• “AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA รองรับฮาร์ดดิสก์ 70 ลูก — จุข้อมูลได้เกือบ 3PB พร้อมฟีเจอร์ระดับศูนย์ข้อมูลยุค AI”

    AIC ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรเปิดตัว SB407-VA เซิร์ฟเวอร์แบบ 4U ความหนาแน่นสูง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ โดยจุดเด่นคือสามารถติดตั้งฮาร์ดดิสก์และ SSD ได้รวมถึง 70 ลูก รองรับความจุรวมเกือบ 3PB (เปตะไบต์) แบบ raw storage

    ตัวเครื่องรองรับฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วแบบ hot-swappable ได้ถึง 60 ช่อง, SSD ขนาด 2.5 นิ้วอีก 8 ช่อง และ M.2 อีก 2 ช่อง พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow, พัดลมสำรองแบบ hot-swap และแหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง

    ภายในใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 รองรับ DDR5 และ PCIe Gen5 ทำให้สามารถเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA ได้หลากหลาย พร้อมช่อง PCIe Gen5 หลายช่องสำหรับการขยายระบบ

    แม้จะมีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วจำนวนมาก แต่ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมไม่มี SSD ขนาด 3.5 นิ้วเลย?” ซึ่งคำตอบคือ SSD ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก เพราะชิปแฟลชและคอนโทรลเลอร์มีขนาดเล็กมาก การเพิ่มขนาดจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพ และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ก็หันมาใช้ SSD ขนาด 2.5 นิ้วเพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความจุต่อแร็ค

    ด้วยขนาด 434 x 853 x 176 มม. และน้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม SB407-VA จึงเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่อัดแน่นทั้งพลังประมวลผลและความจุในพื้นที่เดียว เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่พร้อมความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อและการจัดการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA แบบ 4U รองรับฮาร์ดดิสก์และ SSD รวม 70 ลูก
    รองรับ 60 ช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว, 8 ช่อง SSD 2.5 นิ้ว และ 2 ช่อง M.2
    ใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 พร้อม DDR5 และ PCIe Gen5
    รองรับการเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA
    ระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow และพัดลมสำรอง hot-swap
    แหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียร
    ความจุรวมเกือบ 3PB แบบ raw storage
    ขนาดเครื่อง 434 x 853 x 176 มม. น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม
    เหมาะสำหรับงานด้าน AI, data analytics และ data lake ขนาดใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSD ขนาด 3.5 นิ้วไม่เป็นที่นิยม เพราะชิปแฟลชใช้พื้นที่น้อยและต้นทุนสูงหากขยายขนาด
    SSD ขนาด 2.5 นิ้วช่วยให้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มความจุในพื้นที่จำกัดได้ดีกว่า
    PCIe Gen5 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64GB/s เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง
    Xeon Scalable Gen 5 รองรับการประมวลผลแบบ multi-socket และ AI acceleration
    ระบบ hot-swap ช่วยให้เปลี่ยนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง ลด downtime

    https://www.techradar.com/pro/you-can-put-70-ssds-and-hdds-in-this-case-to-deliver-almost-3pb-capacity-and-it-got-me-thinking-why-arent-there-any-3-5-inch-ssds
    🧮 “AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA รองรับฮาร์ดดิสก์ 70 ลูก — จุข้อมูลได้เกือบ 3PB พร้อมฟีเจอร์ระดับศูนย์ข้อมูลยุค AI” AIC ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรเปิดตัว SB407-VA เซิร์ฟเวอร์แบบ 4U ความหนาแน่นสูง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ โดยจุดเด่นคือสามารถติดตั้งฮาร์ดดิสก์และ SSD ได้รวมถึง 70 ลูก รองรับความจุรวมเกือบ 3PB (เปตะไบต์) แบบ raw storage ตัวเครื่องรองรับฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วแบบ hot-swappable ได้ถึง 60 ช่อง, SSD ขนาด 2.5 นิ้วอีก 8 ช่อง และ M.2 อีก 2 ช่อง พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow, พัดลมสำรองแบบ hot-swap และแหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง ภายในใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 รองรับ DDR5 และ PCIe Gen5 ทำให้สามารถเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA ได้หลากหลาย พร้อมช่อง PCIe Gen5 หลายช่องสำหรับการขยายระบบ แม้จะมีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วจำนวนมาก แต่ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมไม่มี SSD ขนาด 3.5 นิ้วเลย?” ซึ่งคำตอบคือ SSD ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก เพราะชิปแฟลชและคอนโทรลเลอร์มีขนาดเล็กมาก การเพิ่มขนาดจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพ และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ก็หันมาใช้ SSD ขนาด 2.5 นิ้วเพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความจุต่อแร็ค ด้วยขนาด 434 x 853 x 176 มม. และน้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม SB407-VA จึงเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่อัดแน่นทั้งพลังประมวลผลและความจุในพื้นที่เดียว เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่พร้อมความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อและการจัดการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA แบบ 4U รองรับฮาร์ดดิสก์และ SSD รวม 70 ลูก ➡️ รองรับ 60 ช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว, 8 ช่อง SSD 2.5 นิ้ว และ 2 ช่อง M.2 ➡️ ใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 พร้อม DDR5 และ PCIe Gen5 ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA ➡️ ระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow และพัดลมสำรอง hot-swap ➡️ แหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียร ➡️ ความจุรวมเกือบ 3PB แบบ raw storage ➡️ ขนาดเครื่อง 434 x 853 x 176 มม. น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม ➡️ เหมาะสำหรับงานด้าน AI, data analytics และ data lake ขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSD ขนาด 3.5 นิ้วไม่เป็นที่นิยม เพราะชิปแฟลชใช้พื้นที่น้อยและต้นทุนสูงหากขยายขนาด ➡️ SSD ขนาด 2.5 นิ้วช่วยให้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มความจุในพื้นที่จำกัดได้ดีกว่า ➡️ PCIe Gen5 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64GB/s เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ Xeon Scalable Gen 5 รองรับการประมวลผลแบบ multi-socket และ AI acceleration ➡️ ระบบ hot-swap ช่วยให้เปลี่ยนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง ลด downtime https://www.techradar.com/pro/you-can-put-70-ssds-and-hdds-in-this-case-to-deliver-almost-3pb-capacity-and-it-got-me-thinking-why-arent-there-any-3-5-inch-ssds
    WWW.TECHRADAR.COM
    With 60 HDD bays and 8 SSD slots, AIC's SB407-VA delivers almost 3PB capacity
    AIC's SB407-VA server supports NVMe, SAS, SATA connectivity with scalable drive options
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Chrome 141 อัปเดตด่วน! อุดช่องโหว่ WebGPU และ Video เสี่ยงถูกโจมตีระดับโค้ด — ผู้ใช้ทุกระบบควรรีบอัปเดตทันที”

    Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome 141 สู่ช่องทาง Stable สำหรับผู้ใช้บน Windows, macOS และ Linux โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถึง 21 รายการ ซึ่งรวมถึงช่องโหว่ระดับร้ายแรง 2 จุดที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11205 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ใน WebGPU — เทคโนโลยีที่ใช้เร่งกราฟิกและการเรนเดอร์บนเว็บสมัยใหม่ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Atte Kettunen จาก OUSPG และได้รับเงินรางวัลถึง $25,000 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในการอัปเดตครั้งนี้ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การเข้าถึงหน่วยความจำนอกขอบเขต และเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11206 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ในระบบ Video ของ Chrome โดยนักวิจัย Elias Hohl ช่องโหว่นี้แม้จะรุนแรงน้อยกว่า WebGPU แต่ก็สามารถถูกใช้เพื่อควบคุมหน่วยความจำระหว่างการเล่นวิดีโอ และอาจนำไปสู่การโจมตีหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียร

    นอกจากช่องโหว่หลักทั้งสองแล้ว Chrome 141 ยังแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำอีกหลายรายการ เช่น การรั่วไหลข้อมูลผ่าน side-channel ใน Storage และ Tab, การ implement ที่ไม่เหมาะสมใน Media และ Omnibox รวมถึงข้อผิดพลาดใน V8 JavaScript engine ที่อาจเปิดช่องให้รันโค้ดผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ

    Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชัน 141.0.7390.54 (Linux) หรือ 141.0.7390.54/55 (Windows และ Mac) โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยแล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 21 รายการ
    CVE-2025-11205: heap buffer overflow ใน WebGPU เสี่ยงรันโค้ดอันตราย
    CVE-2025-11206: heap buffer overflow ใน Video component เสี่ยงทำให้เบราว์เซอร์ล่ม
    ช่องโหว่ WebGPU ได้รับรางวัล $25,000 จาก Google
    ช่องโหว่ Video ได้รับรางวัล $4,000
    Chrome 141 แก้ไขช่องโหว่ใน Storage, Media, Omnibox และ V8 JavaScript engine
    เวอร์ชันที่ปล่อยคือ 141.0.7390.54 สำหรับ Linux และ 54/55 สำหรับ Windows/Mac
    Google แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WebGPU เป็น API ใหม่ที่ใช้เร่งกราฟิกในเว็บแอป เช่น เกมและแอป 3D
    Heap buffer overflow เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ
    Side-channel attack สามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมระบบเพื่อขโมยข้อมูล
    V8 เป็น engine ที่รัน JavaScript ใน Chrome และมีบทบาทสำคัญในความปลอดภัย
    Google ใช้ระบบ AI ภายในชื่อ Big Sleep เพื่อช่วยตรวจจับช่องโหว่ในโค้ด

    https://securityonline.info/chrome-141-stable-channel-update-patches-high-severity-vulnerabilities-cve-2025-11205-cve-2025-11206/
    🛡️ “Chrome 141 อัปเดตด่วน! อุดช่องโหว่ WebGPU และ Video เสี่ยงถูกโจมตีระดับโค้ด — ผู้ใช้ทุกระบบควรรีบอัปเดตทันที” Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome 141 สู่ช่องทาง Stable สำหรับผู้ใช้บน Windows, macOS และ Linux โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถึง 21 รายการ ซึ่งรวมถึงช่องโหว่ระดับร้ายแรง 2 จุดที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11205 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ใน WebGPU — เทคโนโลยีที่ใช้เร่งกราฟิกและการเรนเดอร์บนเว็บสมัยใหม่ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Atte Kettunen จาก OUSPG และได้รับเงินรางวัลถึง $25,000 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในการอัปเดตครั้งนี้ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การเข้าถึงหน่วยความจำนอกขอบเขต และเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้ ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11206 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ในระบบ Video ของ Chrome โดยนักวิจัย Elias Hohl ช่องโหว่นี้แม้จะรุนแรงน้อยกว่า WebGPU แต่ก็สามารถถูกใช้เพื่อควบคุมหน่วยความจำระหว่างการเล่นวิดีโอ และอาจนำไปสู่การโจมตีหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียร นอกจากช่องโหว่หลักทั้งสองแล้ว Chrome 141 ยังแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำอีกหลายรายการ เช่น การรั่วไหลข้อมูลผ่าน side-channel ใน Storage และ Tab, การ implement ที่ไม่เหมาะสมใน Media และ Omnibox รวมถึงข้อผิดพลาดใน V8 JavaScript engine ที่อาจเปิดช่องให้รันโค้ดผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชัน 141.0.7390.54 (Linux) หรือ 141.0.7390.54/55 (Windows และ Mac) โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยแล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 21 รายการ ➡️ CVE-2025-11205: heap buffer overflow ใน WebGPU เสี่ยงรันโค้ดอันตราย ➡️ CVE-2025-11206: heap buffer overflow ใน Video component เสี่ยงทำให้เบราว์เซอร์ล่ม ➡️ ช่องโหว่ WebGPU ได้รับรางวัล $25,000 จาก Google ➡️ ช่องโหว่ Video ได้รับรางวัล $4,000 ➡️ Chrome 141 แก้ไขช่องโหว่ใน Storage, Media, Omnibox และ V8 JavaScript engine ➡️ เวอร์ชันที่ปล่อยคือ 141.0.7390.54 สำหรับ Linux และ 54/55 สำหรับ Windows/Mac ➡️ Google แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WebGPU เป็น API ใหม่ที่ใช้เร่งกราฟิกในเว็บแอป เช่น เกมและแอป 3D ➡️ Heap buffer overflow เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ ➡️ Side-channel attack สามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมระบบเพื่อขโมยข้อมูล ➡️ V8 เป็น engine ที่รัน JavaScript ใน Chrome และมีบทบาทสำคัญในความปลอดภัย ➡️ Google ใช้ระบบ AI ภายในชื่อ Big Sleep เพื่อช่วยตรวจจับช่องโหว่ในโค้ด https://securityonline.info/chrome-141-stable-channel-update-patches-high-severity-vulnerabilities-cve-2025-11205-cve-2025-11206/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome 141 Stable Channel Update Patches High-Severity Vulnerabilities (CVE-2025-11205 & CVE-2025-11206)
    Google promoted Chrome 141 to Stable, patching 21 flaws including a High-severity Heap Buffer Overflow (CVE-2025-11205) in WebGPU that could lead to RCE.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PoC หลุด! ช่องโหว่ Linux Kernel เปิดทางผู้ใช้ธรรมดาเข้าถึงสิทธิ Root — ระบบเสี่ยงทั่วโลก”

    เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 มีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงใน Linux Kernel ที่สามารถใช้เพื่อยกระดับสิทธิจากผู้ใช้ธรรมดาให้กลายเป็น root ได้ โดยช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำผิดพลาดในฟีเจอร์ vsock (Virtual Socket) ซึ่งใช้สำหรับการสื่อสารระหว่าง virtual machines โดยเฉพาะในระบบคลาวด์และ virtualization เช่น VMware

    ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในประเภท Use-After-Free (UAF) ซึ่งเกิดจากการลดค่าการอ้างอิงของวัตถุใน kernel ก่อนเวลาอันควร ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมหน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว และฝังโค้ดอันตรายเพื่อเข้าถึงสิทธิระดับ kernel ได้

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เผยแพร่ proof-of-concept (PoC) ที่แสดงให้เห็นขั้นตอนการโจมตีอย่างละเอียด ตั้งแต่การบังคับให้ kernel ปล่อย vsock object ไปจนถึงการ reclaim หน่วยความจำด้วยข้อมูลที่ควบคุมได้ และการหลบเลี่ยง KASLR (Kernel Address Space Layout Randomization) เพื่อเข้าถึงโครงสร้างภายในของ kernel

    ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อระบบ Linux จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ใช้ virtualization และ container เช่น OpenShift หรือ Red Hat Enterprise Linux CoreOS ซึ่งแม้บางระบบจะมีสิทธิ root อยู่แล้ว แต่ก็ยังเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ lateral movement หรือการฝัง backdoor ได้ในระดับ kernel

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่เกิดจากการจัดการ reference count ผิดพลาดใน vsock subsystem ของ Linux Kernel
    ประเภทช่องโหว่คือ Use-After-Free (UAF) ซึ่งเปิดช่องให้ควบคุมหน่วยความจำที่ถูกปล่อย
    มีการเผยแพร่ PoC ที่แสดงขั้นตอนการโจมตีอย่างละเอียด
    ผู้โจมตีสามารถหลบเลี่ยง KASLR และ hijack control flow เพื่อเข้าถึงสิทธิ root
    ระบบที่ใช้ virtualization เช่น VMware และ OpenShift ได้รับผลกระทบโดยตรง
    Linux distributions ได้ออก patch แล้วสำหรับ kernel เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้จากผู้ใช้ธรรมดาที่ไม่มีสิทธิ root
    การใช้ vsock_diag_dump เป็นช่องทางในการ leak kernel address

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Use-After-Free เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่มีการจัดการหน่วยความจำแบบ dynamic
    KASLR เป็นเทคนิคที่ใช้สุ่มตำแหน่งหน่วยความจำเพื่อป้องกันการโจมตี
    PoC ที่เผยแพร่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถทดสอบและตรวจสอบช่องโหว่ได้รวดเร็วขึ้น
    การโจมตีระดับ kernel มีความรุนแรงสูง เพราะสามารถควบคุมระบบทั้งหมดได้
    ระบบ container ที่เปิดใช้งาน user namespaces มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

    https://securityonline.info/poc-released-linux-kernel-flaw-allows-user-to-gain-root-privileges/
    🛡️ “PoC หลุด! ช่องโหว่ Linux Kernel เปิดทางผู้ใช้ธรรมดาเข้าถึงสิทธิ Root — ระบบเสี่ยงทั่วโลก” เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 มีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงใน Linux Kernel ที่สามารถใช้เพื่อยกระดับสิทธิจากผู้ใช้ธรรมดาให้กลายเป็น root ได้ โดยช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำผิดพลาดในฟีเจอร์ vsock (Virtual Socket) ซึ่งใช้สำหรับการสื่อสารระหว่าง virtual machines โดยเฉพาะในระบบคลาวด์และ virtualization เช่น VMware ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในประเภท Use-After-Free (UAF) ซึ่งเกิดจากการลดค่าการอ้างอิงของวัตถุใน kernel ก่อนเวลาอันควร ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมหน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว และฝังโค้ดอันตรายเพื่อเข้าถึงสิทธิระดับ kernel ได้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เผยแพร่ proof-of-concept (PoC) ที่แสดงให้เห็นขั้นตอนการโจมตีอย่างละเอียด ตั้งแต่การบังคับให้ kernel ปล่อย vsock object ไปจนถึงการ reclaim หน่วยความจำด้วยข้อมูลที่ควบคุมได้ และการหลบเลี่ยง KASLR (Kernel Address Space Layout Randomization) เพื่อเข้าถึงโครงสร้างภายในของ kernel ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อระบบ Linux จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ใช้ virtualization และ container เช่น OpenShift หรือ Red Hat Enterprise Linux CoreOS ซึ่งแม้บางระบบจะมีสิทธิ root อยู่แล้ว แต่ก็ยังเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ lateral movement หรือการฝัง backdoor ได้ในระดับ kernel ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่เกิดจากการจัดการ reference count ผิดพลาดใน vsock subsystem ของ Linux Kernel ➡️ ประเภทช่องโหว่คือ Use-After-Free (UAF) ซึ่งเปิดช่องให้ควบคุมหน่วยความจำที่ถูกปล่อย ➡️ มีการเผยแพร่ PoC ที่แสดงขั้นตอนการโจมตีอย่างละเอียด ➡️ ผู้โจมตีสามารถหลบเลี่ยง KASLR และ hijack control flow เพื่อเข้าถึงสิทธิ root ➡️ ระบบที่ใช้ virtualization เช่น VMware และ OpenShift ได้รับผลกระทบโดยตรง ➡️ Linux distributions ได้ออก patch แล้วสำหรับ kernel เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้จากผู้ใช้ธรรมดาที่ไม่มีสิทธิ root ➡️ การใช้ vsock_diag_dump เป็นช่องทางในการ leak kernel address ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Use-After-Free เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่มีการจัดการหน่วยความจำแบบ dynamic ➡️ KASLR เป็นเทคนิคที่ใช้สุ่มตำแหน่งหน่วยความจำเพื่อป้องกันการโจมตี ➡️ PoC ที่เผยแพร่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถทดสอบและตรวจสอบช่องโหว่ได้รวดเร็วขึ้น ➡️ การโจมตีระดับ kernel มีความรุนแรงสูง เพราะสามารถควบคุมระบบทั้งหมดได้ ➡️ ระบบ container ที่เปิดใช้งาน user namespaces มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น https://securityonline.info/poc-released-linux-kernel-flaw-allows-user-to-gain-root-privileges/
    SECURITYONLINE.INFO
    PoC Released: Linux Kernel Flaw Allows User to Gain Root Privileges
    A high-severity flaw in the Linux ethtool netlink interface (CVE-2025-21701) enables a Use-After-Free attack to gain root privileges. A PoC has been publicly released.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cisco ASA/FTD ถูกเจาะทะลุ — ช่องโหว่ RCE เปิดทางยึดไฟร์วอลล์กว่า 50,000 เครื่องทั่วโลก”

    Cisco และหน่วยงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของสหรัฐฯ (CISA) ออกคำเตือนด่วนถึงผู้ใช้งานไฟร์วอลล์รุ่น Adaptive Security Appliance (ASA) และ Firewall Threat Defense (FTD) หลังพบช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการที่ถูกใช้โจมตีจริงแล้วในโลกออนไลน์ ได้แก่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362

    ช่องโหว่แรก (20333) เป็น buffer overflow ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.9/10 ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถรันคำสั่งจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ส่วนช่องโหว่ที่สอง (20362) เป็นการขาดการตรวจสอบสิทธิ์ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้ง่ายขึ้น แม้จะมีคะแนนความรุนแรงต่ำกว่า (6.5/10) แต่เมื่อใช้ร่วมกันแล้วสามารถยึดอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ

    จากการตรวจสอบโดย Shadowserver พบว่ามีอุปกรณ์ที่ยังไม่ได้รับการอัปเดตมากถึง 48,800 เครื่องทั่วโลก โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือสหรัฐฯ (19,610 เครื่อง) ตามด้วยสหราชอาณาจักรและเยอรมนี

    Cisco ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และเน้นย้ำว่า “ไม่มีวิธีแก้ชั่วคราว” สำหรับช่องโหว่นี้ ผู้ใช้ต้องอัปเดตซอฟต์แวร์ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี โดยเฉพาะองค์กรที่ใช้ VPN ผ่าน Web Interface ซึ่งเป็นจุดที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีมากที่สุด

    CISA ได้ออก Emergency Directive 25-03 ให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ตรวจสอบและส่งไฟล์หน่วยความจำของอุปกรณ์ให้วิเคราะห์ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมแนะนำให้ทุกองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินการตามแนวทางเดียวกัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362 ถูกใช้โจมตีจริงแล้วในโลกออนไลน์
    ช่องโหว่แรกเป็น buffer overflow (คะแนน 9.9/10) ส่วนช่องโหว่ที่สองเป็น missing authorization (คะแนน 6.5/10)
    ใช้ร่วมกันแล้วสามารถยึดอุปกรณ์ Cisco ASA/FTD ได้เต็มรูปแบบ
    Shadowserver พบอุปกรณ์ที่ยังไม่ได้รับการอัปเดตมากถึง 48,800 เครื่อง
    ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และเยอรมนี
    Cisco ออกแพตช์แล้ว และยืนยันว่าไม่มีวิธีแก้ชั่วคราว ต้องอัปเดตเท่านั้น
    CISA ออก Emergency Directive 25-03 ให้หน่วยงานรัฐบาลดำเนินการตรวจสอบทันที
    ช่องโหว่ส่งผลต่อการใช้งาน VPN ผ่าน Web Interface เป็นหลัก

    https://www.techradar.com/pro/security/around-50-000-cisco-firewalls-are-vulnerable-to-attack-so-patch-now
    🔥 “Cisco ASA/FTD ถูกเจาะทะลุ — ช่องโหว่ RCE เปิดทางยึดไฟร์วอลล์กว่า 50,000 เครื่องทั่วโลก” Cisco และหน่วยงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของสหรัฐฯ (CISA) ออกคำเตือนด่วนถึงผู้ใช้งานไฟร์วอลล์รุ่น Adaptive Security Appliance (ASA) และ Firewall Threat Defense (FTD) หลังพบช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการที่ถูกใช้โจมตีจริงแล้วในโลกออนไลน์ ได้แก่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362 ช่องโหว่แรก (20333) เป็น buffer overflow ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.9/10 ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถรันคำสั่งจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ส่วนช่องโหว่ที่สอง (20362) เป็นการขาดการตรวจสอบสิทธิ์ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้ง่ายขึ้น แม้จะมีคะแนนความรุนแรงต่ำกว่า (6.5/10) แต่เมื่อใช้ร่วมกันแล้วสามารถยึดอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ จากการตรวจสอบโดย Shadowserver พบว่ามีอุปกรณ์ที่ยังไม่ได้รับการอัปเดตมากถึง 48,800 เครื่องทั่วโลก โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือสหรัฐฯ (19,610 เครื่อง) ตามด้วยสหราชอาณาจักรและเยอรมนี Cisco ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และเน้นย้ำว่า “ไม่มีวิธีแก้ชั่วคราว” สำหรับช่องโหว่นี้ ผู้ใช้ต้องอัปเดตซอฟต์แวร์ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี โดยเฉพาะองค์กรที่ใช้ VPN ผ่าน Web Interface ซึ่งเป็นจุดที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีมากที่สุด CISA ได้ออก Emergency Directive 25-03 ให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ตรวจสอบและส่งไฟล์หน่วยความจำของอุปกรณ์ให้วิเคราะห์ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมแนะนำให้ทุกองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินการตามแนวทางเดียวกัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362 ถูกใช้โจมตีจริงแล้วในโลกออนไลน์ ➡️ ช่องโหว่แรกเป็น buffer overflow (คะแนน 9.9/10) ส่วนช่องโหว่ที่สองเป็น missing authorization (คะแนน 6.5/10) ➡️ ใช้ร่วมกันแล้วสามารถยึดอุปกรณ์ Cisco ASA/FTD ได้เต็มรูปแบบ ➡️ Shadowserver พบอุปกรณ์ที่ยังไม่ได้รับการอัปเดตมากถึง 48,800 เครื่อง ➡️ ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ➡️ Cisco ออกแพตช์แล้ว และยืนยันว่าไม่มีวิธีแก้ชั่วคราว ต้องอัปเดตเท่านั้น ➡️ CISA ออก Emergency Directive 25-03 ให้หน่วยงานรัฐบาลดำเนินการตรวจสอบทันที ➡️ ช่องโหว่ส่งผลต่อการใช้งาน VPN ผ่าน Web Interface เป็นหลัก https://www.techradar.com/pro/security/around-50-000-cisco-firewalls-are-vulnerable-to-attack-so-patch-now
    WWW.TECHRADAR.COM
    Around 50,000 Cisco firewalls are vulnerable to attack, so patch now
    Hackers are already targeting Cisco firewalls, experts warn
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา”

    Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง

    จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word

    เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า

    เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น

    แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี

    สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน
    แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง
    แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง
    Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search
    Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user
    Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม
    VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว
    แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX
    แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา
    Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ
    การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
    การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย

    https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    🧩 “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา” Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน ➡️ แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง ➡️ แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง ➡️ Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search ➡️ Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user ➡️ Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม ➡️ VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว ➡️ แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX ➡️ แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา ➡️ Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ ➡️ การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น ➡️ การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    IDIALLO.COM
    Users Only Care About 20% of Your Application
    I often destroyed our home computer when I was a kid. Armed with only 2GB of storage, I'd constantly hunt for files to delete to save space. But I learned the hard way that .ini files are actually imp
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์

    หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99

    Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail

    ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้

    สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน
    Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน
    Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium
    Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB
    ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด
    ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้
    ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent
    Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk
    Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard
    Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้
    ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้
    GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี
    Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google

    https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    🤖 “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?” ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99 Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้ สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน ➡️ Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ➡️ Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium ➡️ Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB ➡️ ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด ➡️ ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้ ➡️ ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent ➡️ Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk ➡️ Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard ➡️ Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้ ➡️ ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้ ➡️ GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี ➡️ Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Gemini And ChatGPT Price Differences - Here's How Much They Cost - SlashGear
    Gemini costs $19.99/month for the AI Pro plan, while ChatGPT Plus runs $20/month. There are more tiers and plans available for both depending on the usage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles

    ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey

    ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป

    แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย

    เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า

    เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ”

    ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles

    เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง

    หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย

    Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019)

    ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่

    วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่

    ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs

    นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา

    “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    🎶 บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles ✨ ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey 💿 ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป ❤️ แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย 👤 เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า 🎤 เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ” 🎸 ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles 💔 เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง 📀 หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย 🏆 Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019) 🎵 ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ 🎤 วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่ 🎧 🎤 ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs 🤠 🎤 นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา 🎹 ⌛ 🌟 “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 🌈 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cloudflare เปิดตัว Email Service เวอร์ชันเบต้า — ส่งอีเมลผ่าน Workers ได้โดยไม่ต้องใช้ API Key พร้อมรองรับ AI และระบบรับเมลครบวงจร”

    ในยุคที่อีเมลยังคงเป็นหัวใจของการสื่อสารระหว่างแอปพลิเคชันกับผู้ใช้ Cloudflare ได้เปิดตัวบริการใหม่ในชื่อ “Cloudflare Email Service” ซึ่งรวมความสามารถในการส่งอีเมล (Email Sending) และรับอีเมล (Email Routing) เข้าไว้ด้วยกัน โดยเปิดให้ทดลองใช้งานแบบ private beta ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2025

    จุดเด่นของ Email Sending คือการส่งอีเมลผ่าน Cloudflare Workers ได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้ API key หรือจัดการกับ secret ต่าง ๆ เพียงแค่เพิ่ม binding ในไฟล์ wrangler.jsonc ก็สามารถเรียกใช้คำสั่ง send() เพื่อส่งอีเมลได้ทันที พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับ React Email สำหรับการสร้างอีเมล HTML แบบสวยงาม

    Cloudflare ยังเน้นเรื่อง “ความเร็วและความน่าเชื่อถือ” ของการส่งอีเมล โดยผสานระบบ DNS เพื่อกำหนดค่า SPF, DKIM และ DMARC อัตโนมัติ ทำให้ผู้ให้บริการอีเมลสามารถตรวจสอบและเชื่อถือโดเมนของผู้ส่งได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสที่อีเมลจะตกไปอยู่ในกล่องสแปม

    ในฝั่งของ Email Routing ผู้ใช้สามารถสร้างอีเมลบนโดเมนของตนเอง เช่น support@your-domain.com แล้วใช้ Workers รับและประมวลผลอีเมลที่เข้ามา เช่น สร้าง ticket อัตโนมัติ, สรุปเนื้อหาด้วย AI, หรือเก็บไฟล์แนบไว้ใน R2 ได้ทันที

    เมื่อรวมการส่งและรับอีเมลเข้าด้วยกัน Cloudflare จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถจัดการอีเมลแบบครบวงจรในระดับแอปพลิเคชัน โดยไม่ต้องพึ่งบริการภายนอกหรือเซิร์ฟเวอร์อีเมลแบบเดิม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cloudflare เปิดตัว Email Service แบบ private beta ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    Email Sending สามารถส่งอีเมลผ่าน Workers ได้โดยไม่ต้องใช้ API key
    รองรับการใช้งานร่วมกับ React Email สำหรับสร้างอีเมล HTML
    ระบบ DNS ถูกตั้งค่า SPF, DKIM, DMARC อัตโนมัติเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    Email Routing รองรับการรับอีเมลผ่าน Workers และประมวลผลด้วย AI
    สามารถสร้าง workflow เช่น สร้าง ticket, สรุปเนื้อหา, เก็บไฟล์แนบ
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน REST API และ SMTP สำหรับบริการภายนอก
    มีระบบ observability สำหรับตรวจสอบ bounce rate และ delivery status
    รองรับการทดสอบแบบ local ผ่าน wrangler โดยไม่ต้อง deploy จริง
    Email Sending จะมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนข้อความที่ส่ง ส่วน Email Routing ยังคงใช้ฟรี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cloudflare Workers เป็นระบบ serverless ที่ทำงานบน edge ทำให้ latency ต่ำ
    การตั้งค่า SPF/DKIM/DMARC เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกัน phishing และ spoofing
    React Email เป็นเฟรมเวิร์กที่ช่วยให้การสร้างอีเมล HTML เป็นเรื่องง่ายและปลอดภัย
    การใช้ AI ในการจัดการอีเมลช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน เช่น การตอบกลับอัตโนมัติ
    การรวมระบบส่งและรับอีเมลในแพลตฟอร์มเดียวช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอป

    https://blog.cloudflare.com/email-service/
    📧 “Cloudflare เปิดตัว Email Service เวอร์ชันเบต้า — ส่งอีเมลผ่าน Workers ได้โดยไม่ต้องใช้ API Key พร้อมรองรับ AI และระบบรับเมลครบวงจร” ในยุคที่อีเมลยังคงเป็นหัวใจของการสื่อสารระหว่างแอปพลิเคชันกับผู้ใช้ Cloudflare ได้เปิดตัวบริการใหม่ในชื่อ “Cloudflare Email Service” ซึ่งรวมความสามารถในการส่งอีเมล (Email Sending) และรับอีเมล (Email Routing) เข้าไว้ด้วยกัน โดยเปิดให้ทดลองใช้งานแบบ private beta ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2025 จุดเด่นของ Email Sending คือการส่งอีเมลผ่าน Cloudflare Workers ได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้ API key หรือจัดการกับ secret ต่าง ๆ เพียงแค่เพิ่ม binding ในไฟล์ wrangler.jsonc ก็สามารถเรียกใช้คำสั่ง send() เพื่อส่งอีเมลได้ทันที พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับ React Email สำหรับการสร้างอีเมล HTML แบบสวยงาม Cloudflare ยังเน้นเรื่อง “ความเร็วและความน่าเชื่อถือ” ของการส่งอีเมล โดยผสานระบบ DNS เพื่อกำหนดค่า SPF, DKIM และ DMARC อัตโนมัติ ทำให้ผู้ให้บริการอีเมลสามารถตรวจสอบและเชื่อถือโดเมนของผู้ส่งได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสที่อีเมลจะตกไปอยู่ในกล่องสแปม ในฝั่งของ Email Routing ผู้ใช้สามารถสร้างอีเมลบนโดเมนของตนเอง เช่น support@your-domain.com แล้วใช้ Workers รับและประมวลผลอีเมลที่เข้ามา เช่น สร้าง ticket อัตโนมัติ, สรุปเนื้อหาด้วย AI, หรือเก็บไฟล์แนบไว้ใน R2 ได้ทันที เมื่อรวมการส่งและรับอีเมลเข้าด้วยกัน Cloudflare จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถจัดการอีเมลแบบครบวงจรในระดับแอปพลิเคชัน โดยไม่ต้องพึ่งบริการภายนอกหรือเซิร์ฟเวอร์อีเมลแบบเดิม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cloudflare เปิดตัว Email Service แบบ private beta ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ Email Sending สามารถส่งอีเมลผ่าน Workers ได้โดยไม่ต้องใช้ API key ➡️ รองรับการใช้งานร่วมกับ React Email สำหรับสร้างอีเมล HTML ➡️ ระบบ DNS ถูกตั้งค่า SPF, DKIM, DMARC อัตโนมัติเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ Email Routing รองรับการรับอีเมลผ่าน Workers และประมวลผลด้วย AI ➡️ สามารถสร้าง workflow เช่น สร้าง ticket, สรุปเนื้อหา, เก็บไฟล์แนบ ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน REST API และ SMTP สำหรับบริการภายนอก ➡️ มีระบบ observability สำหรับตรวจสอบ bounce rate และ delivery status ➡️ รองรับการทดสอบแบบ local ผ่าน wrangler โดยไม่ต้อง deploy จริง ➡️ Email Sending จะมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนข้อความที่ส่ง ส่วน Email Routing ยังคงใช้ฟรี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cloudflare Workers เป็นระบบ serverless ที่ทำงานบน edge ทำให้ latency ต่ำ ➡️ การตั้งค่า SPF/DKIM/DMARC เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกัน phishing และ spoofing ➡️ React Email เป็นเฟรมเวิร์กที่ช่วยให้การสร้างอีเมล HTML เป็นเรื่องง่ายและปลอดภัย ➡️ การใช้ AI ในการจัดการอีเมลช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน เช่น การตอบกลับอัตโนมัติ ➡️ การรวมระบบส่งและรับอีเมลในแพลตฟอร์มเดียวช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอป https://blog.cloudflare.com/email-service/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Announcing Cloudflare Email Service’s private beta
    Today, we’re launching Cloudflare Email Service. Send and receive email directly from your Workers with native bindings—no API keys needed. We're unifying email sending and routing into a single service built for developers. Sign up for the private beta.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GitHub ปรับมาตรการความปลอดภัยครั้งใหญ่ หลังมัลแวร์ Shai-Hulud โจมตี npm — ยกระดับ 2FA และ Trusted Publishing ป้องกันซัพพลายเชน”

    หลังจากเกิดเหตุการณ์โจมตีครั้งใหญ่ในระบบ npm โดยมัลแวร์ชนิดใหม่ชื่อว่า “Shai-Hulud” ซึ่งเป็นเวิร์มแบบ self-replicating ที่สามารถขยายตัวเองผ่านบัญชีผู้ดูแลแพ็กเกจที่ถูกแฮก GitHub ได้ออกมาตรการความปลอดภัยชุดใหม่เพื่อป้องกันการโจมตีซ้ำในอนาคต โดยเน้นการปรับปรุงระบบการยืนยันตัวตนและการเผยแพร่แพ็กเกจให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

    Shai-Hulud ใช้เทคนิคการฝังโค้ดใน post-install script ของแพ็กเกจยอดนิยม แล้วสแกนเครื่องนักพัฒนาเพื่อขโมยข้อมูลลับ เช่น GitHub tokens, API keys ของ AWS, GCP และ Azure ก่อนจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี และใช้บัญชีที่ถูกแฮกเพื่อเผยแพร่แพ็กเกจใหม่ที่ติดมัลแวร์ ทำให้เกิดการแพร่กระจายแบบอัตโนมัติ

    GitHub ตอบสนองโดยลบแพ็กเกจที่ถูกแฮกกว่า 500 รายการ และบล็อกการอัปโหลดแพ็กเกจใหม่ที่มีลักษณะคล้ายมัลแวร์ พร้อมประกาศมาตรการใหม่ ได้แก่ การบังคับใช้ 2FA สำหรับการเผยแพร่แบบ local, การใช้ token แบบ granular ที่หมดอายุภายใน 7 วัน และการส่งเสริมให้ใช้ Trusted Publishing ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ token แบบชั่วคราวจาก CI/CD แทน token ถาวร

    นอกจากนี้ GitHub ยังประกาศยกเลิกการใช้ classic tokens และ TOTP-based 2FA โดยจะเปลี่ยนไปใช้ FIDO/WebAuthn เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และจะไม่อนุญาตให้ bypass 2FA ในการเผยแพร่แพ็กเกจอีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะถูกนำมาใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมเอกสารคู่มือและช่องทางสนับสนุน เพื่อให้ผู้ดูแลแพ็กเกจสามารถปรับ workflow ได้โดยไม่สะดุด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GitHub ปรับมาตรการความปลอดภัยหลังมัลแวร์ Shai-Hulud โจมตี npm
    Shai-Hulud เป็นเวิร์มที่ขโมยข้อมูลลับและเผยแพร่แพ็กเกจมัลแวร์แบบอัตโนมัติ
    GitHub ลบแพ็กเกจที่ถูกแฮกกว่า 500 รายการ และบล็อกการอัปโหลดใหม่
    บังคับใช้ 2FA สำหรับการเผยแพร่แบบ local และไม่อนุญาตให้ bypass
    ใช้ granular tokens ที่หมดอายุภายใน 7 วัน แทน token ถาวร
    ส่งเสริม Trusted Publishing ที่ใช้ token แบบชั่วคราวจาก CI/CD
    ยกเลิก classic tokens และ TOTP-based 2FA เปลี่ยนไปใช้ FIDO/WebAuthn
    ขยายรายชื่อผู้ให้บริการที่รองรับ Trusted Publishing
    จะมีเอกสารคู่มือและการสนับสนุนเพื่อช่วยปรับ workflow

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Trusted Publishing ใช้ OpenID Connect (OIDC) เพื่อสร้าง token แบบปลอดภัยจากระบบ CI
    ทุกแพ็กเกจที่เผยแพร่ผ่าน Trusted Publishing จะมี provenance attestation ยืนยันแหล่งที่มา
    npm ecosystem มีการโจมตีแบบ supply chain เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2025
    การใช้ token แบบถาวรในระบบ CI เป็นช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีบ่อยครั้ง
    การเปลี่ยนมาใช้ FIDO/WebAuthn ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ credential theft

    https://www.techradar.com/pro/security/github-is-finally-tightening-up-security-around-npm-following-multiple-attacks
    🛡️ “GitHub ปรับมาตรการความปลอดภัยครั้งใหญ่ หลังมัลแวร์ Shai-Hulud โจมตี npm — ยกระดับ 2FA และ Trusted Publishing ป้องกันซัพพลายเชน” หลังจากเกิดเหตุการณ์โจมตีครั้งใหญ่ในระบบ npm โดยมัลแวร์ชนิดใหม่ชื่อว่า “Shai-Hulud” ซึ่งเป็นเวิร์มแบบ self-replicating ที่สามารถขยายตัวเองผ่านบัญชีผู้ดูแลแพ็กเกจที่ถูกแฮก GitHub ได้ออกมาตรการความปลอดภัยชุดใหม่เพื่อป้องกันการโจมตีซ้ำในอนาคต โดยเน้นการปรับปรุงระบบการยืนยันตัวตนและการเผยแพร่แพ็กเกจให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น Shai-Hulud ใช้เทคนิคการฝังโค้ดใน post-install script ของแพ็กเกจยอดนิยม แล้วสแกนเครื่องนักพัฒนาเพื่อขโมยข้อมูลลับ เช่น GitHub tokens, API keys ของ AWS, GCP และ Azure ก่อนจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี และใช้บัญชีที่ถูกแฮกเพื่อเผยแพร่แพ็กเกจใหม่ที่ติดมัลแวร์ ทำให้เกิดการแพร่กระจายแบบอัตโนมัติ GitHub ตอบสนองโดยลบแพ็กเกจที่ถูกแฮกกว่า 500 รายการ และบล็อกการอัปโหลดแพ็กเกจใหม่ที่มีลักษณะคล้ายมัลแวร์ พร้อมประกาศมาตรการใหม่ ได้แก่ การบังคับใช้ 2FA สำหรับการเผยแพร่แบบ local, การใช้ token แบบ granular ที่หมดอายุภายใน 7 วัน และการส่งเสริมให้ใช้ Trusted Publishing ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ token แบบชั่วคราวจาก CI/CD แทน token ถาวร นอกจากนี้ GitHub ยังประกาศยกเลิกการใช้ classic tokens และ TOTP-based 2FA โดยจะเปลี่ยนไปใช้ FIDO/WebAuthn เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และจะไม่อนุญาตให้ bypass 2FA ในการเผยแพร่แพ็กเกจอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะถูกนำมาใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมเอกสารคู่มือและช่องทางสนับสนุน เพื่อให้ผู้ดูแลแพ็กเกจสามารถปรับ workflow ได้โดยไม่สะดุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GitHub ปรับมาตรการความปลอดภัยหลังมัลแวร์ Shai-Hulud โจมตี npm ➡️ Shai-Hulud เป็นเวิร์มที่ขโมยข้อมูลลับและเผยแพร่แพ็กเกจมัลแวร์แบบอัตโนมัติ ➡️ GitHub ลบแพ็กเกจที่ถูกแฮกกว่า 500 รายการ และบล็อกการอัปโหลดใหม่ ➡️ บังคับใช้ 2FA สำหรับการเผยแพร่แบบ local และไม่อนุญาตให้ bypass ➡️ ใช้ granular tokens ที่หมดอายุภายใน 7 วัน แทน token ถาวร ➡️ ส่งเสริม Trusted Publishing ที่ใช้ token แบบชั่วคราวจาก CI/CD ➡️ ยกเลิก classic tokens และ TOTP-based 2FA เปลี่ยนไปใช้ FIDO/WebAuthn ➡️ ขยายรายชื่อผู้ให้บริการที่รองรับ Trusted Publishing ➡️ จะมีเอกสารคู่มือและการสนับสนุนเพื่อช่วยปรับ workflow ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Trusted Publishing ใช้ OpenID Connect (OIDC) เพื่อสร้าง token แบบปลอดภัยจากระบบ CI ➡️ ทุกแพ็กเกจที่เผยแพร่ผ่าน Trusted Publishing จะมี provenance attestation ยืนยันแหล่งที่มา ➡️ npm ecosystem มีการโจมตีแบบ supply chain เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ➡️ การใช้ token แบบถาวรในระบบ CI เป็นช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีบ่อยครั้ง ➡️ การเปลี่ยนมาใช้ FIDO/WebAuthn ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ credential theft https://www.techradar.com/pro/security/github-is-finally-tightening-up-security-around-npm-following-multiple-attacks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cadence จับมือ TSMC ยกระดับการออกแบบชิปยุค AI ด้วย 3DFabric และโหนดระดับนาโนเมตร — เมื่อการออกแบบกลายเป็นงานของ AI”

    ในวันที่โลกต้องการชิปที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น Cadence และ TSMC ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อผลักดันการออกแบบชิประดับสูง โดยใช้เทคโนโลยี AI และโครงสร้าง 3D-IC ผ่านแพลตฟอร์ม 3DFabric ของ TSMC ซึ่งเป็นการรวมพลังระหว่างเครื่องมือออกแบบอัตโนมัติ (EDA) และ IP ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วในระดับซิลิคอน

    Cadence ได้พัฒนา AI design flow ที่รองรับโหนดขั้นสูงของ TSMC ได้แก่ N3, N2 และ A16 โดยใช้เครื่องมือเช่น Innovus, Quantus, Tempus, Voltus และ Virtuoso Studio ซึ่งช่วยให้นักออกแบบสามารถเร่งเวลาในการเข้าสู่ตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและพื้นที่ของชิป (PPA) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    TSMC ยังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน 3DFabric เช่น การจัดการ bump connections อัตโนมัติ การวิเคราะห์การจัดวาง chiplet และการจำลองความร้อนร่วมกับระบบ photonic ซึ่ง Cadence ได้เสริมด้วย Clarity 3D Solver และ Sigrity X เพื่อวิเคราะห์สัญญาณและพลังงานในระดับระบบ

    นอกจากนี้ Cadence ยังเปิดตัว IP ใหม่สำหรับโหนด N3P เช่น HBM4, LPDDR6/5X, DDR5 MRDIMM Gen 2 และ PCIe 7.0 ที่มีความเร็วสูงถึง 128 GT/s รวมถึง UCIe 32G สำหรับการเชื่อมต่อ chiplet ซึ่งทั้งหมดนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น LLM และ agentic AI

    ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การพัฒนาเครื่องมือ — แต่มันคือการสร้างระบบนิเวศที่ช่วยให้นักออกแบบสามารถใช้ AI ในการออกแบบชิปที่ซับซ้อนระดับ 3D ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์

    https://www.techpowerup.com/341315/cadence-partners-with-tsmc-to-power-next-generation-innovations-using-ai-flows-and-ip-for-tsmc-advanced-nodes-and-3dfabric
    🔧 “Cadence จับมือ TSMC ยกระดับการออกแบบชิปยุค AI ด้วย 3DFabric และโหนดระดับนาโนเมตร — เมื่อการออกแบบกลายเป็นงานของ AI” ในวันที่โลกต้องการชิปที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น Cadence และ TSMC ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อผลักดันการออกแบบชิประดับสูง โดยใช้เทคโนโลยี AI และโครงสร้าง 3D-IC ผ่านแพลตฟอร์ม 3DFabric ของ TSMC ซึ่งเป็นการรวมพลังระหว่างเครื่องมือออกแบบอัตโนมัติ (EDA) และ IP ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วในระดับซิลิคอน Cadence ได้พัฒนา AI design flow ที่รองรับโหนดขั้นสูงของ TSMC ได้แก่ N3, N2 และ A16 โดยใช้เครื่องมือเช่น Innovus, Quantus, Tempus, Voltus และ Virtuoso Studio ซึ่งช่วยให้นักออกแบบสามารถเร่งเวลาในการเข้าสู่ตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและพื้นที่ของชิป (PPA) ได้อย่างมีนัยสำคัญ TSMC ยังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน 3DFabric เช่น การจัดการ bump connections อัตโนมัติ การวิเคราะห์การจัดวาง chiplet และการจำลองความร้อนร่วมกับระบบ photonic ซึ่ง Cadence ได้เสริมด้วย Clarity 3D Solver และ Sigrity X เพื่อวิเคราะห์สัญญาณและพลังงานในระดับระบบ นอกจากนี้ Cadence ยังเปิดตัว IP ใหม่สำหรับโหนด N3P เช่น HBM4, LPDDR6/5X, DDR5 MRDIMM Gen 2 และ PCIe 7.0 ที่มีความเร็วสูงถึง 128 GT/s รวมถึง UCIe 32G สำหรับการเชื่อมต่อ chiplet ซึ่งทั้งหมดนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น LLM และ agentic AI ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การพัฒนาเครื่องมือ — แต่มันคือการสร้างระบบนิเวศที่ช่วยให้นักออกแบบสามารถใช้ AI ในการออกแบบชิปที่ซับซ้อนระดับ 3D ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ https://www.techpowerup.com/341315/cadence-partners-with-tsmc-to-power-next-generation-innovations-using-ai-flows-and-ip-for-tsmc-advanced-nodes-and-3dfabric
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Cadence Partners with TSMC to Power Next-Generation Innovations Using AI Flows and IP for TSMC Advanced Nodes and 3DFabric
    Cadence today announced major advancements in chip design automation and IP, driven by its long-standing relationship with TSMC to develop advanced design infrastructure and accelerate time to market, for AI and HPC customer applications. Cadence and TSMC have collaborated closely across the spectru...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Chrome อัปเดตด่วน! แก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 — หนึ่งในนั้นอาจทำให้ข้อมูลรั่วโดยไม่ต้องคลิกอะไรเลย”

    Google ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชันใหม่ของ Chrome สำหรับ Windows, macOS และ Linux (140.0.7339.207/.208) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการใน V8 ซึ่งเป็นเอนจิน JavaScript ที่ขับเคลื่อนเว็บแอปทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบทั้งจากนักวิจัยอิสระและระบบ AI ของ Google เอง

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-10890 ซึ่งเป็นการรั่วไหลข้อมูลแบบ side-channel — หมายถึงการที่ผู้โจมตีสามารถสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ ของระบบ เช่น เวลาในการประมวลผล หรือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในหน่วยความจำ เพื่อสกัดข้อมูลลับ เช่น session ID หรือคีย์เข้ารหัส โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง

    ช่องโหว่ที่สองและสาม (CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892) เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow ซึ่งเกิดจากการคำนวณที่เกินขนาดหน่วยความจำ ทำให้สามารถเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยความจำและอาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบโดยระบบ AI ที่ชื่อว่า Big Sleep ซึ่งพัฒนาโดย DeepMind และทีม Project Zero ของ Google

    การค้นพบโดย AI แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของการใช้ระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบช่องโหว่ โดยเฉพาะในเอนจินที่ซับซ้อนอย่าง V8 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google Chrome อัปเดตเวอร์ชัน 140.0.7339.207/.208 เพื่อแก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8
    CVE-2025-10890 เป็นช่องโหว่แบบ side-channel ที่อาจทำให้ข้อมูลลับรั่ว
    CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892 เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow
    ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยอิสระและระบบ AI “Big Sleep” ของ Google
    การโจมตีแบบ side-channel สามารถขโมยข้อมูลโดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง
    ช่องโหว่แบบ overflow อาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายในหน่วยความจำ
    ผู้ใช้ควรอัปเดต Chrome ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    V8 เป็นเอนจิน JavaScript ที่ใช้ใน Chrome, Edge, Brave และเบราว์เซอร์อื่น ๆ ที่ใช้ Chromium
    Side-channel attack เคยถูกใช้ในการขโมยคีย์เข้ารหัสจาก CPU โดยไม่ต้องเข้าถึงระบบโดยตรง
    Integer overflow เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่จัดการหน่วยความจำแบบ low-level
    AI อย่าง Big Sleep ใช้เทคนิค fuzzing และ symbolic execution เพื่อค้นหาช่องโหว่
    การอัปเดต Chrome สามารถทำได้โดยไปที่ Settings > About Chrome แล้วรีสตาร์ตเบราว์เซอร์

    https://securityonline.info/google-chrome-patches-three-high-severity-flaws-in-v8-engine/
    🛡️ “Google Chrome อัปเดตด่วน! แก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 — หนึ่งในนั้นอาจทำให้ข้อมูลรั่วโดยไม่ต้องคลิกอะไรเลย” Google ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชันใหม่ของ Chrome สำหรับ Windows, macOS และ Linux (140.0.7339.207/.208) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการใน V8 ซึ่งเป็นเอนจิน JavaScript ที่ขับเคลื่อนเว็บแอปทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบทั้งจากนักวิจัยอิสระและระบบ AI ของ Google เอง ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-10890 ซึ่งเป็นการรั่วไหลข้อมูลแบบ side-channel — หมายถึงการที่ผู้โจมตีสามารถสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ ของระบบ เช่น เวลาในการประมวลผล หรือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในหน่วยความจำ เพื่อสกัดข้อมูลลับ เช่น session ID หรือคีย์เข้ารหัส โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง ช่องโหว่ที่สองและสาม (CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892) เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow ซึ่งเกิดจากการคำนวณที่เกินขนาดหน่วยความจำ ทำให้สามารถเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยความจำและอาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบโดยระบบ AI ที่ชื่อว่า Big Sleep ซึ่งพัฒนาโดย DeepMind และทีม Project Zero ของ Google การค้นพบโดย AI แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของการใช้ระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบช่องโหว่ โดยเฉพาะในเอนจินที่ซับซ้อนอย่าง V8 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google Chrome อัปเดตเวอร์ชัน 140.0.7339.207/.208 เพื่อแก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 ➡️ CVE-2025-10890 เป็นช่องโหว่แบบ side-channel ที่อาจทำให้ข้อมูลลับรั่ว ➡️ CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892 เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow ➡️ ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยอิสระและระบบ AI “Big Sleep” ของ Google ➡️ การโจมตีแบบ side-channel สามารถขโมยข้อมูลโดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง ➡️ ช่องโหว่แบบ overflow อาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายในหน่วยความจำ ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดต Chrome ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ V8 เป็นเอนจิน JavaScript ที่ใช้ใน Chrome, Edge, Brave และเบราว์เซอร์อื่น ๆ ที่ใช้ Chromium ➡️ Side-channel attack เคยถูกใช้ในการขโมยคีย์เข้ารหัสจาก CPU โดยไม่ต้องเข้าถึงระบบโดยตรง ➡️ Integer overflow เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่จัดการหน่วยความจำแบบ low-level ➡️ AI อย่าง Big Sleep ใช้เทคนิค fuzzing และ symbolic execution เพื่อค้นหาช่องโหว่ ➡️ การอัปเดต Chrome สามารถทำได้โดยไปที่ Settings > About Chrome แล้วรีสตาร์ตเบราว์เซอร์ https://securityonline.info/google-chrome-patches-three-high-severity-flaws-in-v8-engine/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Chrome Patches Three High-Severity Flaws in V8 Engine
    Google has released an urgent update for Chrome, patching three high-severity flaws in its V8 JavaScript engine, two of which were discovered by AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Webflow AI เปิดตัวแพลตฟอร์มสร้างเว็บครบวงจร — จากคำสั่งสู่แอปใช้งานจริง พร้อมผู้ช่วยสนทนาและ SEO ยุคใหม่”

    ในงาน Webflow Conf 2025 ที่เพิ่งจัดขึ้น Webflow ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้กลายเป็นกระบวนการที่ “พูดแล้วได้ของจริง” โดยไม่ต้องสลับเครื่องมือหรือเขียนโค้ดเองทุกบรรทัดอีกต่อไป

    หัวใจของแพลตฟอร์มนี้คือ AI Assistant ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยจัดการโปรเจกต์ สร้างคอนเทนต์ และโครงสร้างแอปได้จากคำสั่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง React components บน canvas, การจัดการ CMS, หรือการออกแบบ UI ที่สอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์

    Webflow AI ยังมาพร้อมฟีเจอร์ AI Code Gen ที่สามารถสร้างแอประดับ production ได้ทันทีจาก prompt เดียว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน mockup หรือ prototype แบบเดิม และยังสามารถนำไปใช้งานจริงได้ทันทีในระบบ Webflow ที่มี CMS และ hosting พร้อมใช้งาน

    อีกหนึ่งจุดเด่นคือ Answer Engine Optimization (AEO) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของ SEO ที่ไม่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google แต่ยังตอบโจทย์ทั้งมนุษย์และอัลกอริทึม เช่น AI search หรือ voice assistant โดยใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม

    นอกจากนี้ Webflow ยังเปิดตัว CMS รุ่นใหม่ที่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่, การออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น, และ API ที่ทรงพลัง พร้อมระบบวิเคราะห์ใหม่ที่ติดตาม traffic จาก AI และการแสดงผลแบบเรียลไทม์ รวมถึงการลงทุนในชุมชน เช่น Webflow University ที่มีคอร์ส AI, โปรแกรม beta, และรางวัลสำหรับผู้สร้างเทมเพลต

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Webflow AI
    เปิดตัว AI Assistant ที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในการจัดการโปรเจกต์และสร้างคอนเทนต์
    รองรับการสร้าง React components บน canvas โดยตรง
    ใช้ AI Code Gen สร้างแอประดับ production จาก prompt เดียว
    แอปที่สร้างจะสอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์และ CMS ของ Webflow
    รองรับการสร้าง UI ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ และปรับแต่งได้ตามต้องการ

    SEO และการค้นหาแบบใหม่
    เปิดตัว Answer Engine Optimization (AEO) เพื่อเพิ่มการค้นพบทั้งจากมนุษย์และ AI
    ใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสมกับระบบค้นหาแบบใหม่
    ปรับปรุงการจัดอันดับใน search engine และ voice assistant

    ระบบ CMS และการวิเคราะห์
    CMS รุ่นใหม่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่และการออกแบบที่ยืดหยุ่น
    API ใหม่ช่วยให้เชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้ง่ายขึ้น
    ระบบ Webflow Analyze ติดตาม traffic จาก AI และรายงานเป้าหมายแบบละเอียด

    การสนับสนุนชุมชน
    Webflow University มีคอร์ส AI และเส้นทางการเรียนรู้ใหม่
    โปรแกรม beta ให้เข้าถึงฟีเจอร์ก่อนใคร
    รางวัล $50,000 สำหรับผู้สร้างเทมเพลต และค่าคอมมิชชั่น 95%
    เปิดตัว Global Leaders Hub สำหรับผู้แทน Webflow ทั่วโลก

    https://www.techradar.com/pro/webflow-jumps-into-the-crowded-vibe-coding-market-with-its-own-all-singing-all-dancing-ai-code-generation-tool
    🧠 “Webflow AI เปิดตัวแพลตฟอร์มสร้างเว็บครบวงจร — จากคำสั่งสู่แอปใช้งานจริง พร้อมผู้ช่วยสนทนาและ SEO ยุคใหม่” ในงาน Webflow Conf 2025 ที่เพิ่งจัดขึ้น Webflow ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้กลายเป็นกระบวนการที่ “พูดแล้วได้ของจริง” โดยไม่ต้องสลับเครื่องมือหรือเขียนโค้ดเองทุกบรรทัดอีกต่อไป หัวใจของแพลตฟอร์มนี้คือ AI Assistant ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยจัดการโปรเจกต์ สร้างคอนเทนต์ และโครงสร้างแอปได้จากคำสั่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง React components บน canvas, การจัดการ CMS, หรือการออกแบบ UI ที่สอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์ Webflow AI ยังมาพร้อมฟีเจอร์ AI Code Gen ที่สามารถสร้างแอประดับ production ได้ทันทีจาก prompt เดียว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน mockup หรือ prototype แบบเดิม และยังสามารถนำไปใช้งานจริงได้ทันทีในระบบ Webflow ที่มี CMS และ hosting พร้อมใช้งาน อีกหนึ่งจุดเด่นคือ Answer Engine Optimization (AEO) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของ SEO ที่ไม่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google แต่ยังตอบโจทย์ทั้งมนุษย์และอัลกอริทึม เช่น AI search หรือ voice assistant โดยใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม นอกจากนี้ Webflow ยังเปิดตัว CMS รุ่นใหม่ที่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่, การออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น, และ API ที่ทรงพลัง พร้อมระบบวิเคราะห์ใหม่ที่ติดตาม traffic จาก AI และการแสดงผลแบบเรียลไทม์ รวมถึงการลงทุนในชุมชน เช่น Webflow University ที่มีคอร์ส AI, โปรแกรม beta, และรางวัลสำหรับผู้สร้างเทมเพลต ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Webflow AI ➡️ เปิดตัว AI Assistant ที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในการจัดการโปรเจกต์และสร้างคอนเทนต์ ➡️ รองรับการสร้าง React components บน canvas โดยตรง ➡️ ใช้ AI Code Gen สร้างแอประดับ production จาก prompt เดียว ➡️ แอปที่สร้างจะสอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์และ CMS ของ Webflow ➡️ รองรับการสร้าง UI ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ และปรับแต่งได้ตามต้องการ ✅ SEO และการค้นหาแบบใหม่ ➡️ เปิดตัว Answer Engine Optimization (AEO) เพื่อเพิ่มการค้นพบทั้งจากมนุษย์และ AI ➡️ ใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสมกับระบบค้นหาแบบใหม่ ➡️ ปรับปรุงการจัดอันดับใน search engine และ voice assistant ✅ ระบบ CMS และการวิเคราะห์ ➡️ CMS รุ่นใหม่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่และการออกแบบที่ยืดหยุ่น ➡️ API ใหม่ช่วยให้เชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้ง่ายขึ้น ➡️ ระบบ Webflow Analyze ติดตาม traffic จาก AI และรายงานเป้าหมายแบบละเอียด ✅ การสนับสนุนชุมชน ➡️ Webflow University มีคอร์ส AI และเส้นทางการเรียนรู้ใหม่ ➡️ โปรแกรม beta ให้เข้าถึงฟีเจอร์ก่อนใคร ➡️ รางวัล $50,000 สำหรับผู้สร้างเทมเพลต และค่าคอมมิชชั่น 95% ➡️ เปิดตัว Global Leaders Hub สำหรับผู้แทน Webflow ทั่วโลก https://www.techradar.com/pro/webflow-jumps-into-the-crowded-vibe-coding-market-with-its-own-all-singing-all-dancing-ai-code-generation-tool
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อมือใหม่อ่าน Tutorial จากนักพัฒนา — ความจริงที่นักเขียนโค้ดควรรู้ก่อนสอนคนอื่น”

    บล็อกโพสต์จาก Annie Mueller ได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจและจริงใจจากผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนา แต่พยายามทำตาม tutorial ที่นักพัฒนาเขียนไว้ โดยเนื้อหานี้ไม่ได้เน้นเทคนิค แต่สะท้อนถึงช่องว่างระหว่าง “คนเขียน” กับ “คนอ่าน” ที่มักถูกมองข้าม

    Annie เล่าประสบการณ์การอ่าน tutorial ที่เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะ เช่น “Hoobijag”, “jabbernocks”, “Snarfus”, “chronostatiomatrix” ซึ่งแม้จะเป็นการล้อเลียน แต่สะท้อนความรู้สึกของมือใหม่ที่ต้องเผชิญกับคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ และขั้นตอนที่ดูเหมือนง่ายสำหรับนักพัฒนา แต่กลับใช้เวลาเป็นชั่วโมงสำหรับผู้เริ่มต้น

    เธอพยายามทำตามขั้นตอนที่ดูเหมือนจะ “ตรงไปตรงมา” เช่น การเปิด terminal แล้วพิมพ์คำสั่งที่ดูเหมือนหลุดมาจากโลกไซไฟ และการตามหาไฟล์ในโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า “library/library/library/liiiiiibrarrrary” ซึ่งเป็นการเสียดสีถึงความซับซ้อนของโครงสร้างไฟล์ในระบบจริง

    แม้จะงงและเกือบถอดใจ แต่ Annie ก็ยังพยายามต่อจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เรียกว่า “Boop!” ซึ่งเป็นจุดที่ทุกอย่างเริ่มทำงานได้จริง และเธอรู้สึกถึงความสำเร็จ แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมดก็ตาม

    บทความนี้จึงเป็นเสียงสะท้อนถึงนักพัฒนาทุกคนว่า การเขียน tutorial ไม่ใช่แค่การสื่อสารขั้นตอน แต่คือการเข้าใจผู้อ่านที่อาจไม่มีพื้นฐานเลย และการใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น คำอธิบายที่ชัดเจน โครงสร้างที่เป็นมิตร และการลดศัพท์เฉพาะ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนหนึ่งคน “ไม่ถอดใจ” และเดินต่อในเส้นทางการเรียนรู้

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    ผู้เขียนเป็นมือใหม่ที่พยายามทำตาม tutorial จากนักพัฒนา
    เนื้อหาสะท้อนถึงความยากในการเข้าใจคำศัพท์และขั้นตอนที่ดูง่ายแต่ซับซ้อน
    ตัวอย่างเช่นการพิมพ์คำสั่งใน terminal และการตามหาไฟล์ในโฟลเดอร์ลึก
    จุด “Boop!” คือช่วงที่ระบบเริ่มทำงานได้จริง และผู้เขียนรู้สึกถึงความสำเร็จ

    มุมมองที่นักพัฒนาควรรับรู้
    Tutorial ที่ดีควรเขียนโดยคำนึงถึงผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐาน
    การใช้ศัพท์เฉพาะมากเกินไปอาจทำให้ผู้อ่านสับสนและถอดใจ
    การอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดและเป็นมิตรช่วยให้มือใหม่เรียนรู้ได้ดีขึ้น
    การใส่ความเข้าใจและความเห็นใจในเนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มมีแนวทาง “Beginner First” ในการเขียนเอกสาร
    การใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริงช่วยให้ tutorial เข้าถึงง่ายขึ้น
    Stack Overflow และ GitHub Discussions เป็นแหล่งช่วยเหลือที่มือใหม่ใช้บ่อย
    การเรียนรู้ผ่านความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา แต่ควรมีคำแนะนำที่ชัดเจน

    https://anniemueller.com/posts/how-i-a-non-developer-read-the-tutorial-you-a-developer-wrote-for-me-a-beginner
    🧩 “เมื่อมือใหม่อ่าน Tutorial จากนักพัฒนา — ความจริงที่นักเขียนโค้ดควรรู้ก่อนสอนคนอื่น” บล็อกโพสต์จาก Annie Mueller ได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจและจริงใจจากผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนา แต่พยายามทำตาม tutorial ที่นักพัฒนาเขียนไว้ โดยเนื้อหานี้ไม่ได้เน้นเทคนิค แต่สะท้อนถึงช่องว่างระหว่าง “คนเขียน” กับ “คนอ่าน” ที่มักถูกมองข้าม Annie เล่าประสบการณ์การอ่าน tutorial ที่เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะ เช่น “Hoobijag”, “jabbernocks”, “Snarfus”, “chronostatiomatrix” ซึ่งแม้จะเป็นการล้อเลียน แต่สะท้อนความรู้สึกของมือใหม่ที่ต้องเผชิญกับคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ และขั้นตอนที่ดูเหมือนง่ายสำหรับนักพัฒนา แต่กลับใช้เวลาเป็นชั่วโมงสำหรับผู้เริ่มต้น เธอพยายามทำตามขั้นตอนที่ดูเหมือนจะ “ตรงไปตรงมา” เช่น การเปิด terminal แล้วพิมพ์คำสั่งที่ดูเหมือนหลุดมาจากโลกไซไฟ และการตามหาไฟล์ในโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า “library/library/library/liiiiiibrarrrary” ซึ่งเป็นการเสียดสีถึงความซับซ้อนของโครงสร้างไฟล์ในระบบจริง แม้จะงงและเกือบถอดใจ แต่ Annie ก็ยังพยายามต่อจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เรียกว่า “Boop!” ซึ่งเป็นจุดที่ทุกอย่างเริ่มทำงานได้จริง และเธอรู้สึกถึงความสำเร็จ แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมดก็ตาม บทความนี้จึงเป็นเสียงสะท้อนถึงนักพัฒนาทุกคนว่า การเขียน tutorial ไม่ใช่แค่การสื่อสารขั้นตอน แต่คือการเข้าใจผู้อ่านที่อาจไม่มีพื้นฐานเลย และการใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น คำอธิบายที่ชัดเจน โครงสร้างที่เป็นมิตร และการลดศัพท์เฉพาะ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนหนึ่งคน “ไม่ถอดใจ” และเดินต่อในเส้นทางการเรียนรู้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ ผู้เขียนเป็นมือใหม่ที่พยายามทำตาม tutorial จากนักพัฒนา ➡️ เนื้อหาสะท้อนถึงความยากในการเข้าใจคำศัพท์และขั้นตอนที่ดูง่ายแต่ซับซ้อน ➡️ ตัวอย่างเช่นการพิมพ์คำสั่งใน terminal และการตามหาไฟล์ในโฟลเดอร์ลึก ➡️ จุด “Boop!” คือช่วงที่ระบบเริ่มทำงานได้จริง และผู้เขียนรู้สึกถึงความสำเร็จ ✅ มุมมองที่นักพัฒนาควรรับรู้ ➡️ Tutorial ที่ดีควรเขียนโดยคำนึงถึงผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐาน ➡️ การใช้ศัพท์เฉพาะมากเกินไปอาจทำให้ผู้อ่านสับสนและถอดใจ ➡️ การอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดและเป็นมิตรช่วยให้มือใหม่เรียนรู้ได้ดีขึ้น ➡️ การใส่ความเข้าใจและความเห็นใจในเนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มมีแนวทาง “Beginner First” ในการเขียนเอกสาร ➡️ การใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริงช่วยให้ tutorial เข้าถึงง่ายขึ้น ➡️ Stack Overflow และ GitHub Discussions เป็นแหล่งช่วยเหลือที่มือใหม่ใช้บ่อย ➡️ การเรียนรู้ผ่านความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา แต่ควรมีคำแนะนำที่ชัดเจน https://anniemueller.com/posts/how-i-a-non-developer-read-the-tutorial-you-a-developer-wrote-for-me-a-beginner
    ANNIEMUELLER.COM
    How I, a non-developer, read the tutorial you, a developer, wrote for me, a beginner - annie's blog
    “Hello! I am a developer. Here is my relevant experience: I code in Hoobijag and sometimes jabbernocks and of course ABCDE++++ (but never ABCDE+/^+ are you kidding? ha!) and I like working with Shoobababoo and occasionally kleptomitrons. I’ve gotten to work for Company1 doing Shoobaboo-ing code things and that’s what led me to the Snarfus. So, let’s dive in!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง บันทึกวันฉลอง
    “บันทึกวันฉลอง”
    เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นวันฉลองประกาศอิสรภาพ ( จากการเป็นลูกกระเป๋งของอังกฤษ) ของประเทศที่ประกาศตัว เป็นผู้นำโลกหมายเลขหนึ่ง เป็นจักรวรรดิยุคใหม่ เรียกได้ว่าเป็นวันสำคัญของโลกเชียวนะ ผมจะไม่เขียนอะไรถึง ในฐานะคนใกล้ชิด ติดตามเขียนถึงเกือบทุกวัน มันจะดูใจจืดไป แต่บังเอิญยังไม่มีเวลา ช้าไปหน่อยคงไม่เป็นไร ให้คุณนายกุ้งแห้งพักให้หายเหนื่อยจากการรับแขก บรรดาเพื่อนรัก ร่วมนิสัย ร่วมสันดาน ที่คุณนายเชิญมางานฉลองก่อน ท่านใดที่ไม่ได้รับเชิญ ผมว่าน่าจะเป็นโชคดี ที่ไม่ต้องไปยืนทำหน้าปูเลี่ยนใส่กัน ส่วนมันจะเป็นการสำแดงอะไรในการเชิญ ไม่เชิญ ประเทศที่มีอารยะธรรม วัฒนธรรม สืบทอดย้อนไปได้เป็นพันปีอย่างเรา ย่อมมองออก และ รอเวลา ดำเนินการที่เหมาะสม
    ในฐานะคนใกล้ชิด ผมมองจักรวรรดิอเมริกาอย่างไร ขอถือโอกาสขยายบันทึกต่อไปนี้ เป็นการสดุดีในวันฉลอง
    ชื่อ: ตามใบเกิดใช้ชื่อว่า สหรัฐอเมริกา มี ชื่อ เล่น ว่า ไอ้กัน หรือ เมกา
นอกจากนี้ ยังมีชื่อ ที่ถูกเรียกบ่อยตามความประพฤติ ว่า Ugly America และยังมีชื่อ ที่บางคน บางพวก เรียก ด้วยความเอียน ว่า จิ๊กโก๋ปากซอย (ตามพฤติกรรมเทียบเคียงอีกเช่นกัน)
    นามแฝง: นักล่า (น่าจะมีรูปถ่ายแบบ หน้าตรง และหน้าข้างประกอบ แต่ทำไม่เป็นครับ)
    อุปนิสัยเด่น: เหมือนคนที่โตแต่ตัว แต่ไม่มีวุฒิภาวะ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า โตแต่ตัว สมองเท่าเม็ดถัวเขียว แยกแยะดีชั่วไม่ออก เรื่องควรทำไม่ทำ เรื่องไม่ควรทำ ดันทำ ถ้ามีวุฒิภาวะ ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ สมดังที่เขาเรียกว่าพี่เบิ้ม โลกคงไม่วุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่
อีกนิสัยที่โดดเด่นคือ เป็นมิตรเฉพาะกับผู้ที่ตนได้ประโยชน์ เมื่อหมดประโยชน์ ก็สามารถทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ขาดกับมิตร รวมไปถึงการ กำจัด และ ทำลาย โดยไม่มีเหนียมอาย ถ้าเป็นบุคคล ก็เรียกว่า เป็นประเภทเพื่อนกิน เออ มันก็เป็นเพื่อนกินจริงๆแหละ กินแบบตะกรามเสียด้วย
    (เข้าใจว่า ไม่เคยอ่านหนังสือกำลังภายใน ที่โด่งดัง อยู่อีกฝั่งของโลก จึงไม่รู้จัก คำสอนที่หนังสือกำลังภายในพวกนี้ เขียนไว้เป็นอุทาหรณ์เสมอว่า บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ คงมีพวกลูกหาบคุยให้ฟัง แต่จับความได้แค่ ท่อนหลัง คนอื่น เขาก็จำท่อนหลังได้เหมือนกันนะ)
    สันดาน: กร่าง อวดดี ชอบข่มขู่ ทั้งทางกิริยา วาจา และอาวุธ และยังมีสันดานที่ถ้าเป็นบุคคล เขาก็เรียกว่าเป็นประเภท มือถือสากปากถือศีล ตัวเองทำได้ ห้ามใครด่า แต่ถ้าคนอื่นทำบ้าง ไม่ใช่แค่ด่า มันทั้งประณาม และคว่ำบาตรเป็นการแถม ถ้ายังไม่สาแก่ใจ พร้อมที่จะยกทัพกรีฑา ไปบดขยี้
    อาณาเขตประเทศ: ขณะนี้ มีเนื้อที่ประมาณ 9.83 ล้าน ตารางกิโลเมตร กว้างใหญ่มากกกก แต่ยังใหญไม่พอ จึงมีความต้ังใจ ว่า จะครอบครองโลกใบนี้ทั้งใบให้ได้ ถ้ามีโลกมากกว่า 1 ก็คงหวังจะครองทั้งหมดด้วย นี่ก็ได้ข่าวว่า จะเปฺิดให้ตีตั๋วจองไปท่องเที่ยวดาวอังคาร และมีแผนจะไปอมดวงจันทร์ ทำตัวดั่งเป็นพระราหู ถ้าจะเจ๋งจริง ต้องอมดวงอาทิตย์ด้วยนะ ดูๆไปแล้วเหมือนเป็นคนขี้โม้ ถ้าเป็นบุคคล น่าจะเข้าข่ายดาวพุธเสีย ปากหาเรื่อง พูดจาหาความจริงได้ยาก ถึงเดี๋ยวนี้ยังมีคนไม่เช่ือเรื่องไปดวงจันทร์
เม้นท์มาถามลุงนิทาน ว่า ตกลงเมกาไปดวงจันทร์จริงหรือเปล่าคับ เล่นเอาลุงนิทาน อึ้งไป ตอบไม่ได้เหมือนกันหลานเอ๋ย
    พลเมือง: ของแท้ดั้งเดิมเรียกว่า อินเดียนแดง แต่พวกที่มาไล่ล่าฆ่า อินเดียนแดง และแย่งถิ่นที่อยู่เขาไปและเรียกตัวเองว่าคนอเมริกัน นั้น มีสาระพัดสายพันธ์ และสาระพัดสีผิว แต่ก็มีคนพยายามที่จะคัดสายพันธ์ใหม่ เอาสีเข้มๆออกไป สงสัยไม่ถูกโฉลก ให้เหลือแต่ผิวสีขาว และผมทอง แต่เท่าที่สังเกตดู แผนนี้ไม่น่าสำเร็จ แต่ไอ้ชั่วจอมโหดยังไม่ล้มเลิกแผน ใช้ทั้งวิธีคุม วิธีตอน ทั้งอาหาร ทั้งยา และเขื้อโรคเหลืออย่างเดียว อย่าให้พูดต่อเลย เสียวน่ะ
    ผู้นำประเทศ: เรียกว่า ประธานาธิบดี มาจากการเลือกต้ัง ที่ไม่จำกัดอาชีวะ
ดังนั้น ผู้นำประเทศ จึงมีต้ังแต่ นักคิด นักรบ นักรัก นักเลง นักแสดง คนขายของ ขายถั่ว ขายน้ำมัน เป็นต้น แต่คนปัจจุบัน ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แม้แต่สื่อนอก พวกกันเองยังด่าขรม จะว่าเป็นนักพูด ก็ไม่เชิงเพราะพูดจา ไม่เอาเหนียง ซ้ำชาก แถมพักหลังนี่ เลอะเทอะชอบกล ไม่อยากวิจารณ์มาก เอาว่า คงกำลังดวงตก
    ระบอบการปกครอง: อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่มีข้อมูลมากมาย บอกว่า ไม่จริงหรอก
ประชาธิปไตยบ้าบออะไร มันเป็นเป็นเผด็จการทุนนิยมต่างหาก ซึ่งกำกับ สับโขก ดูแลโดยนายทุนข้ามชาติที่เป็นเจ้าของโรงพิมพ์แบงค์ หลายโรง
    พรรคการเมือง: มี 2 พรรคผูกขาด แต่ พรรคไหนชนะ ก็ไม่มีความหมาย เพราะการเลือกต้ัง มีเพื่อเป็นการฝึกพูด ฝึกหาเสียง ฝึกประท้วง สร้างการจ้างงาน กระจายรายได้ แถมให้สื่อยักษ์ มีงานทำ เพราะ เจ้าของโรงพิมพ์แบงค์ เป็นเจ้าของสื่อ และ เป็นเจ้าของนักการเมือง ทั้ง 2 พรรค ที่สำคัญ เป็นการทดสอบ การโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของระบอบการปกครอง
    สินค้าออกสำคัญ บัญชี 1: ทุนนิยมเสรี ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน
(หมายเหตุ: สินค้าส่งออกบัญชีนี้ น่าจะเป็นของปลอมเกือบทั้งหมด เพราะ บรรดาผู้นำเข้าสินค้า ไม่ว่าจะสมัครใจ เพราะเคลิ้มตามโฆษณาชวนเชื่อ หรือถูกบังคับให้นำเข้าไปใช้ ก็ตาม แต่ปรากฏผล ไม่น่าพอใจ เหมือนกัน คือ ฉ ห กันถ้วนหน้า แต่ไม่รู้จะไปร้องเรียนกับใคร ได้แต่ก้มหน้ามองหัวแม่เท้าทุกวัน ที่แย่ไปกว่านั้น คือ พวกที่ ฉ ห มีกว่าครึ่งที่ยังไม่รู้ตัวว่า ฉ ห เพราะอะไร โถ โถ)
    สินค้าส่งออกสำคัญ บัญชี 2: แนวทางการศึกษา และ ความคิดทางวิชาการ
(หมายเหตุ: สินค้่าส่งออกบัญชีนี้ มีส่วนสัมพันธ์กับบัญชี 1 เมื่อใดที่ การส่งออกบัญชีนี้ลดลง หรือไม่ได้ผล การส่งออกตามบัญชี 1 จะลดลง ตามไปด้วย แต่คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นสินค้า ที่ส่งออกมาเป็นเวลานาน ฝังรากลงลึก และมีผู้คนหลายประเภท ติดกับ นอนสบาย พุงปลิ้น อยู่ในคอก มันคงฉุดให้ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากคอกยากหน่อย แต่ไม่มีอะไรคงทนถาวรตลอดกาล เป็นหลักสัจธรรม คอยดูกันไป)
    สินค้าส่งออกสำคัญ บัญชี 3: วัฒนธรรมอเมริกา ผ่าน การบันเทิง และสื่อทุกประเภท
(หมายเหตุ: สินค้าส่งออกบัญชีนี้ มีผู้สนใจมาก แม้จะเน่าเละแค่ไหน แต่ผู้ใช้เสพติดกันมาก ถือเป็นความสำเร็จ แท้จริงของการส่งออก หนังหลายเรื่องสนุกดีครับ ลุงนิทานก็ชอบดู โกหกได้เก่งจัง แต่ให้เลิกดูก็ไม่ถึงกับลงแเดง)
    สินค้านำเข้าสำคัญ: หมายถึงสินค้า ที่เป็นที่ต้องการอย่างที่สุด โดยการเป็นเจ้าของ หรือครอบครอง ไม่ว่าโดยวิธีการใด
อันดับ 1 คือ พลังงาน และแร่ธาตุที่สำคัญ
อันดับ 2 คือ พลังงาน และแร่ธาตุที่สำคัญ
อันดับ 3 คือ พลังงาน และแร่ธาตุที่สำคัญ
    นโยบายต่างประเทศ: ดู ภาพ ประกอบ us foreign policy flow chart
    มิตรประเทศ: ประเทศที่มีพลังงาน และ แร่ธาตุ (หลอกล่อให้คบ แล้ว ขะโมยของเขาได้)
    ประเทศที่ไม่เป็นมิตร: ประเทศที่มีพลังงาน และแร่ธาตุ (เขาไม่คบด้วย และยังขะโมยของเขาไม่ได้)
    ประเทศลูกพี่: อังกฤษ (ถึงจะประกาศอิสรภาพต้ังหลายร้อยปี จนจัดงานฉลองหลอกตัวเอง แต่อิสระ ไม่จริงนี่หว่า แน่จริงตัดขาดให้ดูหน่อย แล้วค่อยทำกร่าง)
    ประเทศที่ถือเป็นก๊วน: อังกฤษ ฝรั่งเศส ( ผลัดกันเล่น ผลัดกันกิน มันไม่ตัดขาดกันจริงหรอก ดูไปก็แล้วกัน)
    ประเทศลูกน้อง: ทั้งโลก ยกเว้น กลุ่ม BRICS และพวก และ 2 ประเภทข้างต้น
    ประเทศที่ไม่เป็นมิตรอย่างถาวร : เกาหลีเหนือ ( เข้าใจว่าเหตุผลสำคัญ คือ ประธานาธิบดีอเมริกาคนปัจจุบัน หน้าไม่รับ กับผมทรงบังคับของเกาหลีเหนือ)
    เครื่องมือหากินที่ขาดไม่ได้ และควบคุมได้ บัญชี 1: UN, World Bank, IMF, NATO
    เครื่องมือหากินที่ขาดไม่ได้ และควบคุมได้ บัญชี 2: หน่วยงาน ประเภทสถาบัน มูลนิธิ องค์กรไม่ค้ากำไร (NGO) ที่ให้ทุนการศึกษาทุกระดับ การวิจัย การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน (หน่วยงานพวกนี้ มีความสำคัญมาก เป็นเฟืองสำคัญ ที่ทำให้กลไกเกือบทุกอย่าง ของอเมริกา เดิน โดยแทบจะไม่มีสิ่งใดขวางกั้น เพราะ ไม่รู้ว่าองค์กรเหล่านี้ คือตัวเฟืองสำคัญ และเป็นหน่วยงานสังกัด ฝ่ายความมั่นคง หรือข่าวกรอง พูดง่ายๆ ว่า เป็น พวก CIA ปลอมตัวนั่นแหละ)
    เครื่องมือหากินที่สำคัญ ยังควบคุมไม่ได้หมด แต่พยายามอยู่: EU ( เป็นรายการต้มตุ๋น ลวงโลกของจริง ทั้งต้มกันเอง และ ต้มชาวโลก)
    ผู้แทนประเทศ: ทูต ผู้แทนการค้า นักธุรกิจ ครู อาจารย์ นักวิชาการ นักเขียน นักสอนศาสนา นักท่องเที่ยว สื่อ โดยเฉพาะ พวกที่แฝงตัวคลุกอยู่กับคนท้องถิ่น ตัวดีนักทำได้เนียนมาก พวกนี้เรียกว่า มาปฏิบัติภาระกิจ ( พูดง่ายๆ ว่า เป็นพวก CIA ปลอมตัว อีกเข่นกัน วุ้ย ทำไมมันมากันแยะนัก ไหนว่า แค่อยากได้ตั้กกะแตน ทำไมต้องถึงกับขี่ช้างมา)
    คุณสมบัติของผู้แทนประเทศ: ไม่ใช้วิจารณญาณ ไม่มีมารยาท มีความสามารถในการหาข่าวเชิงลึก มีความรู้และสามารถเรื่องอาวุธและการใช้ ถนัดในการแปลงสาสน์ และใช้กลวิธีการเสี้ยม มากกว่าวิธีทางการทูต การค้า การสอน การเขียน ฯลฯ แล้วแต่กรณี
    หน่วยงานนอกประเทศ ที่ทำหน้าที่สำคัญ: นอกเหนือจาก องค์กรเปิดเผย เช่นสถานทูต หน่วยงานทางทหาร หน่วยงานให้ความช่วยเหลือ เช่น USAID , Chamber of commerce แล้วหน่วยงานเอกชน อีก 3 ประเภท ที่ทำหน้าที่สำคัญ คือ สำนักงานตรวจสอบบัญชีระหว่างประเทศ และ สำนักงานกฏหมายระหว่างประเทศ บริษัทประกันภัยระหว่างประเทศ ซึ่งจะได้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจในประเทศเป้าหมาย ส่งกลับไปให้สำนักใหญ่ที่อเมริกา ดังนั้น คุณสมบัติ ของบุคคลากร ที่ส่งไปประจำในสำนักงานเหล่านี้ในหลายประเทศ ทำงานประสานกับหน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานข่าวกรอง ของอเมริกา ( พวก C ปลอมตัว อีกแล้ว นี่ อย่านึกว่าผมพูดเล่น แล้วไม่ใช่เรื่องจริงนะ)
    เครื่องทุ่นแรง: บรรดา “เด็กดี” ทั้งหลายที่อยู่ในท้องถิ่น ที่ อเมริกา สนับสนุน ไม่ว่าโดยการศึกษา หน้าที่การงาน การสนับสนุนทางสังคม ทางการเมือง โดยทางตรง หรือ ทางอ้อม คนเล่านี้ใช้ชีวิต อยู่ในกรอบ หรือคอก ที่อเมริกาสร้างให้อยู่ ทางความคิด เขาเล่าน้ัน มีทุกสาขาอาขีพ ทุกเพศ ทุกวัย มีความเชื่อมั่นว่าอเมริกาเท่าน้ัน คือศิวิไลซ์ และ วิถีทุนนิยมเสรี คือวิถีที่นำความเจริญมาให้ประเทศตนเอง เครื่องทุ่นแรงเหล่านี้ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ที่พาประเทศของตนติดอยู่ในกับดักมากขึ้น แต่ไม่เคยเรียนรู้ ไม่เคยจดจำ จึงเป็นเครื่องทุ่นแรง ที่อเมริกาเสาะแสวงหา เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา มิให้ขาดรุ่น ขาดจำนวน
จุดแข็ง: การใช้สื่อ ทุกรูปแบบ เพื่อฟอกย้อมความคิด ความเห็น ของพวกโลกสวย และจิตอ่อน (เป็นเรื่องน่าสนใจมาก ว่าทำไมถึงว่าง่ายนักหนา กับสื่อฟอก มันบอกอะไรละเชื่อหมด ธรรมะ ของพระพุทธองค์ พระราโชวาท ของพระเจ้าอยู่หัว ทำไมถึง ไม่จดจำ ไม่เขื่อถือ นำไปปฏิบัติบ้าง )
    จุดอ่อน: ออกอาการง่าย เวลามีอารมณ์ เช่น น้ำลายเยิ้มไปหมด เวลา อยากได้ อยากกิน ขอแนะนำว่า ใช้ผ้าเข็ดที่มุมปากแบบผู้ดีบ่อยๆ น่าจะช่วยได้บ้าง แต่ถ้าทำไม่เป็น คงต้องเข้าไปหลักสูตรฝึกอบรม ความอดกลั้น อันเป็นมารยาทอย่างหนึ่งของผู้ที่เจริญแล้ว
    เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด: เป็นเครื่องมือที่ใช้จารกรรมข้อมูลทั้งสื้น รวมทั้ง เครื่องมือที่ใช้เขียนอยู่นี้ และที่ท่านทั้งหลายกำลังใช้อ่านกัน ฮา
    ชาตะ: วันที่ 4 กรกฎาคม คศ 1767
    มรณะ: มันต้องมีสักวันน่า อาจจะจวนแล้วก็ได้ จักรวรรดิยิ่งใหญ่ทุกราย มีวันล่มสลาย โรมันว่ายิ่งใหญ่จบแบบไหน ยกตัวอย่างไกลไป เอาใกล้สุด จักรภพอังกฤษ ใหญ่ และกร่างขนาดไหน วันนี้เหลือเป็นแค่เกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อยข้างซ้าย แถมถูกต่างชาติ โดยเฉพาะพวกที่เคยเป็นขี้ข้า เข้าไปซื้อทรัพย์สินในกรุง จนคนอังกฤษเองต้องย้ายครัว ไปอยู่ชนบทกันหมด ไอ้ที่สะใจ คือต้องไปยืนกุมรับคำสั่ง จากคนที่ตัวเองเคยดูถูกกดขี่ ตอนนี้ยังกัดฟัน ทำซ่า เบ่งขวา ขู่ซ้าย จมไม่ลง
    อเมริกา จงจำไว้เป็นอุทาหรณ์ คุณนายกุ้งแห้ง ควรต้ังใจอ่านบันทึกนี้ ไม่มีใครเขาจะเตือนสติกันตรงๆ อย่างนี้หรอก มีแต่คนป้อยอ ให้หัวทิ่มก้นโด่งทั้งนั้น ท่าน้ันเซลฟี่ลำบากหน่อยนะคุณนาย แล้วอย่าลืมรายงานตรงไปตรงมา ไปยังนายใหญ่ จะให้ดีส่งไปที่ หน่วย CRS ของ Congress ให้ทำหนังสือแปะหน้า ส่งเข้าสภาสูงเลย ว่ามีคนเขาเขียนบันทึกสดุดีเตือนใจไว้อย่างไร กลัวแต่ว่า ไอ้พวกเสมียนที่จ้างไว้ จะไม่มีปัญญาแปลสำนวนลุงนิทานละซี เอาไปให้พี่เจฟฟรี่ แปลก็แล้วกัน ถึงจะเป็นฝรั่งแต่ภาษาไทยเก่งพอตัว ไม่เสียแรงส่งมาฝังตัวใกล้ชิดเสียนานหลายสิบปี
    สวัสดีครับอเมริกา หวังว่าปีหน้ายังมีวันฉลอง !
คนเล่านิทาน
6 กค. 2557
    เรื่อง บันทึกวันฉลอง “บันทึกวันฉลอง” เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นวันฉลองประกาศอิสรภาพ ( จากการเป็นลูกกระเป๋งของอังกฤษ) ของประเทศที่ประกาศตัว เป็นผู้นำโลกหมายเลขหนึ่ง เป็นจักรวรรดิยุคใหม่ เรียกได้ว่าเป็นวันสำคัญของโลกเชียวนะ ผมจะไม่เขียนอะไรถึง ในฐานะคนใกล้ชิด ติดตามเขียนถึงเกือบทุกวัน มันจะดูใจจืดไป แต่บังเอิญยังไม่มีเวลา ช้าไปหน่อยคงไม่เป็นไร ให้คุณนายกุ้งแห้งพักให้หายเหนื่อยจากการรับแขก บรรดาเพื่อนรัก ร่วมนิสัย ร่วมสันดาน ที่คุณนายเชิญมางานฉลองก่อน ท่านใดที่ไม่ได้รับเชิญ ผมว่าน่าจะเป็นโชคดี ที่ไม่ต้องไปยืนทำหน้าปูเลี่ยนใส่กัน ส่วนมันจะเป็นการสำแดงอะไรในการเชิญ ไม่เชิญ ประเทศที่มีอารยะธรรม วัฒนธรรม สืบทอดย้อนไปได้เป็นพันปีอย่างเรา ย่อมมองออก และ รอเวลา ดำเนินการที่เหมาะสม ในฐานะคนใกล้ชิด ผมมองจักรวรรดิอเมริกาอย่างไร ขอถือโอกาสขยายบันทึกต่อไปนี้ เป็นการสดุดีในวันฉลอง ชื่อ: ตามใบเกิดใช้ชื่อว่า สหรัฐอเมริกา มี ชื่อ เล่น ว่า ไอ้กัน หรือ เมกา
นอกจากนี้ ยังมีชื่อ ที่ถูกเรียกบ่อยตามความประพฤติ ว่า Ugly America และยังมีชื่อ ที่บางคน บางพวก เรียก ด้วยความเอียน ว่า จิ๊กโก๋ปากซอย (ตามพฤติกรรมเทียบเคียงอีกเช่นกัน) นามแฝง: นักล่า (น่าจะมีรูปถ่ายแบบ หน้าตรง และหน้าข้างประกอบ แต่ทำไม่เป็นครับ) อุปนิสัยเด่น: เหมือนคนที่โตแต่ตัว แต่ไม่มีวุฒิภาวะ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า โตแต่ตัว สมองเท่าเม็ดถัวเขียว แยกแยะดีชั่วไม่ออก เรื่องควรทำไม่ทำ เรื่องไม่ควรทำ ดันทำ ถ้ามีวุฒิภาวะ ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ สมดังที่เขาเรียกว่าพี่เบิ้ม โลกคงไม่วุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่
อีกนิสัยที่โดดเด่นคือ เป็นมิตรเฉพาะกับผู้ที่ตนได้ประโยชน์ เมื่อหมดประโยชน์ ก็สามารถทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ขาดกับมิตร รวมไปถึงการ กำจัด และ ทำลาย โดยไม่มีเหนียมอาย ถ้าเป็นบุคคล ก็เรียกว่า เป็นประเภทเพื่อนกิน เออ มันก็เป็นเพื่อนกินจริงๆแหละ กินแบบตะกรามเสียด้วย (เข้าใจว่า ไม่เคยอ่านหนังสือกำลังภายใน ที่โด่งดัง อยู่อีกฝั่งของโลก จึงไม่รู้จัก คำสอนที่หนังสือกำลังภายในพวกนี้ เขียนไว้เป็นอุทาหรณ์เสมอว่า บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ คงมีพวกลูกหาบคุยให้ฟัง แต่จับความได้แค่ ท่อนหลัง คนอื่น เขาก็จำท่อนหลังได้เหมือนกันนะ) สันดาน: กร่าง อวดดี ชอบข่มขู่ ทั้งทางกิริยา วาจา และอาวุธ และยังมีสันดานที่ถ้าเป็นบุคคล เขาก็เรียกว่าเป็นประเภท มือถือสากปากถือศีล ตัวเองทำได้ ห้ามใครด่า แต่ถ้าคนอื่นทำบ้าง ไม่ใช่แค่ด่า มันทั้งประณาม และคว่ำบาตรเป็นการแถม ถ้ายังไม่สาแก่ใจ พร้อมที่จะยกทัพกรีฑา ไปบดขยี้ อาณาเขตประเทศ: ขณะนี้ มีเนื้อที่ประมาณ 9.83 ล้าน ตารางกิโลเมตร กว้างใหญ่มากกกก แต่ยังใหญไม่พอ จึงมีความต้ังใจ ว่า จะครอบครองโลกใบนี้ทั้งใบให้ได้ ถ้ามีโลกมากกว่า 1 ก็คงหวังจะครองทั้งหมดด้วย นี่ก็ได้ข่าวว่า จะเปฺิดให้ตีตั๋วจองไปท่องเที่ยวดาวอังคาร และมีแผนจะไปอมดวงจันทร์ ทำตัวดั่งเป็นพระราหู ถ้าจะเจ๋งจริง ต้องอมดวงอาทิตย์ด้วยนะ ดูๆไปแล้วเหมือนเป็นคนขี้โม้ ถ้าเป็นบุคคล น่าจะเข้าข่ายดาวพุธเสีย ปากหาเรื่อง พูดจาหาความจริงได้ยาก ถึงเดี๋ยวนี้ยังมีคนไม่เช่ือเรื่องไปดวงจันทร์
เม้นท์มาถามลุงนิทาน ว่า ตกลงเมกาไปดวงจันทร์จริงหรือเปล่าคับ เล่นเอาลุงนิทาน อึ้งไป ตอบไม่ได้เหมือนกันหลานเอ๋ย พลเมือง: ของแท้ดั้งเดิมเรียกว่า อินเดียนแดง แต่พวกที่มาไล่ล่าฆ่า อินเดียนแดง และแย่งถิ่นที่อยู่เขาไปและเรียกตัวเองว่าคนอเมริกัน นั้น มีสาระพัดสายพันธ์ และสาระพัดสีผิว แต่ก็มีคนพยายามที่จะคัดสายพันธ์ใหม่ เอาสีเข้มๆออกไป สงสัยไม่ถูกโฉลก ให้เหลือแต่ผิวสีขาว และผมทอง แต่เท่าที่สังเกตดู แผนนี้ไม่น่าสำเร็จ แต่ไอ้ชั่วจอมโหดยังไม่ล้มเลิกแผน ใช้ทั้งวิธีคุม วิธีตอน ทั้งอาหาร ทั้งยา และเขื้อโรคเหลืออย่างเดียว อย่าให้พูดต่อเลย เสียวน่ะ ผู้นำประเทศ: เรียกว่า ประธานาธิบดี มาจากการเลือกต้ัง ที่ไม่จำกัดอาชีวะ
ดังนั้น ผู้นำประเทศ จึงมีต้ังแต่ นักคิด นักรบ นักรัก นักเลง นักแสดง คนขายของ ขายถั่ว ขายน้ำมัน เป็นต้น แต่คนปัจจุบัน ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แม้แต่สื่อนอก พวกกันเองยังด่าขรม จะว่าเป็นนักพูด ก็ไม่เชิงเพราะพูดจา ไม่เอาเหนียง ซ้ำชาก แถมพักหลังนี่ เลอะเทอะชอบกล ไม่อยากวิจารณ์มาก เอาว่า คงกำลังดวงตก ระบอบการปกครอง: อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่มีข้อมูลมากมาย บอกว่า ไม่จริงหรอก
ประชาธิปไตยบ้าบออะไร มันเป็นเป็นเผด็จการทุนนิยมต่างหาก ซึ่งกำกับ สับโขก ดูแลโดยนายทุนข้ามชาติที่เป็นเจ้าของโรงพิมพ์แบงค์ หลายโรง พรรคการเมือง: มี 2 พรรคผูกขาด แต่ พรรคไหนชนะ ก็ไม่มีความหมาย เพราะการเลือกต้ัง มีเพื่อเป็นการฝึกพูด ฝึกหาเสียง ฝึกประท้วง สร้างการจ้างงาน กระจายรายได้ แถมให้สื่อยักษ์ มีงานทำ เพราะ เจ้าของโรงพิมพ์แบงค์ เป็นเจ้าของสื่อ และ เป็นเจ้าของนักการเมือง ทั้ง 2 พรรค ที่สำคัญ เป็นการทดสอบ การโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของระบอบการปกครอง สินค้าออกสำคัญ บัญชี 1: ทุนนิยมเสรี ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน
(หมายเหตุ: สินค้าส่งออกบัญชีนี้ น่าจะเป็นของปลอมเกือบทั้งหมด เพราะ บรรดาผู้นำเข้าสินค้า ไม่ว่าจะสมัครใจ เพราะเคลิ้มตามโฆษณาชวนเชื่อ หรือถูกบังคับให้นำเข้าไปใช้ ก็ตาม แต่ปรากฏผล ไม่น่าพอใจ เหมือนกัน คือ ฉ ห กันถ้วนหน้า แต่ไม่รู้จะไปร้องเรียนกับใคร ได้แต่ก้มหน้ามองหัวแม่เท้าทุกวัน ที่แย่ไปกว่านั้น คือ พวกที่ ฉ ห มีกว่าครึ่งที่ยังไม่รู้ตัวว่า ฉ ห เพราะอะไร โถ โถ) สินค้าส่งออกสำคัญ บัญชี 2: แนวทางการศึกษา และ ความคิดทางวิชาการ
(หมายเหตุ: สินค้่าส่งออกบัญชีนี้ มีส่วนสัมพันธ์กับบัญชี 1 เมื่อใดที่ การส่งออกบัญชีนี้ลดลง หรือไม่ได้ผล การส่งออกตามบัญชี 1 จะลดลง ตามไปด้วย แต่คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นสินค้า ที่ส่งออกมาเป็นเวลานาน ฝังรากลงลึก และมีผู้คนหลายประเภท ติดกับ นอนสบาย พุงปลิ้น อยู่ในคอก มันคงฉุดให้ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากคอกยากหน่อย แต่ไม่มีอะไรคงทนถาวรตลอดกาล เป็นหลักสัจธรรม คอยดูกันไป) สินค้าส่งออกสำคัญ บัญชี 3: วัฒนธรรมอเมริกา ผ่าน การบันเทิง และสื่อทุกประเภท
(หมายเหตุ: สินค้าส่งออกบัญชีนี้ มีผู้สนใจมาก แม้จะเน่าเละแค่ไหน แต่ผู้ใช้เสพติดกันมาก ถือเป็นความสำเร็จ แท้จริงของการส่งออก หนังหลายเรื่องสนุกดีครับ ลุงนิทานก็ชอบดู โกหกได้เก่งจัง แต่ให้เลิกดูก็ไม่ถึงกับลงแเดง) สินค้านำเข้าสำคัญ: หมายถึงสินค้า ที่เป็นที่ต้องการอย่างที่สุด โดยการเป็นเจ้าของ หรือครอบครอง ไม่ว่าโดยวิธีการใด
อันดับ 1 คือ พลังงาน และแร่ธาตุที่สำคัญ
อันดับ 2 คือ พลังงาน และแร่ธาตุที่สำคัญ
อันดับ 3 คือ พลังงาน และแร่ธาตุที่สำคัญ นโยบายต่างประเทศ: ดู ภาพ ประกอบ us foreign policy flow chart มิตรประเทศ: ประเทศที่มีพลังงาน และ แร่ธาตุ (หลอกล่อให้คบ แล้ว ขะโมยของเขาได้) ประเทศที่ไม่เป็นมิตร: ประเทศที่มีพลังงาน และแร่ธาตุ (เขาไม่คบด้วย และยังขะโมยของเขาไม่ได้) ประเทศลูกพี่: อังกฤษ (ถึงจะประกาศอิสรภาพต้ังหลายร้อยปี จนจัดงานฉลองหลอกตัวเอง แต่อิสระ ไม่จริงนี่หว่า แน่จริงตัดขาดให้ดูหน่อย แล้วค่อยทำกร่าง) ประเทศที่ถือเป็นก๊วน: อังกฤษ ฝรั่งเศส ( ผลัดกันเล่น ผลัดกันกิน มันไม่ตัดขาดกันจริงหรอก ดูไปก็แล้วกัน) ประเทศลูกน้อง: ทั้งโลก ยกเว้น กลุ่ม BRICS และพวก และ 2 ประเภทข้างต้น ประเทศที่ไม่เป็นมิตรอย่างถาวร : เกาหลีเหนือ ( เข้าใจว่าเหตุผลสำคัญ คือ ประธานาธิบดีอเมริกาคนปัจจุบัน หน้าไม่รับ กับผมทรงบังคับของเกาหลีเหนือ) เครื่องมือหากินที่ขาดไม่ได้ และควบคุมได้ บัญชี 1: UN, World Bank, IMF, NATO เครื่องมือหากินที่ขาดไม่ได้ และควบคุมได้ บัญชี 2: หน่วยงาน ประเภทสถาบัน มูลนิธิ องค์กรไม่ค้ากำไร (NGO) ที่ให้ทุนการศึกษาทุกระดับ การวิจัย การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน (หน่วยงานพวกนี้ มีความสำคัญมาก เป็นเฟืองสำคัญ ที่ทำให้กลไกเกือบทุกอย่าง ของอเมริกา เดิน โดยแทบจะไม่มีสิ่งใดขวางกั้น เพราะ ไม่รู้ว่าองค์กรเหล่านี้ คือตัวเฟืองสำคัญ และเป็นหน่วยงานสังกัด ฝ่ายความมั่นคง หรือข่าวกรอง พูดง่ายๆ ว่า เป็น พวก CIA ปลอมตัวนั่นแหละ) เครื่องมือหากินที่สำคัญ ยังควบคุมไม่ได้หมด แต่พยายามอยู่: EU ( เป็นรายการต้มตุ๋น ลวงโลกของจริง ทั้งต้มกันเอง และ ต้มชาวโลก) ผู้แทนประเทศ: ทูต ผู้แทนการค้า นักธุรกิจ ครู อาจารย์ นักวิชาการ นักเขียน นักสอนศาสนา นักท่องเที่ยว สื่อ โดยเฉพาะ พวกที่แฝงตัวคลุกอยู่กับคนท้องถิ่น ตัวดีนักทำได้เนียนมาก พวกนี้เรียกว่า มาปฏิบัติภาระกิจ ( พูดง่ายๆ ว่า เป็นพวก CIA ปลอมตัว อีกเข่นกัน วุ้ย ทำไมมันมากันแยะนัก ไหนว่า แค่อยากได้ตั้กกะแตน ทำไมต้องถึงกับขี่ช้างมา) คุณสมบัติของผู้แทนประเทศ: ไม่ใช้วิจารณญาณ ไม่มีมารยาท มีความสามารถในการหาข่าวเชิงลึก มีความรู้และสามารถเรื่องอาวุธและการใช้ ถนัดในการแปลงสาสน์ และใช้กลวิธีการเสี้ยม มากกว่าวิธีทางการทูต การค้า การสอน การเขียน ฯลฯ แล้วแต่กรณี หน่วยงานนอกประเทศ ที่ทำหน้าที่สำคัญ: นอกเหนือจาก องค์กรเปิดเผย เช่นสถานทูต หน่วยงานทางทหาร หน่วยงานให้ความช่วยเหลือ เช่น USAID , Chamber of commerce แล้วหน่วยงานเอกชน อีก 3 ประเภท ที่ทำหน้าที่สำคัญ คือ สำนักงานตรวจสอบบัญชีระหว่างประเทศ และ สำนักงานกฏหมายระหว่างประเทศ บริษัทประกันภัยระหว่างประเทศ ซึ่งจะได้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจในประเทศเป้าหมาย ส่งกลับไปให้สำนักใหญ่ที่อเมริกา ดังนั้น คุณสมบัติ ของบุคคลากร ที่ส่งไปประจำในสำนักงานเหล่านี้ในหลายประเทศ ทำงานประสานกับหน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานข่าวกรอง ของอเมริกา ( พวก C ปลอมตัว อีกแล้ว นี่ อย่านึกว่าผมพูดเล่น แล้วไม่ใช่เรื่องจริงนะ) เครื่องทุ่นแรง: บรรดา “เด็กดี” ทั้งหลายที่อยู่ในท้องถิ่น ที่ อเมริกา สนับสนุน ไม่ว่าโดยการศึกษา หน้าที่การงาน การสนับสนุนทางสังคม ทางการเมือง โดยทางตรง หรือ ทางอ้อม คนเล่านี้ใช้ชีวิต อยู่ในกรอบ หรือคอก ที่อเมริกาสร้างให้อยู่ ทางความคิด เขาเล่าน้ัน มีทุกสาขาอาขีพ ทุกเพศ ทุกวัย มีความเชื่อมั่นว่าอเมริกาเท่าน้ัน คือศิวิไลซ์ และ วิถีทุนนิยมเสรี คือวิถีที่นำความเจริญมาให้ประเทศตนเอง เครื่องทุ่นแรงเหล่านี้ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ที่พาประเทศของตนติดอยู่ในกับดักมากขึ้น แต่ไม่เคยเรียนรู้ ไม่เคยจดจำ จึงเป็นเครื่องทุ่นแรง ที่อเมริกาเสาะแสวงหา เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา มิให้ขาดรุ่น ขาดจำนวน
จุดแข็ง: การใช้สื่อ ทุกรูปแบบ เพื่อฟอกย้อมความคิด ความเห็น ของพวกโลกสวย และจิตอ่อน (เป็นเรื่องน่าสนใจมาก ว่าทำไมถึงว่าง่ายนักหนา กับสื่อฟอก มันบอกอะไรละเชื่อหมด ธรรมะ ของพระพุทธองค์ พระราโชวาท ของพระเจ้าอยู่หัว ทำไมถึง ไม่จดจำ ไม่เขื่อถือ นำไปปฏิบัติบ้าง ) จุดอ่อน: ออกอาการง่าย เวลามีอารมณ์ เช่น น้ำลายเยิ้มไปหมด เวลา อยากได้ อยากกิน ขอแนะนำว่า ใช้ผ้าเข็ดที่มุมปากแบบผู้ดีบ่อยๆ น่าจะช่วยได้บ้าง แต่ถ้าทำไม่เป็น คงต้องเข้าไปหลักสูตรฝึกอบรม ความอดกลั้น อันเป็นมารยาทอย่างหนึ่งของผู้ที่เจริญแล้ว เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด: เป็นเครื่องมือที่ใช้จารกรรมข้อมูลทั้งสื้น รวมทั้ง เครื่องมือที่ใช้เขียนอยู่นี้ และที่ท่านทั้งหลายกำลังใช้อ่านกัน ฮา ชาตะ: วันที่ 4 กรกฎาคม คศ 1767 มรณะ: มันต้องมีสักวันน่า อาจจะจวนแล้วก็ได้ จักรวรรดิยิ่งใหญ่ทุกราย มีวันล่มสลาย โรมันว่ายิ่งใหญ่จบแบบไหน ยกตัวอย่างไกลไป เอาใกล้สุด จักรภพอังกฤษ ใหญ่ และกร่างขนาดไหน วันนี้เหลือเป็นแค่เกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อยข้างซ้าย แถมถูกต่างชาติ โดยเฉพาะพวกที่เคยเป็นขี้ข้า เข้าไปซื้อทรัพย์สินในกรุง จนคนอังกฤษเองต้องย้ายครัว ไปอยู่ชนบทกันหมด ไอ้ที่สะใจ คือต้องไปยืนกุมรับคำสั่ง จากคนที่ตัวเองเคยดูถูกกดขี่ ตอนนี้ยังกัดฟัน ทำซ่า เบ่งขวา ขู่ซ้าย จมไม่ลง อเมริกา จงจำไว้เป็นอุทาหรณ์ คุณนายกุ้งแห้ง ควรต้ังใจอ่านบันทึกนี้ ไม่มีใครเขาจะเตือนสติกันตรงๆ อย่างนี้หรอก มีแต่คนป้อยอ ให้หัวทิ่มก้นโด่งทั้งนั้น ท่าน้ันเซลฟี่ลำบากหน่อยนะคุณนาย แล้วอย่าลืมรายงานตรงไปตรงมา ไปยังนายใหญ่ จะให้ดีส่งไปที่ หน่วย CRS ของ Congress ให้ทำหนังสือแปะหน้า ส่งเข้าสภาสูงเลย ว่ามีคนเขาเขียนบันทึกสดุดีเตือนใจไว้อย่างไร กลัวแต่ว่า ไอ้พวกเสมียนที่จ้างไว้ จะไม่มีปัญญาแปลสำนวนลุงนิทานละซี เอาไปให้พี่เจฟฟรี่ แปลก็แล้วกัน ถึงจะเป็นฝรั่งแต่ภาษาไทยเก่งพอตัว ไม่เสียแรงส่งมาฝังตัวใกล้ชิดเสียนานหลายสิบปี สวัสดีครับอเมริกา หวังว่าปีหน้ายังมีวันฉลอง !
คนเล่านิทาน
6 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elegant blooming climbing flowers
    Elegant blooming climbing flowers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • สองวัยรุ่นอังกฤษถูกตั้งข้อหาแฮกระบบขนส่ง TfL — เครือข่าย Scattered Spider เบื้องหลังการโจมตีระดับชาติ

    ในเดือนกันยายน 2025 สองวัยรุ่นชาวอังกฤษถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้กับระบบขนส่งของกรุงลอนดอน (TfL) เมื่อปี 2024 โดยมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว “Scattered Spider” ซึ่งเคยก่อเหตุโจมตีองค์กรใหญ่ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป

    ผู้ต้องหาคือ Thalha Jubair อายุ 19 ปี จาก East London และ Owen Flowers อายุ 18 ปี จาก Walsall ถูกจับกุมโดยหน่วยงาน National Crime Agency (NCA) และถูกนำตัวขึ้นศาล Westminster Magistrates’ Court โดยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันละเมิดพระราชบัญญัติ Computer Misuse Act และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติของสหราชอาณาจักร

    การโจมตีดังกล่าวไม่ได้หยุดการเดินรถไฟใต้ดิน แต่ส่งผลกระทบต่อระบบบริการต่าง ๆ เช่น การเข้าสู่ระบบบัตร Oyster, การชำระเงินแบบ contactless และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามที่เชื่อมต่อกับ API ของ TfL โดยมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้กว่า 5,000 รายรั่วไหล รวมถึงรายละเอียดบัญชีธนาคาร

    นอกจากนี้ Jubair ยังถูกตั้งข้อหาในสหรัฐฯ จากการมีส่วนร่วมในแผนการแฮกและเรียกค่าไถ่กว่า 120 ครั้งต่อองค์กรในสหรัฐฯ รวมถึงการฟอกเงินและปฏิเสธการให้รหัสผ่านกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งละเมิดกฎหมาย Regulation of Investigatory Powers Act ของอังกฤษ

    Flowers ก็ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีเครือข่ายของ SSM Health และ Sutter Health ในสหรัฐฯ เช่นกัน โดยทั้งสองคนถูกมองว่าเป็นสมาชิกของ Scattered Spider ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์วัยรุ่นที่ใช้เทคนิค social engineering เช่น phishing และการโทรหลอกลวงเจ้าหน้าที่ IT เพื่อเข้าถึงระบบภายในองค์กร

    การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนที่ยาวนานและซับซ้อน โดย NCA ยืนยันว่าการดำเนินคดีเป็น “ผลประโยชน์สาธารณะ” และเป็นก้าวสำคัญในการจัดการกับภัยไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชนอังกฤษ ซึ่งจากรายงานพบว่า 1 ใน 5 เด็กอายุ 10–16 ปีเคยมีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายไซเบอร์มาแล้ว

    https://hackread.com/two-uk-teenagers-charged-tfl-hack-scattered-spider/
    📰 สองวัยรุ่นอังกฤษถูกตั้งข้อหาแฮกระบบขนส่ง TfL — เครือข่าย Scattered Spider เบื้องหลังการโจมตีระดับชาติ ในเดือนกันยายน 2025 สองวัยรุ่นชาวอังกฤษถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้กับระบบขนส่งของกรุงลอนดอน (TfL) เมื่อปี 2024 โดยมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว “Scattered Spider” ซึ่งเคยก่อเหตุโจมตีองค์กรใหญ่ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ผู้ต้องหาคือ Thalha Jubair อายุ 19 ปี จาก East London และ Owen Flowers อายุ 18 ปี จาก Walsall ถูกจับกุมโดยหน่วยงาน National Crime Agency (NCA) และถูกนำตัวขึ้นศาล Westminster Magistrates’ Court โดยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันละเมิดพระราชบัญญัติ Computer Misuse Act และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติของสหราชอาณาจักร การโจมตีดังกล่าวไม่ได้หยุดการเดินรถไฟใต้ดิน แต่ส่งผลกระทบต่อระบบบริการต่าง ๆ เช่น การเข้าสู่ระบบบัตร Oyster, การชำระเงินแบบ contactless และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามที่เชื่อมต่อกับ API ของ TfL โดยมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้กว่า 5,000 รายรั่วไหล รวมถึงรายละเอียดบัญชีธนาคาร นอกจากนี้ Jubair ยังถูกตั้งข้อหาในสหรัฐฯ จากการมีส่วนร่วมในแผนการแฮกและเรียกค่าไถ่กว่า 120 ครั้งต่อองค์กรในสหรัฐฯ รวมถึงการฟอกเงินและปฏิเสธการให้รหัสผ่านกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งละเมิดกฎหมาย Regulation of Investigatory Powers Act ของอังกฤษ Flowers ก็ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีเครือข่ายของ SSM Health และ Sutter Health ในสหรัฐฯ เช่นกัน โดยทั้งสองคนถูกมองว่าเป็นสมาชิกของ Scattered Spider ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์วัยรุ่นที่ใช้เทคนิค social engineering เช่น phishing และการโทรหลอกลวงเจ้าหน้าที่ IT เพื่อเข้าถึงระบบภายในองค์กร การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนที่ยาวนานและซับซ้อน โดย NCA ยืนยันว่าการดำเนินคดีเป็น “ผลประโยชน์สาธารณะ” และเป็นก้าวสำคัญในการจัดการกับภัยไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชนอังกฤษ ซึ่งจากรายงานพบว่า 1 ใน 5 เด็กอายุ 10–16 ปีเคยมีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายไซเบอร์มาแล้ว https://hackread.com/two-uk-teenagers-charged-tfl-hack-scattered-spider/
    HACKREAD.COM
    Two UK Teenagers Charged Over TfL Hack Linked to Scattered Spider
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Bitcoin เริ่มชะลอ… นักลงทุนสถาบันหันหลังให้ BTC แล้วหันหน้าสู่ Altcoin และ DeFi

    ปี 2025 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดคริปโต เมื่อ Bitcoin ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการลงทุน เริ่มสูญเสียความเป็นผู้นำในด้าน “dominance” โดยลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในรอบปี ขณะที่ Altcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและหาผลตอบแทนที่สูงกว่า

    Ethereum ETF เพียงอย่างเดียวสามารถดึงเงินลงทุนได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว และตลาด Altcoin โดยรวม (TOTAL3) เติบโตขึ้นกว่า 109% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาด ที่ไม่ได้พึ่งพาแค่ Bitcoin อีกต่อไป

    DeFi และ Stablecoin ก็เป็นอีกสองกลุ่มที่เติบโตโดดเด่น โดย DeFi มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 44.5% และ Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6% ในปีเดียว ขณะที่ DEX (Decentralized Exchange) มีปริมาณการซื้อขายรวมกว่า 1.15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ไปสู่โครงสร้างแบบกระจายอำนาจ

    การขยายตัวของสภาพคล่องทั่วโลก (M2) กว่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ และการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะ Altcoin ที่มีความผันผวนสูงแต่ให้ผลตอบแทนมากกว่า Bitcoin ถึง 200% ในบางช่วง

    Bitcoin สูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดคริปโต
    Dominance ลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในปี 2025
    นักลงทุนสถาบันเริ่มหันไปลงทุนใน Altcoin และ DeFi

    Ethereum ETF ดึงเงินลงทุนมหาศาล
    มี inflow ถึง $3 พันล้านในสัปดาห์เดียว
    สะท้อนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ใช่ Bitcoin

    Altcoin เติบโตเหนือความคาดหมาย
    TOTAL3 เพิ่มขึ้น 109.43% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    Altcoin ให้ผลตอบแทนสูงกว่า Bitcoin ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ

    DeFi และ Stablecoin เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็ว
    DeFi เพิ่มขึ้น 44.5% / Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6%
    สะท้อนการใช้งานจริงและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

    DEX กลายเป็นโครงสร้างหลักของการซื้อขาย
    ปริมาณซื้อขายรวมกว่า $1.15 ล้านล้านในปีเดียว
    Ethereum มี volume สูงสุดในเดือนสิงหาคมที่ $139.63 พันล้าน

    On-chain lending และ staking เติบโตต่อเนื่อง
    Lending TVL เพิ่มขึ้น 65% เป็น $79.8B / AAVE ครองครึ่งตลาด
    ETH ที่ถูก stake รวมกว่า 35.8 ล้าน ETH

    สภาพคล่องทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงิน
    M2 ขยายตัว $5.6 ล้านล้านในปีเดียว
    เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะ Altcoin

    https://hackread.com/shifting-pivot-toward-altcoins-bitcoin-slowdown/
    📰 เมื่อ Bitcoin เริ่มชะลอ… นักลงทุนสถาบันหันหลังให้ BTC แล้วหันหน้าสู่ Altcoin และ DeFi ปี 2025 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดคริปโต เมื่อ Bitcoin ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการลงทุน เริ่มสูญเสียความเป็นผู้นำในด้าน “dominance” โดยลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในรอบปี ขณะที่ Altcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและหาผลตอบแทนที่สูงกว่า Ethereum ETF เพียงอย่างเดียวสามารถดึงเงินลงทุนได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว และตลาด Altcoin โดยรวม (TOTAL3) เติบโตขึ้นกว่า 109% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาด ที่ไม่ได้พึ่งพาแค่ Bitcoin อีกต่อไป DeFi และ Stablecoin ก็เป็นอีกสองกลุ่มที่เติบโตโดดเด่น โดย DeFi มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 44.5% และ Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6% ในปีเดียว ขณะที่ DEX (Decentralized Exchange) มีปริมาณการซื้อขายรวมกว่า 1.15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ไปสู่โครงสร้างแบบกระจายอำนาจ การขยายตัวของสภาพคล่องทั่วโลก (M2) กว่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ และการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะ Altcoin ที่มีความผันผวนสูงแต่ให้ผลตอบแทนมากกว่า Bitcoin ถึง 200% ในบางช่วง ✅ Bitcoin สูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดคริปโต ➡️ Dominance ลดลงต่ำกว่า 58% เป็นครั้งแรกในปี 2025 ➡️ นักลงทุนสถาบันเริ่มหันไปลงทุนใน Altcoin และ DeFi ✅ Ethereum ETF ดึงเงินลงทุนมหาศาล ➡️ มี inflow ถึง $3 พันล้านในสัปดาห์เดียว ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ใช่ Bitcoin ✅ Altcoin เติบโตเหนือความคาดหมาย ➡️ TOTAL3 เพิ่มขึ้น 109.43% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ Altcoin ให้ผลตอบแทนสูงกว่า Bitcoin ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ✅ DeFi และ Stablecoin เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็ว ➡️ DeFi เพิ่มขึ้น 44.5% / Stablecoin เพิ่มขึ้น 38.6% ➡️ สะท้อนการใช้งานจริงและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ✅ DEX กลายเป็นโครงสร้างหลักของการซื้อขาย ➡️ ปริมาณซื้อขายรวมกว่า $1.15 ล้านล้านในปีเดียว ➡️ Ethereum มี volume สูงสุดในเดือนสิงหาคมที่ $139.63 พันล้าน ✅ On-chain lending และ staking เติบโตต่อเนื่อง ➡️ Lending TVL เพิ่มขึ้น 65% เป็น $79.8B / AAVE ครองครึ่งตลาด ➡️ ETH ที่ถูก stake รวมกว่า 35.8 ล้าน ETH ✅ สภาพคล่องทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงิน ➡️ M2 ขยายตัว $5.6 ล้านล้านในปีเดียว ➡️ เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะ Altcoin https://hackread.com/shifting-pivot-toward-altcoins-bitcoin-slowdown/
    HACKREAD.COM
    Shifting Tides: Investors Pivot Toward Altcoins Amid Bitcoin Slowdown
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • Shai-Hulud: มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี npm ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ — เมื่อ JavaScript กลายเป็นช่องทางขโมยข้อมูลองค์กร

    นักพัฒนา JavaScript ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของระบบ npm หลังจากบริษัท Koi Security และ StepSecurity เปิดเผยแคมเปญมัลแวร์ชื่อ “Shai-Hulud” ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นการโจมตีแบบ supply chain ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบบ Node.js โดยมีแพ็กเกจที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 500 รายการ และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

    มัลแวร์ Shai-Hulud ถูกฝังอยู่ในแพ็กเกจยอดนิยม เช่น @ctrl/tinycolor, ngx-bootstrap, ng2-file-upload และแม้แต่แพ็กเกจจาก CrowdStrike โดยใช้เทคนิค worm ที่สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังแพ็กเกจอื่นโดยอัตโนมัติผ่าน npm token ที่ถูกขโมยจากเครื่องของนักพัฒนา

    เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแพ็กเกจที่ติดมัลแวร์ bundle.js จะถูกเรียกใช้ทันที ซึ่งจะสแกนระบบด้วย TruffleHog เพื่อค้นหา credentials เช่น GitHub token, AWS key, Google Cloud และ Azure แล้วส่งข้อมูลไปยัง GitHub repository ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้โจมตี พร้อมฝัง GitHub Actions workflow (.github/workflows/shai-hulud-workflow.yml) เพื่อขโมยข้อมูลอย่างต่อเนื่องแม้หลังจากการติดตั้งครั้งแรก

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้น่ากลัวคือความสามารถในการเปลี่ยน repository ส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะโดยอัตโนมัติ และการใช้ GitHub Actions เพื่อสร้าง backdoor ที่คงอยู่ในระบบ CI/CD ขององค์กรโดยไม่ต้องอาศัยการกระทำจากผู้ใช้โดยตรง

    Shai-Hulud เป็น supply chain attack ที่รุนแรงที่สุดใน npm ecosystem
    ส่งผลกระทบต่อแพ็กเกจมากกว่า 500 รายการ
    ใช้เทคนิค worm ที่แพร่กระจายตัวเองผ่าน npm token

    มัลแวร์ถูกฝังในแพ็กเกจยอดนิยม
    เช่น @ctrl/tinycolor, ngx-bootstrap, ng2-file-upload และ CrowdStrike
    มีการเผยแพร่ผ่านบัญชีผู้ดูแลที่ถูกแฮกกว่า 40 บัญชี

    ใช้ TruffleHog เพื่อขโมย credentials จากเครื่องนักพัฒนา
    GitHub token, AWS/GCP/Azure keys, environment variables
    สร้าง GitHub Actions workflow เพื่อขโมยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

    เปลี่ยน repository ส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะ
    สร้าง repo ชื่อ “Shai-Hulud Migration” พร้อม dump ข้อมูล
    ใช้ GitHub API เพื่อควบคุม repository โดยไม่ต้อง login

    มีการวิเคราะห์โดยหลายบริษัทด้านความปลอดภัย
    Wiz, JFrog, Socket, CrowdStrike และ StepSecurity
    พบว่า malware targeting Linux/macOS และหลีกเลี่ยง Windows

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของ Shai-Hulud
    นักพัฒนาที่ใช้ npm อาจถูกขโมยข้อมูลโดยไม่รู้ตัว
    GitHub Actions ที่ถูกฝังอาจทำงานแม้หลังจากลบแพ็กเกจ
    การเปลี่ยน repo เป็นสาธารณะอาจทำให้ข้อมูลภายในองค์กรรั่วไหล
    การแพร่กระจายแบบ worm ทำให้การโจมตียากต่อการควบคุมและตรวจสอบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/shai-hulud-malware-campaign-dubbed-the-largest-and-most-dangerous-npm-supply-chain-compromise-in-history-hundreds-of-javascript-packages-affected
    📰 Shai-Hulud: มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี npm ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ — เมื่อ JavaScript กลายเป็นช่องทางขโมยข้อมูลองค์กร นักพัฒนา JavaScript ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของระบบ npm หลังจากบริษัท Koi Security และ StepSecurity เปิดเผยแคมเปญมัลแวร์ชื่อ “Shai-Hulud” ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นการโจมตีแบบ supply chain ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบบ Node.js โดยมีแพ็กเกจที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 500 รายการ และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มัลแวร์ Shai-Hulud ถูกฝังอยู่ในแพ็กเกจยอดนิยม เช่น @ctrl/tinycolor, ngx-bootstrap, ng2-file-upload และแม้แต่แพ็กเกจจาก CrowdStrike โดยใช้เทคนิค worm ที่สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังแพ็กเกจอื่นโดยอัตโนมัติผ่าน npm token ที่ถูกขโมยจากเครื่องของนักพัฒนา เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแพ็กเกจที่ติดมัลแวร์ bundle.js จะถูกเรียกใช้ทันที ซึ่งจะสแกนระบบด้วย TruffleHog เพื่อค้นหา credentials เช่น GitHub token, AWS key, Google Cloud และ Azure แล้วส่งข้อมูลไปยัง GitHub repository ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้โจมตี พร้อมฝัง GitHub Actions workflow (.github/workflows/shai-hulud-workflow.yml) เพื่อขโมยข้อมูลอย่างต่อเนื่องแม้หลังจากการติดตั้งครั้งแรก สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้น่ากลัวคือความสามารถในการเปลี่ยน repository ส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะโดยอัตโนมัติ และการใช้ GitHub Actions เพื่อสร้าง backdoor ที่คงอยู่ในระบบ CI/CD ขององค์กรโดยไม่ต้องอาศัยการกระทำจากผู้ใช้โดยตรง ✅ Shai-Hulud เป็น supply chain attack ที่รุนแรงที่สุดใน npm ecosystem ➡️ ส่งผลกระทบต่อแพ็กเกจมากกว่า 500 รายการ ➡️ ใช้เทคนิค worm ที่แพร่กระจายตัวเองผ่าน npm token ✅ มัลแวร์ถูกฝังในแพ็กเกจยอดนิยม ➡️ เช่น @ctrl/tinycolor, ngx-bootstrap, ng2-file-upload และ CrowdStrike ➡️ มีการเผยแพร่ผ่านบัญชีผู้ดูแลที่ถูกแฮกกว่า 40 บัญชี ✅ ใช้ TruffleHog เพื่อขโมย credentials จากเครื่องนักพัฒนา ➡️ GitHub token, AWS/GCP/Azure keys, environment variables ➡️ สร้าง GitHub Actions workflow เพื่อขโมยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ✅ เปลี่ยน repository ส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะ ➡️ สร้าง repo ชื่อ “Shai-Hulud Migration” พร้อม dump ข้อมูล ➡️ ใช้ GitHub API เพื่อควบคุม repository โดยไม่ต้อง login ✅ มีการวิเคราะห์โดยหลายบริษัทด้านความปลอดภัย ➡️ Wiz, JFrog, Socket, CrowdStrike และ StepSecurity ➡️ พบว่า malware targeting Linux/macOS และหลีกเลี่ยง Windows ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของ Shai-Hulud ⛔ นักพัฒนาที่ใช้ npm อาจถูกขโมยข้อมูลโดยไม่รู้ตัว ⛔ GitHub Actions ที่ถูกฝังอาจทำงานแม้หลังจากลบแพ็กเกจ ⛔ การเปลี่ยน repo เป็นสาธารณะอาจทำให้ข้อมูลภายในองค์กรรั่วไหล ⛔ การแพร่กระจายแบบ worm ทำให้การโจมตียากต่อการควบคุมและตรวจสอบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/shai-hulud-malware-campaign-dubbed-the-largest-and-most-dangerous-npm-supply-chain-compromise-in-history-hundreds-of-javascript-packages-affected
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • Agentic AI กับภารกิจ Red Teaming ยุคใหม่ — เมื่อ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กลายเป็น “ผู้เล่น” ที่ต้องถูกทดสอบ

    ในยุคที่ AI ไม่ได้เป็นแค่โมเดลที่ตอบคำถาม แต่กลายเป็น “ตัวแทนอัตโนมัติ” หรือ Agentic AI ที่สามารถตัดสินใจ ทำงาน และสื่อสารกับระบบอื่นได้เอง ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะ AI เหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองตามคำสั่ง แต่ยังสามารถ “คิดต่อยอด” และ “เชื่อมโยง” กับระบบอื่นได้โดยไม่มีผู้ใช้ควบคุมโดยตรง

    Cloud Security Alliance (CSA) ได้ออกคู่มือ Agentic AI Red Teaming Guide เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถทดสอบความปลอดภัยของระบบ AI แบบใหม่ได้อย่างเป็นระบบ โดยเน้นการจำลองการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น การแทรกคำสั่งแฝง (prompt injection), การเปลี่ยนเป้าหมายของ agent, การข้ามระบบควบคุมสิทธิ์ และการใช้หลาย agent ร่วมกันเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    หนึ่งในเทคนิคที่ถูกพูดถึงมากคือ EchoLeak ซึ่งเป็นการแอบขโมยข้อมูลผ่านคำสั่งที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่สามารถหลอกให้ agent ทำงานผิดจากที่ตั้งใจไว้ เช่น การแอบฝังมัลแวร์ในคำสั่งที่ถูกเข้ารหัสด้วย base64 หรือใช้ภาษากฎหมายเพื่อหลบการตรวจสอบ

    OWASP และ GitHub ก็ได้ร่วมกันจัดทำรายการ “Top 10 ความเสี่ยงของ Agentic AI” ซึ่งรวมถึงการแทรกแซงหน่วยความจำ, การปลอมเป้าหมาย, การโจมตีแบบ time-based และการใช้ช่องทางลับในการส่งข้อมูลออกจากระบบ

    นักวิจัยยังพบว่า แม้จะมีการป้องกันไว้ดีเพียงใด แต่การโจมตีแบบ prompt injection ก็ยังสามารถทะลุผ่านได้ในบางกรณี โดยมีการทดลองกว่า 2 ล้านครั้ง พบว่ามีการโจมตีสำเร็จถึง 60,000 ครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า agentic AI ยังมีช่องโหว่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง

    5 ขั้นตอนสำหรับการทำ Agentic AI Red Teaming

    1️⃣ เปลี่ยนมุมมองการป้องกันใหม่
    ต้องมอง Agentic AI ไม่ใช่แค่ “เครื่องมือ” แต่เป็น “ผู้เล่น” ที่มีพฤติกรรมซับซ้อน
    ใช้ AI agent ทำงานซ้ำ ๆ ที่น่าเบื่อ แล้วให้มนุษย์เน้นโจมตีเชิงสร้างสรรค์
    ทดสอบจากมุมมองผู้ใช้จริง เช่น ความเข้าใจผิด ความไว้ใจเกินเหตุ หรือการหาทางลัดหลบระบบป้องกัน
    หากยังใช้วิธีคิดแบบเดิม จะมองไม่เห็นช่องโหว่ที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ใช้และ agent

    2️⃣ รู้จักและทดสอบ “Guardrails” และระบบกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง
    ต้องรู้ว่า guardrails อยู่ตรงไหน เช่น ใน cloud, workflow หรือในตัว agent
    ทดสอบก่อนนำ agent เข้าสู่ production และต้องมีระบบสังเกตการณ์ที่ดี
    หากไม่รู้ว่า guardrails อยู่ตรงไหน อาจเปิดช่องให้ agent ถูกเปลี่ยนเป้าหมายหรือหลบเลี่ยงการควบคุม

    3️⃣ ขยายฐานทีม Red Team ให้หลากหลาย
    ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเสมอไป
    คนที่เข้าใจภาษา เช่น นักเรียนสายมนุษย์ศาสตร์ ก็สามารถทดสอบ prompt injection ได้
    หากจำกัดทีมไว้เฉพาะสายเทคนิค อาจพลาดมุมมองการโจมตีที่ใช้ภาษาหรือพฤติกรรมผู้ใช้

    4️⃣ ขยายขอบเขตการมองหาโซลูชัน
    Agentic AI ไม่ทำงานตามลำดับเวลาแบบเดิมอีกต่อไป
    ต้องมองระบบเป็นภาพรวม ไม่ใช่แค่จุดใดจุดหนึ่ง
    AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ร่วมตัดสินใจ และอาจกลายเป็น “คู่แข่ง” ได้
    หากยังมองว่า AI เป็นแค่เครื่องมือ จะพลาดการตรวจจับพฤติกรรมที่เกิดจากการตัดสินใจของ agent

    5️⃣ ใช้เครื่องมือและเทคนิคล่าสุดในการทดสอบ
    มีเครื่องมือใหม่มากมาย เช่น AgentDojo, SPLX Agentic Radar, HuggingFace Fujitsu benchmark
    Microsoft, Salesforce, Crowdstrike และ HiddenLayer ก็มีระบบ red teaming สำหรับ agent โดยเฉพาะ
    ควรทดสอบตั้งแต่ช่วงพัฒนาโมเดล, พัฒนาแอป, ไปจนถึงก่อนปล่อยใช้งานจริง
    หากไม่ใช้เครื่องมือที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ agentic AI จะไม่สามารถจำลองการโจมตีที่ซับซ้อนได้

    https://www.csoonline.com/article/4055224/5-steps-for-deploying-agentic-ai-red-teaming.html
    📰 Agentic AI กับภารกิจ Red Teaming ยุคใหม่ — เมื่อ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กลายเป็น “ผู้เล่น” ที่ต้องถูกทดสอบ ในยุคที่ AI ไม่ได้เป็นแค่โมเดลที่ตอบคำถาม แต่กลายเป็น “ตัวแทนอัตโนมัติ” หรือ Agentic AI ที่สามารถตัดสินใจ ทำงาน และสื่อสารกับระบบอื่นได้เอง ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะ AI เหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองตามคำสั่ง แต่ยังสามารถ “คิดต่อยอด” และ “เชื่อมโยง” กับระบบอื่นได้โดยไม่มีผู้ใช้ควบคุมโดยตรง Cloud Security Alliance (CSA) ได้ออกคู่มือ Agentic AI Red Teaming Guide เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถทดสอบความปลอดภัยของระบบ AI แบบใหม่ได้อย่างเป็นระบบ โดยเน้นการจำลองการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น การแทรกคำสั่งแฝง (prompt injection), การเปลี่ยนเป้าหมายของ agent, การข้ามระบบควบคุมสิทธิ์ และการใช้หลาย agent ร่วมกันเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ หนึ่งในเทคนิคที่ถูกพูดถึงมากคือ EchoLeak ซึ่งเป็นการแอบขโมยข้อมูลผ่านคำสั่งที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่สามารถหลอกให้ agent ทำงานผิดจากที่ตั้งใจไว้ เช่น การแอบฝังมัลแวร์ในคำสั่งที่ถูกเข้ารหัสด้วย base64 หรือใช้ภาษากฎหมายเพื่อหลบการตรวจสอบ OWASP และ GitHub ก็ได้ร่วมกันจัดทำรายการ “Top 10 ความเสี่ยงของ Agentic AI” ซึ่งรวมถึงการแทรกแซงหน่วยความจำ, การปลอมเป้าหมาย, การโจมตีแบบ time-based และการใช้ช่องทางลับในการส่งข้อมูลออกจากระบบ นักวิจัยยังพบว่า แม้จะมีการป้องกันไว้ดีเพียงใด แต่การโจมตีแบบ prompt injection ก็ยังสามารถทะลุผ่านได้ในบางกรณี โดยมีการทดลองกว่า 2 ล้านครั้ง พบว่ามีการโจมตีสำเร็จถึง 60,000 ครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า agentic AI ยังมีช่องโหว่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง 🧠 5 ขั้นตอนสำหรับการทำ Agentic AI Red Teaming ✅ 1️⃣ ✅ เปลี่ยนมุมมองการป้องกันใหม่ ➡️ ต้องมอง Agentic AI ไม่ใช่แค่ “เครื่องมือ” แต่เป็น “ผู้เล่น” ที่มีพฤติกรรมซับซ้อน ➡️ ใช้ AI agent ทำงานซ้ำ ๆ ที่น่าเบื่อ แล้วให้มนุษย์เน้นโจมตีเชิงสร้างสรรค์ ➡️ ทดสอบจากมุมมองผู้ใช้จริง เช่น ความเข้าใจผิด ความไว้ใจเกินเหตุ หรือการหาทางลัดหลบระบบป้องกัน ⛔ หากยังใช้วิธีคิดแบบเดิม จะมองไม่เห็นช่องโหว่ที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ใช้และ agent ✅ 2️⃣ ✅ รู้จักและทดสอบ “Guardrails” และระบบกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง ➡️ ต้องรู้ว่า guardrails อยู่ตรงไหน เช่น ใน cloud, workflow หรือในตัว agent ➡️ ทดสอบก่อนนำ agent เข้าสู่ production และต้องมีระบบสังเกตการณ์ที่ดี ⛔ หากไม่รู้ว่า guardrails อยู่ตรงไหน อาจเปิดช่องให้ agent ถูกเปลี่ยนเป้าหมายหรือหลบเลี่ยงการควบคุม ✅ 3️⃣ ✅ ขยายฐานทีม Red Team ให้หลากหลาย ➡️ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเสมอไป ➡️ คนที่เข้าใจภาษา เช่น นักเรียนสายมนุษย์ศาสตร์ ก็สามารถทดสอบ prompt injection ได้ ⛔ หากจำกัดทีมไว้เฉพาะสายเทคนิค อาจพลาดมุมมองการโจมตีที่ใช้ภาษาหรือพฤติกรรมผู้ใช้ ✅ 4️⃣ ✅ ขยายขอบเขตการมองหาโซลูชัน ➡️ Agentic AI ไม่ทำงานตามลำดับเวลาแบบเดิมอีกต่อไป ➡️ ต้องมองระบบเป็นภาพรวม ไม่ใช่แค่จุดใดจุดหนึ่ง ➡️ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ร่วมตัดสินใจ และอาจกลายเป็น “คู่แข่ง” ได้ ⛔ หากยังมองว่า AI เป็นแค่เครื่องมือ จะพลาดการตรวจจับพฤติกรรมที่เกิดจากการตัดสินใจของ agent ✅ 5️⃣ ✅ ใช้เครื่องมือและเทคนิคล่าสุดในการทดสอบ ➡️ มีเครื่องมือใหม่มากมาย เช่น AgentDojo, SPLX Agentic Radar, HuggingFace Fujitsu benchmark ➡️ Microsoft, Salesforce, Crowdstrike และ HiddenLayer ก็มีระบบ red teaming สำหรับ agent โดยเฉพาะ ➡️ ควรทดสอบตั้งแต่ช่วงพัฒนาโมเดล, พัฒนาแอป, ไปจนถึงก่อนปล่อยใช้งานจริง ⛔ หากไม่ใช้เครื่องมือที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ agentic AI จะไม่สามารถจำลองการโจมตีที่ซับซ้อนได้ https://www.csoonline.com/article/4055224/5-steps-for-deploying-agentic-ai-red-teaming.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    5 steps for deploying agentic AI red teaming
    Agentic AI functions like an autonomous operator rather than a system that is why it is important to stress test it with AI-focused red team frameworks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Looking Glass เปิดตัวจอ Hololuminescent Display — เปลี่ยนวิดีโอธรรมดาให้กลายเป็นภาพโฮโลแกรม 3D แบบไร้แว่น”

    หลังจากคร่ำหวอดในวงการจอภาพโฮโลกราฟิกมานานกว่า 10 ปี บริษัท Looking Glass ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในชื่อ “Hololuminescent Display” หรือ HLD ซึ่งเป็นจอภาพที่สามารถแสดงผลวิดีโอธรรมดาให้กลายเป็นภาพสามมิติแบบโฮโลแกรม โดยไม่ต้องใช้แว่นตา, eye tracking หรือซอฟต์แวร์ 3D เฉพาะทางใด ๆ

    HLD ถูกออกแบบมาให้บางเพียง 1 นิ้ว รองรับความละเอียดสูงสุดถึง 4K และสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่ทั่วไป เช่น ร้านค้า, เวทีแสดงสินค้า, หรือป้ายดิจิทัล โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม จุดเด่นคือสามารถใช้งานร่วมกับ workflow มาตรฐาน เช่น Adobe Premiere, After Effects, Unity และ Unreal ได้ทันที

    เทคโนโลยีนี้ใช้การผสาน “holographic volume” เข้าไปใน optical stack ของจอ LCD หรือ OLED ทำให้ภาพที่แสดงออกมามีมิติและความลึกแบบโฮโลแกรมจริง ๆ โดยไม่ต้องสร้างโมเดล 3D ล่วงหน้า เหมาะสำหรับการนำเสนอสินค้า, ตัวละคร, หรือประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟในพื้นที่สาธารณะ

    Looking Glass วางแผนเปิดตัวจอ HLD ขนาด 16 นิ้ว (FHD) ในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยเริ่มต้นที่ราคา $1,500 ส่วนรุ่น 27 นิ้วแบบ 4K จะวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม และรุ่นใหญ่ 86 นิ้วจะตามมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2026

    แม้จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่ HLD ไม่ได้มาแทนที่จอ Light Field Display (LFD) เดิมของบริษัท ซึ่งยังคงมีจำหน่ายสำหรับงานวิจัย, การแพทย์, และการออกแบบ 3D ที่ต้องการความแม่นยำสูง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Looking Glass เปิดตัวจอ Hololuminescent Display (HLD) ที่แสดงภาพโฮโลแกรม 3D โดยไม่ต้องใช้แว่น
    จอบางเพียง 1 นิ้ว รองรับความละเอียดสูงสุด 4K และติดตั้งได้ในพื้นที่ทั่วไป
    ใช้ workflow มาตรฐาน เช่น Adobe Premiere, After Effects, Unity และ Unreal
    ใช้เทคโนโลยี hybrid ที่ผสาน holographic volume เข้ากับ optical stack ของจอ LCD/OLED

    รุ่นและกำหนดการวางจำหน่าย
    รุ่น 16 นิ้ว (FHD) เริ่มต้นที่ $1,500 วางจำหน่ายใน Q4 ปี 2025
    รุ่น 27 นิ้ว (4K) วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2025
    รุ่น 86 นิ้ว (4K) วางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2026
    จอ LFD เดิมยังคงมีจำหน่ายสำหรับงานวิจัยและอุตสาหกรรมเฉพาะทาง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HLD เหมาะสำหรับการตลาด, ป้ายดิจิทัล, และการแสดงสินค้าในพื้นที่สาธารณะ
    ไม่ต้องใช้ eye tracking หรือซอฟต์แวร์ 3D เฉพาะทาง ทำให้ใช้งานได้ง่าย
    สามารถแสดงผลกับผู้ชมหลายคนพร้อมกัน โดยไม่จำกัดมุมมอง
    เทคโนโลยีนี้ช่วยลดต้นทุนการพัฒนาเนื้อหา 3D และเพิ่มความสามารถในการขยายระบบ

    https://www.tomshardware.com/monitors/looking-glass-demos-hololuminescent-display-monitors-sizes-range-from-16-to-85-inches-starting-at-usd1-500
    🌟 “Looking Glass เปิดตัวจอ Hololuminescent Display — เปลี่ยนวิดีโอธรรมดาให้กลายเป็นภาพโฮโลแกรม 3D แบบไร้แว่น” หลังจากคร่ำหวอดในวงการจอภาพโฮโลกราฟิกมานานกว่า 10 ปี บริษัท Looking Glass ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในชื่อ “Hololuminescent Display” หรือ HLD ซึ่งเป็นจอภาพที่สามารถแสดงผลวิดีโอธรรมดาให้กลายเป็นภาพสามมิติแบบโฮโลแกรม โดยไม่ต้องใช้แว่นตา, eye tracking หรือซอฟต์แวร์ 3D เฉพาะทางใด ๆ HLD ถูกออกแบบมาให้บางเพียง 1 นิ้ว รองรับความละเอียดสูงสุดถึง 4K และสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่ทั่วไป เช่น ร้านค้า, เวทีแสดงสินค้า, หรือป้ายดิจิทัล โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม จุดเด่นคือสามารถใช้งานร่วมกับ workflow มาตรฐาน เช่น Adobe Premiere, After Effects, Unity และ Unreal ได้ทันที เทคโนโลยีนี้ใช้การผสาน “holographic volume” เข้าไปใน optical stack ของจอ LCD หรือ OLED ทำให้ภาพที่แสดงออกมามีมิติและความลึกแบบโฮโลแกรมจริง ๆ โดยไม่ต้องสร้างโมเดล 3D ล่วงหน้า เหมาะสำหรับการนำเสนอสินค้า, ตัวละคร, หรือประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟในพื้นที่สาธารณะ Looking Glass วางแผนเปิดตัวจอ HLD ขนาด 16 นิ้ว (FHD) ในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยเริ่มต้นที่ราคา $1,500 ส่วนรุ่น 27 นิ้วแบบ 4K จะวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม และรุ่นใหญ่ 86 นิ้วจะตามมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 แม้จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่ HLD ไม่ได้มาแทนที่จอ Light Field Display (LFD) เดิมของบริษัท ซึ่งยังคงมีจำหน่ายสำหรับงานวิจัย, การแพทย์, และการออกแบบ 3D ที่ต้องการความแม่นยำสูง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Looking Glass เปิดตัวจอ Hololuminescent Display (HLD) ที่แสดงภาพโฮโลแกรม 3D โดยไม่ต้องใช้แว่น ➡️ จอบางเพียง 1 นิ้ว รองรับความละเอียดสูงสุด 4K และติดตั้งได้ในพื้นที่ทั่วไป ➡️ ใช้ workflow มาตรฐาน เช่น Adobe Premiere, After Effects, Unity และ Unreal ➡️ ใช้เทคโนโลยี hybrid ที่ผสาน holographic volume เข้ากับ optical stack ของจอ LCD/OLED ✅ รุ่นและกำหนดการวางจำหน่าย ➡️ รุ่น 16 นิ้ว (FHD) เริ่มต้นที่ $1,500 วางจำหน่ายใน Q4 ปี 2025 ➡️ รุ่น 27 นิ้ว (4K) วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2025 ➡️ รุ่น 86 นิ้ว (4K) วางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ จอ LFD เดิมยังคงมีจำหน่ายสำหรับงานวิจัยและอุตสาหกรรมเฉพาะทาง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HLD เหมาะสำหรับการตลาด, ป้ายดิจิทัล, และการแสดงสินค้าในพื้นที่สาธารณะ ➡️ ไม่ต้องใช้ eye tracking หรือซอฟต์แวร์ 3D เฉพาะทาง ทำให้ใช้งานได้ง่าย ➡️ สามารถแสดงผลกับผู้ชมหลายคนพร้อมกัน โดยไม่จำกัดมุมมอง ➡️ เทคโนโลยีนี้ช่วยลดต้นทุนการพัฒนาเนื้อหา 3D และเพิ่มความสามารถในการขยายระบบ https://www.tomshardware.com/monitors/looking-glass-demos-hololuminescent-display-monitors-sizes-range-from-16-to-85-inches-starting-at-usd1-500
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Looking Glass demos Hololuminescent Display monitors — sizes range from 16 to 85 inches, starting at $1,500
    These displays don't need eye tracking, special glasses, and are good for group viewing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง”

    ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง

    Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน

    Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง

    แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น

    Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

    Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ

    Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์
    ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง
    การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ
    AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert
    AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร
    การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม
    SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
    ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท
    การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ

    https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    🤖 “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง” ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์ ➡️ ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง ➡️ การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ ➡️ AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert ➡️ AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร ➡️ การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม ➡️ SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ➡️ ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท ➡️ การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs grapple with the realities of applying AI to security functions
    Viewed as a copilot to augment rather than revolutionize security operations, well-governed AI can deliver incremental results, according to security leaders’ early returns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เอกสารดิจิทัลไม่ใช่แค่ไฟล์ — เมื่อการแก้ไขอย่างปลอดภัยกลายเป็นเกราะป้องกันธุรกิจยุคใหม่”

    ในยุคที่ข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกเก็บไว้ในรูปแบบเอกสารดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นสัญญา บันทึกทางการแพทย์ หรือแผนการเงิน การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย (Secure Document Editing) จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นความรับผิดชอบระดับองค์กรที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการปฏิบัติตามกฎหมายโดยตรง

    บทความจาก HackRead ได้ยกตัวอย่างกรณีที่ผู้บริหารคนหนึ่งแชร์ประสบการณ์ในเวิร์กช็อปว่า เอกสารนโยบายภายในองค์กรถูกดักฟังระหว่างการแก้ไข ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลและเกิดความเสียหายถาวร เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการใช้เครื่องมือแก้ไขเอกสารที่มีการเข้ารหัสและระบบควบคุมสิทธิ์อย่างรัดกุม

    ภัยคุกคามไม่ได้มาจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการจัดการสิทธิ์ภายในที่ไม่เหมาะสม เช่น การแชร์ไฟล์ผ่านอีเมลหรือคลาวด์โดยไม่มีการควบคุม ทำให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ผลตรวจสุขภาพหรือข้อมูลลูกค้า ตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์

    การเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนจึงเป็นหัวใจของการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคที่ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลพุ่งสูงถึง 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023 และกฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA, GDPR, SOX ต่างกำหนดให้การเข้ารหัสไม่ใช่แค่ “แนะนำ” แต่เป็น “ข้อบังคับ”

    นอกจากเรื่องกฎหมาย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เช่น บริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่ใช้ระบบแก้ไขเอกสารแบบเข้ารหัสและมีระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและแนะนำบริการต่อ

    สุดท้าย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยควรถูกฝังอยู่ใน workflow ขององค์กร ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม โดยควรมีระบบเซ็นชื่อดิจิทัล การควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท และการเก็บเวอร์ชันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทีมงานทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่ลดระดับความปลอดภัย

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    เอกสารดิจิทัล เช่น สัญญาและข้อมูลสุขภาพ ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด
    การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยต้องมีการเข้ารหัสและควบคุมสิทธิ์
    ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023
    กฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA และ GDPR กำหนดให้การเข้ารหัสเป็นข้อบังคับ

    แนวทางการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย
    ใช้ระบบที่รองรับการเซ็นชื่อดิจิทัลและการควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท
    มีระบบติดตามเวอร์ชันและประวัติการแก้ไข (audit trail)
    ควรฝังระบบความปลอดภัยไว้ใน workflow ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม
    การใช้ระบบที่ใช้งานง่ายช่วยลดการหลีกเลี่ยงจากผู้ใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มาตรฐานการเข้ารหัสที่แนะนำในปี 2025 ได้แก่ AES-256 และ RSA-4096
    การเข้ารหัสแบบ zero-knowledge ช่วยป้องกันแม้แต่ผู้ดูแลระบบไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้
    การปฏิบัติตาม GDPR ต้องแจ้งเหตุรั่วไหลภายใน 72 ชั่วโมง และมีสิทธิ์ลบข้อมูลตามคำขอผู้ใช้
    การไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 4% ของรายได้ทั่วโลก

    https://hackread.com/why-secure-document-editing-important-than-ever/
    📄 “เอกสารดิจิทัลไม่ใช่แค่ไฟล์ — เมื่อการแก้ไขอย่างปลอดภัยกลายเป็นเกราะป้องกันธุรกิจยุคใหม่” ในยุคที่ข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกเก็บไว้ในรูปแบบเอกสารดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นสัญญา บันทึกทางการแพทย์ หรือแผนการเงิน การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย (Secure Document Editing) จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นความรับผิดชอบระดับองค์กรที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการปฏิบัติตามกฎหมายโดยตรง บทความจาก HackRead ได้ยกตัวอย่างกรณีที่ผู้บริหารคนหนึ่งแชร์ประสบการณ์ในเวิร์กช็อปว่า เอกสารนโยบายภายในองค์กรถูกดักฟังระหว่างการแก้ไข ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลและเกิดความเสียหายถาวร เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการใช้เครื่องมือแก้ไขเอกสารที่มีการเข้ารหัสและระบบควบคุมสิทธิ์อย่างรัดกุม ภัยคุกคามไม่ได้มาจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการจัดการสิทธิ์ภายในที่ไม่เหมาะสม เช่น การแชร์ไฟล์ผ่านอีเมลหรือคลาวด์โดยไม่มีการควบคุม ทำให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ผลตรวจสุขภาพหรือข้อมูลลูกค้า ตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ การเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนจึงเป็นหัวใจของการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคที่ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลพุ่งสูงถึง 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023 และกฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA, GDPR, SOX ต่างกำหนดให้การเข้ารหัสไม่ใช่แค่ “แนะนำ” แต่เป็น “ข้อบังคับ” นอกจากเรื่องกฎหมาย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เช่น บริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่ใช้ระบบแก้ไขเอกสารแบบเข้ารหัสและมีระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและแนะนำบริการต่อ สุดท้าย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยควรถูกฝังอยู่ใน workflow ขององค์กร ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม โดยควรมีระบบเซ็นชื่อดิจิทัล การควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท และการเก็บเวอร์ชันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทีมงานทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่ลดระดับความปลอดภัย ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ เอกสารดิจิทัล เช่น สัญญาและข้อมูลสุขภาพ ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด ➡️ การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยต้องมีการเข้ารหัสและควบคุมสิทธิ์ ➡️ ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023 ➡️ กฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA และ GDPR กำหนดให้การเข้ารหัสเป็นข้อบังคับ ✅ แนวทางการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย ➡️ ใช้ระบบที่รองรับการเซ็นชื่อดิจิทัลและการควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท ➡️ มีระบบติดตามเวอร์ชันและประวัติการแก้ไข (audit trail) ➡️ ควรฝังระบบความปลอดภัยไว้ใน workflow ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม ➡️ การใช้ระบบที่ใช้งานง่ายช่วยลดการหลีกเลี่ยงจากผู้ใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มาตรฐานการเข้ารหัสที่แนะนำในปี 2025 ได้แก่ AES-256 และ RSA-4096 ➡️ การเข้ารหัสแบบ zero-knowledge ช่วยป้องกันแม้แต่ผู้ดูแลระบบไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ➡️ การปฏิบัติตาม GDPR ต้องแจ้งเหตุรั่วไหลภายใน 72 ชั่วโมง และมีสิทธิ์ลบข้อมูลตามคำขอผู้ใช้ ➡️ การไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 4% ของรายได้ทั่วโลก https://hackread.com/why-secure-document-editing-important-than-ever/
    HACKREAD.COM
    Why Secure Document Editing is More Important than Ever
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์”

    xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก

    P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น:

    - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว
    - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ
    - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end
    - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที

    นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier

    xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985

    จุดเด่นของ xTool P3
    เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ
    ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ
    AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ
    รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว

    ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม
    AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ
    RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก
    Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง
    ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน
    ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ
    เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง
    มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985

    https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    🔧 “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์” xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น: - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985 ✅ จุดเด่นของ xTool P3 ➡️ เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ ➡️ ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ ➡️ AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ ➡️ รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว ✅ ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม ➡️ AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ ➡️ RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก ➡️ Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง ➡️ ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน ➡️ ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ ➡️ เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง ➡️ มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985 https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    xTool P3: Industrial-Grade 80W CO₂ Laser Brings Automation To SMBs And Makers - SlashGear
    Whether you're a small business owner or just a creative with a workshop, a laser machine can upgrade your setup. Find out what makes the xTool P3 so special.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Shai-Hulud: มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี NPM แบบแพร่กระจายตัวเอง — ขโมยข้อมูลลับผ่าน GitHub Actions และคลาวด์”

    เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025 โลกของนักพัฒนา JavaScript ต้องสะเทือนอีกครั้ง เมื่อมีการค้นพบการโจมตีแบบ supply chain ที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในระบบนิเวศของ NPM โดยมัลแวร์ที่ถูกตั้งชื่อว่า “Shai-Hulud” ได้แฝงตัวอยู่ในแพ็กเกจยอดนิยมอย่าง @ctrl/tinycolor ซึ่งมีผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ พร้อมกับอีกกว่า 180 แพ็กเกจที่ถูกโจมตีในลักษณะเดียวกัน2

    มัลแวร์นี้ไม่ใช่แค่แฝงตัว — มันสามารถ “แพร่กระจายตัวเอง” ไปยังแพ็กเกจอื่น ๆ ที่ผู้ดูแลมีสิทธิ์เข้าถึง โดยใช้ฟังก์ชัน updatePackage เพื่อดึงรายชื่อแพ็กเกจจาก NPM API แล้วบังคับเผยแพร่เวอร์ชันใหม่ที่ฝัง bundle.js ซึ่งเป็นสคริปต์หลักของการโจมตี

    เป้าหมายของ Shai-Hulud คือการขโมยข้อมูลลับ เช่น AWS keys, GitHub tokens, GCP credentials และ Azure secrets โดยใช้เครื่องมือ TruffleHog ที่ปกติใช้ในการตรวจสอบความปลอดภัย แต่ถูกนำมาใช้ในทางร้าย มัลแวร์จะสแกนไฟล์ระบบและ environment variables เพื่อดึงข้อมูลลับทั้งหมด

    ที่น่ากลัวที่สุดคือการสร้าง persistence ผ่าน GitHub Actions โดยมัลแวร์จะ inject ไฟล์ workflow ชื่อ shai-hulud-workflow.yml ซึ่งจะถูกเรียกใช้ทุกครั้งที่มีการ push โค้ด และส่งข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน webhook ที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า

    ข้อมูลที่ถูกขโมยจะถูกจัดเก็บในรูปแบบ JSON และอัปโหลดไปยัง repository สาธารณะชื่อ “Shai-Hulud” บน GitHub ของเหยื่อเอง ทำให้ใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลลับเหล่านั้นได้ และยังมีการสร้าง branch ชื่อเดียวกันเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    แม้จะมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วจากทีม NPM และ GitHub รวมถึงการลบแพ็กเกจที่ถูกโจมตีออกจาก registry แล้ว แต่การโจมตียังคงดำเนินต่อไป โดยมีการพบ repository ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นทุกวัน และมีข้อมูลลับที่ยังไม่ถูกเพิกถอนอีกหลายรายการ

    ข้อมูลสำคัญจากเหตุการณ์
    แพ็กเกจ @ctrl/tinycolor และอีกกว่า 180 แพ็กเกจถูกฝังมัลแวร์ Shai-Hulud
    มัลแวร์สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังแพ็กเกจอื่นของผู้ดูแลผ่าน NPM API
    ใช้ TruffleHog เพื่อสแกนหา credentials จากไฟล์ระบบและ environment variables
    สร้าง GitHub Actions workflow เพื่อส่งข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ข้อมูลลับถูกอัปโหลดไปยัง repo สาธารณะชื่อ “Shai-Hulud” บน GitHub ของเหยื่อ

    กลไกการทำงานของมัลแวร์
    bundle.js เป็นสคริปต์หลักที่ถูกฝังใน postinstall script ของ package.json
    ใช้ Webpack modular design เพื่อแยกฟังก์ชันการโจมตี เช่น OS recon, credential harvesting, propagation
    ตรวจสอบระบบปฏิบัติการก่อนทำงาน — targeting Linux/macOS โดยเฉพาะ
    ใช้ GitHub API เพื่อสร้าง branch และ push workflow โดยใช้ token ของเหยื่อ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ชื่อ “Shai-Hulud” มาจาก sandworm ในนิยาย Dune — สื่อถึงการแพร่กระจายแบบหนอน
    การโจมตีคล้ายกับแคมเปญก่อนหน้า เช่น s1ngularity และ GhostActions
    CrowdStrike ยืนยันว่าแพ็กเกจที่ถูกโจมตีไม่กระทบกับ Falcon sensor ของบริษัท
    StepSecurity และ Socket เป็นผู้ค้นพบและวิเคราะห์เชิงลึกของการโจมตีนี้

    https://www.stepsecurity.io/blog/ctrl-tinycolor-and-40-npm-packages-compromised
    🕷️ “Shai-Hulud: มัลแวร์สายพันธุ์ใหม่โจมตี NPM แบบแพร่กระจายตัวเอง — ขโมยข้อมูลลับผ่าน GitHub Actions และคลาวด์” เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025 โลกของนักพัฒนา JavaScript ต้องสะเทือนอีกครั้ง เมื่อมีการค้นพบการโจมตีแบบ supply chain ที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในระบบนิเวศของ NPM โดยมัลแวร์ที่ถูกตั้งชื่อว่า “Shai-Hulud” ได้แฝงตัวอยู่ในแพ็กเกจยอดนิยมอย่าง @ctrl/tinycolor ซึ่งมีผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ พร้อมกับอีกกว่า 180 แพ็กเกจที่ถูกโจมตีในลักษณะเดียวกัน2 มัลแวร์นี้ไม่ใช่แค่แฝงตัว — มันสามารถ “แพร่กระจายตัวเอง” ไปยังแพ็กเกจอื่น ๆ ที่ผู้ดูแลมีสิทธิ์เข้าถึง โดยใช้ฟังก์ชัน updatePackage เพื่อดึงรายชื่อแพ็กเกจจาก NPM API แล้วบังคับเผยแพร่เวอร์ชันใหม่ที่ฝัง bundle.js ซึ่งเป็นสคริปต์หลักของการโจมตี เป้าหมายของ Shai-Hulud คือการขโมยข้อมูลลับ เช่น AWS keys, GitHub tokens, GCP credentials และ Azure secrets โดยใช้เครื่องมือ TruffleHog ที่ปกติใช้ในการตรวจสอบความปลอดภัย แต่ถูกนำมาใช้ในทางร้าย มัลแวร์จะสแกนไฟล์ระบบและ environment variables เพื่อดึงข้อมูลลับทั้งหมด ที่น่ากลัวที่สุดคือการสร้าง persistence ผ่าน GitHub Actions โดยมัลแวร์จะ inject ไฟล์ workflow ชื่อ shai-hulud-workflow.yml ซึ่งจะถูกเรียกใช้ทุกครั้งที่มีการ push โค้ด และส่งข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน webhook ที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า ข้อมูลที่ถูกขโมยจะถูกจัดเก็บในรูปแบบ JSON และอัปโหลดไปยัง repository สาธารณะชื่อ “Shai-Hulud” บน GitHub ของเหยื่อเอง ทำให้ใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลลับเหล่านั้นได้ และยังมีการสร้าง branch ชื่อเดียวกันเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ แม้จะมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วจากทีม NPM และ GitHub รวมถึงการลบแพ็กเกจที่ถูกโจมตีออกจาก registry แล้ว แต่การโจมตียังคงดำเนินต่อไป โดยมีการพบ repository ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นทุกวัน และมีข้อมูลลับที่ยังไม่ถูกเพิกถอนอีกหลายรายการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากเหตุการณ์ ➡️ แพ็กเกจ @ctrl/tinycolor และอีกกว่า 180 แพ็กเกจถูกฝังมัลแวร์ Shai-Hulud ➡️ มัลแวร์สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังแพ็กเกจอื่นของผู้ดูแลผ่าน NPM API ➡️ ใช้ TruffleHog เพื่อสแกนหา credentials จากไฟล์ระบบและ environment variables ➡️ สร้าง GitHub Actions workflow เพื่อส่งข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ข้อมูลลับถูกอัปโหลดไปยัง repo สาธารณะชื่อ “Shai-Hulud” บน GitHub ของเหยื่อ ✅ กลไกการทำงานของมัลแวร์ ➡️ bundle.js เป็นสคริปต์หลักที่ถูกฝังใน postinstall script ของ package.json ➡️ ใช้ Webpack modular design เพื่อแยกฟังก์ชันการโจมตี เช่น OS recon, credential harvesting, propagation ➡️ ตรวจสอบระบบปฏิบัติการก่อนทำงาน — targeting Linux/macOS โดยเฉพาะ ➡️ ใช้ GitHub API เพื่อสร้าง branch และ push workflow โดยใช้ token ของเหยื่อ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ชื่อ “Shai-Hulud” มาจาก sandworm ในนิยาย Dune — สื่อถึงการแพร่กระจายแบบหนอน ➡️ การโจมตีคล้ายกับแคมเปญก่อนหน้า เช่น s1ngularity และ GhostActions ➡️ CrowdStrike ยืนยันว่าแพ็กเกจที่ถูกโจมตีไม่กระทบกับ Falcon sensor ของบริษัท ➡️ StepSecurity และ Socket เป็นผู้ค้นพบและวิเคราะห์เชิงลึกของการโจมตีนี้ https://www.stepsecurity.io/blog/ctrl-tinycolor-and-40-npm-packages-compromised
    WWW.STEPSECURITY.IO
    ctrl/tinycolor and 40+ NPM Packages Compromised - StepSecurity
    The popular @ctrl/tinycolor package with over 2 million weekly downloads has been compromised alongside 40+ other NPM packages in a sophisticated supply chain attack dubbed "Shai-Hulud". The malware self-propagates across maintainer packages, harvests AWS/GCP/Azure credentials using TruffleHog, and establishes persistence through GitHub Actions backdoors - representing a major escalation in NPM ecosystem threats.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • Vibrant wildflowers
    Vibrant wildflowers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts