในโลก...    เพราะทุกมื้อเช้าของพวกเราจะต้องทานอาหารเช้าไปพร้อมกับ แสงอ่อนๆของอาทิตย์ยามเช้า แต่ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังเด็ก เกินกว่าจะมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติ ฉันเองกลับคิดว่า มันแย่จังที่มีแสงแดดมาแยงตายามเช้าและมันยังร้อนมากอีกด้วย... สุดพื้นที่อเนกประสงค์ เป็นหน้าต่างกระจก กรอบบานเป็นไม้ วางเรียงกันไปตลอดแนวของตัวบ้าน และส่วนริมหน้าต่างนี่เอง ถ้ามองออกไปที่หน้าต่างจะมองเห็น แม่น้ำสายใหญ่ ถัดจากหน้าต่างออกไป จะเป็นส่วนของระเบียง ซึ่งกลายเป็น สวนดอกไม้ลอยฟ้า ของอาม่าฉันเอง ภายในตัวบ้าน ด้านซ้ายมือของทางเดินจะเป็นส่วนที่ฉัน หวาดกลัวที่สุด ฉันเรียกมันว่า ห้องมืด จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่ ห้อง อย่าเรียกว่า ห้องดีกว่า น่าจะเป็นพื้นที่เก็บของ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ ฉันได้เข้าไปนั้น น้อยครั้งเหลือเกินที่จะมีการเปิดไฟส่องสว่าง ทำให้ในความรู้สึกของเด็กน้อยอย่างฉัน รู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่เฉียดใกล้ ถ้าเดินผ่านส่วนห้องมืดไป ติดกันนั้นจะเป็นห้องนอนของอาม่า ซึ่งยาวไปจนสุดตัวบ้านติดริมน้ำแต่ แต่ห้องอาม่าจะถูกแบ่งช่วงสุดท้ายเป็นห้องเก็บของเล็กๆจะมีตู้กับข้าว อาหารแห้ง และเป็นพื้นที่ทางสัญจร ไปที่ที่สำหรับตากผ้า ริมหน้าต่าง และยังมีส่วนของห้องนอนแม่บ้านซึ่งอยู่ติดกับห้องมืด ทางด้านขวา ของตัวบ้านส่วนแรกจะเป็น ห้องเก็บของ(อีกแล้ว) ซึ่งแต่เดิม ห้องส่วนนี้ เคยเป็นห้องนอนของ บีเอ 2 ห้อง แล้วต่อมาก็เลยกลายมาเป็นห้องเก็บของ เข้ามาก็เป็นห้องนอน ของพ่อ และแม่ ของฉัน ถัดมาก็เป็นส่วนของห้องนอนเด็กๆ และสุดท้ายก็เป็น ส่วนของห้องน้ำ คงจะงงแล้วสิว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน มันอยู่ชั้นล่างครับ ไม่ผิดแน่ครับ ชั้นล่างแน่นอน ! อ้าว ไหนบอกว่าเป็นบ้านชั้นเดียวไงหละ!!!     คือมันเป็นอย่างนี้ บังเอิญว่า บ้านหลังนี้อยู่ริมแม่น้ำ ดังนั้น ตัวบ้านจริงๆเป็นบ้านชั้นเดียว แต่มีการต่อเติม บนส่วนของตลิ่ง นานวันเข้าเลยกลายเป็นส่วนถาวร ของบ้านไป ชั้นล่างนี้แหละ เป็นส่วนครัว และส่วนเก็บอุปกรณ์ และผลิตผลทางการเกษตร      ส่วนพื้นที่ใช้สอยนี้ ในส่วนตัวของฉันคิดว่า บ้านที่อยู่ริมน้ำน่าจะมีแทบทุกบ้าน เหตุเพราะว่าหลังผ่านฤดูน้ำหลากแล้ว ช่วงน้ำลด น้ำจะพาเอาดินที่อุดม มาทับถมที่ตลิ่ง แล้วตลิ่งแถวบ้านฉันก็เป็นตลิ่งที่ค่อนข้างกว้าง หลังช่วงออกพรรษาแล้ว ลมหนาวเริ่มโชยมาก็จะเห็นชาวบ้านลงไปทำสวน ปลูกผัก กันอยู่ครึกโครม ซึ่งบ้านของฉันก็รวมอยู่ในนั้นด้วย.....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 5
    เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา 6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป”
    เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก
    สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป
    จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !”
    เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย
    ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน
    ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้
    เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย
    เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้
    ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ
    หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith
    พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น
    ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล
    แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 5 เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา 6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป” เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !” เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้ เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้ ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากคอลัมน์ มันเป็นเช่นนั้นเอง โดยทับทิม พญาไท ในผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2567

    “สำหรับ “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...แม้ลักษณะภายนอก อาจดูผิดแผก แตกต่างไปจากทั้งสองแนวรบอยู่มั่ง แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงไส้ในความร้อนเร่า ร้อนผ่าวๆ หรือ “ความไวไฟ” ก็ไม่น่าจะผิดไปจากกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan”

    เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา (27-29 ส.ค.) เพราะการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงอเมริกันรายนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อาจต่างไปจากการเดินทางไปเยี่ยมเยือนประเทศแต่ละประเทศตามปกติธรรมดา หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีโดยทั่วๆ ไป แต่ถือเป็นการเดินทางไปเยือนตาม “คำเชื้อเชิญ” ของคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้มีโอกาส “รับฟัง...สิ่งที่ควรได้ยิน” ดังที่บทบรรณาธิการ “Global Times” เขาว่าเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละทั่น...

    และการพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะเจรจาของ 2 มหาอำนาจในคราวนี้...อาจแทบไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์คิดค้นคำพูดประเภทสวยๆ หรูๆ แบบพวกนักการทูตที่ชอบวกไป-วนมาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการพูดคุยสื่อสารแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” (military-to-military communications) อะไรประมาณนั้น โดยผลสรุปของการพูดคุยเจรจา ถ้าฟังจากคำแถลงของกระทรวงกลาโหมจีน หรือจากคำประกาศของตัวแทนฝ่ายจีน อย่างรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง “พลเอกZhang Youxia” ต้องเรียกว่า...เผลอๆอาจต้อง “หรี่แอร์” ในระหว่างการประชุมหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะออกจะเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” อยู่พอสมควรทีเดียว หรืออย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักเขาถึงกับหยิบไปพาดหัวไว้ว่า...ปักกิ่งแสดงความต้องการที่จะให้วอชิงตัน “หยุดสมคบคิดทางทหาร” กับไต้หวัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

    คือ “พลเอกZhang Youxia” รายที่ว่านี้...แม้ว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง จะเป็นแค่ “รองประธาน” ของคณะกรรมาธิการกลางทางทหารกองทัพจีนก็เถอะ แต่โดยความสนิทชิดเชื้อกับผู้นำสูงสุดของจีน อย่างประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” นั้นว่ากันว่าสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อของทั้งคู่ และนอกจากเคยผ่านศึกสมรภูมิสงครามอย่าง “สงครามสั่งสอนเวียดนาม” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1979 แล้ว ยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คำพูด คำจาในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ของบุคคลผู้นี้ คงต้อง “ฟัง” และฟังแบบต้อง “ได้ยิน” อีกต่างหาก โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ปมประเด็นปัญหาไต้หวันอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้นั้น ถือเป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเป็นหมายเลขหนึ่งของ...เส้นตาย (Red Line) ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในบริเวณช่องแคบไต้หวันมาโดยตลอด แต่ก็ต้องขอเตือนเอาไว้ด้วยว่า...สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปไม่ได้ถ้าหากยังมีความพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน!!!”

    นี่...ฟังแล้วต้องหรี่แอร์-ไม่หรี่แอร์ คงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน ยิ่งเป็นคำพูดระหว่าง “ทหาร-ต่อ-ทหาร” ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แบบบรรดานักการทูตทั้งหลาย ก็คงต้องคิดหน้า-คิดหลังยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารรายนี้ได้เน้นย้ำไว้ด้วยว่า “อเมริกาควรจะมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในมุมมองที่มีต่อจีน และควรที่จะกลับมาสู่ความมีเหตุมีผลและนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงต่อประเทศของเรา เคารพในผลประโยชน์หลักของจีนในทางปฏิบัติและพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ ร่วมกันแบกรับภาระความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ” อันถือเป็นคำพูดที่สอดคล้องต้องกันกับผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่บอกกับ “นายJake Sullivan” เอาไว้ก่อนหน้านั้นประมาณว่า... “จีนและสหรัฐฯ ควรจะมีความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ต่อประชาชนและต่อโลก” อีกด้วย...

    ดังนั้น...คำพูดที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวได้รับฟังแบบชนิดเต็มรูหู ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงในการพูดคุยหัวข้อต่างๆ ประมาณ 6 วาระ ระหว่างวันอังคารที่ 27 และพุธที่ 28 ส.ค. ถ้าหากจะสรุปย่อๆ แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ตามสำบัดสำนวนของ “พลเอกZhang Youxia” ก็คือ... “หยุดสมคบคิดทางทหารกับไต้หวัน-หยุดติดอาวุธ-หยุดสร้างข่าวลือแบบผิดๆ” หรือเลิกกระตุ้น เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดความคิดความทะเยอทะยานของบรรดาชาวไต้หวันบางกลุ่ม-บางราย ที่จะแยกไต้หวันออกจากจีนโดยเด็ดขาด!!!

    ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การพบปะระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวกับฝ่ายจีนคราวนี้ ในสายตานักคิด-นักเขียนและนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิกโดยเฉพาะ อย่าง “K.J. Noh” ถึงได้สรุปว่า นี่ไม่ใช่การพบปะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ หรือปรับปรุงความสัมพันธ์ใดๆ อีกต่อไป แต่ถือเป็นการตอกย้ำ “ข้อสงสัย” ของจีนต่อบทบาทของอเมริการในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ควรจะต้องเป็นไปตาม “ข้อตกลงที่บาหลี” (Bali Agreement) หรือระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำจีนและผู้นำอเมริกันที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2023 นั่นก็คือข้อห้าม 5 ข้อ (Five Nos) ที่อเมริกาเคยสัญญิง-สัญญาไว้กับจีนว่าไม่คิดจะก่อสงครามเย็น-สงครามร้อน-ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบปกครองจีน-ไม่ขัดขวางกิจกรรมของกันและกันและไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน...

    ดังนั้น...การที่คุณพ่ออเมริกายังไม่หยุดขายอาวุธไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันล้าน-หมื่นล้านให้กับไต้หวัน ยังเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันและที่ปรึกษาความมั่นคง ดอดเข้าไป “ประชุมลับ” กับอเมริกากันถึงที่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแถมยังพยายามหันไปสร้าง “ดาวยั่วดวงใหม่”

    อย่างฟิลิปปินส์ ชนิดถึงกับยอมทุ่มเทเงินทองถึง 1.894 ล้านล้านเปโซ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท (33,740 ล้านดอลลาร์) เพื่อซื้ออาวุธ ซื้อเครื่องบินโจมตีมารับมือกับจีน โดยยังไม่นับรวมไปถึงการคิดจะนำเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของอเมริกามาติดตั้งไว้ในฟิลิปปินส์อีกต่างหาก ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่น่าจะทำให้ “แนวรบในทะเลจีนใต้” นับแต่นี้ น่าจะยิ่งร้อนเร่า ร้อนแรง ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ไม่ได้คิดจะเอาแต่ลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันแบบแต่ก่อน แต่กล้าที่จะพูดจาแบบตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” กับอเมริกา ให้ต้อง “ฟัง...แล้วได้ยิน” อย่างมิอาจเอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ได้อีกต่อไป...

    อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ “แนวรบ” ทุกแนวรบ กลายเป็นสิ่งที่สอดประสานซึ่งกันและกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ ที่ได้กลายเป็นตัวสร้าง “แรงกดดัน” ให้กับมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ที่เพียงแค่เจอกับรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกเท่านั้นก็แทบ “ไปไม่เป็น” กันไปทั้งแผง ไม่ใช่ “เสาหลักทางเศรษฐกิจ” อย่างเยอรมนีเท่านั้น ที่ต้องออกมาสารภาพว่าชักจะ “บ่อจี๊” ไม่เหลือเงิน-เหลือทองพอที่จะไปช่วย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระทั่งโปแลนด์ที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของรัสเซีย เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ยังต้องออกมาสารภาพว่าแทบไม่เหลืออาวุธที่จะส่งไปให้ยูเครนอีกต่อไป ส่วนในแนวรบตะวันออกกลาง การตระเตรียมรับมือกับ “สงครามใหญ่” อันอาจเกิดจากการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน ถึงกับทำให้เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของอเมริกาไม่สามารถถอนสมอไปไหน-มาไหนได้อีก แถมจรวดราคาลูกละเป็นล้านๆ ดอลลาร์ที่ต้องเอาไว้สกัดกั้นจรวดหรือเครื่องบินโดรนราคาถูกๆ ของพวกนักรบเยเมนอย่าง “กบฏฮูตี” ก็ชักจะร่อยหรอแทบไม่เหลือติดคลังเอาไว้เลยก็ว่าได้...

    ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากต้องมาเจอกับแนวรบอีกแนวรบ นั่นคือแนวรบทะเลจีนใต้ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งบรรดาพันธมิตรในโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่ต่างก็ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้นจะยังคงยืนหยัด ยืนยัน ถึงความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ยอมเปิดโอกาส ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโลกทุกวันนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงเป็นได้แค่คำคุยโม้ คุยโต ไปวันๆ เท่านั้นเอง!!!”

    ที่มา : คอลัมน์มันเป็นเช่นนั้นเอง/ทับทิม พญาไท
    https://mgronline.com/daily/detail/9670000080996

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากคอลัมน์ มันเป็นเช่นนั้นเอง โดยทับทิม พญาไท ในผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2567 “สำหรับ “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...แม้ลักษณะภายนอก อาจดูผิดแผก แตกต่างไปจากทั้งสองแนวรบอยู่มั่ง แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงไส้ในความร้อนเร่า ร้อนผ่าวๆ หรือ “ความไวไฟ” ก็ไม่น่าจะผิดไปจากกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา (27-29 ส.ค.) เพราะการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงอเมริกันรายนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อาจต่างไปจากการเดินทางไปเยี่ยมเยือนประเทศแต่ละประเทศตามปกติธรรมดา หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีโดยทั่วๆ ไป แต่ถือเป็นการเดินทางไปเยือนตาม “คำเชื้อเชิญ” ของคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้มีโอกาส “รับฟัง...สิ่งที่ควรได้ยิน” ดังที่บทบรรณาธิการ “Global Times” เขาว่าเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละทั่น... และการพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะเจรจาของ 2 มหาอำนาจในคราวนี้...อาจแทบไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์คิดค้นคำพูดประเภทสวยๆ หรูๆ แบบพวกนักการทูตที่ชอบวกไป-วนมาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการพูดคุยสื่อสารแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” (military-to-military communications) อะไรประมาณนั้น โดยผลสรุปของการพูดคุยเจรจา ถ้าฟังจากคำแถลงของกระทรวงกลาโหมจีน หรือจากคำประกาศของตัวแทนฝ่ายจีน อย่างรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง “พลเอกZhang Youxia” ต้องเรียกว่า...เผลอๆอาจต้อง “หรี่แอร์” ในระหว่างการประชุมหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะออกจะเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” อยู่พอสมควรทีเดียว หรืออย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักเขาถึงกับหยิบไปพาดหัวไว้ว่า...ปักกิ่งแสดงความต้องการที่จะให้วอชิงตัน “หยุดสมคบคิดทางทหาร” กับไต้หวัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! คือ “พลเอกZhang Youxia” รายที่ว่านี้...แม้ว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง จะเป็นแค่ “รองประธาน” ของคณะกรรมาธิการกลางทางทหารกองทัพจีนก็เถอะ แต่โดยความสนิทชิดเชื้อกับผู้นำสูงสุดของจีน อย่างประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” นั้นว่ากันว่าสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อของทั้งคู่ และนอกจากเคยผ่านศึกสมรภูมิสงครามอย่าง “สงครามสั่งสอนเวียดนาม” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1979 แล้ว ยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คำพูด คำจาในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ของบุคคลผู้นี้ คงต้อง “ฟัง” และฟังแบบต้อง “ได้ยิน” อีกต่างหาก โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ปมประเด็นปัญหาไต้หวันอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้นั้น ถือเป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเป็นหมายเลขหนึ่งของ...เส้นตาย (Red Line) ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในบริเวณช่องแคบไต้หวันมาโดยตลอด แต่ก็ต้องขอเตือนเอาไว้ด้วยว่า...สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปไม่ได้ถ้าหากยังมีความพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน!!!” นี่...ฟังแล้วต้องหรี่แอร์-ไม่หรี่แอร์ คงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน ยิ่งเป็นคำพูดระหว่าง “ทหาร-ต่อ-ทหาร” ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แบบบรรดานักการทูตทั้งหลาย ก็คงต้องคิดหน้า-คิดหลังยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารรายนี้ได้เน้นย้ำไว้ด้วยว่า “อเมริกาควรจะมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในมุมมองที่มีต่อจีน และควรที่จะกลับมาสู่ความมีเหตุมีผลและนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงต่อประเทศของเรา เคารพในผลประโยชน์หลักของจีนในทางปฏิบัติและพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ ร่วมกันแบกรับภาระความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ” อันถือเป็นคำพูดที่สอดคล้องต้องกันกับผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่บอกกับ “นายJake Sullivan” เอาไว้ก่อนหน้านั้นประมาณว่า... “จีนและสหรัฐฯ ควรจะมีความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ต่อประชาชนและต่อโลก” อีกด้วย... ดังนั้น...คำพูดที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวได้รับฟังแบบชนิดเต็มรูหู ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงในการพูดคุยหัวข้อต่างๆ ประมาณ 6 วาระ ระหว่างวันอังคารที่ 27 และพุธที่ 28 ส.ค. ถ้าหากจะสรุปย่อๆ แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ตามสำบัดสำนวนของ “พลเอกZhang Youxia” ก็คือ... “หยุดสมคบคิดทางทหารกับไต้หวัน-หยุดติดอาวุธ-หยุดสร้างข่าวลือแบบผิดๆ” หรือเลิกกระตุ้น เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดความคิดความทะเยอทะยานของบรรดาชาวไต้หวันบางกลุ่ม-บางราย ที่จะแยกไต้หวันออกจากจีนโดยเด็ดขาด!!! ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การพบปะระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวกับฝ่ายจีนคราวนี้ ในสายตานักคิด-นักเขียนและนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิกโดยเฉพาะ อย่าง “K.J. Noh” ถึงได้สรุปว่า นี่ไม่ใช่การพบปะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ หรือปรับปรุงความสัมพันธ์ใดๆ อีกต่อไป แต่ถือเป็นการตอกย้ำ “ข้อสงสัย” ของจีนต่อบทบาทของอเมริการในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ควรจะต้องเป็นไปตาม “ข้อตกลงที่บาหลี” (Bali Agreement) หรือระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำจีนและผู้นำอเมริกันที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2023 นั่นก็คือข้อห้าม 5 ข้อ (Five Nos) ที่อเมริกาเคยสัญญิง-สัญญาไว้กับจีนว่าไม่คิดจะก่อสงครามเย็น-สงครามร้อน-ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบปกครองจีน-ไม่ขัดขวางกิจกรรมของกันและกันและไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน... ดังนั้น...การที่คุณพ่ออเมริกายังไม่หยุดขายอาวุธไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันล้าน-หมื่นล้านให้กับไต้หวัน ยังเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันและที่ปรึกษาความมั่นคง ดอดเข้าไป “ประชุมลับ” กับอเมริกากันถึงที่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแถมยังพยายามหันไปสร้าง “ดาวยั่วดวงใหม่” อย่างฟิลิปปินส์ ชนิดถึงกับยอมทุ่มเทเงินทองถึง 1.894 ล้านล้านเปโซ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท (33,740 ล้านดอลลาร์) เพื่อซื้ออาวุธ ซื้อเครื่องบินโจมตีมารับมือกับจีน โดยยังไม่นับรวมไปถึงการคิดจะนำเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของอเมริกามาติดตั้งไว้ในฟิลิปปินส์อีกต่างหาก ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่น่าจะทำให้ “แนวรบในทะเลจีนใต้” นับแต่นี้ น่าจะยิ่งร้อนเร่า ร้อนแรง ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ไม่ได้คิดจะเอาแต่ลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันแบบแต่ก่อน แต่กล้าที่จะพูดจาแบบตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” กับอเมริกา ให้ต้อง “ฟัง...แล้วได้ยิน” อย่างมิอาจเอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ได้อีกต่อไป... อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ “แนวรบ” ทุกแนวรบ กลายเป็นสิ่งที่สอดประสานซึ่งกันและกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ ที่ได้กลายเป็นตัวสร้าง “แรงกดดัน” ให้กับมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ที่เพียงแค่เจอกับรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกเท่านั้นก็แทบ “ไปไม่เป็น” กันไปทั้งแผง ไม่ใช่ “เสาหลักทางเศรษฐกิจ” อย่างเยอรมนีเท่านั้น ที่ต้องออกมาสารภาพว่าชักจะ “บ่อจี๊” ไม่เหลือเงิน-เหลือทองพอที่จะไปช่วย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระทั่งโปแลนด์ที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของรัสเซีย เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ยังต้องออกมาสารภาพว่าแทบไม่เหลืออาวุธที่จะส่งไปให้ยูเครนอีกต่อไป ส่วนในแนวรบตะวันออกกลาง การตระเตรียมรับมือกับ “สงครามใหญ่” อันอาจเกิดจากการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน ถึงกับทำให้เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของอเมริกาไม่สามารถถอนสมอไปไหน-มาไหนได้อีก แถมจรวดราคาลูกละเป็นล้านๆ ดอลลาร์ที่ต้องเอาไว้สกัดกั้นจรวดหรือเครื่องบินโดรนราคาถูกๆ ของพวกนักรบเยเมนอย่าง “กบฏฮูตี” ก็ชักจะร่อยหรอแทบไม่เหลือติดคลังเอาไว้เลยก็ว่าได้... ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากต้องมาเจอกับแนวรบอีกแนวรบ นั่นคือแนวรบทะเลจีนใต้ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งบรรดาพันธมิตรในโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่ต่างก็ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้นจะยังคงยืนหยัด ยืนยัน ถึงความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ยอมเปิดโอกาส ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโลกทุกวันนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงเป็นได้แค่คำคุยโม้ คุยโต ไปวันๆ เท่านั้นเอง!!!” ที่มา : คอลัมน์มันเป็นเช่นนั้นเอง/ทับทิม พญาไท https://mgronline.com/daily/detail/9670000080996 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    สมรภูมิใหม่...ในแนวรบทะเลจีนใต้???
    เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนไปแวะดู “แนวรบทะเลจีนใต้” เป็นการเฉพาะ เพราะสำหรับแนวรบอีก 2 แนวคือยุโรปตะวันออกกับตะวันออกกลางนั้น แทบไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์เจาะลึกอะไรกันมาก ด้วยเหตุเพราะโดยสภาพ
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 858 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 1
    เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เมือง Benghazi ประเทศลิเบีย ถูกโจมตีและถูกยึดได้ในที่สุด ในคืนวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 หลังจากการโจมตีและสู้รบสิ้นสุดลง ร่างของฑูตอเมริกัน นาย Christopher J. Stevens ถูกลากออกมาจากซากตึกที่ไหม้และพังทลายอยู่ในบริเวณของสถานกงสุล เขาเป็นฑูตอเมริกันคนแรกที่ถูกสังหารโดยกองทัพต่างชาติในรอบ 30 ปี การตายของเขาถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง สาเหตุและการบุกโจมตีสถานกงสุ ลถูกบิดเบือน การตายของฑูต Stevens มีการสอบสวน วิเคราะห์ บอกเล่า เขียนเป็นหนังสือ สาระพัดเรื่อง ความจริงเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาตรง ๆ มันเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตาม เพราะมันจะเป็นทั้งใบเสร็จและอุทาหรณ์ในหลาย ๆ เรื่องให้แก่เรา
    เช้าวันที่ 11 กันยายน นาย Stevens ฑูตอเมริกันประจำประเทศลิเบีย นั่งทานอาหารเช้ากับชายคนหนึ่ง ชื่อ Habib Budaker ที่สถานกงสุลเมือง Benghazi
    นี่เป็นครั้งแรกที่นาย Stevens กลับมาเมือง Benghazi หลังจากรับตำแหน่งฑูต เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และใช้เวลาปฎิบัติหน้าที่ “ฑูต” ทำงานอยู่รอบ ๆ ตัวเมืองนอกสถานฑูตที่เมือง Tripoli แต่เมื่อนาย Bubaker ไปรับเขาที่สนามบิน Benghazi เช้าวันที่ 10 นาย Stevens บอกกับ Budaker ว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้กลับมา” Budaker รู้จักฑูต Stevens มากว่า 1 ปีแล้ว โดยการแนะนำตัวเองกับนาย Stevens เมื่อเดือนเมษายน 2011 หลังจากการปฎิวัติของชาวลิเบียเริ่มเกิดขึ้นได้สัก 2 เดือน นาย Stevens ก็ถูกส่งให้มาที่ Bengazi ในฐานะตัวแทนของอเมริกาสำหรับรัฐบาลผสมที่เกิดจากการปฏิวัติ อเมริกาได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว ว่าจะอยู่กับฝ่ายไหนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ และ Stevens ได้รับการมอบหมายให้มาสร้างสัมพันธ์กับประชาชนที่อเมริกาคาดว่า ในที่สุดจะเป็นฝ่ายปกครองประเทศ
    Bubakar เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในเมือง และเสนอตัวเป็นล่ามให้แก่ Stevens นาย Stevens เองพูดภาษาอารบิคได้ แต่เขาอยากใช้สำนวนภาษาการฑูตซึ่งชัดเจนกว่าในการเจรจาที่เป็นทางการ เขาจึงเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน Bubaker เป็นผู้พา Stevens เข้ารู้จักองค์กรภาคธุรกิจและทำหน้าที่เป็นเหมือนมือขวาของ Stevens ตลอดเวลาการสู้รบ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของสงคราม เขานับตัวเองว่าเป็นเพื่อนของ Stevens หลาย ๆ คน ก็คิดอย่างนั้น เพราะ Stevens เป็นคนประเภทคบเป็นเพื่อนง่าย
    Stevens ตั้งใจจะอยู่ที่ Benghazi เพียง 5 วัน เขามีประชุมวันจันทร์ที่ในเมือง และจะมีอีกหลายนัดนอกบริเวณกงสุลในวันพุธ ส่วนวันพฤหัส ดูเหมือนจะเป็นวันสำคัญที่สุดของการมา Benghazi เขาตั้งใจจะส่งมอบ “Benghazi Mission” ให้กับชาวลิเบีย และบริเวณกงสุลอเมริกันจะเรียกชื่อใหม่ว่า “An American Space” โดยจะมีการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวพื้นเมือง รวมทั้งการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ท การฉายภาพยนต์และมีห้องสมุด โดยฝ่ายอเมริกาจะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ หนังสือ และอุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ สนับสนุน และมอบให้เป็นสมบัติของคนพื้นเมือง ให้คนพื้นเมืองดูแลเอง Stevens หวังว่า “An American Spece” นี้ จะเป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนของ 2 ประเทศ หากได้มีการร่วมมือกัน
    Stevens มีความรู้สึกผูกพันธ์กับ Benghazi เมืองซึ่งชาวเมืองแสดงการต่อต้าน Qaddafi เป็นครั้งแรก เพราะเขาอยู่กับชาวเมืองตลอดเวลาของการต่อต้านนั้น ระหว่างการปฏิวัติ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตามถนน พูดคุย คลุกคลี และสำรวจเมือง Benghazi และผู้คน นาย Nathan tek เจ้าหน้าที่สถานฑูต รุ่นหนุ่มที่อยู่กับ Stevens มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 บอกว่า Stevens ชอบที่จะสำรวจเมืองอย่าง โดยไม่ต้องมีหน่วยคุ้มกันตัวโตถือปืนเดินตามประกบ เขาบอกว่า การที่เรามีเพื่อนมาก และเขาเห็นเราเป็นแขกของเขานั้นแหละสำคัญที่สุด
    ซึ่งชาว Benghazi โดยทั่วไปก็แสดงความเป็นมิตร แม้ในช่วงเดือนกันยายนนั้นเอง จะมีทหารเดินอยู่เต็มเมือง Stevens ก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนตารางของเขา เขาเอาบอดี้การ์ดมาด้วย 2 คนจาก Tripoli รวมกับอีก 3 คนจากหน่วยความมั่นคงที่ประจำที่ Benghazi อยู่แล้ว เขายกเลิกการวิ่งตอนเช้านอกบริเวณกงสุล และจัดให้การนัดพบทุกรายการอยู่ในบริเวณกงสุล อเมริกาได้ตั้งสถานกงสุลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2011 หลังจากโรงแรมที่พวกเขาเคยพักถูก ระเบิดถล่ม เขาเช่าวิลล่า 3 หลัง บริเวณติดต่อกัน ทุบกำแพงระหว่างวิลล่าทิ้ง และล้อมบริเวณ 3 วิลล่า เสียใหม่เป็นบริเวณเดียว ทำให้เป็นตึกเตี้ย ๆ 4 หลัง อยู่ท่ามกลางเถาต้นองุ่นและต้นฝรั่ง เพื่อนร่วมงานล้อเลียน Stevens ว่าสถานที่นี้น่าจะเรียกว่า “Château Christophe” แบบโรงผลิตไวน์มีชื่อ
    Château Christophe ถึงแม้จะเป็นเพียงสถานที่ชั่วคราว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม สถานที่กว้าง 300 หลา และลึก 300 หลา ทำให้ตัวตึกอยู่ลึกเข้ามาจากรั้วมากพอที่จะป้องกันการจู่โจมจากด้านนอก รั้วทุกด้านสูง 9 ฟุต และมีลวดหนามไฟฟ้ากั้นสูงไปจากรั้วอีก 3 ฟุต มีแผ่นเหล็กปลดลงมา ไว้ปิดกั้นไม่ให้รถวิ่งเข้ามาได้ และมีแท่งคอนกรีตกั้นทั้งภายในภายนอก สำหรับป้องกันการใช้รถวิ่งชน มีจอและกล้องคอยเฝ้า (monitor) ดูแลความปลอดภัยรอบบริเวณ ส่วนในบริเวณชั้นใน มีแผ่นเหล็กสำหรับปลดมาปิดกั้นและล็อคได้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อสามารถเปลี่ยนให้ภายในตึก นี้กลายเป็นห้องนิรภัย และภายในห้องนี้ ยังมีห้องเล็ก หลบซ่อนอยู่อีก ห้องเล็กนี้มีอาหาร น้ำ และเครื่องเวชภัณฑ์ โดยมองจากข้างนอกไม่มีทางเห็น
    Château Christophe ถือว่ามีการดูแลที่ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการปฎิบัติงานของคนระดับฑูตอเมริกัน Benghazi ต่างหากที่ยังไม่ปลอดภัย รัฐบาลลิเบียยังต้องจัดให้มีกำลังตำรวจที่เหมาะสม ความรุนแรงในเมืองมีอยู่ตลอดหน้าร้อน รวมทั้งบางส่วนยังมีเป้าหมายต่อต้านชาวตะวันตก จริง ๆ แล้ว Stevens ได้แจ้งไปทางวอชิงตันในเช้าวันที่ 11 นั้น เพื่อเตือนความจำเรื่องการไม่มีกฎหมายใช้บังคับที่ Benghazi ถึงอย่างนั้นตัวเมืองก็ดูสงบพอสมควรเมื่อ Stevens มาถึงและเขาคิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป
    Bubaker อยู่กับ Stevens ตลอดการประชุมต่าง ๆ ในตอนเช้า บ่าย 3 โมง เขาเช็คตารางของวันพุธ ซึ่งแน่นเต็ม นัดสุดท้ายของ Stevens วันนั้น คือ กาแฟกับนักการฑูตตุรกี ซึ่งเสร็จประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง Stevens เดินไปส่งแขกที่ประตูหน้า ซึ่งมีกองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งจ้างมาจากกองทหารที่ 17th of February Martyrs Brigade ซึ่งเป็นมิตรกับชาวอเมริกัน
    ประมาณ 700 ไมล์ไปทางตะวันออก ฝูงชนกำลังล้อมสถานฑูตสหรัฐที่กรุงไคโร ด้วยความเคียดแค้นจากวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อความละเมิดพระศาสดามูฮะหมัด แต่ทาง Benghazi ยังเงียบสงบ ถนนหน้า Château Christophe ว่างเปล่า
    Stevens เดินกลับมาที่ห้องของเขาที่ตึกกลาง ประมาณ 3 ทุ่ม 40 นาที เขาได้ยินเสียงปืนดัง เสียงปืนดังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาหรับยามค่ำคืน เสียงปืนดัง บางทีก็หมายถึงการฉลอง Stevens เคยบอกกับน้องชาย และเคยพูดตลกกับ Bubaker เวลาเขาได้ยินเสียงปืนว่า สงสัยวันนี้มีงานแต่งงานนะ แต่วันนี้จอควบคุมความปลอดภัยของกงสุล เห็นกลุ่มคนกำลังปีนเข้ามาที่ประตูหน้า
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 1 เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เมือง Benghazi ประเทศลิเบีย ถูกโจมตีและถูกยึดได้ในที่สุด ในคืนวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 หลังจากการโจมตีและสู้รบสิ้นสุดลง ร่างของฑูตอเมริกัน นาย Christopher J. Stevens ถูกลากออกมาจากซากตึกที่ไหม้และพังทลายอยู่ในบริเวณของสถานกงสุล เขาเป็นฑูตอเมริกันคนแรกที่ถูกสังหารโดยกองทัพต่างชาติในรอบ 30 ปี การตายของเขาถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง สาเหตุและการบุกโจมตีสถานกงสุ ลถูกบิดเบือน การตายของฑูต Stevens มีการสอบสวน วิเคราะห์ บอกเล่า เขียนเป็นหนังสือ สาระพัดเรื่อง ความจริงเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาตรง ๆ มันเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตาม เพราะมันจะเป็นทั้งใบเสร็จและอุทาหรณ์ในหลาย ๆ เรื่องให้แก่เรา เช้าวันที่ 11 กันยายน นาย Stevens ฑูตอเมริกันประจำประเทศลิเบีย นั่งทานอาหารเช้ากับชายคนหนึ่ง ชื่อ Habib Budaker ที่สถานกงสุลเมือง Benghazi นี่เป็นครั้งแรกที่นาย Stevens กลับมาเมือง Benghazi หลังจากรับตำแหน่งฑูต เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และใช้เวลาปฎิบัติหน้าที่ “ฑูต” ทำงานอยู่รอบ ๆ ตัวเมืองนอกสถานฑูตที่เมือง Tripoli แต่เมื่อนาย Bubaker ไปรับเขาที่สนามบิน Benghazi เช้าวันที่ 10 นาย Stevens บอกกับ Budaker ว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้กลับมา” Budaker รู้จักฑูต Stevens มากว่า 1 ปีแล้ว โดยการแนะนำตัวเองกับนาย Stevens เมื่อเดือนเมษายน 2011 หลังจากการปฎิวัติของชาวลิเบียเริ่มเกิดขึ้นได้สัก 2 เดือน นาย Stevens ก็ถูกส่งให้มาที่ Bengazi ในฐานะตัวแทนของอเมริกาสำหรับรัฐบาลผสมที่เกิดจากการปฏิวัติ อเมริกาได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว ว่าจะอยู่กับฝ่ายไหนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ และ Stevens ได้รับการมอบหมายให้มาสร้างสัมพันธ์กับประชาชนที่อเมริกาคาดว่า ในที่สุดจะเป็นฝ่ายปกครองประเทศ Bubakar เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในเมือง และเสนอตัวเป็นล่ามให้แก่ Stevens นาย Stevens เองพูดภาษาอารบิคได้ แต่เขาอยากใช้สำนวนภาษาการฑูตซึ่งชัดเจนกว่าในการเจรจาที่เป็นทางการ เขาจึงเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน Bubaker เป็นผู้พา Stevens เข้ารู้จักองค์กรภาคธุรกิจและทำหน้าที่เป็นเหมือนมือขวาของ Stevens ตลอดเวลาการสู้รบ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของสงคราม เขานับตัวเองว่าเป็นเพื่อนของ Stevens หลาย ๆ คน ก็คิดอย่างนั้น เพราะ Stevens เป็นคนประเภทคบเป็นเพื่อนง่าย Stevens ตั้งใจจะอยู่ที่ Benghazi เพียง 5 วัน เขามีประชุมวันจันทร์ที่ในเมือง และจะมีอีกหลายนัดนอกบริเวณกงสุลในวันพุธ ส่วนวันพฤหัส ดูเหมือนจะเป็นวันสำคัญที่สุดของการมา Benghazi เขาตั้งใจจะส่งมอบ “Benghazi Mission” ให้กับชาวลิเบีย และบริเวณกงสุลอเมริกันจะเรียกชื่อใหม่ว่า “An American Space” โดยจะมีการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวพื้นเมือง รวมทั้งการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ท การฉายภาพยนต์และมีห้องสมุด โดยฝ่ายอเมริกาจะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ หนังสือ และอุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ สนับสนุน และมอบให้เป็นสมบัติของคนพื้นเมือง ให้คนพื้นเมืองดูแลเอง Stevens หวังว่า “An American Spece” นี้ จะเป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนของ 2 ประเทศ หากได้มีการร่วมมือกัน Stevens มีความรู้สึกผูกพันธ์กับ Benghazi เมืองซึ่งชาวเมืองแสดงการต่อต้าน Qaddafi เป็นครั้งแรก เพราะเขาอยู่กับชาวเมืองตลอดเวลาของการต่อต้านนั้น ระหว่างการปฏิวัติ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตามถนน พูดคุย คลุกคลี และสำรวจเมือง Benghazi และผู้คน นาย Nathan tek เจ้าหน้าที่สถานฑูต รุ่นหนุ่มที่อยู่กับ Stevens มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 บอกว่า Stevens ชอบที่จะสำรวจเมืองอย่าง โดยไม่ต้องมีหน่วยคุ้มกันตัวโตถือปืนเดินตามประกบ เขาบอกว่า การที่เรามีเพื่อนมาก และเขาเห็นเราเป็นแขกของเขานั้นแหละสำคัญที่สุด ซึ่งชาว Benghazi โดยทั่วไปก็แสดงความเป็นมิตร แม้ในช่วงเดือนกันยายนนั้นเอง จะมีทหารเดินอยู่เต็มเมือง Stevens ก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนตารางของเขา เขาเอาบอดี้การ์ดมาด้วย 2 คนจาก Tripoli รวมกับอีก 3 คนจากหน่วยความมั่นคงที่ประจำที่ Benghazi อยู่แล้ว เขายกเลิกการวิ่งตอนเช้านอกบริเวณกงสุล และจัดให้การนัดพบทุกรายการอยู่ในบริเวณกงสุล อเมริกาได้ตั้งสถานกงสุลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2011 หลังจากโรงแรมที่พวกเขาเคยพักถูก ระเบิดถล่ม เขาเช่าวิลล่า 3 หลัง บริเวณติดต่อกัน ทุบกำแพงระหว่างวิลล่าทิ้ง และล้อมบริเวณ 3 วิลล่า เสียใหม่เป็นบริเวณเดียว ทำให้เป็นตึกเตี้ย ๆ 4 หลัง อยู่ท่ามกลางเถาต้นองุ่นและต้นฝรั่ง เพื่อนร่วมงานล้อเลียน Stevens ว่าสถานที่นี้น่าจะเรียกว่า “Château Christophe” แบบโรงผลิตไวน์มีชื่อ Château Christophe ถึงแม้จะเป็นเพียงสถานที่ชั่วคราว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม สถานที่กว้าง 300 หลา และลึก 300 หลา ทำให้ตัวตึกอยู่ลึกเข้ามาจากรั้วมากพอที่จะป้องกันการจู่โจมจากด้านนอก รั้วทุกด้านสูง 9 ฟุต และมีลวดหนามไฟฟ้ากั้นสูงไปจากรั้วอีก 3 ฟุต มีแผ่นเหล็กปลดลงมา ไว้ปิดกั้นไม่ให้รถวิ่งเข้ามาได้ และมีแท่งคอนกรีตกั้นทั้งภายในภายนอก สำหรับป้องกันการใช้รถวิ่งชน มีจอและกล้องคอยเฝ้า (monitor) ดูแลความปลอดภัยรอบบริเวณ ส่วนในบริเวณชั้นใน มีแผ่นเหล็กสำหรับปลดมาปิดกั้นและล็อคได้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อสามารถเปลี่ยนให้ภายในตึก นี้กลายเป็นห้องนิรภัย และภายในห้องนี้ ยังมีห้องเล็ก หลบซ่อนอยู่อีก ห้องเล็กนี้มีอาหาร น้ำ และเครื่องเวชภัณฑ์ โดยมองจากข้างนอกไม่มีทางเห็น Château Christophe ถือว่ามีการดูแลที่ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการปฎิบัติงานของคนระดับฑูตอเมริกัน Benghazi ต่างหากที่ยังไม่ปลอดภัย รัฐบาลลิเบียยังต้องจัดให้มีกำลังตำรวจที่เหมาะสม ความรุนแรงในเมืองมีอยู่ตลอดหน้าร้อน รวมทั้งบางส่วนยังมีเป้าหมายต่อต้านชาวตะวันตก จริง ๆ แล้ว Stevens ได้แจ้งไปทางวอชิงตันในเช้าวันที่ 11 นั้น เพื่อเตือนความจำเรื่องการไม่มีกฎหมายใช้บังคับที่ Benghazi ถึงอย่างนั้นตัวเมืองก็ดูสงบพอสมควรเมื่อ Stevens มาถึงและเขาคิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป Bubaker อยู่กับ Stevens ตลอดการประชุมต่าง ๆ ในตอนเช้า บ่าย 3 โมง เขาเช็คตารางของวันพุธ ซึ่งแน่นเต็ม นัดสุดท้ายของ Stevens วันนั้น คือ กาแฟกับนักการฑูตตุรกี ซึ่งเสร็จประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง Stevens เดินไปส่งแขกที่ประตูหน้า ซึ่งมีกองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งจ้างมาจากกองทหารที่ 17th of February Martyrs Brigade ซึ่งเป็นมิตรกับชาวอเมริกัน ประมาณ 700 ไมล์ไปทางตะวันออก ฝูงชนกำลังล้อมสถานฑูตสหรัฐที่กรุงไคโร ด้วยความเคียดแค้นจากวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อความละเมิดพระศาสดามูฮะหมัด แต่ทาง Benghazi ยังเงียบสงบ ถนนหน้า Château Christophe ว่างเปล่า Stevens เดินกลับมาที่ห้องของเขาที่ตึกกลาง ประมาณ 3 ทุ่ม 40 นาที เขาได้ยินเสียงปืนดัง เสียงปืนดังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาหรับยามค่ำคืน เสียงปืนดัง บางทีก็หมายถึงการฉลอง Stevens เคยบอกกับน้องชาย และเคยพูดตลกกับ Bubaker เวลาเขาได้ยินเสียงปืนว่า สงสัยวันนี้มีงานแต่งงานนะ แต่วันนี้จอควบคุมความปลอดภัยของกงสุล เห็นกลุ่มคนกำลังปีนเข้ามาที่ประตูหน้า คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 557 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลี้ยงไก่ชนส่งนอก ฟาร์มไก่ชนนารายณ์ ลำลูกกา ปทุมธานี
    #เลี้ยงไก่ #ฟาร์มไก่ #ลําลูกกา #ปทุมธานี #คลิปตลก #funny
    เลี้ยงไก่ชนส่งนอก ฟาร์มไก่ชนนารายณ์ ลำลูกกา ปทุมธานี #เลี้ยงไก่ #ฟาร์มไก่ #ลําลูกกา #ปทุมธานี #คลิปตลก #funny
    Like
    Love
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 903 มุมมอง 241 0 รีวิว
  • เคยเห็นคนชอบซีรีย์นี้เนื่องจากหลาย ๆ อย่าง ตัวคุณหมอเฮ้าเอง มุขตลกในเรื่อง ความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก ความซับซ้อนของตัวละครรอง ซึ่งผมเองก็สนุกกับสิ่งเหล่านั้น

    ผมรู้จัก ซีรีย์นี้ช่วงเรียนแพทย์ซึ่งมันสร้างแรงบันดานใจให้ผมอย่างมากในการเรียน เนื่องจากรู้สึกว่าเคสซับซ้อนมาก อาจจะเพราะเรายังเรียนไม่จบด้วย เลยเกิดอาการทึ่ง อึ้งหลายช๊อต ก็ต้องยอมรับว่าซีรีย์นี้เขียนได้ ทันสมัยช่วงนั้นมาก หลาย ๆ อย่างก็ยังคงใช้การรักษาแบบนั้นจนถึงวันนี้

    ช่วงนั้นหาเรื่องนี้มาดูได้แค่ 4 ซีซันเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ดูอีกเลย

    ตอนนี้เห็นนำมาฉายใหม่ใน เน็ตฟลิก ผมดูอีกครั้ง ก็ยังทึ่ง และจำเคสไม่ได้จริง ๆ บางโรคทำให้เราเห็นว่า การแสดงของโรคเป็นอย่างไร ซีรีย์ทำได้ดีมาก ถึงแม้จะเก่าแล้วการถ่ายทำก็สมจริงกว่าซีรีย์ในปัจจุบันหลายเรื่อง

    ผมตั้งใจว่าจะเขียนอธิบายเคสในแต่ละตอน โดยอ่านข้อมูลใน reference มาเขียนในเพจนี้ ถ้าน้องหมอคนไหน สนใจติดตามอ่านได้นะครับ

    ท้าวความก่อนว่า คุณหมอเฮ้าของเรานั้น เขามีปมในจิตใจหลายเรื่อง เคยบาดเจ็บเส้นประสาทขา มีอาการปวดเส้นประสาทเรื้อรัง จำเป็นต้องทานยาแก้ปวดบ่อยครั้งจนสามารถนับได้ว่าติดยาเลยทีเดียว ดังนั้น ท่าเดินถือไม้เท้า เดินกระแผลก พกยาแก้ปวดกินเป็นระยะ ๆ เรียกว่าเป็น iconic ของเขาเลยก็ว่าได้

    คุณหมอเฮ้า เป็นแพทย์สาขาไหนเหรอครับ?

    น่านสิ ไม่เคยเห็นเหมือนกัน คิดว่าน่าจะแต่งขึ้นนะครับ

    DIAGNOSTIC MEDICINE
    อายุรแพทย์การวินิจฉัย

    แค่ชื่อสาขาก็ว้าวแล้วครับ
    ครั้งหน้าผมจะมาบรรยาย SERIES 1 CHAPTER 1 นะครับ ฝากติดตามกันด้วยครับ
    เคยเห็นคนชอบซีรีย์นี้เนื่องจากหลาย ๆ อย่าง ตัวคุณหมอเฮ้าเอง มุขตลกในเรื่อง ความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก ความซับซ้อนของตัวละครรอง ซึ่งผมเองก็สนุกกับสิ่งเหล่านั้น ผมรู้จัก ซีรีย์นี้ช่วงเรียนแพทย์ซึ่งมันสร้างแรงบันดานใจให้ผมอย่างมากในการเรียน เนื่องจากรู้สึกว่าเคสซับซ้อนมาก อาจจะเพราะเรายังเรียนไม่จบด้วย เลยเกิดอาการทึ่ง อึ้งหลายช๊อต ก็ต้องยอมรับว่าซีรีย์นี้เขียนได้ ทันสมัยช่วงนั้นมาก หลาย ๆ อย่างก็ยังคงใช้การรักษาแบบนั้นจนถึงวันนี้ ช่วงนั้นหาเรื่องนี้มาดูได้แค่ 4 ซีซันเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ดูอีกเลย ตอนนี้เห็นนำมาฉายใหม่ใน เน็ตฟลิก ผมดูอีกครั้ง ก็ยังทึ่ง และจำเคสไม่ได้จริง ๆ บางโรคทำให้เราเห็นว่า การแสดงของโรคเป็นอย่างไร ซีรีย์ทำได้ดีมาก ถึงแม้จะเก่าแล้วการถ่ายทำก็สมจริงกว่าซีรีย์ในปัจจุบันหลายเรื่อง ผมตั้งใจว่าจะเขียนอธิบายเคสในแต่ละตอน โดยอ่านข้อมูลใน reference มาเขียนในเพจนี้ ถ้าน้องหมอคนไหน สนใจติดตามอ่านได้นะครับ ท้าวความก่อนว่า คุณหมอเฮ้าของเรานั้น เขามีปมในจิตใจหลายเรื่อง เคยบาดเจ็บเส้นประสาทขา มีอาการปวดเส้นประสาทเรื้อรัง จำเป็นต้องทานยาแก้ปวดบ่อยครั้งจนสามารถนับได้ว่าติดยาเลยทีเดียว ดังนั้น ท่าเดินถือไม้เท้า เดินกระแผลก พกยาแก้ปวดกินเป็นระยะ ๆ เรียกว่าเป็น iconic ของเขาเลยก็ว่าได้ คุณหมอเฮ้า เป็นแพทย์สาขาไหนเหรอครับ? น่านสิ ไม่เคยเห็นเหมือนกัน คิดว่าน่าจะแต่งขึ้นนะครับ DIAGNOSTIC MEDICINE อายุรแพทย์การวินิจฉัย แค่ชื่อสาขาก็ว้าวแล้วครับ ครั้งหน้าผมจะมาบรรยาย SERIES 1 CHAPTER 1 นะครับ ฝากติดตามกันด้วยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • สายัณห์ รุจิรโมรา

    Resource Talks
    $20,000 Gold Revaluation. Radiculous Or Reality?

    การปรับค่าทองคำ เรื่องตลกหรือเรื่องจริง

    Andy Schectman Aug 16, 2024

    24:35.....Resource Talks.....
    คอนเซ็ปท์เรื่องการปรับมูลค่าทองคำเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก เงื่อนไขมันต้องเป็นยังไงหรือ..ธนาคารกลางถึงจะต้องมีการปรับค่ากัน สำหรับผมมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมากไปหน่อยนะ

    Andy.....
    รุนแรงยังไง.. มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ปธน.รูสเวลท์ปรับค่าทองคำถึง 40% หลังจากที่ออกกฎหมายยึดทองคำจากประชาชนเมื่อปี 1933 ....ดังนั้นเมื่อเราเห็นธนาคารกลางทั่วโลกพากันเก็บสะสมทองคำในหกเดือนที่ผ่านมา มากกว่าทุกครั้งในประวัติศาสตร์ จีนมีการเพิ่มพรีเมี่ยมซึ่งเป็นการขึ้นราคาทองคำและซิลเวอร์ เพื่อจูงใจให้มีการย้ายทองคำจากตะวันตกเข้ามายังตะวันออกมากขึ้น

    ถ้าสมมติในทันที ..จีนมีการปรับค่าให้ทองคำมีราคา $10,000 ต่อออนซ์ จะเกิดอะไรขึ้น ....ใน balance sheet ของเกือบทุกธนาคารกลางที่มีการขาดทุนมหาศาลทางบัญชี ก็จะออฟเซ็ท..หายจากการขาดทุนในงบดุลทันที

    เรารู้ว่า Fed มีทางเลือกสองทางในการแก้ปัญหา หนึ่งคือเพิ่มเงินไปเรื่อย ๆ สองคือชักดาบหนี้ ซึ่ง Fed ก็เลือกทางพิมพ์เงินเพิ่มมาตลอด ...ทางเลือกที่สามคือ ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ แล้วหาผู้ร้ายมาเป็นเป็นแพะ ในกรณีนี้คือรัสเซียและก็หาเรื่องแซงค์ชั่นพวกเขา ยึดทรัพย์ที่ฝากเราเอาไว้ซะ ....แต่วิธีนี้เราได้ชาติที่ต่อต้าน ยืนตรงข้ามเรามากมายเลย พวกเขารวมกันเป็นกลุ่มที่ต่อต้านดอลลาร์ เพราะรู้ว่าอาจต้องเป็นเหยื่อของอาวุธดอลลาร์ซักวันหนึ่ง จากการที่ต้องเก็บดอลลาร์ไว้เป็นรีเสิร์ฟมากว่า 50 ปี เพื่อใช้ซื้อน้ำมันจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง

    แต่ตอนนี้กลุ่ม BRICS ก็โตขึ้นทุกวัน ...และแม้แต่ซาอุดิ อราเบียและกลุ่ม OPEC ก็เข้าไปอยู่กับ Belt Road Initiatives แล้ว ....เมื่อตอนที่มีการประชุม G7 ที่อิตาลี มีการเชิญมกุฎราชกุมารซาอุดิ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าร่วม แต่กลับส่งรัฐมนตรีคลังเข้าร่วมการประชุม BRICS ที่มีการประกาศหลักการของเรื่องเงิน UNIT ซึ่งมีการหนุนด้วยทองคำและใช้ mBridge ที่ซาอุดิฯ ร่วมอยู่ในกลุ่มผู้พัฒนาด้วย

    ประเทศเหล่านี้กำลังทิ้งพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งในที่สุดแล้ว ก็จะเกิดเงินเฟ้อที่เกิดจากดอลลาร์เหล่านั้นที่ไหลกลับประเทศ มีแต่อัตราดอกเบี้ยสูงเท่านั้นที่พอจะสู้กับอำนาจซื้อที่หายไปได้ แต่ดอกเบี้ย 5% จะไปสู้อะไรได้กับเงินเฟ้อ 30% ...และนั่นก็จะถึงเวลาของ Klaus Schwab ที่จะบอกว่า You will own nothing and be happy.

    ทั้งหมดนั้นเป็นสามทางเลือก ...Fed ยังมีทางเลือกที่สี่ คือการปรับมูลค่าของทองคำที่..ถ้ายังมีอยู่ ....ราคาที่ปรับจะต้องสูงมาก ๆ เพราะถ้าแค่ $4,000 ต่อออนซ์ จากทั้งหมดที่มี 261 ล้านออนซ์ (8,300 ตัน) มันก็ได้มาแค่ $1 trillion เท่านั้น แต่ถ้าถึงออนซ์ละ $120,000 ก็น่าจะพอใช้หนี้ของประเทศได้หมด

    แล้วก็เริ่มเงิน CBDC ใหม่ที่อิงกับทองคำไปได้เลย เพราะ IMF ก็รับรองไปแล้วว่าทองคำนี่แหละเป็น ทรัพย์สินชั้น tier1

    ทองคำเป็นทรัพย์สินที่ยอมรับกันทั้งในตะวันตกและทุกส่วนของโลก ไม่ใช่แค่นักลงทุนเท่านั้น แต่กับทุกคน

    30:48.....Resource Talks....
    เรื่องนี้จะเกิดได้ชั่วข้ามคืนเลยหรือเปล่า หรือจะต้องมีอะไรมาทำให้มันเกิดขึ้น?

    Andy.....
    ตอนนี้ แม้แต่รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นางเจเน็ต เยลเลน ก็ยังเร่ง Fed ให้มีการ revalue ทองคำเลย ถึงแม้จะไม่พูดผ่านทางสภา

    เรื่องทั้งหมด มันจะเกิดขึ้นแบบที่ละน้อยก่อน แต่แล้วก็จะเกิดขึ้นทันทีทันใดเลย ...Little by litle and then suddenly .....ดอลลาร์ค่อย ๆ เสื่อมสลายทีละนิดมานานนับสิบปีแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้จะถึง all at once moment แล้ว

    มีเรื่องของ Operation Sandman ที่ 150 ประเทศรวมตัวกันเตรียมทิ้งพันธบัตรสหรัฐที่มีอยู่พร้อมกัน เรียกว่าเป็นการเปิดสวิทช์ทีเดียวให้จบไปเลย เรื่องนี้อาจเป็นทฤษฎี แต่ก็มีความเป็นไปได้มาก

    หลายปีมานี้ ทำไมธนาคารกลางทั้งหลายถึงมีการสะสมทองคำกันมากขนาดที่เห็น ...และยังอีกกว่า 40 ประเทศมีการทวงคืนทองคำที่ฝากไว้ที่ลอนดอนและนิวยอร์ค แต่จะยังอยู่หรือเปล่า ในเมื่อผู้รับฝากมีการขายทองคำไปเพื่อทุบราคามาตลอดทั้งที่ Comex และ LBMA

    ใน White Paper ของ UNIT มีการพูดถึงทองคำที่จะมาหนุนค่านั้น เป็นทองคำที่อยู่ในมือของประชาชนที่เก็บอยู่ในประเทศสมาชิก โดยมีการ audit เป็นอิสระอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการส่งทองคำไปเก็บยังศูนย์กลาง โดยแต่ละประเทศมีบัญชี Escrow ระหว่างคู่สัญญา (ระบบการทำธุรกรรมที่มีการคุ้มครองทั้งสองฝ่าย)

    และทั้งหมดนี้ mBridge จะเป็นสื่อชำระเงินแทนการใช้ SWIFT ที่เราคุ้นกันมานาน

    BIS หรือธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เป็นผู้สนับสนุนให้ทองคำเป็นทรัพย์สิน tier1 มาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ...และยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนา mBridge อีกด้วย นับว่าเป็นผู้ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกมีการซื้อทองคำกันมากมายขนาดนี้

    นี่จะเป็นการตายของดอลลาร์ ....โลกกำลังจะเปลี่ยนจากระบบ trustless ไปสู่ระบบที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า
    สายัณห์ รุจิรโมรา Resource Talks $20,000 Gold Revaluation. Radiculous Or Reality? การปรับค่าทองคำ เรื่องตลกหรือเรื่องจริง Andy Schectman Aug 16, 2024 24:35.....Resource Talks..... คอนเซ็ปท์เรื่องการปรับมูลค่าทองคำเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก เงื่อนไขมันต้องเป็นยังไงหรือ..ธนาคารกลางถึงจะต้องมีการปรับค่ากัน สำหรับผมมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมากไปหน่อยนะ Andy..... รุนแรงยังไง.. มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ปธน.รูสเวลท์ปรับค่าทองคำถึง 40% หลังจากที่ออกกฎหมายยึดทองคำจากประชาชนเมื่อปี 1933 ....ดังนั้นเมื่อเราเห็นธนาคารกลางทั่วโลกพากันเก็บสะสมทองคำในหกเดือนที่ผ่านมา มากกว่าทุกครั้งในประวัติศาสตร์ จีนมีการเพิ่มพรีเมี่ยมซึ่งเป็นการขึ้นราคาทองคำและซิลเวอร์ เพื่อจูงใจให้มีการย้ายทองคำจากตะวันตกเข้ามายังตะวันออกมากขึ้น ถ้าสมมติในทันที ..จีนมีการปรับค่าให้ทองคำมีราคา $10,000 ต่อออนซ์ จะเกิดอะไรขึ้น ....ใน balance sheet ของเกือบทุกธนาคารกลางที่มีการขาดทุนมหาศาลทางบัญชี ก็จะออฟเซ็ท..หายจากการขาดทุนในงบดุลทันที เรารู้ว่า Fed มีทางเลือกสองทางในการแก้ปัญหา หนึ่งคือเพิ่มเงินไปเรื่อย ๆ สองคือชักดาบหนี้ ซึ่ง Fed ก็เลือกทางพิมพ์เงินเพิ่มมาตลอด ...ทางเลือกที่สามคือ ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ แล้วหาผู้ร้ายมาเป็นเป็นแพะ ในกรณีนี้คือรัสเซียและก็หาเรื่องแซงค์ชั่นพวกเขา ยึดทรัพย์ที่ฝากเราเอาไว้ซะ ....แต่วิธีนี้เราได้ชาติที่ต่อต้าน ยืนตรงข้ามเรามากมายเลย พวกเขารวมกันเป็นกลุ่มที่ต่อต้านดอลลาร์ เพราะรู้ว่าอาจต้องเป็นเหยื่อของอาวุธดอลลาร์ซักวันหนึ่ง จากการที่ต้องเก็บดอลลาร์ไว้เป็นรีเสิร์ฟมากว่า 50 ปี เพื่อใช้ซื้อน้ำมันจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แต่ตอนนี้กลุ่ม BRICS ก็โตขึ้นทุกวัน ...และแม้แต่ซาอุดิ อราเบียและกลุ่ม OPEC ก็เข้าไปอยู่กับ Belt Road Initiatives แล้ว ....เมื่อตอนที่มีการประชุม G7 ที่อิตาลี มีการเชิญมกุฎราชกุมารซาอุดิ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าร่วม แต่กลับส่งรัฐมนตรีคลังเข้าร่วมการประชุม BRICS ที่มีการประกาศหลักการของเรื่องเงิน UNIT ซึ่งมีการหนุนด้วยทองคำและใช้ mBridge ที่ซาอุดิฯ ร่วมอยู่ในกลุ่มผู้พัฒนาด้วย ประเทศเหล่านี้กำลังทิ้งพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งในที่สุดแล้ว ก็จะเกิดเงินเฟ้อที่เกิดจากดอลลาร์เหล่านั้นที่ไหลกลับประเทศ มีแต่อัตราดอกเบี้ยสูงเท่านั้นที่พอจะสู้กับอำนาจซื้อที่หายไปได้ แต่ดอกเบี้ย 5% จะไปสู้อะไรได้กับเงินเฟ้อ 30% ...และนั่นก็จะถึงเวลาของ Klaus Schwab ที่จะบอกว่า You will own nothing and be happy. ทั้งหมดนั้นเป็นสามทางเลือก ...Fed ยังมีทางเลือกที่สี่ คือการปรับมูลค่าของทองคำที่..ถ้ายังมีอยู่ ....ราคาที่ปรับจะต้องสูงมาก ๆ เพราะถ้าแค่ $4,000 ต่อออนซ์ จากทั้งหมดที่มี 261 ล้านออนซ์ (8,300 ตัน) มันก็ได้มาแค่ $1 trillion เท่านั้น แต่ถ้าถึงออนซ์ละ $120,000 ก็น่าจะพอใช้หนี้ของประเทศได้หมด แล้วก็เริ่มเงิน CBDC ใหม่ที่อิงกับทองคำไปได้เลย เพราะ IMF ก็รับรองไปแล้วว่าทองคำนี่แหละเป็น ทรัพย์สินชั้น tier1 ทองคำเป็นทรัพย์สินที่ยอมรับกันทั้งในตะวันตกและทุกส่วนของโลก ไม่ใช่แค่นักลงทุนเท่านั้น แต่กับทุกคน 30:48.....Resource Talks.... เรื่องนี้จะเกิดได้ชั่วข้ามคืนเลยหรือเปล่า หรือจะต้องมีอะไรมาทำให้มันเกิดขึ้น? Andy..... ตอนนี้ แม้แต่รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นางเจเน็ต เยลเลน ก็ยังเร่ง Fed ให้มีการ revalue ทองคำเลย ถึงแม้จะไม่พูดผ่านทางสภา เรื่องทั้งหมด มันจะเกิดขึ้นแบบที่ละน้อยก่อน แต่แล้วก็จะเกิดขึ้นทันทีทันใดเลย ...Little by litle and then suddenly .....ดอลลาร์ค่อย ๆ เสื่อมสลายทีละนิดมานานนับสิบปีแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้จะถึง all at once moment แล้ว มีเรื่องของ Operation Sandman ที่ 150 ประเทศรวมตัวกันเตรียมทิ้งพันธบัตรสหรัฐที่มีอยู่พร้อมกัน เรียกว่าเป็นการเปิดสวิทช์ทีเดียวให้จบไปเลย เรื่องนี้อาจเป็นทฤษฎี แต่ก็มีความเป็นไปได้มาก หลายปีมานี้ ทำไมธนาคารกลางทั้งหลายถึงมีการสะสมทองคำกันมากขนาดที่เห็น ...และยังอีกกว่า 40 ประเทศมีการทวงคืนทองคำที่ฝากไว้ที่ลอนดอนและนิวยอร์ค แต่จะยังอยู่หรือเปล่า ในเมื่อผู้รับฝากมีการขายทองคำไปเพื่อทุบราคามาตลอดทั้งที่ Comex และ LBMA ใน White Paper ของ UNIT มีการพูดถึงทองคำที่จะมาหนุนค่านั้น เป็นทองคำที่อยู่ในมือของประชาชนที่เก็บอยู่ในประเทศสมาชิก โดยมีการ audit เป็นอิสระอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการส่งทองคำไปเก็บยังศูนย์กลาง โดยแต่ละประเทศมีบัญชี Escrow ระหว่างคู่สัญญา (ระบบการทำธุรกรรมที่มีการคุ้มครองทั้งสองฝ่าย) และทั้งหมดนี้ mBridge จะเป็นสื่อชำระเงินแทนการใช้ SWIFT ที่เราคุ้นกันมานาน BIS หรือธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เป็นผู้สนับสนุนให้ทองคำเป็นทรัพย์สิน tier1 มาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ...และยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนา mBridge อีกด้วย นับว่าเป็นผู้ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกมีการซื้อทองคำกันมากมายขนาดนี้ นี่จะเป็นการตายของดอลลาร์ ....โลกกำลังจะเปลี่ยนจากระบบ trustless ไปสู่ระบบที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 0 รีวิว
  • #พรรคส้มปล่อยไมไ่ด้แล้วอาการหนักขนาดนี้
    เจี๊ยบอมเกียร์ เตรี้ยหลังม๊อบ อาการหลังพรรคโดนยุบ
    โพสบ่งบอกถึงสุขภาพจิตที่เริ่มไม่ไหว
    อาจเพราะจากความชราที่แสดงออกมาทางผิวหนัง
    ที่ทั้งย้อย หย่อน ยาน จนเห็นได้ชัด
    ถ้ามีผู้สูงวัยที่บ้าน โพสแบบนี้
    ลูกหลานต้องพาไปหาศรีธัญญาด่วนมาก
    สำหรับ อี-ด-อ-ก ค-อ-ม-มิ-ว-นิ-ส ตกยุคตัวนี้นะ
    เดี๋ยวพอคดีย์ 112 ที่กำลังเข้าสู่กระบวนการทำงานนะ
    จะปรี๊ดยิ่งกว่านี้ ตลกอินี่ หมิ่นสถาบันก็ทำเอง
    หยามฟ้า ปลุกระดมทำเองหมด
    พอไม่ได้ดั่งใจก็โยนให้สถาบัน
    กฏหมายตัดสินก็โทษสถาบัน
    เมิงไม่ต้องโกรธใครให้ท้องผูกหรอก
    แ-ค้-นตัวเมิงเองนั่นแหละที่ ร่าง เ-ตี้-ย ยังไม่พอ
    สั-น-ด-า-น ยังต่ำตม สุรชัย ผัวคอมมิวยังต้อง
    แกล้งตุย หนีอินี่เลยคิดดู
    คนอย่างอินี่ ไม่จากไปอย่างสงบแน่นอน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #พรรคส้มปล่อยไมไ่ด้แล้วอาการหนักขนาดนี้ เจี๊ยบอมเกียร์ เตรี้ยหลังม๊อบ อาการหลังพรรคโดนยุบ โพสบ่งบอกถึงสุขภาพจิตที่เริ่มไม่ไหว อาจเพราะจากความชราที่แสดงออกมาทางผิวหนัง ที่ทั้งย้อย หย่อน ยาน จนเห็นได้ชัด ถ้ามีผู้สูงวัยที่บ้าน โพสแบบนี้ ลูกหลานต้องพาไปหาศรีธัญญาด่วนมาก สำหรับ อี-ด-อ-ก ค-อ-ม-มิ-ว-นิ-ส ตกยุคตัวนี้นะ เดี๋ยวพอคดีย์ 112 ที่กำลังเข้าสู่กระบวนการทำงานนะ จะปรี๊ดยิ่งกว่านี้ ตลกอินี่ หมิ่นสถาบันก็ทำเอง หยามฟ้า ปลุกระดมทำเองหมด พอไม่ได้ดั่งใจก็โยนให้สถาบัน กฏหมายตัดสินก็โทษสถาบัน เมิงไม่ต้องโกรธใครให้ท้องผูกหรอก แ-ค้-นตัวเมิงเองนั่นแหละที่ ร่าง เ-ตี้-ย ยังไม่พอ สั-น-ด-า-น ยังต่ำตม สุรชัย ผัวคอมมิวยังต้อง แกล้งตุย หนีอินี่เลยคิดดู คนอย่างอินี่ ไม่จากไปอย่างสงบแน่นอน #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ กมลา แฮร์ริสและทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาอย่างเป็นทางการ วอลซ์มีพื้นฐานประสบการณ์เป็นครู เคยสอนที่จีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนกลางได้และ ยังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง

    7 สิงหาคม 2567-ในแถลงการณ์ พรรคเดโมแครตระบุว่าผู้แทนการประชุมใหญ่ 99 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนให้แฮร์ริสลงคะแนนเสียงซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ วอลซ์ "ได้รับการรับรอง" ให้เป็นคู่ตัวแทนในการเลือกตั้งของเธอโดยมินยาน มัวร์ ประธานการประชุมใหญ่

    พรรคยังคงวางแผนที่จะจัด "พิธีการเรียกชื่อ" ในชิคาโกในช่วงปลายเดือนนี้ แม้ว่าจะไม่มีการผูกมัดเหมือนปีที่แล้วก็ตาม

    ขณะทึ่ พรรคเดโมแครตบางคนกลัวว่าการฟ้องร้องอาจทำให้ผู้สมัครของตนต้องออกจากการลงคะแนนเสียง กรณี ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง

    แม้ว่าแฮร์ริสจะไม่คาดว่าจะชนะคะแนนเสียงเลือกตั้ง 17 เสียงของรัฐโอไฮโอ แต่พรรคยังมีการเลือกตั้งอื่นๆ ตามมา พวกเขากลัวว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับผู้สมัครคนสำคัญอาจส่งผลต่อการแข่งขันที่สูสีเพื่อชิงที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งพรรคจะต้องรักษาโอกาสที่แท้จริงในการรักษาการควบคุมสภาแห่งนั้นของรัฐสภาไว้

    รายงานข่าว Politico ระบุว่า 55 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tim Walz ผู้ได้รับเลือกจาก Kamala Harris ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
    ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาเคยทำงานในกองกำลังป้องกันประเทศและเป็นครูมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมืองในช่วงต้นทศวรรษปี 2000

    1.Walz เกิดที่เวสต์พอยต์ เมืองในเนแบรสกาที่มีประชากรเพียง 3,500 คน แต่เขาเติบโตในเมืองที่เล็กกว่าชื่อบิวต์

    2.Walz สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมบิวต์ในปี 1982 “ผมมาจากเมืองที่มีประชากร 400 คน มีเด็ก 24 คนในหนึ่งห้อง ลูกพี่ลูกน้อง 12 คน ทำฟาร์ม มีเรื่องแบบนี้ด้วย”

    3.Walz ยกย่องการเติบโตในชนบทของเขาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของค่านิยมของเขา: “เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีบริการแบบนั้นและมีโรงเรียนรัฐบาลที่มีครูของรัฐ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในเมืองเล็กๆ”

    4.Walz เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศเมื่ออายุได้ 17 ปี

    5.ในสำนักงานรัฐสภาของเขา Walz ได้จัดแสดงเหรียญ "ท้าทาย" หลายร้อยเหรียญที่เขาสะสมและแลกเปลี่ยนมาหลายปีทั่วโลก

    6.พ่อของ Walz ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ Walz อายุได้ 19 ปี Walz กล่าวว่าช่วงเวลานี้จุดประกายความคิดของเขาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ: “สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพ่อทำให้แม่ของผมต้องกลับไปทำงานเป็นเวลาสิบปีเพื่อชำระหนี้โรงพยาบาล”

    7.Walz สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสังคมศาสตร์จาก Chadron State College ในปี 1989 เขาได้รับปริญญาโทสาขาความเป็นผู้นำทางการศึกษาจาก Minnesota State University, Mankato ในปี 2001

    8.หลังจากเรียนจบวิทยาลัย เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการสอนที่ประเทศจีน ก่อนจะกลับมาทำงานเต็มเวลาในกองทัพ เขาเดินทางไปประเทศจีนกับกลุ่มครูชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เพื่อสอนในโรงเรียนมัธยมของจีน

    9.เขายังคงพูดภาษาจีนกลางได้

    10.เขาสอนหนังสือในเขตสงวน Pine Ridge ในเซาท์ดาโคตา “ผมบอกกับผู้คนว่าการจัดการโรงอาหารของโรงเรียนมัธยมมาหลายปีช่วยฝึกให้ผมรับมือกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.”

    11.เขาเลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก ก่อนจะเกษียณจากกองพันปืนใหญ่ภาคสนามที่ 1-125 ในปี 2005 เขาทำหน้าที่ทั้งหมด 24 ปี

    12.Walz ได้พบกับ Gwen Whipple ซึ่งเป็นภรรยาในอนาคตของเขา ซึ่งเป็นชาวมินนิโซตาโดยกำเนิด เนื่องจากทั้งคู่เป็นครูโรงเรียนมัธยมในห้องเรียนชั่วคราว สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่เขาส่งเสียงดังรบกวนห้องเรียนของเธอ

    13.ในที่สุดทั้งสองก็ย้ายไปที่เมือง Mankato รัฐมินนิโซตา ซึ่งทั้งคู่ทำงานที่โรงเรียนมัธยม Mankato West “Gwen ชอบใช้ชีวิตในมินนิโซตาตอนใต้มาก เราคว้าโอกาสที่จะย้ายไปที่เมือง Mankato และเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน”

    14.Walz สอนภูมิศาสตร์และเป็นโค้ชฟุตบอลในโรงเรียนมัธยม “ฉันไม่รู้ว่าครูภูมิศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมทุกคนคาดหวังว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งนี้ในสักวันหนึ่งหรือไม่”

    15.เขาเป็นที่ปรึกษาคณะสำหรับกลุ่มพันธมิตรเกย์-กลุ่มแรกของโรงเรียนในปี 1999

    16.Walz วัย 60 ปี ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแก่กว่าวัย Walz ตอบโต้เรื่องนี้ในรายการ X โดยกล่าวว่าเป็นเพราะเขา "ดูแลโรงอาหารมา 20 ปี คุณไม่สามารถออกจากงานนั้นโดยมีผมเต็มหัว เชื่อฉันเถอะ"

    17.เขามีลูกสองคนคือ Hope และ Gus Hope เพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยในมอนทานา และ Gus กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมของรัฐในเซนต์พอล

    18.ลูกทั้งสองคนเกิดจากกระบวนการ IVF และการรักษาภาวะมีบุตรยาก: "มีเหตุผลที่เราตั้งชื่อ [ลูกสาวของเรา] ว่า Hope"

    19.งานแรกของ Walz ในแวดวงการเมืองคือเป็นสมาชิกแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ John Kerry ในปี 2004 แคมเปญดังกล่าวจ้างเขาให้เป็นผู้ประสานงานแคมเปญระดับมณฑลและผู้ประสานงานระดับมณฑลของทหารผ่านศึกสำหรับเคอร์รี

    20.เขาบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าร่วมแคมเปญของเคอร์รีหลังจากที่เขาพาเด็กนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งไปร่วมชุมนุมหาเสียงของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ซักถามนักเรียนคนหนึ่งของเขาเนื่องจากเขามีสติกเกอร์ของเคอร์รีติดอยู่บนกระเป๋าสตางค์

    21.วอลซ์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับสถานการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในปีนั้น เขตเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ตั้งของทั้งคลินิกเมโยและบริษัทแปรรูปเนื้อฮอร์เมล เคยลงคะแนนเสียงให้กับจอร์จ ดับเบิลยู บุชมาแล้วถึงสองครั้ง

    22.เขาเป็นทหารเกณฑ์ที่มียศสูงสุดที่เคยรับใช้ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของรัฐมินนิโซตาคนที่สี่ที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของเขา 23.
    Walz เอาชนะ Gil Gutknecht สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันคนปัจจุบันได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะใช้เงินน้อยกว่าเกือบครึ่งล้านดอลลาร์ก็ตาม

    24.Walz ชนะการเลือกตั้งซ้ำอีก 5 ครั้งในเขตที่ 1 ของมินนิโซตา ซึ่งเป็นเขตชนบทส่วนใหญ่และอนุรักษ์นิยม โดยดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลา 12 ปี

    25.เมื่อ Walz เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร Walz ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมกับ Paul Hodes สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐนิวแฮมป์เชียร์

    26.เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการกิจการทหารผ่านศึกของสภาผู้แทนราษฎรในปี 2017 โดยเขาเน้นที่ประเด็นต่างๆ เช่น สุขภาพจิตของทหารผ่านศึก การฆ่าตัวตาย และการจัดการความเจ็บปวด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง

    27.ร่างกฎหมายมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ Walz ร่วมสนับสนุนระหว่างปี 2015-2017 ได้รับการเสนอโดยผู้ที่ไม่ใช่พรรคเดโมแครต

    28.ครั้งหนึ่ง Walz เคยได้รับคะแนน "A" จาก National Rifle Association และการรับรองของกลุ่ม ในปี 2016 นิตยสาร Guns & Ammo ได้รวมเขาไว้ในรายชื่อนักการเมือง 20 อันดับแรกสำหรับผู้เป็นเจ้าของปืน

    29.ต่อมา เขาประณาม NRA และสนับสนุนมาตรการควบคุมปืน เช่น การห้ามใช้อาวุธจู่โจม ในช่วงหาเสียงครั้งแรกเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐในปี 2018 NRA ได้ลดระดับคะแนนของเขาลงอย่างสิ้นเชิง "ผมได้รับคะแนน A จาก NRA ตอนนี้ผมได้ F ตลอดเลย และผมก็หลับสบาย"

    30.ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ยิงกันที่ลาสเวกัสในปี 2017 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 59 ราย เขาบริจาคเงินบริจาคหาเสียงจาก NRA ให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ช่วยเหลือครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะปฏิบัติหน้าที่

    31.Walz เป็นนักล่าตัวยงและเยาะเย้ย JD Vance ที่พูดถึงปืนในขณะที่ "ฉันรับรองได้ว่าเขายิงไก่ฟ้าไม่ได้เหมือนฉัน"

    32.ในปี 2019 Walz ออกจากสภาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา เขาเอาชนะ Jeff Johnson จากพรรครีพับลิกันไปมากกว่า 11 คะแนน

    33.Walz มักจะปกป้องนโยบายของเขา เช่น ร่างกฎหมายอาหารกลางวันในโรงเรียนทั่วไปที่ลงนามในกฎหมายของรัฐมินนิโซตาเมื่อต้นปีนี้ โดยอ้างว่าเป็นสามัญสำนึก "ช่างเป็นสัตว์ประหลาด! เด็กๆ กินอิ่มและอิ่มท้องเพื่อที่พวกเขาจะได้ไปเรียนรู้ และผู้หญิงก็ตัดสินใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเอง" Walz พูดติดตลก

    34.ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง “ฉันเชื่ออย่างแน่นอนว่าการบริหารของเรา ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันประเทศ ตำรวจทางหลวง หรือกรมทรัพยากรธรรมชาติ บุคลากรแนวหน้าของเราตอบสนองอย่างมีเกียรติและกล้าหาญ พวกเขาช่วยชีวิตคนไว้ได้” วอลซ์กล่าว “รายงานด้านเดียวที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ถ้ามีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะใช้แน่นอน”

    35.ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วอลซ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวทางการโจมตีล่าสุดของพรรคเดโมแครตต่อบัตรลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน เมื่อเขาเรียกทรัมป์และแวนซ์ว่า “คนพวกนี้ประหลาดจริงๆ”

    36.เขาให้สัมภาษณ์กับ POLITICO ในปี 2023 ว่า “เมื่อเราลงแข่งกับพรรครีพับลิกันทั่วไป การแข่งขันของเรามักจะสูสีกันมาก แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า [พรรครีพับลิกันทั่วไป] พวกนี้ประหลาด เมื่อพวกเขาเริ่มลงสมัคร ความแปลกประหลาดของพวกเขาก็ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ได้รับการเสนอชื่อในฝั่งตรงข้าม ฉันไม่คิดว่ามันจะน่าแปลกใจขนาดนั้น”

    37.Walz บอกกับ The New York Times ว่าความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับความแปลกประหลาดนั้นเกี่ยวกับ Trump และ Vance ไม่ใช่พรรครีพับลิกันโดยทั่วไป “และคำว่า ‘แปลกประหลาด’ นั้นเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้พูดถึงพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน ฉันไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้น ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนพรรครีพับลิกันของฉัน เพราะว่าคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้นคือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากข้อความที่เรากำลังส่งถึง”

    38.เมื่อปีที่แล้ว บารัค โอบามายกย่อง Walz เมื่อพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของมินนิโซตาได้ควบคุมคฤหาสน์ของผู้ว่าการ รัฐสภา และวุฒิสภาของรัฐ

    39.Walz พบกับรองผู้ว่าการรัฐ Peggy Flanagan เป็นครั้งแรกเมื่อเขาเข้าร่วม Wellstone Action ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของวุฒิสมาชิก Paul Wellstone ในปี 2002 เพื่อฝึกอบรมผู้จัดงาน นักเคลื่อนไหว และผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีแนวคิดก้าวหน้า “ฉันไปที่นั่นและได้พบกับผู้ฝึกสอนสาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งกลายเป็น Peggy Flanagan นั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพของเรา”

    40.หลังจากที่รัฐมินนิโซตาประกาศให้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจถูกกฎหมายเมื่อปีที่แล้ว Walz ได้แต่งตั้งเจ้าของร้านขายกัญชาให้เป็นผู้กำกับดูแลกัญชาชั้นนำของรัฐ วันรุ่งขึ้น Erin DuPree ผู้ประกอบการด้านกัญชาได้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ Star Tribune รายงานว่าเธอขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายในร้านกัญชาของเธอและถูกยึดภาษีของรัฐบาลกลางและถูกตัดสินจำคุก ต่อมาสำนักงานผู้ตรวจสอบนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลมินนิโซตาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้พบว่าสำนักงานของผู้ว่าการรัฐได้ละเลยขั้นตอนการตรวจสอบประวัติพื้นฐานบางขั้นตอนก่อนที่จะแต่งตั้ง DuPree

    41.ในเดือนธันวาคม 2023 วอลซ์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้ว่าการรัฐของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องและเพิ่มส่วนแบ่งของผู้บริหารสูงสุดของพรรคในแต่ละรัฐ “ตอนนี้ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งแล้วว่าผู้ว่าการรัฐสามารถสร้างความแตกต่างได้ เราเห็นสิ่งนี้ในมินนิโซตา เราเห็นสิ่งนี้ในมิชิแกน เราเห็นสิ่งนี้ในโคโลราโด เราเห็นว่ารัฐทั้งสามแห่งนี้ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น”

    42.เครื่องดื่มที่เขาเลือกคือ Diet Mountain Dew เขาถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในเนแบรสกาในปี 1995 ก่อนที่จะเลิกดื่ม

    43.วอลซ์เป็นนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการในเมืองแฝดของมินนิโซตา: “ฉันพบว่าแม้กระทั่งก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กดดันที่สุด หากฉันออกไปวิ่ง ฉันจะสงบและมีสติมากขึ้น”

    44.เขาชอบซ่อมแซม International Scout สีน้ำเงินแบบวินเทจของเขา ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่บริษัท International Harvester หยุดผลิตในปี 1980

    45.เขามีป้ายทะเบียนพิเศษที่เขียนว่า “ONE MN” ซึ่งเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ

    46.Walz สัญญากับ Gus ลูกชายของเขาว่าจะเลี้ยงสุนัขหากเขาชนะการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้ง Gus ก็อุทานออกมาว่า “ฉันจะเลี้ยงสุนัข!” Walz ทำตามสัญญาโดยรับ Scout ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ผสมสีดำมาเลี้ยงในช่วงปลายปี

    47.Walz และ Scout มักจะไปเยี่ยมสวนสาธารณะสำหรับสุนัขใน Twin Cities โดยไม่ต้องจูงสายจูงในตอนเช้าทุกวัน

    48.Walz ลงนามในร่างกฎหมายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขยายสิทธิในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกประมาณ 55,000 คน

    49.Walz ได้พบกับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐอเมริกาเพื่อลงนามในจดหมายแสดงความเข้าใจซึ่งสร้างความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างมินนิโซตาและภูมิภาคทางตอนเหนือของยูเครนที่เรียกว่าเชอร์นิฮิฟ “เมื่อเราขับไล่พวกรัสเซียออกไปแล้ว เราก็จะมีความร่วมมือกัน” Walz กล่าว “มันเป็นการแสดงมิตรภาพที่สำคัญจริงๆ และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญจริงๆ”

    50.ในปี 2023 Walz ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปกป้องการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ “ในขณะที่รัฐต่างๆ ทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อห้ามการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ เราต้องการให้ชาวมินนิโซตาที่เป็น LGBTQ รู้ว่าพวกเขาจะยังคงปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง และได้รับการต้อนรับในมินนิโซตาต่อไป” Walz กล่าว

    51.อาหารจานร้อนมันฝรั่งทอดของเขา ซึ่งเป็นอาหารไม่เป็นทางการของมินนิโซตา เป็นแชมป์รายการอาหารจานร้อนของคณะผู้แทนรัฐสภามินนิโซตาถึงสามสมัย เขาชนะในปี 2013, 2014 และ 2016

    52.เขาประกาศตัวเองว่าเป็นนักอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีเมื่อพูดถึงหนังสือ “ผมเพิ่งอ่านซีรีส์ Mortal Engines จบไป ผมอ่านนิยายสำหรับวัยรุ่นหลายเล่มเพราะผมอ่านกับลูกๆ ผมอ่านเล่มนั้นกับ Gus” เขากล่าวในปี 2019 “และผมเพิ่งอ่านเล่มหนึ่งจบซึ่งผมไม่แนะนำให้อ่านเพราะมันน่ากลัวมาก: Command and Control หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์คลังอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา”

    53.เพลงโปรดของเขาโดย Bob Dylan หนึ่งในคนดังที่โด่งดังที่สุดของรัฐมินนิโซตาคือเพลง “Forever Young” ซึ่งมี “ข้อความอมตะจากพ่อถึงลูกชาย” ตามที่ Walz กล่าว

    54.เขามีความสุขกับการได้ดื่มนมไม่อั้นที่งาน Minnesota State Fair มากจนถึงขนาดที่เขาอาสาทำงานที่บูธในปี 2022

    55.Walz เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาล เขาพยายามวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “ผมคิดว่าผู้คนควรคาดหวังให้รัฐบาลมีแนวคิดก้าวหน้าและคาดการณ์ล่วงหน้า” เขากล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งในปี 2019 “หลายๆ สิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นอุบัติเหตุหรือโอกาส แท้จริงแล้วเป็นเพียงการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี”

    ที่มา : Politico.com

    #Thaitimes
    พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ กมลา แฮร์ริสและทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาอย่างเป็นทางการ วอลซ์มีพื้นฐานประสบการณ์เป็นครู เคยสอนที่จีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนกลางได้และ ยังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง 7 สิงหาคม 2567-ในแถลงการณ์ พรรคเดโมแครตระบุว่าผู้แทนการประชุมใหญ่ 99 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนให้แฮร์ริสลงคะแนนเสียงซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ วอลซ์ "ได้รับการรับรอง" ให้เป็นคู่ตัวแทนในการเลือกตั้งของเธอโดยมินยาน มัวร์ ประธานการประชุมใหญ่ พรรคยังคงวางแผนที่จะจัด "พิธีการเรียกชื่อ" ในชิคาโกในช่วงปลายเดือนนี้ แม้ว่าจะไม่มีการผูกมัดเหมือนปีที่แล้วก็ตาม ขณะทึ่ พรรคเดโมแครตบางคนกลัวว่าการฟ้องร้องอาจทำให้ผู้สมัครของตนต้องออกจากการลงคะแนนเสียง กรณี ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง แม้ว่าแฮร์ริสจะไม่คาดว่าจะชนะคะแนนเสียงเลือกตั้ง 17 เสียงของรัฐโอไฮโอ แต่พรรคยังมีการเลือกตั้งอื่นๆ ตามมา พวกเขากลัวว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับผู้สมัครคนสำคัญอาจส่งผลต่อการแข่งขันที่สูสีเพื่อชิงที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งพรรคจะต้องรักษาโอกาสที่แท้จริงในการรักษาการควบคุมสภาแห่งนั้นของรัฐสภาไว้ รายงานข่าว Politico ระบุว่า 55 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tim Walz ผู้ได้รับเลือกจาก Kamala Harris ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาเคยทำงานในกองกำลังป้องกันประเทศและเป็นครูมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมืองในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 1.Walz เกิดที่เวสต์พอยต์ เมืองในเนแบรสกาที่มีประชากรเพียง 3,500 คน แต่เขาเติบโตในเมืองที่เล็กกว่าชื่อบิวต์ 2.Walz สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมบิวต์ในปี 1982 “ผมมาจากเมืองที่มีประชากร 400 คน มีเด็ก 24 คนในหนึ่งห้อง ลูกพี่ลูกน้อง 12 คน ทำฟาร์ม มีเรื่องแบบนี้ด้วย” 3.Walz ยกย่องการเติบโตในชนบทของเขาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของค่านิยมของเขา: “เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีบริการแบบนั้นและมีโรงเรียนรัฐบาลที่มีครูของรัฐ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในเมืองเล็กๆ” 4.Walz เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศเมื่ออายุได้ 17 ปี 5.ในสำนักงานรัฐสภาของเขา Walz ได้จัดแสดงเหรียญ "ท้าทาย" หลายร้อยเหรียญที่เขาสะสมและแลกเปลี่ยนมาหลายปีทั่วโลก 6.พ่อของ Walz ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ Walz อายุได้ 19 ปี Walz กล่าวว่าช่วงเวลานี้จุดประกายความคิดของเขาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ: “สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพ่อทำให้แม่ของผมต้องกลับไปทำงานเป็นเวลาสิบปีเพื่อชำระหนี้โรงพยาบาล” 7.Walz สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสังคมศาสตร์จาก Chadron State College ในปี 1989 เขาได้รับปริญญาโทสาขาความเป็นผู้นำทางการศึกษาจาก Minnesota State University, Mankato ในปี 2001 8.หลังจากเรียนจบวิทยาลัย เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการสอนที่ประเทศจีน ก่อนจะกลับมาทำงานเต็มเวลาในกองทัพ เขาเดินทางไปประเทศจีนกับกลุ่มครูชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เพื่อสอนในโรงเรียนมัธยมของจีน 9.เขายังคงพูดภาษาจีนกลางได้ 10.เขาสอนหนังสือในเขตสงวน Pine Ridge ในเซาท์ดาโคตา “ผมบอกกับผู้คนว่าการจัดการโรงอาหารของโรงเรียนมัธยมมาหลายปีช่วยฝึกให้ผมรับมือกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.” 11.เขาเลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก ก่อนจะเกษียณจากกองพันปืนใหญ่ภาคสนามที่ 1-125 ในปี 2005 เขาทำหน้าที่ทั้งหมด 24 ปี 12.Walz ได้พบกับ Gwen Whipple ซึ่งเป็นภรรยาในอนาคตของเขา ซึ่งเป็นชาวมินนิโซตาโดยกำเนิด เนื่องจากทั้งคู่เป็นครูโรงเรียนมัธยมในห้องเรียนชั่วคราว สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่เขาส่งเสียงดังรบกวนห้องเรียนของเธอ 13.ในที่สุดทั้งสองก็ย้ายไปที่เมือง Mankato รัฐมินนิโซตา ซึ่งทั้งคู่ทำงานที่โรงเรียนมัธยม Mankato West “Gwen ชอบใช้ชีวิตในมินนิโซตาตอนใต้มาก เราคว้าโอกาสที่จะย้ายไปที่เมือง Mankato และเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน” 14.Walz สอนภูมิศาสตร์และเป็นโค้ชฟุตบอลในโรงเรียนมัธยม “ฉันไม่รู้ว่าครูภูมิศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมทุกคนคาดหวังว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งนี้ในสักวันหนึ่งหรือไม่” 15.เขาเป็นที่ปรึกษาคณะสำหรับกลุ่มพันธมิตรเกย์-กลุ่มแรกของโรงเรียนในปี 1999 16.Walz วัย 60 ปี ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแก่กว่าวัย Walz ตอบโต้เรื่องนี้ในรายการ X โดยกล่าวว่าเป็นเพราะเขา "ดูแลโรงอาหารมา 20 ปี คุณไม่สามารถออกจากงานนั้นโดยมีผมเต็มหัว เชื่อฉันเถอะ" 17.เขามีลูกสองคนคือ Hope และ Gus Hope เพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยในมอนทานา และ Gus กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมของรัฐในเซนต์พอล 18.ลูกทั้งสองคนเกิดจากกระบวนการ IVF และการรักษาภาวะมีบุตรยาก: "มีเหตุผลที่เราตั้งชื่อ [ลูกสาวของเรา] ว่า Hope" 19.งานแรกของ Walz ในแวดวงการเมืองคือเป็นสมาชิกแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ John Kerry ในปี 2004 แคมเปญดังกล่าวจ้างเขาให้เป็นผู้ประสานงานแคมเปญระดับมณฑลและผู้ประสานงานระดับมณฑลของทหารผ่านศึกสำหรับเคอร์รี 20.เขาบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าร่วมแคมเปญของเคอร์รีหลังจากที่เขาพาเด็กนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งไปร่วมชุมนุมหาเสียงของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ซักถามนักเรียนคนหนึ่งของเขาเนื่องจากเขามีสติกเกอร์ของเคอร์รีติดอยู่บนกระเป๋าสตางค์ 21.วอลซ์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับสถานการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในปีนั้น เขตเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ตั้งของทั้งคลินิกเมโยและบริษัทแปรรูปเนื้อฮอร์เมล เคยลงคะแนนเสียงให้กับจอร์จ ดับเบิลยู บุชมาแล้วถึงสองครั้ง 22.เขาเป็นทหารเกณฑ์ที่มียศสูงสุดที่เคยรับใช้ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของรัฐมินนิโซตาคนที่สี่ที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของเขา 23. Walz เอาชนะ Gil Gutknecht สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันคนปัจจุบันได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะใช้เงินน้อยกว่าเกือบครึ่งล้านดอลลาร์ก็ตาม 24.Walz ชนะการเลือกตั้งซ้ำอีก 5 ครั้งในเขตที่ 1 ของมินนิโซตา ซึ่งเป็นเขตชนบทส่วนใหญ่และอนุรักษ์นิยม โดยดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลา 12 ปี 25.เมื่อ Walz เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร Walz ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมกับ Paul Hodes สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐนิวแฮมป์เชียร์ 26.เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการกิจการทหารผ่านศึกของสภาผู้แทนราษฎรในปี 2017 โดยเขาเน้นที่ประเด็นต่างๆ เช่น สุขภาพจิตของทหารผ่านศึก การฆ่าตัวตาย และการจัดการความเจ็บปวด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง 27.ร่างกฎหมายมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ Walz ร่วมสนับสนุนระหว่างปี 2015-2017 ได้รับการเสนอโดยผู้ที่ไม่ใช่พรรคเดโมแครต 28.ครั้งหนึ่ง Walz เคยได้รับคะแนน "A" จาก National Rifle Association และการรับรองของกลุ่ม ในปี 2016 นิตยสาร Guns & Ammo ได้รวมเขาไว้ในรายชื่อนักการเมือง 20 อันดับแรกสำหรับผู้เป็นเจ้าของปืน 29.ต่อมา เขาประณาม NRA และสนับสนุนมาตรการควบคุมปืน เช่น การห้ามใช้อาวุธจู่โจม ในช่วงหาเสียงครั้งแรกเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐในปี 2018 NRA ได้ลดระดับคะแนนของเขาลงอย่างสิ้นเชิง "ผมได้รับคะแนน A จาก NRA ตอนนี้ผมได้ F ตลอดเลย และผมก็หลับสบาย" 30.ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ยิงกันที่ลาสเวกัสในปี 2017 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 59 ราย เขาบริจาคเงินบริจาคหาเสียงจาก NRA ให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ช่วยเหลือครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะปฏิบัติหน้าที่ 31.Walz เป็นนักล่าตัวยงและเยาะเย้ย JD Vance ที่พูดถึงปืนในขณะที่ "ฉันรับรองได้ว่าเขายิงไก่ฟ้าไม่ได้เหมือนฉัน" 32.ในปี 2019 Walz ออกจากสภาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา เขาเอาชนะ Jeff Johnson จากพรรครีพับลิกันไปมากกว่า 11 คะแนน 33.Walz มักจะปกป้องนโยบายของเขา เช่น ร่างกฎหมายอาหารกลางวันในโรงเรียนทั่วไปที่ลงนามในกฎหมายของรัฐมินนิโซตาเมื่อต้นปีนี้ โดยอ้างว่าเป็นสามัญสำนึก "ช่างเป็นสัตว์ประหลาด! เด็กๆ กินอิ่มและอิ่มท้องเพื่อที่พวกเขาจะได้ไปเรียนรู้ และผู้หญิงก็ตัดสินใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเอง" Walz พูดติดตลก 34.ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง “ฉันเชื่ออย่างแน่นอนว่าการบริหารของเรา ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันประเทศ ตำรวจทางหลวง หรือกรมทรัพยากรธรรมชาติ บุคลากรแนวหน้าของเราตอบสนองอย่างมีเกียรติและกล้าหาญ พวกเขาช่วยชีวิตคนไว้ได้” วอลซ์กล่าว “รายงานด้านเดียวที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ถ้ามีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะใช้แน่นอน” 35.ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วอลซ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวทางการโจมตีล่าสุดของพรรคเดโมแครตต่อบัตรลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน เมื่อเขาเรียกทรัมป์และแวนซ์ว่า “คนพวกนี้ประหลาดจริงๆ” 36.เขาให้สัมภาษณ์กับ POLITICO ในปี 2023 ว่า “เมื่อเราลงแข่งกับพรรครีพับลิกันทั่วไป การแข่งขันของเรามักจะสูสีกันมาก แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า [พรรครีพับลิกันทั่วไป] พวกนี้ประหลาด เมื่อพวกเขาเริ่มลงสมัคร ความแปลกประหลาดของพวกเขาก็ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ได้รับการเสนอชื่อในฝั่งตรงข้าม ฉันไม่คิดว่ามันจะน่าแปลกใจขนาดนั้น” 37.Walz บอกกับ The New York Times ว่าความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับความแปลกประหลาดนั้นเกี่ยวกับ Trump และ Vance ไม่ใช่พรรครีพับลิกันโดยทั่วไป “และคำว่า ‘แปลกประหลาด’ นั้นเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้พูดถึงพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน ฉันไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้น ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนพรรครีพับลิกันของฉัน เพราะว่าคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้นคือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากข้อความที่เรากำลังส่งถึง” 38.เมื่อปีที่แล้ว บารัค โอบามายกย่อง Walz เมื่อพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของมินนิโซตาได้ควบคุมคฤหาสน์ของผู้ว่าการ รัฐสภา และวุฒิสภาของรัฐ 39.Walz พบกับรองผู้ว่าการรัฐ Peggy Flanagan เป็นครั้งแรกเมื่อเขาเข้าร่วม Wellstone Action ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของวุฒิสมาชิก Paul Wellstone ในปี 2002 เพื่อฝึกอบรมผู้จัดงาน นักเคลื่อนไหว และผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีแนวคิดก้าวหน้า “ฉันไปที่นั่นและได้พบกับผู้ฝึกสอนสาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งกลายเป็น Peggy Flanagan นั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพของเรา” 40.หลังจากที่รัฐมินนิโซตาประกาศให้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจถูกกฎหมายเมื่อปีที่แล้ว Walz ได้แต่งตั้งเจ้าของร้านขายกัญชาให้เป็นผู้กำกับดูแลกัญชาชั้นนำของรัฐ วันรุ่งขึ้น Erin DuPree ผู้ประกอบการด้านกัญชาได้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ Star Tribune รายงานว่าเธอขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายในร้านกัญชาของเธอและถูกยึดภาษีของรัฐบาลกลางและถูกตัดสินจำคุก ต่อมาสำนักงานผู้ตรวจสอบนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลมินนิโซตาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้พบว่าสำนักงานของผู้ว่าการรัฐได้ละเลยขั้นตอนการตรวจสอบประวัติพื้นฐานบางขั้นตอนก่อนที่จะแต่งตั้ง DuPree 41.ในเดือนธันวาคม 2023 วอลซ์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้ว่าการรัฐของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องและเพิ่มส่วนแบ่งของผู้บริหารสูงสุดของพรรคในแต่ละรัฐ “ตอนนี้ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งแล้วว่าผู้ว่าการรัฐสามารถสร้างความแตกต่างได้ เราเห็นสิ่งนี้ในมินนิโซตา เราเห็นสิ่งนี้ในมิชิแกน เราเห็นสิ่งนี้ในโคโลราโด เราเห็นว่ารัฐทั้งสามแห่งนี้ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น” 42.เครื่องดื่มที่เขาเลือกคือ Diet Mountain Dew เขาถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในเนแบรสกาในปี 1995 ก่อนที่จะเลิกดื่ม 43.วอลซ์เป็นนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการในเมืองแฝดของมินนิโซตา: “ฉันพบว่าแม้กระทั่งก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กดดันที่สุด หากฉันออกไปวิ่ง ฉันจะสงบและมีสติมากขึ้น” 44.เขาชอบซ่อมแซม International Scout สีน้ำเงินแบบวินเทจของเขา ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่บริษัท International Harvester หยุดผลิตในปี 1980 45.เขามีป้ายทะเบียนพิเศษที่เขียนว่า “ONE MN” ซึ่งเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ 46.Walz สัญญากับ Gus ลูกชายของเขาว่าจะเลี้ยงสุนัขหากเขาชนะการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้ง Gus ก็อุทานออกมาว่า “ฉันจะเลี้ยงสุนัข!” Walz ทำตามสัญญาโดยรับ Scout ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ผสมสีดำมาเลี้ยงในช่วงปลายปี 47.Walz และ Scout มักจะไปเยี่ยมสวนสาธารณะสำหรับสุนัขใน Twin Cities โดยไม่ต้องจูงสายจูงในตอนเช้าทุกวัน 48.Walz ลงนามในร่างกฎหมายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขยายสิทธิในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกประมาณ 55,000 คน 49.Walz ได้พบกับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐอเมริกาเพื่อลงนามในจดหมายแสดงความเข้าใจซึ่งสร้างความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างมินนิโซตาและภูมิภาคทางตอนเหนือของยูเครนที่เรียกว่าเชอร์นิฮิฟ “เมื่อเราขับไล่พวกรัสเซียออกไปแล้ว เราก็จะมีความร่วมมือกัน” Walz กล่าว “มันเป็นการแสดงมิตรภาพที่สำคัญจริงๆ และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญจริงๆ” 50.ในปี 2023 Walz ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปกป้องการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ “ในขณะที่รัฐต่างๆ ทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อห้ามการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ เราต้องการให้ชาวมินนิโซตาที่เป็น LGBTQ รู้ว่าพวกเขาจะยังคงปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง และได้รับการต้อนรับในมินนิโซตาต่อไป” Walz กล่าว 51.อาหารจานร้อนมันฝรั่งทอดของเขา ซึ่งเป็นอาหารไม่เป็นทางการของมินนิโซตา เป็นแชมป์รายการอาหารจานร้อนของคณะผู้แทนรัฐสภามินนิโซตาถึงสามสมัย เขาชนะในปี 2013, 2014 และ 2016 52.เขาประกาศตัวเองว่าเป็นนักอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีเมื่อพูดถึงหนังสือ “ผมเพิ่งอ่านซีรีส์ Mortal Engines จบไป ผมอ่านนิยายสำหรับวัยรุ่นหลายเล่มเพราะผมอ่านกับลูกๆ ผมอ่านเล่มนั้นกับ Gus” เขากล่าวในปี 2019 “และผมเพิ่งอ่านเล่มหนึ่งจบซึ่งผมไม่แนะนำให้อ่านเพราะมันน่ากลัวมาก: Command and Control หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์คลังอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา” 53.เพลงโปรดของเขาโดย Bob Dylan หนึ่งในคนดังที่โด่งดังที่สุดของรัฐมินนิโซตาคือเพลง “Forever Young” ซึ่งมี “ข้อความอมตะจากพ่อถึงลูกชาย” ตามที่ Walz กล่าว 54.เขามีความสุขกับการได้ดื่มนมไม่อั้นที่งาน Minnesota State Fair มากจนถึงขนาดที่เขาอาสาทำงานที่บูธในปี 2022 55.Walz เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาล เขาพยายามวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “ผมคิดว่าผู้คนควรคาดหวังให้รัฐบาลมีแนวคิดก้าวหน้าและคาดการณ์ล่วงหน้า” เขากล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งในปี 2019 “หลายๆ สิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นอุบัติเหตุหรือโอกาส แท้จริงแล้วเป็นเพียงการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี” ที่มา : Politico.com #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1078 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ครอบครัวพี่ตลกชื่อดังเหี่ยวฟ้ายืนยัน
    สว.เหี่ยวฟ้า ไม่ใช่พี่ตลกเหี่ยวฟ้า
    แต่คือ สว.เหี่ยวฟ้า ป้าแว่นคางส้ม
    พี่คิงส์จึงต้องมาชี้แจง ไม่ให้ครอบครัวพี่ตลกเหี่ยวฟ้าต้องแปดเปื้อน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ครอบครัวพี่ตลกชื่อดังเหี่ยวฟ้ายืนยัน สว.เหี่ยวฟ้า ไม่ใช่พี่ตลกเหี่ยวฟ้า แต่คือ สว.เหี่ยวฟ้า ป้าแว่นคางส้ม พี่คิงส์จึงต้องมาชี้แจง ไม่ให้ครอบครัวพี่ตลกเหี่ยวฟ้าต้องแปดเปื้อน #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก็เตือนว่ามันอตร. แต่บางคนเข้าใจผิดหาว่าพี่คิงส์ "ปั่น"
    พี่คิงส์เป็นคนตลก แต่ไม่ใช่คนตบตะแลง
    ข้อมูลที่สื่อสารส่วนใหญ่อาจจะดูแล้วขำ
    แต่ทุกข้อมูลล้วนมีที่มาจากความจริง
    อันไหนปั่น คือให้ฮา
    แต่เนื้อหาที่ได้รับมาล้วนแต่เป็นเรื่องจริง
    กี่ครั้งแล้ว ที่พี่คิงส์แจ้งข่าวก่อนสื่อหลักเป็นวันๆ
    ใครเห็นต่างเราไม่ว่ากัน
    แต่ถ้าใครเชื่อฉัน เซฟตัวเองกันให้ดี
    แค่นั้นแหละ จบ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ก็เตือนว่ามันอตร. แต่บางคนเข้าใจผิดหาว่าพี่คิงส์ "ปั่น" พี่คิงส์เป็นคนตลก แต่ไม่ใช่คนตบตะแลง ข้อมูลที่สื่อสารส่วนใหญ่อาจจะดูแล้วขำ แต่ทุกข้อมูลล้วนมีที่มาจากความจริง อันไหนปั่น คือให้ฮา แต่เนื้อหาที่ได้รับมาล้วนแต่เป็นเรื่องจริง กี่ครั้งแล้ว ที่พี่คิงส์แจ้งข่าวก่อนสื่อหลักเป็นวันๆ ใครเห็นต่างเราไม่ว่ากัน แต่ถ้าใครเชื่อฉัน เซฟตัวเองกันให้ดี แค่นั้นแหละ จบ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่างที่คนเค้าบอก อยู่ที่ไหน บรรลัยที่นั่น
    โน๊ต ตลกไม่ออก แบนด์ซิงเกอร์ที่ตัดสินใจผิดพลาด
    เลือกพรีเซ็นเตอร์ห่วยแตก ทำให้ยอดขายดิ่งลงเหว
    ตัดสินใจ ต้องเปิดหุ้นกู้ระยะสั้นที่สุดในโลก
    12 วัน จะหามาคืนยังไงให้ทัน ทำยังก็เล่นบอล
    รอชมจุดจบ เพราะมีไอ่ตัวชวย
    ใครจะเอาไปเป็นพรีเซ็นเตอร์อีก ก็ลองอาถรรพ์โน๊ตกีบส้มได้
    (แต่วงในบอกว่าซิงเกอร์จะเอาเงินไปล้างหนี้ให้ลูกชาย ไม่รู้ไอ่โน๊ตชวนไปลงทุนอะไรแล้วเจ๊งว่ะ)
    #คิงส์โพธิ์แดง
    อย่างที่คนเค้าบอก อยู่ที่ไหน บรรลัยที่นั่น โน๊ต ตลกไม่ออก แบนด์ซิงเกอร์ที่ตัดสินใจผิดพลาด เลือกพรีเซ็นเตอร์ห่วยแตก ทำให้ยอดขายดิ่งลงเหว ตัดสินใจ ต้องเปิดหุ้นกู้ระยะสั้นที่สุดในโลก 12 วัน จะหามาคืนยังไงให้ทัน ทำยังก็เล่นบอล รอชมจุดจบ เพราะมีไอ่ตัวชวย ใครจะเอาไปเป็นพรีเซ็นเตอร์อีก ก็ลองอาถรรพ์โน๊ตกีบส้มได้ (แต่วงในบอกว่าซิงเกอร์จะเอาเงินไปล้างหนี้ให้ลูกชาย ไม่รู้ไอ่โน๊ตชวนไปลงทุนอะไรแล้วเจ๊งว่ะ) #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพลงคิดถึงลุงตู๋ ใครทำดนตรีมาคับ
    #เต๋อพาเที่ยว #terofficial #คิดถึงลุงตู๋ #ลุงตู๋ #funny #คลิปตลก
    เพลงคิดถึงลุงตู๋ ใครทำดนตรีมาคับ #เต๋อพาเที่ยว #terofficial #คิดถึงลุงตู๋ #ลุงตู๋ #funny #คลิปตลก
    เพลงคิดถึงลุงตู๋ ใครทำดนตรีมาคับ
    #เต๋อพาเที่ยว #terofficial #คิดถึงลุงตู๋ #ลุงตู๋ #funny #คลิปตลก
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 212 0 รีวิว
  • เพลงคิดถึงลุงตู๋ ใครทำดนตรีมาคับ
    #เต๋อพาเที่ยว #terofficial #คิดถึงลุงตู๋ #ลุงตู๋ #funny #คลิปตลก
    เพลงคิดถึงลุงตู๋ ใครทำดนตรีมาคับ #เต๋อพาเที่ยว #terofficial #คิดถึงลุงตู๋ #ลุงตู๋ #funny #คลิปตลก
    เพลงคิดถึงลุงตู๋ ใครทำดนตรีมาคับ
    #เต๋อพาเที่ยว #terofficial #คิดถึงลุงตู๋ #ลุงตู๋ #funny #คลิปตลก
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 657 มุมมอง 212 0 รีวิว
  • เมื่อแพ้โหวตปธ. - รองปธ.สว.
    พวกเธอก็ร้องหาคะแนนจากปชช.
    #ความผิดหวังของพวกมรึงคือเรื่องตลกของพวกกรู
    #ก๊ากกกกก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เมื่อแพ้โหวตปธ. - รองปธ.สว. พวกเธอก็ร้องหาคะแนนจากปชช. #ความผิดหวังของพวกมรึงคือเรื่องตลกของพวกกรู #ก๊ากกกกก #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    Like
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทดสอบ ภาพที่สร้างขึ้นโดย DALL-E image generator pro + ChatGPT 4o สคริปต์เล่าเรื่อง
    -----------------------------
    ในป่าลึกที่แสนสงบและเขียวขจี กลุ่มเพื่อนได้ตัดสินใจมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ พวกเขามากางเต็นท์และตั้งแคมป์กลางป่าในเช้าวันเสาร์ที่สดใส

    เพื่อน ๆ กำลังนั่งล้อมรอบกองไฟที่กำลังลุกโชน ย่างปลากลิ่นหอมที่ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสนุกสนาน เสียงหัวเราะและเรื่องตลกที่แชร์กันสร้างความรู้สึกของความเป็นมิตรและความผูกพันที่แน่นแฟ้น

    เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยความเงียบสงบ ทะเลสาบใกล้ ๆ แคมป์ดูสดใส เพื่อนบางคนเตรียมอุปกรณ์ตกปลา ในขณะที่คนอื่น ๆ พักผ่อนและเพลิดเพลินกับธรรมชาติรอบตัว นกบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าและปลาที่แหวกว่ายในน้ำใส เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนได้สัมผัสกับความสงบและความสุขอย่างแท้จริง

    ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เพื่อน ๆ นั่งรอบกองไฟ มีเสียงกีตาร์และการร้องเพลงอย่างเบิกบาน ร้องเพลงโปรดและเล่าเรื่องผจญภัยในความมืดของป่าใหญ่ เป็นคืนที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงและความสนุกสนานที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    การตั้งแคมป์ในป่าครั้งนี้ทำให้กลุ่มเพื่อนได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำและความทรงจำดี ๆ ที่จะไม่ลืมเลือนไปง่าย ๆ เป็นการผจญภัยที่ทำให้พวกเขาได้เชื่อมต่อกับธรรมชาติและกับกันและกันในแบบที่หายากในชีวิตประจำวัน
    ทดสอบ ภาพที่สร้างขึ้นโดย DALL-E image generator pro + ChatGPT 4o สคริปต์เล่าเรื่อง ----------------------------- ในป่าลึกที่แสนสงบและเขียวขจี กลุ่มเพื่อนได้ตัดสินใจมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ พวกเขามากางเต็นท์และตั้งแคมป์กลางป่าในเช้าวันเสาร์ที่สดใส เพื่อน ๆ กำลังนั่งล้อมรอบกองไฟที่กำลังลุกโชน ย่างปลากลิ่นหอมที่ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสนุกสนาน เสียงหัวเราะและเรื่องตลกที่แชร์กันสร้างความรู้สึกของความเป็นมิตรและความผูกพันที่แน่นแฟ้น เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยความเงียบสงบ ทะเลสาบใกล้ ๆ แคมป์ดูสดใส เพื่อนบางคนเตรียมอุปกรณ์ตกปลา ในขณะที่คนอื่น ๆ พักผ่อนและเพลิดเพลินกับธรรมชาติรอบตัว นกบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าและปลาที่แหวกว่ายในน้ำใส เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนได้สัมผัสกับความสงบและความสุขอย่างแท้จริง ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เพื่อน ๆ นั่งรอบกองไฟ มีเสียงกีตาร์และการร้องเพลงอย่างเบิกบาน ร้องเพลงโปรดและเล่าเรื่องผจญภัยในความมืดของป่าใหญ่ เป็นคืนที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงและความสนุกสนานที่ไม่มีที่สิ้นสุด การตั้งแคมป์ในป่าครั้งนี้ทำให้กลุ่มเพื่อนได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำและความทรงจำดี ๆ ที่จะไม่ลืมเลือนไปง่าย ๆ เป็นการผจญภัยที่ทำให้พวกเขาได้เชื่อมต่อกับธรรมชาติและกับกันและกันในแบบที่หายากในชีวิตประจำวัน
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะลิเก ก่อนออกโรง ว่าวน้อยน้ำรัก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์การละคร
    #คิงส์ขำขัน
    #ตลก
    #พระเอกลิเก
    คณะลิเก ก่อนออกโรง ว่าวน้อยน้ำรัก #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์การละคร #คิงส์ขำขัน #ตลก #พระเอกลิเก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • ♣ ผลการให้ตัวตลกนำพาประเทศ จึงกลายเป็นตลกสันตะโร คนไทยจงอย่าให้ตัวโกหกมานำประเทศ
    #7ดอกจิก
    #ตลกบริโภค
    ♣ ผลการให้ตัวตลกนำพาประเทศ จึงกลายเป็นตลกสันตะโร คนไทยจงอย่าให้ตัวโกหกมานำประเทศ #7ดอกจิก #ตลกบริโภค
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • 92 ปี 2475 ปวงประชาตาสว่าง กระจ่างชัดในคณะอัปรีย์ดีย์
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ลิงหลอกเจ้า
    #ตลก
    #เจี๊ยบอมรัตน์
    92 ปี 2475 ปวงประชาตาสว่าง กระจ่างชัดในคณะอัปรีย์ดีย์ #คิงส์โพธิ์แดง #ลิงหลอกเจ้า #ตลก #เจี๊ยบอมรัตน์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ..ก้าวไกล..จะถูกยุบ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #นอนแผ่ร้องแอ๊
    #ไฮโซปิง
    #พิธา
    #ธนาธร
    #เจี๊ยบอมรัตน์
    #คลิปตลก
    เมื่อ..ก้าวไกล..จะถูกยุบ #คิงส์โพธิ์แดง #นอนแผ่ร้องแอ๊ #ไฮโซปิง #พิธา #ธนาธร #เจี๊ยบอมรัตน์ #คลิปตลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • พวกแกมันรั้น
    เหมาตั๋วว่ามีคนดูเยอะ ให้สลิ่มดู ว่าซั่น
    แล้วตบท้ายว่า เราน่ะ ของจริง
    ปลอมมาก ด้อม
    ตรรกะอะไรของพวกเมิง ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #หนังที่ไม่เป็นที่นิยม
    #ตลกมาก
    #มิติใหม่
    พวกแกมันรั้น เหมาตั๋วว่ามีคนดูเยอะ ให้สลิ่มดู ว่าซั่น แล้วตบท้ายว่า เราน่ะ ของจริง ปลอมมาก ด้อม ตรรกะอะไรของพวกเมิง ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #หนังที่ไม่เป็นที่นิยม #ตลกมาก #มิติใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจี๊ยบปากหมา ไม่รู้ชะตาตัวเอง หนังห่านอะไร ทำไมตุลาการฯ ต้องดู
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เจี๊ยบอมรัตน์
    #ตลกรับประทาน
    #หนังที่ไม่เป็นที่นิยม
    เจี๊ยบปากหมา ไม่รู้ชะตาตัวเอง หนังห่านอะไร ทำไมตุลาการฯ ต้องดู #คิงส์โพธิ์แดง #เจี๊ยบอมรัตน์ #ตลกรับประทาน #หนังที่ไม่เป็นที่นิยม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว