• 20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค

    ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง

    เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨

    ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️

    👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย

    ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉

    ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷

    - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น
    - Southampton Technical College
    - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
    - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton
    - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷

    ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️

    เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า

    เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄

    ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸

    ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️

    ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟

    ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞

    ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼
    - บริษัท CTO. Lines
    - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล
    - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน
    - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์
    - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป

    💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

    ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568

    #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨ ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️ 👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉 ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷 - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น - Southampton Technical College - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷 ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️ เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄 ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸 ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️ ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟 ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞 ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼 - บริษัท CTO. Lines - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์ - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป 💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568 #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตัว Edge AI Mini-PC จากบริษัท Sapphire ซึ่งมาพร้อมกับ APU (Accelerated Processing Unit) รุ่นใหม่ของ AMD อย่าง Ryzen AI 300 หรือชื่อรหัสว่า "Krackan Point" การออกแบบ Mini-PC นี้เน้นที่ความกะทัดรัดและการพกพาสะดวก แต่ยังคงประสิทธิภาพที่เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องการการประมวลผลสูงและการใช้งาน AI

    คุณสมบัติที่โดดเด่นของ Edge AI Mini-PC:
    1) ขนาดเล็กพิเศษ: ด้วยขนาดเพียง 117 x 111 x 30 มม. ทำให้สามารถพกพาได้ง่ายและไม่เปลืองพื้นที่จัดวาง

    2) ฮาร์ดแวร์ทรงพลัง: มีตัวเลือกโปรเซสเซอร์ Ryzen AI 7 350 หรือ Ryzen AI 5 340 ที่มีมากถึง 8 คอร์และ 16 เธรด พร้อมกับกราฟิก RDNA 3.5 แบบในตัวที่รองรับงานกราฟิกแบบเบาถึงกลาง

    3) หน่วยความจำและการจัดเก็บ:
    - รุ่น Ryzen AI 7 350 มาพร้อม RAM ขนาด 32GB
    - รุ่น Ryzen AI 5 340 มี RAM 16GB
    - รองรับ SSD สูงสุด 2 ตัว (ผ่านสล็อต M.2 2280 และ 2242)

    4) การเชื่อมต่อที่ครบครัน: มีพอร์ต USB 4.0, HDMI, DisplayPort และพอร์ต LAN ความเร็ว 2.5 GbE รวมถึงการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth

    5) การออกแบบที่ทันสมัย: ตัวเคสมาพร้อมฝาแม่เหล็กที่สามารถเปิดได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ

    Edge AI Mini-PC เหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data), และการเล่นเกมที่ไม่ต้องการกราฟิกหนัก นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นโซลูชันสำหรับผู้ที่มองหาคอมพิวเตอร์ที่ประหยัดพื้นที่และสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ

    Sapphire วางแผนที่จะเปิดตัว Mini-PC รุ่นนี้ในเดือนเมษายน โดยราคาที่คาดการณ์จะอยู่ต่ำกว่า $1,000 ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและนักพัฒนา

    https://wccftech.com/sapphire-edge-ai-mini-pcs-amd-ryzen-ai-300-krackan-point/
    เปิดตัว Edge AI Mini-PC จากบริษัท Sapphire ซึ่งมาพร้อมกับ APU (Accelerated Processing Unit) รุ่นใหม่ของ AMD อย่าง Ryzen AI 300 หรือชื่อรหัสว่า "Krackan Point" การออกแบบ Mini-PC นี้เน้นที่ความกะทัดรัดและการพกพาสะดวก แต่ยังคงประสิทธิภาพที่เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องการการประมวลผลสูงและการใช้งาน AI คุณสมบัติที่โดดเด่นของ Edge AI Mini-PC: 1) ขนาดเล็กพิเศษ: ด้วยขนาดเพียง 117 x 111 x 30 มม. ทำให้สามารถพกพาได้ง่ายและไม่เปลืองพื้นที่จัดวาง 2) ฮาร์ดแวร์ทรงพลัง: มีตัวเลือกโปรเซสเซอร์ Ryzen AI 7 350 หรือ Ryzen AI 5 340 ที่มีมากถึง 8 คอร์และ 16 เธรด พร้อมกับกราฟิก RDNA 3.5 แบบในตัวที่รองรับงานกราฟิกแบบเบาถึงกลาง 3) หน่วยความจำและการจัดเก็บ: - รุ่น Ryzen AI 7 350 มาพร้อม RAM ขนาด 32GB - รุ่น Ryzen AI 5 340 มี RAM 16GB - รองรับ SSD สูงสุด 2 ตัว (ผ่านสล็อต M.2 2280 และ 2242) 4) การเชื่อมต่อที่ครบครัน: มีพอร์ต USB 4.0, HDMI, DisplayPort และพอร์ต LAN ความเร็ว 2.5 GbE รวมถึงการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth 5) การออกแบบที่ทันสมัย: ตัวเคสมาพร้อมฝาแม่เหล็กที่สามารถเปิดได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ Edge AI Mini-PC เหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data), และการเล่นเกมที่ไม่ต้องการกราฟิกหนัก นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นโซลูชันสำหรับผู้ที่มองหาคอมพิวเตอร์ที่ประหยัดพื้นที่และสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ Sapphire วางแผนที่จะเปิดตัว Mini-PC รุ่นนี้ในเดือนเมษายน โดยราคาที่คาดการณ์จะอยู่ต่ำกว่า $1,000 ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและนักพัฒนา https://wccftech.com/sapphire-edge-ai-mini-pcs-amd-ryzen-ai-300-krackan-point/
    WCCFTECH.COM
    Sapphire Intros Edge AI Mini-PCs Powered By AMD "Ryzen AI 300" Krackan Point APUs; Feature Ultra-Compact Form Factor
    Sapphire's new mini PCs lineup introduces AMD's recently launched Ryzen AI 300 APUs and is super-compact for better portability.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta ประสบความสำเร็จในการยับยั้งการโปรโมตหนังสือเล่มใหม่ชื่อ "Careless People" ที่เขียนโดยอดีตพนักงาน Sarah Wynn-Williams อดีตผู้อำนวยการนโยบายสาธารณะระดับโลกของบริษัท หนังสือเล่มนี้เปิดเผยภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับ Meta และผู้บริหารระดับสูง เช่น Mark Zuckerberg และอดีต COO Sheryl Sandberg ทำให้ Meta เชื่อว่าหนังสือนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จและทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเสียหาย

    Meta ได้รับคำสั่งฉุกเฉินจากอนุญาโตตุลาการให้ระงับการโปรโมตหนังสือและพยายามยับยั้งการตีพิมพ์เพิ่มเติม เท่าที่เป็นไปได้ แต่คำสั่งนี้ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อผู้จัดพิมพ์ Macmillan โดย Meta อ้างว่าหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาใส่ร้ายและไม่ควรได้รับการเผยแพร่ Wynn-Williams ไม่ได้เข้าร่วมการพิจารณาคดีนี้ ขณะที่ Macmillan แย้งว่าตนไม่อยู่ในขอบเขตของข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/13/meta-wins-halt-to-promotion-of-039careless-people039-tell-all-book-by-former-employee
    Meta ประสบความสำเร็จในการยับยั้งการโปรโมตหนังสือเล่มใหม่ชื่อ "Careless People" ที่เขียนโดยอดีตพนักงาน Sarah Wynn-Williams อดีตผู้อำนวยการนโยบายสาธารณะระดับโลกของบริษัท หนังสือเล่มนี้เปิดเผยภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับ Meta และผู้บริหารระดับสูง เช่น Mark Zuckerberg และอดีต COO Sheryl Sandberg ทำให้ Meta เชื่อว่าหนังสือนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จและทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเสียหาย Meta ได้รับคำสั่งฉุกเฉินจากอนุญาโตตุลาการให้ระงับการโปรโมตหนังสือและพยายามยับยั้งการตีพิมพ์เพิ่มเติม เท่าที่เป็นไปได้ แต่คำสั่งนี้ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อผู้จัดพิมพ์ Macmillan โดย Meta อ้างว่าหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาใส่ร้ายและไม่ควรได้รับการเผยแพร่ Wynn-Williams ไม่ได้เข้าร่วมการพิจารณาคดีนี้ ขณะที่ Macmillan แย้งว่าตนไม่อยู่ในขอบเขตของข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/13/meta-wins-halt-to-promotion-of-039careless-people039-tell-all-book-by-former-employee
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta wins halt to promotion of 'Careless People' tell-all book by former employee
    (Reuters) - Meta Platforms on Wednesday won an emergency arbitration ruling to temporarily stop promotion of the tell-all book "Careless People" by a former employee, according to a copy of the ruling published by the social media company.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยจำได้ว่า Storyฯ เคยเขียนว่าพระเอกในเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> ‘ลู่อี้’ นั้นมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ วันนี้มาคุยกันกับเกร็ดประวัติศาสตร์จากละครเรื่องนี้ที่ Storyฯ เพิ่งได้กลับมาตั้งใจดูอีกครั้งและพบว่าตัวเองตกหล่นรายละเอียดไปไม่น้อย

    เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้อาจพอจำได้ว่าในเนื้อเรื่องมีตัวร้ายคือ ‘เหยียนซื่อฟาน’ ซึ่งเป็นลูกชายของขุนนางตัวโกงนาม ‘เหยียนซง’ ซึ่งทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ในรัชสมัยขององค์หมิงซื่อจงแห่งราชวง์หมิง โดยเหยียนซงรับตำแหน่งหัวหน้าของคณะขุนนางสูงสุดหรือที่เรียกว่า ‘เน่ยเก๋อ’ (内阁 จึงเป็นที่มาของการเรียกขาน เหยียนซื่อฟานว่า ‘เสี่ยวเก๋อเหล่า’) ในละครมีฉากที่เหยียนซื่อฟานได้ภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ มาและมีการถกกันว่าเป็นภาพของแท้หรือไม่

    Storyฯ เคยเขียนถึงภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ มาแล้วตอนที่คุยกันเกี่ยวกับละคร <สามบุปผาลิขิตฝัน> แต่วันนี้มีรายละเอียดเพิ่มเติม ขอถอดบทสนทนาจากในละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาดังนี้
    ... “ได้ยินมาว่าจางเจ๋อตวนใช้เวลาหนึ่งปีก็วาดภาพม้วนยาวนี้เสร็จ นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถหายาก... ท่านใต้เท่าสวี่... เชิญท่านลองคุยๆ ดูภาพนี้จริงปลอมหรือไม่อย่างไร” เหยียนซงกล่าว
    ใต้เท้าสวี่เอ่ย “...ตามที่ข้าน้อยทราบมา ภาพนี้ควรมีลายพระอักษรรูปแบบโซ่วจินขององค์ซ่งฮุยจงเป็นคำว่า ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ห้าอักษร... และมีตราประทับมังกรคู่ อีกทั้งมีบทกลอนนำ ภาพนี้ดูแล้วไม่คล้ายเป็นภาพวาดเลียนแบบ” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ยาว 528 ซม. สูง 24.8 ซม. เป็นหนึ่งในสิบของภาพโบราณที่มีค่าที่สุดของจีน ถูกวาดขึ้นโดยจางเจ๋อตวน เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการวาดภาพนี้จริงหรือไม่ ไม่ปรากฏหลักฐานหรือบันทึกใดกล่าวชัด แต่ภาพนี้เคยตกอยู่ในมือของเหยียนซงจริง! ตอนที่ตระกูลเหยียนถูกลงทัณฑ์และยึดสมบัตินั้น รายชื่อของสมบัติที่ริบได้นั้นยาวถึง 140 หน้ากระดาษและหนึ่งในนั้นก็คือ ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ นี้

    จากบันทึกที่พอแกะรอยกันได้ ว่ากันว่าภาพนี้แรกเริ่มถูกนำถวายองค์ซ่งฮุยจง (ค.ศ. 1522-1566) และพระองค์ทรงเขียนชื่อ ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ขึ้นบนภาพด้วยอักษรในรูปแบบ ‘โซ่วจิน’ ซึ่งเป็นรูปแบบอักษรที่ทรงคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง (ดูตัวอย่างจากรูป2 ขวา) เป็นที่ถกเถียงกันต่อมาว่าทรงโปรดภาพนี้หรือไม่เพราะมันไม่ได้ถูกเก็บไว้ในท้องพระคลังแต่ถูกพระราชทานให้ขุนนาง

    หลังจากนั้น ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ผ่านการเดินทางอย่างโชกโชน ในช่วงที่ราชวงศ์จินยึดแผ่นดินซ่งได้สำเร็จนั้น ว่ากันว่ามันถูกเก็บเข้าท้องพระคลังและถูกยักยอกออกมาขายทอดตลาด เป็นช่วงที่มีการเขียนบทนำลงไปหน้าภาพ ต่อมาในสมัยหยวนก็ถูกซื้อเก็บเข้าท้องพระคลังอีกครั้งและถูกยักยอกออกมาขายอีก มีการเสาะหามันเรื่อยมาจนตกมาอยู่ในมือของเหยียนซงในสมัยหมิง โดยที่ก่อนหน้านั้นปรากฏงานลอกเลียนแบบออกมาจำนวนไม่น้อย ต่อมามันถูกริบเป็นสมบัติหลวงอีกครั้งโดยมีการลบตราประทับที่แสดงความเป็นเจ้าของของตระกูลเหยียนออกจากภาพ หลังจากนั้นมันถูกเปลี่ยนมือไปมาในแวดวงขุนนาง โดยไม่แน่ว่าเป็นการได้รับพระราชทานหรือยักยอก และปรากฏบทความนำหน้าภาพขึ้นมาเพิ่มอีก โดยที่ลายพระหัตถ์ขององค์หมิงซื่อจงไม่ทราบว่าหายไปจากภาพตั้งแต่เมื่อใด ผู้ที่ถือครองครั้งสุดท้ายว่ากันว่าคือขันทีนามว่า ‘เฝิงเป่า’ ซึ่งต่อมาถูกลงทัณฑ์ริบสมบัติ

    ภาพนี้หายสาบสูญไปนานกว่าสองร้อยปี แน่นอนว่ามีภาพปลอมจำนวนไม่น้อยปรากฏขึ้น และภาพที่เชื่อว่าเป็นฉบับจริงนี้ปรากฏในตลาดและมาถึงมือของพิพิธภัณฑ์มณฑลเหลียวหนิงในปีค.ศ. 1950 ปัจจุบันถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    บทความของ Storyฯ เกี่ยวกับลู่อี้: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0QA8xxCRgWSD6jP6PexAdnrZmEdGAHVxGTu3UXj3CpZfkovdY37ft9rQbauD6KfQzl
    บทความของ Storyฯ เกี่ยวกับชิงหมิงซ่างเหอถู: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid01MbyBtawx6X9xEHogRvHY8NesM2MVWHUBgYeuujQnFrPFA39dgddSihm4jjXrfiPl

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    http://www.zgsshh.com/Works_body.asp?id=1190&amp;qx=137
    http://www.fengxuelin.com/tougao/16546.html
    http://ent.sina.com.cn/v/m/2017-10-12/doc-ifymviyp0369720.shtml
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2010/06-21/2352544.shtml
    http://collection.sina.com.cn/jczs/2016-10-26/doc-ifxwztrt0466746.shtml
    https://baike.baidu.com/item/瘦金体/884949

    #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ชิงหมิงซ่างเหอถู #เหยียนซื่อฟาน #ซ่งฮุยจง #อักษรโซ่วจิน
    เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยจำได้ว่า Storyฯ เคยเขียนว่าพระเอกในเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> ‘ลู่อี้’ นั้นมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ วันนี้มาคุยกันกับเกร็ดประวัติศาสตร์จากละครเรื่องนี้ที่ Storyฯ เพิ่งได้กลับมาตั้งใจดูอีกครั้งและพบว่าตัวเองตกหล่นรายละเอียดไปไม่น้อย เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้อาจพอจำได้ว่าในเนื้อเรื่องมีตัวร้ายคือ ‘เหยียนซื่อฟาน’ ซึ่งเป็นลูกชายของขุนนางตัวโกงนาม ‘เหยียนซง’ ซึ่งทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ในรัชสมัยขององค์หมิงซื่อจงแห่งราชวง์หมิง โดยเหยียนซงรับตำแหน่งหัวหน้าของคณะขุนนางสูงสุดหรือที่เรียกว่า ‘เน่ยเก๋อ’ (内阁 จึงเป็นที่มาของการเรียกขาน เหยียนซื่อฟานว่า ‘เสี่ยวเก๋อเหล่า’) ในละครมีฉากที่เหยียนซื่อฟานได้ภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ มาและมีการถกกันว่าเป็นภาพของแท้หรือไม่ Storyฯ เคยเขียนถึงภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ มาแล้วตอนที่คุยกันเกี่ยวกับละคร <สามบุปผาลิขิตฝัน> แต่วันนี้มีรายละเอียดเพิ่มเติม ขอถอดบทสนทนาจากในละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาดังนี้ ... “ได้ยินมาว่าจางเจ๋อตวนใช้เวลาหนึ่งปีก็วาดภาพม้วนยาวนี้เสร็จ นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถหายาก... ท่านใต้เท่าสวี่... เชิญท่านลองคุยๆ ดูภาพนี้จริงปลอมหรือไม่อย่างไร” เหยียนซงกล่าว ใต้เท้าสวี่เอ่ย “...ตามที่ข้าน้อยทราบมา ภาพนี้ควรมีลายพระอักษรรูปแบบโซ่วจินขององค์ซ่งฮุยจงเป็นคำว่า ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ห้าอักษร... และมีตราประทับมังกรคู่ อีกทั้งมีบทกลอนนำ ภาพนี้ดูแล้วไม่คล้ายเป็นภาพวาดเลียนแบบ” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ภาพวาด ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ยาว 528 ซม. สูง 24.8 ซม. เป็นหนึ่งในสิบของภาพโบราณที่มีค่าที่สุดของจีน ถูกวาดขึ้นโดยจางเจ๋อตวน เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการวาดภาพนี้จริงหรือไม่ ไม่ปรากฏหลักฐานหรือบันทึกใดกล่าวชัด แต่ภาพนี้เคยตกอยู่ในมือของเหยียนซงจริง! ตอนที่ตระกูลเหยียนถูกลงทัณฑ์และยึดสมบัตินั้น รายชื่อของสมบัติที่ริบได้นั้นยาวถึง 140 หน้ากระดาษและหนึ่งในนั้นก็คือ ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ นี้ จากบันทึกที่พอแกะรอยกันได้ ว่ากันว่าภาพนี้แรกเริ่มถูกนำถวายองค์ซ่งฮุยจง (ค.ศ. 1522-1566) และพระองค์ทรงเขียนชื่อ ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ขึ้นบนภาพด้วยอักษรในรูปแบบ ‘โซ่วจิน’ ซึ่งเป็นรูปแบบอักษรที่ทรงคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง (ดูตัวอย่างจากรูป2 ขวา) เป็นที่ถกเถียงกันต่อมาว่าทรงโปรดภาพนี้หรือไม่เพราะมันไม่ได้ถูกเก็บไว้ในท้องพระคลังแต่ถูกพระราชทานให้ขุนนาง หลังจากนั้น ‘ชิงหมิงซ่างเหอถู’ ผ่านการเดินทางอย่างโชกโชน ในช่วงที่ราชวงศ์จินยึดแผ่นดินซ่งได้สำเร็จนั้น ว่ากันว่ามันถูกเก็บเข้าท้องพระคลังและถูกยักยอกออกมาขายทอดตลาด เป็นช่วงที่มีการเขียนบทนำลงไปหน้าภาพ ต่อมาในสมัยหยวนก็ถูกซื้อเก็บเข้าท้องพระคลังอีกครั้งและถูกยักยอกออกมาขายอีก มีการเสาะหามันเรื่อยมาจนตกมาอยู่ในมือของเหยียนซงในสมัยหมิง โดยที่ก่อนหน้านั้นปรากฏงานลอกเลียนแบบออกมาจำนวนไม่น้อย ต่อมามันถูกริบเป็นสมบัติหลวงอีกครั้งโดยมีการลบตราประทับที่แสดงความเป็นเจ้าของของตระกูลเหยียนออกจากภาพ หลังจากนั้นมันถูกเปลี่ยนมือไปมาในแวดวงขุนนาง โดยไม่แน่ว่าเป็นการได้รับพระราชทานหรือยักยอก และปรากฏบทความนำหน้าภาพขึ้นมาเพิ่มอีก โดยที่ลายพระหัตถ์ขององค์หมิงซื่อจงไม่ทราบว่าหายไปจากภาพตั้งแต่เมื่อใด ผู้ที่ถือครองครั้งสุดท้ายว่ากันว่าคือขันทีนามว่า ‘เฝิงเป่า’ ซึ่งต่อมาถูกลงทัณฑ์ริบสมบัติ ภาพนี้หายสาบสูญไปนานกว่าสองร้อยปี แน่นอนว่ามีภาพปลอมจำนวนไม่น้อยปรากฏขึ้น และภาพที่เชื่อว่าเป็นฉบับจริงนี้ปรากฏในตลาดและมาถึงมือของพิพิธภัณฑ์มณฑลเหลียวหนิงในปีค.ศ. 1950 ปัจจุบันถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) บทความของ Storyฯ เกี่ยวกับลู่อี้: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0QA8xxCRgWSD6jP6PexAdnrZmEdGAHVxGTu3UXj3CpZfkovdY37ft9rQbauD6KfQzl บทความของ Storyฯ เกี่ยวกับชิงหมิงซ่างเหอถู: https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid01MbyBtawx6X9xEHogRvHY8NesM2MVWHUBgYeuujQnFrPFA39dgddSihm4jjXrfiPl Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://www.zgsshh.com/Works_body.asp?id=1190&amp;qx=137 http://www.fengxuelin.com/tougao/16546.html http://ent.sina.com.cn/v/m/2017-10-12/doc-ifymviyp0369720.shtml Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2010/06-21/2352544.shtml http://collection.sina.com.cn/jczs/2016-10-26/doc-ifxwztrt0466746.shtml https://baike.baidu.com/item/瘦金体/884949 #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ชิงหมิงซ่างเหอถู #เหยียนซื่อฟาน #ซ่งฮุยจง #อักษรโซ่วจิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลการศึกษาเกี่ยวกับความแม่นยำของเครื่องมือค้นหาที่ใช้ AI โดย Tow Center for Digital Journalism พบว่า AI เหล่านี้มีอัตราความผิดพลาดสูงถึง 60% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ในยุคที่เทคโนโลยี AI ขยายตัว

    การศึกษาได้เลือกบทความข่าว 200 ชิ้นจาก 20 สำนักข่าว เพื่อทดสอบความแม่นยำของเครื่องมือค้นหา AI รวมถึง ChatGPT, Copilot, Perplexity และ Grok โดยการให้ AI ตอบคำถามและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล เช่น การอ้างอิงถึงบทความ ชื่อสำนักข่าว และ URL ที่เกี่ยวข้อง ผลลัพธ์ชี้ว่า AI มักจะรายงานข้อมูลที่ผิดพลาด แต่ยังคงแสดงความมั่นใจในคำตอบนั้น ๆ ทำให้เกิดข้อวิจารณ์ว่าเป็น "ศิลปะแห่งการหลอกลวงที่ดูน่าเชื่อถือ"

    นอกจากนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ChatGPT สามารถตอบคำถามทุกชุดข้อมูลได้ครบถ้วน แต่คำตอบกลับ "ถูกต้องอย่างสมบูรณ์" เพียง 28% และ "ผิดพลาดทั้งหมด" สูงถึง 57% ในขณะที่ AI อื่น ๆ เช่น Copilot และ Grok มีอัตราความผิดพลาดสูงขึ้นถึง 70% และ 94% ตามลำดับ

    จุดสำคัญของข่าวนี้คือการเรียกร้องให้บริษัทผู้พัฒนา AI เพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อความแม่นยำของข้อมูลที่ให้กับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้งานต้องเสียค่าบริการรายเดือนซึ่งอาจสูงถึง $200 ต่อเดือน ความคิดเห็นของสาธารณชนแตกออกเป็นสองทาง บางคนชื่นชมความรวดเร็วและอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย แต่คนอื่น ๆ ตั้งคำถามว่าเราควรเชื่อถือ AI ในการค้นหาข้อมูลมากแค่ไหน

    https://www.techspot.com/news/107101-new-study-finds-ai-search-tools-60-percent.html
    ผลการศึกษาเกี่ยวกับความแม่นยำของเครื่องมือค้นหาที่ใช้ AI โดย Tow Center for Digital Journalism พบว่า AI เหล่านี้มีอัตราความผิดพลาดสูงถึง 60% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ในยุคที่เทคโนโลยี AI ขยายตัว การศึกษาได้เลือกบทความข่าว 200 ชิ้นจาก 20 สำนักข่าว เพื่อทดสอบความแม่นยำของเครื่องมือค้นหา AI รวมถึง ChatGPT, Copilot, Perplexity และ Grok โดยการให้ AI ตอบคำถามและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล เช่น การอ้างอิงถึงบทความ ชื่อสำนักข่าว และ URL ที่เกี่ยวข้อง ผลลัพธ์ชี้ว่า AI มักจะรายงานข้อมูลที่ผิดพลาด แต่ยังคงแสดงความมั่นใจในคำตอบนั้น ๆ ทำให้เกิดข้อวิจารณ์ว่าเป็น "ศิลปะแห่งการหลอกลวงที่ดูน่าเชื่อถือ" นอกจากนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ChatGPT สามารถตอบคำถามทุกชุดข้อมูลได้ครบถ้วน แต่คำตอบกลับ "ถูกต้องอย่างสมบูรณ์" เพียง 28% และ "ผิดพลาดทั้งหมด" สูงถึง 57% ในขณะที่ AI อื่น ๆ เช่น Copilot และ Grok มีอัตราความผิดพลาดสูงขึ้นถึง 70% และ 94% ตามลำดับ จุดสำคัญของข่าวนี้คือการเรียกร้องให้บริษัทผู้พัฒนา AI เพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อความแม่นยำของข้อมูลที่ให้กับผู้ใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้งานต้องเสียค่าบริการรายเดือนซึ่งอาจสูงถึง $200 ต่อเดือน ความคิดเห็นของสาธารณชนแตกออกเป็นสองทาง บางคนชื่นชมความรวดเร็วและอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย แต่คนอื่น ๆ ตั้งคำถามว่าเราควรเชื่อถือ AI ในการค้นหาข้อมูลมากแค่ไหน https://www.techspot.com/news/107101-new-study-finds-ai-search-tools-60-percent.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI search engines fail accuracy test, study finds 60% error rate
    The Tow Center for Digital Journalism recently studied eight AI search engines, including ChatGPT Search, Perplexity, Perplexity Pro, Gemini, DeepSeek Search, Grok-2 Search, Grok-3 Search, and Copilot....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวแนวโน้มล่าสุดในตลาดสมาร์ทวอทช์ที่ได้พบกับการชะลอตัวเป็นครั้งแรกในปี 2024 โดยมีการจัดส่งลดลงถึง 7% ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายสำหรับผู้ผลิตสมาร์ทวอทช์ทั่วโลก รวมถึง Apple ที่ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในตลาด แต่ยอดขายลดลงถึง 19% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

    หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการลดลงนี้ คือการอัปเดตฟีเจอร์ที่มีน้อยในรุ่น Apple Watch Series 10 และการไม่มีรุ่น Ultra 3 ในตลาด รวมถึงการขาดรุ่น SE ใหม่ตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าอาจเป็นเพราะความกังวลเรื่องต้นทุน ในขณะที่ Apple คาดว่าจะออก Apple Watch SE รุ่นใหม่ในปีนี้

    ด้านการกระจายตลาด สมาร์ทวอทช์หนึ่งในสี่ของการจัดส่งในปีที่ผ่านมาอยู่ในประเทศจีน โดยแซงหน้าอินเดียและอเมริกาเหนือที่ตามมาเล็กน้อย นอกจากนี้ ตลาดสมาร์ทวอทช์สำหรับเด็กที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัย เช่น ติดตามตำแหน่งของลูกหลาน ยังเป็นเซกเมนต์เดียวที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ บริษัทอย่าง Imoo ได้รับความนิยมในกลุ่มนี้ และกระตุ้นให้แบรนด์อื่น ๆ เช่น Fitbit และ Noise เริ่มขยายไลน์สินค้าสำหรับเด็กมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107100-global-smartwatch-shipments-dipped-7-2024-marking-first.html
    ข่าวแนวโน้มล่าสุดในตลาดสมาร์ทวอทช์ที่ได้พบกับการชะลอตัวเป็นครั้งแรกในปี 2024 โดยมีการจัดส่งลดลงถึง 7% ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายสำหรับผู้ผลิตสมาร์ทวอทช์ทั่วโลก รวมถึง Apple ที่ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในตลาด แต่ยอดขายลดลงถึง 19% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการลดลงนี้ คือการอัปเดตฟีเจอร์ที่มีน้อยในรุ่น Apple Watch Series 10 และการไม่มีรุ่น Ultra 3 ในตลาด รวมถึงการขาดรุ่น SE ใหม่ตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าอาจเป็นเพราะความกังวลเรื่องต้นทุน ในขณะที่ Apple คาดว่าจะออก Apple Watch SE รุ่นใหม่ในปีนี้ ด้านการกระจายตลาด สมาร์ทวอทช์หนึ่งในสี่ของการจัดส่งในปีที่ผ่านมาอยู่ในประเทศจีน โดยแซงหน้าอินเดียและอเมริกาเหนือที่ตามมาเล็กน้อย นอกจากนี้ ตลาดสมาร์ทวอทช์สำหรับเด็กที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัย เช่น ติดตามตำแหน่งของลูกหลาน ยังเป็นเซกเมนต์เดียวที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ บริษัทอย่าง Imoo ได้รับความนิยมในกลุ่มนี้ และกระตุ้นให้แบรนด์อื่น ๆ เช่น Fitbit และ Noise เริ่มขยายไลน์สินค้าสำหรับเด็กมากขึ้น https://www.techspot.com/news/107100-global-smartwatch-shipments-dipped-7-2024-marking-first.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Apple Watch faces first major decline as smartwatch shipments drop 7%
    According to Counterpoint senior research analyst Anshika Jain, Apple Watch experienced a decline in its 10th year on the market thanks in part to minimal feature upgrades...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • X-37B ยานอวกาศลับของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจครั้งที่ 7 หลังจากลอยอยู่ในวงโคจรยาวนานถึง 434 วัน ยานลำนี้มีขนาดเล็กกว่ายานกระสวยอวกาศทั่วไปและใช้พลังงานจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดพิเศษที่ช่วยให้สามารถอยู่ในอวกาศได้นานเป็นร้อยวัน โดยภารกิจนี้มุ่งเน้นไปที่การทดสอบและทดลองเทคโนโลยีหลากหลาย รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของรังสีในอวกาศ และการเพิ่มประสิทธิภาพของการเปลี่ยนวงโคจรโดยใช้ "aerobraking" ซึ่งใช้แรงเสียดทานของชั้นบรรยากาศเพื่อลดการใช้พลังงาน

    แม้ว่ารายละเอียดของการทดลองและภารกิจของ X-37B จะยังคงเป็นความลับ แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ายานลำนี้อาจมีบทบาทสำคัญในด้านการเฝ้าระวัง การทดสอบเทคโนโลยีทางทหาร หรือแม้กระทั่งการพัฒนาความพร้อมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศในอวกาศ

    น่าสนใจที่ยานอวกาศลำนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคที่อวกาศกลายเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง การวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้าน "space domain awareness" หรือการเฝ้าระวังอวกาศได้ถูกชี้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยดาวเทียมและเศษซากต่าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการดำรงความปลอดภัยในอวกาศในอนาคต

    การลงจอดของ X-37B ที่ฐานทัพในแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นอีกก้าวที่ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ สำหรับภารกิจครั้งต่อไป OTV-8 แม้ยังไม่มีรายละเอียด แต่ดูเหมือนจะเป็นอีกบทพิสูจน์ความสามารถของมนุษย์ในการก้าวเข้าสู่อนาคตที่เกี่ยวข้องกับอวกาศอย่างยั่งยืน

    https://www.techspot.com/news/107098-mysterious-x-37b-spaceplane-lands-following-434-day.html
    X-37B ยานอวกาศลับของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจครั้งที่ 7 หลังจากลอยอยู่ในวงโคจรยาวนานถึง 434 วัน ยานลำนี้มีขนาดเล็กกว่ายานกระสวยอวกาศทั่วไปและใช้พลังงานจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดพิเศษที่ช่วยให้สามารถอยู่ในอวกาศได้นานเป็นร้อยวัน โดยภารกิจนี้มุ่งเน้นไปที่การทดสอบและทดลองเทคโนโลยีหลากหลาย รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของรังสีในอวกาศ และการเพิ่มประสิทธิภาพของการเปลี่ยนวงโคจรโดยใช้ "aerobraking" ซึ่งใช้แรงเสียดทานของชั้นบรรยากาศเพื่อลดการใช้พลังงาน แม้ว่ารายละเอียดของการทดลองและภารกิจของ X-37B จะยังคงเป็นความลับ แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ายานลำนี้อาจมีบทบาทสำคัญในด้านการเฝ้าระวัง การทดสอบเทคโนโลยีทางทหาร หรือแม้กระทั่งการพัฒนาความพร้อมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศในอวกาศ น่าสนใจที่ยานอวกาศลำนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคที่อวกาศกลายเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง การวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้าน "space domain awareness" หรือการเฝ้าระวังอวกาศได้ถูกชี้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยดาวเทียมและเศษซากต่าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการดำรงความปลอดภัยในอวกาศในอนาคต การลงจอดของ X-37B ที่ฐานทัพในแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นอีกก้าวที่ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ สำหรับภารกิจครั้งต่อไป OTV-8 แม้ยังไม่มีรายละเอียด แต่ดูเหมือนจะเป็นอีกบทพิสูจน์ความสามารถของมนุษย์ในการก้าวเข้าสู่อนาคตที่เกี่ยวข้องกับอวกาศอย่างยั่งยืน https://www.techspot.com/news/107098-mysterious-x-37b-spaceplane-lands-following-434-day.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    US Space Force's secretive X-37B returns to Earth after 434 days
    Mission seven launched aboard a SpaceX Falcon Heavy on December 28, 2023, taking off from Launch Complex 39A at NASA's Kennedy Space Center in Florida. The spaceplane...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เกี่ยวกับความขัดแย้งทางกฎหมายและความคิดเห็นระหว่าง Elon Musk ซีอีโอของ Tesla และ Sam Altman หัวหน้าของ OpenAI ซึ่งทั้งสองคนเคยร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 แต่ภายหลัง Musk ได้ออกจากองค์กรเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของบริษัท

    Musk ฟ้อง OpenAI โดยอ้างว่าบริษัทได้เบี่ยงเบนจากเป้าหมายเดิมที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ แต่ในปัจจุบัน OpenAI ได้เปลี่ยนไปสู่การเป็นหน่วยงานเพื่อผลกำไรที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้น Musk ยังกล่าวว่าเขาได้ลงทุนกว่า $44 ล้านใน OpenAI ด้วยความเชื่อว่าจะยังคงเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร

    ในทางกลับกัน OpenAI ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของ Musk โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรองรับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรม AI และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า Musk ต้องการควบคุมองค์กรหรือรวม OpenAI กับ Tesla เพื่อประโยชน์ส่วนตัว

    หากศาลตัดสินให้ Musk ชนะ มันอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ OpenAI รวมถึงพันธมิตรธุรกิจ เช่น Microsoft ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม หาก OpenAI ชนะคดี อาจมีการเรียกค่าเสียหายจาก Musk และการดำเนินธุรกิจของ OpenAI ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไร้ปัญหา

    เรื่องนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของการสร้างสมดุลระหว่างวิสัยทัศน์เพื่อส่วนรวมและการแข่งขันในตลาดธุรกิจ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/12/elon-musk039s-feud-with-openai-ceo-sam-altman-explained
    เรื่องนี้เกี่ยวกับความขัดแย้งทางกฎหมายและความคิดเห็นระหว่าง Elon Musk ซีอีโอของ Tesla และ Sam Altman หัวหน้าของ OpenAI ซึ่งทั้งสองคนเคยร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 แต่ภายหลัง Musk ได้ออกจากองค์กรเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของบริษัท Musk ฟ้อง OpenAI โดยอ้างว่าบริษัทได้เบี่ยงเบนจากเป้าหมายเดิมที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ แต่ในปัจจุบัน OpenAI ได้เปลี่ยนไปสู่การเป็นหน่วยงานเพื่อผลกำไรที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้น Musk ยังกล่าวว่าเขาได้ลงทุนกว่า $44 ล้านใน OpenAI ด้วยความเชื่อว่าจะยังคงเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ในทางกลับกัน OpenAI ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของ Musk โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรองรับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรม AI และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า Musk ต้องการควบคุมองค์กรหรือรวม OpenAI กับ Tesla เพื่อประโยชน์ส่วนตัว หากศาลตัดสินให้ Musk ชนะ มันอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ OpenAI รวมถึงพันธมิตรธุรกิจ เช่น Microsoft ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม หาก OpenAI ชนะคดี อาจมีการเรียกค่าเสียหายจาก Musk และการดำเนินธุรกิจของ OpenAI ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไร้ปัญหา เรื่องนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของการสร้างสมดุลระหว่างวิสัยทัศน์เพื่อส่วนรวมและการแข่งขันในตลาดธุรกิจ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/12/elon-musk039s-feud-with-openai-ceo-sam-altman-explained
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Elon Musk's feud with OpenAI CEO Sam Altman, explained
    A bitter rift between two Silicon Valley billionaires could shape the future of the fast-growing artificial intelligence industry.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้พูดถึงสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวสมาร์ทโฟนหรือผู้ใช้งาน หากชาร์จแบตเตอรี่ในสถานที่และสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม พร้อมแนะนำวิธีป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้เพื่อความปลอดภัยในชีวิตประจำวันของเรา

    ในบ้าน:
    1) ไม่ควรชาร์จสมาร์ทโฟนบนพื้นผิวที่ติดไฟง่าย เช่น เตียง หมอน หรือโซฟา เนื่องจากอุปกรณ์อาจร้อนเกินไปและก่อให้เกิดไฟไหม้ได้
    2) หลีกเลี่ยงการชาร์จในห้องน้ำ เพราะความชื้นสามารถทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ง่าย
    3) ห้ามเสียบชาร์จในปลั๊กที่มีอุปกรณ์อื่นต่ออยู่เต็มปลั๊กพ่วง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้
    4) ไม่ควรชาร์จทิ้งไว้ข้ามคืน เนื่องจากการชาร์จเป็นเวลานานอาจทำให้อุปกรณ์ร้อนเกินไป และส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่

    นอกบ้าน:
    1) หลีกเลี่ยงการชาร์จสมาร์ทโฟนในที่ที่โดนแสงแดดโดยตรง เช่น ในรถหรือริมหน้าต่าง เพราะความร้อนจะเพิ่มความเสี่ยงที่แบตเตอรี่จะระเบิด
    2) หลีกเลี่ยงการใช้สถานีชาร์จสาธารณะ เช่น ที่สถานีรถไฟหรือสนามบิน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์แบบ "Juice Jacking" ซึ่งแฮกเกอร์อาจติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านพอร์ต USB สาธารณะได้

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:
    1) ใช้ที่ชาร์จคุณภาพดีที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแทนการใช้พอร์ตสาธารณะ
    2) หมั่นตรวจสอบสถานที่และอุปกรณ์ก่อนการชาร์จ เพื่อความปลอดภัยของอุปกรณ์และข้อมูลสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/12/don039t-charge-your-smartphone-in-these-places
    บทความนี้พูดถึงสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวสมาร์ทโฟนหรือผู้ใช้งาน หากชาร์จแบตเตอรี่ในสถานที่และสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม พร้อมแนะนำวิธีป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้เพื่อความปลอดภัยในชีวิตประจำวันของเรา ในบ้าน: 1) ไม่ควรชาร์จสมาร์ทโฟนบนพื้นผิวที่ติดไฟง่าย เช่น เตียง หมอน หรือโซฟา เนื่องจากอุปกรณ์อาจร้อนเกินไปและก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ 2) หลีกเลี่ยงการชาร์จในห้องน้ำ เพราะความชื้นสามารถทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ง่าย 3) ห้ามเสียบชาร์จในปลั๊กที่มีอุปกรณ์อื่นต่ออยู่เต็มปลั๊กพ่วง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ 4) ไม่ควรชาร์จทิ้งไว้ข้ามคืน เนื่องจากการชาร์จเป็นเวลานานอาจทำให้อุปกรณ์ร้อนเกินไป และส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ นอกบ้าน: 1) หลีกเลี่ยงการชาร์จสมาร์ทโฟนในที่ที่โดนแสงแดดโดยตรง เช่น ในรถหรือริมหน้าต่าง เพราะความร้อนจะเพิ่มความเสี่ยงที่แบตเตอรี่จะระเบิด 2) หลีกเลี่ยงการใช้สถานีชาร์จสาธารณะ เช่น ที่สถานีรถไฟหรือสนามบิน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์แบบ "Juice Jacking" ซึ่งแฮกเกอร์อาจติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านพอร์ต USB สาธารณะได้ เคล็ดลับเพิ่มเติม: 1) ใช้ที่ชาร์จคุณภาพดีที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแทนการใช้พอร์ตสาธารณะ 2) หมั่นตรวจสอบสถานที่และอุปกรณ์ก่อนการชาร์จ เพื่อความปลอดภัยของอุปกรณ์และข้อมูลสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/12/don039t-charge-your-smartphone-in-these-places
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Don't charge your smartphone in these places
    To avoid smartphone risks such as overheating, short-circuiting or even data hacks when charging your device, it is essential to avoid certain places and situations, whether at home or elsewhere.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • Empirical Health เปิดบริการใหม่ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อมูลด้านสุขภาพจากสมาร์ทวอทช์และผลตรวจเลือด เพื่อสร้าง "คะแนนสุขภาพ" ที่ครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    Empirical Health Radar สามารถรวบรวมข้อมูลชีวภาพ (biomarkers) มากกว่า 40 ชนิดจากสมาร์ทวอทช์ เช่น Apple Watch หรืออุปกรณ์ Wear OS แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลร่วมกับผลการตรวจเลือด เพื่อวิเคราะห์สุขภาพใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ หัวใจ การนอนหลับ การออกกำลังกาย สุขภาพจิต ปอด และไต/ตับ โดยแอปพลิเคชันนี้มีเป้าหมายที่จะเสริมความสามารถของสมาร์ทวอทช์ในการติดตามสุขภาพ ให้ครอบคลุมในจุดที่อุปกรณ์เหล่านี้ยังไม่สามารถทำได้

    ที่สำคัญคือ ระบบนี้ออกแบบมาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น Dr. Raquel Rodriguez โดยยึดมาตรฐานจากองค์กรทางการแพทย์ชั้นนำอย่าง American Heart Association และ American College of Cardiology เพื่อความแม่นยำและน่าเชื่อถือ

    นอกจากการวัดค่าทั่วไปอย่างอัตราการเต้นของหัวใจหรือความดันโลหิต ระบบยังมีฟีเจอร์ให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดผลตรวจเลือดที่มีอยู่แล้ว หรือจองการตรวจเลือดใหม่ผ่านแอปในราคา $97 รวมถึงสามารถใช้ได้แม้ไม่มีผลตรวจเลือดล่าสุด แต่จะได้คะแนนสุขภาพแบบบางส่วน

    https://www.techradar.com/health-fitness/this-new-health-protocol-combines-40-smartwatch-biomarkers-and-blood-tests-to-give-you-a-health-score
    Empirical Health เปิดบริการใหม่ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อมูลด้านสุขภาพจากสมาร์ทวอทช์และผลตรวจเลือด เพื่อสร้าง "คะแนนสุขภาพ" ที่ครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งขึ้น Empirical Health Radar สามารถรวบรวมข้อมูลชีวภาพ (biomarkers) มากกว่า 40 ชนิดจากสมาร์ทวอทช์ เช่น Apple Watch หรืออุปกรณ์ Wear OS แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลร่วมกับผลการตรวจเลือด เพื่อวิเคราะห์สุขภาพใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ หัวใจ การนอนหลับ การออกกำลังกาย สุขภาพจิต ปอด และไต/ตับ โดยแอปพลิเคชันนี้มีเป้าหมายที่จะเสริมความสามารถของสมาร์ทวอทช์ในการติดตามสุขภาพ ให้ครอบคลุมในจุดที่อุปกรณ์เหล่านี้ยังไม่สามารถทำได้ ที่สำคัญคือ ระบบนี้ออกแบบมาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น Dr. Raquel Rodriguez โดยยึดมาตรฐานจากองค์กรทางการแพทย์ชั้นนำอย่าง American Heart Association และ American College of Cardiology เพื่อความแม่นยำและน่าเชื่อถือ นอกจากการวัดค่าทั่วไปอย่างอัตราการเต้นของหัวใจหรือความดันโลหิต ระบบยังมีฟีเจอร์ให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดผลตรวจเลือดที่มีอยู่แล้ว หรือจองการตรวจเลือดใหม่ผ่านแอปในราคา $97 รวมถึงสามารถใช้ได้แม้ไม่มีผลตรวจเลือดล่าสุด แต่จะได้คะแนนสุขภาพแบบบางส่วน https://www.techradar.com/health-fitness/this-new-health-protocol-combines-40-smartwatch-biomarkers-and-blood-tests-to-give-you-a-health-score
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เพิ่งประกาศว่าจะหยุดการสนับสนุนแอปพลิเคชัน Remote Desktop (ที่มีใน Microsoft Store) อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤษภาคม โดยแอปนี้จะถูกแทนที่ด้วย Windows App ตัวใหม่ ซึ่งออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานในองค์กรและสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะ

    Windows App นี้สามารถเชื่อมต่อกับ Azure Virtual Desktop, Windows 365, Microsoft Dev Box และบริการ Remote Desktop ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ไปจนถึงเบราว์เซอร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตัวแอปยังไม่รองรับ Remote Desktop Services และการเชื่อมต่อ Remote PC บนระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ใช้งานต้องหันไปใช้แอป Remote Desktop Connection ที่มีอยู่ในระบบปฏิบัติการ Windows แทน

    Microsoft พยายามผลักดัน Windows App ให้เป็น "ศูนย์กลางที่รวมทุกการเข้าถึงระบบ Windows" โดยเปิดตัวเวอร์ชันทางการเมื่อเดือนกันยายนปี 2024 แต่แม้ว่าแอปจะอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นเวลาหลายปี มันยังคงมีข้อจำกัดสำคัญอยู่ ซึ่ง Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบปัญหาที่อาจกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ในเว็บไซต์ของพวกเขา

    https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-replacing-remote-desktop-app-with-windows-app-in-may/
    Microsoft เพิ่งประกาศว่าจะหยุดการสนับสนุนแอปพลิเคชัน Remote Desktop (ที่มีใน Microsoft Store) อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤษภาคม โดยแอปนี้จะถูกแทนที่ด้วย Windows App ตัวใหม่ ซึ่งออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานในองค์กรและสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะ Windows App นี้สามารถเชื่อมต่อกับ Azure Virtual Desktop, Windows 365, Microsoft Dev Box และบริการ Remote Desktop ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ไปจนถึงเบราว์เซอร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตัวแอปยังไม่รองรับ Remote Desktop Services และการเชื่อมต่อ Remote PC บนระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ใช้งานต้องหันไปใช้แอป Remote Desktop Connection ที่มีอยู่ในระบบปฏิบัติการ Windows แทน Microsoft พยายามผลักดัน Windows App ให้เป็น "ศูนย์กลางที่รวมทุกการเข้าถึงระบบ Windows" โดยเปิดตัวเวอร์ชันทางการเมื่อเดือนกันยายนปี 2024 แต่แม้ว่าแอปจะอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นเวลาหลายปี มันยังคงมีข้อจำกัดสำคัญอยู่ ซึ่ง Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบปัญหาที่อาจกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ในเว็บไซต์ของพวกเขา https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-replacing-remote-desktop-app-with-windows-app-in-may/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft replacing Remote Desktop app with Windows App in May
    Microsoft announced that it will drop support for the Remote Desktop app (available via the Microsoft Store) on May 27 and replace it with its new Windows App.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้นำเสนอเกี่ยวกับการเจาะระบบความปลอดภัยของ LastPass ผู้ให้บริการจัดการรหัสผ่านชื่อดัง ที่เชื่อมโยงกับการโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีมูลค่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple และบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายในวงการคริปโท

    เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการที่ข้อมูลสำคัญถูกขโมยจาก LastPass ในปี 2022 ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในส่วน "Secure Notes" ซึ่งรวมถึง seed phrases ที่ใช้ในการเข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่ชัดเจนจาก LastPass เกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ ทำให้การขโมยเงินคริปโทเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง

    จุดที่น่าสนใจคือ แฮกเกอร์ไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีที่เราคุ้นเคย เช่น การโจมตีอีเมล หรือการปลอมแปลงเบอร์โทรศัพท์ แต่พวกเขาอาศัยข้อมูลที่ได้จาก LastPass โดยตรงเพื่อเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินคริปโทไปยังกระเป๋าเงินหลายแห่งเพื่อปกปิดเส้นทางเงิน

    บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ การใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและการจัดเก็บ seed phrases ในที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเก็บข้อมูลสำคัญเหล่านี้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์) เช่น ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต

    https://www.techspot.com/news/107092-federal-agents-confirm-lastpass-hack-connection-high-profile.html
    ข่าวนี้นำเสนอเกี่ยวกับการเจาะระบบความปลอดภัยของ LastPass ผู้ให้บริการจัดการรหัสผ่านชื่อดัง ที่เชื่อมโยงกับการโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีมูลค่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple และบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายในวงการคริปโท เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการที่ข้อมูลสำคัญถูกขโมยจาก LastPass ในปี 2022 ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในส่วน "Secure Notes" ซึ่งรวมถึง seed phrases ที่ใช้ในการเข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่ชัดเจนจาก LastPass เกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ ทำให้การขโมยเงินคริปโทเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง จุดที่น่าสนใจคือ แฮกเกอร์ไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีที่เราคุ้นเคย เช่น การโจมตีอีเมล หรือการปลอมแปลงเบอร์โทรศัพท์ แต่พวกเขาอาศัยข้อมูลที่ได้จาก LastPass โดยตรงเพื่อเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินคริปโทไปยังกระเป๋าเงินหลายแห่งเพื่อปกปิดเส้นทางเงิน บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ การใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและการจัดเก็บ seed phrases ในที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเก็บข้อมูลสำคัญเหล่านี้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์) เช่น ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต https://www.techspot.com/news/107092-federal-agents-confirm-lastpass-hack-connection-high-profile.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Federal agents confirm LastPass breach linked to massive cryptocurrency heists
    The $150 million heist, which occurred on January 30, 2024, is believed to have targeted Chris Larsen, co-founder of the cryptocurrency platform Ripple, according to blockchain security...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/KPMnlgcEPL4?si=EQ5lUXe77XUmQjWu
    https://youtu.be/KPMnlgcEPL4?si=EQ5lUXe77XUmQjWu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • The playful whitch.
    #AiImage #IamAmatureAiCreator #ตามหากลุ่มAiCreator
    The playful whitch. #AiImage #IamAmatureAiCreator #ตามหากลุ่มAiCreator
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/VPLACb2Zfz8?si=oSqNjvnBOsX3uzkV
    https://youtube.com/shorts/VPLACb2Zfz8?si=oSqNjvnBOsX3uzkV
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/vm5ummPLlrU?si=aGq2-32Onzt7OKqE
    https://youtu.be/vm5ummPLlrU?si=aGq2-32Onzt7OKqE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/BpF4cTSTYjE?si=PlZBaRC7RqrC9LWV
    https://www.youtube.com/live/BpF4cTSTYjE?si=PlZBaRC7RqrC9LWV
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • IBM's Red Hat ได้จับมือกับ Axiom Space เพื่อพัฒนาและส่งศูนย์ข้อมูลต้นแบบ AxDCU-1 ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ในฤดูใบไม้ผลิปี 2025 โดยโปรเจกต์นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในยุคที่เทคโนโลยีขยายออกไปนอกโลก โดยเฉพาะด้าน การประมวลผลข้อมูลในอวกาศ

    AxDCU-1 ใช้พลังจาก Red Hat Device Edge และ Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นระบบจัดการ Kubernetes แบบน้ำหนักเบา พร้อมด้วย Red Hat Enterprise Linux และ Ansible Automation Platform อุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่สำคัญ:
    - ทดสอบการประมวลผลด้วย AI/ML (Artificial Intelligence/Machine Learning)
    - พัฒนาความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับการใช้งานในอวกาศ
    - ทดลองระบบประมวลผลคลาวด์สำหรับข้อมูลจากดาวเทียมและยานอวกาศ

    โดยข้อมูลจะถูกประมวลผลใกล้กับแหล่งกำเนิดในอวกาศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความรวดเร็วและความปลอดภัยสำหรับการตัดสินใจที่สำคัญในแบบเรียลไทม์

    คุณ Tony James หัวหน้าสถาปนิกจาก Red Hat ได้กล่าวว่า “การประมวลผลข้อมูลในอวกาศเป็นพรมแดนใหม่ที่น่าตื่นเต้น” โดยความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้พันธมิตรภาคพื้นโลกสามารถทำงานร่วมกันในอวกาศได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ Jason Aspiotis ผู้อำนวยการของ Axiom Space ยังกล่าวเสริมว่า Orbital Data Centers (ODC) จะสามารถช่วยปฏิวัติการทำงานในอวกาศ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลอากาศในอวกาศ การฝึกฝน AI ในอวกาศ และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลกจากนอกโลก

    โครงการนี้นอกจากจะช่วยผลักดันความเป็นไปได้ในการใช้งานคลาวด์และ AI ในอวกาศ ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของมนุษย์ที่จะขยายขอบเขตการสำรวจและประมวลผลข้อมูลไปในที่ที่ไม่เคยมีใครทำได้ ความสำเร็จนี้อาจเป็นก้าวแรกสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับความต้องการในอนาคตทั้งในอวกาศและบนโลก

    https://www.techradar.com/pro/is-the-moon-too-far-for-your-data-ibms-red-hat-is-teaming-up-with-axiom-space-to-send-a-data-center-into-space
    IBM's Red Hat ได้จับมือกับ Axiom Space เพื่อพัฒนาและส่งศูนย์ข้อมูลต้นแบบ AxDCU-1 ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ในฤดูใบไม้ผลิปี 2025 โดยโปรเจกต์นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในยุคที่เทคโนโลยีขยายออกไปนอกโลก โดยเฉพาะด้าน การประมวลผลข้อมูลในอวกาศ AxDCU-1 ใช้พลังจาก Red Hat Device Edge และ Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นระบบจัดการ Kubernetes แบบน้ำหนักเบา พร้อมด้วย Red Hat Enterprise Linux และ Ansible Automation Platform อุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่สำคัญ: - ทดสอบการประมวลผลด้วย AI/ML (Artificial Intelligence/Machine Learning) - พัฒนาความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับการใช้งานในอวกาศ - ทดลองระบบประมวลผลคลาวด์สำหรับข้อมูลจากดาวเทียมและยานอวกาศ โดยข้อมูลจะถูกประมวลผลใกล้กับแหล่งกำเนิดในอวกาศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความรวดเร็วและความปลอดภัยสำหรับการตัดสินใจที่สำคัญในแบบเรียลไทม์ คุณ Tony James หัวหน้าสถาปนิกจาก Red Hat ได้กล่าวว่า “การประมวลผลข้อมูลในอวกาศเป็นพรมแดนใหม่ที่น่าตื่นเต้น” โดยความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้พันธมิตรภาคพื้นโลกสามารถทำงานร่วมกันในอวกาศได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Jason Aspiotis ผู้อำนวยการของ Axiom Space ยังกล่าวเสริมว่า Orbital Data Centers (ODC) จะสามารถช่วยปฏิวัติการทำงานในอวกาศ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลอากาศในอวกาศ การฝึกฝน AI ในอวกาศ และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลกจากนอกโลก โครงการนี้นอกจากจะช่วยผลักดันความเป็นไปได้ในการใช้งานคลาวด์และ AI ในอวกาศ ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของมนุษย์ที่จะขยายขอบเขตการสำรวจและประมวลผลข้อมูลไปในที่ที่ไม่เคยมีใครทำได้ ความสำเร็จนี้อาจเป็นก้าวแรกสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับความต้องการในอนาคตทั้งในอวกาศและบนโลก https://www.techradar.com/pro/is-the-moon-too-far-for-your-data-ibms-red-hat-is-teaming-up-with-axiom-space-to-send-a-data-center-into-space
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • Gemini AI ถูกใช้เพื่อสร้างและบรรยายเกมข้อความแนวผจญภัย (text-based adventure game) ให้มีชีวิตชีวาและดึงดูดผู้เล่นมากขึ้น โดยในบทความจาก TechRadar ผู้เขียนได้ทดลองใช้ Gemini AI ของ Google ในการสร้างประสบการณ์เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมคลาสสิกในยุค 70s อย่าง Zork ซึ่งเป็นเกมข้อความแนวผจญภัยที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เลือกตัดสินใจและสำรวจเส้นทางเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตามคำตอบของตน

    ในเกมที่สร้างขึ้นโดย Gemini AI นี้ ผู้เล่นเริ่มต้นในป่าลึกลับ โดยมีทางเลือกในการสำรวจสถานที่ต่าง ๆ เช่น เส้นทางที่มุ่งลึกเข้าไปในป่า กำแพงหินที่ปกคลุมด้วยตะไคร่ หรือธารน้ำใสที่ไหลผ่านป่า ความสามารถของ AI ในการบรรยายภาพและสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีจริง ๆ โดยตลอดเรื่องราว ผู้เล่นต้องแก้ปริศนาและค้นหากุญแจวิเศษ ซึ่งนำไปสู่การเปิดกล่องลับที่มีความลับซ่อนอยู่

    จุดเด่นของ Gemini คือการติดตามเนื้อหาและนำเกมกลับมาต่อจากที่ค้างไว้ได้อย่างไม่มีสะดุด แม้ว่าผู้เล่นจะหยุดเล่นชั่วคราว Gemini ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าสนใจในการประสานเรื่องราวและสร้างประสบการณ์การเล่นที่ต่อเนื่อง

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำบรรยายที่ละเอียดและน่าสนใจ แต่ความซับซ้อนและระดับความตื่นเต้นในบางส่วนของเกมยังสามารถพัฒนาได้อีก หากเพิ่มความตึงเครียดและอารมณ์เข้มข้นยิ่งขึ้น เกมที่สร้างโดย AI นี้อาจเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเล่นเกมที่ชื่นชอบความคลาสสิก

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-gemini-to-play-a-text-based-adventure-game-with-me-and-the-ai-whisked-me-away-to-a-word-based-fantasy
    Gemini AI ถูกใช้เพื่อสร้างและบรรยายเกมข้อความแนวผจญภัย (text-based adventure game) ให้มีชีวิตชีวาและดึงดูดผู้เล่นมากขึ้น โดยในบทความจาก TechRadar ผู้เขียนได้ทดลองใช้ Gemini AI ของ Google ในการสร้างประสบการณ์เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมคลาสสิกในยุค 70s อย่าง Zork ซึ่งเป็นเกมข้อความแนวผจญภัยที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เลือกตัดสินใจและสำรวจเส้นทางเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตามคำตอบของตน ในเกมที่สร้างขึ้นโดย Gemini AI นี้ ผู้เล่นเริ่มต้นในป่าลึกลับ โดยมีทางเลือกในการสำรวจสถานที่ต่าง ๆ เช่น เส้นทางที่มุ่งลึกเข้าไปในป่า กำแพงหินที่ปกคลุมด้วยตะไคร่ หรือธารน้ำใสที่ไหลผ่านป่า ความสามารถของ AI ในการบรรยายภาพและสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีจริง ๆ โดยตลอดเรื่องราว ผู้เล่นต้องแก้ปริศนาและค้นหากุญแจวิเศษ ซึ่งนำไปสู่การเปิดกล่องลับที่มีความลับซ่อนอยู่ จุดเด่นของ Gemini คือการติดตามเนื้อหาและนำเกมกลับมาต่อจากที่ค้างไว้ได้อย่างไม่มีสะดุด แม้ว่าผู้เล่นจะหยุดเล่นชั่วคราว Gemini ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าสนใจในการประสานเรื่องราวและสร้างประสบการณ์การเล่นที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำบรรยายที่ละเอียดและน่าสนใจ แต่ความซับซ้อนและระดับความตื่นเต้นในบางส่วนของเกมยังสามารถพัฒนาได้อีก หากเพิ่มความตึงเครียดและอารมณ์เข้มข้นยิ่งขึ้น เกมที่สร้างโดย AI นี้อาจเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเล่นเกมที่ชื่นชอบความคลาสสิก https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-gemini-to-play-a-text-based-adventure-game-with-me-and-the-ai-whisked-me-away-to-a-word-based-fantasy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ Zen 6 โปรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของ AMD ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 โดยข้อมูลจากแหล่งข่าวอย่าง ChipHell และ Moore's Law Is Dead ชี้ให้เห็นว่า Zen 6 จะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมทั้งตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป

    ความโดดเด่นที่คุณต้องจับตามอง
    1) จำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น:
    - Zen 6 จะนำเสนอ Core Chiplet Die (CCD) ที่มีถึง 12 คอร์ ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ เช่น Zen 3, 4 และ 5 ที่มี 8 คอร์ ทำให้โปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปในแพลตฟอร์ม AM5 สามารถรองรับได้ถึง 24 คอร์
    - สำหรับแล็ปท็อป Advanced Processing Units (APUs) จะพัฒนาจากโครงสร้าง 8+4 คอร์ใน Zen 5 มาเป็นโครงสร้าง 12 คอร์เต็มรูปแบบ

    2) เทคโนโลยี 3D V-Cache:
    - รุ่นพรีเมียมของ Zen 6 จะมาพร้อมกับ 3D V-Cache ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมหาศาล โดยมี L3 Cache ขนาด 96 MB หรือประมาณ 4 MB ต่อคอร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ Zen 5

    3) การใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง:
    - Zen 6 คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตจาก TSMC ที่ขนาด 3 นาโนเมตร (N3P) หรืออาจไปถึง 2 นาโนเมตรในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน

    Zen 6 จะถูกนำมาใช้ใน APU รุ่นใหม่ในชื่อ Medusa Point สำหรับแล็ปท็อป โดยประกอบด้วย:
    - CCD ขนาด 12 คอร์
    - I/O Die (IOD) ขนาด 200 mm² ที่มี 8 RDNA Work Groups
    - ตัวควบคุมหน่วยความจำขนาด 128 บิต และอาจมี Infinity Cache เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU

    ส่วนเดสก์ท็อป APU ที่เรียกว่า Medusa Ridge จะมี IOD ขนาด 155 mm² และอาจไม่รวม GPU ในตัว แต่มุ่งเน้นการใช้งาน NPU ขนาดใหญ่ที่ทันสมัย

    Zen 6 น่าจะเป็นตัวเลือกสำคัญในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อประดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเล่นเกมและผู้ใช้ที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงสุด การเพิ่มจำนวนคอร์และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น 3D V-Cache และ Infinity Cache เป็นสิ่งที่ทำให้ AMD สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Intel ได้อย่างเข้มข้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-zen-6-based-desktop-processors-may-feature-up-to-24-cores
    มีข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ Zen 6 โปรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของ AMD ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 โดยข้อมูลจากแหล่งข่าวอย่าง ChipHell และ Moore's Law Is Dead ชี้ให้เห็นว่า Zen 6 จะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมทั้งตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป ความโดดเด่นที่คุณต้องจับตามอง 1) จำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น: - Zen 6 จะนำเสนอ Core Chiplet Die (CCD) ที่มีถึง 12 คอร์ ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ เช่น Zen 3, 4 และ 5 ที่มี 8 คอร์ ทำให้โปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปในแพลตฟอร์ม AM5 สามารถรองรับได้ถึง 24 คอร์ - สำหรับแล็ปท็อป Advanced Processing Units (APUs) จะพัฒนาจากโครงสร้าง 8+4 คอร์ใน Zen 5 มาเป็นโครงสร้าง 12 คอร์เต็มรูปแบบ 2) เทคโนโลยี 3D V-Cache: - รุ่นพรีเมียมของ Zen 6 จะมาพร้อมกับ 3D V-Cache ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมหาศาล โดยมี L3 Cache ขนาด 96 MB หรือประมาณ 4 MB ต่อคอร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ Zen 5 3) การใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง: - Zen 6 คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตจาก TSMC ที่ขนาด 3 นาโนเมตร (N3P) หรืออาจไปถึง 2 นาโนเมตรในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน Zen 6 จะถูกนำมาใช้ใน APU รุ่นใหม่ในชื่อ Medusa Point สำหรับแล็ปท็อป โดยประกอบด้วย: - CCD ขนาด 12 คอร์ - I/O Die (IOD) ขนาด 200 mm² ที่มี 8 RDNA Work Groups - ตัวควบคุมหน่วยความจำขนาด 128 บิต และอาจมี Infinity Cache เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ส่วนเดสก์ท็อป APU ที่เรียกว่า Medusa Ridge จะมี IOD ขนาด 155 mm² และอาจไม่รวม GPU ในตัว แต่มุ่งเน้นการใช้งาน NPU ขนาดใหญ่ที่ทันสมัย Zen 6 น่าจะเป็นตัวเลือกสำคัญในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อประดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเล่นเกมและผู้ใช้ที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงสุด การเพิ่มจำนวนคอร์และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น 3D V-Cache และ Infinity Cache เป็นสิ่งที่ทำให้ AMD สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Intel ได้อย่างเข้มข้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-zen-6-based-desktop-processors-may-feature-up-to-24-cores
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวใหม่ในโลกของภัยคุกคามไซเบอร์ โดยระบุว่ากลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลเกาหลีเหนือในชื่อ Moonstone Sleet ได้เริ่มใช้ Qilin ransomware เพื่อโจมตีเป้าหมายในองค์กรต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แสดงถึงการขยายตัวของกลยุทธ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เนื่องจาก Qilin เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับการให้บริการแบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถเช่าเครื่องมือโจมตีนี้ไปใช้งานได้

    == การเคลื่อนไหวของ Moonstone Sleet ==
    ก่อนหน้านี้ กลุ่ม Moonstone Sleet ซึ่งเคยถูกเรียกว่า Storm-1789 มีพฤติกรรมที่คล้ายกับกลุ่มแฮกเกอร์เกาหลีเหนืออื่น ๆ แต่ได้พัฒนาเครื่องมือและโครงสร้างการโจมตีของตัวเองในภายหลัง พวกเขาใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น:
    - การปล่อยซอฟต์แวร์ที่แฝงมัลแวร์ เช่น PuTTY และแพ็กเกจ npm ที่ถูกแอบแฝง
    - การสร้างบริษัทปลอม เช่น C.C. Waterfall และ StarGlow Ventures เพื่อหลอกลวงผู้ใช้งานใน LinkedIn หรือผ่านอีเมล

    == Qilin Ransomware และผลกระทบ ==
    Qilin ransomware เปิดตัวในชื่อ "Agenda" ตั้งแต่ปี 2022 และเริ่มมีบทบาทสำคัญในปลายปี 2023 กลุ่มนี้มุ่งเป้าหมายที่ระบบเสมือน VMware ESXi และเรียกค่าไถ่ที่อาจสูงถึงหลายล้านดอลลาร์ เหยื่อที่สำคัญในอดีต ได้แก่:
    - angfeng, ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์
    - Lee Enterprises, บริษัทสื่อสหรัฐฯ
    - Synnovis, ซึ่งการโจมตีนี้ส่งผลให้โรงพยาบาลในลอนดอนต้องยกเลิกการผ่าตัดหลายร้อยครั้ง

    ในเดือนพฤษภาคม 2024 Moonstone Sleet ยังถูกจับโยงกับการโจมตีโดยใช้ FakePenny ransomware พร้อมเรียกค่าไถ่เป็น Bitcoin จำนวน 6.6 ล้านดอลลาร์

    Moonstone Sleet ไม่ใช่กลุ่มแรกจากเกาหลีเหนือที่มีบทบาทในเหตุการณ์ ransomware ครั้งใหญ่ ก่อนหน้านี้ กลุ่ม Lazarus Group เคยสร้างความเสียหายทั่วโลกด้วย WannaCry ransomware ในปี 2017 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามต่อเนื่องของเกาหลีเหนือในการใช้ไซเบอร์เป็นเครื่องมือในยุทธศาสตร์ของรัฐ

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/microsoft-north-korean-hackers-now-deploying-qilin-ransomware/
    Microsoft ได้เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวใหม่ในโลกของภัยคุกคามไซเบอร์ โดยระบุว่ากลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลเกาหลีเหนือในชื่อ Moonstone Sleet ได้เริ่มใช้ Qilin ransomware เพื่อโจมตีเป้าหมายในองค์กรต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แสดงถึงการขยายตัวของกลยุทธ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เนื่องจาก Qilin เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับการให้บริการแบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถเช่าเครื่องมือโจมตีนี้ไปใช้งานได้ == การเคลื่อนไหวของ Moonstone Sleet == ก่อนหน้านี้ กลุ่ม Moonstone Sleet ซึ่งเคยถูกเรียกว่า Storm-1789 มีพฤติกรรมที่คล้ายกับกลุ่มแฮกเกอร์เกาหลีเหนืออื่น ๆ แต่ได้พัฒนาเครื่องมือและโครงสร้างการโจมตีของตัวเองในภายหลัง พวกเขาใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น: - การปล่อยซอฟต์แวร์ที่แฝงมัลแวร์ เช่น PuTTY และแพ็กเกจ npm ที่ถูกแอบแฝง - การสร้างบริษัทปลอม เช่น C.C. Waterfall และ StarGlow Ventures เพื่อหลอกลวงผู้ใช้งานใน LinkedIn หรือผ่านอีเมล == Qilin Ransomware และผลกระทบ == Qilin ransomware เปิดตัวในชื่อ "Agenda" ตั้งแต่ปี 2022 และเริ่มมีบทบาทสำคัญในปลายปี 2023 กลุ่มนี้มุ่งเป้าหมายที่ระบบเสมือน VMware ESXi และเรียกค่าไถ่ที่อาจสูงถึงหลายล้านดอลลาร์ เหยื่อที่สำคัญในอดีต ได้แก่: - angfeng, ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ - Lee Enterprises, บริษัทสื่อสหรัฐฯ - Synnovis, ซึ่งการโจมตีนี้ส่งผลให้โรงพยาบาลในลอนดอนต้องยกเลิกการผ่าตัดหลายร้อยครั้ง ในเดือนพฤษภาคม 2024 Moonstone Sleet ยังถูกจับโยงกับการโจมตีโดยใช้ FakePenny ransomware พร้อมเรียกค่าไถ่เป็น Bitcoin จำนวน 6.6 ล้านดอลลาร์ Moonstone Sleet ไม่ใช่กลุ่มแรกจากเกาหลีเหนือที่มีบทบาทในเหตุการณ์ ransomware ครั้งใหญ่ ก่อนหน้านี้ กลุ่ม Lazarus Group เคยสร้างความเสียหายทั่วโลกด้วย WannaCry ransomware ในปี 2017 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามต่อเนื่องของเกาหลีเหนือในการใช้ไซเบอร์เป็นเครื่องมือในยุทธศาสตร์ของรัฐ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/microsoft-north-korean-hackers-now-deploying-qilin-ransomware/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft: North Korean hackers join Qilin ransomware gang
    Microsoft says a North Korean hacking group tracked as Moonstone Sleet has deployed Qilin ransomware payloads in a limited number of attacks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • YT playlist #คู่มือ #วิถี #กสิกรรมธรรมชาติ #ศิษย์ยักษ์ #ทำตามพ่อสอน #พอเพียง #ศาสตร์พระราชา
    https://youtube.com/playlist?list=PLZ1748Q_giQ5vBcHBdEkvGyMFkwroeVtO
    YT playlist #คู่มือ #วิถี #กสิกรรมธรรมชาติ #ศิษย์ยักษ์ #ทำตามพ่อสอน #พอเพียง #ศาสตร์พระราชา https://youtube.com/playlist?list=PLZ1748Q_giQ5vBcHBdEkvGyMFkwroeVtO
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกำลังก้าวเข้าสู่วงการ EUV Lithography (Extreme Ultraviolet Lithography) ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์แบบ LDP (Laser-Induced Discharge Plasma) ซึ่งกำลังทดสอบที่โรงงานของ Huawei ในเมืองตงกวน โดยเป้าหมายคือการเริ่มการผลิตเชิงทดลองในไตรมาส 3 ปี 2025 และผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2026 อุปกรณ์นี้อาจทำให้จีนหลุดพ้นจากการพึ่งพาผู้ผลิตในต่างประเทศ เช่น ASML ที่ครองตลาดด้านเทคโนโลยีนี้มาอย่างยาวนาน

    = วิธีการทำงานของ LDP และข้อได้เปรียบ =
    1) การสร้างแสง EUV: แสง EUV ที่ความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตรถูกผลิตขึ้นโดยการระเหยดีบุกให้กลายเป็นพลาสมา ผ่านกระบวนการปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูง วิธีนี้ต่างจากเทคนิค LPP (Laser-Produced Plasma) ของ ASML ที่ใช้เลเซอร์พลังงานสูงและระบบควบคุมซับซ้อน

    2) ข้อได้เปรียบของ LDP:
    - โครงสร้างเครื่องจักรเรียบง่ายกว่า
    - ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - ลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว

    = ความสำคัญในบริบทการคว่ำบาตร =
    ก่อนหน้านี้ จีนประสบปัญหาในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เนื่องจากถูกจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ EUV จากสหรัฐฯ และพันธมิตร ทำให้การพัฒนาชิปต้องใช้เทคนิค DUV (Deep Ultraviolet) ที่มีข้อจำกัด เช่น การใช้ความยาวคลื่นที่ใหญ่กว่า (193 นาโนเมตร) และการทำการแพทเทิร์นหลายครั้ง (Multi-patterning) ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและต้นทุน แต่เทคโนโลยี LDP ของ Huawei นี้อาจช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนได้อย่างมหาศาล

    อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายที่สำคัญ:
    - ความสามารถในการสร้างภาพที่คมชัดและละเอียดเพียงพอ
    - ความคงที่ของระบบในกระบวนการผลิตจำนวนมาก
    - การรวมอุปกรณ์นี้เข้ากับสายการผลิตที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หากอุปกรณ์ของ Huawei สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ได้ จีนอาจกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก และลดอิทธิพลของ ASML ในตลาดนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจเป็น "DeepSeek Moment" ที่จะปฏิวัติวงการการผลิตชิปในประเทศจีน

    https://www.techpowerup.com/333801/china-develops-domestic-euv-tool-asml-monopoly-in-trouble
    จีนกำลังก้าวเข้าสู่วงการ EUV Lithography (Extreme Ultraviolet Lithography) ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์แบบ LDP (Laser-Induced Discharge Plasma) ซึ่งกำลังทดสอบที่โรงงานของ Huawei ในเมืองตงกวน โดยเป้าหมายคือการเริ่มการผลิตเชิงทดลองในไตรมาส 3 ปี 2025 และผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2026 อุปกรณ์นี้อาจทำให้จีนหลุดพ้นจากการพึ่งพาผู้ผลิตในต่างประเทศ เช่น ASML ที่ครองตลาดด้านเทคโนโลยีนี้มาอย่างยาวนาน = วิธีการทำงานของ LDP และข้อได้เปรียบ = 1) การสร้างแสง EUV: แสง EUV ที่ความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตรถูกผลิตขึ้นโดยการระเหยดีบุกให้กลายเป็นพลาสมา ผ่านกระบวนการปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูง วิธีนี้ต่างจากเทคนิค LPP (Laser-Produced Plasma) ของ ASML ที่ใช้เลเซอร์พลังงานสูงและระบบควบคุมซับซ้อน 2) ข้อได้เปรียบของ LDP: - โครงสร้างเครื่องจักรเรียบง่ายกว่า - ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น - ลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว = ความสำคัญในบริบทการคว่ำบาตร = ก่อนหน้านี้ จีนประสบปัญหาในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เนื่องจากถูกจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ EUV จากสหรัฐฯ และพันธมิตร ทำให้การพัฒนาชิปต้องใช้เทคนิค DUV (Deep Ultraviolet) ที่มีข้อจำกัด เช่น การใช้ความยาวคลื่นที่ใหญ่กว่า (193 นาโนเมตร) และการทำการแพทเทิร์นหลายครั้ง (Multi-patterning) ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและต้นทุน แต่เทคโนโลยี LDP ของ Huawei นี้อาจช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนได้อย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายที่สำคัญ: - ความสามารถในการสร้างภาพที่คมชัดและละเอียดเพียงพอ - ความคงที่ของระบบในกระบวนการผลิตจำนวนมาก - การรวมอุปกรณ์นี้เข้ากับสายการผลิตที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากอุปกรณ์ของ Huawei สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ได้ จีนอาจกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก และลดอิทธิพลของ ASML ในตลาดนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจเป็น "DeepSeek Moment" ที่จะปฏิวัติวงการการผลิตชิปในประเทศจีน https://www.techpowerup.com/333801/china-develops-domestic-euv-tool-asml-monopoly-in-trouble
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    China Develops Domestic EUV Tool, ASML Monopoly in Trouble
    China's domestic extreme ultraviolet (EUV) lithography development is far from a distant dream. The newest system, now undergoing testing at Huawei's Dongguan facility, leverages laser-induced discharge plasma (LDP) technology, representing a potentially disruptive approach to EUV light generation. ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • Silicon Motion Technology Corporation ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในด้านคอนโทรลเลอร์แฟลชสำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบโซลิดสเตต (SSD) ได้เผยโฉมผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในงาน Embedded World 2025 ที่เมืองนูเรมเบิร์ก เยอรมนี โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์การใช้งานด้าน AI, ระบบฝังตัว (Embedded Systems) และอุตสาหกรรมยานยนต์

    == โซลูชันเด่นที่น่าสนใจ ==
    คอนโทรลเลอร์ SSD สำหรับยานยนต์ SM2264XT-AT:
    - รองรับมาตรฐาน PCIe Gen 4 พร้อมช่องสัญญาณ NAND ถึง 8 ช่อง ความเร็วสูงสุด 1,600 MT/s
    - รองรับมาตรฐานความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ เช่น AEC-Q100, ISO 26262 และ ASPICE Capability Level 3
    - เหมาะสำหรับระบบ AI ในยานยนต์และระบบฝังตัวที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    โซลูชัน Ferri สำหรับระบบฝังตัวและ AIoT:
    - รวมถึง FerriSSD, Ferri-eMMC และ Ferri-UFS ออกแบบมาให้ทนทานและเสถียรในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น โรงงานอุตสาหกรรมหรืออุปกรณ์การแพทย์
    - มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น NANDXtend ECC และ IntelligentScan เพื่อเพิ่มความทนทานและการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลในเวลาจริง

    SM770 Display Interface SoC:
    - รองรับการแสดงผลแบบมัลติ-จอภาพ พร้อมความละเอียดระดับ 4K UHD ได้ถึง 3 จอ
    - มีฟีเจอร์ InstantView ที่ช่วยให้ใช้งานได้โดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์ เหมาะสำหรับระบบฝังตัวในสายงานอุตสาหกรรมและแอปพลิเคชันสำหรับผู้บริโภค

    MonTitan SSD รุ่น 128 TB QLC:
    - รองรับ PCIe Gen 5 และสามารถอ่านข้อมูลต่อเนื่องได้เร็วกว่า 14 GB/s
    - ออกแบบมาสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่และการใช้งานในดาต้าเซ็นเตอร์

    ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เน้นการประหยัดพลังงาน ตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมที่เน้น AI และ IoT เช่น การควบคุมอัตโนมัติ, อุปกรณ์อัจฉริยะ และระบบยานยนต์ AI การพัฒนานี้ยังช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันในตลาดของ Silicon Motion และสร้างแนวทางใหม่ในการรองรับโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

    https://www.techpowerup.com/333756/silicon-motion-showcases-storage-solutions-for-ai-and-display-interface-socs-at-embedded-world-2025
    Silicon Motion Technology Corporation ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในด้านคอนโทรลเลอร์แฟลชสำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบโซลิดสเตต (SSD) ได้เผยโฉมผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในงาน Embedded World 2025 ที่เมืองนูเรมเบิร์ก เยอรมนี โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์การใช้งานด้าน AI, ระบบฝังตัว (Embedded Systems) และอุตสาหกรรมยานยนต์ == โซลูชันเด่นที่น่าสนใจ == คอนโทรลเลอร์ SSD สำหรับยานยนต์ SM2264XT-AT: - รองรับมาตรฐาน PCIe Gen 4 พร้อมช่องสัญญาณ NAND ถึง 8 ช่อง ความเร็วสูงสุด 1,600 MT/s - รองรับมาตรฐานความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ เช่น AEC-Q100, ISO 26262 และ ASPICE Capability Level 3 - เหมาะสำหรับระบบ AI ในยานยนต์และระบบฝังตัวที่ต้องการความปลอดภัยสูง โซลูชัน Ferri สำหรับระบบฝังตัวและ AIoT: - รวมถึง FerriSSD, Ferri-eMMC และ Ferri-UFS ออกแบบมาให้ทนทานและเสถียรในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น โรงงานอุตสาหกรรมหรืออุปกรณ์การแพทย์ - มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น NANDXtend ECC และ IntelligentScan เพื่อเพิ่มความทนทานและการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลในเวลาจริง SM770 Display Interface SoC: - รองรับการแสดงผลแบบมัลติ-จอภาพ พร้อมความละเอียดระดับ 4K UHD ได้ถึง 3 จอ - มีฟีเจอร์ InstantView ที่ช่วยให้ใช้งานได้โดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์ เหมาะสำหรับระบบฝังตัวในสายงานอุตสาหกรรมและแอปพลิเคชันสำหรับผู้บริโภค MonTitan SSD รุ่น 128 TB QLC: - รองรับ PCIe Gen 5 และสามารถอ่านข้อมูลต่อเนื่องได้เร็วกว่า 14 GB/s - ออกแบบมาสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่และการใช้งานในดาต้าเซ็นเตอร์ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เน้นการประหยัดพลังงาน ตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมที่เน้น AI และ IoT เช่น การควบคุมอัตโนมัติ, อุปกรณ์อัจฉริยะ และระบบยานยนต์ AI การพัฒนานี้ยังช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันในตลาดของ Silicon Motion และสร้างแนวทางใหม่ในการรองรับโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง https://www.techpowerup.com/333756/silicon-motion-showcases-storage-solutions-for-ai-and-display-interface-socs-at-embedded-world-2025
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Silicon Motion Showcases Storage Solutions for AI and Display Interface SoCs at Embedded World 2025
    Silicon Motion Technology Corporation, a global leader in NAND flash controllers for solid-state storage devices, today announced its participation in Embedded World 2025, taking place from March 11-13, 2025, in Nuremberg, Germany. At the event, Silicon Motion will showcase its latest storage and...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • การ์ดจอ NVIDIA RTX 5090 ที่เพิ่งเปิดตัวกำลังเผชิญปัญหาเกี่ยวกับความร้อนในขั้วต่อไฟฟ้า 16-pin อย่างรุนแรง Andreas Schilling ผู้เชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์จากเว็บไซต์ Hardware Luxx ได้รายงานผ่านภาพถ่ายจากกล้องถ่ายความร้อนว่า ขั้วต่อไฟฟ้าของ RTX 5090 สามารถร้อนสูงถึง 150 องศาเซลเซียส

    == สาเหตุและผลกระทบ ==
    - ความเสียหายจากความร้อน: แม้ว่าขั้วต่อไฟฟ้าจะไม่ถึงจุดหลอมเหลวของวัสดุที่ใช้ (Nylon 66 และ LCP) ซึ่งอยู่ที่ 255-335 องศาเซลเซียส แต่นี่เป็นจุดอ่อนสำคัญที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยและอายุการใช้งานของอุปกรณ์
    - การเชื่อมต่อที่ไม่ทนทาน: Corsair ผู้ผลิตชิ้นส่วน PC ระบุว่าขั้วต่อ 16-pin มีวงจรการเชื่อมต่อ/ถอดที่รองรับได้เพียง 30 ครั้ง แต่ในกรณีนี้ ขั้วต่อถูกใช้งานเกินหลายร้อยครั้งแล้ว ทำให้เกิดความไม่เสถียร
    - ความไม่ไว้วางใจในตัวเลือกนี้: Schilling แสดงความคิดเห็นอย่างหนักแน่นว่า การออกแบบขั้วต่อ 12V-2x6 "จะเป็นจุดอ่อนสำคัญตลอดการใช้งานของการ์ดจอรุ่นนี้"

    การ์ดจอที่ทดสอบคือ Inno3D RTX 5090 Frostbite ซึ่งใช้น้ำเป็นตัวระบายความร้อน และแหล่งจ่ายไฟคือ be quiet! Dark Power 13 ที่รองรับพลังงาน 600W ในระหว่างการทดสอบ แม้ตัว GPU จะเย็นแต่ขั้วต่อไฟฟ้ากลับมีอุณหภูมิสูงจนกังวล

    แนวทางที่ควรคำนึง
    - การปรับปรุงการออกแบบขั้วต่อไฟฟ้า: NVIDIA อาจต้องหาวิธีแก้ปัญหาขั้วต่อไฟฟ้าในรุ่นนี้หรือในรุ่นต่อไป เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน
    - คำแนะนำแก่ผู้ใช้: ผู้ใช้งาน RTX 5090 ควรตรวจสอบความร้อนของขั้วต่อไฟฟ้า และหลีกเลี่ยงการใช้งานที่มีโหลดสูงในระยะเวลานาน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/nvidia-rtx-5090s-16-pin-power-connector-hits-150c-in-reviewers-thermal-camera-shots
    การ์ดจอ NVIDIA RTX 5090 ที่เพิ่งเปิดตัวกำลังเผชิญปัญหาเกี่ยวกับความร้อนในขั้วต่อไฟฟ้า 16-pin อย่างรุนแรง Andreas Schilling ผู้เชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์จากเว็บไซต์ Hardware Luxx ได้รายงานผ่านภาพถ่ายจากกล้องถ่ายความร้อนว่า ขั้วต่อไฟฟ้าของ RTX 5090 สามารถร้อนสูงถึง 150 องศาเซลเซียส == สาเหตุและผลกระทบ == - ความเสียหายจากความร้อน: แม้ว่าขั้วต่อไฟฟ้าจะไม่ถึงจุดหลอมเหลวของวัสดุที่ใช้ (Nylon 66 และ LCP) ซึ่งอยู่ที่ 255-335 องศาเซลเซียส แต่นี่เป็นจุดอ่อนสำคัญที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยและอายุการใช้งานของอุปกรณ์ - การเชื่อมต่อที่ไม่ทนทาน: Corsair ผู้ผลิตชิ้นส่วน PC ระบุว่าขั้วต่อ 16-pin มีวงจรการเชื่อมต่อ/ถอดที่รองรับได้เพียง 30 ครั้ง แต่ในกรณีนี้ ขั้วต่อถูกใช้งานเกินหลายร้อยครั้งแล้ว ทำให้เกิดความไม่เสถียร - ความไม่ไว้วางใจในตัวเลือกนี้: Schilling แสดงความคิดเห็นอย่างหนักแน่นว่า การออกแบบขั้วต่อ 12V-2x6 "จะเป็นจุดอ่อนสำคัญตลอดการใช้งานของการ์ดจอรุ่นนี้" การ์ดจอที่ทดสอบคือ Inno3D RTX 5090 Frostbite ซึ่งใช้น้ำเป็นตัวระบายความร้อน และแหล่งจ่ายไฟคือ be quiet! Dark Power 13 ที่รองรับพลังงาน 600W ในระหว่างการทดสอบ แม้ตัว GPU จะเย็นแต่ขั้วต่อไฟฟ้ากลับมีอุณหภูมิสูงจนกังวล แนวทางที่ควรคำนึง - การปรับปรุงการออกแบบขั้วต่อไฟฟ้า: NVIDIA อาจต้องหาวิธีแก้ปัญหาขั้วต่อไฟฟ้าในรุ่นนี้หรือในรุ่นต่อไป เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน - คำแนะนำแก่ผู้ใช้: ผู้ใช้งาน RTX 5090 ควรตรวจสอบความร้อนของขั้วต่อไฟฟ้า และหลีกเลี่ยงการใช้งานที่มีโหลดสูงในระยะเวลานาน https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/nvidia-rtx-5090s-16-pin-power-connector-hits-150c-in-reviewers-thermal-camera-shots
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia RTX 5090's 16-pin power connector hits 150C in reviewer's thermal camera shots
    Andreas Schilling of Germany's Hardware Luxx says the power connector issue will 'forever remain a weak point of this generation.'
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts