• Snapdragon 8 Elite Gen 5 โชว์พลังทะลุ 3,831 คะแนนใน Geekbench — แซง Ryzen 9 และไล่ทัน Apple A19 Pro ในการทดสอบแบบแกนเดียว

    Qualcomm กำลังเขย่าวงการชิปมือถืออีกครั้งด้วย Snapdragon 8 Elite Gen 5 ที่เพิ่งปรากฏผลทดสอบใน Geekbench โดยทำคะแนนแบบ single-core ได้ถึง 3,831 คะแนน ซึ่งใกล้เคียงกับ Apple A19 Pro ที่ทำได้ 3,895 คะแนน และสูงกว่า Ryzen 9 9950X3D ที่อยู่ราว 3,500 คะแนน

    ชิปใหม่นี้ถูกพบในอุปกรณ์ Xiaomi รุ่นที่ยังไม่เปิดตัว และใช้สถาปัตยกรรมแบบ 2 แกนประสิทธิภาพ + 6 แกนประหยัดพลังงาน โดยแกนประสิทธิภาพสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 4.61 GHz (หรือ 4.74 GHz ในรุ่นเฉพาะของ Samsung) ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ซึ่งเป็นรุ่นพัฒนาจาก N3E

    Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังรองรับชุดคำสั่งใหม่ SVE2 และ SME ซึ่งเป็น SIMD instruction ที่ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมากเร็วขึ้น โดยเฉพาะงานด้าน AI, มัลติมีเดีย และฐานข้อมูลในหน่วยความจำ ซึ่ง Geekbench เองก็ใช้ SME ในการทดสอบ ทำให้คะแนนที่ออกมาสะท้อนถึงประสิทธิภาพจริงในระดับหนึ่ง

    แม้คะแนนจะน่าประทับใจ แต่ก็ยังเป็นข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ยังไม่วางจำหน่าย และอาจมีการปรับแต่งเพื่อโชว์ศักยภาพสูงสุด ดังนั้นจึงต้องรอดูผลทดสอบจากเครื่องจริงอีกครั้งเมื่อวางขาย

    Snapdragon 8 Elite Gen 5 ทำคะแนน Geekbench สูงถึง 3,831
    ใกล้เคียงกับ Apple A19 Pro ที่ทำได้ 3,895
    สูงกว่า Ryzen 9 9950X3D ที่ทำได้ราว 3,500 คะแนน

    ใช้สถาปัตยกรรม 2+6 cores และเร่งความเร็วได้ถึง 4.61 GHz
    รุ่น Samsung เฉพาะสามารถเร่งได้ถึง 4.74 GHz
    ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC

    รองรับชุดคำสั่ง SVE2 และ SME
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงาน AI, มัลติมีเดีย และฐานข้อมูล
    Geekbench ใช้ SME ในการทดสอบ ทำให้คะแนนสะท้อนการใช้งานจริง

    แซงชิปเดสก์ท็อปในด้าน single-core performance
    Ryzen 7 9800X3D ทำได้ ~3,400 / Ryzen 9 9950X3D ~3,500
    แสดงให้เห็นถึงพลังของชิป ARM ในงานที่จำกัดพลังงาน

    อาจใช้ใน Xiaomi 17 Pro และ Samsung Galaxy รุ่นใหม่
    พบในอุปกรณ์ Xiaomi รหัส 25113PN0EC
    คาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026

    https://www.tomshardware.com/phones/snapdragon-8-elite-gen-5-shows-up-in-geekbench-with-a-score-of-3-831-upcoming-chip-catches-to-apples-just-launched-a19-pro-beats-desktop-chips-on-single-core-perf
    📰 Snapdragon 8 Elite Gen 5 โชว์พลังทะลุ 3,831 คะแนนใน Geekbench — แซง Ryzen 9 และไล่ทัน Apple A19 Pro ในการทดสอบแบบแกนเดียว Qualcomm กำลังเขย่าวงการชิปมือถืออีกครั้งด้วย Snapdragon 8 Elite Gen 5 ที่เพิ่งปรากฏผลทดสอบใน Geekbench โดยทำคะแนนแบบ single-core ได้ถึง 3,831 คะแนน ซึ่งใกล้เคียงกับ Apple A19 Pro ที่ทำได้ 3,895 คะแนน และสูงกว่า Ryzen 9 9950X3D ที่อยู่ราว 3,500 คะแนน ชิปใหม่นี้ถูกพบในอุปกรณ์ Xiaomi รุ่นที่ยังไม่เปิดตัว และใช้สถาปัตยกรรมแบบ 2 แกนประสิทธิภาพ + 6 แกนประหยัดพลังงาน โดยแกนประสิทธิภาพสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 4.61 GHz (หรือ 4.74 GHz ในรุ่นเฉพาะของ Samsung) ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ซึ่งเป็นรุ่นพัฒนาจาก N3E Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังรองรับชุดคำสั่งใหม่ SVE2 และ SME ซึ่งเป็น SIMD instruction ที่ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมากเร็วขึ้น โดยเฉพาะงานด้าน AI, มัลติมีเดีย และฐานข้อมูลในหน่วยความจำ ซึ่ง Geekbench เองก็ใช้ SME ในการทดสอบ ทำให้คะแนนที่ออกมาสะท้อนถึงประสิทธิภาพจริงในระดับหนึ่ง แม้คะแนนจะน่าประทับใจ แต่ก็ยังเป็นข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ยังไม่วางจำหน่าย และอาจมีการปรับแต่งเพื่อโชว์ศักยภาพสูงสุด ดังนั้นจึงต้องรอดูผลทดสอบจากเครื่องจริงอีกครั้งเมื่อวางขาย ✅ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ทำคะแนน Geekbench สูงถึง 3,831 ➡️ ใกล้เคียงกับ Apple A19 Pro ที่ทำได้ 3,895 ➡️ สูงกว่า Ryzen 9 9950X3D ที่ทำได้ราว 3,500 คะแนน ✅ ใช้สถาปัตยกรรม 2+6 cores และเร่งความเร็วได้ถึง 4.61 GHz ➡️ รุ่น Samsung เฉพาะสามารถเร่งได้ถึง 4.74 GHz ➡️ ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ✅ รองรับชุดคำสั่ง SVE2 และ SME ➡️ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงาน AI, มัลติมีเดีย และฐานข้อมูล ➡️ Geekbench ใช้ SME ในการทดสอบ ทำให้คะแนนสะท้อนการใช้งานจริง ✅ แซงชิปเดสก์ท็อปในด้าน single-core performance ➡️ Ryzen 7 9800X3D ทำได้ ~3,400 / Ryzen 9 9950X3D ~3,500 ➡️ แสดงให้เห็นถึงพลังของชิป ARM ในงานที่จำกัดพลังงาน ✅ อาจใช้ใน Xiaomi 17 Pro และ Samsung Galaxy รุ่นใหม่ ➡️ พบในอุปกรณ์ Xiaomi รหัส 25113PN0EC ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026 https://www.tomshardware.com/phones/snapdragon-8-elite-gen-5-shows-up-in-geekbench-with-a-score-of-3-831-upcoming-chip-catches-to-apples-just-launched-a19-pro-beats-desktop-chips-on-single-core-perf
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เตรียมทดสอบสายการผลิต iPhone พับได้ — ตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย 10% ในปี 2026 พร้อมขยายฐานการผลิตสู่อินเดีย

    Apple กำลังเดินหมากครั้งสำคัญในตลาดสมาร์ตโฟน ด้วยการเตรียมทดสอบสายการผลิต iPhone รุ่นพับได้ ซึ่งอาจเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของบริษัทในกลุ่มผลิตภัณฑ์ foldable ที่คู่แข่งอย่าง Samsung และ Huawei ได้ลงสนามไปก่อนแล้ว โดยมีรายงานจาก Nikkei Asia ว่า Apple ได้เริ่มพูดคุยกับซัพพลายเออร์เกี่ยวกับการตั้งสายการผลิตทดลองในไต้หวัน และมีแผนจะขยายไปสู่การผลิตจริงในอินเดียภายในปี 2026

    เป้าหมายของ Apple คือการเพิ่มยอดขาย iPhone ให้ได้ 10% จากปี 2025 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 241 ล้านเครื่อง โดยตั้งเป้าไว้ที่ 265 ล้านเครื่องในปี 2026 ซึ่งหากทำได้จริง จะเป็นสถิติใหม่ของบริษัทนับตั้งแต่ปี 2015 ที่ยอดขาย iPhone แกว่งอยู่ระหว่าง 200–250 ล้านเครื่องต่อปี

    นอกจากการเปิดตัว iPhone พับได้แล้ว Apple ยังเตรียมเปิดตัว iPhone 18 รุ่นใหม่ในช่วงปลายปี 2026 ซึ่งรวมถึง iPhone 18 Pro, Pro Max, Air 2 และรุ่นพับได้ โดยคาดว่าจะมี “halo effect” คือผู้บริโภคที่สนใจรุ่นพับได้ อาจตัดสินใจซื้อรุ่นธรรมดาแทน ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้นทั้งไลน์ผลิตภัณฑ์

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Bank of America ระบุว่า iPhone 17 Pro และ Pro Max ในปีนี้มีระยะเวลารอจัดส่งนานกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยเฉพาะ iPhone 17 รุ่นพื้นฐานที่มีเวลารอจัดส่งเฉลี่ยถึง 19 วัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ iPhone 11 ในปี 2019

    Apple เตรียมทดสอบสายการผลิต iPhone พับได้
    เริ่มพูดคุยกับซัพพลายเออร์ในไต้หวัน
    มีแผนขยายการผลิตจริงไปยังอินเดียในปี 2026

    ตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย iPhone 10% ในปี 2026
    จาก 241 ล้านเครื่องในปี 2025 เป็น 265 ล้านเครื่องในปี 2026
    หากสำเร็จ จะเป็นสถิติใหม่ของบริษัท

    iPhone พับได้จะเป็นส่วนหนึ่งของไลน์ iPhone 18
    รวมถึงรุ่น Pro, Pro Max และ Air 2
    คาดว่าจะเกิด halo effect เพิ่มยอดขายรุ่นธรรมดา

    iPhone 17 มีระยะเวลารอจัดส่งนานกว่ารุ่นก่อน
    iPhone 17 Pro: รอ 18 วัน / Pro Max: รอ 25 วัน
    iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน: รอ 19 วัน เทียบกับ 10 วันใน iPhone 16

    https://wccftech.com/apple-mulling-a-possible-test-production-line-for-a-foldable-iphone-targets-10-shipment-growth-in-2026/
    📰 Apple เตรียมทดสอบสายการผลิต iPhone พับได้ — ตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย 10% ในปี 2026 พร้อมขยายฐานการผลิตสู่อินเดีย Apple กำลังเดินหมากครั้งสำคัญในตลาดสมาร์ตโฟน ด้วยการเตรียมทดสอบสายการผลิต iPhone รุ่นพับได้ ซึ่งอาจเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของบริษัทในกลุ่มผลิตภัณฑ์ foldable ที่คู่แข่งอย่าง Samsung และ Huawei ได้ลงสนามไปก่อนแล้ว โดยมีรายงานจาก Nikkei Asia ว่า Apple ได้เริ่มพูดคุยกับซัพพลายเออร์เกี่ยวกับการตั้งสายการผลิตทดลองในไต้หวัน และมีแผนจะขยายไปสู่การผลิตจริงในอินเดียภายในปี 2026 เป้าหมายของ Apple คือการเพิ่มยอดขาย iPhone ให้ได้ 10% จากปี 2025 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 241 ล้านเครื่อง โดยตั้งเป้าไว้ที่ 265 ล้านเครื่องในปี 2026 ซึ่งหากทำได้จริง จะเป็นสถิติใหม่ของบริษัทนับตั้งแต่ปี 2015 ที่ยอดขาย iPhone แกว่งอยู่ระหว่าง 200–250 ล้านเครื่องต่อปี นอกจากการเปิดตัว iPhone พับได้แล้ว Apple ยังเตรียมเปิดตัว iPhone 18 รุ่นใหม่ในช่วงปลายปี 2026 ซึ่งรวมถึง iPhone 18 Pro, Pro Max, Air 2 และรุ่นพับได้ โดยคาดว่าจะมี “halo effect” คือผู้บริโภคที่สนใจรุ่นพับได้ อาจตัดสินใจซื้อรุ่นธรรมดาแทน ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้นทั้งไลน์ผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Bank of America ระบุว่า iPhone 17 Pro และ Pro Max ในปีนี้มีระยะเวลารอจัดส่งนานกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยเฉพาะ iPhone 17 รุ่นพื้นฐานที่มีเวลารอจัดส่งเฉลี่ยถึง 19 วัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ iPhone 11 ในปี 2019 ✅ Apple เตรียมทดสอบสายการผลิต iPhone พับได้ ➡️ เริ่มพูดคุยกับซัพพลายเออร์ในไต้หวัน ➡️ มีแผนขยายการผลิตจริงไปยังอินเดียในปี 2026 ✅ ตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย iPhone 10% ในปี 2026 ➡️ จาก 241 ล้านเครื่องในปี 2025 เป็น 265 ล้านเครื่องในปี 2026 ➡️ หากสำเร็จ จะเป็นสถิติใหม่ของบริษัท ✅ iPhone พับได้จะเป็นส่วนหนึ่งของไลน์ iPhone 18 ➡️ รวมถึงรุ่น Pro, Pro Max และ Air 2 ➡️ คาดว่าจะเกิด halo effect เพิ่มยอดขายรุ่นธรรมดา ✅ iPhone 17 มีระยะเวลารอจัดส่งนานกว่ารุ่นก่อน ➡️ iPhone 17 Pro: รอ 18 วัน / Pro Max: รอ 25 วัน ➡️ iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน: รอ 19 วัน เทียบกับ 10 วันใน iPhone 16 https://wccftech.com/apple-mulling-a-possible-test-production-line-for-a-foldable-iphone-targets-10-shipment-growth-in-2026/
    WCCFTECH.COM
    Apple Mulling A Possible Test Production Line For A Foldable iPhone, Targets 10% Shipment Growth In 2026
    Apple has held talks with its suppliers regarding the possibility of building a test production line for its planned foldable iPhones.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เตรียมเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่พร้อมหน้าจอ OLED แบบสัมผัสในปี 2026

    หลังจากหลายปีที่ Apple ยืนกรานไม่ใส่ระบบสัมผัสใน MacBook ล่าสุดมีรายงานจากนักวิเคราะห์ชื่อดัง Ming-Chi Kuo ว่า Apple เตรียมเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มาพร้อมหน้าจอ OLED และระบบสัมผัสในปี 2026 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปรัชญาการออกแบบของ Mac

    Kuo ระบุว่า Apple ได้ศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้ iPad มาอย่างยาวนาน และพบว่าในบางสถานการณ์ การควบคุมผ่านระบบสัมผัสสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและประสบการณ์ผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน จึงนำไปสู่การตัดสินใจเพิ่มฟีเจอร์นี้ใน MacBook Pro รุ่นใหม่

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Apple กำลังพัฒนา MacBook รุ่นราคาประหยัดที่ใช้ชิป A-series จาก iPhone ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2025 แต่รุ่นนี้ยังไม่มีแผนจะใส่ระบบสัมผัสในช่วงแรก

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่ Apple อาจรวมระบบปฏิบัติการ macOS และ iPadOS เข้าด้วยกันในอนาคต เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์

    Apple เตรียมเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ในปี 2026
    ใช้หน้าจอ OLED พร้อมระบบสัมผัสแบบ on-cell touch เป็นครั้งแรก
    คาดว่าจะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากช่วงปลายปี 2026
    อาจเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ปี 2026 หรือต้นปี 2027

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวคิดใหม่ของ Apple
    จากเดิมที่ Steve Jobs เคยต่อต้านระบบสัมผัสใน MacBook
    Apple เริ่มเห็นประโยชน์จากพฤติกรรมผู้ใช้ iPad

    Apple ยังมีแผนเปิดตัว MacBook รุ่นราคาประหยัด
    ใช้ชิป A-series จาก iPhone เช่น A18 Pro
    คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2025
    รุ่นนี้ยังไม่รองรับระบบสัมผัสในช่วงแรก

    แนวโน้มการรวมระบบปฏิบัติการ
    iPadOS 26 เริ่มมีฟีเจอร์ multitasking แบบ macOS
    อาจนำไปสู่การรวม macOS และ iPadOS ในอนาคต

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานที่คาดหวัง MacBook รุ่นสัมผัสเร็วๆ นี้
    รุ่นสัมผัสจะเริ่มจาก MacBook Pro เท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมรุ่นราคาประหยัด
    ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Apple
    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวของผู้ใช้และนักพัฒนา

    https://www.tomshardware.com/laptops/macbooks/apple-prepping-touchscreen-oled-macbook-pro-for-2026-new-report-claims-new-model-will-incorporate-on-cell-touch-tech-for-the-first-time
    📰 Apple เตรียมเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่พร้อมหน้าจอ OLED แบบสัมผัสในปี 2026 หลังจากหลายปีที่ Apple ยืนกรานไม่ใส่ระบบสัมผัสใน MacBook ล่าสุดมีรายงานจากนักวิเคราะห์ชื่อดัง Ming-Chi Kuo ว่า Apple เตรียมเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มาพร้อมหน้าจอ OLED และระบบสัมผัสในปี 2026 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปรัชญาการออกแบบของ Mac Kuo ระบุว่า Apple ได้ศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้ iPad มาอย่างยาวนาน และพบว่าในบางสถานการณ์ การควบคุมผ่านระบบสัมผัสสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและประสบการณ์ผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน จึงนำไปสู่การตัดสินใจเพิ่มฟีเจอร์นี้ใน MacBook Pro รุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Apple กำลังพัฒนา MacBook รุ่นราคาประหยัดที่ใช้ชิป A-series จาก iPhone ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2025 แต่รุ่นนี้ยังไม่มีแผนจะใส่ระบบสัมผัสในช่วงแรก การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่ Apple อาจรวมระบบปฏิบัติการ macOS และ iPadOS เข้าด้วยกันในอนาคต เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์ ✅ Apple เตรียมเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ในปี 2026 ➡️ ใช้หน้าจอ OLED พร้อมระบบสัมผัสแบบ on-cell touch เป็นครั้งแรก ➡️ คาดว่าจะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากช่วงปลายปี 2026 ➡️ อาจเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ปี 2026 หรือต้นปี 2027 ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวคิดใหม่ของ Apple ➡️ จากเดิมที่ Steve Jobs เคยต่อต้านระบบสัมผัสใน MacBook ➡️ Apple เริ่มเห็นประโยชน์จากพฤติกรรมผู้ใช้ iPad ✅ Apple ยังมีแผนเปิดตัว MacBook รุ่นราคาประหยัด ➡️ ใช้ชิป A-series จาก iPhone เช่น A18 Pro ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2025 ➡️ รุ่นนี้ยังไม่รองรับระบบสัมผัสในช่วงแรก ✅ แนวโน้มการรวมระบบปฏิบัติการ ➡️ iPadOS 26 เริ่มมีฟีเจอร์ multitasking แบบ macOS ➡️ อาจนำไปสู่การรวม macOS และ iPadOS ในอนาคต ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานที่คาดหวัง MacBook รุ่นสัมผัสเร็วๆ นี้ ⛔ รุ่นสัมผัสจะเริ่มจาก MacBook Pro เท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมรุ่นราคาประหยัด ⛔ ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Apple ⛔ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวของผู้ใช้และนักพัฒนา https://www.tomshardware.com/laptops/macbooks/apple-prepping-touchscreen-oled-macbook-pro-for-2026-new-report-claims-new-model-will-incorporate-on-cell-touch-tech-for-the-first-time
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MediaTek ปล่อยชิปเรือธงบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC — ก้าวแรกสู่ยุคใหม่ของ AI, มือถือ และยานยนต์”

    MediaTek ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงตัวใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรของ TSMC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่เข้าสู่ยุค 2nm อย่างเป็นทางการ โดยชิปนี้จะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในช่วงปลายปี 2026 และพร้อมวางจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกัน

    เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของลอจิกได้ถึง 1.2 เท่า เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด 18% ที่พลังงานเท่าเดิม และลดการใช้พลังงานลงถึง 36% ที่ความเร็วเท่าเดิม เมื่อเทียบกับกระบวนการ N3E รุ่นก่อนหน้า

    MediaTek ยังไม่เปิดเผยว่าชิปนี้จะใช้ในผลิตภัณฑ์ใดโดยตรง แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC หรือชิปสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองบริษัทเคยร่วมมือกันในโปรเจกต์ GB10 “Grace Blackwell” Superchip ที่ใช้กระบวนการ 3nm

    ชิปใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น มือถือระดับเรือธง, คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง, ยานยนต์อัจฉริยะ และเซิร์ฟเวอร์ edge computing โดย MediaTek ยืนยันว่าการร่วมมือกับ TSMC จะช่วยให้สามารถส่งมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานได้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    MediaTek ประกาศ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงที่ใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC
    เข้าสู่การผลิตจำนวนมากปลายปี 2026 และวางจำหน่ายช่วงเวลาเดียวกัน
    ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก
    เพิ่ม logic density 1.2 เท่า, เพิ่ม performance 18%, ลดพลังงาน 36% เทียบกับ N3E

    กลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน
    ชิปนี้อาจใช้ในมือถือ, คอมพิวเตอร์, ยานยนต์ และ edge computing
    มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC
    MediaTek และ TSMC มีความร่วมมือระยะยาวในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง
    ชิปนี้จะเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของการประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC N2P คือรุ่นพัฒนาต่อจาก N2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์
    Apple และ AMD ก็เตรียมใช้เทคโนโลยี 2nm ในชิปของตนในปี 2026 เช่นกัน
    การใช้ nanosheet transistor ช่วยให้สามารถใส่ accelerator และ IP block ได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม
    เหมาะกับงาน on-device AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ

    https://wccftech.com/mediatek-tapes-out-flagship-soc-tsmc-2nm-process-production-availability-end-2026/
    🧠 “MediaTek ปล่อยชิปเรือธงบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC — ก้าวแรกสู่ยุคใหม่ของ AI, มือถือ และยานยนต์” MediaTek ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงตัวใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรของ TSMC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่เข้าสู่ยุค 2nm อย่างเป็นทางการ โดยชิปนี้จะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในช่วงปลายปี 2026 และพร้อมวางจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกัน เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของลอจิกได้ถึง 1.2 เท่า เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด 18% ที่พลังงานเท่าเดิม และลดการใช้พลังงานลงถึง 36% ที่ความเร็วเท่าเดิม เมื่อเทียบกับกระบวนการ N3E รุ่นก่อนหน้า MediaTek ยังไม่เปิดเผยว่าชิปนี้จะใช้ในผลิตภัณฑ์ใดโดยตรง แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC หรือชิปสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองบริษัทเคยร่วมมือกันในโปรเจกต์ GB10 “Grace Blackwell” Superchip ที่ใช้กระบวนการ 3nm ชิปใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น มือถือระดับเรือธง, คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง, ยานยนต์อัจฉริยะ และเซิร์ฟเวอร์ edge computing โดย MediaTek ยืนยันว่าการร่วมมือกับ TSMC จะช่วยให้สามารถส่งมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานได้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ MediaTek ประกาศ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงที่ใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ➡️ เข้าสู่การผลิตจำนวนมากปลายปี 2026 และวางจำหน่ายช่วงเวลาเดียวกัน ➡️ ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก ➡️ เพิ่ม logic density 1.2 เท่า, เพิ่ม performance 18%, ลดพลังงาน 36% เทียบกับ N3E ✅ กลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน ➡️ ชิปนี้อาจใช้ในมือถือ, คอมพิวเตอร์, ยานยนต์ และ edge computing ➡️ มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC ➡️ MediaTek และ TSMC มีความร่วมมือระยะยาวในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ➡️ ชิปนี้จะเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของการประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC N2P คือรุ่นพัฒนาต่อจาก N2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ ➡️ Apple และ AMD ก็เตรียมใช้เทคโนโลยี 2nm ในชิปของตนในปี 2026 เช่นกัน ➡️ การใช้ nanosheet transistor ช่วยให้สามารถใส่ accelerator และ IP block ได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม ➡️ เหมาะกับงาน on-device AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ https://wccftech.com/mediatek-tapes-out-flagship-soc-tsmc-2nm-process-production-availability-end-2026/
    WCCFTECH.COM
    MediaTek Tapes Out Flagship SoC Using TSMC's 2nm Process, Mass Production & Availability By End of 2026
    MediaTek has announced the tape-out of its flagship SoC, fabricated on TSMC's 2nm process node, which will be available by the end of 2026.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple-1 ในตำนานเตรียมประมูลทะลุ $300,000 — คอมพิวเตอร์ไม้ที่เปลี่ยนโลก และเรื่องราวของเจ้าของผู้บุกเบิก”

    ในวันที่ 20 กันยายน 2025 ที่งาน Remarkable Rarities ของ RR Auctions ณ เมืองบอสตัน จะมีการประมูล Apple-1 เครื่องหายากที่ยังใช้งานได้จริง พร้อมกล่องไม้ Byte Shop ดั้งเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลงเหลืออยู่เพียง 9 เครื่องในโลกเท่านั้น

    Apple-1 เครื่องนี้ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่เป็น “ของจริง” ที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบชุดจากยุค 1976 ได้แก่ แผงวงจร Apple-1 หมายเลข “01-0020”, แป้นพิมพ์ Datanetics, จอภาพ, อินเทอร์เฟซเทป, ซอฟต์แวร์บนเทปคาสเซ็ต และคู่มือการใช้งานแบบร่วมสมัย ทุกชิ้นเป็นของแท้หรือถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคสมัย

    สิ่งที่ทำให้เครื่องนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือ “เจ้าของเดิม” — June Blodgett Moore ผู้หญิงคนแรกที่จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งทำให้เครื่องนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งด้านเทคโนโลยีและสังคม

    ตัวเครื่องได้รับการตรวจสอบและฟื้นฟูโดยผู้เชี่ยวชาญ Corey Cohen ในช่วงกลางปี 2025 และได้รับการประเมินสภาพที่ 8.0/10 โดยมีรอยร้าวเล็ก ๆ บนกล่องไม้ และแผ่นหลังที่ถูกถอดออกเพื่อเข้าถึงสายไฟ

    ภายในยังคงมีชิป MOS 6502 แบบเซรามิกขาว และตัวเก็บประจุ Sprague “Big Blue” ทั้งสามตัวดั้งเดิม ซึ่งหายากมากในเครื่องที่ยังหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนไดโอดบางตัวด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบ

    กล่องไม้ Byte Shop นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นผลจากดีลครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Steve Jobs และ Steve Wozniak กับร้าน Byte Shop ที่สั่งซื้อ Apple-1 จำนวน 50 เครื่องในราคาต่อเครื่อง $500 และขายต่อที่ $666.66 ซึ่ง Wozniakเคยกล่าวว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือความคาดหมายเท่านี้อีกแล้ว”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/pc-cases/rare-apple-1-with-storied-ownership-could-fetch-over-usd300-000-at-auction-unit-housed-in-original-wood-case-thought-to-be-one-of-just-nine-surviving-examples
    🍏 “Apple-1 ในตำนานเตรียมประมูลทะลุ $300,000 — คอมพิวเตอร์ไม้ที่เปลี่ยนโลก และเรื่องราวของเจ้าของผู้บุกเบิก” ในวันที่ 20 กันยายน 2025 ที่งาน Remarkable Rarities ของ RR Auctions ณ เมืองบอสตัน จะมีการประมูล Apple-1 เครื่องหายากที่ยังใช้งานได้จริง พร้อมกล่องไม้ Byte Shop ดั้งเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลงเหลืออยู่เพียง 9 เครื่องในโลกเท่านั้น Apple-1 เครื่องนี้ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่เป็น “ของจริง” ที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบชุดจากยุค 1976 ได้แก่ แผงวงจร Apple-1 หมายเลข “01-0020”, แป้นพิมพ์ Datanetics, จอภาพ, อินเทอร์เฟซเทป, ซอฟต์แวร์บนเทปคาสเซ็ต และคู่มือการใช้งานแบบร่วมสมัย ทุกชิ้นเป็นของแท้หรือถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคสมัย สิ่งที่ทำให้เครื่องนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือ “เจ้าของเดิม” — June Blodgett Moore ผู้หญิงคนแรกที่จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งทำให้เครื่องนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งด้านเทคโนโลยีและสังคม ตัวเครื่องได้รับการตรวจสอบและฟื้นฟูโดยผู้เชี่ยวชาญ Corey Cohen ในช่วงกลางปี 2025 และได้รับการประเมินสภาพที่ 8.0/10 โดยมีรอยร้าวเล็ก ๆ บนกล่องไม้ และแผ่นหลังที่ถูกถอดออกเพื่อเข้าถึงสายไฟ ภายในยังคงมีชิป MOS 6502 แบบเซรามิกขาว และตัวเก็บประจุ Sprague “Big Blue” ทั้งสามตัวดั้งเดิม ซึ่งหายากมากในเครื่องที่ยังหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนไดโอดบางตัวด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบ กล่องไม้ Byte Shop นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นผลจากดีลครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Steve Jobs และ Steve Wozniak กับร้าน Byte Shop ที่สั่งซื้อ Apple-1 จำนวน 50 เครื่องในราคาต่อเครื่อง $500 และขายต่อที่ $666.66 ซึ่ง Wozniakเคยกล่าวว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือความคาดหมายเท่านี้อีกแล้ว” https://www.tomshardware.com/pc-components/pc-cases/rare-apple-1-with-storied-ownership-could-fetch-over-usd300-000-at-auction-unit-housed-in-original-wood-case-thought-to-be-one-of-just-nine-surviving-examples
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง”

    ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง

    Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน

    Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง

    แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น

    Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

    Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ

    Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์
    ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง
    การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ
    AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert
    AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร
    การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม
    SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
    ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท
    การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ

    https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    🤖 “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง” ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์ ➡️ ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง ➡️ การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ ➡️ AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert ➡️ AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร ➡️ การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม ➡️ SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ➡️ ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท ➡️ การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs grapple with the realities of applying AI to security functions
    Viewed as a copilot to augment rather than revolutionize security operations, well-governed AI can deliver incremental results, according to security leaders’ early returns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple กับความ ‘ไม่ว้าว’ ที่เพิ่มขึ้น — เมื่อดีไซน์สวยกลบการใช้งาน และ iPhone Air กลายเป็นคำถามมากกว่าคำตอบ”

    Riccardo Mori นักเขียนสายเทคโนโลยีที่ติดตาม Apple มานาน ได้เขียนบทความวิจารณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า “Awe Dropping” แต่สำหรับเขาแล้ว มันคือ “ความว้าวที่ลดลงเรื่อย ๆ” โดยเฉพาะเมื่อ Apple เปิดตัว iPhone 17, iPhone Air, Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3 พร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 26 ที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่ชื่อ Liquid Glass

    Mori ตั้งคำถามถึงความจริงใจของ Apple ที่เปิดงานด้วยคำพูดของ Steve Jobs ว่า “Design is how it works” ทั้งที่ดีไซน์ Liquid Glass เน้นความสวยงามมากกว่าการใช้งานจริง และ iPhone Air ก็เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่เน้นความบางจนเสียฟังก์ชัน เช่น ความร้อนสูง, แบตเตอรี่เล็ก, ไม่มีช่องใส่ซิม และต้องพึ่งพาแบตเสริม MagSafe ที่ทำให้ดีไซน์บางหมดความหมาย

    เขายังวิจารณ์ Apple Watch ว่าเต็มไปด้วยฟีเจอร์ที่มากเกินไป และการนำเสนอเรื่อง “ช่วยชีวิตผู้ใช้” กลายเป็นการตลาดที่ซ้ำซาก ส่วน AirPods ก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่าย

    สำหรับ iPhone 17 Pro แม้จะมีฟีเจอร์กล้องระดับโปรและดีไซน์ใหม่ แต่ราคาก็สูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ iPhone Air ก็ถูกมองว่าเป็น “การทดลอง” ที่อาจไม่ประสบความสำเร็จ เหมือนกับ iPhone mini ที่เคยถูกยกเลิกไป

    สุดท้าย Mori สรุปว่า Apple กำลังสูญเสียจุดเด่นที่เคยมี คือการผสานฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์อย่างลงตัว เพราะแม้ฮาร์ดแวร์จะดีขึ้นทุกปี แต่ iOS 26 กลับเต็มไปด้วยปัญหาด้าน UI และการออกแบบที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    Apple เปิดตัว iPhone 17, iPhone Air, Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3
    iPhone Air เป็นรุ่นที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่มีข้อจำกัดหลายด้าน
    Apple ใช้คำพูดของ Steve Jobs เปิดงาน แต่ดีไซน์ปัจจุบันขัดแย้งกับแนวคิดนั้น
    iOS 26 มาพร้อม Liquid Glass UI ที่เน้นความสวยงามมากกว่าการใช้งาน

    การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์
    Apple Watch มีฟีเจอร์มากเกินไป และการนำเสนอเรื่อง “ช่วยชีวิต” กลายเป็นการตลาด
    AirPods ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพราะเปลี่ยนแบตไม่ได้
    iPhone 17 Pro มีฟีเจอร์กล้องระดับโปร แต่ราคาสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    iPhone Air ถูกมองว่าเป็นการทดลองที่อาจไม่ประสบความสำเร็จ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    iPhone Air มีความบางเพียง 5.5 มม. และใช้ชิป A19 Pro พร้อมหน้าจอ 120Hz
    ไม่มีช่องใส่ซิมการ์ด และไม่มี mmWave 5G — ใช้ eSIM เท่านั้น
    Apple เปิดตัวแบตเสริม MagSafe สำหรับ iPhone Air โดยเฉพาะ
    iPhone 17 Pro ใช้กล้อง 48MP ทุกตัว และมีระบบระบายความร้อนแบบใหม่

    https://morrick.me/archives/10137
    📱 “Apple กับความ ‘ไม่ว้าว’ ที่เพิ่มขึ้น — เมื่อดีไซน์สวยกลบการใช้งาน และ iPhone Air กลายเป็นคำถามมากกว่าคำตอบ” Riccardo Mori นักเขียนสายเทคโนโลยีที่ติดตาม Apple มานาน ได้เขียนบทความวิจารณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า “Awe Dropping” แต่สำหรับเขาแล้ว มันคือ “ความว้าวที่ลดลงเรื่อย ๆ” โดยเฉพาะเมื่อ Apple เปิดตัว iPhone 17, iPhone Air, Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3 พร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 26 ที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่ชื่อ Liquid Glass Mori ตั้งคำถามถึงความจริงใจของ Apple ที่เปิดงานด้วยคำพูดของ Steve Jobs ว่า “Design is how it works” ทั้งที่ดีไซน์ Liquid Glass เน้นความสวยงามมากกว่าการใช้งานจริง และ iPhone Air ก็เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่เน้นความบางจนเสียฟังก์ชัน เช่น ความร้อนสูง, แบตเตอรี่เล็ก, ไม่มีช่องใส่ซิม และต้องพึ่งพาแบตเสริม MagSafe ที่ทำให้ดีไซน์บางหมดความหมาย เขายังวิจารณ์ Apple Watch ว่าเต็มไปด้วยฟีเจอร์ที่มากเกินไป และการนำเสนอเรื่อง “ช่วยชีวิตผู้ใช้” กลายเป็นการตลาดที่ซ้ำซาก ส่วน AirPods ก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่าย สำหรับ iPhone 17 Pro แม้จะมีฟีเจอร์กล้องระดับโปรและดีไซน์ใหม่ แต่ราคาก็สูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ iPhone Air ก็ถูกมองว่าเป็น “การทดลอง” ที่อาจไม่ประสบความสำเร็จ เหมือนกับ iPhone mini ที่เคยถูกยกเลิกไป สุดท้าย Mori สรุปว่า Apple กำลังสูญเสียจุดเด่นที่เคยมี คือการผสานฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์อย่างลงตัว เพราะแม้ฮาร์ดแวร์จะดีขึ้นทุกปี แต่ iOS 26 กลับเต็มไปด้วยปัญหาด้าน UI และการออกแบบที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ Apple เปิดตัว iPhone 17, iPhone Air, Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3 ➡️ iPhone Air เป็นรุ่นที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่มีข้อจำกัดหลายด้าน ➡️ Apple ใช้คำพูดของ Steve Jobs เปิดงาน แต่ดีไซน์ปัจจุบันขัดแย้งกับแนวคิดนั้น ➡️ iOS 26 มาพร้อม Liquid Glass UI ที่เน้นความสวยงามมากกว่าการใช้งาน ✅ การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ ➡️ Apple Watch มีฟีเจอร์มากเกินไป และการนำเสนอเรื่อง “ช่วยชีวิต” กลายเป็นการตลาด ➡️ AirPods ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพราะเปลี่ยนแบตไม่ได้ ➡️ iPhone 17 Pro มีฟีเจอร์กล้องระดับโปร แต่ราคาสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ iPhone Air ถูกมองว่าเป็นการทดลองที่อาจไม่ประสบความสำเร็จ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ iPhone Air มีความบางเพียง 5.5 มม. และใช้ชิป A19 Pro พร้อมหน้าจอ 120Hz ➡️ ไม่มีช่องใส่ซิมการ์ด และไม่มี mmWave 5G — ใช้ eSIM เท่านั้น ➡️ Apple เปิดตัวแบตเสริม MagSafe สำหรับ iPhone Air โดยเฉพาะ ➡️ iPhone 17 Pro ใช้กล้อง 48MP ทุกตัว และมีระบบระบายความร้อนแบบใหม่ https://morrick.me/archives/10137
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ปกป้องเด็กและวัยรุ่นออนไลน์ — ควบคุมง่ายขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น บนทุกอุปกรณ์”

    ในยุคที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วยความเสี่ยงสำหรับเด็กและวัยรุ่น Apple ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น iPadOS, macOS, watchOS, visionOS และ tvOS เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูแลความปลอดภัยของลูกหลานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการตั้งค่า Child Account ที่ง่ายขึ้น ผู้ปกครองสามารถสร้างบัญชีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีได้โดยตรง พร้อมระบบตรวจสอบวันเกิดและการตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีการขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่นอายุ 13–17 ปี เช่น การกรองเนื้อหาเว็บ และฟีเจอร์ Communication Safety ที่จะเบลอภาพไม่เหมาะสมในแอป Messages, FaceTime และ Photos

    Apple ยังเปิดตัว API ใหม่ชื่อ Declared Age Range ที่ให้ผู้ปกครองเลือกแชร์ช่วงอายุของเด็กกับแอปต่าง ๆ แทนการให้วันเกิดจริง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกัน PermissionKit ก็ถูกปรับปรุงให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จักในแอปของ Apple และแอปอื่น ๆ

    App Store ก็ได้รับการปรับปรุง โดยเพิ่มหมวดอายุใหม่ 13+, 16+, และ 18+ พร้อมการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเอง เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าการมองเห็นแอปตามอายุของลูกได้อย่างแม่นยำ

    แม้เทคโนโลยีจะช่วยได้มาก แต่ Apple ก็เน้นย้ำว่า “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง” คือหัวใจของการปกป้องเด็กออนไลน์อย่างแท้จริง — ไม่ใช่แค่การตั้งค่าบนอุปกรณ์ แต่คือการพูดคุย สร้างความไว้ใจ และสอนให้เด็กเข้าใจโลกดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบอื่น ๆ
    ตั้งค่า Child Account ได้ง่ายขึ้น พร้อมตรวจสอบวันเกิดและตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ
    ขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่น 13–17 ปี เช่น การกรองเว็บและเบลอภาพไม่เหมาะสม
    ใช้ Declared Age Range API เพื่อแชร์ช่วงอายุแทนวันเกิดจริง — รักษาความเป็นส่วนตัว
    PermissionKit บังคับให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จัก

    การปรับปรุง App Store และระบบโดยรวม
    เพิ่มหมวดอายุใหม่ใน App Store: 13+, 16+, 18+ เพื่อกรองแอปตามวัย
    เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเองในแอป
    ฟีเจอร์ใหม่ทำงานร่วมกับ Screen Time และ Ask to Buy ได้อย่างแม่นยำ
    รองรับทุกอุปกรณ์ Apple รวมถึง Vision Pro และ Apple TV

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Communication Safety ใช้ AI ตรวจจับภาพเปลือยและเบลออัตโนมัติ — ป้องกันการล่วงละเมิด
    การแชร์ช่วงอายุช่วยให้แอปปรับเนื้อหาได้โดยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนตัว
    ระบบใหม่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็กที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศ
    Apple ยืนยันว่าฟีเจอร์ทั้งหมดออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก

    https://www.slashgear.com/1968944/how-protect-teens-children-online-with-new-apple-features-ios-ipados-watchos-macos-tv/
    🛡️ “Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ปกป้องเด็กและวัยรุ่นออนไลน์ — ควบคุมง่ายขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น บนทุกอุปกรณ์” ในยุคที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วยความเสี่ยงสำหรับเด็กและวัยรุ่น Apple ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น iPadOS, macOS, watchOS, visionOS และ tvOS เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูแลความปลอดภัยของลูกหลานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการตั้งค่า Child Account ที่ง่ายขึ้น ผู้ปกครองสามารถสร้างบัญชีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีได้โดยตรง พร้อมระบบตรวจสอบวันเกิดและการตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีการขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่นอายุ 13–17 ปี เช่น การกรองเนื้อหาเว็บ และฟีเจอร์ Communication Safety ที่จะเบลอภาพไม่เหมาะสมในแอป Messages, FaceTime และ Photos Apple ยังเปิดตัว API ใหม่ชื่อ Declared Age Range ที่ให้ผู้ปกครองเลือกแชร์ช่วงอายุของเด็กกับแอปต่าง ๆ แทนการให้วันเกิดจริง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกัน PermissionKit ก็ถูกปรับปรุงให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จักในแอปของ Apple และแอปอื่น ๆ App Store ก็ได้รับการปรับปรุง โดยเพิ่มหมวดอายุใหม่ 13+, 16+, และ 18+ พร้อมการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเอง เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าการมองเห็นแอปตามอายุของลูกได้อย่างแม่นยำ แม้เทคโนโลยีจะช่วยได้มาก แต่ Apple ก็เน้นย้ำว่า “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง” คือหัวใจของการปกป้องเด็กออนไลน์อย่างแท้จริง — ไม่ใช่แค่การตั้งค่าบนอุปกรณ์ แต่คือการพูดคุย สร้างความไว้ใจ และสอนให้เด็กเข้าใจโลกดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 และระบบอื่น ๆ ➡️ ตั้งค่า Child Account ได้ง่ายขึ้น พร้อมตรวจสอบวันเกิดและตั้งค่าความปลอดภัยอัตโนมัติ ➡️ ขยายการป้องกันไปยังวัยรุ่น 13–17 ปี เช่น การกรองเว็บและเบลอภาพไม่เหมาะสม ➡️ ใช้ Declared Age Range API เพื่อแชร์ช่วงอายุแทนวันเกิดจริง — รักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ PermissionKit บังคับให้เด็กต้องขออนุญาตก่อนติดต่อกับบุคคลที่ไม่รู้จัก ✅ การปรับปรุง App Store และระบบโดยรวม ➡️ เพิ่มหมวดอายุใหม่ใน App Store: 13+, 16+, 18+ เพื่อกรองแอปตามวัย ➡️ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาและเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเองในแอป ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ทำงานร่วมกับ Screen Time และ Ask to Buy ได้อย่างแม่นยำ ➡️ รองรับทุกอุปกรณ์ Apple รวมถึง Vision Pro และ Apple TV ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Communication Safety ใช้ AI ตรวจจับภาพเปลือยและเบลออัตโนมัติ — ป้องกันการล่วงละเมิด ➡️ การแชร์ช่วงอายุช่วยให้แอปปรับเนื้อหาได้โดยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนตัว ➡️ ระบบใหม่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลเด็กที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศ ➡️ Apple ยืนยันว่าฟีเจอร์ทั้งหมดออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก https://www.slashgear.com/1968944/how-protect-teens-children-online-with-new-apple-features-ios-ipados-watchos-macos-tv/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Protecting Your Teens & Kids Online Just Got Much Easier If They Use Apple Devices - SlashGear
    Protecting kids online is something Apple takes seriously, so its newest options in the latest versions of its operating systems are a welcome change.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Mac App Store กลายเป็นตลาดนัดแอปปลอม — เมื่อ AI Chatbot ถูกก็อปจนแยกไม่ออก”

    Jim Nielsen นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สาย UX ได้เปิดเผยประสบการณ์สุดฮา (และน่าห่วง) จากการค้นหาคำว่า “AI chat” ใน Mac App Store ซึ่งกลายเป็นเหมือนการเดินตลาดนัดของปลอม แอปที่ปรากฏมีไอคอนคล้าย ChatGPT เต็มไปหมด ทั้งขาวดำ สีเทา สีเขียว สีม่วง — บางตัวดูเหมือนของจริงจนต้องเพ่งดูถึงจะรู้ว่าไม่ใช่

    ที่น่าตลกคือ แอป ChatGPT ของจริงจาก OpenAI ไม่ได้อยู่ใน Mac App Store ด้วยซ้ำ แต่ต้องดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ของ OpenAI โดยตรง ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปที่ค้นหาใน App Store เจอแต่แอปเลียนแบบที่ใช้ชื่อคล้ายกัน เช่น “AI Chat Bot”, “ChatBot Ask AI”, “AI Chat Assistant”, “ChatGPT Ask Assistant” และอีกหลายสิบชื่อที่สลับคำไปมาอย่างสร้างสรรค์ (หรือวุ่นวาย)

    Jim เปรียบเทียบว่าเหมือนเดินเข้าไปซื้อรองเท้า Nike แล้วเจอ “Mike Jordans” เต็มร้าน — ดูเผิน ๆ เหมือนใช่ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย และบางแอปก็ใช้ชื่อ “Al Chatbot” ที่ดูเหมือน “AI” แต่จริง ๆ คือ “Al” ตัว L เล็ก ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดได้ง่าย

    ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาการควบคุมคุณภาพใน Mac App Store และการใช้กระแส AI เพื่อดึงดูดผู้ใช้โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือความปลอดภัยของแอป ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านข้อมูลและความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม

    ข้อมูลสำคัญจากเนื้อหา
    มีแอปจำนวนมากใน Mac App Store ที่ใช้ไอคอนคล้าย ChatGPT
    แอป ChatGPT ของจริงจาก OpenAI ไม่ได้อยู่ใน Mac App Store แต่ต้องโหลดจากเว็บไซต์
    ชื่อแอปในผลการค้นหามีการสลับคำ “AI”, “Chat”, “Bot” อย่างหลากหลาย
    แอปบางตัวใช้ชื่อ “Al Chatbot” ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็น “AI Chatbot”

    การเปรียบเทียบและข้อสังเกต
    Jim เปรียบเทียบว่าเหมือนตลาดของปลอม — ดูเหมือนของจริงแต่ไม่ใช่
    แอปเลียนแบบใช้ไอคอนและชื่อที่คล้ายเพื่อดึงดูดผู้ใช้
    ปัญหานี้สะท้อนถึงการควบคุมคุณภาพของ Mac App Store
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าแอปของจริงต้องโหลดจากเว็บไซต์ OpenAI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แอป ChatGPT ของจริงมีฟีเจอร์เชื่อมต่อกับแอปอื่นใน macOS เช่น IDE และ Notes
    แอปของจริงรองรับ voice command และการแก้ไขโค้ดใน editor โดยตรง1
    แอปปลอมบางตัวอาจไม่มีฟีเจอร์จริง หรือใช้ API ที่ไม่ปลอดภัย
    Apple เคยถูกวิจารณ์เรื่องการอนุญาตแอปที่เลียนแบบหรือหลอกลวงใน App Store

    https://blog.jim-nielsen.com/2025/mac-app-flea-market/
    🛍️ “Mac App Store กลายเป็นตลาดนัดแอปปลอม — เมื่อ AI Chatbot ถูกก็อปจนแยกไม่ออก” Jim Nielsen นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สาย UX ได้เปิดเผยประสบการณ์สุดฮา (และน่าห่วง) จากการค้นหาคำว่า “AI chat” ใน Mac App Store ซึ่งกลายเป็นเหมือนการเดินตลาดนัดของปลอม แอปที่ปรากฏมีไอคอนคล้าย ChatGPT เต็มไปหมด ทั้งขาวดำ สีเทา สีเขียว สีม่วง — บางตัวดูเหมือนของจริงจนต้องเพ่งดูถึงจะรู้ว่าไม่ใช่ ที่น่าตลกคือ แอป ChatGPT ของจริงจาก OpenAI ไม่ได้อยู่ใน Mac App Store ด้วยซ้ำ แต่ต้องดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ของ OpenAI โดยตรง ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปที่ค้นหาใน App Store เจอแต่แอปเลียนแบบที่ใช้ชื่อคล้ายกัน เช่น “AI Chat Bot”, “ChatBot Ask AI”, “AI Chat Assistant”, “ChatGPT Ask Assistant” และอีกหลายสิบชื่อที่สลับคำไปมาอย่างสร้างสรรค์ (หรือวุ่นวาย) Jim เปรียบเทียบว่าเหมือนเดินเข้าไปซื้อรองเท้า Nike แล้วเจอ “Mike Jordans” เต็มร้าน — ดูเผิน ๆ เหมือนใช่ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย และบางแอปก็ใช้ชื่อ “Al Chatbot” ที่ดูเหมือน “AI” แต่จริง ๆ คือ “Al” ตัว L เล็ก ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดได้ง่าย ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาการควบคุมคุณภาพใน Mac App Store และการใช้กระแส AI เพื่อดึงดูดผู้ใช้โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องหรือความปลอดภัยของแอป ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านข้อมูลและความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม ✅ ข้อมูลสำคัญจากเนื้อหา ➡️ มีแอปจำนวนมากใน Mac App Store ที่ใช้ไอคอนคล้าย ChatGPT ➡️ แอป ChatGPT ของจริงจาก OpenAI ไม่ได้อยู่ใน Mac App Store แต่ต้องโหลดจากเว็บไซต์ ➡️ ชื่อแอปในผลการค้นหามีการสลับคำ “AI”, “Chat”, “Bot” อย่างหลากหลาย ➡️ แอปบางตัวใช้ชื่อ “Al Chatbot” ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็น “AI Chatbot” ✅ การเปรียบเทียบและข้อสังเกต ➡️ Jim เปรียบเทียบว่าเหมือนตลาดของปลอม — ดูเหมือนของจริงแต่ไม่ใช่ ➡️ แอปเลียนแบบใช้ไอคอนและชื่อที่คล้ายเพื่อดึงดูดผู้ใช้ ➡️ ปัญหานี้สะท้อนถึงการควบคุมคุณภาพของ Mac App Store ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าแอปของจริงต้องโหลดจากเว็บไซต์ OpenAI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แอป ChatGPT ของจริงมีฟีเจอร์เชื่อมต่อกับแอปอื่นใน macOS เช่น IDE และ Notes ➡️ แอปของจริงรองรับ voice command และการแก้ไขโค้ดใน editor โดยตรง1 ➡️ แอปปลอมบางตัวอาจไม่มีฟีเจอร์จริง หรือใช้ API ที่ไม่ปลอดภัย ➡️ Apple เคยถูกวิจารณ์เรื่องการอนุญาตแอปที่เลียนแบบหรือหลอกลวงใน App Store https://blog.jim-nielsen.com/2025/mac-app-flea-market/
    BLOG.JIM-NIELSEN.COM
    The Mac App Flea Market
    Writing about the big beautiful mess that is making things for the world wide web.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Siri ถึง Symphony of AI: เมื่ออุปกรณ์รอบตัวกลายเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจยิ่งกว่าสมาร์ตโฟน

    ในขณะที่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่บางลงเพียงเล็กน้อย โลกเทคโนโลยีกำลังมองไปไกลกว่านั้น—ไปยังยุคที่สมาร์ตโฟนอาจกลายเป็นอุปกรณ์รอง เพราะผู้ช่วย AI จะกลายเป็นศูนย์กลางของการคำนวณส่วนบุคคล

    ผู้บริหารจากบริษัทใหญ่ เช่น Meta, Google, Amazon, Qualcomm และ Nothing ต่างเห็นตรงกันว่าอุปกรณ์สวมใส่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเข้ามาแทนที่การใช้งานแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาอัจฉริยะที่เข้าใจสิ่งที่เรามองเห็น, นาฬิกาที่จัดการชีวิตให้เรา, หรือจี้ติดเสื้อที่บันทึกบทสนทนาและให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์

    Meta ได้พัฒนา Ray-Ban Meta ที่มีผู้ช่วย AI ในตัว และเตรียมเปิดตัว Orion แว่นตาที่มีหน้าจอในเฟรม ส่วน Google ก็มีต้นแบบแว่นตาที่ใช้ Gemini เป็นผู้ช่วย AI

    Amazon มองว่า “Ambient Computing” จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ—อุปกรณ์ที่อยู่รอบตัว เช่น ลำโพงและจอภาพ จะทำงานร่วมกับ AI เพื่อให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

    Carl Pei จาก Nothing เชื่อว่า “นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่” จะกลายเป็นศูนย์กลางของ AI ที่รู้จักพฤติกรรมของผู้ใช้และจัดการชีวิตให้โดยอัตโนมัติ

    Limitless AI พัฒนา “AI Pendant” ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้เราจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และแม้แต่ช่วยให้เป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้น โดยอิงจากบทสนทนาในชีวิตจริง

    แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากสมาร์ตโฟน
    ผู้ช่วย AI จะกลายเป็นระบบปฏิบัติการหลักของอุปกรณ์ส่วนบุคคล
    การใช้งานแอปและเมนูจะถูกแทนที่ด้วยการสั่งงานผ่านเสียงและบริบท

    อุปกรณ์ใหม่ที่กำลังมาแทนสมาร์ตโฟน
    แว่นตาอัจฉริยะ: Ray-Ban Meta, Orion, Google Gemini Glasses
    Ambient Computing: ลำโพงและจอภาพที่ทำงานร่วมกับ AI เช่น Alexa+
    นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่: จัดการชีวิตและงานโดยอัตโนมัติ
    AI Recorder: Limitless Pendant ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำ

    เทคโนโลยีเบื้องหลัง
    LongCat และ Gemini: โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนผู้ช่วย AI
    Mixture-of-Experts (MoE): เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็นเพื่อประหยัดพลังงาน
    การเชื่อมโยงอุปกรณ์หลายชิ้นเป็น “Symphony of AI” ที่ทำงานร่วมกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/13/ai-could-make-the-smartphone-passe-what-comes-next
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Siri ถึง Symphony of AI: เมื่ออุปกรณ์รอบตัวกลายเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจยิ่งกว่าสมาร์ตโฟน ในขณะที่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่บางลงเพียงเล็กน้อย โลกเทคโนโลยีกำลังมองไปไกลกว่านั้น—ไปยังยุคที่สมาร์ตโฟนอาจกลายเป็นอุปกรณ์รอง เพราะผู้ช่วย AI จะกลายเป็นศูนย์กลางของการคำนวณส่วนบุคคล ผู้บริหารจากบริษัทใหญ่ เช่น Meta, Google, Amazon, Qualcomm และ Nothing ต่างเห็นตรงกันว่าอุปกรณ์สวมใส่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเข้ามาแทนที่การใช้งานแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาอัจฉริยะที่เข้าใจสิ่งที่เรามองเห็น, นาฬิกาที่จัดการชีวิตให้เรา, หรือจี้ติดเสื้อที่บันทึกบทสนทนาและให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ Meta ได้พัฒนา Ray-Ban Meta ที่มีผู้ช่วย AI ในตัว และเตรียมเปิดตัว Orion แว่นตาที่มีหน้าจอในเฟรม ส่วน Google ก็มีต้นแบบแว่นตาที่ใช้ Gemini เป็นผู้ช่วย AI Amazon มองว่า “Ambient Computing” จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ—อุปกรณ์ที่อยู่รอบตัว เช่น ลำโพงและจอภาพ จะทำงานร่วมกับ AI เพื่อให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา Carl Pei จาก Nothing เชื่อว่า “นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่” จะกลายเป็นศูนย์กลางของ AI ที่รู้จักพฤติกรรมของผู้ใช้และจัดการชีวิตให้โดยอัตโนมัติ Limitless AI พัฒนา “AI Pendant” ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้เราจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และแม้แต่ช่วยให้เป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้น โดยอิงจากบทสนทนาในชีวิตจริง ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากสมาร์ตโฟน ➡️ ผู้ช่วย AI จะกลายเป็นระบบปฏิบัติการหลักของอุปกรณ์ส่วนบุคคล ➡️ การใช้งานแอปและเมนูจะถูกแทนที่ด้วยการสั่งงานผ่านเสียงและบริบท ✅ อุปกรณ์ใหม่ที่กำลังมาแทนสมาร์ตโฟน ➡️ แว่นตาอัจฉริยะ: Ray-Ban Meta, Orion, Google Gemini Glasses ➡️ Ambient Computing: ลำโพงและจอภาพที่ทำงานร่วมกับ AI เช่น Alexa+ ➡️ นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่: จัดการชีวิตและงานโดยอัตโนมัติ ➡️ AI Recorder: Limitless Pendant ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำ ✅ เทคโนโลยีเบื้องหลัง ➡️ LongCat และ Gemini: โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนผู้ช่วย AI ➡️ Mixture-of-Experts (MoE): เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็นเพื่อประหยัดพลังงาน ➡️ การเชื่อมโยงอุปกรณ์หลายชิ้นเป็น “Symphony of AI” ที่ทำงานร่วมกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/13/ai-could-make-the-smartphone-passe-what-comes-next
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI could make the smartphone passe. What comes next?
    Modern artificially intelligent assistants, which are far more capable and flexible than clunky voice helpers like Siri, are poised to become the central operating system of all our personal computing devices, superseding smartphone software in importance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Mint 22.2 ถึง LMDE 7: เมื่อ Debian กลายเป็นฐานใหม่ของ Linux Mint ที่ไม่ใช่แค่สำรอง แต่พร้อมใช้งานจริง

    หลังจากปล่อย Linux Mint 22.2 “Zara” ไปเมื่อต้นเดือนกันยายน ทีมพัฒนา Linux Mint ก็หันมาโฟกัสกับ LMDE 7 (Linux Mint Debian Edition) ซึ่งจะใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานหลัก โดยมีโค้ดเนมว่า “Gigi” และจะเปิดให้ทดสอบเวอร์ชันเบต้าในเดือนกันยายนนี้

    LMDE 7 จะนำฟีเจอร์ทั้งหมดจาก Mint 22.2 มาใช้ เช่น เมนูแอปใหม่ใน Cinnamon, applet สถานะใหม่, และการรองรับ Wayland สำหรับการจัดการคีย์บอร์ดและ input method ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสำหรับการรองรับภาษาเอเชียและระบบที่ไม่ใช้ X11

    ที่สำคัญคือ LMDE 7 จะรองรับการติดตั้งแบบ OEM อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายความว่าผู้ผลิตคอมพิวเตอร์สามารถติดตั้ง Linux Mint ล่วงหน้าในเครื่องที่ขายได้ทันที—เป็นฟีเจอร์ที่เคยมีเฉพาะใน Mint รุ่นหลักที่ใช้ Ubuntu เท่านั้น

    แม้ LMDE 7 จะใช้ Linux Kernel 6.12 LTS จาก Debian แทนที่จะเป็น Kernel 6.14 ที่ใช้ใน Mint 22.2 แต่ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่เสถียรและรองรับระยะยาว

    นอกจากนี้ ทีมพัฒนายังปรับ libadwaita จากเวอร์ชัน 1.5 ไปเป็น 1.7 พร้อมแพตช์ที่จำเป็นเพื่อให้ Cinnamon ทำงานได้อย่างราบรื่นบนฐาน Debian

    ในขณะเดียวกัน Linux Mint 22.3 ซึ่งจะใช้ Ubuntu 24.04 LTS “Noble Numbat” เป็นฐาน ก็ถูกวางแผนไว้ว่าจะเปิดตัวในเดือนธันวาคม 2025 โดยจะมาพร้อมเมนูแอปใหม่, applet สถานะใหม่ และการปรับปรุง Wayland เพิ่มเติม

    LMDE 7 บนฐาน Debian 13 “Trixie”
    ใช้โค้ดเนม “Gigi” และเปิดเบต้าในเดือนกันยายน 2025
    นำฟีเจอร์จาก Mint 22.2 มาใช้เต็มรูปแบบ
    ใช้ Linux Kernel 6.12 LTS จาก Debian แทน Kernel 6.14

    ฟีเจอร์ใหม่ที่รวมเข้ามา
    เมนูแอปใหม่ใน Cinnamon และ applet สถานะใหม่
    รองรับ Wayland สำหรับคีย์บอร์ดและ input method
    ปรับ libadwaita จากเวอร์ชัน 1.5 เป็น 1.7 พร้อมแพตช์

    การรองรับ OEM installation
    ผู้ผลิตสามารถติดตั้ง LMDE 7 ล่วงหน้าในเครื่องที่ขาย
    ฟีเจอร์นี้เคยมีเฉพาะใน Mint รุ่นหลักที่ใช้ Ubuntu
    ช่วยให้ Linux Mint เข้าถึงตลาดฮาร์ดแวร์ได้มากขึ้น

    แผนการเปิดตัว Mint 22.3
    ใช้ Ubuntu 24.04 LTS “Noble Numbat” เป็นฐาน
    วางแผนเปิดตัวในเดือนธันวาคม 2025
    มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่พัฒนามาตั้งแต่ต้นปี

    https://9to5linux.com/lmde-7-will-be-based-on-debian-13-linux-mint-22-3-planned-for-december
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Mint 22.2 ถึง LMDE 7: เมื่อ Debian กลายเป็นฐานใหม่ของ Linux Mint ที่ไม่ใช่แค่สำรอง แต่พร้อมใช้งานจริง หลังจากปล่อย Linux Mint 22.2 “Zara” ไปเมื่อต้นเดือนกันยายน ทีมพัฒนา Linux Mint ก็หันมาโฟกัสกับ LMDE 7 (Linux Mint Debian Edition) ซึ่งจะใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานหลัก โดยมีโค้ดเนมว่า “Gigi” และจะเปิดให้ทดสอบเวอร์ชันเบต้าในเดือนกันยายนนี้ LMDE 7 จะนำฟีเจอร์ทั้งหมดจาก Mint 22.2 มาใช้ เช่น เมนูแอปใหม่ใน Cinnamon, applet สถานะใหม่, และการรองรับ Wayland สำหรับการจัดการคีย์บอร์ดและ input method ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสำหรับการรองรับภาษาเอเชียและระบบที่ไม่ใช้ X11 ที่สำคัญคือ LMDE 7 จะรองรับการติดตั้งแบบ OEM อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายความว่าผู้ผลิตคอมพิวเตอร์สามารถติดตั้ง Linux Mint ล่วงหน้าในเครื่องที่ขายได้ทันที—เป็นฟีเจอร์ที่เคยมีเฉพาะใน Mint รุ่นหลักที่ใช้ Ubuntu เท่านั้น แม้ LMDE 7 จะใช้ Linux Kernel 6.12 LTS จาก Debian แทนที่จะเป็น Kernel 6.14 ที่ใช้ใน Mint 22.2 แต่ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่เสถียรและรองรับระยะยาว นอกจากนี้ ทีมพัฒนายังปรับ libadwaita จากเวอร์ชัน 1.5 ไปเป็น 1.7 พร้อมแพตช์ที่จำเป็นเพื่อให้ Cinnamon ทำงานได้อย่างราบรื่นบนฐาน Debian ในขณะเดียวกัน Linux Mint 22.3 ซึ่งจะใช้ Ubuntu 24.04 LTS “Noble Numbat” เป็นฐาน ก็ถูกวางแผนไว้ว่าจะเปิดตัวในเดือนธันวาคม 2025 โดยจะมาพร้อมเมนูแอปใหม่, applet สถานะใหม่ และการปรับปรุง Wayland เพิ่มเติม ✅ LMDE 7 บนฐาน Debian 13 “Trixie” ➡️ ใช้โค้ดเนม “Gigi” และเปิดเบต้าในเดือนกันยายน 2025 ➡️ นำฟีเจอร์จาก Mint 22.2 มาใช้เต็มรูปแบบ ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.12 LTS จาก Debian แทน Kernel 6.14 ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่รวมเข้ามา ➡️ เมนูแอปใหม่ใน Cinnamon และ applet สถานะใหม่ ➡️ รองรับ Wayland สำหรับคีย์บอร์ดและ input method ➡️ ปรับ libadwaita จากเวอร์ชัน 1.5 เป็น 1.7 พร้อมแพตช์ ✅ การรองรับ OEM installation ➡️ ผู้ผลิตสามารถติดตั้ง LMDE 7 ล่วงหน้าในเครื่องที่ขาย ➡️ ฟีเจอร์นี้เคยมีเฉพาะใน Mint รุ่นหลักที่ใช้ Ubuntu ➡️ ช่วยให้ Linux Mint เข้าถึงตลาดฮาร์ดแวร์ได้มากขึ้น ✅ แผนการเปิดตัว Mint 22.3 ➡️ ใช้ Ubuntu 24.04 LTS “Noble Numbat” เป็นฐาน ➡️ วางแผนเปิดตัวในเดือนธันวาคม 2025 ➡️ มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่พัฒนามาตั้งแต่ต้นปี https://9to5linux.com/lmde-7-will-be-based-on-debian-13-linux-mint-22-3-planned-for-december
    9TO5LINUX.COM
    LMDE 7 Will Be Based on Debian 13 "Trixie", Linux Mint 22.3 Planned for December - 9to5Linux
    LMDE 7 will be available for public beta testing this September based on Debian 13 "Trixie", while Linux Mint 22.3 is planned for December.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก AirPods Pro 3 ถึง GDPR: เมื่อฟีเจอร์แปลภาษาถูกกฎหมายยุโรปขวางไว้ก่อนเปิดใช้งาน

    Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Live Translation” สำหรับ AirPods Pro 3 และรุ่นเก่าบางรุ่น เช่น AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี Active Noise Cancellation โดยฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสนทนาแบบข้ามภาษาได้ทันทีผ่านหูฟัง โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแปลเอง

    เมื่อผู้ใช้พูดผ่าน AirPods ระบบจะประมวลผลเสียงและแสดงคำแปลแบบเรียลไทม์บนหน้าจอ iPhone หรือส่งเสียงแปลกลับผ่านหูฟังอีกข้าง หากทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ ฟีเจอร์จะทำงานได้เต็มรูปแบบ พร้อมลดเสียงรบกวนจากคู่สนทนาเพื่อให้ผู้ใช้โฟกัสกับเสียงแปลได้ชัดเจน

    แต่สิ่งที่ทำให้ชุมชนผู้ใช้ในยุโรปต้องสะดุดคือ Apple ประกาศว่า Live Translation จะ “ไม่สามารถใช้งานได้” หากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU จริง ๆ โดยไม่มีการให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ

    นักวิเคราะห์คาดว่าเหตุผลหลักมาจากกฎหมายของ EU เช่น GDPR และ AI Act ที่กำหนดให้บริการแปลภาษาต้องมีการจัดการข้อมูลเสียง, ความยินยอม, การไหลของข้อมูล และสิทธิของผู้ใช้อย่างเข้มงวด ซึ่ง Apple อาจยังไม่พร้อมเปิดเผยรายละเอียดการทำงานของระบบ AI ที่อยู่เบื้องหลังฟีเจอร์นี้

    นอกจากนี้ Apple ยังเคยถูกปรับจาก EU หลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทอาจเลือก “บล็อกฟีเจอร์ไว้ก่อน” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านกฎหมายและการถูกปรับซ้ำ

    ฟีเจอร์ Live Translation บน AirPods
    รองรับ AirPods Pro 3, AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี ANC
    แปลภาษาแบบเรียลไทม์ผ่านเสียงและข้อความบน iPhone
    ใช้งานเต็มรูปแบบเมื่อทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ

    เงื่อนไขการใช้งาน
    ต้องใช้ iPhone ที่รองรับ Apple Intelligence และ iOS 26 ขึ้นไป
    ต้องอัปเดต firmware ของ AirPods ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    รองรับภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, โปรตุเกส (บราซิล), และสเปน
    จะเพิ่มภาษาอิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี และจีนในภายหลัง

    ข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ใน EU
    ฟีเจอร์จะถูกบล็อกหากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU
    Apple ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเป็นผลจากกฎหมาย GDPR และ AI Act
    ยังไม่มีกำหนดว่าจะปลดล็อกฟีเจอร์เมื่อใด

    https://www.macrumors.com/2025/09/11/airpods-live-translation-eu-restricted/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก AirPods Pro 3 ถึง GDPR: เมื่อฟีเจอร์แปลภาษาถูกกฎหมายยุโรปขวางไว้ก่อนเปิดใช้งาน Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Live Translation” สำหรับ AirPods Pro 3 และรุ่นเก่าบางรุ่น เช่น AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี Active Noise Cancellation โดยฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสนทนาแบบข้ามภาษาได้ทันทีผ่านหูฟัง โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแปลเอง เมื่อผู้ใช้พูดผ่าน AirPods ระบบจะประมวลผลเสียงและแสดงคำแปลแบบเรียลไทม์บนหน้าจอ iPhone หรือส่งเสียงแปลกลับผ่านหูฟังอีกข้าง หากทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ ฟีเจอร์จะทำงานได้เต็มรูปแบบ พร้อมลดเสียงรบกวนจากคู่สนทนาเพื่อให้ผู้ใช้โฟกัสกับเสียงแปลได้ชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้ชุมชนผู้ใช้ในยุโรปต้องสะดุดคือ Apple ประกาศว่า Live Translation จะ “ไม่สามารถใช้งานได้” หากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU จริง ๆ โดยไม่มีการให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ นักวิเคราะห์คาดว่าเหตุผลหลักมาจากกฎหมายของ EU เช่น GDPR และ AI Act ที่กำหนดให้บริการแปลภาษาต้องมีการจัดการข้อมูลเสียง, ความยินยอม, การไหลของข้อมูล และสิทธิของผู้ใช้อย่างเข้มงวด ซึ่ง Apple อาจยังไม่พร้อมเปิดเผยรายละเอียดการทำงานของระบบ AI ที่อยู่เบื้องหลังฟีเจอร์นี้ นอกจากนี้ Apple ยังเคยถูกปรับจาก EU หลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทอาจเลือก “บล็อกฟีเจอร์ไว้ก่อน” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านกฎหมายและการถูกปรับซ้ำ ✅ ฟีเจอร์ Live Translation บน AirPods ➡️ รองรับ AirPods Pro 3, AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี ANC ➡️ แปลภาษาแบบเรียลไทม์ผ่านเสียงและข้อความบน iPhone ➡️ ใช้งานเต็มรูปแบบเมื่อทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ ✅ เงื่อนไขการใช้งาน ➡️ ต้องใช้ iPhone ที่รองรับ Apple Intelligence และ iOS 26 ขึ้นไป ➡️ ต้องอัปเดต firmware ของ AirPods ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ➡️ รองรับภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, โปรตุเกส (บราซิล), และสเปน ➡️ จะเพิ่มภาษาอิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี และจีนในภายหลัง ✅ ข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ใน EU ➡️ ฟีเจอร์จะถูกบล็อกหากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU ➡️ Apple ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเป็นผลจากกฎหมาย GDPR และ AI Act ➡️ ยังไม่มีกำหนดว่าจะปลดล็อกฟีเจอร์เมื่อใด https://www.macrumors.com/2025/09/11/airpods-live-translation-eu-restricted/
    WWW.MACRUMORS.COM
    AirPods Live Translation Blocked for EU Users With EU Apple Accounts
    Apple's new Live Translation feature for AirPods will be off-limits to millions of European users when it arrives next week, with strict EU...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple A19 Pro แรงทะลุเดสก์ท็อป — ชิป iPhone 17 Pro ใหม่ แซง Ryzen 9 ในการทดสอบแบบแกนเดียว”

    Apple ยังคงเดินหน้าสร้างความประหลาดใจในวงการชิปสมาร์ตโฟน ล่าสุดกับการเปิดตัว A19 Pro สำหรับ iPhone 17 Pro และ Pro Max ที่ไม่เพียงแค่แรงกว่า A18 Pro รุ่นก่อนหน้า แต่ยังสามารถเอาชนะชิปเดสก์ท็อประดับสูงอย่าง AMD Ryzen 9 9950X ได้ในการทดสอบแบบ single-thread บน Geekbench 6

    A19 Pro ใช้สถาปัตยกรรมแบบ 2P+4E (2 แกนประสิทธิภาพ + 4 แกนประหยัดพลังงาน) ความเร็วสูงสุด 4.26 GHz พร้อมปรับปรุง branch prediction และเพิ่ม front-end bandwidth ทำให้ประสิทธิภาพต่อรอบคำสั่งดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยคะแนน single-thread อยู่ที่ 3,895 ซึ่งสูงกว่า Ryzen 9 9950X ถึง 11.8% และสูงกว่า Apple M4 ถึง 5.3%

    ด้านกราฟิก A19 Pro ก็ไม่น้อยหน้า ด้วย GPU แบบ 6-cluster ที่ทำคะแนนได้ถึง 45,657 บน Geekbench Metal — เพิ่มขึ้นจาก A18 Pro ถึง 37% และใกล้เคียงกับ GPU ใน iPad Air รุ่น M2/M3 รวมถึง Radeon 890M ของ AMD

    แม้คะแนน multi-thread จะยังตามหลังชิปเดสก์ท็อปอย่าง Ryzen และ Core i9 แต่ก็ถือว่าแรงขึ้นจากรุ่นก่อนถึง 12% และเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปบนมือถือ โดย Apple ยังใช้เทคโนโลยีการผลิต N3P จาก TSMC ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์และลดการใช้พลังงานได้ถึง 10%

    ประสิทธิภาพของ A19 Pro
    คะแนน single-thread Geekbench 6 สูงถึง 3,895 — แซง Ryzen 9 9950X และ Apple M4
    คะแนน multi-thread อยู่ที่ 9,746 — เพิ่มขึ้น 12% จาก A18 Pro
    ใช้สถาปัตยกรรม 2P+4E ความเร็วสูงสุด 4.26 GHz พร้อม cache ใหญ่ขึ้น 50%
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P จาก TSMC — เพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน

    ประสิทธิภาพด้านกราฟิก
    GPU แบบ 6-cluster ทำคะแนน Metal ได้ 45,657 — เพิ่มขึ้น 37% จากรุ่นก่อน
    ความเร็วในการประมวลผลภาพ เช่น Gaussian Blur สูงถึง 3.53 Gpixels/sec
    ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ iPad Air รุ่น M2/M3 และ Radeon 890M
    รองรับงานหนัก เช่น depth-of-field, face detection, particle physics ได้ดี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    A19 Pro ถูกใช้ใน iPhone 17 Pro และ Pro Max พร้อม vapor chamber cooling
    Apple เน้นการเพิ่ม IPC มากกว่าการเร่งความถี่สูงสุด
    ชิปนี้ยังไม่สามารถแซง Ryzen 9 หรือ Core i9 ในงาน multi-thread ได้
    เหมาะกับงานที่เน้นประสิทธิภาพต่อแกน เช่น เกม, AI inference, การตัดต่อ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    คะแนน Geekbench ยังไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริงในทุกแอปพลิเคชัน
    A19 Pro ยังตามหลัง Ryzen 9 และ Core i9 ในงาน multi-thread อย่างชัดเจน
    Apple ไม่เปิดเผยรายละเอียด GPU อย่างเป็นทางการ — ข้อมูลยังไม่สมบูรณ์
    การเพิ่มประสิทธิภาพจากรุ่นก่อนหน้าอยู่ที่ 11–12% ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อน
    การเปรียบเทียบกับชิปเดสก์ท็อปต้องพิจารณบริบทการใช้งานที่ต่างกัน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/apples-a19-pro-beats-ryzen-9-9950x-in-single-thread-geekbench-tests-iphone-17-pro-chip-packs-11-12-percent-cpu-performance-bump-gpu-performance-up-37-percent-over-predecessor
    🚀 “Apple A19 Pro แรงทะลุเดสก์ท็อป — ชิป iPhone 17 Pro ใหม่ แซง Ryzen 9 ในการทดสอบแบบแกนเดียว” Apple ยังคงเดินหน้าสร้างความประหลาดใจในวงการชิปสมาร์ตโฟน ล่าสุดกับการเปิดตัว A19 Pro สำหรับ iPhone 17 Pro และ Pro Max ที่ไม่เพียงแค่แรงกว่า A18 Pro รุ่นก่อนหน้า แต่ยังสามารถเอาชนะชิปเดสก์ท็อประดับสูงอย่าง AMD Ryzen 9 9950X ได้ในการทดสอบแบบ single-thread บน Geekbench 6 A19 Pro ใช้สถาปัตยกรรมแบบ 2P+4E (2 แกนประสิทธิภาพ + 4 แกนประหยัดพลังงาน) ความเร็วสูงสุด 4.26 GHz พร้อมปรับปรุง branch prediction และเพิ่ม front-end bandwidth ทำให้ประสิทธิภาพต่อรอบคำสั่งดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยคะแนน single-thread อยู่ที่ 3,895 ซึ่งสูงกว่า Ryzen 9 9950X ถึง 11.8% และสูงกว่า Apple M4 ถึง 5.3% ด้านกราฟิก A19 Pro ก็ไม่น้อยหน้า ด้วย GPU แบบ 6-cluster ที่ทำคะแนนได้ถึง 45,657 บน Geekbench Metal — เพิ่มขึ้นจาก A18 Pro ถึง 37% และใกล้เคียงกับ GPU ใน iPad Air รุ่น M2/M3 รวมถึง Radeon 890M ของ AMD แม้คะแนน multi-thread จะยังตามหลังชิปเดสก์ท็อปอย่าง Ryzen และ Core i9 แต่ก็ถือว่าแรงขึ้นจากรุ่นก่อนถึง 12% และเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปบนมือถือ โดย Apple ยังใช้เทคโนโลยีการผลิต N3P จาก TSMC ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์และลดการใช้พลังงานได้ถึง 10% ✅ ประสิทธิภาพของ A19 Pro ➡️ คะแนน single-thread Geekbench 6 สูงถึง 3,895 — แซง Ryzen 9 9950X และ Apple M4 ➡️ คะแนน multi-thread อยู่ที่ 9,746 — เพิ่มขึ้น 12% จาก A18 Pro ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม 2P+4E ความเร็วสูงสุด 4.26 GHz พร้อม cache ใหญ่ขึ้น 50% ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี N3P จาก TSMC — เพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน ✅ ประสิทธิภาพด้านกราฟิก ➡️ GPU แบบ 6-cluster ทำคะแนน Metal ได้ 45,657 — เพิ่มขึ้น 37% จากรุ่นก่อน ➡️ ความเร็วในการประมวลผลภาพ เช่น Gaussian Blur สูงถึง 3.53 Gpixels/sec ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ iPad Air รุ่น M2/M3 และ Radeon 890M ➡️ รองรับงานหนัก เช่น depth-of-field, face detection, particle physics ได้ดี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ A19 Pro ถูกใช้ใน iPhone 17 Pro และ Pro Max พร้อม vapor chamber cooling ➡️ Apple เน้นการเพิ่ม IPC มากกว่าการเร่งความถี่สูงสุด ➡️ ชิปนี้ยังไม่สามารถแซง Ryzen 9 หรือ Core i9 ในงาน multi-thread ได้ ➡️ เหมาะกับงานที่เน้นประสิทธิภาพต่อแกน เช่น เกม, AI inference, การตัดต่อ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ คะแนน Geekbench ยังไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริงในทุกแอปพลิเคชัน ⛔ A19 Pro ยังตามหลัง Ryzen 9 และ Core i9 ในงาน multi-thread อย่างชัดเจน ⛔ Apple ไม่เปิดเผยรายละเอียด GPU อย่างเป็นทางการ — ข้อมูลยังไม่สมบูรณ์ ⛔ การเพิ่มประสิทธิภาพจากรุ่นก่อนหน้าอยู่ที่ 11–12% ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อน ⛔ การเปรียบเทียบกับชิปเดสก์ท็อปต้องพิจารณบริบทการใช้งานที่ต่างกัน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/apples-a19-pro-beats-ryzen-9-9950x-in-single-thread-geekbench-tests-iphone-17-pro-chip-packs-11-12-percent-cpu-performance-bump-gpu-performance-up-37-percent-over-predecessor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ChillyHell กลับมาหลอน macOS อีกครั้ง — มัลแวร์ผ่านการรับรองจาก Apple แอบใช้ Google.com บังหน้า”

    มัลแวร์ macOS ที่เคยเงียบหายไปอย่าง ChillyHell กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมความสามารถที่ซับซ้อนและแนบเนียนกว่าเดิม โดยนักวิจัยจาก Jamf Threat Labs พบตัวอย่างใหม่ที่ถูกอัปโหลดขึ้น VirusTotal เมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งน่าตกใจคือมันมีคะแนนตรวจจับเป็น “ศูนย์” และยังผ่านกระบวนการ notarization ของ Apple อย่างถูกต้อง ทำให้สามารถรันบน macOS ได้โดยไม่ถูกเตือนจาก Gatekeeper

    ChillyHell เป็นมัลแวร์แบบ backdoor ที่มีโครงสร้างแบบ modular เขียนด้วย C++ สำหรับเครื่อง Intel-based Mac โดยสามารถติดตั้งตัวเองแบบถาวรผ่าน 3 วิธี ได้แก่ LaunchAgent, LaunchDaemon และ shell profile injection เช่น .zshrc หรือ .bash_profile เพื่อให้เริ่มทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่องหรือเปิดเทอร์มินัลใหม่

    เมื่อทำงานแล้ว มัลแวร์จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน DNS หรือ HTTP โดยใช้ IP ที่ถูก hardcoded ไว้ และสามารถรับคำสั่งจากผู้โจมตี เช่น เปิด reverse shell, ดาวน์โหลด payload ใหม่, อัปเดตตัวเอง หรือแม้แต่ใช้ brute-force เพื่อเจาะรหัสผ่านของผู้ใช้ โดยมีโมดูลเฉพาะสำหรับการโจมตี Kerberos authentication

    เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ChillyHell ใช้เทคนิค timestomping เพื่อเปลี่ยนวันที่ของไฟล์ให้ดูเก่า และเปิดหน้า Google.com ในเบราว์เซอร์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ใช้ ทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น

    แม้ Apple จะรีบเพิกถอนใบรับรองนักพัฒนาที่เกี่ยวข้องทันทีหลังได้รับรายงานจาก Jamf แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงช่องโหว่สำคัญในระบบความปลอดภัยของ macOS ที่ไม่สามารถป้องกันมัลแวร์ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการได้

    รายละเอียดของมัลแวร์ ChillyHell
    เป็น backdoor แบบ modular เขียนด้วย C++ สำหรับ Intel-based Macs
    ผ่านการ notarization ของ Apple ตั้งแต่ปี 2021 โดยไม่มีการตรวจพบ
    ถูกอัปโหลดขึ้น VirusTotal ในปี 2025 โดยมีคะแนนตรวจจับเป็นศูนย์
    ถูกพบว่าเคยถูกโฮสต์บน Dropbox แบบสาธารณะตั้งแต่ปี 2021

    วิธีการติดตั้งและการทำงาน
    ติดตั้งตัวเองแบบถาวรผ่าน LaunchAgent, LaunchDaemon และ shell profile injection
    เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน DNS และ HTTP ด้วย IP ที่ถูก hardcoded
    ใช้โมดูลต่าง ๆ เช่น reverse shell, payload loader, updater และ brute-force password cracker
    ใช้เทคนิค timestomping เพื่อเปลี่ยนวันที่ไฟล์ให้ดูเก่าและหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    กลยุทธ์ในการหลบซ่อน
    เปิดหน้า Google.com ในเบราว์เซอร์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ใช้
    ปรับพฤติกรรมการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ shell command เช่น touch -c -a -t เพื่อเปลี่ยน timestamp หากไม่มีสิทธิ์ระบบ
    ทำงานแบบเงียบ ๆ โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือพฤติกรรมผิดปกติที่ชัดเจน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ChillyHell เคยถูกเชื่อมโยงกับกลุ่ม UNC4487 ที่โจมตีเว็บไซต์ในยูเครน
    มัลแวร์นี้มีความสามารถคล้าย RAT (Remote Access Trojan) แต่ซับซ้อนกว่า
    Modular backdoor ที่มี brute-force capability ถือว่าแปลกใหม่ใน macOS
    Jamf และ Apple ร่วมมือกันเพิกถอนใบรับรองนักพัฒนาที่เกี่ยวข้องทันที

    https://hackread.com/chillyhell-macos-malware-resurfaces-google-com-decoy/
    🧨 “ChillyHell กลับมาหลอน macOS อีกครั้ง — มัลแวร์ผ่านการรับรองจาก Apple แอบใช้ Google.com บังหน้า” มัลแวร์ macOS ที่เคยเงียบหายไปอย่าง ChillyHell กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมความสามารถที่ซับซ้อนและแนบเนียนกว่าเดิม โดยนักวิจัยจาก Jamf Threat Labs พบตัวอย่างใหม่ที่ถูกอัปโหลดขึ้น VirusTotal เมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งน่าตกใจคือมันมีคะแนนตรวจจับเป็น “ศูนย์” และยังผ่านกระบวนการ notarization ของ Apple อย่างถูกต้อง ทำให้สามารถรันบน macOS ได้โดยไม่ถูกเตือนจาก Gatekeeper ChillyHell เป็นมัลแวร์แบบ backdoor ที่มีโครงสร้างแบบ modular เขียนด้วย C++ สำหรับเครื่อง Intel-based Mac โดยสามารถติดตั้งตัวเองแบบถาวรผ่าน 3 วิธี ได้แก่ LaunchAgent, LaunchDaemon และ shell profile injection เช่น .zshrc หรือ .bash_profile เพื่อให้เริ่มทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่องหรือเปิดเทอร์มินัลใหม่ เมื่อทำงานแล้ว มัลแวร์จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน DNS หรือ HTTP โดยใช้ IP ที่ถูก hardcoded ไว้ และสามารถรับคำสั่งจากผู้โจมตี เช่น เปิด reverse shell, ดาวน์โหลด payload ใหม่, อัปเดตตัวเอง หรือแม้แต่ใช้ brute-force เพื่อเจาะรหัสผ่านของผู้ใช้ โดยมีโมดูลเฉพาะสำหรับการโจมตี Kerberos authentication เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ChillyHell ใช้เทคนิค timestomping เพื่อเปลี่ยนวันที่ของไฟล์ให้ดูเก่า และเปิดหน้า Google.com ในเบราว์เซอร์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ใช้ ทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แม้ Apple จะรีบเพิกถอนใบรับรองนักพัฒนาที่เกี่ยวข้องทันทีหลังได้รับรายงานจาก Jamf แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงช่องโหว่สำคัญในระบบความปลอดภัยของ macOS ที่ไม่สามารถป้องกันมัลแวร์ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการได้ ✅ รายละเอียดของมัลแวร์ ChillyHell ➡️ เป็น backdoor แบบ modular เขียนด้วย C++ สำหรับ Intel-based Macs ➡️ ผ่านการ notarization ของ Apple ตั้งแต่ปี 2021 โดยไม่มีการตรวจพบ ➡️ ถูกอัปโหลดขึ้น VirusTotal ในปี 2025 โดยมีคะแนนตรวจจับเป็นศูนย์ ➡️ ถูกพบว่าเคยถูกโฮสต์บน Dropbox แบบสาธารณะตั้งแต่ปี 2021 ✅ วิธีการติดตั้งและการทำงาน ➡️ ติดตั้งตัวเองแบบถาวรผ่าน LaunchAgent, LaunchDaemon และ shell profile injection ➡️ เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน DNS และ HTTP ด้วย IP ที่ถูก hardcoded ➡️ ใช้โมดูลต่าง ๆ เช่น reverse shell, payload loader, updater และ brute-force password cracker ➡️ ใช้เทคนิค timestomping เพื่อเปลี่ยนวันที่ไฟล์ให้ดูเก่าและหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ✅ กลยุทธ์ในการหลบซ่อน ➡️ เปิดหน้า Google.com ในเบราว์เซอร์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ใช้ ➡️ ปรับพฤติกรรมการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ shell command เช่น touch -c -a -t เพื่อเปลี่ยน timestamp หากไม่มีสิทธิ์ระบบ ➡️ ทำงานแบบเงียบ ๆ โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือพฤติกรรมผิดปกติที่ชัดเจน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ChillyHell เคยถูกเชื่อมโยงกับกลุ่ม UNC4487 ที่โจมตีเว็บไซต์ในยูเครน ➡️ มัลแวร์นี้มีความสามารถคล้าย RAT (Remote Access Trojan) แต่ซับซ้อนกว่า ➡️ Modular backdoor ที่มี brute-force capability ถือว่าแปลกใหม่ใน macOS ➡️ Jamf และ Apple ร่วมมือกันเพิกถอนใบรับรองนักพัฒนาที่เกี่ยวข้องทันที https://hackread.com/chillyhell-macos-malware-resurfaces-google-com-decoy/
    HACKREAD.COM
    ChillyHell macOS Malware Resurfaces, Using Google.com as a Decoy
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AirTag ติดตามกระเป๋าได้ แต่ปลอดภัยพอสำหรับขึ้นเครื่องหรือไม่? — TSA ยืนยันใช้ได้ แต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดของแบตเตอรี่ลิเธียม”

    ตั้งแต่ Apple เปิดตัว AirTag ในปี 2021 อุปกรณ์ติดตามขนาดเท่าเหรียญนี้ก็กลายเป็นของคู่ใจของนักเดินทางทั่วโลก เพราะสามารถติดตามกระเป๋าเดินทาง เด็ก สัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่รถยนต์ได้ผ่านเครือข่าย Find My ที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ Apple กว่าร้อยล้านเครื่องทั่วโลก

    แต่เมื่อพูดถึงการนำขึ้นเครื่องบิน หลายคนอาจสงสัยว่า AirTag ซึ่งใช้แบตเตอรี่ลิเธียมแบบ CR2032 จะถูกห้ามหรือไม่ เพราะ TSA และ FAA มีข้อกำหนดเข้มงวดเกี่ยวกับแบตเตอรี่ โดยเฉพาะในยุคที่มีเหตุการณ์ไฟไหม้จากแบตเตอรี่บนเครื่องบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ข่าวดีคือ AirTag ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นเครื่องได้ทั้งในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องและกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง เนื่องจากแบตเตอรี่ CR2032 มีลิเธียมเพียง 0.109 กรัม ซึ่งต่ำกว่าขีดจำกัด 2 กรัมที่ TSA กำหนดไว้สำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมแบบไม่สามารถชาร์จได้

    อย่างไรก็ตาม กฎนี้ใช้เฉพาะกับแบตเตอรี่ที่ “ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์” เท่านั้น หากเป็นแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเปล่า จะต้องใส่ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเท่านั้น และต้องบรรจุอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการลัดวงจร

    FAA รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2006 ถึงปี 2025 มีเหตุการณ์เกี่ยวกับแบตเตอรี่ลิเธียมบนเครื่องบินถึง 534 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการลัดวงจรหรือความร้อนสะสมจนเกิด “thermal runaway” — การระเบิดของพลังงานที่สะสมไว้ในแบตเตอรี่แบบไม่คาดคิด

    ดังนั้น แม้ AirTag จะปลอดภัยและได้รับอนุญาต แต่ผู้โดยสารควรเข้าใจข้อจำกัดและปฏิบัติตามแนวทางการบรรจุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างเคร่งครัด

    https://www.slashgear.com/1962927/are-airtags-allowed-in-carry-on-luggage-tsa-rules-guide/
    🧳 “AirTag ติดตามกระเป๋าได้ แต่ปลอดภัยพอสำหรับขึ้นเครื่องหรือไม่? — TSA ยืนยันใช้ได้ แต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดของแบตเตอรี่ลิเธียม” ตั้งแต่ Apple เปิดตัว AirTag ในปี 2021 อุปกรณ์ติดตามขนาดเท่าเหรียญนี้ก็กลายเป็นของคู่ใจของนักเดินทางทั่วโลก เพราะสามารถติดตามกระเป๋าเดินทาง เด็ก สัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่รถยนต์ได้ผ่านเครือข่าย Find My ที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ Apple กว่าร้อยล้านเครื่องทั่วโลก แต่เมื่อพูดถึงการนำขึ้นเครื่องบิน หลายคนอาจสงสัยว่า AirTag ซึ่งใช้แบตเตอรี่ลิเธียมแบบ CR2032 จะถูกห้ามหรือไม่ เพราะ TSA และ FAA มีข้อกำหนดเข้มงวดเกี่ยวกับแบตเตอรี่ โดยเฉพาะในยุคที่มีเหตุการณ์ไฟไหม้จากแบตเตอรี่บนเครื่องบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวดีคือ AirTag ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นเครื่องได้ทั้งในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องและกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง เนื่องจากแบตเตอรี่ CR2032 มีลิเธียมเพียง 0.109 กรัม ซึ่งต่ำกว่าขีดจำกัด 2 กรัมที่ TSA กำหนดไว้สำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมแบบไม่สามารถชาร์จได้ อย่างไรก็ตาม กฎนี้ใช้เฉพาะกับแบตเตอรี่ที่ “ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์” เท่านั้น หากเป็นแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเปล่า จะต้องใส่ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเท่านั้น และต้องบรรจุอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการลัดวงจร FAA รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2006 ถึงปี 2025 มีเหตุการณ์เกี่ยวกับแบตเตอรี่ลิเธียมบนเครื่องบินถึง 534 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการลัดวงจรหรือความร้อนสะสมจนเกิด “thermal runaway” — การระเบิดของพลังงานที่สะสมไว้ในแบตเตอรี่แบบไม่คาดคิด ดังนั้น แม้ AirTag จะปลอดภัยและได้รับอนุญาต แต่ผู้โดยสารควรเข้าใจข้อจำกัดและปฏิบัติตามแนวทางการบรรจุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างเคร่งครัด https://www.slashgear.com/1962927/are-airtags-allowed-in-carry-on-luggage-tsa-rules-guide/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Are You Allowed To Keep AirTags In Carry-On Luggage? TSA's Rules, Explained - SlashGear
    TSA and FAA allow AirTags in both carry-on and checked luggage since their CR2032 battery is well under the 100 Wh/2 g lithium limit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple เปิดตัว Memory Integrity Enforcement บน iPhone 17 — ป้องกันมัลแวร์ระดับรัฐด้วยระบบความปลอดภัยหน่วยความจำที่ไม่เคยมีมาก่อน”

    Apple ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า Memory Integrity Enforcement (MIE) บน iPhone 17 และ iPhone Air ซึ่งถือเป็นการอัปเกรดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ระบบปฏิบัติการสำหรับผู้บริโภค โดยใช้เวลาพัฒนานานกว่า 5 ปี และผสานการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์ Apple Silicon กับระบบปฏิบัติการ iOS อย่างลึกซึ้ง

    เป้าหมายของ MIE คือการป้องกันการโจมตีจากมัลแวร์ระดับสูง โดยเฉพาะ “mercenary spyware” เช่น Pegasus ที่มักถูกใช้โดยรัฐหรือองค์กรเพื่อเจาะระบบของบุคคลเป้าหมาย เช่น นักข่าว นักสิทธิมนุษยชน หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งการโจมตีเหล่านี้มักใช้ช่องโหว่ด้าน memory corruption เป็นหลัก

    หัวใจของ MIE คือการใช้ Enhanced Memory Tagging Extension (EMTE) ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกับ Arm โดยทุกบล็อกหน่วยความจำจะถูกติด “แท็กลับ” และฮาร์ดแวร์จะตรวจสอบว่าโปรแกรมที่เข้าถึงหน่วยความจำนั้นมีแท็กตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ระบบจะบล็อกทันทีและปิดโปรเซส — ทำให้การโจมตีแบบ buffer overflow และ use-after-free แทบเป็นไปไม่ได้

    Apple ยังเสริมระบบด้วย Tag Confidentiality Enforcement เพื่อป้องกันการเจาะแท็กผ่าน side-channel และ speculative execution เช่น Spectre V1 โดยใช้เทคนิคใหม่ที่ลดผลกระทบต่อประสิทธิภาพแทบเป็นศูนย์

    นอกจากฮาร์ดแวร์ A19 และ A19 Pro ที่รองรับ MIE แล้ว Apple ยังเปิดให้ผู้พัฒนาใช้งาน EMTE ผ่าน Xcode เพื่อทดสอบแอปของตนภายใต้ระบบความปลอดภัยใหม่นี้ โดยครอบคลุมมากกว่า 70 โปรเซสในระดับผู้ใช้และเคอร์เนล

    ฟีเจอร์ Memory Integrity Enforcement (MIE)
    ป้องกันช่องโหว่ memory corruption เช่น buffer overflow และ use-after-free
    ใช้ Enhanced Memory Tagging Extension (EMTE) แบบ synchronous
    ทุกบล็อกหน่วยความจำมีแท็กลับที่ต้องตรงกันก่อนเข้าถึง
    ระบบจะบล็อกทันทีหากแท็กไม่ตรง และปิดโปรเซสเพื่อความปลอดภัย

    การออกแบบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    ใช้ Apple Silicon A19 และ A19 Pro ที่มีพื้นที่เฉพาะสำหรับ MIE
    ผสานกับ secure memory allocators เช่น kalloc_type, xzone malloc และ libpas
    ป้องกันการโจมตีภายใน bucket หน่วยความจำที่ software ปกติป้องกันไม่ได้
    ลด overhead ของการตรวจสอบแท็กให้เหลือน้อยที่สุด

    การป้องกันขั้นสูง
    ใช้ Tag Confidentiality Enforcement ป้องกันการเจาะแท็กผ่าน side-channel
    มี mitigation สำหรับ Spectre V1 ที่แทบไม่มีผลต่อ CPU
    ป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำที่ไม่มีแท็ก เช่น global variables
    ใช้ Secure Page Table Monitor เพื่อป้องกันการเจาะเคอร์เนล

    การใช้งานจริงและผลการทดสอบ
    ทดสอบกับ exploit chains จริงจากมัลแวร์ระดับรัฐในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
    พบว่า MIE ตัดขาดขั้นตอนสำคัญของการโจมตี ทำให้ไม่สามารถสร้าง chain ใหม่ได้
    ระบบสามารถป้องกันได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการโจมตี
    เปิดให้ผู้พัฒนาใช้งาน EMTE ผ่าน Enhanced Security ใน Xcode

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Google เริ่มใช้ MTE ใน Pixel 8 แต่ยังไม่ใช่แบบ always-on และไม่ผสาน OS ลึกเท่า Apple
    Microsoft มีระบบคล้ายกันใน Windows 11 แต่ยังไม่ครอบคลุมระดับเคอร์เนล
    Apple เป็นรายแรกที่ใช้ PAC ใน A12 และพัฒนา EMTE ต่อเนื่อง
    MIE ครอบคลุมมากกว่า 70 โปรเซสใน iOS 26 และ iPhone 17

    https://security.apple.com/blog/memory-integrity-enforcement/
    🛡️ “Apple เปิดตัว Memory Integrity Enforcement บน iPhone 17 — ป้องกันมัลแวร์ระดับรัฐด้วยระบบความปลอดภัยหน่วยความจำที่ไม่เคยมีมาก่อน” Apple ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า Memory Integrity Enforcement (MIE) บน iPhone 17 และ iPhone Air ซึ่งถือเป็นการอัปเกรดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ระบบปฏิบัติการสำหรับผู้บริโภค โดยใช้เวลาพัฒนานานกว่า 5 ปี และผสานการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์ Apple Silicon กับระบบปฏิบัติการ iOS อย่างลึกซึ้ง เป้าหมายของ MIE คือการป้องกันการโจมตีจากมัลแวร์ระดับสูง โดยเฉพาะ “mercenary spyware” เช่น Pegasus ที่มักถูกใช้โดยรัฐหรือองค์กรเพื่อเจาะระบบของบุคคลเป้าหมาย เช่น นักข่าว นักสิทธิมนุษยชน หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งการโจมตีเหล่านี้มักใช้ช่องโหว่ด้าน memory corruption เป็นหลัก หัวใจของ MIE คือการใช้ Enhanced Memory Tagging Extension (EMTE) ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกับ Arm โดยทุกบล็อกหน่วยความจำจะถูกติด “แท็กลับ” และฮาร์ดแวร์จะตรวจสอบว่าโปรแกรมที่เข้าถึงหน่วยความจำนั้นมีแท็กตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ระบบจะบล็อกทันทีและปิดโปรเซส — ทำให้การโจมตีแบบ buffer overflow และ use-after-free แทบเป็นไปไม่ได้ Apple ยังเสริมระบบด้วย Tag Confidentiality Enforcement เพื่อป้องกันการเจาะแท็กผ่าน side-channel และ speculative execution เช่น Spectre V1 โดยใช้เทคนิคใหม่ที่ลดผลกระทบต่อประสิทธิภาพแทบเป็นศูนย์ นอกจากฮาร์ดแวร์ A19 และ A19 Pro ที่รองรับ MIE แล้ว Apple ยังเปิดให้ผู้พัฒนาใช้งาน EMTE ผ่าน Xcode เพื่อทดสอบแอปของตนภายใต้ระบบความปลอดภัยใหม่นี้ โดยครอบคลุมมากกว่า 70 โปรเซสในระดับผู้ใช้และเคอร์เนล ✅ ฟีเจอร์ Memory Integrity Enforcement (MIE) ➡️ ป้องกันช่องโหว่ memory corruption เช่น buffer overflow และ use-after-free ➡️ ใช้ Enhanced Memory Tagging Extension (EMTE) แบบ synchronous ➡️ ทุกบล็อกหน่วยความจำมีแท็กลับที่ต้องตรงกันก่อนเข้าถึง ➡️ ระบบจะบล็อกทันทีหากแท็กไม่ตรง และปิดโปรเซสเพื่อความปลอดภัย ✅ การออกแบบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ➡️ ใช้ Apple Silicon A19 และ A19 Pro ที่มีพื้นที่เฉพาะสำหรับ MIE ➡️ ผสานกับ secure memory allocators เช่น kalloc_type, xzone malloc และ libpas ➡️ ป้องกันการโจมตีภายใน bucket หน่วยความจำที่ software ปกติป้องกันไม่ได้ ➡️ ลด overhead ของการตรวจสอบแท็กให้เหลือน้อยที่สุด ✅ การป้องกันขั้นสูง ➡️ ใช้ Tag Confidentiality Enforcement ป้องกันการเจาะแท็กผ่าน side-channel ➡️ มี mitigation สำหรับ Spectre V1 ที่แทบไม่มีผลต่อ CPU ➡️ ป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำที่ไม่มีแท็ก เช่น global variables ➡️ ใช้ Secure Page Table Monitor เพื่อป้องกันการเจาะเคอร์เนล ✅ การใช้งานจริงและผลการทดสอบ ➡️ ทดสอบกับ exploit chains จริงจากมัลแวร์ระดับรัฐในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ➡️ พบว่า MIE ตัดขาดขั้นตอนสำคัญของการโจมตี ทำให้ไม่สามารถสร้าง chain ใหม่ได้ ➡️ ระบบสามารถป้องกันได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการโจมตี ➡️ เปิดให้ผู้พัฒนาใช้งาน EMTE ผ่าน Enhanced Security ใน Xcode ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Google เริ่มใช้ MTE ใน Pixel 8 แต่ยังไม่ใช่แบบ always-on และไม่ผสาน OS ลึกเท่า Apple ➡️ Microsoft มีระบบคล้ายกันใน Windows 11 แต่ยังไม่ครอบคลุมระดับเคอร์เนล ➡️ Apple เป็นรายแรกที่ใช้ PAC ใน A12 และพัฒนา EMTE ต่อเนื่อง ➡️ MIE ครอบคลุมมากกว่า 70 โปรเซสใน iOS 26 และ iPhone 17 https://security.apple.com/blog/memory-integrity-enforcement/
    SECURITY.APPLE.COM
    Memory Integrity Enforcement: A complete vision for memory safety in Apple devices - Apple Security Research
    Memory Integrity Enforcement (MIE) is the culmination of an unprecedented design and engineering effort spanning half a decade that combines the unique strengths of Apple silicon hardware with our advanced operating system security to provide industry-first, always-on memory safety protection across our devices — without compromising our best-in-class device performance. We believe Memory Integrity Enforcement represents the most significant upgrade to memory safety in the history of consumer operating systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple เปิดตัวชิป A19 และ A19 Pro สำหรับ iPhone 17 และ iPhone Air — เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น เย็นขึ้น พร้อม AI แบบ MacBook ในมือถือ!”

    Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 17, iPhone Air, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max พร้อมชิปใหม่ล่าสุด A19 และ A19 Pro ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับยุคของ Apple Intelligence และการประมวลผล AI บนอุปกรณ์โดยตรง

    ชิป A19 ใช้ใน iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน มี CPU แบบ 6-core (2 performance + 4 efficiency) และ GPU 5-core รองรับ ray tracing, mesh shading และ MetalFX upscaling ส่วน A19 Pro ใช้ใน iPhone Air และรุ่น Pro โดยมี GPU 5-core สำหรับ Air และ 6-core สำหรับรุ่น Pro พร้อม Neural Accelerators ในแต่ละ core เพื่อเร่งการประมวลผล AI แบบ on-device

    A19 Pro ยังมีการปรับปรุงสถาปัตยกรรม CPU เช่น branch prediction ที่แม่นยำขึ้น, front-end bandwidth ที่กว้างขึ้น และ cache ขนาดใหญ่ขึ้นถึง 50% ใน efficiency core ทำให้สามารถรักษาประสิทธิภาพได้สูงขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับ A18 Pro รุ่นก่อนหน้า

    iPhone 17 Pro และ Pro Max ยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber ที่ใช้ดีไอออนไนซ์วอเตอร์ในโครงสร้าง unibody อะลูมิเนียม ซึ่ง Apple เคลมว่าระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียมถึง 20 เท่า — ช่วยให้ชิปทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป

    นอกจากนี้ Apple ยังเปิดตัวชิป N1 สำหรับการเชื่อมต่อไร้สาย รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread รวมถึงโมเด็ม C1X ที่เร็วขึ้น 2 เท่าแต่ยังไม่รองรับ mmWave โดย iPhone 17 และ Pro รุ่นใหม่ยังใช้โมเด็ม Qualcomm เพื่อรองรับ 5G แบบเต็มรูปแบบ

    ชิป A19 และ A19 Pro
    A19: CPU 6-core (2P + 4E), GPU 5-core, รองรับ ray tracing และ MetalFX
    A19 Pro: GPU 5-core (Air) / 6-core (Pro), มี Neural Accelerators ในแต่ละ core
    ปรับปรุง branch prediction, bandwidth และ cache ใน efficiency core
    ประสิทธิภาพสูงขึ้น 40% เมื่อเทียบกับ A18 Pro

    ระบบระบายความร้อนใหม่
    ใช้ vapor chamber filled with deionized water
    โครงสร้าง unibody อะลูมิเนียม ระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียม 20 เท่า
    ช่วยให้ iPhone Pro รุ่นใหม่รักษาความเร็วได้ต่อเนื่อง

    ชิปเชื่อมต่อ N1 และโมเด็ม C1X
    N1 รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread
    เพิ่มประสิทธิภาพ AirDrop และ Personal Hotspot
    C1X เร็วขึ้น 2 เท่า แต่ไม่รองรับ mmWave
    iPhone 17 และ Pro ยังใช้โมเด็ม Qualcomm สำหรับ 5G เต็มรูปแบบ

    การใช้งาน AI บนอุปกรณ์
    Neural Accelerators ช่วยให้ประมวลผล Apple Intelligence ได้เร็วขึ้น
    รองรับฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 เช่น การแปลภาษา, การจัดการข้อความ, และการวิเคราะห์ภาพ
    iPhone Air มีประสิทธิภาพระดับ MacBook Pro ในขนาดมือถือ

    ราคาและการวางจำหน่าย
    iPhone 17 เริ่มต้นที่ $799, iPhone Air เริ่มต้นที่ $999
    iPhone 17 Pro และ Pro Max เริ่มต้นที่ $1,099 และ $1,199
    เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน
    รุ่น Pro Max มีตัวเลือกความจุสูงสุดถึง 2TB

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/apple-debuts-a19-and-a19-pro-processors-for-iphone-17-iphone-air-and-iphone-17-pro
    📱 “Apple เปิดตัวชิป A19 และ A19 Pro สำหรับ iPhone 17 และ iPhone Air — เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น เย็นขึ้น พร้อม AI แบบ MacBook ในมือถือ!” Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 17, iPhone Air, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max พร้อมชิปใหม่ล่าสุด A19 และ A19 Pro ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับยุคของ Apple Intelligence และการประมวลผล AI บนอุปกรณ์โดยตรง ชิป A19 ใช้ใน iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน มี CPU แบบ 6-core (2 performance + 4 efficiency) และ GPU 5-core รองรับ ray tracing, mesh shading และ MetalFX upscaling ส่วน A19 Pro ใช้ใน iPhone Air และรุ่น Pro โดยมี GPU 5-core สำหรับ Air และ 6-core สำหรับรุ่น Pro พร้อม Neural Accelerators ในแต่ละ core เพื่อเร่งการประมวลผล AI แบบ on-device A19 Pro ยังมีการปรับปรุงสถาปัตยกรรม CPU เช่น branch prediction ที่แม่นยำขึ้น, front-end bandwidth ที่กว้างขึ้น และ cache ขนาดใหญ่ขึ้นถึง 50% ใน efficiency core ทำให้สามารถรักษาประสิทธิภาพได้สูงขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับ A18 Pro รุ่นก่อนหน้า iPhone 17 Pro และ Pro Max ยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber ที่ใช้ดีไอออนไนซ์วอเตอร์ในโครงสร้าง unibody อะลูมิเนียม ซึ่ง Apple เคลมว่าระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียมถึง 20 เท่า — ช่วยให้ชิปทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป นอกจากนี้ Apple ยังเปิดตัวชิป N1 สำหรับการเชื่อมต่อไร้สาย รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread รวมถึงโมเด็ม C1X ที่เร็วขึ้น 2 เท่าแต่ยังไม่รองรับ mmWave โดย iPhone 17 และ Pro รุ่นใหม่ยังใช้โมเด็ม Qualcomm เพื่อรองรับ 5G แบบเต็มรูปแบบ ✅ ชิป A19 และ A19 Pro ➡️ A19: CPU 6-core (2P + 4E), GPU 5-core, รองรับ ray tracing และ MetalFX ➡️ A19 Pro: GPU 5-core (Air) / 6-core (Pro), มี Neural Accelerators ในแต่ละ core ➡️ ปรับปรุง branch prediction, bandwidth และ cache ใน efficiency core ➡️ ประสิทธิภาพสูงขึ้น 40% เมื่อเทียบกับ A18 Pro ✅ ระบบระบายความร้อนใหม่ ➡️ ใช้ vapor chamber filled with deionized water ➡️ โครงสร้าง unibody อะลูมิเนียม ระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียม 20 เท่า ➡️ ช่วยให้ iPhone Pro รุ่นใหม่รักษาความเร็วได้ต่อเนื่อง ✅ ชิปเชื่อมต่อ N1 และโมเด็ม C1X ➡️ N1 รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพ AirDrop และ Personal Hotspot ➡️ C1X เร็วขึ้น 2 เท่า แต่ไม่รองรับ mmWave ➡️ iPhone 17 และ Pro ยังใช้โมเด็ม Qualcomm สำหรับ 5G เต็มรูปแบบ ✅ การใช้งาน AI บนอุปกรณ์ ➡️ Neural Accelerators ช่วยให้ประมวลผล Apple Intelligence ได้เร็วขึ้น ➡️ รองรับฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 เช่น การแปลภาษา, การจัดการข้อความ, และการวิเคราะห์ภาพ ➡️ iPhone Air มีประสิทธิภาพระดับ MacBook Pro ในขนาดมือถือ ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ iPhone 17 เริ่มต้นที่ $799, iPhone Air เริ่มต้นที่ $999 ➡️ iPhone 17 Pro และ Pro Max เริ่มต้นที่ $1,099 และ $1,199 ➡️ เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน ➡️ รุ่น Pro Max มีตัวเลือกความจุสูงสุดถึง 2TB https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/apple-debuts-a19-and-a19-pro-processors-for-iphone-17-iphone-air-and-iphone-17-pro
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลองเล่น LLM บน Mac แบบไม่ต้องพึ่งคลาวด์! จากคนไม่อิน AI สู่การสร้างผู้ช่วยส่วนตัวในเครื่อง — ปลอดภัยกว่า เร็วกว่า และสนุกกว่าที่คิด”

    ถ้าคุณคิดว่า AI ต้องรันบนเซิร์ฟเวอร์ใหญ่ๆ เท่านั้น — บล็อกนี้จะเปลี่ยนความคิดคุณ เพราะผู้เขียน Fatih ซึ่งออกตัวว่า “ไม่อินกับ AI” ได้ทดลองรันโมเดล LLM แบบ local บน MacBook M2 รุ่นปี 2022 โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์เลยแม้แต่นิดเดียว

    เขาเริ่มจากความสงสัยในกระแส AI ที่ดูจะเกินจริง และไม่เชื่อว่าโมเดลพวกนี้จะมี “ความคิด” หรือ “ความสร้างสรรค์” จริงๆ แต่ก็ยอมรับว่า LLM มีพฤติกรรม emergent ที่น่าสนใจ และสามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่น สรุปข้อมูล, เขียนโน้ต, หรือแม้แต่ช่วยระบายความรู้สึกตอนตี 4

    Fatih เลือกใช้สองเครื่องมือหลักในการรัน LLM บน macOS ได้แก่:

    Llama.cpp: ไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่รันได้เร็วและปรับแต่งได้เยอะ ติดตั้งผ่าน Nix และใช้โมเดล GGUF เช่น Gemma 3 4B QAT

    LM Studio: แอป GUI ที่ใช้ง่ายกว่า รองรับทั้ง llama.cpp และ MLX (เอนจิน ML ของ Apple) มีระบบจัดการโมเดล, แชต, และการตั้งค่าที่หลากหลาย

    เขาแนะนำให้ใช้โมเดลขนาดเล็ก เช่น Qwen3 4B หรือ Gemma 3 12B เพื่อให้รันได้ลื่นบน RAM 16GB โดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง และยังสามารถใช้ฟีเจอร์ reasoning, tool use, และ vision ได้ในบางโมเดล

    นอกจากนี้ LM Studio ยังมีระบบ MCP (Model Capability Provider) ที่ให้โมเดลเรียกใช้เครื่องมือภายนอก เช่น JavaScript sandbox, web search, หรือแม้แต่ memory สำหรับเก็บข้อมูลระยะยาว — ทำให้สามารถสร้าง “agent” ที่คิด วิเคราะห์ และเรียกใช้เครื่องมือได้เอง

    Fatih ย้ำว่าเขาไม่เชื่อใน AI ที่รันบนคลาวด์ เพราะเสี่ยงต่อการเก็บข้อมูลส่วนตัว และไม่อยากสนับสนุนบริษัทที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส เขาจึงเลือกใช้โมเดล open-weight ที่รันในเครื่อง และเชื่อว่า “ความลับบางอย่างควรอยู่ในเครื่องเราเท่านั้น”

    แนวคิดการใช้ LLM แบบ local บน macOS
    ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือเซิร์ฟเวอร์ภายนอก
    ปลอดภัยกว่าและควบคุมข้อมูลได้เอง
    ใช้ได้แม้ในเครื่อง MacBook M2 RAM 16GB

    เครื่องมือที่ใช้
    Llama.cpp: โอเพ่นซอร์ส ปรับแต่งได้เยอะ รองรับ GGUF
    LM Studio: GUI ใช้ง่าย รองรับทั้ง llama.cpp และ MLX
    LM Studio มีระบบจัดการแชต, โมเดล, และการตั้งค่าขั้นสูง

    โมเดลที่แนะนำ
    Gemma 3 4B QAT: เร็วและคุณภาพดี
    Qwen3 4B Thinking: มี reasoning และขนาดเล็ก
    GPT-OSS 20B: ใหญ่แต่ฉลาดที่สุดในกลุ่มที่รันได้บนเครื่อง
    Phi-4 14B: เคยเป็นตัวโปรดก่อน GPT-OSS

    ฟีเจอร์พิเศษใน LM Studio
    MCP: ให้โมเดลเรียกใช้เครื่องมือ เช่น JavaScript, web search, memory
    Vision: โมเดลบางตัวสามารถอ่านภาพและวิเคราะห์ได้
    Reasoning: โมเดลที่ “คิดก่อนตอบ” แม้จะช้ากว่าแต่แม่นยำกว่า
    Preset: ตั้งค่า system prompt สำหรับบทบาทต่างๆ ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LM Studio รองรับ macOS M1–M4 และ Windows/Linux ที่มี AVX2
    GGUF เป็นฟอร์แมตที่ใช้กับ llama.cpp ส่วน MLX ใช้กับเอนจินของ Apple
    โมเดล reasoning ใช้เวลานานและกิน context window มาก
    Vision model ยังไม่แม่นเท่า OCR จริง แต่ใช้ได้ในงานเบื้องต้น

    https://blog.6nok.org/experimenting-with-local-llms-on-macos/
    🧠 “ลองเล่น LLM บน Mac แบบไม่ต้องพึ่งคลาวด์! จากคนไม่อิน AI สู่การสร้างผู้ช่วยส่วนตัวในเครื่อง — ปลอดภัยกว่า เร็วกว่า และสนุกกว่าที่คิด” ถ้าคุณคิดว่า AI ต้องรันบนเซิร์ฟเวอร์ใหญ่ๆ เท่านั้น — บล็อกนี้จะเปลี่ยนความคิดคุณ เพราะผู้เขียน Fatih ซึ่งออกตัวว่า “ไม่อินกับ AI” ได้ทดลองรันโมเดล LLM แบบ local บน MacBook M2 รุ่นปี 2022 โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์เลยแม้แต่นิดเดียว เขาเริ่มจากความสงสัยในกระแส AI ที่ดูจะเกินจริง และไม่เชื่อว่าโมเดลพวกนี้จะมี “ความคิด” หรือ “ความสร้างสรรค์” จริงๆ แต่ก็ยอมรับว่า LLM มีพฤติกรรม emergent ที่น่าสนใจ และสามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่น สรุปข้อมูล, เขียนโน้ต, หรือแม้แต่ช่วยระบายความรู้สึกตอนตี 4 Fatih เลือกใช้สองเครื่องมือหลักในการรัน LLM บน macOS ได้แก่: Llama.cpp: ไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่รันได้เร็วและปรับแต่งได้เยอะ ติดตั้งผ่าน Nix และใช้โมเดล GGUF เช่น Gemma 3 4B QAT LM Studio: แอป GUI ที่ใช้ง่ายกว่า รองรับทั้ง llama.cpp และ MLX (เอนจิน ML ของ Apple) มีระบบจัดการโมเดล, แชต, และการตั้งค่าที่หลากหลาย เขาแนะนำให้ใช้โมเดลขนาดเล็ก เช่น Qwen3 4B หรือ Gemma 3 12B เพื่อให้รันได้ลื่นบน RAM 16GB โดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง และยังสามารถใช้ฟีเจอร์ reasoning, tool use, และ vision ได้ในบางโมเดล นอกจากนี้ LM Studio ยังมีระบบ MCP (Model Capability Provider) ที่ให้โมเดลเรียกใช้เครื่องมือภายนอก เช่น JavaScript sandbox, web search, หรือแม้แต่ memory สำหรับเก็บข้อมูลระยะยาว — ทำให้สามารถสร้าง “agent” ที่คิด วิเคราะห์ และเรียกใช้เครื่องมือได้เอง Fatih ย้ำว่าเขาไม่เชื่อใน AI ที่รันบนคลาวด์ เพราะเสี่ยงต่อการเก็บข้อมูลส่วนตัว และไม่อยากสนับสนุนบริษัทที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส เขาจึงเลือกใช้โมเดล open-weight ที่รันในเครื่อง และเชื่อว่า “ความลับบางอย่างควรอยู่ในเครื่องเราเท่านั้น” ✅ แนวคิดการใช้ LLM แบบ local บน macOS ➡️ ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ➡️ ปลอดภัยกว่าและควบคุมข้อมูลได้เอง ➡️ ใช้ได้แม้ในเครื่อง MacBook M2 RAM 16GB ✅ เครื่องมือที่ใช้ ➡️ Llama.cpp: โอเพ่นซอร์ส ปรับแต่งได้เยอะ รองรับ GGUF ➡️ LM Studio: GUI ใช้ง่าย รองรับทั้ง llama.cpp และ MLX ➡️ LM Studio มีระบบจัดการแชต, โมเดล, และการตั้งค่าขั้นสูง ✅ โมเดลที่แนะนำ ➡️ Gemma 3 4B QAT: เร็วและคุณภาพดี ➡️ Qwen3 4B Thinking: มี reasoning และขนาดเล็ก ➡️ GPT-OSS 20B: ใหญ่แต่ฉลาดที่สุดในกลุ่มที่รันได้บนเครื่อง ➡️ Phi-4 14B: เคยเป็นตัวโปรดก่อน GPT-OSS ✅ ฟีเจอร์พิเศษใน LM Studio ➡️ MCP: ให้โมเดลเรียกใช้เครื่องมือ เช่น JavaScript, web search, memory ➡️ Vision: โมเดลบางตัวสามารถอ่านภาพและวิเคราะห์ได้ ➡️ Reasoning: โมเดลที่ “คิดก่อนตอบ” แม้จะช้ากว่าแต่แม่นยำกว่า ➡️ Preset: ตั้งค่า system prompt สำหรับบทบาทต่างๆ ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LM Studio รองรับ macOS M1–M4 และ Windows/Linux ที่มี AVX2 ➡️ GGUF เป็นฟอร์แมตที่ใช้กับ llama.cpp ส่วน MLX ใช้กับเอนจินของ Apple ➡️ โมเดล reasoning ใช้เวลานานและกิน context window มาก ➡️ Vision model ยังไม่แม่นเท่า OCR จริง แต่ใช้ได้ในงานเบื้องต้น https://blog.6nok.org/experimenting-with-local-llms-on-macos/
    BLOG.6NOK.ORG
    Experimenting with local LLMs on macOS
    A developer's guide to downloading and running LLMs on macOS, for experimentation and privacy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • “iPhone Air เปิดตัวแล้ว! บางเฉียบ 5.6 มม. พร้อมชิป A19 Pro และกล้อง 48MP ที่ถ่ายได้ 4 ระยะ — เบาเหมือนฝัน แรงเหมือน MacBook”

    ถ้าคุณเคยคิดว่า iPhone จะบางได้แค่ไหน — Apple เพิ่งตอบคำถามนั้นด้วยการเปิดตัว “iPhone Air” รุ่นใหม่ล่าสุดที่บางเพียง 5.6 มิลลิเมตร แต่ยังคงความแรงระดับโปรด้วยชิป A19 Pro และกล้องที่ถ่ายได้ถึง 4 ระยะในตัวเดียว

    iPhone Air มาพร้อมดีไซน์ไทเทเนียมเกรด 5 แบบเงาสะท้อน พร้อม Ceramic Shield 2 ที่แข็งแรงกว่ากระจกสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 3 เท่า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึง “plateau” กล้องที่ถูกเจาะแบบละเอียดเพื่อเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ตลอดวัน

    หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display พร้อมความสว่างสูงสุด 3,000 nits — ใช้งานกลางแดดได้สบาย และยังมี Action Button กับ Camera Control ที่ช่วยให้เรียกใช้งานฟีเจอร์ได้รวดเร็ว

    กล้องหลัง 48MP Fusion สามารถถ่ายภาพได้ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm และ 52mm ด้วยการครอปในเซนเซอร์แบบ AI พร้อมระบบกันสั่น sensor-shift และ Photonic Engine รุ่นใหม่ ส่วนกล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์แบบสี่เหลี่ยมครั้งแรกใน iPhone ถ่ายวิดีโอ 4K HDR ได้แบบนิ่งสุดๆ และยังสามารถถ่ายพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและหลังด้วย Dual Capture

    ภายในใช้ชิป A19 Pro ที่มี CPU 6-core และ GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ในทุกคอร์ GPU เพื่อรองรับโมเดล AI แบบ on-device ได้อย่างลื่นไหล รวมถึงชิป N1 สำหรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread และโมเด็ม C1X ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่าแต่ใช้พลังงานน้อยลง 30%

    iPhone Air ใช้ eSIM เท่านั้น เพื่อประหยัดพื้นที่ภายใน และมาพร้อม iOS 26 ที่มี Apple Intelligence สำหรับแปลภาษาแบบเรียลไทม์, ค้นหาข้อมูลจากภาพหน้าจอ และจัดการข้อความแบบอัจฉริยะ

    ดีไซน์และวัสดุ
    บางเพียง 5.6 มม. น้ำหนัก 165 กรัม
    ใช้ไทเทเนียมเกรด 5 พร้อม Ceramic Shield 2 ทั้งหน้าและหลัง
    Plateau กล้องแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่
    มี Action Button และ Camera Control สำหรับเรียกใช้งานเร็ว

    หน้าจอและการแสดงผล
    Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2736x1260
    รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display
    ความสว่างสูงสุด 3,000 nits และ contrast 2,000,000:1
    รองรับ HDR, True Tone, และ anti-reflective coating

    กล้องและการถ่ายภาพ
    กล้องหลัง 48MP Fusion รองรับ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm, 52mm
    กล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์สี่เหลี่ยม
    รองรับ Dual Capture, Focus Control, และ Photographic Styles ใหม่
    ถ่ายวิดีโอ 4K60 Dolby Vision พร้อม Spatial Audio และ Action Mode

    ชิปและประสิทธิภาพ
    A19 Pro: CPU 6-core + GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator
    N1: รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6, Thread และปรับปรุง AirDrop/Hotspot
    C1X: โมเด็มเร็วกว่าเดิม 2 เท่า ใช้พลังงานน้อยลง 30%
    รองรับการรันโมเดล AI บนอุปกรณ์แบบไม่ต้องต่อเน็ต

    แบตเตอรี่และการใช้งาน
    ใช้ Adaptive Power Mode ใน iOS 26 เพื่อจัดการพลังงานอัจฉริยะ
    รองรับ MagSafe Battery แบบบางที่เพิ่มเวลาเล่นวิดีโอถึง 40 ชั่วโมง
    รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 20W

    ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ใหม่
    iOS 26 มาพร้อม Apple Intelligence สำหรับแปลภาษา, ค้นหาจากภาพ, และจัดการข้อความ
    รองรับ Live Translation, Visual Intelligence และ Apple Games
    ใช้ eSIM เท่านั้น รองรับกว่า 500 ผู้ให้บริการทั่วโลก

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เริ่มต้นที่ $999 สำหรับรุ่น 256GB
    มีรุ่น 512GB และ 1TB ให้เลือก
    เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน

    https://www.apple.com/newsroom/2025/09/introducing-iphone-air-a-powerful-new-iphone-with-a-breakthrough-design/
    📱 “iPhone Air เปิดตัวแล้ว! บางเฉียบ 5.6 มม. พร้อมชิป A19 Pro และกล้อง 48MP ที่ถ่ายได้ 4 ระยะ — เบาเหมือนฝัน แรงเหมือน MacBook” ถ้าคุณเคยคิดว่า iPhone จะบางได้แค่ไหน — Apple เพิ่งตอบคำถามนั้นด้วยการเปิดตัว “iPhone Air” รุ่นใหม่ล่าสุดที่บางเพียง 5.6 มิลลิเมตร แต่ยังคงความแรงระดับโปรด้วยชิป A19 Pro และกล้องที่ถ่ายได้ถึง 4 ระยะในตัวเดียว iPhone Air มาพร้อมดีไซน์ไทเทเนียมเกรด 5 แบบเงาสะท้อน พร้อม Ceramic Shield 2 ที่แข็งแรงกว่ากระจกสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 3 เท่า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึง “plateau” กล้องที่ถูกเจาะแบบละเอียดเพื่อเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ตลอดวัน หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display พร้อมความสว่างสูงสุด 3,000 nits — ใช้งานกลางแดดได้สบาย และยังมี Action Button กับ Camera Control ที่ช่วยให้เรียกใช้งานฟีเจอร์ได้รวดเร็ว กล้องหลัง 48MP Fusion สามารถถ่ายภาพได้ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm และ 52mm ด้วยการครอปในเซนเซอร์แบบ AI พร้อมระบบกันสั่น sensor-shift และ Photonic Engine รุ่นใหม่ ส่วนกล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์แบบสี่เหลี่ยมครั้งแรกใน iPhone ถ่ายวิดีโอ 4K HDR ได้แบบนิ่งสุดๆ และยังสามารถถ่ายพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและหลังด้วย Dual Capture ภายในใช้ชิป A19 Pro ที่มี CPU 6-core และ GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ในทุกคอร์ GPU เพื่อรองรับโมเดล AI แบบ on-device ได้อย่างลื่นไหล รวมถึงชิป N1 สำหรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread และโมเด็ม C1X ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่าแต่ใช้พลังงานน้อยลง 30% iPhone Air ใช้ eSIM เท่านั้น เพื่อประหยัดพื้นที่ภายใน และมาพร้อม iOS 26 ที่มี Apple Intelligence สำหรับแปลภาษาแบบเรียลไทม์, ค้นหาข้อมูลจากภาพหน้าจอ และจัดการข้อความแบบอัจฉริยะ ✅ ดีไซน์และวัสดุ ➡️ บางเพียง 5.6 มม. น้ำหนัก 165 กรัม ➡️ ใช้ไทเทเนียมเกรด 5 พร้อม Ceramic Shield 2 ทั้งหน้าและหลัง ➡️ Plateau กล้องแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ ➡️ มี Action Button และ Camera Control สำหรับเรียกใช้งานเร็ว ✅ หน้าจอและการแสดงผล ➡️ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2736x1260 ➡️ รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display ➡️ ความสว่างสูงสุด 3,000 nits และ contrast 2,000,000:1 ➡️ รองรับ HDR, True Tone, และ anti-reflective coating ✅ กล้องและการถ่ายภาพ ➡️ กล้องหลัง 48MP Fusion รองรับ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm, 52mm ➡️ กล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์สี่เหลี่ยม ➡️ รองรับ Dual Capture, Focus Control, และ Photographic Styles ใหม่ ➡️ ถ่ายวิดีโอ 4K60 Dolby Vision พร้อม Spatial Audio และ Action Mode ✅ ชิปและประสิทธิภาพ ➡️ A19 Pro: CPU 6-core + GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ➡️ N1: รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6, Thread และปรับปรุง AirDrop/Hotspot ➡️ C1X: โมเด็มเร็วกว่าเดิม 2 เท่า ใช้พลังงานน้อยลง 30% ➡️ รองรับการรันโมเดล AI บนอุปกรณ์แบบไม่ต้องต่อเน็ต ✅ แบตเตอรี่และการใช้งาน ➡️ ใช้ Adaptive Power Mode ใน iOS 26 เพื่อจัดการพลังงานอัจฉริยะ ➡️ รองรับ MagSafe Battery แบบบางที่เพิ่มเวลาเล่นวิดีโอถึง 40 ชั่วโมง ➡️ รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 20W ✅ ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ใหม่ ➡️ iOS 26 มาพร้อม Apple Intelligence สำหรับแปลภาษา, ค้นหาจากภาพ, และจัดการข้อความ ➡️ รองรับ Live Translation, Visual Intelligence และ Apple Games ➡️ ใช้ eSIM เท่านั้น รองรับกว่า 500 ผู้ให้บริการทั่วโลก ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ เริ่มต้นที่ $999 สำหรับรุ่น 256GB ➡️ มีรุ่น 512GB และ 1TB ให้เลือก ➡️ เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน https://www.apple.com/newsroom/2025/09/introducing-iphone-air-a-powerful-new-iphone-with-a-breakthrough-design/
    WWW.APPLE.COM
    Introducing iPhone Air, a powerful new iPhone with a breakthrough design
    Apple today debuted the all-new iPhone Air, the thinnest iPhone ever made, with pro performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Liquid Glass บนเว็บ: เมื่อแสงหักเหกลายเป็นศิลปะ UI ด้วย CSS และ SVG — สวยระดับ Apple แต่ยังใช้ได้แค่ Chrome!”

    ถ้าคุณเคยเห็นเอฟเฟกต์ Liquid Glass ที่ Apple เปิดตัวในงาน WWDC 2025 แล้วรู้สึกว่า “อยากได้แบบนี้บนเว็บบ้าง” — บทความนี้คือคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันคือการทดลองสร้างเอฟเฟกต์หักเหแสงแบบกระจกโค้งบนเบราว์เซอร์ โดยใช้แค่ CSS, SVG และคณิตศาสตร์ฟิสิกส์พื้นฐาน

    แนวคิดหลักคือการจำลองการหักเหของแสง (refraction) ตามกฎของ Snell–Descartes ซึ่งอธิบายว่ามุมของแสงจะเปลี่ยนไปเมื่อผ่านจากวัสดุหนึ่งไปสู่อีกวัสดุหนึ่ง เช่น จากอากาศเข้าสู่กระจก โดยใช้ค่าดัชนีหักเห (refractive index) เพื่อคำนวณทิศทางใหม่ของแสง

    บทความนี้เลือกใช้รูปทรงวงกลมเป็นพื้นฐาน เพราะง่ายต่อการคำนวณและสามารถขยายเป็นรูปทรงอื่นได้ในอนาคต โดยใช้ฟังก์ชันความสูงของพื้นผิวกระจกเพื่อคำนวณมุมตกกระทบและมุมหักเห จากนั้นสร้าง “สนามเวกเตอร์การเลื่อนตำแหน่ง” (displacement vector field) เพื่อบอกว่าแสงควรเบนไปทางไหน

    เมื่อได้เวกเตอร์แล้ว ก็แปลงเป็นภาพ SVG displacement map โดยใช้สีแดงและเขียวแทนการเลื่อนในแกน X และ Y ตามลำดับ แล้วนำไปใช้ในฟิลเตอร์ SVG เพื่อสร้างเอฟเฟกต์หักเหแสงบนองค์ประกอบ UI จริง เช่น ปุ่ม, สวิตช์, กล่องค้นหา และมิวสิกเพลเยอร์

    สุดท้ายยังเพิ่ม “specular highlight” หรือแสงสะท้อนขอบกระจก เพื่อให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น โดยใช้การเบลนด์ภาพ highlight เข้ากับภาพที่ผ่านการหักเหแล้ว — ทั้งหมดนี้ทำงานได้เฉพาะใน Chrome เท่านั้น เพราะยังไม่มีเบราว์เซอร์อื่นรองรับ SVG filter เป็น backdrop-filter

    แนวคิดหลักของ Liquid Glass บนเว็บ
    จำลองการหักเหแสงตามกฎ Snell–Descartes
    ใช้ค่าดัชนีหักเหของวัสดุ เช่น อากาศ (n=1) และกระจก (n=1.5)
    ใช้ฟังก์ชันความสูงของพื้นผิวเพื่อคำนวณมุมตกกระทบ
    สร้าง displacement vector field เพื่อบอกทิศทางการเบนของแสง

    การสร้าง SVG displacement map
    แปลงเวกเตอร์เป็นสีในภาพ SVG โดยใช้ Red = X, Green = Y
    ใช้ <feDisplacementMap /> เพื่อเลื่อนตำแหน่งพิกเซลตามเวกเตอร์
    scale ของฟิลเตอร์ใช้ค่าการเบนสูงสุดที่คำนวณไว้
    สามารถ animate scale เพื่อควบคุมความแรงของเอฟเฟกต์

    การใช้งานใน UI จริง
    ใช้กับองค์ประกอบ UI เช่น ปุ่ม, สวิตช์, กล่องค้นหา, มิวสิกเพลเยอร์
    เพิ่ม specular highlight เพื่อให้ดูมีแสงสะท้อนขอบกระจก
    ใช้ <feBlend /> เพื่อรวมภาพ highlight กับภาพหักเห
    ปรับค่าความเงา, ความอิ่มสี, และระดับการหักเหได้ตามต้องการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple เปิดตัว Liquid Glass ใน WWDC 2025 เป็นส่วนหนึ่งของ iOS 26 และ visionOS
    เอฟเฟกต์นี้มีต้นแบบจาก Dynamic Island และ macOS Aqua
    นักพัฒนาเริ่มสร้างเวอร์ชัน CSS-only เพื่อใช้บนเว็บโดยไม่พึ่ง JavaScript
    GitHub มีโปรเจกต์ทดลองหลายตัว เช่น liquid-glass-effect-macos

    https://kube.io/blog/liquid-glass-css-svg/
    🧊 “Liquid Glass บนเว็บ: เมื่อแสงหักเหกลายเป็นศิลปะ UI ด้วย CSS และ SVG — สวยระดับ Apple แต่ยังใช้ได้แค่ Chrome!” ถ้าคุณเคยเห็นเอฟเฟกต์ Liquid Glass ที่ Apple เปิดตัวในงาน WWDC 2025 แล้วรู้สึกว่า “อยากได้แบบนี้บนเว็บบ้าง” — บทความนี้คือคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันคือการทดลองสร้างเอฟเฟกต์หักเหแสงแบบกระจกโค้งบนเบราว์เซอร์ โดยใช้แค่ CSS, SVG และคณิตศาสตร์ฟิสิกส์พื้นฐาน แนวคิดหลักคือการจำลองการหักเหของแสง (refraction) ตามกฎของ Snell–Descartes ซึ่งอธิบายว่ามุมของแสงจะเปลี่ยนไปเมื่อผ่านจากวัสดุหนึ่งไปสู่อีกวัสดุหนึ่ง เช่น จากอากาศเข้าสู่กระจก โดยใช้ค่าดัชนีหักเห (refractive index) เพื่อคำนวณทิศทางใหม่ของแสง บทความนี้เลือกใช้รูปทรงวงกลมเป็นพื้นฐาน เพราะง่ายต่อการคำนวณและสามารถขยายเป็นรูปทรงอื่นได้ในอนาคต โดยใช้ฟังก์ชันความสูงของพื้นผิวกระจกเพื่อคำนวณมุมตกกระทบและมุมหักเห จากนั้นสร้าง “สนามเวกเตอร์การเลื่อนตำแหน่ง” (displacement vector field) เพื่อบอกว่าแสงควรเบนไปทางไหน เมื่อได้เวกเตอร์แล้ว ก็แปลงเป็นภาพ SVG displacement map โดยใช้สีแดงและเขียวแทนการเลื่อนในแกน X และ Y ตามลำดับ แล้วนำไปใช้ในฟิลเตอร์ SVG เพื่อสร้างเอฟเฟกต์หักเหแสงบนองค์ประกอบ UI จริง เช่น ปุ่ม, สวิตช์, กล่องค้นหา และมิวสิกเพลเยอร์ สุดท้ายยังเพิ่ม “specular highlight” หรือแสงสะท้อนขอบกระจก เพื่อให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น โดยใช้การเบลนด์ภาพ highlight เข้ากับภาพที่ผ่านการหักเหแล้ว — ทั้งหมดนี้ทำงานได้เฉพาะใน Chrome เท่านั้น เพราะยังไม่มีเบราว์เซอร์อื่นรองรับ SVG filter เป็น backdrop-filter ✅ แนวคิดหลักของ Liquid Glass บนเว็บ ➡️ จำลองการหักเหแสงตามกฎ Snell–Descartes ➡️ ใช้ค่าดัชนีหักเหของวัสดุ เช่น อากาศ (n=1) และกระจก (n=1.5) ➡️ ใช้ฟังก์ชันความสูงของพื้นผิวเพื่อคำนวณมุมตกกระทบ ➡️ สร้าง displacement vector field เพื่อบอกทิศทางการเบนของแสง ✅ การสร้าง SVG displacement map ➡️ แปลงเวกเตอร์เป็นสีในภาพ SVG โดยใช้ Red = X, Green = Y ➡️ ใช้ <feDisplacementMap /> เพื่อเลื่อนตำแหน่งพิกเซลตามเวกเตอร์ ➡️ scale ของฟิลเตอร์ใช้ค่าการเบนสูงสุดที่คำนวณไว้ ➡️ สามารถ animate scale เพื่อควบคุมความแรงของเอฟเฟกต์ ✅ การใช้งานใน UI จริง ➡️ ใช้กับองค์ประกอบ UI เช่น ปุ่ม, สวิตช์, กล่องค้นหา, มิวสิกเพลเยอร์ ➡️ เพิ่ม specular highlight เพื่อให้ดูมีแสงสะท้อนขอบกระจก ➡️ ใช้ <feBlend /> เพื่อรวมภาพ highlight กับภาพหักเห ➡️ ปรับค่าความเงา, ความอิ่มสี, และระดับการหักเหได้ตามต้องการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple เปิดตัว Liquid Glass ใน WWDC 2025 เป็นส่วนหนึ่งของ iOS 26 และ visionOS ➡️ เอฟเฟกต์นี้มีต้นแบบจาก Dynamic Island และ macOS Aqua ➡️ นักพัฒนาเริ่มสร้างเวอร์ชัน CSS-only เพื่อใช้บนเว็บโดยไม่พึ่ง JavaScript ➡️ GitHub มีโปรเจกต์ทดลองหลายตัว เช่น liquid-glass-effect-macos https://kube.io/blog/liquid-glass-css-svg/
    KUBE.IO
    Liquid Glass in the Browser: Refraction with CSS and SVG — kube.io
    Explore how to recreate Apple's stunning Liquid Glass effect using CSS, SVG Displacement Maps, and refraction calculations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TSMC ปั้นคนท้องถิ่น! ขยายโครงการฝึกงานในรัฐแอริโซนา รับมือโรงงานผลิตชิป 4nm–2nm ที่กำลังบูม”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้า หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ แล้ววันหนึ่งคุณได้รับโอกาสฝึกงานกับ TSMC — บริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งกำลังสร้างโรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนาเพื่อผลิตชิประดับ 4nm และ 2nm ที่ใช้ใน AI, GPU และอุปกรณ์ล้ำยุคของ Apple, Nvidia และ AMD

    ในฤดูร้อนปี 2025 นี้ TSMC ได้ขยายโครงการฝึกงานในรัฐแอริโซนาอย่างมหาศาล โดยรับนักศึกษากว่า 200 คนจาก 60 มหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 130 คนเมื่อปีที่แล้ว และจากเพียง 16 คนในปี 2023 — ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดเพื่อเตรียมบุคลากรรองรับโรงงานผลิตชิปที่กำลังเร่งเปิดใช้งาน

    โรงงานแห่งแรกในเมืองฟีนิกซ์เริ่มผลิตชิป 4nm แล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ และกำลังสร้างโรงงานที่สองและสามตามแผนที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act ของรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าโรงงานทั้งสามจะสร้างงานโดยตรงกว่า 6,000 ตำแหน่ง และเป็นหัวใจของห่วงโซ่อุปทานชิปในประเทศ

    นอกจากฝึกงานแล้ว TSMC ยังร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Arizona State University (ASU) และหน่วยงานรัฐเพื่อเปิดหลักสูตรเร่งรัด 15 สัปดาห์สำหรับช่างเทคนิคในโรงงาน พร้อมทุนวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา และศูนย์ฝึกอบรมด้านการบรรจุชิป (advanced packaging) ร่วมกับ Amkor ในเมือง Peoria

    การขยายโครงการฝึกงานของ TSMC
    รับนักศึกษากว่า 200 คนจาก 60 มหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ
    เพิ่มขึ้นจาก 130 คนในปี 2024 และ 16 คนในปี 2023
    มีนักศึกษาจาก ASU เข้าร่วมกว่า 30 คน
    เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมบุคลากรสำหรับโรงงานผลิตชิประดับ 4nm และ 2nm

    โรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา
    โรงงานแรกเริ่มผลิตชิป 4nm แล้วในต้นปี 2025
    โรงงานที่สองและสามอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
    ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่า $6.6 พันล้าน
    คาดว่าจะสร้างงานโดยตรงกว่า 6,000 ตำแหน่ง
    เป็นการลงทุนรวมกว่า $65 พันล้าน ถือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐแอริโซนา

    ความร่วมมือด้านการศึกษาและการฝึกอบรม
    ASU เปิดหลักสูตรวิจัยระดับปริญญาตรีและบัณฑิตด้านเซมิคอนดักเตอร์
    รัฐแอริโซนาเปิดโปรแกรมฝึกอบรมช่างเทคนิคแบบเร่งรัด 15 สัปดาห์
    Amkor เปิดศูนย์บรรจุชิปมูลค่า $2 พันล้านในเมือง Peoria
    รองรับเทคโนโลยี CoWoS และ InFO สำหรับ GPU และ AI accelerators

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-increases-arizona-internships-to-feed-fabs
    🏗️ “TSMC ปั้นคนท้องถิ่น! ขยายโครงการฝึกงานในรัฐแอริโซนา รับมือโรงงานผลิตชิป 4nm–2nm ที่กำลังบูม” ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้า หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ แล้ววันหนึ่งคุณได้รับโอกาสฝึกงานกับ TSMC — บริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งกำลังสร้างโรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนาเพื่อผลิตชิประดับ 4nm และ 2nm ที่ใช้ใน AI, GPU และอุปกรณ์ล้ำยุคของ Apple, Nvidia และ AMD ในฤดูร้อนปี 2025 นี้ TSMC ได้ขยายโครงการฝึกงานในรัฐแอริโซนาอย่างมหาศาล โดยรับนักศึกษากว่า 200 คนจาก 60 มหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 130 คนเมื่อปีที่แล้ว และจากเพียง 16 คนในปี 2023 — ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดเพื่อเตรียมบุคลากรรองรับโรงงานผลิตชิปที่กำลังเร่งเปิดใช้งาน โรงงานแห่งแรกในเมืองฟีนิกซ์เริ่มผลิตชิป 4nm แล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ และกำลังสร้างโรงงานที่สองและสามตามแผนที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act ของรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าโรงงานทั้งสามจะสร้างงานโดยตรงกว่า 6,000 ตำแหน่ง และเป็นหัวใจของห่วงโซ่อุปทานชิปในประเทศ นอกจากฝึกงานแล้ว TSMC ยังร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Arizona State University (ASU) และหน่วยงานรัฐเพื่อเปิดหลักสูตรเร่งรัด 15 สัปดาห์สำหรับช่างเทคนิคในโรงงาน พร้อมทุนวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา และศูนย์ฝึกอบรมด้านการบรรจุชิป (advanced packaging) ร่วมกับ Amkor ในเมือง Peoria ✅ การขยายโครงการฝึกงานของ TSMC ➡️ รับนักศึกษากว่า 200 คนจาก 60 มหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 130 คนในปี 2024 และ 16 คนในปี 2023 ➡️ มีนักศึกษาจาก ASU เข้าร่วมกว่า 30 คน ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมบุคลากรสำหรับโรงงานผลิตชิประดับ 4nm และ 2nm ✅ โรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา ➡️ โรงงานแรกเริ่มผลิตชิป 4nm แล้วในต้นปี 2025 ➡️ โรงงานที่สองและสามอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ➡️ ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่า $6.6 พันล้าน ➡️ คาดว่าจะสร้างงานโดยตรงกว่า 6,000 ตำแหน่ง ➡️ เป็นการลงทุนรวมกว่า $65 พันล้าน ถือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐแอริโซนา ✅ ความร่วมมือด้านการศึกษาและการฝึกอบรม ➡️ ASU เปิดหลักสูตรวิจัยระดับปริญญาตรีและบัณฑิตด้านเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ รัฐแอริโซนาเปิดโปรแกรมฝึกอบรมช่างเทคนิคแบบเร่งรัด 15 สัปดาห์ ➡️ Amkor เปิดศูนย์บรรจุชิปมูลค่า $2 พันล้านในเมือง Peoria ➡️ รองรับเทคโนโลยี CoWoS และ InFO สำหรับ GPU และ AI accelerators https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-increases-arizona-internships-to-feed-fabs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    TSMC increases Arizona internships to feed its Phoenix fabs — CHIPS-fueled supply chain begins to take shape
    A wave of homegrown talent arrives just as TSMC’s 4nm ramp-up in Arizona turns into a three-fab silicon supercluster.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Snapdragon X Elite ถึง Ryzen AI MAX: เมื่อ AMD ประกาศว่า ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบเหนือ x86 แม้แต่เรื่องประหยัดพลังงาน

    ในงาน IFA 2025 AMD ได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบเหนือ x86” แม้แต่ในเรื่องที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดแข็งของ ARM อย่างประสิทธิภาพด้านพลังงาน โดย AMD ชี้ว่า APU รุ่นใหม่ของตน เช่น Strix Point และ Strix Halo ได้พิสูจน์แล้วว่า x86 สามารถให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ (perf/watt) ที่ยอดเยี่ยมได้เช่นกัน

    AMD ยังชี้ว่า hype ของ Windows on ARM ที่เคยเกิดขึ้นจากการเปิดตัว Snapdragon X Elite ของ Qualcomm เป็นเพียงกระแสระยะสั้น เพราะเมื่อ Intel และ AMD เปิดตัวชิปใหม่ในกลุ่ม APU และ NPU เช่น Lunar Lake และ Ryzen AI MAX 395+ ก็สามารถทำลายข้อได้เปรียบของ ARM ได้อย่างชัดเจน

    โดยเฉพาะ Ryzen AI MAX 395+ ที่ให้ประสิทธิภาพด้าน AI สูงถึง 126 TOPS ซึ่งเหนือกว่า ARM SoC ส่วนใหญ่ และยังสามารถใช้งานได้เต็มรูปแบบใน ecosystem ของ x86 โดยไม่ต้องพึ่งพาการจำกัดแอปหรือการแปลง binary แบบ ARM

    แม้ AMD จะยอมรับว่า ARM ยังมีพื้นที่ในตลาด เช่น Apple M-series หรือบางกลุ่มของ Qualcomm แต่ก็เชื่อว่า x86 จะยังคงเป็นแกนหลักของตลาด consumer hardware ไปอีกนาน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Medusa Point และ Panther Lake จาก AMD และ Intel ตามลำดับ

    จุดยืนของ AMD ต่อ ARM
    ARM ไม่มีข้อได้เปรียบเหนือ x86 แม้แต่ในด้านพลังงาน
    x86 สามารถให้ runtime ยาวนานในโน้ตบุ๊กได้เช่นกัน
    Ecosystem ของ x86 ยังครอบคลุมและเสถียรกว่า

    การตอบโต้กระแส Windows on ARM
    Snapdragon X Elite เคยสร้างกระแสว่า ARM จะมาแทน x86
    AMD และ Intel ตอบโต้ด้วย APU และ NPU รุ่นใหม่
    Lunar Lake และ Ryzen AI MAX 395+ แสดงให้เห็นว่า x86 ยังแข็งแกร่ง

    ประสิทธิภาพของ Ryzen AI MAX 395+
    ให้ AI TOPS สูงถึง 126 ซึ่งเหนือกว่า ARM หลายรุ่น
    ถูกใช้งานในโน้ตบุ๊ก, mini-PC และ handheld อย่างแพร่หลาย
    ไม่ต้องพึ่งการจำกัดแอปหรือ emulator แบบ ARM

    แนวโน้มของตลาดในอนาคต
    x86 จะยังเป็นแกนหลักของ consumer hardware
    ARM ยังมีพื้นที่ในบางกลุ่ม เช่น Apple M-series
    แพลตฟอร์มใหม่อย่าง Medusa Point และ Panther Lake จะผลักดัน x86 ต่อไป

    https://wccftech.com/amd-claims-that-arm-doesnt-offer-any-advantage-over-x86-even-in-energy-efficiency/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Snapdragon X Elite ถึง Ryzen AI MAX: เมื่อ AMD ประกาศว่า ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบเหนือ x86 แม้แต่เรื่องประหยัดพลังงาน ในงาน IFA 2025 AMD ได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบเหนือ x86” แม้แต่ในเรื่องที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดแข็งของ ARM อย่างประสิทธิภาพด้านพลังงาน โดย AMD ชี้ว่า APU รุ่นใหม่ของตน เช่น Strix Point และ Strix Halo ได้พิสูจน์แล้วว่า x86 สามารถให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ (perf/watt) ที่ยอดเยี่ยมได้เช่นกัน AMD ยังชี้ว่า hype ของ Windows on ARM ที่เคยเกิดขึ้นจากการเปิดตัว Snapdragon X Elite ของ Qualcomm เป็นเพียงกระแสระยะสั้น เพราะเมื่อ Intel และ AMD เปิดตัวชิปใหม่ในกลุ่ม APU และ NPU เช่น Lunar Lake และ Ryzen AI MAX 395+ ก็สามารถทำลายข้อได้เปรียบของ ARM ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะ Ryzen AI MAX 395+ ที่ให้ประสิทธิภาพด้าน AI สูงถึง 126 TOPS ซึ่งเหนือกว่า ARM SoC ส่วนใหญ่ และยังสามารถใช้งานได้เต็มรูปแบบใน ecosystem ของ x86 โดยไม่ต้องพึ่งพาการจำกัดแอปหรือการแปลง binary แบบ ARM แม้ AMD จะยอมรับว่า ARM ยังมีพื้นที่ในตลาด เช่น Apple M-series หรือบางกลุ่มของ Qualcomm แต่ก็เชื่อว่า x86 จะยังคงเป็นแกนหลักของตลาด consumer hardware ไปอีกนาน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Medusa Point และ Panther Lake จาก AMD และ Intel ตามลำดับ ✅ จุดยืนของ AMD ต่อ ARM ➡️ ARM ไม่มีข้อได้เปรียบเหนือ x86 แม้แต่ในด้านพลังงาน ➡️ x86 สามารถให้ runtime ยาวนานในโน้ตบุ๊กได้เช่นกัน ➡️ Ecosystem ของ x86 ยังครอบคลุมและเสถียรกว่า ✅ การตอบโต้กระแส Windows on ARM ➡️ Snapdragon X Elite เคยสร้างกระแสว่า ARM จะมาแทน x86 ➡️ AMD และ Intel ตอบโต้ด้วย APU และ NPU รุ่นใหม่ ➡️ Lunar Lake และ Ryzen AI MAX 395+ แสดงให้เห็นว่า x86 ยังแข็งแกร่ง ✅ ประสิทธิภาพของ Ryzen AI MAX 395+ ➡️ ให้ AI TOPS สูงถึง 126 ซึ่งเหนือกว่า ARM หลายรุ่น ➡️ ถูกใช้งานในโน้ตบุ๊ก, mini-PC และ handheld อย่างแพร่หลาย ➡️ ไม่ต้องพึ่งการจำกัดแอปหรือ emulator แบบ ARM ✅ แนวโน้มของตลาดในอนาคต ➡️ x86 จะยังเป็นแกนหลักของ consumer hardware ➡️ ARM ยังมีพื้นที่ในบางกลุ่ม เช่น Apple M-series ➡️ แพลตฟอร์มใหม่อย่าง Medusa Point และ Panther Lake จะผลักดัน x86 ต่อไป https://wccftech.com/amd-claims-that-arm-doesnt-offer-any-advantage-over-x86-even-in-energy-efficiency/
    WCCFTECH.COM
    AMD Claims That ARM Doesn't Offer Any Advantage Over x86, Even in Energy Efficiency, as Recent-Gen APUs Continue to Prove
    AMD has put its full faith in the x86 ecosystem, as the firm claims that the architecture is right on par with ARM.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข้อความปลอมถึง iOS 26: เมื่อ Apple ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีจัดการกับข้อความหลอกลวงอย่างจริงจัง

    Apple ออกคำเตือนล่าสุดถึงผู้ใช้ iPhone ทุกคนว่า หากได้รับข้อความที่อ้างว่าเป็นค่าปรับจราจร, ค่าทางด่วนที่ยังไม่จ่าย, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง—ให้ลบและไม่ตอบกลับทันที เพราะข้อความเหล่านี้คือ smishing หรือ phishing ผ่าน SMS ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์หรือแม้แต่ตอบกลับ เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต, หรือแม้แต่บัญชีธนาคาร

    เพื่อรับมือกับภัยนี้ Apple เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Messages พร้อมกับ iOS 26 ซึ่งจะจัดข้อความออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ Messages, Unknown Senders, Spam และ Recently Deleted โดยข้อความในหมวด Spam จะถูก “ปิดการคลิก” และ “ปิดการตอบกลับ” โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จะต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะสามารถตอบกลับได้

    ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่ม “แรงเสียดทาน” (friction) ในการตอบกลับข้อความหลอกลวง ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ผู้ใช้จะตกเป็นเหยื่อโดยไม่ตั้งใจ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์รู้ว่าหมายเลขนั้นยังใช้งานอยู่

    นอกจากนี้ Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกว่าจะเปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ และสามารถ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งจากโฟลเดอร์ Unknown ไปยังโฟลเดอร์หลักได้ หากมั่นใจว่าเป็นผู้ติดต่อจริง

    FBI ก็ออกคำเตือนเสริมว่า อย่าตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่คุณรู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ และควรตั้งคำลับกับคนในครอบครัวเพื่อใช้ยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน

    ลักษณะของข้อความหลอกลวง (Smishing)
    มักอ้างว่าเป็นค่าปรับ, ค่าทางด่วน, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง
    มีลิงก์หรือข้อความที่กระตุ้นให้คลิกหรือตอบกลับ
    เป้าหมายคือการขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเข้าถึงเครื่องของผู้ใช้

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26
    แอป Messages แบ่งข้อความเป็น 4 หมวด: Messages, Unknown Senders, Spam, Recently Deleted
    ข้อความใน Spam จะถูกปิดการคลิกและตอบกลับ
    ผู้ใช้ต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะตอบกลับได้

    การตั้งค่าที่ผู้ใช้สามารถปรับได้
    เปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ
    ใช้ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งไปยังโฟลเดอร์หลัก
    ไม่มีการแจ้งเตือนสำหรับข้อความในโฟลเดอร์ Spam และ Unknown โดยค่าเริ่มต้น

    คำแนะนำจาก FBI
    อย่าแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับคนที่รู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์
    อย่าส่งเงิน, บัตรของขวัญ, หรือคริปโตให้กับคนที่ไม่รู้จัก
    ตั้งคำลับกับครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/apple-warns-all-iphone-users-to-delete-and-ignore-these-messages-right-away
    🎙️ เรื่องเล่าจากข้อความปลอมถึง iOS 26: เมื่อ Apple ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีจัดการกับข้อความหลอกลวงอย่างจริงจัง Apple ออกคำเตือนล่าสุดถึงผู้ใช้ iPhone ทุกคนว่า หากได้รับข้อความที่อ้างว่าเป็นค่าปรับจราจร, ค่าทางด่วนที่ยังไม่จ่าย, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง—ให้ลบและไม่ตอบกลับทันที เพราะข้อความเหล่านี้คือ smishing หรือ phishing ผ่าน SMS ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์หรือแม้แต่ตอบกลับ เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลในเครื่อง เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต, หรือแม้แต่บัญชีธนาคาร เพื่อรับมือกับภัยนี้ Apple เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Messages พร้อมกับ iOS 26 ซึ่งจะจัดข้อความออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ Messages, Unknown Senders, Spam และ Recently Deleted โดยข้อความในหมวด Spam จะถูก “ปิดการคลิก” และ “ปิดการตอบกลับ” โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จะต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะสามารถตอบกลับได้ ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่ม “แรงเสียดทาน” (friction) ในการตอบกลับข้อความหลอกลวง ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ผู้ใช้จะตกเป็นเหยื่อโดยไม่ตั้งใจ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์รู้ว่าหมายเลขนั้นยังใช้งานอยู่ นอกจากนี้ Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกว่าจะเปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ และสามารถ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งจากโฟลเดอร์ Unknown ไปยังโฟลเดอร์หลักได้ หากมั่นใจว่าเป็นผู้ติดต่อจริง FBI ก็ออกคำเตือนเสริมว่า อย่าตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่คุณรู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ และควรตั้งคำลับกับคนในครอบครัวเพื่อใช้ยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน ✅ ลักษณะของข้อความหลอกลวง (Smishing) ➡️ มักอ้างว่าเป็นค่าปรับ, ค่าทางด่วน, หรือพัสดุที่ยังไม่ส่ง ➡️ มีลิงก์หรือข้อความที่กระตุ้นให้คลิกหรือตอบกลับ ➡️ เป้าหมายคือการขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเข้าถึงเครื่องของผู้ใช้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 ➡️ แอป Messages แบ่งข้อความเป็น 4 หมวด: Messages, Unknown Senders, Spam, Recently Deleted ➡️ ข้อความใน Spam จะถูกปิดการคลิกและตอบกลับ ➡️ ผู้ใช้ต้องย้ายข้อความกลับไปยังโฟลเดอร์หลักก่อนจึงจะตอบกลับได้ ✅ การตั้งค่าที่ผู้ใช้สามารถปรับได้ ➡️ เปิดหรือปิดระบบกรองข้อความอัตโนมัติ ➡️ ใช้ “Mark as Known” เพื่อย้ายผู้ส่งไปยังโฟลเดอร์หลัก ➡️ ไม่มีการแจ้งเตือนสำหรับข้อความในโฟลเดอร์ Spam และ Unknown โดยค่าเริ่มต้น ✅ คำแนะนำจาก FBI ➡️ อย่าแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับคนที่รู้จักแค่ผ่านออนไลน์หรือโทรศัพท์ ➡️ อย่าส่งเงิน, บัตรของขวัญ, หรือคริปโตให้กับคนที่ไม่รู้จัก ➡️ ตั้งคำลับกับครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนในกรณีฉุกเฉิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/07/apple-warns-all-iphone-users-to-delete-and-ignore-these-messages-right-away
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple warns all iPhone users to delete and ignore these messages right away
    The scam messages can include claims of unpaid road tolls, undelivered packages and/or claims of traffic offences.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Pentium 4 ถึง Software Defined Super Core: เมื่อ Intel หยิบเทคนิคเก่า มาปรับใหม่เพื่ออนาคตของ CPU

    Intel ได้จดสิทธิบัตรใหม่ชื่อว่า “Software Defined Super Core” ซึ่งเป็นแนวคิดที่รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียวในสายตาของระบบปฏิบัติการ โดยคอร์ที่รวมกันจะทำงานแบบขนานก่อนจะจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์หรือความเร็วสัญญาณนาฬิกา

    แนวคิดนี้คล้ายกับ “inverse hyper-threading” ที่เคยทดลองในยุค Pentium 4 แต่ถูกปรับให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้ shared memory และ synchronization module ขนาดเล็กในแต่ละคอร์ พร้อมพื้นที่หน่วยความจำพิเศษชื่อ wormhole address space เพื่อจัดการการส่งข้อมูลระหว่างคอร์

    ในทางปฏิบัติ ระบบปฏิบัติการจะต้องตัดสินใจว่า workload ใดควรใช้โหมด super core ซึ่งอาจทำให้การจัดตารางงานซับซ้อนขึ้น และต้องการการสนับสนุนจาก compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ดและใส่คำสั่งควบคุม flow

    Intel หวังว่าแนวทางนี้จะช่วยเพิ่ม performance-per-watt โดยเฉพาะในงานที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ single-thread เช่น AI inference, mining, หรือ simulation ที่ไม่สามารถกระจายงานได้ดีบน multicore แบบเดิม

    แม้จะยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจน แต่แนวคิดนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง brute-force แบบเพิ่มจำนวนคอร์หรือขยายขนาด cache เหมือนที่ AMD และ Apple ใช้ในปัจจุบัน

    แนวคิด Software Defined Super Core ของ Intel
    รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียว
    ทำงานแบบขนานก่อนจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ใช้ shared memory และ synchronization module ภายในคอร์

    จุดต่างจากเทคนิคเดิม
    คล้าย inverse hyper-threading แต่ปรับให้ทันสมัย
    ต่างจาก AMD ที่ใช้ Clustered Multi-Threading โดยแบ่งคอร์เป็นโมดูล
    มีการใช้ wormhole address space เพื่อจัดการข้อมูลระหว่างคอร์

    การใช้งานและความคาดหวัง
    เหมาะกับงาน single-thread ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
    หวังว่าจะเพิ่ม performance-per-watt โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์
    อาจใช้ในงาน AI inference, simulation, หรือ mining

    ข้อกำหนดด้านซอฟต์แวร์
    ต้องการ compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด
    ระบบปฏิบัติการต้องจัดการ scheduling ให้เหมาะกับโหมด super core
    ต้องการการสนับสนุนจาก ecosystem ทั้ง hardware และ software

    https://www.techradar.com/pro/is-it-a-bird-is-it-a-plane-no-its-super-core-intels-latest-patent-revives-ancient-anti-hyperthreading-cpu-technique-in-attempt-to-boost-processor-performance-but-will-it-be-enough
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Pentium 4 ถึง Software Defined Super Core: เมื่อ Intel หยิบเทคนิคเก่า มาปรับใหม่เพื่ออนาคตของ CPU Intel ได้จดสิทธิบัตรใหม่ชื่อว่า “Software Defined Super Core” ซึ่งเป็นแนวคิดที่รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียวในสายตาของระบบปฏิบัติการ โดยคอร์ที่รวมกันจะทำงานแบบขนานก่อนจะจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์หรือความเร็วสัญญาณนาฬิกา แนวคิดนี้คล้ายกับ “inverse hyper-threading” ที่เคยทดลองในยุค Pentium 4 แต่ถูกปรับให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้ shared memory และ synchronization module ขนาดเล็กในแต่ละคอร์ พร้อมพื้นที่หน่วยความจำพิเศษชื่อ wormhole address space เพื่อจัดการการส่งข้อมูลระหว่างคอร์ ในทางปฏิบัติ ระบบปฏิบัติการจะต้องตัดสินใจว่า workload ใดควรใช้โหมด super core ซึ่งอาจทำให้การจัดตารางงานซับซ้อนขึ้น และต้องการการสนับสนุนจาก compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ดและใส่คำสั่งควบคุม flow Intel หวังว่าแนวทางนี้จะช่วยเพิ่ม performance-per-watt โดยเฉพาะในงานที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ single-thread เช่น AI inference, mining, หรือ simulation ที่ไม่สามารถกระจายงานได้ดีบน multicore แบบเดิม แม้จะยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจน แต่แนวคิดนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง brute-force แบบเพิ่มจำนวนคอร์หรือขยายขนาด cache เหมือนที่ AMD และ Apple ใช้ในปัจจุบัน ✅ แนวคิด Software Defined Super Core ของ Intel ➡️ รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียว ➡️ ทำงานแบบขนานก่อนจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ใช้ shared memory และ synchronization module ภายในคอร์ ✅ จุดต่างจากเทคนิคเดิม ➡️ คล้าย inverse hyper-threading แต่ปรับให้ทันสมัย ➡️ ต่างจาก AMD ที่ใช้ Clustered Multi-Threading โดยแบ่งคอร์เป็นโมดูล ➡️ มีการใช้ wormhole address space เพื่อจัดการข้อมูลระหว่างคอร์ ✅ การใช้งานและความคาดหวัง ➡️ เหมาะกับงาน single-thread ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ➡️ หวังว่าจะเพิ่ม performance-per-watt โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์ ➡️ อาจใช้ในงาน AI inference, simulation, หรือ mining ✅ ข้อกำหนดด้านซอฟต์แวร์ ➡️ ต้องการ compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด ➡️ ระบบปฏิบัติการต้องจัดการ scheduling ให้เหมาะกับโหมด super core ➡️ ต้องการการสนับสนุนจาก ecosystem ทั้ง hardware และ software https://www.techradar.com/pro/is-it-a-bird-is-it-a-plane-no-its-super-core-intels-latest-patent-revives-ancient-anti-hyperthreading-cpu-technique-in-attempt-to-boost-processor-performance-but-will-it-be-enough
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Snapdragon X ถึง 18A: เมื่อ Intel ถูกปฏิเสธกลางเวที foundry และ Qualcomm เลือก TSMC อย่างเด็ดขาด

    Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 โดยกล่าวว่า “Intel ยังไม่ใช่ตัวเลือกในวันนี้” สำหรับการผลิตชิป Snapdragon X ที่ใช้ในโน้ตบุ๊กแบบบางเบา แม้จะเสริมว่า “เราก็อยากให้ Intel เป็นตัวเลือกในอนาคต” แต่คำพูดนี้ก็สะเทือนแผนการพลิกโฉมธุรกิจของ Intel อย่างจัง

    Snapdragon X ถูกผลิตโดย TSMC บนเทคโนโลยี N4 ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 4 นาโนเมตรที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง และเหมาะกับชิปที่มี GPU และ NPU ขนาดใหญ่ โดย Qualcomm ใช้ชิปนี้ในโน้ตบุ๊กสถาปัตยกรรม Arm ที่สามารถแข่งขันกับ Intel ได้อย่างสูสี หรือเหนือกว่าในบางกรณี

    Intel กำลังพยายามเปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตชิปสำหรับตนเอง ไปสู่การเป็นผู้ผลิตให้กับบริษัทอื่น (foundry) โดยหวังว่าจะมีลูกค้ารายใหญ่จากภายนอกมาใช้เทคโนโลยี 18A ซึ่งเป็น node ที่ Intel วางไว้เป็นจุดกลับสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

    แต่ Qualcomm กลับเลือก TSMC อย่างชัดเจน และคำพูดของ Amon ก็ทำให้ Intel สูญเสียหนึ่งในโอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างชื่อเสียงในฐานะ foundry ระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อ Apple, Nvidia และ AMD ต่างก็ใช้ TSMC สำหรับชิประดับเรือธงของตน

    ที่น่าสนใจคือ Intel เองก็ยังต้องพึ่ง TSMC ในการผลิตบางส่วนของ Nova Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ของ Intel โดยใช้ TSMC N2 สำหรับชิประดับสูง และ Intel 18A สำหรับชิประดับล่าง—สะท้อนถึงความย้อนแย้งในแผนการของบริษัท

    คำพูดของ CEO Qualcomm
    “Intel ยังไม่ใช่ตัวเลือกในวันนี้” สำหรับการผลิต Snapdragon X
    “แต่เราก็อยากให้ Intel เป็นตัวเลือกในอนาคต”
    สะท้อนถึงความไม่พร้อมของ Intel ในการเป็น foundry ระดับสูง

    การเลือกใช้ TSMC ของ Qualcomm
    Snapdragon X ผลิตบน TSMC N4 ซึ่งเหมาะกับ mobile SoC
    ใช้ในโน้ตบุ๊ก Arm ที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง
    แข่งขันกับ Intel ได้อย่างสูสี หรือเหนือกว่าในบางกรณี

    สถานการณ์ของ Intel
    พยายามเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ผลิตชิปให้บริษัทอื่น
    หวังให้ 18A เป็น node ที่นำกลับสู่ความเป็นผู้นำ
    Nova Lake ใช้ TSMC N2 สำหรับชิประดับสูง และ Intel 18A สำหรับชิประดับล่าง

    บริบทของตลาด foundry
    Apple, Nvidia, AMD ใช้ TSMC สำหรับชิประดับเรือธง
    TSMC ครองตลาด node ขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง
    Intel ยังไม่สามารถดึงลูกค้ารายใหญ่เข้ามาได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/qualcomm-ceo-says-intel-not-an-option-for-chip-production
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Snapdragon X ถึง 18A: เมื่อ Intel ถูกปฏิเสธกลางเวที foundry และ Qualcomm เลือก TSMC อย่างเด็ดขาด Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 โดยกล่าวว่า “Intel ยังไม่ใช่ตัวเลือกในวันนี้” สำหรับการผลิตชิป Snapdragon X ที่ใช้ในโน้ตบุ๊กแบบบางเบา แม้จะเสริมว่า “เราก็อยากให้ Intel เป็นตัวเลือกในอนาคต” แต่คำพูดนี้ก็สะเทือนแผนการพลิกโฉมธุรกิจของ Intel อย่างจัง Snapdragon X ถูกผลิตโดย TSMC บนเทคโนโลยี N4 ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 4 นาโนเมตรที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง และเหมาะกับชิปที่มี GPU และ NPU ขนาดใหญ่ โดย Qualcomm ใช้ชิปนี้ในโน้ตบุ๊กสถาปัตยกรรม Arm ที่สามารถแข่งขันกับ Intel ได้อย่างสูสี หรือเหนือกว่าในบางกรณี Intel กำลังพยายามเปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตชิปสำหรับตนเอง ไปสู่การเป็นผู้ผลิตให้กับบริษัทอื่น (foundry) โดยหวังว่าจะมีลูกค้ารายใหญ่จากภายนอกมาใช้เทคโนโลยี 18A ซึ่งเป็น node ที่ Intel วางไว้เป็นจุดกลับสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม แต่ Qualcomm กลับเลือก TSMC อย่างชัดเจน และคำพูดของ Amon ก็ทำให้ Intel สูญเสียหนึ่งในโอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างชื่อเสียงในฐานะ foundry ระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อ Apple, Nvidia และ AMD ต่างก็ใช้ TSMC สำหรับชิประดับเรือธงของตน ที่น่าสนใจคือ Intel เองก็ยังต้องพึ่ง TSMC ในการผลิตบางส่วนของ Nova Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ของ Intel โดยใช้ TSMC N2 สำหรับชิประดับสูง และ Intel 18A สำหรับชิประดับล่าง—สะท้อนถึงความย้อนแย้งในแผนการของบริษัท ✅ คำพูดของ CEO Qualcomm ➡️ “Intel ยังไม่ใช่ตัวเลือกในวันนี้” สำหรับการผลิต Snapdragon X ➡️ “แต่เราก็อยากให้ Intel เป็นตัวเลือกในอนาคต” ➡️ สะท้อนถึงความไม่พร้อมของ Intel ในการเป็น foundry ระดับสูง ✅ การเลือกใช้ TSMC ของ Qualcomm ➡️ Snapdragon X ผลิตบน TSMC N4 ซึ่งเหมาะกับ mobile SoC ➡️ ใช้ในโน้ตบุ๊ก Arm ที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง ➡️ แข่งขันกับ Intel ได้อย่างสูสี หรือเหนือกว่าในบางกรณี ✅ สถานการณ์ของ Intel ➡️ พยายามเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ผลิตชิปให้บริษัทอื่น ➡️ หวังให้ 18A เป็น node ที่นำกลับสู่ความเป็นผู้นำ ➡️ Nova Lake ใช้ TSMC N2 สำหรับชิประดับสูง และ Intel 18A สำหรับชิประดับล่าง ✅ บริบทของตลาด foundry ➡️ Apple, Nvidia, AMD ใช้ TSMC สำหรับชิประดับเรือธง ➡️ TSMC ครองตลาด node ขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง ➡️ Intel ยังไม่สามารถดึงลูกค้ารายใหญ่เข้ามาได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/qualcomm-ceo-says-intel-not-an-option-for-chip-production
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Qualcomm CEO says Intel ‘not an option’ for chip production — yet
    Cristiano Amon’s remarks underscore the gap between Intel’s ambitious foundry roadmap and reality.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts