• 🌐 DNS Blocking: เครื่องมือควบคุมอินเทอร์เน็ตที่อาจสร้างผลกระทบ
    รายงานใหม่จาก i2Coalition เตือนถึง แนวโน้มที่น่ากังวล ของรัฐบาลทั่วโลกที่ใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจและการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต

    DNS (Domain Name System) ทำหน้าที่เป็น สมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็น หมายเลข IP เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบางประเทศ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน และจีน ได้ใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์ เช่น การเซ็นเซอร์ทางการเมือง, การป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และการคุ้มครองเด็ก

    นอกจากนี้ ประเทศในยุโรป เช่น อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศส กำลังใช้ DNS blocking เพื่อป้องกัน การละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้วิธีเดียวกัน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - i2Coalition เตือนถึงการใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์
    - DNS ทำหน้าที่เป็นสมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็นหมายเลข IP
    - รัสเซีย, อิหร่าน และจีนใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์
    - อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศสใช้ DNS blocking เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์
    - สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้ DNS blocking ในการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - DNS blocking ไม่สามารถลบเนื้อหาออกจากอินเทอร์เน็ตได้จริง แต่เพียงแค่บดบังการเข้าถึง
    - การบล็อก DNS อาจนำไปสู่การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยไม่ได้ตั้งใจ
    - VPN กำลังกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    - การบล็อก DNS และ VPN อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของอินเทอร์เน็ตและลดความเป็นกลางของโครงสร้างพื้นฐาน

    แม้ว่าการบล็อก DNS จะถูกใช้เพื่อ ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์และเนื้อหาที่เป็นอันตราย แต่ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่การควบคุมอินเทอร์เน็ตที่มากเกินไป และ ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางดิจิทัลในระยะยาว

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/dns-resolvers-arent-a-censorship-tool-experts-warn-against-the-risks-of-growing-internet-blocking
    🌐 DNS Blocking: เครื่องมือควบคุมอินเทอร์เน็ตที่อาจสร้างผลกระทบ รายงานใหม่จาก i2Coalition เตือนถึง แนวโน้มที่น่ากังวล ของรัฐบาลทั่วโลกที่ใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจและการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต DNS (Domain Name System) ทำหน้าที่เป็น สมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็น หมายเลข IP เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบางประเทศ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน และจีน ได้ใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์ เช่น การเซ็นเซอร์ทางการเมือง, การป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และการคุ้มครองเด็ก นอกจากนี้ ประเทศในยุโรป เช่น อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศส กำลังใช้ DNS blocking เพื่อป้องกัน การละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้วิธีเดียวกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - i2Coalition เตือนถึงการใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์ - DNS ทำหน้าที่เป็นสมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็นหมายเลข IP - รัสเซีย, อิหร่าน และจีนใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์ - อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศสใช้ DNS blocking เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ - สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้ DNS blocking ในการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - DNS blocking ไม่สามารถลบเนื้อหาออกจากอินเทอร์เน็ตได้จริง แต่เพียงแค่บดบังการเข้าถึง - การบล็อก DNS อาจนำไปสู่การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยไม่ได้ตั้งใจ - VPN กำลังกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต - การบล็อก DNS และ VPN อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของอินเทอร์เน็ตและลดความเป็นกลางของโครงสร้างพื้นฐาน แม้ว่าการบล็อก DNS จะถูกใช้เพื่อ ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์และเนื้อหาที่เป็นอันตราย แต่ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่การควบคุมอินเทอร์เน็ตที่มากเกินไป และ ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางดิจิทัลในระยะยาว https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/dns-resolvers-arent-a-censorship-tool-experts-warn-against-the-risks-of-growing-internet-blocking
    WWW.TECHRADAR.COM
    "DNS resolvers aren’t a censorship tool" – experts warn against the risks of growing internet blocking
    A new report seeks to shed light on DNS blocking and other internet restrictions across the world
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • 🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm
    EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud

    SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588

    เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ
    - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์
    - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย
    - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud
    - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่
    - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน

    SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร

    https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588 เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ✅ ข้อมูลจากข่าว - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์ - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่ - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่ - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    EdgeCortix SAKURA-II Enables GenAI on Raspberry Pi 5 and Arm Systems
    EdgeCortix Inc., a leading fabless semiconductor company specializing in energy-efficient Artificial Intelligence (AI) processing at the edge, today announced that its industry leading AI accelerator, SAKURA-II M.2 Module is now available with Arm-based platforms, including Raspberry Pi 5 and AETINA...
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • 🔒 ช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบ Linux อาจทำให้รหัสผ่านรั่วไหล
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Qualys ได้ค้นพบ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการ ในระบบ Linux ซึ่งอาจทำให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน ได้

    ช่องโหว่แรกพบใน Apport ซึ่งเป็น core dump-handler ของ Ubuntu และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-5054 ช่องโหว่ที่สองพบใน core dump-handler ของ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 รวมถึง Fedora และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-4598

    ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ซึ่งช่วยให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกบันทึกใน core dump โดยอาจมี รหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Qualys พบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการในระบบ Linux
    - ช่องโหว่แรก (CVE-2025-5054) อยู่ใน Apport ของ Ubuntu
    - ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-4598) อยู่ใน core dump-handler ของ Red Hat และ Fedora
    - ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ที่ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ
    - Debian ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มี core dump-handler เป็นค่าเริ่มต้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญของระบบ
    - Ubuntu 24.04 และทุกเวอร์ชันตั้งแต่ 16.04 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-5054
    - Fedora 40/41 และ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-4598
    - ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของ core dumps และใช้มาตรการป้องกันเพิ่มเติม

    Qualys ได้พัฒนา proof-of-concept (PoC) สำหรับช่องโหว่เหล่านี้ และแนะนำให้ ผู้ดูแลระบบทำให้ core dumps ถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย รวมถึง ใช้การตรวจสอบ PID ที่เข้มงวด และจำกัดการเข้าถึงไฟล์ SUID/SGID core

    https://www.techradar.com/pro/security/key-linux-systems-may-have-security-flaws-which-allow-password-theft
    🔒 ช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบ Linux อาจทำให้รหัสผ่านรั่วไหล นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Qualys ได้ค้นพบ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการ ในระบบ Linux ซึ่งอาจทำให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน ได้ ช่องโหว่แรกพบใน Apport ซึ่งเป็น core dump-handler ของ Ubuntu และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-5054 ช่องโหว่ที่สองพบใน core dump-handler ของ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 รวมถึง Fedora และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-4598 ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ซึ่งช่วยให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกบันทึกใน core dump โดยอาจมี รหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Qualys พบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการในระบบ Linux - ช่องโหว่แรก (CVE-2025-5054) อยู่ใน Apport ของ Ubuntu - ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-4598) อยู่ใน core dump-handler ของ Red Hat และ Fedora - ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ที่ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ - Debian ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มี core dump-handler เป็นค่าเริ่มต้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญของระบบ - Ubuntu 24.04 และทุกเวอร์ชันตั้งแต่ 16.04 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-5054 - Fedora 40/41 และ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-4598 - ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของ core dumps และใช้มาตรการป้องกันเพิ่มเติม Qualys ได้พัฒนา proof-of-concept (PoC) สำหรับช่องโหว่เหล่านี้ และแนะนำให้ ผู้ดูแลระบบทำให้ core dumps ถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย รวมถึง ใช้การตรวจสอบ PID ที่เข้มงวด และจำกัดการเข้าถึงไฟล์ SUID/SGID core https://www.techradar.com/pro/security/key-linux-systems-may-have-security-flaws-which-allow-password-theft
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • รุสเตม อูเมรอฟ (Rustem Umerov) รัฐมนตรีกลาโหมยูเครน กล่าวหลังจบการเจรจา:

    "รัสเซียไม่ได้ตกลงเรื่องการหยุดยิง รวมทั้งเรื่องการประชุมระดับผู้นำ มีแต่เพียงเรื่องการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษและร่างทหารที่พลีชีพ"

    👉ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะแลกเปลี่ยนเชลยศึกที่บาดเจ็บและป่วย รวมถึงทหารทุกนายที่มีอายุระหว่าง 18–25 ปี

    👉ยูเครนและรัสเซียตกลงที่จะคืนร่างทหารต่อกัน 6,000 นาย ในอัตราส่วน 1:1

    👉ยูเครนเสนอให้มีการเจรจารอบใหม่กับรัสเซียอีกครั้งช่วงปลายเดือนนี้ โดยกำหนดคร่าวๆระหว่างวันที่ 20-30 มิถุนายน (ฝ่ายรัสเซียยังไม่รับปาก)

    👉ยูเครนเชื่อว่าปัญหาสำคัญทั้งหมดสามารถแก้ไขได้เฉพาะในระดับผู้นำประเทศเท่านั้นที่ต้องมีการเจรจากันโดยตรง (ฝ่ายรัสเซียยังไม่รับปาก)


    โดยสรุปแล้วไม่มีความก้าวหน้าที่สำคัญใดๆ ในการประชุมวันนี้ที่อิสตันบูล มีเพียงแค่การแลกเปลี่ยนตัวเชลยและร่างทหารที่พลีชีพ ซึ่งเป็นเพียงความก้าวหน้าเล็กน้อยอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

    นอกจากนี้ ในระหว่างการให้สัมภาษณ์นอกรอบ อูเมรอฟกล่าวถึงการโจมตีฐานทัพอากาศรัสเซียว่า "หากรัสเซียยอมหยุดยิงอย่างจริงจัง เครื่องบินของพวกเขาคงจะไม่ถูกระเบิด!"
    รุสเตม อูเมรอฟ (Rustem Umerov) รัฐมนตรีกลาโหมยูเครน กล่าวหลังจบการเจรจา: "รัสเซียไม่ได้ตกลงเรื่องการหยุดยิง รวมทั้งเรื่องการประชุมระดับผู้นำ มีแต่เพียงเรื่องการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษและร่างทหารที่พลีชีพ" 👉ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะแลกเปลี่ยนเชลยศึกที่บาดเจ็บและป่วย รวมถึงทหารทุกนายที่มีอายุระหว่าง 18–25 ปี 👉ยูเครนและรัสเซียตกลงที่จะคืนร่างทหารต่อกัน 6,000 นาย ในอัตราส่วน 1:1 👉ยูเครนเสนอให้มีการเจรจารอบใหม่กับรัสเซียอีกครั้งช่วงปลายเดือนนี้ โดยกำหนดคร่าวๆระหว่างวันที่ 20-30 มิถุนายน (ฝ่ายรัสเซียยังไม่รับปาก) 👉ยูเครนเชื่อว่าปัญหาสำคัญทั้งหมดสามารถแก้ไขได้เฉพาะในระดับผู้นำประเทศเท่านั้นที่ต้องมีการเจรจากันโดยตรง (ฝ่ายรัสเซียยังไม่รับปาก) โดยสรุปแล้วไม่มีความก้าวหน้าที่สำคัญใดๆ ในการประชุมวันนี้ที่อิสตันบูล มีเพียงแค่การแลกเปลี่ยนตัวเชลยและร่างทหารที่พลีชีพ ซึ่งเป็นเพียงความก้าวหน้าเล็กน้อยอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ในระหว่างการให้สัมภาษณ์นอกรอบ อูเมรอฟกล่าวถึงการโจมตีฐานทัพอากาศรัสเซียว่า "หากรัสเซียยอมหยุดยิงอย่างจริงจัง เครื่องบินของพวกเขาคงจะไม่ถูกระเบิด!"
    0 Comments 0 Shares 187 Views 8 0 Reviews
  • 🛡️ AI-powered “Repeaters”: เทคนิคใหม่ของอาชญากรไซเบอร์
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก AU10TIX ได้ค้นพบกลยุทธ์ใหม่ที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ในการเจาะระบบของ ธนาคารและแพลตฟอร์มคริปโต โดยใช้ AI-powered Repeaters ซึ่งเป็น ตัวตนดิจิทัลปลอมที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อย เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ

    Repeaters ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีทันที แต่จะ ทดสอบระบบป้องกันขององค์กร โดยใช้ ตัวตนดิจิทัลที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนใบหน้า, แก้ไขหมายเลขเอกสาร หรือปรับพื้นหลังของภาพ

    เมื่อระบบตรวจสอบแต่ละตัวตนแยกกัน จะไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ ทำให้ Repeaters สามารถ ผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC) และการตรวจสอบไบโอเมตริกซ์ ได้อย่างง่ายดาย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Repeaters เป็นตัวตนดิจิทัลปลอมที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อทดสอบระบบป้องกันขององค์กร
    - ใช้เทคนิค deepfake เพื่อเปลี่ยนใบหน้า, หมายเลขเอกสาร และพื้นหลังของภาพ
    - สามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบไบโอเมตริกซ์และ KYC ได้อย่างง่ายดาย
    - AU10TIX เปิดตัว “consortium validation” เพื่อให้หลายองค์กรแชร์ข้อมูลและตรวจจับ Repeaters ได้ดีขึ้น
    - ระบบใหม่ช่วยให้สามารถตรวจจับตัวตนที่ถูกใช้ซ้ำในหลายแพลตฟอร์มได้แบบเรียลไทม์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ระบบตรวจสอบตัวตนแบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถรับมือกับ Repeaters ได้
    - อาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ Repeaters เพื่อเจาะระบบของธนาคารและแพลตฟอร์มคริปโต
    - ต้องมีการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้ในหลายแพลตฟอร์มเพื่อป้องกันการโจมตีแบบเงียบ
    - ไม่มีโซลูชันใดที่สามารถป้องกัน Repeaters ได้ 100% ต้องใช้การตรวจสอบแบบหลายชั้น

    Repeaters แสดงให้เห็นว่า AI กำลังถูกใช้เพื่อพัฒนาเทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น องค์กรต้อง ปรับปรุงระบบตรวจสอบตัวตนให้สามารถตรวจจับตัวตนที่ถูกใช้ซ้ำ และ ใช้การตรวจสอบแบบพฤติกรรมเพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/security/cybercriminals-are-deploying-deepfake-sentinels-to-test-detection-systems-of-businesses-heres-what-you-need-to-know
    🛡️ AI-powered “Repeaters”: เทคนิคใหม่ของอาชญากรไซเบอร์ นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก AU10TIX ได้ค้นพบกลยุทธ์ใหม่ที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ในการเจาะระบบของ ธนาคารและแพลตฟอร์มคริปโต โดยใช้ AI-powered Repeaters ซึ่งเป็น ตัวตนดิจิทัลปลอมที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อย เพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ Repeaters ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีทันที แต่จะ ทดสอบระบบป้องกันขององค์กร โดยใช้ ตัวตนดิจิทัลที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนใบหน้า, แก้ไขหมายเลขเอกสาร หรือปรับพื้นหลังของภาพ เมื่อระบบตรวจสอบแต่ละตัวตนแยกกัน จะไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ ทำให้ Repeaters สามารถ ผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC) และการตรวจสอบไบโอเมตริกซ์ ได้อย่างง่ายดาย ✅ ข้อมูลจากข่าว - Repeaters เป็นตัวตนดิจิทัลปลอมที่ถูกปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อทดสอบระบบป้องกันขององค์กร - ใช้เทคนิค deepfake เพื่อเปลี่ยนใบหน้า, หมายเลขเอกสาร และพื้นหลังของภาพ - สามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบไบโอเมตริกซ์และ KYC ได้อย่างง่ายดาย - AU10TIX เปิดตัว “consortium validation” เพื่อให้หลายองค์กรแชร์ข้อมูลและตรวจจับ Repeaters ได้ดีขึ้น - ระบบใหม่ช่วยให้สามารถตรวจจับตัวตนที่ถูกใช้ซ้ำในหลายแพลตฟอร์มได้แบบเรียลไทม์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ระบบตรวจสอบตัวตนแบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถรับมือกับ Repeaters ได้ - อาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ Repeaters เพื่อเจาะระบบของธนาคารและแพลตฟอร์มคริปโต - ต้องมีการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้ในหลายแพลตฟอร์มเพื่อป้องกันการโจมตีแบบเงียบ - ไม่มีโซลูชันใดที่สามารถป้องกัน Repeaters ได้ 100% ต้องใช้การตรวจสอบแบบหลายชั้น Repeaters แสดงให้เห็นว่า AI กำลังถูกใช้เพื่อพัฒนาเทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น องค์กรต้อง ปรับปรุงระบบตรวจสอบตัวตนให้สามารถตรวจจับตัวตนที่ถูกใช้ซ้ำ และ ใช้การตรวจสอบแบบพฤติกรรมเพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต https://www.techradar.com/pro/security/cybercriminals-are-deploying-deepfake-sentinels-to-test-detection-systems-of-businesses-heres-what-you-need-to-know
    WWW.TECHRADAR.COM
    This sneaky fraud tactic uses deepfakes to outsmart your favorite digital services
    Repeaters are used to test your system’s defense before large-scale attack
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • ☕ Java ครบรอบ 30 ปี: ภาษาที่ไม่มีวันตาย
    Java ฉลองครบรอบ 30 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวโดย Sun Microsystems เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1995 โดยยังคงเป็นหนึ่งในภาษาการเขียนโปรแกรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก

    Java ถูกพัฒนาขึ้นโดย James Gosling และทีมงานที่ Sun Microsystems โดยมีเป้าหมายแรกเริ่มเพื่อใช้กับ ระบบโทรทัศน์แบบอินเทอร์แอคทีฟและอุปกรณ์ฝังตัว ก่อนจะเปลี่ยนไปเน้นที่ แอปพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ต

    จุดเด่นของ Java คือ ความเป็นแพลตฟอร์มอิสระ ซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถทำงานบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ที่มี Java Virtual Machine (JVM) ด้วยแนวคิด "Write Once, Run Anywhere"

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Java เปิดตัวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1995 โดย Sun Microsystems
    - James Gosling ออกแบบ Java ให้เป็น "C++ ที่ปลอดภัยกว่า"
    - Java มีความเป็นแพลตฟอร์มอิสระ ทำให้สามารถรันบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ที่มี JVM
    - Sun Microsystems เปิด OpenJDK ในปี 2006 เพื่อให้ Java เป็นโอเพ่นซอร์ส
    - Oracle ซื้อ Sun Microsystems ในปี 2010 และเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้งาน Java

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Oracle มีการเปลี่ยนแปลงด้านลิขสิทธิ์ ทำให้บางองค์กรต้องหาทางเลือกอื่น เช่น OpenJDK จากผู้ให้บริการรายอื่น
    - แม้ Java จะยังคงได้รับความนิยม แต่ต้องแข่งขันกับภาษาใหม่ ๆ เช่น Python และ JavaScript
    - การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เช่น Cloud Computing อาจทำให้ Java ต้องปรับตัวต่อไป
    - ต้องติดตามว่า Java จะสามารถรักษาความนิยมในยุค AI และ Quantum Computing ได้หรือไม่

    Java ยังคงเป็น ภาษาหลักในระบบองค์กร, Big Data และ Cloud Computing แม้จะมีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แต่ ความเสถียรและความเข้ากันได้ย้อนหลัง ทำให้ Java ยังคงเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับนักพัฒนา

    https://www.techspot.com/news/108136-java-turns-30-shows-no-signs-slowing-down.html
    ☕ Java ครบรอบ 30 ปี: ภาษาที่ไม่มีวันตาย Java ฉลองครบรอบ 30 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวโดย Sun Microsystems เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1995 โดยยังคงเป็นหนึ่งในภาษาการเขียนโปรแกรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Java ถูกพัฒนาขึ้นโดย James Gosling และทีมงานที่ Sun Microsystems โดยมีเป้าหมายแรกเริ่มเพื่อใช้กับ ระบบโทรทัศน์แบบอินเทอร์แอคทีฟและอุปกรณ์ฝังตัว ก่อนจะเปลี่ยนไปเน้นที่ แอปพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ต จุดเด่นของ Java คือ ความเป็นแพลตฟอร์มอิสระ ซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถทำงานบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ที่มี Java Virtual Machine (JVM) ด้วยแนวคิด "Write Once, Run Anywhere" ✅ ข้อมูลจากข่าว - Java เปิดตัวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1995 โดย Sun Microsystems - James Gosling ออกแบบ Java ให้เป็น "C++ ที่ปลอดภัยกว่า" - Java มีความเป็นแพลตฟอร์มอิสระ ทำให้สามารถรันบนระบบปฏิบัติการใดก็ได้ที่มี JVM - Sun Microsystems เปิด OpenJDK ในปี 2006 เพื่อให้ Java เป็นโอเพ่นซอร์ส - Oracle ซื้อ Sun Microsystems ในปี 2010 และเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้งาน Java ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Oracle มีการเปลี่ยนแปลงด้านลิขสิทธิ์ ทำให้บางองค์กรต้องหาทางเลือกอื่น เช่น OpenJDK จากผู้ให้บริการรายอื่น - แม้ Java จะยังคงได้รับความนิยม แต่ต้องแข่งขันกับภาษาใหม่ ๆ เช่น Python และ JavaScript - การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เช่น Cloud Computing อาจทำให้ Java ต้องปรับตัวต่อไป - ต้องติดตามว่า Java จะสามารถรักษาความนิยมในยุค AI และ Quantum Computing ได้หรือไม่ Java ยังคงเป็น ภาษาหลักในระบบองค์กร, Big Data และ Cloud Computing แม้จะมีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แต่ ความเสถียรและความเข้ากันได้ย้อนหลัง ทำให้ Java ยังคงเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับนักพัฒนา https://www.techspot.com/news/108136-java-turns-30-shows-no-signs-slowing-down.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Java turns 30 and shows no signs of slowing down
    Java's origins trace back to the early 1990s, when a team at Sun Microsystems led by James Gosling set out to develop a language for interactive television...
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • ☀️ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ: ก้าวใหม่ของเทคโนโลยี
    นักวิจัยจาก Japan Space Systems (JSS) ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังเสาอากาศบนพื้นดิน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่การส่งพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศมายังโลก

    แนวคิดการส่งพลังงานจากอวกาศไม่ใช่เรื่องใหม่ Caltech เคยทดลองส่งพลังงานจากวงโคจรต่ำมายังพื้นโลกในปี 2023 และบริษัทสตาร์ทอัพในแคลิฟอร์เนียเคยเสนอแนวคิดใช้ดาวเทียมติดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์เพื่อผลิตพลังงาน

    ข้อดีของแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศคือ สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า เนื่องจากไม่มีชั้นบรรยากาศมาขวางกั้น และสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - JSS ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังพื้นดิน
    - พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศสามารถผลิตได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า
    - การส่งพลังงานผ่านไมโครเวฟสูญเสียพลังงานเพียง 5% เมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ
    - ระบบสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    - JSS วางแผนส่งพลังงานจากดาวเทียมที่อยู่ห่างจากโลก 36,000 กิโลเมตร

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การแปลงพลังงานไปเป็นไมโครเวฟและกลับมาเป็นไฟฟ้าสูญเสียพลังงานจำนวนมาก
    - ดาวเทียมต้องเผชิญกับอันตรายจากอุกกาบาตขนาดเล็กและเศษซากอวกาศ
    - บางคนกังวลว่าเครื่องส่งพลังงานไมโครเวฟอาจถูกใช้เป็นอาวุธ
    - ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบนี้สามารถใช้งานได้จริง

    🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของพลังงาน
    หากเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริง อาจช่วยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการพัฒนาและทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techspot.com/news/108097-beaming-solar-power-space-closer-reality-after-breakthrough.html
    ☀️ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ: ก้าวใหม่ของเทคโนโลยี นักวิจัยจาก Japan Space Systems (JSS) ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังเสาอากาศบนพื้นดิน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่การส่งพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศมายังโลก แนวคิดการส่งพลังงานจากอวกาศไม่ใช่เรื่องใหม่ Caltech เคยทดลองส่งพลังงานจากวงโคจรต่ำมายังพื้นโลกในปี 2023 และบริษัทสตาร์ทอัพในแคลิฟอร์เนียเคยเสนอแนวคิดใช้ดาวเทียมติดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์เพื่อผลิตพลังงาน ข้อดีของแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศคือ สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า เนื่องจากไม่มีชั้นบรรยากาศมาขวางกั้น และสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ✅ ข้อมูลจากข่าว - JSS ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังพื้นดิน - พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศสามารถผลิตได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า - การส่งพลังงานผ่านไมโครเวฟสูญเสียพลังงานเพียง 5% เมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ - ระบบสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง - JSS วางแผนส่งพลังงานจากดาวเทียมที่อยู่ห่างจากโลก 36,000 กิโลเมตร ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การแปลงพลังงานไปเป็นไมโครเวฟและกลับมาเป็นไฟฟ้าสูญเสียพลังงานจำนวนมาก - ดาวเทียมต้องเผชิญกับอันตรายจากอุกกาบาตขนาดเล็กและเศษซากอวกาศ - บางคนกังวลว่าเครื่องส่งพลังงานไมโครเวฟอาจถูกใช้เป็นอาวุธ - ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบนี้สามารถใช้งานได้จริง 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของพลังงาน หากเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริง อาจช่วยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการพัฒนาและทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techspot.com/news/108097-beaming-solar-power-space-closer-reality-after-breakthrough.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Beaming solar power from space is closer to reality after breakthrough Japanese test
    Researchers from Japan Space Systems (JSS) recently beamed energy wirelessly from a speeding jet to antennae on the ground. The successful experiment confirms the viability of numerous...
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • 🚨 สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน
    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้บริษัทผู้ผลิต Electronic Design Automation (EDA) software เช่น Synopsys, Cadence Design Systems และ Siemens EDA หยุดขายเทคโนโลยีให้กับจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดขึ้น

    EDA software เป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบและจำลองชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของเทคโนโลยี AI และการประมวลผลขั้นสูง การจำกัดการเข้าถึงซอฟต์แวร์นี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของจีนในการพัฒนา ชิปยุคใหม่

    ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้าม Nvidia ขายชิป H20 ให้กับจีน ซึ่งเป็นมาตรการที่ต่อเนื่องจากการควบคุมการส่งออกชิป AI ตั้งแต่ปี 2022

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - สหรัฐฯ สั่งให้ Synopsys, Cadence และ Siemens EDA หยุดขายซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน
    - EDA software มีความสำคัญต่อการพัฒนา AI และเทคโนโลยีขั้นสูง
    - ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ห้าม Nvidia ขายชิป H20 ให้จีน
    - จีนคิดเป็น 16% ของรายได้ Synopsys และ 12% ของรายได้ Cadence
    - หุ้นของ Synopsys และ Cadence ร่วงลงกว่า 9% หลังข่าวนี้เผยแพร่

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การจำกัดการส่งออกอาจกระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง
    - บริษัทสหรัฐฯ อาจสูญเสียรายได้จากตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    - การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเปราะบาง แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดการขึ้นภาษีใหม่เป็นเวลา 90 วัน
    - บริษัทจีน เช่น Empyrean Technology และ Primarius กำลังได้รับแรงหนุนจากมาตรการนี้

    🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    มาตรการของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้จีนเร่งพัฒนา EDA software ของตนเอง และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในระยะยาว

    https://www.techspot.com/news/108102-trump-blocks-china-key-semiconductor-design-software.html
    🚨 สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้บริษัทผู้ผลิต Electronic Design Automation (EDA) software เช่น Synopsys, Cadence Design Systems และ Siemens EDA หยุดขายเทคโนโลยีให้กับจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดขึ้น EDA software เป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบและจำลองชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของเทคโนโลยี AI และการประมวลผลขั้นสูง การจำกัดการเข้าถึงซอฟต์แวร์นี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของจีนในการพัฒนา ชิปยุคใหม่ ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้าม Nvidia ขายชิป H20 ให้กับจีน ซึ่งเป็นมาตรการที่ต่อเนื่องจากการควบคุมการส่งออกชิป AI ตั้งแต่ปี 2022 ✅ ข้อมูลจากข่าว - สหรัฐฯ สั่งให้ Synopsys, Cadence และ Siemens EDA หยุดขายซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน - EDA software มีความสำคัญต่อการพัฒนา AI และเทคโนโลยีขั้นสูง - ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ห้าม Nvidia ขายชิป H20 ให้จีน - จีนคิดเป็น 16% ของรายได้ Synopsys และ 12% ของรายได้ Cadence - หุ้นของ Synopsys และ Cadence ร่วงลงกว่า 9% หลังข่าวนี้เผยแพร่ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การจำกัดการส่งออกอาจกระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง - บริษัทสหรัฐฯ อาจสูญเสียรายได้จากตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก - การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเปราะบาง แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดการขึ้นภาษีใหม่เป็นเวลา 90 วัน - บริษัทจีน เช่น Empyrean Technology และ Primarius กำลังได้รับแรงหนุนจากมาตรการนี้ 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ มาตรการของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้จีนเร่งพัฒนา EDA software ของตนเอง และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในระยะยาว https://www.techspot.com/news/108102-trump-blocks-china-key-semiconductor-design-software.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump blocks China from key semiconductor design software
    These companies collectively control about 80 percent of China's EDA market, making them a critical part of the global semiconductor supply chain. EDA software, though a relatively...
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • Apple กำลังวางแผน เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการ โดยแทนที่จะใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม เช่น iOS 19 บริษัทอาจเปลี่ยนไปใช้ iOS 26 เพื่อให้สอดคล้องกับปีที่เปิดตัว ซึ่งจะมีผลกับ iPadOS, macOS, watchOS, tvOS และ visionOS

    Apple ไม่ใช่บริษัทแรกที่เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อซอฟต์แวร์ Samsung เคยเปลี่ยนจาก Galaxy S10 เป็น Galaxy S20 และ Microsoft ก็เคยทดลองใช้แนวทางนี้ก่อนจะกลับไปใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม

    นอกจากนี้ Apple ยังเตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า "Solarium" ซึ่งจะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงการปรับปรุง Apple Intelligence และอาจมีแอปเกมใหม่สำหรับ iPhone, iPad และ Mac

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Apple อาจเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการเป็น iOS 26, macOS 26, iPadOS 26, watchOS 26, tvOS 26 และ visionOS 26
    - การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อ ลดความสับสนและสร้างความเป็นเอกภาพในแบรนด์
    - Apple เตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ "Solarium" ที่จะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์ม
    - อาจมีการเปิดตัว แอปเกมใหม่ สำหรับ iPhone, iPad และ Mac
    - Apple Intelligence อาจถูกเลื่อนเปิดตัวไปปี 2026

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อ อาจทำให้ผู้ใช้สับสนในช่วงแรก
    - Apple Intelligence อาจเปิดตัวล่าช้ากว่าที่คาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ของบริษัท
    - การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ อาจทำให้บางฟีเจอร์ถูกปรับเปลี่ยนหรือถูกตัดออก
    - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน WWDC 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2025

    Apple กำลังเตรียมปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับระบบปฏิบัติการของตน ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งานและการรับรู้แบรนด์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องรอดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร

    https://www.techradar.com/computing/software/apple-might-be-about-to-make-a-major-change-to-how-it-names-its-operating-systems
    Apple กำลังวางแผน เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการ โดยแทนที่จะใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม เช่น iOS 19 บริษัทอาจเปลี่ยนไปใช้ iOS 26 เพื่อให้สอดคล้องกับปีที่เปิดตัว ซึ่งจะมีผลกับ iPadOS, macOS, watchOS, tvOS และ visionOS Apple ไม่ใช่บริษัทแรกที่เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อซอฟต์แวร์ Samsung เคยเปลี่ยนจาก Galaxy S10 เป็น Galaxy S20 และ Microsoft ก็เคยทดลองใช้แนวทางนี้ก่อนจะกลับไปใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม นอกจากนี้ Apple ยังเตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า "Solarium" ซึ่งจะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงการปรับปรุง Apple Intelligence และอาจมีแอปเกมใหม่สำหรับ iPhone, iPad และ Mac ✅ ข้อมูลจากข่าว - Apple อาจเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการเป็น iOS 26, macOS 26, iPadOS 26, watchOS 26, tvOS 26 และ visionOS 26 - การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อ ลดความสับสนและสร้างความเป็นเอกภาพในแบรนด์ - Apple เตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ "Solarium" ที่จะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์ม - อาจมีการเปิดตัว แอปเกมใหม่ สำหรับ iPhone, iPad และ Mac - Apple Intelligence อาจถูกเลื่อนเปิดตัวไปปี 2026 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อ อาจทำให้ผู้ใช้สับสนในช่วงแรก - Apple Intelligence อาจเปิดตัวล่าช้ากว่าที่คาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ของบริษัท - การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ อาจทำให้บางฟีเจอร์ถูกปรับเปลี่ยนหรือถูกตัดออก - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน WWDC 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2025 Apple กำลังเตรียมปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับระบบปฏิบัติการของตน ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งานและการรับรู้แบรนด์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องรอดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร https://www.techradar.com/computing/software/apple-might-be-about-to-make-a-major-change-to-how-it-names-its-operating-systems
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • บริษัท AMD ได้เข้าซื้อ Enosemi ซึ่งเป็นผู้พัฒนา photonic integrated circuits เพื่อขยายเทคโนโลยี co-packaged optics สำหรับระบบ AI โดยเทคโนโลยีนี้ใช้แสงเลเซอร์ส่งข้อมูลผ่านสายไฟเบอร์ออปติกระหว่างชิป ทำให้การเชื่อมต่อเร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากกว่าการใช้สายทองแดงแบบเดิม

    เทคโนโลยี co-packaged optics กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนใน Silicon Valley เนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ AI และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ นอกจากนี้ AMD ยังเคยเข้าซื้อ ZT Systems ด้วยมูลค่า 4.9 พันล้านเหรียญ เพื่อขยายธุรกิจด้านชิป AI และแข่งขันกับ Nvidia

    📌 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน
    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - AMD เข้าซื้อ Enosemi เพื่อขยายเทคโนโลยี co-packaged optics
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การส่งข้อมูลเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง
    - AMD ไม่เปิดเผยรายละเอียดทางการเงินของดีลนี้
    - ก่อนหน้านี้ AMD ซื้อ ZT Systems ด้วยมูลค่า 4.9 พันล้านเหรียญ เพื่อเสริมธุรกิจชิป AI

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - เทคโนโลยี co-packaged optics ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจต้องใช้เวลาพัฒนาให้พร้อมใช้งานในวงกว้าง
    - การแข่งขันในตลาดชิป AI รุนแรงมาก โดย Nvidia ครองตลาดหลักอยู่
    - นักลงทุนควรติดตามผลกระทบของดีลนี้ต่อราคาหุ้นของ AMD และแนวโน้มตลาด AI

    การเข้าซื้อ Enosemi เป็นก้าวสำคัญของ AMD ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้ระบบ AI มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดนี้ยังคงดุเดือด และต้องจับตาดูว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ AMD แข่งขันกับ Nvidia ได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/29/amd-buys-enosemi-to-boost-co-packaged-optics-offerings
    บริษัท AMD ได้เข้าซื้อ Enosemi ซึ่งเป็นผู้พัฒนา photonic integrated circuits เพื่อขยายเทคโนโลยี co-packaged optics สำหรับระบบ AI โดยเทคโนโลยีนี้ใช้แสงเลเซอร์ส่งข้อมูลผ่านสายไฟเบอร์ออปติกระหว่างชิป ทำให้การเชื่อมต่อเร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากกว่าการใช้สายทองแดงแบบเดิม เทคโนโลยี co-packaged optics กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนใน Silicon Valley เนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ AI และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ นอกจากนี้ AMD ยังเคยเข้าซื้อ ZT Systems ด้วยมูลค่า 4.9 พันล้านเหรียญ เพื่อขยายธุรกิจด้านชิป AI และแข่งขันกับ Nvidia 📌 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - AMD เข้าซื้อ Enosemi เพื่อขยายเทคโนโลยี co-packaged optics - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การส่งข้อมูลเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง - AMD ไม่เปิดเผยรายละเอียดทางการเงินของดีลนี้ - ก่อนหน้านี้ AMD ซื้อ ZT Systems ด้วยมูลค่า 4.9 พันล้านเหรียญ เพื่อเสริมธุรกิจชิป AI ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - เทคโนโลยี co-packaged optics ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจต้องใช้เวลาพัฒนาให้พร้อมใช้งานในวงกว้าง - การแข่งขันในตลาดชิป AI รุนแรงมาก โดย Nvidia ครองตลาดหลักอยู่ - นักลงทุนควรติดตามผลกระทบของดีลนี้ต่อราคาหุ้นของ AMD และแนวโน้มตลาด AI การเข้าซื้อ Enosemi เป็นก้าวสำคัญของ AMD ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้ระบบ AI มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดนี้ยังคงดุเดือด และต้องจับตาดูว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ AMD แข่งขันกับ Nvidia ได้มากน้อยเพียงใด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/29/amd-buys-enosemi-to-boost-co-packaged-optics-offerings
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • ประเทศไทย กับทางเลือก ด้านเทคโนโลยี CPU Processor - RISC-V หรือ ARM ⁉️

    💡 ความสำคัญของ CPU RISC-V ในปัจจุบัน
    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมชุดคำสั่ง (Instruction Set Architecture - ISA) แบบ RISC ที่เป็นโอเพนซอร์ส ภายใต้ใบอนุญาต BSD ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถนำไปพัฒนา ปรับแต่ง หรือผลิตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์หรือค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ความสำคัญในปัจจุบันมีดังนี้:

    ✅ ลดต้นทุนการพัฒนา: ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ
    ✅ ความยืดหยุ่นสูง: ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งชุดคำสั่งให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางได้
    ✅ การสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ: บริษัทใหญ่ เช่น Google, Alibaba, Qualcomm และ Intel ได้ให้ความสนใจและนำ RISC-V ไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตน
    ✅ การใช้งานที่หลากหลาย: ปัจจุบัน RISC-V ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์ IoT ระบบฝังตัว และการประมวลผลขั้นสูง

    💡 แนวโน้มการพัฒนาและใช้งานในอนาคต
    RISC-V มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าจะมีการส่งมอบ RISC-V cores ถึง 80 พันล้านอันภายในปี 2025 แนวโน้มที่น่าสนใจมีดังนี้:
    ✅ การขยายสู่หลากหลายอุตสาหกรรม:
    👉 IoT: ด้วยความประหยัดพลังงานและขนาดเล็ก
    👉 ยานยนต์: ใช้ในระบบควบคุมและเซ็นเซอร์
    👉 AI และคลาวด์: การพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูง เช่น SiFive P870
    👉 อุปกรณ์พกพา: เช่น แล็ปท็อปและแท็บเล็ต
    ✅การพัฒนาประสิทธิภาพ: มีการออกแบบ RISC-V cores ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแข่งขันกับสถาปัตยกรรมอื่น เช่น ARM และ x86
    ✅ การสนับสนุนจากชุมชนและรัฐบาล: หลายประเทศเริ่มลงทุนใน RISC-V เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ

    💡 โอกาสของธุรกิจไทยในการพัฒนา ขาย หรือใช้งาน RISC-V ในอนาคต
    ธุรกิจไทยมีโอกาสที่น่าสนใจในการใช้ประโยชน์จาก RISC-V ดังนี้:
    ✅ การพัฒนาฮาร์ดแวร์: สามารถออกแบบและผลิต CPU/MCU โดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ และปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะ เช่น IoT หรือยานยนต์
    ✅ การแข่งขันในตลาดโลก: สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ RISC-V เพื่อส่งออกไปยังตลาดสากล
    ✅ การพัฒนาซอฟต์แวร์: สร้างแอปพลิเคชันและระบบที่รองรับ RISC-V
    ✅ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ธุรกิจไทยสามารถกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนได้

    💡 รัฐบาลไทยควรซื้อ ARM License หรือทุ่มกับ RISC-V
    การตัดสินใจของรัฐบาลไทยขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้:

    🛍️ การซื้อ ARM License
    ✅ ข้อดี:
    👉 มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
    👉 เอกชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้กับ ARM ได้ทันที
    👉 เหมาะสำหรับการเข้าสู่ตลาดระยะสั้น

    ❌ ข้อเสีย:
    👉 ค่าใช้จ่ายสูงทั้งในส่วนของไลเซนส์และ Royalty Fee
    👉 ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งอาจขัดกับนโยบายพึ่งพาตนเอง

    🛍️ การทุ่มกับ RISC-V
    ✅ ข้อดี:
    👉 ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ช่วยลดต้นทุน
    👉 สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของไทย
    👉 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ
    👉 มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและเป็นผู้นำในภูมิภาค

    ❌ ข้อเสีย:
    👉 Ecosystem ยังไม่สมบูรณ์เท่า ARM อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา
    👉 มีความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่

    💡 ข้อเสนอแนะ
    ⏲️ระยะสั้น : การซื้อ ARM License อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อให้เอกชนไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ทันที คล้ายกับที่มาเลเซียทำ
    ⏲️ ระยะยาว: รัฐบาลควรลงทุนใน RISC-V ควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างฐานเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำของ RISC-V
    ⏲️ แนวทางผสมผสาน: สนับสนุนทั้ง ARM และ RISC-V โดยให้เอกชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัย RISC-V ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรม

    💡 บทสรุป
    RISC-V มีความสำคัญในปัจจุบันจากความเป็นโอเพนซอร์สและการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ แนวโน้มในอนาคตแสดงถึงการเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจไทยมีโอกาสในการพัฒนาและแข่งขันในตลาดโลกด้วย RISC-V ส่วนรัฐบาลไทยควรพิจารณาทั้ง ARM และ RISC-V โดยเน้น RISC-V ในระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี
    ประเทศไทย กับทางเลือก ด้านเทคโนโลยี CPU Processor - RISC-V หรือ ARM ⁉️ 💡 ความสำคัญของ CPU RISC-V ในปัจจุบัน RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมชุดคำสั่ง (Instruction Set Architecture - ISA) แบบ RISC ที่เป็นโอเพนซอร์ส ภายใต้ใบอนุญาต BSD ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถนำไปพัฒนา ปรับแต่ง หรือผลิตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์หรือค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ความสำคัญในปัจจุบันมีดังนี้: ✅ ลดต้นทุนการพัฒนา: ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ ✅ ความยืดหยุ่นสูง: ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งชุดคำสั่งให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางได้ ✅ การสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ: บริษัทใหญ่ เช่น Google, Alibaba, Qualcomm และ Intel ได้ให้ความสนใจและนำ RISC-V ไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตน ✅ การใช้งานที่หลากหลาย: ปัจจุบัน RISC-V ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์ IoT ระบบฝังตัว และการประมวลผลขั้นสูง 💡 แนวโน้มการพัฒนาและใช้งานในอนาคต RISC-V มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าจะมีการส่งมอบ RISC-V cores ถึง 80 พันล้านอันภายในปี 2025 แนวโน้มที่น่าสนใจมีดังนี้: ✅ การขยายสู่หลากหลายอุตสาหกรรม: 👉 IoT: ด้วยความประหยัดพลังงานและขนาดเล็ก 👉 ยานยนต์: ใช้ในระบบควบคุมและเซ็นเซอร์ 👉 AI และคลาวด์: การพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูง เช่น SiFive P870 👉 อุปกรณ์พกพา: เช่น แล็ปท็อปและแท็บเล็ต ✅การพัฒนาประสิทธิภาพ: มีการออกแบบ RISC-V cores ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแข่งขันกับสถาปัตยกรรมอื่น เช่น ARM และ x86 ✅ การสนับสนุนจากชุมชนและรัฐบาล: หลายประเทศเริ่มลงทุนใน RISC-V เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ 💡 โอกาสของธุรกิจไทยในการพัฒนา ขาย หรือใช้งาน RISC-V ในอนาคต ธุรกิจไทยมีโอกาสที่น่าสนใจในการใช้ประโยชน์จาก RISC-V ดังนี้: ✅ การพัฒนาฮาร์ดแวร์: สามารถออกแบบและผลิต CPU/MCU โดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ และปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะ เช่น IoT หรือยานยนต์ ✅ การแข่งขันในตลาดโลก: สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ RISC-V เพื่อส่งออกไปยังตลาดสากล ✅ การพัฒนาซอฟต์แวร์: สร้างแอปพลิเคชันและระบบที่รองรับ RISC-V ✅ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ธุรกิจไทยสามารถกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนได้ 💡 รัฐบาลไทยควรซื้อ ARM License หรือทุ่มกับ RISC-V การตัดสินใจของรัฐบาลไทยขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้: 🛍️ การซื้อ ARM License ✅ ข้อดี: 👉 มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก 👉 เอกชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้กับ ARM ได้ทันที 👉 เหมาะสำหรับการเข้าสู่ตลาดระยะสั้น ❌ ข้อเสีย: 👉 ค่าใช้จ่ายสูงทั้งในส่วนของไลเซนส์และ Royalty Fee 👉 ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งอาจขัดกับนโยบายพึ่งพาตนเอง 🛍️ การทุ่มกับ RISC-V ✅ ข้อดี: 👉 ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ช่วยลดต้นทุน 👉 สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของไทย 👉 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ 👉 มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและเป็นผู้นำในภูมิภาค ❌ ข้อเสีย: 👉 Ecosystem ยังไม่สมบูรณ์เท่า ARM อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา 👉 มีความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ 💡 ข้อเสนอแนะ ⏲️ระยะสั้น : การซื้อ ARM License อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อให้เอกชนไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ทันที คล้ายกับที่มาเลเซียทำ ⏲️ ระยะยาว: รัฐบาลควรลงทุนใน RISC-V ควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างฐานเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำของ RISC-V ⏲️ แนวทางผสมผสาน: สนับสนุนทั้ง ARM และ RISC-V โดยให้เอกชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัย RISC-V ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรม 💡 บทสรุป RISC-V มีความสำคัญในปัจจุบันจากความเป็นโอเพนซอร์สและการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ แนวโน้มในอนาคตแสดงถึงการเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจไทยมีโอกาสในการพัฒนาและแข่งขันในตลาดโลกด้วย RISC-V ส่วนรัฐบาลไทยควรพิจารณาทั้ง ARM และ RISC-V โดยเน้น RISC-V ในระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • Linux 6.15 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ใหม่และการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ

    Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux 6.15 อย่างเป็นทางการ โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น การพัฒนาไดรเวอร์กราฟิก, ระบบไฟล์, เครือข่าย และความปลอดภัย รวมถึง การเปลี่ยนแปลงที่มีข้อถกเถียงในชุมชนผู้พัฒนา

    🔍 ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญใน Linux 6.15
    ✅ Nova: ไดรเวอร์กราฟิกใหม่ที่ใช้ Rust สำหรับ NVIDIA GPUs รุ่นใหม่
    - เป็น ตัวแทนของ Nouveau ที่รองรับ GSP-based GPUs

    ✅ Intel Xe driver รองรับ Shared Virtual Memory (SVM) และสามารถรายงานอุณหภูมิ GPU และ VRAM
    - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะของการ์ดจอได้ดีขึ้น

    ✅ เพิ่ม fwctl subsystem เพื่อจัดการเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ใน user-space
    - แม้ว่าจะช่วยให้ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา

    ✅ รองรับ Zero-copy receive (zcrx) ผ่าน io_uring เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย
    - ลด การใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการรับข้อมูล

    ✅ เพิ่ม TCP_RTO_MAX_MS เพื่อควบคุมระยะเวลาการเชื่อมต่อใหม่ของ TCP
    - ช่วยให้ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสถียรมากขึ้น

    ✅ ระบบไฟล์ exFAT ลบไฟล์เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
    - จาก 4 นาทีเหลือเพียง 1.6 วินาทีสำหรับไฟล์ขนาด 80GB

    ✅ Btrfs รองรับการบีบอัดแบบ zstd ระดับ -15 ถึง -1 เพื่อเพิ่มความเร็ว
    - แม้ว่าจะลดอัตราการบีบอัด แต่ช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น

    ✅ ARM และ RISC-V ได้รับการปรับปรุงให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Google Pixel Pro 6 และ Milk-V Jupiter ITX
    - เพิ่ม ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ใหม่ ๆ

    ✅ รองรับ Apple Touch Bar บน MacBook Pro รุ่น Intel และ M1/M2
    - สามารถ ใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น ปุ่มฟังก์ชันและการควบคุมแสง

    ✅ ไดรเวอร์ใหม่สำหรับคอนโทรลเลอร์ Xbox และ PlayStation 5
    - รองรับ Turtle Beach Recon, Stealth Ultra และ PowerA Wired Controller

    ‼️ fwctl subsystem อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและแนวทางการพัฒนา
    - มีข้อถกเถียงว่า ควรใช้ API ที่มีอยู่แทนการสร้างระบบใหม่

    ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน io_uring อาจเพิ่มความซับซ้อนในการรักษาความปลอดภัย
    - Linus Torvalds ตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของฟีเจอร์นี้

    https://www.omgubuntu.co.uk/2025/05/linux-6-15-kernel-released
    Linux 6.15 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ใหม่และการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux 6.15 อย่างเป็นทางการ โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น การพัฒนาไดรเวอร์กราฟิก, ระบบไฟล์, เครือข่าย และความปลอดภัย รวมถึง การเปลี่ยนแปลงที่มีข้อถกเถียงในชุมชนผู้พัฒนา 🔍 ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญใน Linux 6.15 ✅ Nova: ไดรเวอร์กราฟิกใหม่ที่ใช้ Rust สำหรับ NVIDIA GPUs รุ่นใหม่ - เป็น ตัวแทนของ Nouveau ที่รองรับ GSP-based GPUs ✅ Intel Xe driver รองรับ Shared Virtual Memory (SVM) และสามารถรายงานอุณหภูมิ GPU และ VRAM - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะของการ์ดจอได้ดีขึ้น ✅ เพิ่ม fwctl subsystem เพื่อจัดการเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ใน user-space - แม้ว่าจะช่วยให้ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา ✅ รองรับ Zero-copy receive (zcrx) ผ่าน io_uring เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย - ลด การใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการรับข้อมูล ✅ เพิ่ม TCP_RTO_MAX_MS เพื่อควบคุมระยะเวลาการเชื่อมต่อใหม่ของ TCP - ช่วยให้ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสถียรมากขึ้น ✅ ระบบไฟล์ exFAT ลบไฟล์เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก - จาก 4 นาทีเหลือเพียง 1.6 วินาทีสำหรับไฟล์ขนาด 80GB ✅ Btrfs รองรับการบีบอัดแบบ zstd ระดับ -15 ถึง -1 เพื่อเพิ่มความเร็ว - แม้ว่าจะลดอัตราการบีบอัด แต่ช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ✅ ARM และ RISC-V ได้รับการปรับปรุงให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Google Pixel Pro 6 และ Milk-V Jupiter ITX - เพิ่ม ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ใหม่ ๆ ✅ รองรับ Apple Touch Bar บน MacBook Pro รุ่น Intel และ M1/M2 - สามารถ ใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น ปุ่มฟังก์ชันและการควบคุมแสง ✅ ไดรเวอร์ใหม่สำหรับคอนโทรลเลอร์ Xbox และ PlayStation 5 - รองรับ Turtle Beach Recon, Stealth Ultra และ PowerA Wired Controller ‼️ fwctl subsystem อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและแนวทางการพัฒนา - มีข้อถกเถียงว่า ควรใช้ API ที่มีอยู่แทนการสร้างระบบใหม่ ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน io_uring อาจเพิ่มความซับซ้อนในการรักษาความปลอดภัย - Linus Torvalds ตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของฟีเจอร์นี้ https://www.omgubuntu.co.uk/2025/05/linux-6-15-kernel-released
    WWW.OMGUBUNTU.CO.UK
    Linux 6.15 Kernel Released, This is What's New
    Linux 6.15 kernel released with new NVIDIA Rust driver, major exFAT performance gains, controversial fwctl subsystem, and more hardware support.
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • Intel เปิดตัวซีพียู Xeon 6 รุ่นใหม่ รองรับ AI และ GPU-Accelerated Systems

    Intel เปิดตัวซีพียูใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ Intel Xeon 6 ซึ่งออกแบบมาเพื่อ จัดการระบบ AI ที่ใช้ GPU เป็นหลัก โดยมีการปรับปรุง ประสิทธิภาพของหน่วยความจำและการรองรับ PCIe ที่มากขึ้น

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Intel Xeon 6
    ✅ ใช้ Performance Cores (P-Cores) พร้อมเทคโนโลยี Priority Core Turbo (PCT) และ Speed Select Technology - Turbo Frequency (SST-TF)
    - ช่วยให้ สามารถปรับแต่งความเร็วของคอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU

    ✅ Intel Xeon 6776P เป็นซีพียูที่ใช้ใน Nvidia DGX B300
    - มีบทบาทสำคัญในการ จัดการและสนับสนุนระบบ AI ที่ใช้ GPU

    ✅ หน่วยความจำมีความจุและแบนด์วิดท์สูง รองรับโมเดล AI ที่ซับซ้อน
    - ช่วยให้ สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็วขึ้น

    ✅ Xeon 6 มีจำนวน PCIe lanes มากกว่าเดิมถึง 20%
    - ทำให้ สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้นสำหรับงานที่ต้องใช้ I/O-intensive workloads

    ✅ ออกแบบมาเพื่อความเสถียรสูงสุด รองรับการทำงานต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก
    - มีฟีเจอร์ Reliability, Availability และ Serviceability (RAS) ที่ช่วยลด downtime

    https://www.neowin.net/news/intel-adds-new-intel-xeon-6-processors-to-its-line-up-with-one-powering-nvidia-dgx-b300/
    Intel เปิดตัวซีพียู Xeon 6 รุ่นใหม่ รองรับ AI และ GPU-Accelerated Systems Intel เปิดตัวซีพียูใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ Intel Xeon 6 ซึ่งออกแบบมาเพื่อ จัดการระบบ AI ที่ใช้ GPU เป็นหลัก โดยมีการปรับปรุง ประสิทธิภาพของหน่วยความจำและการรองรับ PCIe ที่มากขึ้น 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Intel Xeon 6 ✅ ใช้ Performance Cores (P-Cores) พร้อมเทคโนโลยี Priority Core Turbo (PCT) และ Speed Select Technology - Turbo Frequency (SST-TF) - ช่วยให้ สามารถปรับแต่งความเร็วของคอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ✅ Intel Xeon 6776P เป็นซีพียูที่ใช้ใน Nvidia DGX B300 - มีบทบาทสำคัญในการ จัดการและสนับสนุนระบบ AI ที่ใช้ GPU ✅ หน่วยความจำมีความจุและแบนด์วิดท์สูง รองรับโมเดล AI ที่ซับซ้อน - ช่วยให้ สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็วขึ้น ✅ Xeon 6 มีจำนวน PCIe lanes มากกว่าเดิมถึง 20% - ทำให้ สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้นสำหรับงานที่ต้องใช้ I/O-intensive workloads ✅ ออกแบบมาเพื่อความเสถียรสูงสุด รองรับการทำงานต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก - มีฟีเจอร์ Reliability, Availability และ Serviceability (RAS) ที่ช่วยลด downtime https://www.neowin.net/news/intel-adds-new-intel-xeon-6-processors-to-its-line-up-with-one-powering-nvidia-dgx-b300/
    WWW.NEOWIN.NET
    Intel adds new Intel Xeon 6 processors to its line-up with one powering Nvidia DGX B300
    Intel has announced three new processors for its Intel Xeon 6 line-up. One of them even powers the Nvidia DGX B300.
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • Xsight Labs เปิดตัว E1-SoC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI บนคลาวด์และเอดจ์

    Xsight Labs ประกาศเปิดตัว E1-SoC ซึ่งเป็นชิปที่ใช้สถาปัตยกรรม Arm สำหรับศูนย์ข้อมูล AI บนคลาวด์และเอดจ์ โดยเป็น DPU (Data Processing Unit) ที่สามารถโปรแกรมได้เต็มรูปแบบ และมีประสิทธิภาพสูงสุดในอุตสาหกรรม

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ E1-SoC และ E1-Server
    ✅ E1-SoC เป็นชิปแรกในซีรีส์ E-Series ที่ใช้เทคโนโลยี 5 นาโนเมตรของ TSMC
    - รองรับ การประมวลผลเครือข่ายแบบ SDN (Software Defined Network)

    ✅ E1-Server เป็นเซิร์ฟเวอร์เอดจ์ที่รองรับการเชื่อมต่อ 800G
    - สามารถใช้เป็น แพลตฟอร์มพัฒนาและทดสอบสำหรับ OEMs และ CSPs

    ✅ รองรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น คลาวด์, AI, เครือข่ายไร้สาย และโครงสร้างพื้นฐานองค์กร
    - ช่วยให้ สามารถพัฒนาโซลูชันที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละองค์กร

    ✅ E1-SoC รองรับสูงสุด 64 คอร์ Arm Neoverse N2 v9.0-A และหน่วยความจำ DDR5
    - มี 40 เลน PCIe 5.0 และรองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายสูงสุด 800 Gbps

    ✅ Xsight Labs วางแผนให้ E1-SoC ผ่านมาตรฐาน Arm SystemReady เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการได้ทันที
    - ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนา สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    https://www.techpowerup.com/337162/xsight-labs-announced-availability-of-its-arm-based-e1-soc-for-cloud-and-edge-ai-data-centers
    Xsight Labs เปิดตัว E1-SoC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI บนคลาวด์และเอดจ์ Xsight Labs ประกาศเปิดตัว E1-SoC ซึ่งเป็นชิปที่ใช้สถาปัตยกรรม Arm สำหรับศูนย์ข้อมูล AI บนคลาวด์และเอดจ์ โดยเป็น DPU (Data Processing Unit) ที่สามารถโปรแกรมได้เต็มรูปแบบ และมีประสิทธิภาพสูงสุดในอุตสาหกรรม 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ E1-SoC และ E1-Server ✅ E1-SoC เป็นชิปแรกในซีรีส์ E-Series ที่ใช้เทคโนโลยี 5 นาโนเมตรของ TSMC - รองรับ การประมวลผลเครือข่ายแบบ SDN (Software Defined Network) ✅ E1-Server เป็นเซิร์ฟเวอร์เอดจ์ที่รองรับการเชื่อมต่อ 800G - สามารถใช้เป็น แพลตฟอร์มพัฒนาและทดสอบสำหรับ OEMs และ CSPs ✅ รองรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น คลาวด์, AI, เครือข่ายไร้สาย และโครงสร้างพื้นฐานองค์กร - ช่วยให้ สามารถพัฒนาโซลูชันที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละองค์กร ✅ E1-SoC รองรับสูงสุด 64 คอร์ Arm Neoverse N2 v9.0-A และหน่วยความจำ DDR5 - มี 40 เลน PCIe 5.0 และรองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายสูงสุด 800 Gbps ✅ Xsight Labs วางแผนให้ E1-SoC ผ่านมาตรฐาน Arm SystemReady เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการได้ทันที - ลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนา สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ https://www.techpowerup.com/337162/xsight-labs-announced-availability-of-its-arm-based-e1-soc-for-cloud-and-edge-ai-data-centers
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Xsight Labs Announced Availability of Its Arm-Based E1-SoC for Cloud and Edge AI Data Centers
    Xsight Labs, a leading fabless semiconductor company providing end-to-end connectivity for next-generation hyperscale, edge and AI data center networks, today announced availability of its Arm -based E1-SoC for cloud and edge AI data centers. The E-Series is the only product of its kind to provide f...
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • AI ช่วยสร้างเรซูเม่ที่โดดเด่นในปี 2025

    การแข่งขันในตลาดงานกำลังเข้มข้นขึ้น และการใช้ AI Resume Builder สามารถช่วยให้ผู้สมัครงานมีความได้เปรียบมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแค่สร้างเรซูเม่แบบพื้นฐาน แต่ยังช่วย ปรับแต่งให้เหมาะสมกับระบบ ATS (Applicant Tracking System) ตรวจสอบคำสำคัญ และให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์

    🔍 เครื่องมือ AI Resume Builder ที่ดีที่สุดในปี 2025
    ✅ Rezi – เหมาะสำหรับการสร้างเรซูเม่ที่ผ่านระบบ ATS
    - ใช้ AI วิเคราะห์คำสำคัญจากประกาศรับสมัครงาน
    - มีตัวช่วยสร้างจดหมายสมัครงานในตัว

    ✅ Teal – เหมาะสำหรับผู้ที่สมัครงานหลายตำแหน่ง
    - มีระบบติดตามใบสมัครและช่วยปรับแต่งเรซูเม่
    - มีส่วนขยาย Chrome สำหรับบันทึกประกาศงาน

    ✅ Kickresume – เหมาะสำหรับเรซูเม่ที่มีดีไซน์สวยงาม
    - มีตัวอย่างเรซูเม่จากมืออาชีพ
    - มีระบบตรวจสอบไวยากรณ์ในตัว

    ✅ Resume.io – เหมาะสำหรับการสร้างเรซูเม่แบบรวดเร็ว
    - มีระบบลากและวางที่ใช้งานง่าย
    - มีตัวช่วยเขียนเรซูเม่ด้วย AI

    ✅ Enhancv – เหมาะสำหรับการสร้างแบรนด์ส่วนตัว
    - เน้นการเล่าเรื่องและการนำเสนอทักษะ
    - มีตัวช่วยสร้างจดหมายสมัครงานด้วย AI

    https://computercity.com/artificial-intelligence/the-best-ai-resume-writer-websites-and-tools
    AI ช่วยสร้างเรซูเม่ที่โดดเด่นในปี 2025 การแข่งขันในตลาดงานกำลังเข้มข้นขึ้น และการใช้ AI Resume Builder สามารถช่วยให้ผู้สมัครงานมีความได้เปรียบมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแค่สร้างเรซูเม่แบบพื้นฐาน แต่ยังช่วย ปรับแต่งให้เหมาะสมกับระบบ ATS (Applicant Tracking System) ตรวจสอบคำสำคัญ และให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ 🔍 เครื่องมือ AI Resume Builder ที่ดีที่สุดในปี 2025 ✅ Rezi – เหมาะสำหรับการสร้างเรซูเม่ที่ผ่านระบบ ATS - ใช้ AI วิเคราะห์คำสำคัญจากประกาศรับสมัครงาน - มีตัวช่วยสร้างจดหมายสมัครงานในตัว ✅ Teal – เหมาะสำหรับผู้ที่สมัครงานหลายตำแหน่ง - มีระบบติดตามใบสมัครและช่วยปรับแต่งเรซูเม่ - มีส่วนขยาย Chrome สำหรับบันทึกประกาศงาน ✅ Kickresume – เหมาะสำหรับเรซูเม่ที่มีดีไซน์สวยงาม - มีตัวอย่างเรซูเม่จากมืออาชีพ - มีระบบตรวจสอบไวยากรณ์ในตัว ✅ Resume.io – เหมาะสำหรับการสร้างเรซูเม่แบบรวดเร็ว - มีระบบลากและวางที่ใช้งานง่าย - มีตัวช่วยเขียนเรซูเม่ด้วย AI ✅ Enhancv – เหมาะสำหรับการสร้างแบรนด์ส่วนตัว - เน้นการเล่าเรื่องและการนำเสนอทักษะ - มีตัวช่วยสร้างจดหมายสมัครงานด้วย AI https://computercity.com/artificial-intelligence/the-best-ai-resume-writer-websites-and-tools
    COMPUTERCITY.COM
    The Best Ai “Resume Writer” Websites and Tools
    With competition heating up across industries, using AI resume builders in 2025 can give job seekers a powerful edge. Today’s top tools go beyond basic
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • รายงานสรุปจากงาน Microsoft Build 2025 วันที่ 2

    งาน Microsoft Build 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ที่เมืองซีแอตเทิล มีการประกาศนวัตกรรมสำคัญมากมายในวันที่ 2 (20 พฤษภาคม 2568) โดยเน้นที่การพัฒนาเทคโนโลยี AI และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา ด้านล่างนี้เป็นรายละเอียดทั้งหมดที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของงานในวันที่ 2:

    ℹ️ การพัฒนา AI และเทคโนโลยี Agentic

    - งานวันที่ 2 เริ่มต้นด้วย keynote สำหรับนักพัฒนา โดยเน้นรายละเอียดทางเทคนิคมากกว่าวันแรกของ Satya Nadella. มีการเปิดตัว Microsoft Discovery ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ Agent AI เพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการวิจัยวิทยาศาสตร์ โดยช่วยในการจำลองสถานการณ์จริง เช่น การพัฒนาโซลูชันระบายความร้อน. John Link ได้สาธิตการใช้งานในงานนี้.

    - NLWeb เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติบนเว็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเปลี่ยนเว็บไซต์ให้เป็นแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI Agent พัฒนาโดย R.V. Guha และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ เช่น O’Reilly Media, Snowflake, Shopify, และ Chicago Public Library. Windows AI Foundry ซึ่งก่อนหน้านี้ชื่อ Windows 11 Copilot Runtime เปิดตัวอย่างเป็นทางการ (GA) รองรับการทำงานบน CPU, GPU, และคลาวด์ พร้อมรุ่นสำหรับ Mac ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างฟีเจอร์ AI ได้หลากหลายมากขึ้น.

    - AI Agents ถูกนำมาใช้ในงานต่างๆ เช่น การวางแผนการเดินทาง, ลดการเกิด hallucination, และการดูแลผู้ป่วยมะเร็งโดยการรวมข้อมูลทางการแพทย์และแบ่งปันกับโรงพยาบาลชุมชน. มีการพูดถึง Agentic Web ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ในการพัฒนาเว็บที่ขับเคลื่อนด้วย AI Agent เพื่อความเปิดกว้างและความเร็วในการสร้างเว็บไซต์.

    ℹ️ เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา

    - มีการสาธิต GitHub Copilot ซึ่งได้รับการอัปเกรดให้เป็น "เพื่อนนักพัฒนา" หรือ "Project Padawan" โดยสามารถแก้บั๊ก, พัฒนาฟีเจอร์ใหม่, และจัดการ GitHub Issues ได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงช่วยจัดการหลายงานพร้อมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของนักพัฒนา. GitHub Copilot เปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับลูกค้า Copilot Enterprise และ Copilot Pro+ เหมาะสำหรับงานที่มีความซับซ้อนต่ำถึงปานกลาง.

    - Copilot Studio ได้รับการอัปเกรดด้วยคุณสมบัติสำหรับนักพัฒนามืออาวุโส รวมถึง M365 Copilot APIs (ในรูปแบบ preview) และ Bring Your Own Models จาก Azure Foundry (ในรูปแบบ preview). SQL Server 2025 เปิดตัวในรูปแบบ public preview พร้อมการรวม AI และความสามารถในการค้นหาเวกเตอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการฐานข้อมูล.

    - Microsoft ประกาศเปิดตัว Windows Subsystem for Linux (WSL) เป็นโอเพ่นซอร์ส รวมถึง "Mariner" Linux และ WSL-g UI layer, และมีแผนจะเปิดตัว GitHub Copilot Chat Extension สำหรับ VSCode เป็นโอเพ่นซอร์สในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า. นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง Model Context Protocol (MCP) ซึ่ง Microsoft เข้าร่วม MCP Steering Committee และรองรับ MCP บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น GitHub, Copilot Studio, Dynamics 365, Azure, Azure AI Foundry, Semantic Kernel, Foundry Agents, และ Windows 11.

    ℹ️ Microsoft 365 และ Copilot
    ➡️ Microsoft 365 Copilot Wave 2 Spring Release มีการอัปเดตใหม่สำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI Agent รวมถึง:

    - แอปที่อัปเดตสำหรับการทำงานร่วมกัน.
    - ประสบการณ์การสร้างด้วย OpenAI GPT-4o สำหรับการสร้างภาพ.
    - Copilot Notebooks เปิดตัวอย่างเป็นทางการ (GA).
    - Copilot Search และ Copilot Memory จะเริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายน.
    - Researcher และ Analyst agents ผ่านโปรแกรม Frontier จะเริ่มในเดือนนี้.

    ➡️ Power Apps มีการประกาศคุณสมบัติใหม่ เช่น:
    - Solution Workspace เปิดตัวอย่างเป็นทางการวันที่ 30 พฤษภาคม.
    - Generative pages ด้วย React code (Early Access Program).
    - Agent feed สำหรับแอป (Early Access Program).
    - นำแอปแบบ code-first มายัง Power Platform (Early Access Program).

    ℹ️ ความร่วมมือและนวัตกรรม
    - มีการร่วมมือกับ Nvidia โดย Jensen Huang กล่าวถึงการเร่งการทำงานของ AI และการจัดการงานหนักด้วย CUDA. นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับ xAI โดย Elon Musk ปรากฏตัวผ่านวิดีโอและประกาศว่า Grok 3 และ Grok 3 Mini จะมีบน Azure AI Foundry เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดข้อผิดพลาดของ AI โดยใช้กฎหมายฟิสิกส์.

    - MyEngine AI ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยผู้ที่มีปัญหาการได้ยินเข้าใจสำเนียงท้องถิ่นได้ดีขึ้น. AI ยังถูกนำมาใช้ในด้านที่น่าสนใจ เช่น การพยากรณ์อากาศด้วย supercomputer บนคลาวด์ ซึ่งต้องการพลังการคำนวณสูงเพื่อเพิ่มความแม่นยำ และ AI สำหรับ NFL Combine ซึ่งมีการสาธิตผ่านวิดีโอ (AI for NFL Combine).

    ℹ️ ความปลอดภัยและการจัดการ
    - Microsoft ขยายการใช้งาน Entra, Defender for Cloud, และ Purview เข้าสู่ Azure AI Foundry และ Copilot Studio เพื่อเพิ่มความปลอดภัย. Entra Agent ID เปิดตัวในรูปแบบ preview เพื่อจัดการ AI Agents ซึ่งช่วยในการควบคุมและปกป้องการทำงานของ AI.

    ℹ️ บุคคลสำคัญและการปรากฏตัว
    - งานวันที่ 2 มีการปรากฏตัวของบุคคลสำคัญผ่านวิดีโอ เช่น Sam Altman (OpenAI) ที่กล่าวถึงการจัดการงาน AI ขนาดใหญ่ และ Elon Musk (xAI) ที่พูดถึงความร่วมมือกับ Microsoft ในการนำ Grok 3 และ Grok 3 Mini มาใช้บน Azure.
    รายงานสรุปจากงาน Microsoft Build 2025 วันที่ 2 งาน Microsoft Build 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ที่เมืองซีแอตเทิล มีการประกาศนวัตกรรมสำคัญมากมายในวันที่ 2 (20 พฤษภาคม 2568) โดยเน้นที่การพัฒนาเทคโนโลยี AI และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา ด้านล่างนี้เป็นรายละเอียดทั้งหมดที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของงานในวันที่ 2: ℹ️ การพัฒนา AI และเทคโนโลยี Agentic - งานวันที่ 2 เริ่มต้นด้วย keynote สำหรับนักพัฒนา โดยเน้นรายละเอียดทางเทคนิคมากกว่าวันแรกของ Satya Nadella. มีการเปิดตัว Microsoft Discovery ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ Agent AI เพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการวิจัยวิทยาศาสตร์ โดยช่วยในการจำลองสถานการณ์จริง เช่น การพัฒนาโซลูชันระบายความร้อน. John Link ได้สาธิตการใช้งานในงานนี้. - NLWeb เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติบนเว็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเปลี่ยนเว็บไซต์ให้เป็นแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI Agent พัฒนาโดย R.V. Guha และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ เช่น O’Reilly Media, Snowflake, Shopify, และ Chicago Public Library. Windows AI Foundry ซึ่งก่อนหน้านี้ชื่อ Windows 11 Copilot Runtime เปิดตัวอย่างเป็นทางการ (GA) รองรับการทำงานบน CPU, GPU, และคลาวด์ พร้อมรุ่นสำหรับ Mac ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างฟีเจอร์ AI ได้หลากหลายมากขึ้น. - AI Agents ถูกนำมาใช้ในงานต่างๆ เช่น การวางแผนการเดินทาง, ลดการเกิด hallucination, และการดูแลผู้ป่วยมะเร็งโดยการรวมข้อมูลทางการแพทย์และแบ่งปันกับโรงพยาบาลชุมชน. มีการพูดถึง Agentic Web ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ในการพัฒนาเว็บที่ขับเคลื่อนด้วย AI Agent เพื่อความเปิดกว้างและความเร็วในการสร้างเว็บไซต์. ℹ️ เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา - มีการสาธิต GitHub Copilot ซึ่งได้รับการอัปเกรดให้เป็น "เพื่อนนักพัฒนา" หรือ "Project Padawan" โดยสามารถแก้บั๊ก, พัฒนาฟีเจอร์ใหม่, และจัดการ GitHub Issues ได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงช่วยจัดการหลายงานพร้อมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของนักพัฒนา. GitHub Copilot เปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับลูกค้า Copilot Enterprise และ Copilot Pro+ เหมาะสำหรับงานที่มีความซับซ้อนต่ำถึงปานกลาง. - Copilot Studio ได้รับการอัปเกรดด้วยคุณสมบัติสำหรับนักพัฒนามืออาวุโส รวมถึง M365 Copilot APIs (ในรูปแบบ preview) และ Bring Your Own Models จาก Azure Foundry (ในรูปแบบ preview). SQL Server 2025 เปิดตัวในรูปแบบ public preview พร้อมการรวม AI และความสามารถในการค้นหาเวกเตอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการฐานข้อมูล. - Microsoft ประกาศเปิดตัว Windows Subsystem for Linux (WSL) เป็นโอเพ่นซอร์ส รวมถึง "Mariner" Linux และ WSL-g UI layer, และมีแผนจะเปิดตัว GitHub Copilot Chat Extension สำหรับ VSCode เป็นโอเพ่นซอร์สในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า. นอกจากนี้ยังมีการพูดถึง Model Context Protocol (MCP) ซึ่ง Microsoft เข้าร่วม MCP Steering Committee และรองรับ MCP บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น GitHub, Copilot Studio, Dynamics 365, Azure, Azure AI Foundry, Semantic Kernel, Foundry Agents, และ Windows 11. ℹ️ Microsoft 365 และ Copilot ➡️ Microsoft 365 Copilot Wave 2 Spring Release มีการอัปเดตใหม่สำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI Agent รวมถึง: - แอปที่อัปเดตสำหรับการทำงานร่วมกัน. - ประสบการณ์การสร้างด้วย OpenAI GPT-4o สำหรับการสร้างภาพ. - Copilot Notebooks เปิดตัวอย่างเป็นทางการ (GA). - Copilot Search และ Copilot Memory จะเริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายน. - Researcher และ Analyst agents ผ่านโปรแกรม Frontier จะเริ่มในเดือนนี้. ➡️ Power Apps มีการประกาศคุณสมบัติใหม่ เช่น: - Solution Workspace เปิดตัวอย่างเป็นทางการวันที่ 30 พฤษภาคม. - Generative pages ด้วย React code (Early Access Program). - Agent feed สำหรับแอป (Early Access Program). - นำแอปแบบ code-first มายัง Power Platform (Early Access Program). ℹ️ ความร่วมมือและนวัตกรรม - มีการร่วมมือกับ Nvidia โดย Jensen Huang กล่าวถึงการเร่งการทำงานของ AI และการจัดการงานหนักด้วย CUDA. นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับ xAI โดย Elon Musk ปรากฏตัวผ่านวิดีโอและประกาศว่า Grok 3 และ Grok 3 Mini จะมีบน Azure AI Foundry เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดข้อผิดพลาดของ AI โดยใช้กฎหมายฟิสิกส์. - MyEngine AI ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยผู้ที่มีปัญหาการได้ยินเข้าใจสำเนียงท้องถิ่นได้ดีขึ้น. AI ยังถูกนำมาใช้ในด้านที่น่าสนใจ เช่น การพยากรณ์อากาศด้วย supercomputer บนคลาวด์ ซึ่งต้องการพลังการคำนวณสูงเพื่อเพิ่มความแม่นยำ และ AI สำหรับ NFL Combine ซึ่งมีการสาธิตผ่านวิดีโอ (AI for NFL Combine). ℹ️ ความปลอดภัยและการจัดการ - Microsoft ขยายการใช้งาน Entra, Defender for Cloud, และ Purview เข้าสู่ Azure AI Foundry และ Copilot Studio เพื่อเพิ่มความปลอดภัย. Entra Agent ID เปิดตัวในรูปแบบ preview เพื่อจัดการ AI Agents ซึ่งช่วยในการควบคุมและปกป้องการทำงานของ AI. ℹ️ บุคคลสำคัญและการปรากฏตัว - งานวันที่ 2 มีการปรากฏตัวของบุคคลสำคัญผ่านวิดีโอ เช่น Sam Altman (OpenAI) ที่กล่าวถึงการจัดการงาน AI ขนาดใหญ่ และ Elon Musk (xAI) ที่พูดถึงความร่วมมือกับ Microsoft ในการนำ Grok 3 และ Grok 3 Mini มาใช้บน Azure.
    0 Comments 0 Shares 451 Views 0 Reviews
  • 8 ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่มักถูกมองข้ามในการนำ AI มาใช้

    องค์กรต่าง ๆ เร่งนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่กลับละเลยการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบ AI ก่อนใช้งานจริง ส่งผลให้เกิด ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์

    📌 8 ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่มักถูกมองข้ามในการนำ AI มาใช้
    ✅ การเปิดเผยข้อมูล (Data Exposure)
    - AI มักจัดการข้อมูลจำนวนมาก แต่หากไม่มีการทดสอบที่เหมาะสม อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ผ่าน API ที่ไม่ปลอดภัยหรือการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

    ✅ ช่องโหว่ในโมเดล (Model-Level Vulnerabilities)
    - รวมถึง Prompt Injection, Jailbreaks และ Adversarial Attacks ซึ่งทำให้ AI สามารถถูกหลอกให้ให้ข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผยหรือทำงานผิดพลาด

    ✅ ความสมบูรณ์ของโมเดลและการโจมตีเชิงรุก (Model Integrity and Adversarial Attacks)
    - AI สามารถถูกโจมตีผ่าน Data Poisoning หรือการปรับแต่งข้อมูลนำเข้า ทำให้ AI ตัดสินใจผิดพลาด

    ✅ ความเสี่ยงจากการผสานรวม (Systemic Integration Risks)
    - AI มักถูกใช้งานร่วมกับระบบอื่น ๆ ผ่าน API หรือ Plugin หากไม่มีการทดสอบที่ดี อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลหรือการเพิ่มสิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจ

    ✅ ข้อบกพร่องด้านการควบคุมการเข้าถึง (Access Control Failures)
    - การตั้งค่าที่ผิดพลาดอาจทำให้ ผู้ใช้หรือแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบ AI ได้มากกว่าที่ตั้งใจไว้ เช่น API Key ที่ไม่ได้รับการปกป้อง

    ✅ ข้อผิดพลาดในระหว่างการทำงาน (Runtime Security Failures)
    - AI อาจมี พฤติกรรมที่ไม่คาดคิดในระหว่างการใช้งานจริง เช่น ข้อมูลล้นออกจากบริบท หรือการสะท้อนผลลัพธ์ที่ผิดพลาด

    ✅ การละเมิดข้อกำหนดและการกำกับดูแล (Compliance Violations)
    - AI อาจ ละเมิดกฎหมายด้านข้อมูลส่วนบุคคลหรือมาตรฐานความปลอดภัย หากไม่ได้รับการตรวจสอบก่อนใช้งาน

    ✅ ผลกระทบต่อการดำเนินงานโดยรวม (Broader Operational Impacts)
    - ช่องโหว่ทางเทคนิคที่ไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อองค์กรในด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ

    https://www.csoonline.com/article/3988355/8-security-risks-overlooked-in-the-rush-to-implement-ai.html
    8 ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่มักถูกมองข้ามในการนำ AI มาใช้ องค์กรต่าง ๆ เร่งนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่กลับละเลยการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบ AI ก่อนใช้งานจริง ส่งผลให้เกิด ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์ 📌 8 ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่มักถูกมองข้ามในการนำ AI มาใช้ ✅ การเปิดเผยข้อมูล (Data Exposure) - AI มักจัดการข้อมูลจำนวนมาก แต่หากไม่มีการทดสอบที่เหมาะสม อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ผ่าน API ที่ไม่ปลอดภัยหรือการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต ✅ ช่องโหว่ในโมเดล (Model-Level Vulnerabilities) - รวมถึง Prompt Injection, Jailbreaks และ Adversarial Attacks ซึ่งทำให้ AI สามารถถูกหลอกให้ให้ข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผยหรือทำงานผิดพลาด ✅ ความสมบูรณ์ของโมเดลและการโจมตีเชิงรุก (Model Integrity and Adversarial Attacks) - AI สามารถถูกโจมตีผ่าน Data Poisoning หรือการปรับแต่งข้อมูลนำเข้า ทำให้ AI ตัดสินใจผิดพลาด ✅ ความเสี่ยงจากการผสานรวม (Systemic Integration Risks) - AI มักถูกใช้งานร่วมกับระบบอื่น ๆ ผ่าน API หรือ Plugin หากไม่มีการทดสอบที่ดี อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลหรือการเพิ่มสิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจ ✅ ข้อบกพร่องด้านการควบคุมการเข้าถึง (Access Control Failures) - การตั้งค่าที่ผิดพลาดอาจทำให้ ผู้ใช้หรือแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบ AI ได้มากกว่าที่ตั้งใจไว้ เช่น API Key ที่ไม่ได้รับการปกป้อง ✅ ข้อผิดพลาดในระหว่างการทำงาน (Runtime Security Failures) - AI อาจมี พฤติกรรมที่ไม่คาดคิดในระหว่างการใช้งานจริง เช่น ข้อมูลล้นออกจากบริบท หรือการสะท้อนผลลัพธ์ที่ผิดพลาด ✅ การละเมิดข้อกำหนดและการกำกับดูแล (Compliance Violations) - AI อาจ ละเมิดกฎหมายด้านข้อมูลส่วนบุคคลหรือมาตรฐานความปลอดภัย หากไม่ได้รับการตรวจสอบก่อนใช้งาน ✅ ผลกระทบต่อการดำเนินงานโดยรวม (Broader Operational Impacts) - ช่องโหว่ทางเทคนิคที่ไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อองค์กรในด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ https://www.csoonline.com/article/3988355/8-security-risks-overlooked-in-the-rush-to-implement-ai.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    8 security risks overlooked in the rush to implement AI
    Nearly two-thirds of companies fail to vet the security implications of AI tools before deploying them. Stressing security fundamentals from the outset can cut down the risks.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • Microsoft เปิดซอร์ส Windows Subsystem for Linux (WSL) ฉลองครบรอบ 10 ปี

    Microsoft ประกาศเปิดซอร์ส Windows Subsystem for Linux (WSL) ในงาน BUILD 2025 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรัน Linux ภายใน Windows ได้โดยไม่ต้องใช้ Virtual Machine การเปิดซอร์สครั้งนี้ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถมีส่วนร่วมในการปรับปรุง WSL ผ่าน GitHub

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปิดซอร์ส WSL
    ✅ WSL เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 และได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักพัฒนา
    - ช่วยให้ สามารถใช้เครื่องมือ Linux เช่น bash, grep, awk และ sed บน Windows ได้

    ✅ ก่อนหน้านี้ WSL ถูกแจกจ่ายภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Microsoft
    - แต่ตอนนี้ โค้ดของ WSL พร้อมให้เข้าถึงและปรับปรุงบน GitHub

    ✅ WSL เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการใช้ Linux บน Windows
    - โดยเฉพาะ ในด้าน Data Science และ Web Development ที่บางเครื่องมือรองรับเฉพาะ Linux

    ✅ Microsoft เปิดซอร์ส GitHub Copilot ใน Visual Studio Code พร้อมกับ WSL
    - แสดงให้เห็นว่า บริษัทต้องการให้ชุมชนนักพัฒนามีส่วนร่วมในการพัฒนาเครื่องมือเหล่านี้

    ✅ WSL เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ Linux โดยไม่ต้องติดตั้งระบบปฏิบัติการแยกต่างหาก
    - สามารถ ทดลองใช้ Linux Command Line ได้อย่างปลอดภัยบน Windows

    https://www.neowin.net/news/microsoft-open-sources-windows-subsystem-for-linux-ahead-of-10-year-anniversary/
    Microsoft เปิดซอร์ส Windows Subsystem for Linux (WSL) ฉลองครบรอบ 10 ปี Microsoft ประกาศเปิดซอร์ส Windows Subsystem for Linux (WSL) ในงาน BUILD 2025 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรัน Linux ภายใน Windows ได้โดยไม่ต้องใช้ Virtual Machine การเปิดซอร์สครั้งนี้ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถมีส่วนร่วมในการปรับปรุง WSL ผ่าน GitHub 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปิดซอร์ส WSL ✅ WSL เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 และได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักพัฒนา - ช่วยให้ สามารถใช้เครื่องมือ Linux เช่น bash, grep, awk และ sed บน Windows ได้ ✅ ก่อนหน้านี้ WSL ถูกแจกจ่ายภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Microsoft - แต่ตอนนี้ โค้ดของ WSL พร้อมให้เข้าถึงและปรับปรุงบน GitHub ✅ WSL เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการใช้ Linux บน Windows - โดยเฉพาะ ในด้าน Data Science และ Web Development ที่บางเครื่องมือรองรับเฉพาะ Linux ✅ Microsoft เปิดซอร์ส GitHub Copilot ใน Visual Studio Code พร้อมกับ WSL - แสดงให้เห็นว่า บริษัทต้องการให้ชุมชนนักพัฒนามีส่วนร่วมในการพัฒนาเครื่องมือเหล่านี้ ✅ WSL เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ Linux โดยไม่ต้องติดตั้งระบบปฏิบัติการแยกต่างหาก - สามารถ ทดลองใช้ Linux Command Line ได้อย่างปลอดภัยบน Windows https://www.neowin.net/news/microsoft-open-sources-windows-subsystem-for-linux-ahead-of-10-year-anniversary/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft open-sources Windows Subsystem for Linux ahead of 10-year anniversary
    Microsoft has made its Windows Subsystem for Linux open source. The announcement was made as its BUILD 2025 developer conference.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • Windows รุ่นเก่าที่ยังคงทำงานในระบบสำคัญทั่วโลก

    แม้ว่าจะมีการเปิดตัว Windows มากถึง 15 รุ่น ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา แต่ระบบปฏิบัติการรุ่นเก่า เช่น Windows XP, Windows NT และ MS-DOS ยังคงถูกใช้งานในระบบสำคัญทั่วโลก ตั้งแต่ ลิฟต์ในโรงพยาบาล ไปจนถึงระบบควบคุมรถไฟและเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการใช้งาน Windows รุ่นเก่า
    ✅ Windows XP ยังคงถูกใช้ในลิฟต์ของโรงพยาบาลในนิวยอร์ก
    - แม้ว่า Microsoft จะหยุดการสนับสนุนไปตั้งแต่ปี 2019

    ✅ ATM บางเครื่องยังคงใช้ Windows NT ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 1993
    - เนื่องจาก XP มีความเสถียรและเข้ากันได้กับระบบควบคุมเฉพาะทาง

    ✅ Deutsche Bahn ในเยอรมนียังคงใช้ MS-DOS และ Windows 3.11 ในระบบแสดงผลของรถไฟ
    - บริษัท ยังคงรับสมัครพนักงานที่มีความรู้เกี่ยวกับระบบเหล่านี้

    ✅ ระบบควบคุมรถไฟ Muni Metro ในซานฟรานซิสโกเคยต้องใช้แผ่นดิสก์เพื่อบูตระบบทุกเช้า
    - ก่อนที่จะ มีการอัปเกรดระบบในภายหลัง

    ✅ เครื่องพิมพ์ LightJet ในซานดิเอโกยังคงใช้ Windows 2000
    - เนื่องจาก การอัปเกรดระบบต้องใช้เงินหลายหมื่นดอลลาร์

    ✅ กระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ยังคงใช้ระบบ CPRS ที่ทำงานบน VistA ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 1985
    - ระบบนี้ ยังคงใช้อินเทอร์เฟซแบบข้อความและต้องพิมพ์คำสั่งเต็มรูปแบบเพื่อเปิดไฟล์

    https://www.techspot.com/news/107960-decades-old-windows-systems-running-trains-printers-hospitals.html
    Windows รุ่นเก่าที่ยังคงทำงานในระบบสำคัญทั่วโลก แม้ว่าจะมีการเปิดตัว Windows มากถึง 15 รุ่น ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา แต่ระบบปฏิบัติการรุ่นเก่า เช่น Windows XP, Windows NT และ MS-DOS ยังคงถูกใช้งานในระบบสำคัญทั่วโลก ตั้งแต่ ลิฟต์ในโรงพยาบาล ไปจนถึงระบบควบคุมรถไฟและเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการใช้งาน Windows รุ่นเก่า ✅ Windows XP ยังคงถูกใช้ในลิฟต์ของโรงพยาบาลในนิวยอร์ก - แม้ว่า Microsoft จะหยุดการสนับสนุนไปตั้งแต่ปี 2019 ✅ ATM บางเครื่องยังคงใช้ Windows NT ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 1993 - เนื่องจาก XP มีความเสถียรและเข้ากันได้กับระบบควบคุมเฉพาะทาง ✅ Deutsche Bahn ในเยอรมนียังคงใช้ MS-DOS และ Windows 3.11 ในระบบแสดงผลของรถไฟ - บริษัท ยังคงรับสมัครพนักงานที่มีความรู้เกี่ยวกับระบบเหล่านี้ ✅ ระบบควบคุมรถไฟ Muni Metro ในซานฟรานซิสโกเคยต้องใช้แผ่นดิสก์เพื่อบูตระบบทุกเช้า - ก่อนที่จะ มีการอัปเกรดระบบในภายหลัง ✅ เครื่องพิมพ์ LightJet ในซานดิเอโกยังคงใช้ Windows 2000 - เนื่องจาก การอัปเกรดระบบต้องใช้เงินหลายหมื่นดอลลาร์ ✅ กระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ยังคงใช้ระบบ CPRS ที่ทำงานบน VistA ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 1985 - ระบบนี้ ยังคงใช้อินเทอร์เฟซแบบข้อความและต้องพิมพ์คำสั่งเต็มรูปแบบเพื่อเปิดไฟล์ https://www.techspot.com/news/107960-decades-old-windows-systems-running-trains-printers-hospitals.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Decades-old Windows systems are still running trains, printers, and hospitals
    A new BBC report uncovers some of the strangest real-world cases where outdated versions of Windows are still powering critical systems. One example is a hospital elevator...
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • KDE เตรียมเปิดตัว "Karton" ระบบจัดการเครื่องเสมือนแบบเนทีฟ

    KDE กำลังพัฒนา Karton ซึ่งเป็น Virtual Machine Manager (VMM) ที่ออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบภายใน Plasma Desktop โดยโครงการนี้เริ่มต้นจาก Aaron Rainbolt ที่พัฒนา QEMU frontend และต่อมาถูกพัฒนาโดย Harald Sitter ในโครงการ Google Summer of Code (GSoC) ปัจจุบัน Derek Lin นักศึกษาจาก University of Waterloo กำลังพัฒนา Karton ใน GSoC 2025

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Karton
    ✅ Karton ใช้ Qt Quick และ Kirigami เพื่อให้เข้ากับ KDE Plasma
    - ทำให้ UI มีความสวยงามและใช้งานง่าย

    ✅ ใช้ libvirt API ในการจัดการเครื่องเสมือน
    - รองรับ การตั้งค่า VM อย่างละเอียดและสามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้

    ✅ พัฒนา SPICE viewer แบบกำหนดเองโดยใช้ Qt Quick
    - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถดูและโต้ตอบกับ VM ได้โดยไม่ต้องใช้ virt-viewer

    ✅ เพิ่มฟีเจอร์ snapshot เพื่อให้สามารถกู้คืนสถานะก่อนหน้าได้
    - ทำให้ การสำรองข้อมูลและการกู้คืน VM ทำได้ง่ายขึ้น

    ✅ รองรับการติดตั้ง OS ผ่าน libosinfo แทน virt-install CLI
    - ช่วยให้ สามารถตรวจจับ OS images และสร้าง libvirt XML ได้แม่นยำขึ้น

    ✅ มี UI ที่ออกแบบให้ใช้งานง่ายและรองรับอุปกรณ์พกพา
    - อ้างอิงดีไซน์จาก MacOS UTM และปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของชุมชน KDE

    ✅ รองรับการเชื่อมต่อกับ QEMU hypervisor ทั้งแบบ session (user) และ system (root)
    - GNOME Boxes รองรับเฉพาะ session แต่ Karton จะเพิ่มการรองรับ system เพื่อให้ใช้งานกับ Hyper-V และ bhyve ได้

    https://www.neowin.net/news/kde-is-finally-getting-a-native-virtual-machine-manager-called-karton/
    KDE เตรียมเปิดตัว "Karton" ระบบจัดการเครื่องเสมือนแบบเนทีฟ KDE กำลังพัฒนา Karton ซึ่งเป็น Virtual Machine Manager (VMM) ที่ออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบภายใน Plasma Desktop โดยโครงการนี้เริ่มต้นจาก Aaron Rainbolt ที่พัฒนา QEMU frontend และต่อมาถูกพัฒนาโดย Harald Sitter ในโครงการ Google Summer of Code (GSoC) ปัจจุบัน Derek Lin นักศึกษาจาก University of Waterloo กำลังพัฒนา Karton ใน GSoC 2025 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Karton ✅ Karton ใช้ Qt Quick และ Kirigami เพื่อให้เข้ากับ KDE Plasma - ทำให้ UI มีความสวยงามและใช้งานง่าย ✅ ใช้ libvirt API ในการจัดการเครื่องเสมือน - รองรับ การตั้งค่า VM อย่างละเอียดและสามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้ ✅ พัฒนา SPICE viewer แบบกำหนดเองโดยใช้ Qt Quick - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถดูและโต้ตอบกับ VM ได้โดยไม่ต้องใช้ virt-viewer ✅ เพิ่มฟีเจอร์ snapshot เพื่อให้สามารถกู้คืนสถานะก่อนหน้าได้ - ทำให้ การสำรองข้อมูลและการกู้คืน VM ทำได้ง่ายขึ้น ✅ รองรับการติดตั้ง OS ผ่าน libosinfo แทน virt-install CLI - ช่วยให้ สามารถตรวจจับ OS images และสร้าง libvirt XML ได้แม่นยำขึ้น ✅ มี UI ที่ออกแบบให้ใช้งานง่ายและรองรับอุปกรณ์พกพา - อ้างอิงดีไซน์จาก MacOS UTM และปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของชุมชน KDE ✅ รองรับการเชื่อมต่อกับ QEMU hypervisor ทั้งแบบ session (user) และ system (root) - GNOME Boxes รองรับเฉพาะ session แต่ Karton จะเพิ่มการรองรับ system เพื่อให้ใช้งานกับ Hyper-V และ bhyve ได้ https://www.neowin.net/news/kde-is-finally-getting-a-native-virtual-machine-manager-called-karton/
    WWW.NEOWIN.NET
    KDE is finally getting a native virtual machine manager called "Karton"
    For years, KDE users had to use Virtual Machine Managers outside the KDE ecosystem, like GNOME Boxes. Now that's changing with a new native VMM in development for KDE.
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • Microsoft เปิดตัว "Advanced Settings" ใน Windows 11 เพื่อช่วยนักพัฒนา

    Microsoft กำลังเปิดตัว "Advanced Settings" ใน Windows 11 ซึ่งเป็นการปรับปรุงจาก "For Developers" ที่เคยอยู่ใน Settings > System โดยมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปสามารถปรับแต่งระบบได้ง่ายขึ้น

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Advanced Settings
    ✅ Advanced Settings เป็นการปรับปรุงจาก "For Developers" ใน Windows 11
    - ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเข้าถึงตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับการปรับแต่งระบบ

    ✅ มีฟีเจอร์ใหม่ที่นำมาจาก Dev Home ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
    - ทำให้ การตั้งค่ามีโครงสร้างที่ดีขึ้นและใช้งานง่ายขึ้น

    ✅ Microsoft ยังไม่ได้ประกาศฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการ
    - แต่สามารถ เปิดใช้งานได้ใน Windows 11 Preview Builds ผ่าน Microsoft Store

    ✅ สามารถเปิดใช้งาน Advanced Settings ได้โดยใช้ ViVeTool
    - ใช้คำสั่ง vivetool /enable /id:56005157 แล้วรีสตาร์ทเครื่อง

    ✅ Microsoft อาจเปิดตัวฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการในงาน Build Developer Conference
    - ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า

    https://www.neowin.net/news/microsoft-quietly-rolls-out-new-advanced-settings-for-windows-11-here-is-how-to-enable-it/
    Microsoft เปิดตัว "Advanced Settings" ใน Windows 11 เพื่อช่วยนักพัฒนา Microsoft กำลังเปิดตัว "Advanced Settings" ใน Windows 11 ซึ่งเป็นการปรับปรุงจาก "For Developers" ที่เคยอยู่ใน Settings > System โดยมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปสามารถปรับแต่งระบบได้ง่ายขึ้น 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Advanced Settings ✅ Advanced Settings เป็นการปรับปรุงจาก "For Developers" ใน Windows 11 - ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเข้าถึงตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับการปรับแต่งระบบ ✅ มีฟีเจอร์ใหม่ที่นำมาจาก Dev Home ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว - ทำให้ การตั้งค่ามีโครงสร้างที่ดีขึ้นและใช้งานง่ายขึ้น ✅ Microsoft ยังไม่ได้ประกาศฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการ - แต่สามารถ เปิดใช้งานได้ใน Windows 11 Preview Builds ผ่าน Microsoft Store ✅ สามารถเปิดใช้งาน Advanced Settings ได้โดยใช้ ViVeTool - ใช้คำสั่ง vivetool /enable /id:56005157 แล้วรีสตาร์ทเครื่อง ✅ Microsoft อาจเปิดตัวฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการในงาน Build Developer Conference - ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า https://www.neowin.net/news/microsoft-quietly-rolls-out-new-advanced-settings-for-windows-11-here-is-how-to-enable-it/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft quietly rolls out new Advanced Settings for Windows 11, here is how to enable it
    Microsoft quietly and without any announcements started rolling out a new "Advanced Settings" section for Windows 11. However, it is not enabled by default; here is how to make it work.
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews
  • Intel Lunar Lake: ดีไซน์สุดล้ำที่ผสมผสาน ARM และ x86

    Intel เปิดตัว Lunar Lake ซึ่งเป็นชิปที่ผสมผสานแนวคิดของ ARM-based SoC กับสถาปัตยกรรม x86 โดยใช้ TSMC N3B ในการผลิต Compute Tile และมี Neural Processing Unit (NPU) ที่ให้ประสิทธิภาพ AI สูงถึง 48 TOPS

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Intel Lunar Lake
    ✅ ใช้สถาปัตยกรรม Lion Cove สำหรับ Performance Cores (P-Cores)
    - มี 4 P-Cores พร้อม L3 Cache ขนาด 12MB และ L2 Cache 2.5MB ต่อคอร์

    ✅ Efficiency Cores (E-Cores) ใช้สถาปัตยกรรม Skymont
    - ตั้งอยู่บน Low Power Island พร้อม L2 Cache ขนาด 4MB

    ✅ NPU มี 6 Neural Compute Engines (NCE) ให้ประสิทธิภาพ AI สูงถึง 48 TOPS
    - ช่วยให้ Lunar Lake มีความสามารถด้าน AI ที่โดดเด่น

    ✅ ใช้ Battlemage-based integrated GPU พร้อม 8 Xe2-LPG Cores
    - รองรับ การประมวลผลกราฟิกที่มีประสิทธิภาพสูง

    ✅ มี System-Level Cache (SLC) ขนาด 8MB ที่แชร์ระหว่าง CPU, GPU, NPU และ Media Engine
    - ช่วยลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบ

    ✅ LPDDR5x-8533 ขนาด 16GB หรือ 32GB ถูกบัดกรีติดกับแพ็กเกจ
    - ทำให้ ไม่สามารถอัปเกรด RAM ได้

    ✅ ใช้ Foveros 3D Packaging Technology ในการเชื่อมต่อชิปต่าง ๆ
    - ลด การใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างชิป

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-lunar-lake-intricacies-revealed-in-new-high-resolution-die-shots
    Intel Lunar Lake: ดีไซน์สุดล้ำที่ผสมผสาน ARM และ x86 Intel เปิดตัว Lunar Lake ซึ่งเป็นชิปที่ผสมผสานแนวคิดของ ARM-based SoC กับสถาปัตยกรรม x86 โดยใช้ TSMC N3B ในการผลิต Compute Tile และมี Neural Processing Unit (NPU) ที่ให้ประสิทธิภาพ AI สูงถึง 48 TOPS 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Intel Lunar Lake ✅ ใช้สถาปัตยกรรม Lion Cove สำหรับ Performance Cores (P-Cores) - มี 4 P-Cores พร้อม L3 Cache ขนาด 12MB และ L2 Cache 2.5MB ต่อคอร์ ✅ Efficiency Cores (E-Cores) ใช้สถาปัตยกรรม Skymont - ตั้งอยู่บน Low Power Island พร้อม L2 Cache ขนาด 4MB ✅ NPU มี 6 Neural Compute Engines (NCE) ให้ประสิทธิภาพ AI สูงถึง 48 TOPS - ช่วยให้ Lunar Lake มีความสามารถด้าน AI ที่โดดเด่น ✅ ใช้ Battlemage-based integrated GPU พร้อม 8 Xe2-LPG Cores - รองรับ การประมวลผลกราฟิกที่มีประสิทธิภาพสูง ✅ มี System-Level Cache (SLC) ขนาด 8MB ที่แชร์ระหว่าง CPU, GPU, NPU และ Media Engine - ช่วยลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบ ✅ LPDDR5x-8533 ขนาด 16GB หรือ 32GB ถูกบัดกรีติดกับแพ็กเกจ - ทำให้ ไม่สามารถอัปเกรด RAM ได้ ✅ ใช้ Foveros 3D Packaging Technology ในการเชื่อมต่อชิปต่าง ๆ - ลด การใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างชิป https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-lunar-lake-intricacies-revealed-in-new-high-resolution-die-shots
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel's Lunar Lake intricacies revealed in new high-resolution die shots
    One of Intel's most advanced and innovative designs in recent history.
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • KDE Plasma 6.4 เตรียมเปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยปรับปรุงการใช้งาน

    ทีมพัฒนา KDE ได้สรุปชุดฟีเจอร์สำหรับ Plasma 6.4 ซึ่งจะเน้นไปที่ การปรับปรุงอินเทอร์เฟซ, การจัดการเสียง และการแสดงผล HDR โดยขณะนี้อยู่ในช่วง ปรับแต่ง UI และแก้ไขบั๊กก่อนเปิดตัว

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Plasma 6.4
    ✅ เพิ่มตัวช่วยปรับแต่ง HDR เพื่อให้การตั้งค่าจอภาพง่ายขึ้น
    - Plasma 6.4 มาพร้อม HDR calibration wizard ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตั้งค่าการแสดงผลแบบ High Dynamic Range ได้สะดวกขึ้น

    ✅ KWin รองรับ Extended Dynamic Range สำหรับจอภาพที่รองรับ
    - สามารถ จำลอง HDR โดยปรับแสงพื้นหลังอย่างชาญฉลาด

    ✅ เพิ่มตัวเลือกจำกัดความลึกของสีบนจอภาพที่รองรับ
    - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถควบคุมการแสดงผลสีได้ดีขึ้น

    ✅ ปรับปรุง Audio Volume widget ให้แสดงหัวข้อแยกสำหรับอุปกรณ์เสียงเข้าและออก
    - ทำให้ ผู้ใช้สามารถแยกแยะไมโครโฟนและลำโพงได้ง่ายขึ้น

    ✅ Comics widget ได้รับการปรับปรุงให้แสดงสถานะชัดเจนขึ้น
    - โดยเฉพาะเมื่อ ยังไม่ได้ตั้งค่าหรือเกิดข้อผิดพลาด

    ✅ Trash widget จะแสดงสัญลักษณ์กำลังทำงานเมื่อกำลังล้างถังขยะ
    - ให้ ผู้ใช้ได้รับข้อมูลสถานะที่ชัดเจนขึ้น

    ✅ แก้ไขบั๊กที่ทำให้ Notifications widget ไม่แสดงการแจ้งเตือนในบางกรณี
    - ปรับปรุง การทำงานของวิดเจ็ตให้เสถียรขึ้น

    ✅ System Monitor เพิ่มตัวเลือกแสดงข้อมูล GPU และพื้นที่ดิสก์แยกตามพาร์ติชัน
    - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถติดตามทรัพยากรระบบได้ละเอียดขึ้น

    ✅ Free space notifier จะเตือนเมื่อพื้นที่เหลือน้อยบนทุกพาร์ติชัน ไม่ใช่แค่ / และ /home
    - สามารถ ตั้งค่าระดับเปอร์เซ็นต์ที่ต้องการให้แจ้งเตือนได้

    https://www.neowin.net/news/kde-is-bringing-a-better-audio-volume-widget-an-hdr-calibration-wizard--more-to-plasma-64/
    KDE Plasma 6.4 เตรียมเปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยปรับปรุงการใช้งาน ทีมพัฒนา KDE ได้สรุปชุดฟีเจอร์สำหรับ Plasma 6.4 ซึ่งจะเน้นไปที่ การปรับปรุงอินเทอร์เฟซ, การจัดการเสียง และการแสดงผล HDR โดยขณะนี้อยู่ในช่วง ปรับแต่ง UI และแก้ไขบั๊กก่อนเปิดตัว 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Plasma 6.4 ✅ เพิ่มตัวช่วยปรับแต่ง HDR เพื่อให้การตั้งค่าจอภาพง่ายขึ้น - Plasma 6.4 มาพร้อม HDR calibration wizard ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตั้งค่าการแสดงผลแบบ High Dynamic Range ได้สะดวกขึ้น ✅ KWin รองรับ Extended Dynamic Range สำหรับจอภาพที่รองรับ - สามารถ จำลอง HDR โดยปรับแสงพื้นหลังอย่างชาญฉลาด ✅ เพิ่มตัวเลือกจำกัดความลึกของสีบนจอภาพที่รองรับ - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถควบคุมการแสดงผลสีได้ดีขึ้น ✅ ปรับปรุง Audio Volume widget ให้แสดงหัวข้อแยกสำหรับอุปกรณ์เสียงเข้าและออก - ทำให้ ผู้ใช้สามารถแยกแยะไมโครโฟนและลำโพงได้ง่ายขึ้น ✅ Comics widget ได้รับการปรับปรุงให้แสดงสถานะชัดเจนขึ้น - โดยเฉพาะเมื่อ ยังไม่ได้ตั้งค่าหรือเกิดข้อผิดพลาด ✅ Trash widget จะแสดงสัญลักษณ์กำลังทำงานเมื่อกำลังล้างถังขยะ - ให้ ผู้ใช้ได้รับข้อมูลสถานะที่ชัดเจนขึ้น ✅ แก้ไขบั๊กที่ทำให้ Notifications widget ไม่แสดงการแจ้งเตือนในบางกรณี - ปรับปรุง การทำงานของวิดเจ็ตให้เสถียรขึ้น ✅ System Monitor เพิ่มตัวเลือกแสดงข้อมูล GPU และพื้นที่ดิสก์แยกตามพาร์ติชัน - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถติดตามทรัพยากรระบบได้ละเอียดขึ้น ✅ Free space notifier จะเตือนเมื่อพื้นที่เหลือน้อยบนทุกพาร์ติชัน ไม่ใช่แค่ / และ /home - สามารถ ตั้งค่าระดับเปอร์เซ็นต์ที่ต้องการให้แจ้งเตือนได้ https://www.neowin.net/news/kde-is-bringing-a-better-audio-volume-widget-an-hdr-calibration-wizard--more-to-plasma-64/
    WWW.NEOWIN.NET
    KDE is bringing a better Audio Volume widget, an HDR calibration wizard & more to Plasma 6.4
    The KDE team has provided a development update on the upcoming KDE Plasma 4, highlighting a new HDR calibration wizard along with various bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • Microsoft อาจปิดใช้งาน VBScript เร็วกว่ากำหนดใน Windows 11 24H2 และ 25H2

    Microsoft ได้ประกาศแผนการ ยกเลิกการใช้งาน VBScript ซึ่งเป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ใน Windows มานาน โดยเดิมทีบริษัทตั้งใจจะปิดใช้งาน VBScript ในปี 2027 แต่ล่าสุดมีข้อมูลว่า อาจถูกปิดเร็วกว่ากำหนดใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 หรือ 25H2

    Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ เปลี่ยนจาก VBScript ไปใช้ PowerShell หรือ JavaScript แทน เนื่องจากทั้งสองภาษามีความสามารถที่ทันสมัยกว่าและได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการยกเลิก VBScript
    ✅ VBScript ถูกประกาศเลิกใช้งานอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023
    - Microsoft ให้เวลาองค์กรในการปรับตัวก่อนที่จะปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์

    ✅ Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบว่า VBScript ยังถูกใช้งานอยู่ในระบบหรือไม่
    - สามารถใช้ SysMon (System Monitor) เพื่อตรวจสอบการเรียกใช้ VBScript DLL

    ✅ บริษัทได้เผยแพร่สคริปต์ PowerShell เพื่อช่วยค้นหาไฟล์ VBScript ในระบบ
    - ตัวอย่างเช่น สคริปต์สำหรับตรวจสอบไฟล์ .vbs ในโฟลเดอร์ต่าง ๆ

    ✅ Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ปิดใช้งาน VBScript ด้วยคำสั่ง DISM
    - สามารถใช้คำสั่ง Dism /Online /Remove-Capability /CapabilityName:VBSCRIPT~~~~

    ✅ องค์กรสามารถใช้ Microsoft Intune หรือ Group Policy เพื่อลบ VBScript ออกจากระบบ
    - เพื่อ ป้องกันการใช้งาน VBScript โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ‼️ องค์กรที่ยังใช้ VBScript อาจต้องเร่งปรับตัวก่อนที่ Microsoft จะปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์
    - ควร ตรวจสอบว่าแอปพลิเคชันหรือสคริปต์ใดยังต้องพึ่งพา VBScript

    ‼️ การปิดใช้งาน VBScript อาจส่งผลกระทบต่อระบบที่ยังไม่ได้อัปเดต
    - อาจทำให้ แอปพลิเคชันบางตัวไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

    🔍 ทางเลือกสำหรับการแปลง VBScript
    ✅ PowerShell
    - เป็น ตัวเลือกที่แนะนำสำหรับการสคริปต์บน Windows
    - รองรับ การจัดการระบบ, การทำงานกับไฟล์ และการเรียก API ต่าง ๆ
    - สามารถใช้คำสั่ง Convert-VBS-to-PS หรือเขียนใหม่ด้วย Cmdlets ของ PowerShell

    ✅ JavaScript (JScript / Node.js)
    - สามารถใช้ JScript กับ Windows Scripting Host (WSH) ได้
    - หากเป็นงานบนเว็บ ควรเปลี่ยนไปใช้ JavaScript มาตรฐานหรือ Node.js
    - รองรับ โมดูลและแพ็คเกจที่หลากหลายสำหรับงานด้าน Automation

    ✅ Python
    - เหมาะสำหรับ การจัดการไฟล์, การทำงานกับ API และงานด้าน Automation
    - มี ไลบรารีที่ครอบคลุมทุกด้านของการสคริปต์

    https://www.neowin.net/news/microsoft-may-disable-vbscript-early-in-windows-11-24h2-25h2-shares-detailed-official-guide/
    Microsoft อาจปิดใช้งาน VBScript เร็วกว่ากำหนดใน Windows 11 24H2 และ 25H2 Microsoft ได้ประกาศแผนการ ยกเลิกการใช้งาน VBScript ซึ่งเป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ใน Windows มานาน โดยเดิมทีบริษัทตั้งใจจะปิดใช้งาน VBScript ในปี 2027 แต่ล่าสุดมีข้อมูลว่า อาจถูกปิดเร็วกว่ากำหนดใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 หรือ 25H2 Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ เปลี่ยนจาก VBScript ไปใช้ PowerShell หรือ JavaScript แทน เนื่องจากทั้งสองภาษามีความสามารถที่ทันสมัยกว่าและได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการยกเลิก VBScript ✅ VBScript ถูกประกาศเลิกใช้งานอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 - Microsoft ให้เวลาองค์กรในการปรับตัวก่อนที่จะปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ ✅ Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบว่า VBScript ยังถูกใช้งานอยู่ในระบบหรือไม่ - สามารถใช้ SysMon (System Monitor) เพื่อตรวจสอบการเรียกใช้ VBScript DLL ✅ บริษัทได้เผยแพร่สคริปต์ PowerShell เพื่อช่วยค้นหาไฟล์ VBScript ในระบบ - ตัวอย่างเช่น สคริปต์สำหรับตรวจสอบไฟล์ .vbs ในโฟลเดอร์ต่าง ๆ ✅ Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ปิดใช้งาน VBScript ด้วยคำสั่ง DISM - สามารถใช้คำสั่ง Dism /Online /Remove-Capability /CapabilityName:VBSCRIPT~~~~ ✅ องค์กรสามารถใช้ Microsoft Intune หรือ Group Policy เพื่อลบ VBScript ออกจากระบบ - เพื่อ ป้องกันการใช้งาน VBScript โดยไม่ได้รับอนุญาต ‼️ องค์กรที่ยังใช้ VBScript อาจต้องเร่งปรับตัวก่อนที่ Microsoft จะปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ - ควร ตรวจสอบว่าแอปพลิเคชันหรือสคริปต์ใดยังต้องพึ่งพา VBScript ‼️ การปิดใช้งาน VBScript อาจส่งผลกระทบต่อระบบที่ยังไม่ได้อัปเดต - อาจทำให้ แอปพลิเคชันบางตัวไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ 🔍 ทางเลือกสำหรับการแปลง VBScript ✅ PowerShell - เป็น ตัวเลือกที่แนะนำสำหรับการสคริปต์บน Windows - รองรับ การจัดการระบบ, การทำงานกับไฟล์ และการเรียก API ต่าง ๆ - สามารถใช้คำสั่ง Convert-VBS-to-PS หรือเขียนใหม่ด้วย Cmdlets ของ PowerShell ✅ JavaScript (JScript / Node.js) - สามารถใช้ JScript กับ Windows Scripting Host (WSH) ได้ - หากเป็นงานบนเว็บ ควรเปลี่ยนไปใช้ JavaScript มาตรฐานหรือ Node.js - รองรับ โมดูลและแพ็คเกจที่หลากหลายสำหรับงานด้าน Automation ✅ Python - เหมาะสำหรับ การจัดการไฟล์, การทำงานกับ API และงานด้าน Automation - มี ไลบรารีที่ครอบคลุมทุกด้านของการสคริปต์ https://www.neowin.net/news/microsoft-may-disable-vbscript-early-in-windows-11-24h2-25h2-shares-detailed-official-guide/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft may disable VBScript early in Windows 11 24H2 25H2, shares detailed official guide
    Microsoft has published a new blog post outlining in detail how organisations and companies can detect and remove VBScript. The feature may be disabled early.
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • xAI อัปเดต Grok หลังเกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับ "white genocide"

    Elon Musk และทีม xAI ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับ Grok chatbot หลังจากที่มีรายงานว่า AI ตัวนี้ กล่าวถึง "white genocide" ในแอฟริกาใต้ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำถามที่ผู้ใช้ถาม ซึ่ง xAI ระบุว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้รับอนุญาตในระบบของ Grok ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการตอบ

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการอัปเดต Grok
    ✅ xAI ระบุว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้รับอนุญาตในระบบของ Grok
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ ข้ามกระบวนการตรวจสอบตามปกติของ xAI

    ✅ Grok ตอบคำถามเกี่ยวกับหัวข้ออื่น แต่กลับกล่าวถึง "white genocide" ในแอฟริกาใต้
    - ผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม X แชร์ภาพหน้าจอของการตอบกลับที่ผิดปกติ

    ✅ xAI ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ละเมิดนโยบายภายในของบริษัท
    - บริษัท กำลังดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงระบบ

    ✅ xAI จะเผยแพร่ system prompts ของ Grok บน GitHub เพื่อให้สาธารณชนตรวจสอบ
    - ผู้ใช้สามารถ ดูและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ AI

    ✅ xAI จะเพิ่มทีมตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในอนาคต
    - ทีมนี้ จะช่วยตรวจสอบคำตอบที่อาจมีปัญหาก่อนเผยแพร่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/17/musk039s-xai-updates-grok-chatbot-after-039white-genocide039-comments
    xAI อัปเดต Grok หลังเกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับ "white genocide" Elon Musk และทีม xAI ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับ Grok chatbot หลังจากที่มีรายงานว่า AI ตัวนี้ กล่าวถึง "white genocide" ในแอฟริกาใต้ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำถามที่ผู้ใช้ถาม ซึ่ง xAI ระบุว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้รับอนุญาตในระบบของ Grok ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการตอบ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการอัปเดต Grok ✅ xAI ระบุว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้รับอนุญาตในระบบของ Grok - การเปลี่ยนแปลงนี้ ข้ามกระบวนการตรวจสอบตามปกติของ xAI ✅ Grok ตอบคำถามเกี่ยวกับหัวข้ออื่น แต่กลับกล่าวถึง "white genocide" ในแอฟริกาใต้ - ผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม X แชร์ภาพหน้าจอของการตอบกลับที่ผิดปกติ ✅ xAI ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ละเมิดนโยบายภายในของบริษัท - บริษัท กำลังดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงระบบ ✅ xAI จะเผยแพร่ system prompts ของ Grok บน GitHub เพื่อให้สาธารณชนตรวจสอบ - ผู้ใช้สามารถ ดูและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ AI ✅ xAI จะเพิ่มทีมตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในอนาคต - ทีมนี้ จะช่วยตรวจสอบคำตอบที่อาจมีปัญหาก่อนเผยแพร่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/17/musk039s-xai-updates-grok-chatbot-after-039white-genocide039-comments
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk's xAI updates Grok chatbot after 'white genocide' comments
    (Reuters) -Elon Musk's xAI responded to widespread reports that its Grok chatbot made claims about a genocide against white citizens in South Africa, saying there had been an unauthorized change to the artificial intelligence bot. In a post on X on Thursday, xAI said it would update the system to address the problem.
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
More Results