• Samsung Galaxy S26 มาพร้อม RAM 12GB เป็นมาตรฐาน

    สำหรับสายสมาร์ทโฟน ข่าวลือใหม่เผยว่า Samsung Galaxy S26 จะมาพร้อม RAM 12GB LPDDR5X เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งถือเป็นการยกระดับจาก Galaxy S25 ที่ใช้ความเร็ว 8.5Gbps โดยรุ่นใหม่จะเพิ่มเป็น 10.7Gbps ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการประมวลผลภาพและการจัดการกล้อง

    รุ่น Galaxy S26 Ultra จะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมด้วย RAM 16GB ซึ่งจะช่วยให้การทำงานด้านกล้องและการจัดการความร้อนดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ชัดว่ารุ่นนี้จะมีให้เลือกในทุกประเทศหรือจำกัดเฉพาะบางตลาดเหมือน Galaxy S25 Ultra ที่เคยจำกัดการขายเฉพาะเอเชียบางประเทศ

    แม้ Samsung จะยังไม่ก้าวไปสู่ LPDDR6 แต่การเพิ่มความเร็วของ LPDDR5X ก็ยังถือเป็นการพัฒนาใหญ่ และสอดคล้องกับแนวโน้มการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง Apple และ Xiaomi กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำเช่นกัน

    จุดเด่นของ Galaxy S26
    RAM 12GB LPDDR5X ความเร็ว 10.7Gbps เป็นมาตรฐาน
    รุ่น Ultra มี RAM 16GB สำหรับการใช้งานหนัก
    การปรับปรุงช่วยให้กล้องและระบบจัดการความร้อนดีขึ้น

    ข้อควรระวัง
    รุ่น Ultra อาจจำกัดการวางขายเฉพาะบางประเทศ
    ยังไม่ใช่ LPDDR6 ซึ่งอาจทำให้บางคนผิดหวัง

    https://wccftech.com/all-galaxy-s26-models-faster-12gb-lpddr5x-ram-ultra-model-will-offer-more-memory/
    📱 Samsung Galaxy S26 มาพร้อม RAM 12GB เป็นมาตรฐาน สำหรับสายสมาร์ทโฟน ข่าวลือใหม่เผยว่า Samsung Galaxy S26 จะมาพร้อม RAM 12GB LPDDR5X เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งถือเป็นการยกระดับจาก Galaxy S25 ที่ใช้ความเร็ว 8.5Gbps โดยรุ่นใหม่จะเพิ่มเป็น 10.7Gbps ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการประมวลผลภาพและการจัดการกล้อง รุ่น Galaxy S26 Ultra จะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมด้วย RAM 16GB ซึ่งจะช่วยให้การทำงานด้านกล้องและการจัดการความร้อนดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ชัดว่ารุ่นนี้จะมีให้เลือกในทุกประเทศหรือจำกัดเฉพาะบางตลาดเหมือน Galaxy S25 Ultra ที่เคยจำกัดการขายเฉพาะเอเชียบางประเทศ แม้ Samsung จะยังไม่ก้าวไปสู่ LPDDR6 แต่การเพิ่มความเร็วของ LPDDR5X ก็ยังถือเป็นการพัฒนาใหญ่ และสอดคล้องกับแนวโน้มการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง Apple และ Xiaomi กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำเช่นกัน ✅ จุดเด่นของ Galaxy S26 ➡️ RAM 12GB LPDDR5X ความเร็ว 10.7Gbps เป็นมาตรฐาน ➡️ รุ่น Ultra มี RAM 16GB สำหรับการใช้งานหนัก ➡️ การปรับปรุงช่วยให้กล้องและระบบจัดการความร้อนดีขึ้น ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ รุ่น Ultra อาจจำกัดการวางขายเฉพาะบางประเทศ ⛔ ยังไม่ใช่ LPDDR6 ซึ่งอาจทำให้บางคนผิดหวัง https://wccftech.com/all-galaxy-s26-models-faster-12gb-lpddr5x-ram-ultra-model-will-offer-more-memory/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวการเดินทาง: ทำไมต้องเปิดโหมดเครื่องบินทุกครั้งที่ขึ้นบิน

    หลายคนอาจสงสัยว่า “ถ้าไม่เปิดโหมดเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น?” บทความจาก SlashGear อธิบายว่า แม้ผลกระทบจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะเล็กน้อย แต่ก็ยังมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้สายการบินทั่วโลกยืนยันให้ผู้โดยสารเปิดโหมดนี้เสมอ.

    สัญญาณรบกวนที่อาจเกิดขึ้น
    โทรศัพท์ที่ไม่ได้เปิดโหมดเครื่องบินจะพยายามเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณ ทำให้เกิด เสียงรบกวน (buzzing sound) ในหูฟังของนักบินและลูกเรือ หากมีหลายเครื่องทำพร้อมกัน อาจทำให้การสื่อสารในห้องนักบินไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายเมื่อมีคำสั่งสำคัญ.

    ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง (Radio Altimeter)
    นักวิชาการจาก University of Nevada อธิบายว่า เครื่องวัดความสูงด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Altimeter) เป็นอุปกรณ์ที่เปราะบางต่อสัญญาณรบกวน โดยเฉพาะช่วงการลงจอดที่ต้องการข้อมูลความสูงที่แม่นยำที่สุด หากโทรศัพท์ส่งสัญญาณแรงขึ้นใกล้เสาสัญญาณภาคพื้นดิน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำงานผิดพลาด.

    ความแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป
    ในยุโรปมีการอนุญาตให้ใช้ บริการ 5G บนเครื่องบิน เพราะใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ต่างจากสหรัฐฯ จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ กฎการเปิดโหมดเครื่องบินยังคงบังคับใช้อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย.

    เหตุผลที่ต้องเปิดโหมดเครื่องบิน
    ลดความเสี่ยงสัญญาณรบกวนในห้องนักบิน
    ป้องกันการสื่อสารผิดพลาดระหว่างนักบินและลูกเรือ

    ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง
    Radio Altimeter อาจถูกรบกวนจากสัญญาณโทรศัพท์
    เสี่ยงต่อความแม่นยำช่วงการลงจอด

    ความแตกต่างในยุโรป
    อนุญาตให้ใช้ 5G บนเครื่องบิน
    ใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ปลอดภัยกว่า

    แม้ความเสี่ยงจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะน้อย
    แต่หากหลายเครื่องไม่เปิดโหมดพร้อมกัน อาจเพิ่มความเสี่ยงจริง

    การไม่ปฏิบัติตามกฎอาจมีผลทางกฎหมาย
    ผู้โดยสารอาจถูกตักเตือนหรือปรับหากฝ่าฝืนข้อกำหนดของสายการบิน

    https://www.slashgear.com/2019375/what-happens-if-dont-put-phone-on-airplane-mode-during-fight/
    ✈️ ข่าวการเดินทาง: ทำไมต้องเปิดโหมดเครื่องบินทุกครั้งที่ขึ้นบิน หลายคนอาจสงสัยว่า “ถ้าไม่เปิดโหมดเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น?” บทความจาก SlashGear อธิบายว่า แม้ผลกระทบจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะเล็กน้อย แต่ก็ยังมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้สายการบินทั่วโลกยืนยันให้ผู้โดยสารเปิดโหมดนี้เสมอ. 📡 สัญญาณรบกวนที่อาจเกิดขึ้น โทรศัพท์ที่ไม่ได้เปิดโหมดเครื่องบินจะพยายามเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณ ทำให้เกิด เสียงรบกวน (buzzing sound) ในหูฟังของนักบินและลูกเรือ หากมีหลายเครื่องทำพร้อมกัน อาจทำให้การสื่อสารในห้องนักบินไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายเมื่อมีคำสั่งสำคัญ. 🛬 ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง (Radio Altimeter) นักวิชาการจาก University of Nevada อธิบายว่า เครื่องวัดความสูงด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Altimeter) เป็นอุปกรณ์ที่เปราะบางต่อสัญญาณรบกวน โดยเฉพาะช่วงการลงจอดที่ต้องการข้อมูลความสูงที่แม่นยำที่สุด หากโทรศัพท์ส่งสัญญาณแรงขึ้นใกล้เสาสัญญาณภาคพื้นดิน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำงานผิดพลาด. 🌍 ความแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป ในยุโรปมีการอนุญาตให้ใช้ บริการ 5G บนเครื่องบิน เพราะใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ต่างจากสหรัฐฯ จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ กฎการเปิดโหมดเครื่องบินยังคงบังคับใช้อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย. ✅ เหตุผลที่ต้องเปิดโหมดเครื่องบิน ➡️ ลดความเสี่ยงสัญญาณรบกวนในห้องนักบิน ➡️ ป้องกันการสื่อสารผิดพลาดระหว่างนักบินและลูกเรือ ✅ ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง ➡️ Radio Altimeter อาจถูกรบกวนจากสัญญาณโทรศัพท์ ➡️ เสี่ยงต่อความแม่นยำช่วงการลงจอด ✅ ความแตกต่างในยุโรป ➡️ อนุญาตให้ใช้ 5G บนเครื่องบิน ➡️ ใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ปลอดภัยกว่า ‼️ แม้ความเสี่ยงจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะน้อย ⛔ แต่หากหลายเครื่องไม่เปิดโหมดพร้อมกัน อาจเพิ่มความเสี่ยงจริง ‼️ การไม่ปฏิบัติตามกฎอาจมีผลทางกฎหมาย ⛔ ผู้โดยสารอาจถูกตักเตือนหรือปรับหากฝ่าฝืนข้อกำหนดของสายการบิน https://www.slashgear.com/2019375/what-happens-if-dont-put-phone-on-airplane-mode-during-fight/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Happens If You Don't Put Your Phone On Airplane Mode During A Flight? - SlashGear
    The potential impact of one phone without airplane mode enabled on an aircraft is essentially negligible. Even with multiple phones, its risk is minimal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวเทคโนโลยี: วิธีฟรีๆ เคลียร์พื้นที่ Gmail โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

    หลายคนอาจเคยเจอข้อความเตือนว่า “Gmail storage is full” ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่อพื้นที่ฟรี 15GB ของ Google ถูกใช้งานครบ ทั้งจากอีเมล ไฟล์แนบ และ Google Drive แต่มีวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

    🛠 วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น
    หนึ่งในทางออกคือ สร้างบัญชี Gmail ใหม่ แล้วนำอีเมลเก่าทั้งหมดไปนำเข้า (Import) ผ่านการตั้งค่า POP3 ซึ่งช่วยให้คุณยังเข้าถึงข้อมูลเดิมได้โดยไม่ต้องลบอะไรออกทันที หากไม่อยากยุ่งยากก็สามารถใช้บัญชีใหม่แทนไปเลย

    จัดการอีเมลขยะและการสมัครรับข่าวสาร
    อีกวิธีคือการ ยกเลิกการสมัครรับอีเมล (Unsubscribe) ที่ไม่จำเป็น ซึ่งช่วยลดการสะสมของข้อความที่กินพื้นที่ แต่ต้องระวังเพราะบางปุ่ม Unsubscribe อาจเป็นลิงก์หลอกลวงจากสแปมเมอร์

    ทางเลือกการจัดเก็บข้อมูล
    หากพื้นที่เต็มเพราะไฟล์หรือรูปภาพ การใช้บริการอื่นๆ เช่น iCloud, OneDrive, Box หรือแม้แต่ฮาร์ดดิสก์ภายนอกก็เป็นทางเลือกที่ดี และยังสามารถเลือกแพ็กเกจ Google One ที่เริ่มต้น 30GB ไปจนถึง 2TB ได้หากต้องการอัปเกรดในอนาคต

    🗑 เคล็ดลับเล็กๆ
    อย่าลืมว่า การลบอีเมลไม่เท่ากับการเคลียร์พื้นที่ทันที เพราะ Gmail จะเก็บไว้ในถังขยะอีก 30 วัน ดังนั้นควรเข้าไปล้างถังขยะด้วย

    วิธีฟรีในการแก้ปัญหา Gmail เต็ม
    สร้างบัญชีใหม่แล้วนำเข้าอีเมลเก่า
    ใช้บัญชีใหม่แทนหากไม่อยากจัดการ

    การจัดการอีเมลขยะและการสมัครรับข่าวสาร
    กด Unsubscribe เพื่อลดข้อความที่ไม่จำเป็น
    ใช้เครื่องมือช่วย เช่น Leave Me Alone, Clean Email

    ทางเลือกการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติม
    ใช้บริการคลาวด์อื่น เช่น iCloud, OneDrive
    ลงทุนในฮาร์ดดิสก์ภายนอกเพื่อเก็บไฟล์สำคัญ

    เคล็ดลับการเคลียร์พื้นที่ Gmail
    ล้างถังขยะหลังจากลบอีเมล
    ตรวจสอบไฟล์แนบขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่

    https://www.slashgear.com/2013474/free-easy-way-to-free-up-gmail-storage/
    📧 ข่าวเทคโนโลยี: วิธีฟรีๆ เคลียร์พื้นที่ Gmail โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม หลายคนอาจเคยเจอข้อความเตือนว่า “Gmail storage is full” ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่อพื้นที่ฟรี 15GB ของ Google ถูกใช้งานครบ ทั้งจากอีเมล ไฟล์แนบ และ Google Drive แต่มีวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม 🛠 วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น หนึ่งในทางออกคือ สร้างบัญชี Gmail ใหม่ แล้วนำอีเมลเก่าทั้งหมดไปนำเข้า (Import) ผ่านการตั้งค่า POP3 ซึ่งช่วยให้คุณยังเข้าถึงข้อมูลเดิมได้โดยไม่ต้องลบอะไรออกทันที หากไม่อยากยุ่งยากก็สามารถใช้บัญชีใหม่แทนไปเลย 🚫 จัดการอีเมลขยะและการสมัครรับข่าวสาร อีกวิธีคือการ ยกเลิกการสมัครรับอีเมล (Unsubscribe) ที่ไม่จำเป็น ซึ่งช่วยลดการสะสมของข้อความที่กินพื้นที่ แต่ต้องระวังเพราะบางปุ่ม Unsubscribe อาจเป็นลิงก์หลอกลวงจากสแปมเมอร์ 💾 ทางเลือกการจัดเก็บข้อมูล หากพื้นที่เต็มเพราะไฟล์หรือรูปภาพ การใช้บริการอื่นๆ เช่น iCloud, OneDrive, Box หรือแม้แต่ฮาร์ดดิสก์ภายนอกก็เป็นทางเลือกที่ดี และยังสามารถเลือกแพ็กเกจ Google One ที่เริ่มต้น 30GB ไปจนถึง 2TB ได้หากต้องการอัปเกรดในอนาคต 🗑 เคล็ดลับเล็กๆ อย่าลืมว่า การลบอีเมลไม่เท่ากับการเคลียร์พื้นที่ทันที เพราะ Gmail จะเก็บไว้ในถังขยะอีก 30 วัน ดังนั้นควรเข้าไปล้างถังขยะด้วย ✅ วิธีฟรีในการแก้ปัญหา Gmail เต็ม ➡️ สร้างบัญชีใหม่แล้วนำเข้าอีเมลเก่า ➡️ ใช้บัญชีใหม่แทนหากไม่อยากจัดการ ✅ การจัดการอีเมลขยะและการสมัครรับข่าวสาร ➡️ กด Unsubscribe เพื่อลดข้อความที่ไม่จำเป็น ➡️ ใช้เครื่องมือช่วย เช่น Leave Me Alone, Clean Email ✅ ทางเลือกการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ➡️ ใช้บริการคลาวด์อื่น เช่น iCloud, OneDrive ➡️ ลงทุนในฮาร์ดดิสก์ภายนอกเพื่อเก็บไฟล์สำคัญ ✅ เคล็ดลับการเคลียร์พื้นที่ Gmail ➡️ ล้างถังขยะหลังจากลบอีเมล ➡️ ตรวจสอบไฟล์แนบขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ https://www.slashgear.com/2013474/free-easy-way-to-free-up-gmail-storage/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Gmail Storage Full, But Don't Want To Pay? Try This Instead - SlashGear
    If your Gmail account is reaching its storage limit, there is a free way you can go about clearing up space without losing anything. Here's something to try.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • อนาคตเมื่อคนไทยเรามีความสุขกายสุขใจ มีความเบิกบานใจ ระดับจิตระดับใจจะยกชาติไทยอัพเลเวลสถานะพลังงานประเทศไทยเราทั้งหมดทั้งประเทศเป็นเกราะแก้ว7ชั้น9ชั้นจากจิตอสูรจิตมารนั้นไม่ยากเลย,ยุค90มีครบรสจริงๆ.

    https://youtu.be/RJoev5GR-T8?si=yG7iIvjJFAMfUuCQ
    อนาคตเมื่อคนไทยเรามีความสุขกายสุขใจ มีความเบิกบานใจ ระดับจิตระดับใจจะยกชาติไทยอัพเลเวลสถานะพลังงานประเทศไทยเราทั้งหมดทั้งประเทศเป็นเกราะแก้ว7ชั้น9ชั้นจากจิตอสูรจิตมารนั้นไม่ยากเลย,ยุค90มีครบรสจริงๆ. https://youtu.be/RJoev5GR-T8?si=yG7iIvjJFAMfUuCQ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/-IwA9_a2zNo?si=5gTnF6j7_Nvxi9I5
    https://youtube.com/shorts/-IwA9_a2zNo?si=5gTnF6j7_Nvxi9I5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ryzen 5 7500X3D โผล่ในเบนช์มาร์กแรก! ประสิทธิภาพใกล้เคียง 7600X3D แต่ราคาประหยัดกว่า

    AMD เตรียมเปิดตัว Ryzen 5 7500X3D ซึ่งเป็นชิป X3D ราคาประหยัดตัวแรกบนแพลตฟอร์ม AM5 โดยมีผลเบนช์มาร์กหลุดออกมาแล้ว เผยให้เห็นว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรุ่นพี่ 7600X3D ทั้งในงานแบบ single-core และ multi-core แม้จะมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาต่ำกว่าเล็กน้อย

    Ryzen 5 7500X3D เป็นซีพียู 6 คอร์ 12 เธรด ใช้สถาปัตยกรรม Zen 4 ผลิตบนเทคโนโลยี 5nm ของ TSMC โดยมี L3 cache ขนาด 96MB จาก 3D V-Cache รวมเป็น 102MB เท่ากับรุ่น 7600X3D แต่มี base clock อยู่ที่ 4.0GHz และ boost clock ที่ 4.5GHz (ต่ำกว่ารุ่นพี่เล็กน้อย)

    ผลเบนช์มาร์กจาก Geekbench ให้คะแนน 2,549 สำหรับ single-core และ 11,826 สำหรับ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับ 7600X3D ที่มี boost clock สูงกว่าเล็กน้อยที่ 4.7GHz

    แม้จะยังไม่มีข้อมูล TDP อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะอยู่ที่ 65W เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า และมีแนวโน้มว่าจะเปิดตัวในงาน CES 2026

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่อาจกระทบผู้ใช้คือราคาของ DDR5 ที่พุ่งสูงขึ้นจากความต้องการในตลาด AI ทำให้แม้ตัวชิปจะราคาถูก แต่การประกอบเครื่องอาจแพงขึ้นมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่มีแรม DDR5 อยู่แล้ว

    Ryzen 5 7500X3D โผล่ใน Geekbench
    คะแนน single-core: 2,549
    คะแนน multi-core: 11,826
    ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Ryzen 5 7600X3D

    สเปกเบื้องต้นของ 7500X3D
    6 คอร์ 12 เธรด สถาปัตยกรรม Zen 4
    Base clock: 4.0GHz / Boost clock: 4.5GHz
    L3 cache รวม 102MB (มี 3D V-Cache 64MB)
    คาดว่า TDP อยู่ที่ 65W

    คาดการณ์การเปิดตัว
    อาจเปิดตัวในงาน CES 2026
    เป็นชิป X3D ราคาประหยัดตัวแรกบน AM5

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-budget-ryzen-5-7500x3d-leaks-out-in-early-benchmarks-scores-hint-at-performance-on-par-with-existing-7600x3d-budget-offering-could-pack-a-punch-in-both-single-and-multi-core-tests
    🧠 Ryzen 5 7500X3D โผล่ในเบนช์มาร์กแรก! ประสิทธิภาพใกล้เคียง 7600X3D แต่ราคาประหยัดกว่า AMD เตรียมเปิดตัว Ryzen 5 7500X3D ซึ่งเป็นชิป X3D ราคาประหยัดตัวแรกบนแพลตฟอร์ม AM5 โดยมีผลเบนช์มาร์กหลุดออกมาแล้ว เผยให้เห็นว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรุ่นพี่ 7600X3D ทั้งในงานแบบ single-core และ multi-core แม้จะมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาต่ำกว่าเล็กน้อย Ryzen 5 7500X3D เป็นซีพียู 6 คอร์ 12 เธรด ใช้สถาปัตยกรรม Zen 4 ผลิตบนเทคโนโลยี 5nm ของ TSMC โดยมี L3 cache ขนาด 96MB จาก 3D V-Cache รวมเป็น 102MB เท่ากับรุ่น 7600X3D แต่มี base clock อยู่ที่ 4.0GHz และ boost clock ที่ 4.5GHz (ต่ำกว่ารุ่นพี่เล็กน้อย) ผลเบนช์มาร์กจาก Geekbench ให้คะแนน 2,549 สำหรับ single-core และ 11,826 สำหรับ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับ 7600X3D ที่มี boost clock สูงกว่าเล็กน้อยที่ 4.7GHz แม้จะยังไม่มีข้อมูล TDP อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะอยู่ที่ 65W เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า และมีแนวโน้มว่าจะเปิดตัวในงาน CES 2026 อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่อาจกระทบผู้ใช้คือราคาของ DDR5 ที่พุ่งสูงขึ้นจากความต้องการในตลาด AI ทำให้แม้ตัวชิปจะราคาถูก แต่การประกอบเครื่องอาจแพงขึ้นมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่มีแรม DDR5 อยู่แล้ว ✅ Ryzen 5 7500X3D โผล่ใน Geekbench ➡️ คะแนน single-core: 2,549 ➡️ คะแนน multi-core: 11,826 ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Ryzen 5 7600X3D ✅ สเปกเบื้องต้นของ 7500X3D ➡️ 6 คอร์ 12 เธรด สถาปัตยกรรม Zen 4 ➡️ Base clock: 4.0GHz / Boost clock: 4.5GHz ➡️ L3 cache รวม 102MB (มี 3D V-Cache 64MB) ➡️ คาดว่า TDP อยู่ที่ 65W ✅ คาดการณ์การเปิดตัว ➡️ อาจเปิดตัวในงาน CES 2026 ➡️ เป็นชิป X3D ราคาประหยัดตัวแรกบน AM5 https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-budget-ryzen-5-7500x3d-leaks-out-in-early-benchmarks-scores-hint-at-performance-on-par-with-existing-7600x3d-budget-offering-could-pack-a-punch-in-both-single-and-multi-core-tests
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/_7RQiySBULw?si=bHikDYaBWU75GIG-
    https://youtu.be/_7RQiySBULw?si=bHikDYaBWU75GIG-
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚡️สารคดี 5G สุดอลังการ - ต้องดู | ตุลาคม 2025

    ผมได้แชร์วิดีโอมากมายเกี่ยวกับอันตรายของรังสี 5G/EMF ทั้งที่นี่และแพลตฟอร์มอื่นๆ

    สารคดีสำคัญนี้สร้างมาได้อย่างดีเยี่ยม และเปิดโปงอาชญากรรมที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและรัฐบาลต่างๆ กำลังก่อขึ้นต่อประชาชน

    รังสี EMF ส่งผลเสียต่อมนุษย์ สัตว์ ปลา พืช แมลง และแม้แต่เชื้อราและแบคทีเรีย...ฯลฯ

    ⚡️รัฐบาลทั่วโลกที่นับถือลัทธิซาตาน รักร่วมเพศ และล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ได้ใช้แผนการระบาดนี้เพื่อเปิดตัว 5G ซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผู้คนเจ็บป่วย (รังสี EMF)

    วิทยุที่คุณฟังก็ทะลุกำแพงได้เช่นกัน แต่มีพลังน้อยกว่ามากในสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า

    ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมด้านล่าง:

    รังสีไร้สาย 5G และสุขภาพ การอัปเดตทางวิทยาศาสตร์และนโยบาย ปี 2020 | Serene_Christine
    https://t.me/AdelaideFreedomFighters/29394

    ดาฟนา ทาโชเวอร์ ยืนยันถึงการที่เด็กๆ และผู้คนกำลังเจ็บป่วยจากรังสีไร้สาย รวมถึง Wi-Fi
    https://t.me/AdelaideFreedomFighters/19999
    🛑⚡️สารคดี 5G สุดอลังการ - ต้องดู | ตุลาคม 2025 🔥ผมได้แชร์วิดีโอมากมายเกี่ยวกับอันตรายของรังสี 5G/EMF ทั้งที่นี่และแพลตฟอร์มอื่นๆ สารคดีสำคัญนี้สร้างมาได้อย่างดีเยี่ยม และเปิดโปงอาชญากรรมที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและรัฐบาลต่างๆ กำลังก่อขึ้นต่อประชาชน รังสี EMF ส่งผลเสียต่อมนุษย์ สัตว์ ปลา พืช แมลง และแม้แต่เชื้อราและแบคทีเรีย...ฯลฯ ⚡️รัฐบาลทั่วโลกที่นับถือลัทธิซาตาน รักร่วมเพศ และล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ได้ใช้แผนการระบาดนี้เพื่อเปิดตัว 5G ซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผู้คนเจ็บป่วย (รังสี EMF) 🔺วิทยุที่คุณฟังก็ทะลุกำแพงได้เช่นกัน แต่มีพลังน้อยกว่ามากในสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า 🎓ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมด้านล่าง: ❇️รังสีไร้สาย 5G และสุขภาพ การอัปเดตทางวิทยาศาสตร์และนโยบาย ปี 2020 | Serene_Christine https://t.me/AdelaideFreedomFighters/29394 ❇️ดาฟนา ทาโชเวอร์ ยืนยันถึงการที่เด็กๆ และผู้คนกำลังเจ็บป่วยจากรังสีไร้สาย รวมถึง Wi-Fi https://t.me/AdelaideFreedomFighters/19999
    T.ME
    😃🇦🇺Adelaide Australia Freedom Fighters
    🛑⚡️5G Wireless Radiation and Health A Scientific and Policy Update 2020 | Serene_Christine. 🔥A good report from 2020 this is how long we've all been warning everybody this is going on years and years now. 🔺The radio that you listen to also goes through walls but is much less powerful on the Electromagnetic Spectrum. 🎓More Insights below : ❇️5G THE UNTOLD STORY - Full Documentary. https://t.me/AdelaideFreedomFighters/26307 ❇️5G Tinnitus and EMF Radiation Poisoning. https://t.me/AdelaideFreedomFighters/28433 ❇️EMF Radiation Test Shows Sitting in an Electric Car is Like Standing Near a Running Microwave. https://t.me/AdelaideFreedomFighters/11786 ❇️PENTAGON CONFIRMS 5G RADIATION CAUSES CANCER AND COVID SYMPTOMS | TRUTH PROVIDER. https://t.me/AustraliaFreedomFightersChat/73012
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fastnet” สายเคเบิลใต้น้ำสุดแกร่งจาก Amazon เชื่อมอเมริกาสู่อินเตอร์เน็ตความเร็วแสง

    ลองจินตนาการถึงการสตรีมภาพยนตร์ความละเอียดสูง (HD) พร้อมกันถึง 12.5 ล้านเรื่องในเวลาเดียวกัน — นั่นคือพลังของ “Fastnet” สายเคเบิลใต้น้ำใหม่ล่าสุดจาก Amazon ที่กำลังจะเชื่อมต่อสหรัฐอเมริกากับไอร์แลนด์ผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 320 เทราบิตต่อวินาที (Tbps)!

    Amazon ไม่ได้แค่ขายของออนไลน์หรือให้บริการคลาวด์เท่านั้น แต่ยังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อรองรับการเติบโตของบริการ AWS และความต้องการข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ

    เคเบิลใต้น้ำที่ “หุ้มเกราะ” ป้องกันการโจมตี
    Fastnet ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ยัง “แกร่ง” ด้วยการหุ้มเกราะเหล็กสองชั้นบริเวณชายฝั่ง เพื่อป้องกันการถูกตัดหรือทำลาย ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริงในหลายพื้นที่ เช่น เหตุการณ์สายเคเบิลในทะเลแดงถูกตัดเมื่อไม่นานมานี้

    Amazon ยังออกแบบให้สายเคเบิลนี้มีจุดขึ้นฝั่งที่ “หลีกเลี่ยงเส้นทางเดิมๆ” อย่างสหราชอาณาจักรหรือฝรั่งเศส เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเส้นทางข้อมูล ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์

    ขยายอาณาจักร AWS พร้อมแผนพัฒนาอนาคต
    นอกจาก Fastnet แล้ว Amazon ยังมีแผนเพิ่ม Availability Zones อีก 10 แห่ง และเปิด AWS Region ใหม่อีก 3 แห่งทั่วโลก เพื่อรองรับความต้องการใช้งานคลาวด์ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจและ AI

    เกร็ดน่ารู้: ทำไมสายเคเบิลใต้น้ำถึงสำคัญ?
    แม้เราจะใช้ Wi-Fi หรือ 5G กันทุกวัน แต่ความจริงแล้วกว่า 95% ของข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศยังคงเดินทางผ่านสายเคเบิลใต้น้ำ! สายเคเบิลเหล่านี้จึงเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของโลกดิจิทัล และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนี้คือการวางรากฐานให้กับอนาคต

    Fastnet: สายเคเบิลใต้น้ำใหม่จาก Amazon
    เชื่อมต่อ Maryland, สหรัฐฯ กับ County Cork, ไอร์แลนด์
    ความเร็วสูงสุด 320 Tbps – เทียบเท่าการสตรีมหนัง HD 12.5 ล้านเรื่องพร้อมกัน
    พร้อมใช้งานในปี 2028

    โครงสร้างที่แข็งแกร่งและปลอดภัย
    หุ้มเกราะเหล็กสองชั้นบริเวณชายฝั่ง
    ออกแบบให้หลีกเลี่ยงเส้นทางสายเคเบิลเดิม เพื่อความหลากหลายและปลอดภัย

    รองรับการเติบโตของ AWS
    เพิ่ม Availability Zones อีก 10 แห่ง
    เปิด AWS Region ใหม่อีก 3 แห่งทั่วโลก

    การมีส่วนร่วมกับชุมชน
    จัดตั้ง Community Benefit Funds ใน Maryland และ County Cork
    สนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา และความเป็นอยู่ของชุมชน

    ความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์
    สายเคเบิลใต้น้ำเคยถูกตัดในทะเลแดง ส่งผลกระทบต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจส่งผลต่อเส้นทางการวางสายเคเบิล

    ความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
    แม้จะมีการป้องกัน แต่สายเคเบิลใต้น้ำยังคงเป็นเป้าหมายที่อ่อนไหว
    การโจมตีหรือความเสียหายอาจส่งผลกระทบต่อบริการทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/networking/amazons-new-armored-undersea-cable-is-fast-enough-to-stream-12-5-million-hd-films-simultaneously-between-the-us-and-ireland-fastnet-to-deliver-320-terabits-per-second-across-the-atlantic
    🌊🔌 “Fastnet” สายเคเบิลใต้น้ำสุดแกร่งจาก Amazon เชื่อมอเมริกาสู่อินเตอร์เน็ตความเร็วแสง ลองจินตนาการถึงการสตรีมภาพยนตร์ความละเอียดสูง (HD) พร้อมกันถึง 12.5 ล้านเรื่องในเวลาเดียวกัน — นั่นคือพลังของ “Fastnet” สายเคเบิลใต้น้ำใหม่ล่าสุดจาก Amazon ที่กำลังจะเชื่อมต่อสหรัฐอเมริกากับไอร์แลนด์ผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 320 เทราบิตต่อวินาที (Tbps)! Amazon ไม่ได้แค่ขายของออนไลน์หรือให้บริการคลาวด์เท่านั้น แต่ยังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อรองรับการเติบโตของบริการ AWS และความต้องการข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ 🛡️ เคเบิลใต้น้ำที่ “หุ้มเกราะ” ป้องกันการโจมตี Fastnet ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ยัง “แกร่ง” ด้วยการหุ้มเกราะเหล็กสองชั้นบริเวณชายฝั่ง เพื่อป้องกันการถูกตัดหรือทำลาย ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริงในหลายพื้นที่ เช่น เหตุการณ์สายเคเบิลในทะเลแดงถูกตัดเมื่อไม่นานมานี้ Amazon ยังออกแบบให้สายเคเบิลนี้มีจุดขึ้นฝั่งที่ “หลีกเลี่ยงเส้นทางเดิมๆ” อย่างสหราชอาณาจักรหรือฝรั่งเศส เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเส้นทางข้อมูล ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ 🌍 ขยายอาณาจักร AWS พร้อมแผนพัฒนาอนาคต นอกจาก Fastnet แล้ว Amazon ยังมีแผนเพิ่ม Availability Zones อีก 10 แห่ง และเปิด AWS Region ใหม่อีก 3 แห่งทั่วโลก เพื่อรองรับความต้องการใช้งานคลาวด์ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจและ AI 💡 เกร็ดน่ารู้: ทำไมสายเคเบิลใต้น้ำถึงสำคัญ? แม้เราจะใช้ Wi-Fi หรือ 5G กันทุกวัน แต่ความจริงแล้วกว่า 95% ของข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศยังคงเดินทางผ่านสายเคเบิลใต้น้ำ! สายเคเบิลเหล่านี้จึงเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของโลกดิจิทัล และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนี้คือการวางรากฐานให้กับอนาคต ✅ Fastnet: สายเคเบิลใต้น้ำใหม่จาก Amazon ➡️ เชื่อมต่อ Maryland, สหรัฐฯ กับ County Cork, ไอร์แลนด์ ➡️ ความเร็วสูงสุด 320 Tbps – เทียบเท่าการสตรีมหนัง HD 12.5 ล้านเรื่องพร้อมกัน ➡️ พร้อมใช้งานในปี 2028 ✅ โครงสร้างที่แข็งแกร่งและปลอดภัย ➡️ หุ้มเกราะเหล็กสองชั้นบริเวณชายฝั่ง ➡️ ออกแบบให้หลีกเลี่ยงเส้นทางสายเคเบิลเดิม เพื่อความหลากหลายและปลอดภัย ✅ รองรับการเติบโตของ AWS ➡️ เพิ่ม Availability Zones อีก 10 แห่ง ➡️ เปิด AWS Region ใหม่อีก 3 แห่งทั่วโลก ✅ การมีส่วนร่วมกับชุมชน ➡️ จัดตั้ง Community Benefit Funds ใน Maryland และ County Cork ➡️ สนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา และความเป็นอยู่ของชุมชน ‼️ ความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ สายเคเบิลใต้น้ำเคยถูกตัดในทะเลแดง ส่งผลกระทบต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ⛔ ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจส่งผลต่อเส้นทางการวางสายเคเบิล ‼️ ความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ⛔ แม้จะมีการป้องกัน แต่สายเคเบิลใต้น้ำยังคงเป็นเป้าหมายที่อ่อนไหว ⛔ การโจมตีหรือความเสียหายอาจส่งผลกระทบต่อบริการทั่วโลก https://www.tomshardware.com/networking/amazons-new-armored-undersea-cable-is-fast-enough-to-stream-12-5-million-hd-films-simultaneously-between-the-us-and-ireland-fastnet-to-deliver-320-terabits-per-second-across-the-atlantic
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Huawei เปิดตัวพีซีสายเลือดจีนแท้! ใช้ชิป Kirin 9000X และระบบปฏิบัติการท้องถิ่นแทน Windows”

    ในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Huawei กำลังเดินเกมรุกด้วยการเปิดตัวคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ในตลาดจีน — Qingyun W515y และ W585y ที่ใช้ชิป Kirin 9000X ซึ่งพัฒนาโดย HiSilicon และระบบปฏิบัติการที่ไม่ใช่ Windows แต่เป็น Tongxin UOS V20 หรือ Galaxy Kylin V10 ซึ่งล้วนเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศจีน

    แม้ Huawei ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเต็มของชิป Kirin 9000X แต่มีข้อมูลว่าเป็นชิปแบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็วพื้นฐาน 2.5GHz และใช้สถาปัตยกรรม Arm พร้อม GPU Mali-G78 แบบ 24 คอร์ ซึ่งถือว่าเป็นการต่อยอดจาก Kirin 9000C รุ่นก่อนหน้า

    ตัวเครื่องยังรองรับหน่วยความจำ LPDDR5x แบบ quad-channel และมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครันทั้ง USB-C, USB-A, HDMI, VGA และ Ethernet โดยมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย และมาพร้อมคีย์บอร์ดและเมาส์แบบมีสาย

    ที่น่าสนใจคือ Huawei เลือกไม่ใช้ HarmonyOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่บริษัทพยายามผลักดันในอุปกรณ์อื่นๆ แต่กลับเลือกใช้ระบบ Linux ที่ปรับแต่งโดยบริษัทท้องถิ่นแทน ซึ่งอาจสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีจากตะวันตก

    Huawei เปิดตัวพีซีรุ่นใหม่ในตลาดจีน
    รุ่น Qingyun W515y และ W585y
    ใช้ชิป Kirin 9000X ที่พัฒนาโดย HiSilicon

    ระบบปฏิบัติการไม่ใช่ Windows
    เลือกใช้ Tongxin UOS V20 หรือ Galaxy Kylin V10
    ทั้งสองระบบเป็น Linux ที่พัฒนาโดยบริษัทจีน

    สเปกฮาร์ดแวร์ที่น่าสนใจ
    หน่วยความจำ LPDDR5x แบบ quad-channel
    พอร์ตเชื่อมต่อครบทั้ง USB-C, HDMI, VGA และ Ethernet
    น้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย

    ไม่ใช้ HarmonyOS แม้เป็นระบบของ Huawei เอง
    อาจสะท้อนถึงการเลือกใช้ระบบที่เหมาะกับงานองค์กรหรือภาครัฐ
    HarmonyOS ยังเน้นอุปกรณ์พกพาและ IoT มากกว่า

    คำเตือนด้านการใช้งานเชิงพาณิชย์
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาและวันวางจำหน่าย
    อาจไม่รองรับซอฟต์แวร์ตะวันตกบางตัว เช่น Microsoft Office หรือ Adobe

    คำเตือนด้านความเข้ากันได้
    ระบบปฏิบัติการแบบ Linux อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานทั่วไป
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องปรับตัวกับอินเทอร์เฟซและแอปพลิเคชันที่ไม่คุ้นเคย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/huawei-launches-new-homegrown-pcs-domestic-chinese-cpus-and-os-power-new-devices
    🖥️🐉 “Huawei เปิดตัวพีซีสายเลือดจีนแท้! ใช้ชิป Kirin 9000X และระบบปฏิบัติการท้องถิ่นแทน Windows” ในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Huawei กำลังเดินเกมรุกด้วยการเปิดตัวคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ในตลาดจีน — Qingyun W515y และ W585y ที่ใช้ชิป Kirin 9000X ซึ่งพัฒนาโดย HiSilicon และระบบปฏิบัติการที่ไม่ใช่ Windows แต่เป็น Tongxin UOS V20 หรือ Galaxy Kylin V10 ซึ่งล้วนเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศจีน แม้ Huawei ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเต็มของชิป Kirin 9000X แต่มีข้อมูลว่าเป็นชิปแบบ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็วพื้นฐาน 2.5GHz และใช้สถาปัตยกรรม Arm พร้อม GPU Mali-G78 แบบ 24 คอร์ ซึ่งถือว่าเป็นการต่อยอดจาก Kirin 9000C รุ่นก่อนหน้า ตัวเครื่องยังรองรับหน่วยความจำ LPDDR5x แบบ quad-channel และมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครันทั้ง USB-C, USB-A, HDMI, VGA และ Ethernet โดยมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย และมาพร้อมคีย์บอร์ดและเมาส์แบบมีสาย ที่น่าสนใจคือ Huawei เลือกไม่ใช้ HarmonyOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่บริษัทพยายามผลักดันในอุปกรณ์อื่นๆ แต่กลับเลือกใช้ระบบ Linux ที่ปรับแต่งโดยบริษัทท้องถิ่นแทน ซึ่งอาจสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีจากตะวันตก ✅ Huawei เปิดตัวพีซีรุ่นใหม่ในตลาดจีน ➡️ รุ่น Qingyun W515y และ W585y ➡️ ใช้ชิป Kirin 9000X ที่พัฒนาโดย HiSilicon ✅ ระบบปฏิบัติการไม่ใช่ Windows ➡️ เลือกใช้ Tongxin UOS V20 หรือ Galaxy Kylin V10 ➡️ ทั้งสองระบบเป็น Linux ที่พัฒนาโดยบริษัทจีน ✅ สเปกฮาร์ดแวร์ที่น่าสนใจ ➡️ หน่วยความจำ LPDDR5x แบบ quad-channel ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อครบทั้ง USB-C, HDMI, VGA และ Ethernet ➡️ น้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย ✅ ไม่ใช้ HarmonyOS แม้เป็นระบบของ Huawei เอง ➡️ อาจสะท้อนถึงการเลือกใช้ระบบที่เหมาะกับงานองค์กรหรือภาครัฐ ➡️ HarmonyOS ยังเน้นอุปกรณ์พกพาและ IoT มากกว่า ‼️ คำเตือนด้านการใช้งานเชิงพาณิชย์ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาและวันวางจำหน่าย ⛔ อาจไม่รองรับซอฟต์แวร์ตะวันตกบางตัว เช่น Microsoft Office หรือ Adobe ‼️ คำเตือนด้านความเข้ากันได้ ⛔ ระบบปฏิบัติการแบบ Linux อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานทั่วไป ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องปรับตัวกับอินเทอร์เฟซและแอปพลิเคชันที่ไม่คุ้นเคย https://www.tomshardware.com/pc-components/huawei-launches-new-homegrown-pcs-domestic-chinese-cpus-and-os-power-new-devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราเตอร์สุดล้ำจากยุโรป! Turris Omnia NG อัปเกรด Wi-Fi ได้ เปลี่ยนโมดูลแทนเปลี่ยนเครื่อง

    Turris Omnia NG คือเราเตอร์รุ่นใหม่จาก CZ.NIC ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระยะยาวและความปลอดภัยระดับสูง โดยมีจุดเด่นคือสามารถเปลี่ยนโมดูล Wi-Fi ได้ในอนาคต ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ พร้อมรองรับ Wi-Fi 7 และระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์สที่ให้คุณควบคุมทุกอย่างได้เต็มที่.

    จุดเด่นที่น่าสนใจ
    ใช้ ชิป ARMv8 64-bit แบบ 4 คอร์ ความเร็ว 2.2 GHz พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ passive ทำให้เงียบแม้ใช้งานหนัก
    รองรับ Wi-Fi 7 ทุกย่านความถี่ และสามารถเปลี่ยนโมดูล Wi-Fi ผ่านช่อง M.2 ได้เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่
    มี พอร์ต WAN และ LAN ความเร็วสูง ทั้งแบบ SFP+ 10 Gbps และ RJ45 2.5 Gbps
    รองรับ โมเด็ม 4G/5G ผ่านช่อง M.2 เพิ่มเติม
    มี หน้าจอสี 240×240 พิกเซล แสดงสถานะเครือข่ายและควบคุมผ่าน D-pad ด้านหน้า

    ระบบปฏิบัติการและการใช้งาน
    ใช้ Turris OS ที่พัฒนาจาก OpenWrt ซึ่งเป็นโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ
    สามารถติดตั้งแพ็กเกจเสริมได้อิสระ และเข้าถึงระบบ Linux ได้เต็มที่
    มี RAM 2 GB รองรับการใช้งานเป็น เซิร์ฟเวอร์เสมือน (VM) หรือ LXC container
    ใช้งานได้ทั้งในบ้านและองค์กร เช่น NAS, VPN, Nextcloud หรือ media server
    รองรับการติดตั้งใน ห้องเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็ก ด้วยดีไซน์แบบ rack-mount และระบบระบายความร้อนเงียบ

    สเปกฮาร์ดแวร์ที่โดดเด่น
    ARMv8 64-bit 4 คอร์ 2.2 GHz
    Passive cooling ไม่มีเสียงรบกวน
    Wi-Fi 7 รองรับทุกย่านความถี่

    การออกแบบเพื่ออนาคต
    โมดูล Wi-Fi แบบ M.2 เปลี่ยนได้
    รองรับโมเด็ม 4G/5G ผ่านช่อง M.2
    หน้าจอสีพร้อม D-pad ควบคุม

    ระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์ส
    ใช้ Turris OS พัฒนาจาก OpenWrt
    ติดตั้ง VM หรือ container ได้
    ใช้งานเป็น NAS, VPN, Cloud ได้

    เหมาะกับทั้งบ้านและองค์กร
    ราคาประมาณ €520
    รองรับการติดตั้งในห้องเซิร์ฟเวอร์
    ความปลอดภัยระดับองค์กรโดยไม่ต้องจ่ายแพง

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ต้องมีความรู้พื้นฐานด้าน Linux เพื่อใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
    การติดตั้ง VM หรือ container อาจต้องปรับแต่งระบบเพิ่มเติม
    ราคายังสูงเมื่อเทียบกับเราเตอร์ทั่วไป

    https://news.itsfoss.com/turris-omnia-ng/
    📡 เราเตอร์สุดล้ำจากยุโรป! Turris Omnia NG อัปเกรด Wi-Fi ได้ เปลี่ยนโมดูลแทนเปลี่ยนเครื่อง Turris Omnia NG คือเราเตอร์รุ่นใหม่จาก CZ.NIC ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระยะยาวและความปลอดภัยระดับสูง โดยมีจุดเด่นคือสามารถเปลี่ยนโมดูล Wi-Fi ได้ในอนาคต ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ พร้อมรองรับ Wi-Fi 7 และระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์สที่ให้คุณควบคุมทุกอย่างได้เต็มที่. 🧠 จุดเด่นที่น่าสนใจ 👍 ใช้ ชิป ARMv8 64-bit แบบ 4 คอร์ ความเร็ว 2.2 GHz พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ passive ทำให้เงียบแม้ใช้งานหนัก 👍 รองรับ Wi-Fi 7 ทุกย่านความถี่ และสามารถเปลี่ยนโมดูล Wi-Fi ผ่านช่อง M.2 ได้เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ 👍 มี พอร์ต WAN และ LAN ความเร็วสูง ทั้งแบบ SFP+ 10 Gbps และ RJ45 2.5 Gbps 👍 รองรับ โมเด็ม 4G/5G ผ่านช่อง M.2 เพิ่มเติม 👍 มี หน้าจอสี 240×240 พิกเซล แสดงสถานะเครือข่ายและควบคุมผ่าน D-pad ด้านหน้า 🧰 ระบบปฏิบัติการและการใช้งาน 🎗️ ใช้ Turris OS ที่พัฒนาจาก OpenWrt ซึ่งเป็นโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ 🎗️ สามารถติดตั้งแพ็กเกจเสริมได้อิสระ และเข้าถึงระบบ Linux ได้เต็มที่ 🎗️ มี RAM 2 GB รองรับการใช้งานเป็น เซิร์ฟเวอร์เสมือน (VM) หรือ LXC container 🎗️ ใช้งานได้ทั้งในบ้านและองค์กร เช่น NAS, VPN, Nextcloud หรือ media server 🎗️ รองรับการติดตั้งใน ห้องเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็ก ด้วยดีไซน์แบบ rack-mount และระบบระบายความร้อนเงียบ ✅ สเปกฮาร์ดแวร์ที่โดดเด่น ➡️ ARMv8 64-bit 4 คอร์ 2.2 GHz ➡️ Passive cooling ไม่มีเสียงรบกวน ➡️ Wi-Fi 7 รองรับทุกย่านความถี่ ✅ การออกแบบเพื่ออนาคต ➡️ โมดูล Wi-Fi แบบ M.2 เปลี่ยนได้ ➡️ รองรับโมเด็ม 4G/5G ผ่านช่อง M.2 ➡️ หน้าจอสีพร้อม D-pad ควบคุม ✅ ระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ ใช้ Turris OS พัฒนาจาก OpenWrt ➡️ ติดตั้ง VM หรือ container ได้ ➡️ ใช้งานเป็น NAS, VPN, Cloud ได้ ✅ เหมาะกับทั้งบ้านและองค์กร ➡️ ราคาประมาณ €520 ➡️ รองรับการติดตั้งในห้องเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ความปลอดภัยระดับองค์กรโดยไม่ต้องจ่ายแพง ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ต้องมีความรู้พื้นฐานด้าน Linux เพื่อใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ⛔ การติดตั้ง VM หรือ container อาจต้องปรับแต่งระบบเพิ่มเติม ⛔ ราคายังสูงเมื่อเทียบกับเราเตอร์ทั่วไป https://news.itsfoss.com/turris-omnia-ng/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    This OpenWrt-Based Router Has Swappable Wi-Fi Modules for Future Upgrades
    The Turris Omnia NG promises lifetime updates and a modular design for a real long-term use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/_BM7bv5vg5g?si=cd_emZaqGdg64BKj
    https://youtu.be/_BM7bv5vg5g?si=cd_emZaqGdg64BKj
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/sMwH1fVzV5g?si=fVWPq5zmY8dNzKAM
    https://www.youtube.com/live/sMwH1fVzV5g?si=fVWPq5zmY8dNzKAM
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “M5 Pro vs M5 Max – ทำไมแบนด์วิดท์เพิ่ม 275GB/s ถึงคุ้มค่าหลายพันดอลลาร์สำหรับสายวิดีโอและ AI”

    แม้ Apple ยังไม่เปิดตัว M5 Pro และ M5 Max อย่างเป็นทางการ แต่บทวิเคราะห์จาก TechRadar ชี้ว่า ความต่างด้าน “memory bandwidth” ระหว่างสองรุ่นนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนเกมสำหรับมืออาชีพด้านวิดีโอและ AI.

    Apple เพิ่งเปิดตัวชิป M5 ซึ่งมี unified memory bandwidth สูงถึง 153GB/s เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จาก M4 แต่สิ่งที่น่าจับตาคือเวอร์ชัน “Pro” และ “Max” ที่ยังไม่เปิดตัว แต่มีการคาดการณ์ว่า M5 Pro จะมี bandwidth สูงถึง 275GB/s และ M5 Max อาจทะลุ 550GB/s เลยทีเดียว

    ทำไม bandwidth ถึงสำคัญ? เพราะมันคือ “ท่อส่งข้อมูล” จากหน่วยความจำไปยังหน่วยประมวลผล ถ้าท่อกว้างขึ้น ข้อมูลก็ไหลได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดต่อวิดีโอ 8K, การเรนเดอร์ 3D หรือการฝึกโมเดล AI ทำได้เร็วขึ้นและลื่นไหลกว่าเดิม

    แม้ CPU หรือ GPU จะมีพลังมากแค่ไหน แต่ถ้า memory bandwidth ไม่พอ ก็เหมือนรถซุปเปอร์คาร์ที่ติดคอขวดบนถนนแคบๆ

    บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า M5 Max อาจมีการเพิ่มช่องทาง memory interface เป็นสองเท่า ทำให้สามารถโหลด asset ขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องรอ cache และยังช่วยลดต้นทุน cloud สำหรับนักพัฒนา AI ที่ต้องการฝึกโมเดลบนเครื่อง

    M5 เพิ่ม memory bandwidth เป็น 153GB/s
    สูงกว่า M4 ประมาณ 30% ช่วยให้แอปตอบสนองเร็วขึ้น

    คาดว่า M5 Pro จะมี bandwidth 275GB/s
    เหมาะกับงานวิดีโอหลายเลเยอร์และการเรนเดอร์ 3D

    M5 Max อาจมี bandwidth สูงถึง 550GB/s
    รองรับงาน AI ที่ต้องการโหลดข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์

    bandwidth สูงช่วยลดเวลาทำงานและต้นทุน cloud
    เช่น การฝึกโมเดล AI บนเครื่องแทนการใช้ cloud

    แนวโน้มการออกแบบชิปเน้น bandwidth มากกว่า clock speed
    เพื่อให้หน่วยประมวลผลทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ติดคอขวด

    https://www.techradar.com/pro/the-true-pro-tax-m5-pro-vs-m5-max-why-that-extra-275gb-s-of-memory-bandwidth-is-worth-thousands-of-dollars-for-video-and-ai-workflows
    🚀💾 หัวข้อข่าว: “M5 Pro vs M5 Max – ทำไมแบนด์วิดท์เพิ่ม 275GB/s ถึงคุ้มค่าหลายพันดอลลาร์สำหรับสายวิดีโอและ AI” แม้ Apple ยังไม่เปิดตัว M5 Pro และ M5 Max อย่างเป็นทางการ แต่บทวิเคราะห์จาก TechRadar ชี้ว่า ความต่างด้าน “memory bandwidth” ระหว่างสองรุ่นนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนเกมสำหรับมืออาชีพด้านวิดีโอและ AI. Apple เพิ่งเปิดตัวชิป M5 ซึ่งมี unified memory bandwidth สูงถึง 153GB/s เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จาก M4 แต่สิ่งที่น่าจับตาคือเวอร์ชัน “Pro” และ “Max” ที่ยังไม่เปิดตัว แต่มีการคาดการณ์ว่า M5 Pro จะมี bandwidth สูงถึง 275GB/s และ M5 Max อาจทะลุ 550GB/s เลยทีเดียว ทำไม bandwidth ถึงสำคัญ? เพราะมันคือ “ท่อส่งข้อมูล” จากหน่วยความจำไปยังหน่วยประมวลผล ถ้าท่อกว้างขึ้น ข้อมูลก็ไหลได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดต่อวิดีโอ 8K, การเรนเดอร์ 3D หรือการฝึกโมเดล AI ทำได้เร็วขึ้นและลื่นไหลกว่าเดิม แม้ CPU หรือ GPU จะมีพลังมากแค่ไหน แต่ถ้า memory bandwidth ไม่พอ ก็เหมือนรถซุปเปอร์คาร์ที่ติดคอขวดบนถนนแคบๆ บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า M5 Max อาจมีการเพิ่มช่องทาง memory interface เป็นสองเท่า ทำให้สามารถโหลด asset ขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องรอ cache และยังช่วยลดต้นทุน cloud สำหรับนักพัฒนา AI ที่ต้องการฝึกโมเดลบนเครื่อง ✅ M5 เพิ่ม memory bandwidth เป็น 153GB/s ➡️ สูงกว่า M4 ประมาณ 30% ช่วยให้แอปตอบสนองเร็วขึ้น ✅ คาดว่า M5 Pro จะมี bandwidth 275GB/s ➡️ เหมาะกับงานวิดีโอหลายเลเยอร์และการเรนเดอร์ 3D ✅ M5 Max อาจมี bandwidth สูงถึง 550GB/s ➡️ รองรับงาน AI ที่ต้องการโหลดข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ ✅ bandwidth สูงช่วยลดเวลาทำงานและต้นทุน cloud ➡️ เช่น การฝึกโมเดล AI บนเครื่องแทนการใช้ cloud ✅ แนวโน้มการออกแบบชิปเน้น bandwidth มากกว่า clock speed ➡️ เพื่อให้หน่วยประมวลผลทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ติดคอขวด https://www.techradar.com/pro/the-true-pro-tax-m5-pro-vs-m5-max-why-that-extra-275gb-s-of-memory-bandwidth-is-worth-thousands-of-dollars-for-video-and-ai-workflows
    WWW.TECHRADAR.COM
    The next generation of Apple silicon could double memory bandwidth
    Apple hasn't announced the chips yet - but we have an idea of what to expect
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • MSI คว้ารางวัล GOOD DESIGN 2025 กับ Cubi NUC AI Series: เล็กแต่ล้ำ ยั่งยืนแต่แรง!

    ถ้าคุณคิดว่า Mini PC คือแค่กล่องเล็ก ๆ สำหรับงานเบา ๆ… MSI ขอเปลี่ยนความคิดนั้นด้วย Cubi NUC AI Series ที่คว้ารางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025 ไปครอง ด้วยดีไซน์กะทัดรัดเพียง 0.51 หรือ 0.826 ลิตร แต่อัดแน่นด้วยพลัง AI และความยั่งยืนแบบจัดเต็ม

    Cubi NUC AI+ รุ่นใหม่ล่าสุดนี้รองรับ Copilot+ PC พร้อมฟีเจอร์ AI บนเครื่องโดยตรง เช่น การควบคุมด้วยเสียงผ่านไมค์และลำโพงในตัว มีพอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ 2.5G และปุ่มเปิดเครื่องแบบสแกนนิ้วเพื่อความปลอดภัย เหมาะกับทั้งนักธุรกิจ นักการศึกษา และสายงานที่ต้องการความคล่องตัว

    ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือความใส่ใจสิ่งแวดล้อม: ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 37.25%, บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และใช้วัสดุเยื่อกระดาษรีไซเคิล 100% ทั้งหมดนี้ทำให้ Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการออกแบบที่คิดถึงโลก

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม:
    GOOD DESIGN AWARD เป็นรางวัลจากญี่ปุ่นที่เน้นการออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ความสวยงาม
    Copilot+ PC คือมาตรฐานใหม่ของ Windows ที่เน้นการประมวลผล AI บนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์
    Mini PC กำลังเป็นเทรนด์ในองค์กรที่ต้องการลดพื้นที่และพลังงาน แต่ยังคงประสิทธิภาพสูง

    MSI Cubi NUC AI Series ได้รับรางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025
    โดดเด่นด้านดีไซน์, ฟังก์ชัน และความยั่งยืน
    ขนาดเล็กเพียง 0.51–0.826 ลิตร แต่ประสิทธิภาพสูง

    รองรับ Copilot+ PC และ AI บนเครื่อง
    มีไมค์และลำโพงในตัวสำหรับควบคุมด้วยเสียง
    พอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ และปุ่มสแกนนิ้ว

    ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม
    ใช้พลาสติกรีไซเคิล 37.25% ในตัวเครื่อง
    บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และรีไซเคิลได้ 100%

    เหมาะกับการใช้งานในยุคใหม่
    ตอบโจทย์นักธุรกิจ, นักการศึกษา และสายงาน AI
    เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่ยั่งยืนและทรงพลัง

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Mini PC
    หลายคนยังคิดว่า Mini PC ใช้งานได้แค่เบื้องต้น
    ความจริงคือสามารถรองรับงาน AI และธุรกิจได้เต็มรูปแบบ

    ความเสี่ยงจากการละเลยเรื่องสิ่งแวดล้อมในอุปกรณ์ไอที
    การใช้วัสดุที่ไม่รีไซเคิลอาจเพิ่มขยะอิเล็กทรอนิกส์
    การออกแบบที่ไม่ยั่งยืนส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรในระยะยาว

    Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่ Mini PC แต่เป็น “Mini Revolution” ที่รวมพลัง AI กับหัวใจสีเขียวไว้ในกล่องเล็ก ๆ ที่ทรงพลัง

    https://www.techpowerup.com/342551/msi-cubi-nuc-ai-series-wins-good-design-award-2025-for-innovation-and-sustainability
    🏆 MSI คว้ารางวัล GOOD DESIGN 2025 กับ Cubi NUC AI Series: เล็กแต่ล้ำ ยั่งยืนแต่แรง! ถ้าคุณคิดว่า Mini PC คือแค่กล่องเล็ก ๆ สำหรับงานเบา ๆ… MSI ขอเปลี่ยนความคิดนั้นด้วย Cubi NUC AI Series ที่คว้ารางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025 ไปครอง ด้วยดีไซน์กะทัดรัดเพียง 0.51 หรือ 0.826 ลิตร แต่อัดแน่นด้วยพลัง AI และความยั่งยืนแบบจัดเต็ม Cubi NUC AI+ รุ่นใหม่ล่าสุดนี้รองรับ Copilot+ PC พร้อมฟีเจอร์ AI บนเครื่องโดยตรง เช่น การควบคุมด้วยเสียงผ่านไมค์และลำโพงในตัว มีพอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ 2.5G และปุ่มเปิดเครื่องแบบสแกนนิ้วเพื่อความปลอดภัย เหมาะกับทั้งนักธุรกิจ นักการศึกษา และสายงานที่ต้องการความคล่องตัว ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือความใส่ใจสิ่งแวดล้อม: ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 37.25%, บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และใช้วัสดุเยื่อกระดาษรีไซเคิล 100% ทั้งหมดนี้ทำให้ Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการออกแบบที่คิดถึงโลก 💡 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม: 💠 GOOD DESIGN AWARD เป็นรางวัลจากญี่ปุ่นที่เน้นการออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ความสวยงาม 💠 Copilot+ PC คือมาตรฐานใหม่ของ Windows ที่เน้นการประมวลผล AI บนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ 💠 Mini PC กำลังเป็นเทรนด์ในองค์กรที่ต้องการลดพื้นที่และพลังงาน แต่ยังคงประสิทธิภาพสูง ✅ MSI Cubi NUC AI Series ได้รับรางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025 ➡️ โดดเด่นด้านดีไซน์, ฟังก์ชัน และความยั่งยืน ➡️ ขนาดเล็กเพียง 0.51–0.826 ลิตร แต่ประสิทธิภาพสูง ✅ รองรับ Copilot+ PC และ AI บนเครื่อง ➡️ มีไมค์และลำโพงในตัวสำหรับควบคุมด้วยเสียง ➡️ พอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ และปุ่มสแกนนิ้ว ✅ ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ➡️ ใช้พลาสติกรีไซเคิล 37.25% ในตัวเครื่อง ➡️ บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และรีไซเคิลได้ 100% ✅ เหมาะกับการใช้งานในยุคใหม่ ➡️ ตอบโจทย์นักธุรกิจ, นักการศึกษา และสายงาน AI ➡️ เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่ยั่งยืนและทรงพลัง ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Mini PC ⛔ หลายคนยังคิดว่า Mini PC ใช้งานได้แค่เบื้องต้น ⛔ ความจริงคือสามารถรองรับงาน AI และธุรกิจได้เต็มรูปแบบ ‼️ ความเสี่ยงจากการละเลยเรื่องสิ่งแวดล้อมในอุปกรณ์ไอที ⛔ การใช้วัสดุที่ไม่รีไซเคิลอาจเพิ่มขยะอิเล็กทรอนิกส์ ⛔ การออกแบบที่ไม่ยั่งยืนส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรในระยะยาว Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่ Mini PC แต่เป็น “Mini Revolution” ที่รวมพลัง AI กับหัวใจสีเขียวไว้ในกล่องเล็ก ๆ ที่ทรงพลัง 🌱💻 https://www.techpowerup.com/342551/msi-cubi-nuc-ai-series-wins-good-design-award-2025-for-innovation-and-sustainability
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    MSI Cubi NUC AI Series Wins GOOD DESIGN AWARD 2025 for Innovation and Sustainability
    MSI proudly announces that its Cubi NUC AI Series mini PCs have been honored with the GOOD DESIGN AWARD 2025, recognizing its excellence in design, functionality, and commitment to sustainability. The MSI Cubi NUC AI Series is built for the era of AI-driven computing, all within a compact chassis of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • QNAP เปิดตัว NAS ระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับใช้ในบ้าน! ความจุสูงถึง 19.2TB ด้วย SSD แบบ “ruler”

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ E1.S หรือ “ruler form factor” ซึ่งปกติใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ มาพร้อมความจุสูงสุด 19.2TB และราคาสูงถึง $4,399

    QNAP สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว NASbook TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ EDSFF E1.S หรือที่เรียกว่า “ruler SSD” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูง โดยนำมาใช้ใน NAS สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความจุมหาศาล

    รุ่นนี้รองรับ SSD ได้ถึง 5 ตัว และมีให้เลือกทั้งแบบ 9.6TB และ 19.2TB โดยใช้ SSD ขนาด 1.92TB และ 3.84TB ตามลำดับ (ใน RAID 0) หากใช้ RAID 5 จะได้ความจุประมาณ 7.68TB และ 15.36TB ตามลำดับ

    แม้จะสามารถซื้อ NAS รุ่นนี้แบบเปล่าและติดตั้ง SSD เองได้ แต่ QNAP ก็เสนอรุ่นที่ติดตั้งมาแล้วพร้อมใช้งาน โดยใช้ SSD ที่ไม่เปิดเผยผู้ผลิต (อาจเป็น Solidigm, Kioxia หรือ Micron)

    ตัวเครื่องใช้พลังงานประมาณ 46W และมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb และ 10Gb, USB 3.2 Gen 2 และ HDMI 1.4b รองรับ 4K ที่ 30Hz

    แม้จะใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ตัว NAS รองรับแค่ PCIe 3.0 x2 ทำให้ความเร็วถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,400 MB/s ในการอ่าน/เขียนแบบ sequential และ 70,000 IOPS สำหรับการเขียนแบบสุ่ม

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ใช้ SSD แบบ E1.S
    ความจุสูงสุด 19.2TB ด้วย SSD ขนาด 3.84TB x 5
    มีรุ่น 9.6TB ด้วย SSD ขนาด 1.92TB x 5
    รองรับ RAID 0 และ RAID 5

    สเปกของ NAS
    ใช้ Intel Core i5-1235U (12th Gen) พร้อม RAM 16GB
    มีรุ่นอื่นที่ใช้ i5-1340PE และ i3-1320PE แต่ไม่รวม SSD
    พอร์ตเชื่อมต่อ: Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb/10Gb, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.4b

    ประสิทธิภาพและการใช้งาน
    Sequential read/write ~1,400 MB/s
    Random write ~70,000 IOPS
    ใช้พลังงาน ~46W พร้อมอะแดปเตอร์ 120W

    การรับประกัน
    ตัว NAS รับประกัน 3 ปี
    SSD รับประกัน 5 ปีหรือจนถึง TBW ที่กำหนด

    ความเร็วของ SSD ถูกจำกัดด้วยอินเทอร์เฟซ PCIe 3.0 x2
    แม้ใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ความเร็วไม่เต็มประสิทธิภาพ
    อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการอ่าน/เขียน

    ราคาสูงและไม่เปิดเผยผู้ผลิต SSD
    รุ่น 19.2TB ราคา $4,399 ซึ่งสูงกว่ารุ่น 9.6TB ถึง 52%
    ไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพ SSD ได้เพราะไม่มีข้อมูลผู้ผลิต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/nas/qnaps-new-nas-brings-exotic-data-center-form-factor-into-your-house-massive-es-1-ssds-for-up-to-19-2tb-of-storage-for-usd4-399
    🖥️🏠 QNAP เปิดตัว NAS ระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับใช้ในบ้าน! ความจุสูงถึง 19.2TB ด้วย SSD แบบ “ruler” QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ E1.S หรือ “ruler form factor” ซึ่งปกติใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ มาพร้อมความจุสูงสุด 19.2TB และราคาสูงถึง $4,399 QNAP สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว NASbook TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ EDSFF E1.S หรือที่เรียกว่า “ruler SSD” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูง โดยนำมาใช้ใน NAS สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความจุมหาศาล รุ่นนี้รองรับ SSD ได้ถึง 5 ตัว และมีให้เลือกทั้งแบบ 9.6TB และ 19.2TB โดยใช้ SSD ขนาด 1.92TB และ 3.84TB ตามลำดับ (ใน RAID 0) หากใช้ RAID 5 จะได้ความจุประมาณ 7.68TB และ 15.36TB ตามลำดับ แม้จะสามารถซื้อ NAS รุ่นนี้แบบเปล่าและติดตั้ง SSD เองได้ แต่ QNAP ก็เสนอรุ่นที่ติดตั้งมาแล้วพร้อมใช้งาน โดยใช้ SSD ที่ไม่เปิดเผยผู้ผลิต (อาจเป็น Solidigm, Kioxia หรือ Micron) ตัวเครื่องใช้พลังงานประมาณ 46W และมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb และ 10Gb, USB 3.2 Gen 2 และ HDMI 1.4b รองรับ 4K ที่ 30Hz แม้จะใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ตัว NAS รองรับแค่ PCIe 3.0 x2 ทำให้ความเร็วถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,400 MB/s ในการอ่าน/เขียนแบบ sequential และ 70,000 IOPS สำหรับการเขียนแบบสุ่ม ✅ QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ใช้ SSD แบบ E1.S ➡️ ความจุสูงสุด 19.2TB ด้วย SSD ขนาด 3.84TB x 5 ➡️ มีรุ่น 9.6TB ด้วย SSD ขนาด 1.92TB x 5 ➡️ รองรับ RAID 0 และ RAID 5 ✅ สเปกของ NAS ➡️ ใช้ Intel Core i5-1235U (12th Gen) พร้อม RAM 16GB ➡️ มีรุ่นอื่นที่ใช้ i5-1340PE และ i3-1320PE แต่ไม่รวม SSD ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อ: Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb/10Gb, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.4b ✅ ประสิทธิภาพและการใช้งาน ➡️ Sequential read/write ~1,400 MB/s ➡️ Random write ~70,000 IOPS ➡️ ใช้พลังงาน ~46W พร้อมอะแดปเตอร์ 120W ✅ การรับประกัน ➡️ ตัว NAS รับประกัน 3 ปี ➡️ SSD รับประกัน 5 ปีหรือจนถึง TBW ที่กำหนด ‼️ ความเร็วของ SSD ถูกจำกัดด้วยอินเทอร์เฟซ PCIe 3.0 x2 ⛔ แม้ใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ความเร็วไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการอ่าน/เขียน ‼️ ราคาสูงและไม่เปิดเผยผู้ผลิต SSD ⛔ รุ่น 19.2TB ราคา $4,399 ซึ่งสูงกว่ารุ่น 9.6TB ถึง 52% ⛔ ไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพ SSD ได้เพราะไม่มีข้อมูลผู้ผลิต https://www.tomshardware.com/pc-components/nas/qnaps-new-nas-brings-exotic-data-center-form-factor-into-your-house-massive-es-1-ssds-for-up-to-19-2tb-of-storage-for-usd4-399
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม

    Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม

    จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า
    โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple
    แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2
    นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC
    iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm
    แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค
    C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1
    TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5

    เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่
    โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง
    การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง

    https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    📶🔧 Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม 📱 จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า 💠 โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple 💠 แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2 💠 นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ 💠 C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC ➡️ iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm ➡️ แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค ➡️ C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 ➡️ TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5 ✅ เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ➡️ โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง ➡️ การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s Next In-House 5G Modem, The C2, Will Use An Older Manufacturing Process From TSMC Next Year, Unlike The A20 & A20 Pro
    The iPhone 18 series will use A20 and A20 Pro chipsets made on TSMC’s 2nm process, but the C2 5G modem will leverage an older technology
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD รีแบรนด์ซีพียู Ryzen 7035 และ 7020 สำหรับโน้ตบุ๊ก — เปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเปกเดิม เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันยุค

    AMD ประกาศรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กในกลุ่ม Ryzen 7035 (Zen 3+) และ Ryzen 7020 (Zen 2) โดยเปลี่ยนชื่อรุ่นให้สั้นลงเป็น Ryzen 100 และ Ryzen 10 ตามลำดับ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ryzen AI และ Ryzen 9000

    AMD เลือกใช้วิธีรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กที่เปิดตัวในปี 2023 โดยเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม เช่น Ryzen 7 7735HS เป็น Ryzen 7 170 หรือ Ryzen 5 7520U เป็น Ryzen 5 40 โดยซีพียูเหล่านี้ยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิมคือ Zen 3+ (Rembrandt-R) และ Zen 2 (Mendocino) พร้อมกราฟิก RDNA 2

    การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้คล้ายกับแนวทางของ Intel ที่ใช้ชื่อ Core 5 120 แทน Core i5-1135G7 เพื่อให้ดูเรียบง่ายและทันสมัยมากขึ้น แม้จะเป็นชิปรุ่นเก่าก็ตาม

    AMD ระบุว่าการรีแบรนด์นี้เป็นการปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ที่ใช้ชื่อแบบสามหลัก และอาจเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบการตั้งชื่อในอนาคต

    AMD รีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊ก
    Ryzen 7035 (Rembrandt-R) เปลี่ยนเป็น Ryzen 100 series
    Ryzen 7020 (Mendocino) เปลี่ยนเป็น Ryzen 10 series
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ

    ตัวอย่างการเปลี่ยนชื่อ
    Ryzen 7 7735HS → Ryzen 7 170
    Ryzen 5 7535U → Ryzen 5 130
    Ryzen 3 7320U → Ryzen 3 30
    Athlon Gold 7220U → Athlon Gold 20

    เป้าหมายของการรีแบรนด์
    ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย
    สอดคล้องกับชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000
    อาจเป็นการเตรียมระบบการตั้งชื่อใหม่ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-rebrands-ryzen-7035-7020-series-mobile-processors-zen-2-and-zen-3-chips-receive-new-identities
    🔄 AMD รีแบรนด์ซีพียู Ryzen 7035 และ 7020 สำหรับโน้ตบุ๊ก — เปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเปกเดิม เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันยุค AMD ประกาศรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กในกลุ่ม Ryzen 7035 (Zen 3+) และ Ryzen 7020 (Zen 2) โดยเปลี่ยนชื่อรุ่นให้สั้นลงเป็น Ryzen 100 และ Ryzen 10 ตามลำดับ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ryzen AI และ Ryzen 9000 AMD เลือกใช้วิธีรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กที่เปิดตัวในปี 2023 โดยเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม เช่น Ryzen 7 7735HS เป็น Ryzen 7 170 หรือ Ryzen 5 7520U เป็น Ryzen 5 40 โดยซีพียูเหล่านี้ยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิมคือ Zen 3+ (Rembrandt-R) และ Zen 2 (Mendocino) พร้อมกราฟิก RDNA 2 การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้คล้ายกับแนวทางของ Intel ที่ใช้ชื่อ Core 5 120 แทน Core i5-1135G7 เพื่อให้ดูเรียบง่ายและทันสมัยมากขึ้น แม้จะเป็นชิปรุ่นเก่าก็ตาม AMD ระบุว่าการรีแบรนด์นี้เป็นการปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ที่ใช้ชื่อแบบสามหลัก และอาจเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบการตั้งชื่อในอนาคต ✅ AMD รีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊ก ➡️ Ryzen 7035 (Rembrandt-R) เปลี่ยนเป็น Ryzen 100 series ➡️ Ryzen 7020 (Mendocino) เปลี่ยนเป็น Ryzen 10 series ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ ✅ ตัวอย่างการเปลี่ยนชื่อ ➡️ Ryzen 7 7735HS → Ryzen 7 170 ➡️ Ryzen 5 7535U → Ryzen 5 130 ➡️ Ryzen 3 7320U → Ryzen 3 30 ➡️ Athlon Gold 7220U → Athlon Gold 20 ✅ เป้าหมายของการรีแบรนด์ ➡️ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย ➡️ สอดคล้องกับชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ➡️ อาจเป็นการเตรียมระบบการตั้งชื่อใหม่ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-rebrands-ryzen-7035-7020-series-mobile-processors-zen-2-and-zen-3-chips-receive-new-identities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD รีแบรนด์ชิป Zen 2 และ Zen 3+ – เปิดตัว Ryzen 10 และ Ryzen 100 Series

    ถ้าคุณเห็นชื่อ Ryzen 10 หรือ Ryzen 100 แล้วคิดว่าเป็นชิปใหม่หมดจด อาจต้องคิดใหม่ เพราะ AMD แค่เปลี่ยนชื่อจากชิปเดิมที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 2 และ Zen 3+ มาเป็นชื่อใหม่ที่ดูเรียบง่ายขึ้น

    Ryzen 10 Series ใช้ Zen 2 เหมือนกับ Ryzen 7000U เช่น Ryzen 5 7520U → เปลี่ยนชื่อเป็น Ryzen 5 40

    Ryzen 100 Series ใช้ Zen 3+ เหมือนกับ Ryzen 7000HS เช่น Ryzen 7 7735HS → เปลี่ยนชื่อเป็น Ryzen 7 170

    การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้ไม่ได้มาพร้อมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพหรือสเปกใหม่ แต่เป็นการจัดกลุ่มใหม่เพื่อให้ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กสามารถนำไปใช้ในรุ่นราคาประหยัดได้ง่ายขึ้น

    AMD ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีการอัปเดตหน้าเว็บผลิตภัณฑ์แล้ว และชิปเหล่านี้เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025

    การรีแบรนด์ชิปมือถือของ AMD
    Ryzen 10 ใช้ Zen 2 จาก Ryzen 7000U
    Ryzen 100 ใช้ Zen 3+ จาก Ryzen 7000HS
    เปลี่ยนชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen 5 7520U → Ryzen 5 40

    สเปกของ Ryzen 10 Series
    Ryzen 5 40: 4C/8T, 2.8–4.8GHz, Radeon 610M
    Ryzen 3 30: 4C/8T, 2.4–4.1GHz
    Athlon Gold 20 และ Silver 10: 2C/4T และ 2C/2T

    สเปกของ Ryzen 100 Series
    Ryzen 7 170: 8C/16T, 3.2–4.75GHz, Radeon 680M
    Ryzen 5 150: 6C/12T, 3.3–4.55GHz
    Ryzen 3 110: 4C/8T, 3.0–4.3GHz

    จุดประสงค์ของการรีแบรนด์
    ลดความซับซ้อนของชื่อรุ่น
    รองรับโน้ตบุ๊กราคาประหยัด
    ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพใหม่

    https://wccftech.com/amd-prepares-rebadged-zen-2-ryzen-10-and-zen-3-ryzen-100-series-mobile-cpus/
    🧠 AMD รีแบรนด์ชิป Zen 2 และ Zen 3+ – เปิดตัว Ryzen 10 และ Ryzen 100 Series ถ้าคุณเห็นชื่อ Ryzen 10 หรือ Ryzen 100 แล้วคิดว่าเป็นชิปใหม่หมดจด อาจต้องคิดใหม่ เพราะ AMD แค่เปลี่ยนชื่อจากชิปเดิมที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 2 และ Zen 3+ มาเป็นชื่อใหม่ที่ดูเรียบง่ายขึ้น 🧊 Ryzen 10 Series ใช้ Zen 2 เหมือนกับ Ryzen 7000U เช่น Ryzen 5 7520U → เปลี่ยนชื่อเป็น Ryzen 5 40 🧊 Ryzen 100 Series ใช้ Zen 3+ เหมือนกับ Ryzen 7000HS เช่น Ryzen 7 7735HS → เปลี่ยนชื่อเป็น Ryzen 7 170 การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้ไม่ได้มาพร้อมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพหรือสเปกใหม่ แต่เป็นการจัดกลุ่มใหม่เพื่อให้ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กสามารถนำไปใช้ในรุ่นราคาประหยัดได้ง่ายขึ้น AMD ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีการอัปเดตหน้าเว็บผลิตภัณฑ์แล้ว และชิปเหล่านี้เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 ✅ การรีแบรนด์ชิปมือถือของ AMD ➡️ Ryzen 10 ใช้ Zen 2 จาก Ryzen 7000U ➡️ Ryzen 100 ใช้ Zen 3+ จาก Ryzen 7000HS ➡️ เปลี่ยนชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen 5 7520U → Ryzen 5 40 ✅ สเปกของ Ryzen 10 Series ➡️ Ryzen 5 40: 4C/8T, 2.8–4.8GHz, Radeon 610M ➡️ Ryzen 3 30: 4C/8T, 2.4–4.1GHz ➡️ Athlon Gold 20 และ Silver 10: 2C/4T และ 2C/2T ✅ สเปกของ Ryzen 100 Series ➡️ Ryzen 7 170: 8C/16T, 3.2–4.75GHz, Radeon 680M ➡️ Ryzen 5 150: 6C/12T, 3.3–4.55GHz ➡️ Ryzen 3 110: 4C/8T, 3.0–4.3GHz ✅ จุดประสงค์ของการรีแบรนด์ ➡️ ลดความซับซ้อนของชื่อรุ่น ➡️ รองรับโน้ตบุ๊กราคาประหยัด ➡️ ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพใหม่ https://wccftech.com/amd-prepares-rebadged-zen-2-ryzen-10-and-zen-3-ryzen-100-series-mobile-cpus/
    WCCFTECH.COM
    AMD Prepares "Rebadged" Zen 2 Ryzen 10 and Zen 3+ Ryzen 100 Series Mobile CPUs
    AMD has prepared refresh of Zen 2 and Zen 3+ mobile CPUs by silently releasing Ryzen 10 and Ryzen 100 series.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • QNAP เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ TVS-AIh1688ATX – แรงระดับ 36 TOPS รองรับ AI และ Virtualization เต็มรูปแบบ

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ TVS-AIh1688ATX ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ภาพ/วิดีโอ, การทำ Virtualization และการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ โดยใช้ชิป Intel Core Ultra พร้อม NPU และ GPU ในตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 36 TOPS

    สเปกเด่นของ TVS-AIh1688ATX
    ใช้ Intel Core Ultra 9/7 พร้อม NPU และ GPU
    พลังประมวลผล AI สูงสุด 36 TOPS
    รองรับ DDR5 ECC สูงสุด 192GB
    มี 12 ช่อง SATA HDD และ 4 ช่อง U.2 NVMe/SATA SSD

    การเชื่อมต่อและขยายระบบ
    รองรับ Thunderbolt 5 และ USB4
    มีพอร์ต 10GbE และ 2.5GbE ในตัว
    รองรับการขยายเครือข่ายถึง 100GbE ผ่าน PCIe

    ระบบปฏิบัติการ QuTS hero (ZFS)
    มีฟีเจอร์ self-healing, snapshot, deduplication
    รองรับ SnapSync สำหรับการกู้คืนข้อมูล
    รองรับการทำ HA cluster เพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ

    การใช้งานในองค์กร
    เหมาะกับงาน AI inference, video analytics, virtualization
    รองรับการทำงานร่วมกับ workstation ผ่าน Thunderbolt
    ขยายพื้นที่เก็บข้อมูลได้ระดับ petabyte ด้วย JBOD

    https://www.techpowerup.com/342280/qnap-launches-tvs-aih1688atx-ai-nas-with-36-tops-for-ai-and-virtualization
    🧠 QNAP เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ TVS-AIh1688ATX – แรงระดับ 36 TOPS รองรับ AI และ Virtualization เต็มรูปแบบ QNAP เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ TVS-AIh1688ATX ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ภาพ/วิดีโอ, การทำ Virtualization และการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ โดยใช้ชิป Intel Core Ultra พร้อม NPU และ GPU ในตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 36 TOPS ✅ สเปกเด่นของ TVS-AIh1688ATX ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 9/7 พร้อม NPU และ GPU ➡️ พลังประมวลผล AI สูงสุด 36 TOPS ➡️ รองรับ DDR5 ECC สูงสุด 192GB ➡️ มี 12 ช่อง SATA HDD และ 4 ช่อง U.2 NVMe/SATA SSD ✅ การเชื่อมต่อและขยายระบบ ➡️ รองรับ Thunderbolt 5 และ USB4 ➡️ มีพอร์ต 10GbE และ 2.5GbE ในตัว ➡️ รองรับการขยายเครือข่ายถึง 100GbE ผ่าน PCIe ✅ ระบบปฏิบัติการ QuTS hero (ZFS) ➡️ มีฟีเจอร์ self-healing, snapshot, deduplication ➡️ รองรับ SnapSync สำหรับการกู้คืนข้อมูล ➡️ รองรับการทำ HA cluster เพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ ✅ การใช้งานในองค์กร ➡️ เหมาะกับงาน AI inference, video analytics, virtualization ➡️ รองรับการทำงานร่วมกับ workstation ผ่าน Thunderbolt ➡️ ขยายพื้นที่เก็บข้อมูลได้ระดับ petabyte ด้วย JBOD https://www.techpowerup.com/342280/qnap-launches-tvs-aih1688atx-ai-nas-with-36-tops-for-ai-and-virtualization
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    QNAP Launches TVS-AIh1688ATX AI NAS with 36 TOPS for AI and Virtualization
    QNAP Systems, Inc., a leading computing, networking and storage solution innovator, today launched the TVS-AIh1688ATX, an enterprise-grade AI NAS that integrates the latest Intel Core Ultra processors and Neural Processing Unit (NPU), delivering up to 36 TOPS of total AI performance. Designed for AI...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/u_iLurjyF5g?si=jN7yApOFejTpQY_m
    https://youtu.be/u_iLurjyF5g?si=jN7yApOFejTpQY_m
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/bmhROZvq8_c?si=vn65GS3yXrwG_mQj
    https://youtu.be/bmhROZvq8_c?si=vn65GS3yXrwG_mQj
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้า iPhone Air ใช้แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน อาจไม่ล้มเหลว – เทคโนโลยีที่จีนใช้แล้ว แต่ Apple ยังลังเล

    Apple เปิดตัว iPhone Air ด้วยดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. แต่กลับมาพร้อมแบตเตอรี่ที่เล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 คือ 3,149mAh ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายตกต่ำจนบริษัทต้องลดการผลิตลงถึง 80% ตามรายงานของ Ming-Chi Kuo แม้จะมีความบางที่โดดเด่น แต่ผู้ใช้กลับไม่พอใจเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดเร็ว

    บทความชี้ว่า Apple สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ หากเลือกใช้แบตเตอรี่แบบซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ซึ่งมีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยใช้แอโนดที่ทำจากวัสดุผสมซิลิคอนและคาร์บอนแบบนาโน แม้จะมีข้อเสียเรื่องการขยายตัวเมื่อชาร์จเต็ม แต่เทคโนโลยีใหม่สามารถลดผลกระทบนี้ได้มาก

    หลายแบรนด์จีน เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ได้เริ่มใช้แบตเตอรี่ Si-C แล้วในสมาร์ทโฟนรุ่นบางเฉียบ เช่น HONOR Magic V5 ที่บางเพียง 4.1 มม. แต่ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,160mAh ได้ เทียบกับ iPhone Air ที่บางกว่า Tecno Pova Slim 5G เพียง 6% แต่แบตเตอรี่เล็กกว่าถึง 39%

    แม้ Apple จะกังวลเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ Si-C ที่อาจเสื่อมภายใน 2–3 ปี แต่การเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กเพื่อรักษาความบาง กลับทำให้ iPhone Air ถูกมองว่า “สวยแต่ไร้สาระ” และยอดขายที่ตกต่ำก็สะท้อนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด

    จุดอ่อนของ iPhone Air
    ดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม.
    ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 (3,149mAh)
    ยอดขายตกต่ำจน Apple ต้องลดการผลิตลง 80%

    ข้อเสนอทางเลือก: แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C)
    มีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนถึง 10 เท่า
    ใช้แอโนดแบบนาโนซิลิคอน-คาร์บอน
    ลดปัญหาการขยายตัวด้วยโครงสร้างคาร์บอนที่ทนต่อการแตกร้าว
    แบรนด์จีนหลายรายเริ่มใช้แล้ว เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno

    การเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนจีน
    HONOR Magic V5 บางเพียง 4.1 มม. แต่ใส่แบต 5,160mAh ได้
    Tecno Pova Slim 5G หนา 5.95 มม. ใส่แบต 5,160mAh
    iPhone Air บางกว่า Tecno 6% แต่แบตเล็กกว่าถึง 39%

    https://wccftech.com/a-silicon-carbon-battery-could-have-rescued-the-iphone-air/
    🔋 ถ้า iPhone Air ใช้แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน อาจไม่ล้มเหลว – เทคโนโลยีที่จีนใช้แล้ว แต่ Apple ยังลังเล Apple เปิดตัว iPhone Air ด้วยดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. แต่กลับมาพร้อมแบตเตอรี่ที่เล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 คือ 3,149mAh ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายตกต่ำจนบริษัทต้องลดการผลิตลงถึง 80% ตามรายงานของ Ming-Chi Kuo แม้จะมีความบางที่โดดเด่น แต่ผู้ใช้กลับไม่พอใจเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดเร็ว บทความชี้ว่า Apple สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ หากเลือกใช้แบตเตอรี่แบบซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ซึ่งมีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยใช้แอโนดที่ทำจากวัสดุผสมซิลิคอนและคาร์บอนแบบนาโน แม้จะมีข้อเสียเรื่องการขยายตัวเมื่อชาร์จเต็ม แต่เทคโนโลยีใหม่สามารถลดผลกระทบนี้ได้มาก หลายแบรนด์จีน เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ได้เริ่มใช้แบตเตอรี่ Si-C แล้วในสมาร์ทโฟนรุ่นบางเฉียบ เช่น HONOR Magic V5 ที่บางเพียง 4.1 มม. แต่ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,160mAh ได้ เทียบกับ iPhone Air ที่บางกว่า Tecno Pova Slim 5G เพียง 6% แต่แบตเตอรี่เล็กกว่าถึง 39% แม้ Apple จะกังวลเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ Si-C ที่อาจเสื่อมภายใน 2–3 ปี แต่การเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กเพื่อรักษาความบาง กลับทำให้ iPhone Air ถูกมองว่า “สวยแต่ไร้สาระ” และยอดขายที่ตกต่ำก็สะท้อนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด ✅ จุดอ่อนของ iPhone Air ➡️ ดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. ➡️ ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 (3,149mAh) ➡️ ยอดขายตกต่ำจน Apple ต้องลดการผลิตลง 80% ✅ ข้อเสนอทางเลือก: แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ➡️ มีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนถึง 10 เท่า ➡️ ใช้แอโนดแบบนาโนซิลิคอน-คาร์บอน ➡️ ลดปัญหาการขยายตัวด้วยโครงสร้างคาร์บอนที่ทนต่อการแตกร้าว ➡️ แบรนด์จีนหลายรายเริ่มใช้แล้ว เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ✅ การเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนจีน ➡️ HONOR Magic V5 บางเพียง 4.1 มม. แต่ใส่แบต 5,160mAh ได้ ➡️ Tecno Pova Slim 5G หนา 5.95 มม. ใส่แบต 5,160mAh ➡️ iPhone Air บางกว่า Tecno 6% แต่แบตเล็กกว่าถึง 39% https://wccftech.com/a-silicon-carbon-battery-could-have-rescued-the-iphone-air/
    WCCFTECH.COM
    A Silicon-Carbon Battery Could Have Rescued The iPhone Air
    No one ever said, "Geez, my iPhone is too fat; Apple better give me a razor-thin phone next time." Yes, I'm talking about the iPhone Air.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ

    BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่

    Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น

    Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา

    ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การเปิดตัว Note Air5 C
    หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา
    รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่
    ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1
    รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี
    เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา

    การเปิดตัว Palma 2 Pro
    ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก
    รองรับ 5G และ Android 15
    ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต
    มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง
    เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง

    เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น
    BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น
    Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด
    รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU
    มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ
    ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99
    อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ
    การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe
    หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง

    https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    📚 BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่ Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ การเปิดตัว Note Air5 C ➡️ หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา ➡️ รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่ ➡️ ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1 ➡️ รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี ➡️ เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา ✅ การเปิดตัว Palma 2 Pro ➡️ ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก ➡️ รองรับ 5G และ Android 15 ➡️ ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต ➡️ มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง ➡️ เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง ✅ เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น ➡️ BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น ➡️ Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด ➡️ รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU ➡️ มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ ➡️ ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99 ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ ⛔ การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe ⛔ หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    BOOX Introduces New Color ePaper Devices: Note Air5 C and Palma 2 Pro
    BOOX, a global leader in E Ink technology and innovation, has announced the launch of two new additions to its product lineup: the Note Air5 C, a 10.3-inch color ePaper tablet designed for light productivity and creativity, and the Palma 2 Pro, a 6.13-inch color mobile ePaper device that brings true...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • TP-Link เปิดตัว Archer GE800 และ GE400 – เราเตอร์ Wi-Fi 7 สำหรับเกมเมอร์ พร้อมดีไซน์ RGB และราคาจับต้องได้

    TP-Link เปิดตัวเราเตอร์เกมมิ่งรุ่นใหม่ในงาน Computex 2024 ได้แก่ Archer GE800 และ Archer GE400 โดยทั้งสองรุ่นรองรับ Wi-Fi 7 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูง

    Archer GE800 เป็นรุ่นเรือธงแบบ Tri-band ที่ให้ความเร็วรวมสูงสุดถึง 19 Gbps พร้อมพอร์ต 10G และ 2.5G รวมถึงดีไซน์ RGB ที่ปรับแต่งได้ ส่วน Archer GE400 เป็นรุ่นรองที่มีราคาย่อมเยา แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงด้วย Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps และพอร์ต 2.5G สองช่อง

    ทั้งสองรุ่นมาพร้อมฟีเจอร์ Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกมโดยเฉพาะ และรองรับเทคโนโลยี Multi-Link Operation (MLO) ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรในการเล่นเกมและสตรีมมิ่ง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อแบบ bullet:

    การเปิดตัว Archer GE800 และ GE400
    GE800 เป็นรุ่น Tri-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 19 Gbps
    GE400 เป็นรุ่น Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps
    ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต 2.5G และดีไซน์ RGB ปรับแต่งได้
    มาพร้อม Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกม

    เทคโนโลยี Wi-Fi 7 และฟีเจอร์เด่น
    รองรับ Multi-Link Operation (MLO) เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน
    ลด latency และเพิ่มความเสถียรในการเล่นเกม
    เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูงที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ

    ความคุ้มค่าและการใช้งาน
    GE400 เป็นตัวเลือกที่ราคาย่อมเยาแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง
    GE800 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและพอร์ตระดับ 10G
    ดีไซน์ RGB เพิ่มความโดดเด่นให้กับเซ็ตอัปเกมมิ่ง

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อุปกรณ์ที่รองรับอาจยังมีจำกัด
    การใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูงต้องมีการตั้งค่าและอุปกรณ์ที่รองรับ
    ราคาของ GE800 อาจสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    การใช้งานพอร์ต 10G ต้องมีอุปกรณ์เครือข่ายที่รองรับด้วย

    https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-launches-archer-ge400-wi-fi-7-gaming-router-dual-band-router-hits-more-affordable-price-point-includes-2-5-gbe-ports-and-rgb-lighting
    📶 TP-Link เปิดตัว Archer GE800 และ GE400 – เราเตอร์ Wi-Fi 7 สำหรับเกมเมอร์ พร้อมดีไซน์ RGB และราคาจับต้องได้ TP-Link เปิดตัวเราเตอร์เกมมิ่งรุ่นใหม่ในงาน Computex 2024 ได้แก่ Archer GE800 และ Archer GE400 โดยทั้งสองรุ่นรองรับ Wi-Fi 7 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูง Archer GE800 เป็นรุ่นเรือธงแบบ Tri-band ที่ให้ความเร็วรวมสูงสุดถึง 19 Gbps พร้อมพอร์ต 10G และ 2.5G รวมถึงดีไซน์ RGB ที่ปรับแต่งได้ ส่วน Archer GE400 เป็นรุ่นรองที่มีราคาย่อมเยา แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงด้วย Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps และพอร์ต 2.5G สองช่อง ทั้งสองรุ่นมาพร้อมฟีเจอร์ Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกมโดยเฉพาะ และรองรับเทคโนโลยี Multi-Link Operation (MLO) ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรในการเล่นเกมและสตรีมมิ่ง สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อแบบ bullet: ✅ การเปิดตัว Archer GE800 และ GE400 ➡️ GE800 เป็นรุ่น Tri-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 19 Gbps ➡️ GE400 เป็นรุ่น Dual-band Wi-Fi 7 ความเร็วรวม 9.2 Gbps ➡️ ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต 2.5G และดีไซน์ RGB ปรับแต่งได้ ➡️ มาพร้อม Game Panel สำหรับควบคุมการตั้งค่าเกม ✅ เทคโนโลยี Wi-Fi 7 และฟีเจอร์เด่น ➡️ รองรับ Multi-Link Operation (MLO) เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน ➡️ ลด latency และเพิ่มความเสถียรในการเล่นเกม ➡️ เหมาะสำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานระดับสูงที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ ✅ ความคุ้มค่าและการใช้งาน ➡️ GE400 เป็นตัวเลือกที่ราคาย่อมเยาแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง ➡️ GE800 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและพอร์ตระดับ 10G ➡️ ดีไซน์ RGB เพิ่มความโดดเด่นให้กับเซ็ตอัปเกมมิ่ง ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อุปกรณ์ที่รองรับอาจยังมีจำกัด ⛔ การใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูงต้องมีการตั้งค่าและอุปกรณ์ที่รองรับ ⛔ ราคาของ GE800 อาจสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ การใช้งานพอร์ต 10G ต้องมีอุปกรณ์เครือข่ายที่รองรับด้วย https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-launches-archer-ge400-wi-fi-7-gaming-router-dual-band-router-hits-more-affordable-price-point-includes-2-5-gbe-ports-and-rgb-lighting
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts