• AMD Zen 6 Medusa Point: ก้าวใหม่ของชิปโน้ตบุ๊ก

    AMD เตรียมเปิดตัว APU รุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ Medusa Point ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 โดยมีสองรุ่นตามค่า TDP คือ 28W สำหรับโน้ตบุ๊กบางเบา และ 45W สำหรับโน้ตบุ๊กที่ต้องการพลังประมวลผลสูง การแบ่งเป็นสองระดับนี้ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถเลือกใช้ได้ตามการออกแบบเครื่อง ไม่ว่าจะเน้นประหยัดพลังงานหรือเน้นประสิทธิภาพสูงสุด

    สถาปัตยกรรม Zen 6 และการเปลี่ยนแปลงสำคัญ
    Zen 6 ถูกพัฒนาบนเทคโนโลยี TSMC 3nm และ 2nm โดยมีการเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD จาก 8 เป็น 12 คอร์ ทำให้รุ่นท็อปสามารถมีได้ถึง 22 คอร์ พร้อมการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น และชุดคำสั่งใหม่ เช่น AVX512-FP16 เพื่อรองรับงาน AI และการประมวลผลเชิงวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบแคชและตัวควบคุมหน่วยความจำแบบคู่ (Dual IMC) เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และลดความหน่วง

    กราฟิก RDNA 3.5 และ AI Acceleration
    Medusa Point จะมาพร้อม iGPU RDNA 3.5 ที่มี 8 Compute Units ซึ่งเหมาะสำหรับงานกราฟิกทั่วไปและเกมเบา ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเพิ่ม AI Engine สำหรับการเร่งงาน Machine Learning และงานประมวลผลภาพ เช่น การปรับปรุงคุณภาพวิดีโอหรือการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชัน AI ที่กำลังได้รับความนิยมในโน้ตบุ๊กยุคใหม่

    แนวโน้มและคำเตือน
    แม้ข้อมูลที่รั่วไหลจะบอกว่า Zen 6 จะเปิดตัวในปี 2026 แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนเรื่องกำหนดการผลิตและการวางจำหน่ายจริง เนื่องจากขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตของ TSMC และการแข่งขันในตลาด CPU ที่รุนแรง หากเกิดความล่าช้า อาจทำให้ AMD เสียโอกาสในการแข่งขันกับ Intel และ Apple ที่เดินหน้าใช้ชิป 2nm เช่นกัน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Medusa Point เปิดตัวสองรุ่น TDP
    รุ่น 28W สำหรับโน้ตบุ๊กบางเบา
    รุ่น 45W สำหรับโน้ตบุ๊กที่ต้องการพลังสูง

    สถาปัตยกรรม Zen 6
    ใช้เทคโนโลยี 3nm และ 2nm
    เพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD เป็น 12 คอร์

    กราฟิกและ AI
    iGPU RDNA 3.5 พร้อม 8 Compute Units
    มี AI Engine สำหรับงาน Machine Learning

    ความไม่แน่นอนของกำหนดการ
    อาจเลื่อนการผลิตไปถึงปี 2027
    ขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตของ TSMC และการแข่งขันในตลาด

    https://wccftech.com/amd-zen-6-medusa-point-high-tdp-and-low-tdp/
    🖥️ AMD Zen 6 Medusa Point: ก้าวใหม่ของชิปโน้ตบุ๊ก AMD เตรียมเปิดตัว APU รุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ Medusa Point ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 โดยมีสองรุ่นตามค่า TDP คือ 28W สำหรับโน้ตบุ๊กบางเบา และ 45W สำหรับโน้ตบุ๊กที่ต้องการพลังประมวลผลสูง การแบ่งเป็นสองระดับนี้ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถเลือกใช้ได้ตามการออกแบบเครื่อง ไม่ว่าจะเน้นประหยัดพลังงานหรือเน้นประสิทธิภาพสูงสุด ⚡ สถาปัตยกรรม Zen 6 และการเปลี่ยนแปลงสำคัญ Zen 6 ถูกพัฒนาบนเทคโนโลยี TSMC 3nm และ 2nm โดยมีการเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD จาก 8 เป็น 12 คอร์ ทำให้รุ่นท็อปสามารถมีได้ถึง 22 คอร์ พร้อมการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น และชุดคำสั่งใหม่ เช่น AVX512-FP16 เพื่อรองรับงาน AI และการประมวลผลเชิงวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบแคชและตัวควบคุมหน่วยความจำแบบคู่ (Dual IMC) เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และลดความหน่วง 🎮 กราฟิก RDNA 3.5 และ AI Acceleration Medusa Point จะมาพร้อม iGPU RDNA 3.5 ที่มี 8 Compute Units ซึ่งเหมาะสำหรับงานกราฟิกทั่วไปและเกมเบา ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเพิ่ม AI Engine สำหรับการเร่งงาน Machine Learning และงานประมวลผลภาพ เช่น การปรับปรุงคุณภาพวิดีโอหรือการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชัน AI ที่กำลังได้รับความนิยมในโน้ตบุ๊กยุคใหม่ 🔮 แนวโน้มและคำเตือน แม้ข้อมูลที่รั่วไหลจะบอกว่า Zen 6 จะเปิดตัวในปี 2026 แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนเรื่องกำหนดการผลิตและการวางจำหน่ายจริง เนื่องจากขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตของ TSMC และการแข่งขันในตลาด CPU ที่รุนแรง หากเกิดความล่าช้า อาจทำให้ AMD เสียโอกาสในการแข่งขันกับ Intel และ Apple ที่เดินหน้าใช้ชิป 2nm เช่นกัน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Medusa Point เปิดตัวสองรุ่น TDP ➡️ รุ่น 28W สำหรับโน้ตบุ๊กบางเบา ➡️ รุ่น 45W สำหรับโน้ตบุ๊กที่ต้องการพลังสูง ✅ สถาปัตยกรรม Zen 6 ➡️ ใช้เทคโนโลยี 3nm และ 2nm ➡️ เพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD เป็น 12 คอร์ ✅ กราฟิกและ AI ➡️ iGPU RDNA 3.5 พร้อม 8 Compute Units ➡️ มี AI Engine สำหรับงาน Machine Learning ‼️ ความไม่แน่นอนของกำหนดการ ⛔ อาจเลื่อนการผลิตไปถึงปี 2027 ⛔ ขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตของ TSMC และการแข่งขันในตลาด https://wccftech.com/amd-zen-6-medusa-point-high-tdp-and-low-tdp/
    WCCFTECH.COM
    AMD Zen 6 Medusa Point Surfaces In NBD Manifest With Surprising "High-TDP" And "Low-TDP" Variants
    AMD Zen 6-based mobile Medusa Point SKUs are reportedly divided into two categories: 45W and 28W variants as per the leaked NBD shipping logs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุปกรณ์พกพาเพื่อสาย Embedded

    กลุ่มวิศวกรที่พบกันใน Reddit ได้ร่วมกันสร้าง Linux Platform Kit ซึ่งเป็นอุปกรณ์พกพาแบบโมดูลาร์สำหรับงานพัฒนาและการเรียนรู้ โดยใช้ชิป STM32MP157 และรัน Debian Linux ได้ทันที

    Linux Platform Kit ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือพกพาสำหรับนักพัฒนา Embedded และผู้ที่สนใจทดลองระบบ Linux บนอุปกรณ์จริง จุดเด่นคือสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ที่มีอยู่แล้ว หรือพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ได้โดยตรงบนเครื่อง โดยไม่ต้องพึ่งการคอมไพล์ซ้ำจาก Yocto ตลอดเวลา

    การเชื่อมต่อและการขยายโมดูล
    อุปกรณ์นี้รองรับการเชื่อมต่อหลากหลาย เช่น Ethernet PHY (RGMII), CAN Bus, UART RS485, I2C, I2S, SPI และ GPIO รวมถึงสามารถต่อโมดูลเสริมได้ เช่น LoRa Radio สำหรับ Meshtastic, มัลติมิเตอร์ หรือ Logic Analyzer ทำให้เหมาะทั้งสำหรับงานวิจัยและการเรียนรู้เชิงลึก

    สเปกหลักของ Linux Platform Kit
    MPU: STM32MP157 (Dual-core ARM Cortex-A7 + Cortex-M4)
    หน้าจอ: ทัชสกรีน 4.1 นิ้ว ความละเอียด 480x1080
    RAM: 4GB DDR3
    การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth
    Storage: รองรับ SD Card
    ระบบปฏิบัติการ: Debian Linux (รองรับ Yocto)
    เคส: ออกแบบให้ 3D-print ได้และปรับแต่งเองได้

    โครงการโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ
    ทีมผู้สร้างได้เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub ทั้ง ไฟล์ KiCad สำหรับฮาร์ดแวร์, โมเดล 3D ของเคส และซอฟต์แวร์ พร้อมเชิญชวนผู้สนใจเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา Kernel, PCB Designer, UI Designer หรือ Embedded Engineer

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ข้อมูลจากข่าว
    Linux Platform Kit ถูกสร้างโดยกลุ่มวิศวกรที่พบกันใน Reddit
    ใช้ชิป STM32MP157 และรัน Debian Linux ได้ทันที
    รองรับการเชื่อมต่อหลากหลาย เช่น Ethernet, CAN Bus, UART, I2C, SPI
    มีโมดูลเสริม เช่น LoRa Radio, มัลติมิเตอร์, Logic Analyzer
    เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub

    คำเตือนจากข่าว
    หากไม่อัปเดตหรือปรับแต่งระบบอย่างถูกต้อง อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้กับโมดูลเสริม
    การใช้งานโดยไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยของโมดูลเสริม อาจเสี่ยงต่อการทำงานผิดพลาด
    ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Embedded Linux อาจเจอความซับซ้อนในการตั้งค่าเริ่มต้น

    https://itsfoss.com/news/linux-platform-kit/
    🛠️ อุปกรณ์พกพาเพื่อสาย Embedded กลุ่มวิศวกรที่พบกันใน Reddit ได้ร่วมกันสร้าง Linux Platform Kit ซึ่งเป็นอุปกรณ์พกพาแบบโมดูลาร์สำหรับงานพัฒนาและการเรียนรู้ โดยใช้ชิป STM32MP157 และรัน Debian Linux ได้ทันที Linux Platform Kit ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือพกพาสำหรับนักพัฒนา Embedded และผู้ที่สนใจทดลองระบบ Linux บนอุปกรณ์จริง จุดเด่นคือสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ที่มีอยู่แล้ว หรือพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ได้โดยตรงบนเครื่อง โดยไม่ต้องพึ่งการคอมไพล์ซ้ำจาก Yocto ตลอดเวลา 🔌 การเชื่อมต่อและการขยายโมดูล อุปกรณ์นี้รองรับการเชื่อมต่อหลากหลาย เช่น Ethernet PHY (RGMII), CAN Bus, UART RS485, I2C, I2S, SPI และ GPIO รวมถึงสามารถต่อโมดูลเสริมได้ เช่น LoRa Radio สำหรับ Meshtastic, มัลติมิเตอร์ หรือ Logic Analyzer ทำให้เหมาะทั้งสำหรับงานวิจัยและการเรียนรู้เชิงลึก 📱 สเปกหลักของ Linux Platform Kit 💠 MPU: STM32MP157 (Dual-core ARM Cortex-A7 + Cortex-M4) 💠 หน้าจอ: ทัชสกรีน 4.1 นิ้ว ความละเอียด 480x1080 💠 RAM: 4GB DDR3 💠 การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth 💠 Storage: รองรับ SD Card 💠 ระบบปฏิบัติการ: Debian Linux (รองรับ Yocto) 💠 เคส: ออกแบบให้ 3D-print ได้และปรับแต่งเองได้ 🌍 โครงการโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ ทีมผู้สร้างได้เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub ทั้ง ไฟล์ KiCad สำหรับฮาร์ดแวร์, โมเดล 3D ของเคส และซอฟต์แวร์ พร้อมเชิญชวนผู้สนใจเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา Kernel, PCB Designer, UI Designer หรือ Embedded Engineer 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Linux Platform Kit ถูกสร้างโดยกลุ่มวิศวกรที่พบกันใน Reddit ➡️ ใช้ชิป STM32MP157 และรัน Debian Linux ได้ทันที ➡️ รองรับการเชื่อมต่อหลากหลาย เช่น Ethernet, CAN Bus, UART, I2C, SPI ➡️ มีโมดูลเสริม เช่น LoRa Radio, มัลติมิเตอร์, Logic Analyzer ➡️ เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ หากไม่อัปเดตหรือปรับแต่งระบบอย่างถูกต้อง อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้กับโมดูลเสริม ⛔ การใช้งานโดยไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยของโมดูลเสริม อาจเสี่ยงต่อการทำงานผิดพลาด ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Embedded Linux อาจเจอความซับซ้อนในการตั้งค่าเริ่มต้น https://itsfoss.com/news/linux-platform-kit/
    ITSFOSS.COM
    Reddit Strangers Built an Open Source Linux Handheld, And They Want Your Help
    A fully modular development tool that you can build, modify, and extend yourself.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ Next.js ระดับวิกฤติ

    นักพัฒนาที่ใช้ Next.js ร่วมกับ React Server Components (RSC) กำลังเผชิญสถานการณ์อันตราย เนื่องจากมีการค้นพบช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งไปประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์โดยตรง ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ CVSS 10.0 ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุด หมายถึงความเสี่ยงต่อการถูกยึดครองระบบทั้งหมด

    สาเหตุของปัญหา
    ปัญหานี้เกิดจากการที่ RSC Protocol ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลที่ส่งเข้ามาอย่างเข้มงวด ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างคำขอที่บังคับให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานตามเส้นทางที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ ส่งผลให้เกิดการ Remote Code Execution (RCE) โดยตรง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดในโลกเว็บแอปพลิเคชัน

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    Next.js 15.x และ 16.x
    Next.js 14.3.0-canary.77 และเวอร์ชัน canary ที่ใหม่กว่า

    ในขณะที่ Next.js 13.x, 14.x stable, Pages Router และ Edge Runtime ไม่ได้รับผลกระทบ

    แนวทางแก้ไข
    ไม่มีวิธีการตั้งค่าหรือ workaround ที่สามารถปิดช่องโหว่นี้ได้ ผู้พัฒนาจึงต้อง อัปเดตทันที ไปยังเวอร์ชันที่ได้รับการแก้ไข ได้แก่:
    Next.js 15.0.5, 15.1.9, 15.2.6, 15.3.6, 15.4.8, 15.5.7
    Next.js 16.0.7

    สำหรับผู้ที่ใช้เวอร์ชัน 14 Canary ควร downgrade กลับไปยังเวอร์ชัน stable ล่าสุดเพื่อความปลอดภัย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-66478 มีคะแนน CVSS 10.0
    เกิดจาก React Server Components (RSC) Protocol ที่ไม่ตรวจสอบข้อมูลเข้มงวด
    ส่งผลให้เกิด Remote Code Execution (RCE) ได้ทันที
    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบคือ Next.js 15.x, 16.x และ 14.3.0-canary.77+
    เวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ Next.js 13.x, 14.x stable, Pages Router และ Edge Runtime

    คำเตือนจากข่าว
    ไม่มี workaround หรือการตั้งค่าที่ช่วยแก้ไขได้
    หากไม่อัปเดตทันที ระบบเสี่ยงต่อการถูกยึดครองเต็มรูปแบบ
    ผู้ใช้ Next.js Canary ต้อง downgrade เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
    การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ข้อมูลและระบบถูกโจมตีโดยตรง

    https://securityonline.info/maximum-severity-alert-critical-rce-flaw-hits-next-js-cve-2025-66478-cvss-10-0/
    ⚠️ ช่องโหว่ Next.js ระดับวิกฤติ นักพัฒนาที่ใช้ Next.js ร่วมกับ React Server Components (RSC) กำลังเผชิญสถานการณ์อันตราย เนื่องจากมีการค้นพบช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งไปประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์โดยตรง ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ CVSS 10.0 ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุด หมายถึงความเสี่ยงต่อการถูกยึดครองระบบทั้งหมด 🧩 สาเหตุของปัญหา ปัญหานี้เกิดจากการที่ RSC Protocol ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลที่ส่งเข้ามาอย่างเข้มงวด ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างคำขอที่บังคับให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานตามเส้นทางที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ ส่งผลให้เกิดการ Remote Code Execution (RCE) โดยตรง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดในโลกเว็บแอปพลิเคชัน 🔎 เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ 🐞 Next.js 15.x และ 16.x 🐞 Next.js 14.3.0-canary.77 และเวอร์ชัน canary ที่ใหม่กว่า ในขณะที่ Next.js 13.x, 14.x stable, Pages Router และ Edge Runtime ไม่ได้รับผลกระทบ 🛡️ แนวทางแก้ไข ไม่มีวิธีการตั้งค่าหรือ workaround ที่สามารถปิดช่องโหว่นี้ได้ ผู้พัฒนาจึงต้อง อัปเดตทันที ไปยังเวอร์ชันที่ได้รับการแก้ไข ได้แก่: 🪛 Next.js 15.0.5, 15.1.9, 15.2.6, 15.3.6, 15.4.8, 15.5.7 🪛 Next.js 16.0.7 สำหรับผู้ที่ใช้เวอร์ชัน 14 Canary ควร downgrade กลับไปยังเวอร์ชัน stable ล่าสุดเพื่อความปลอดภัย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-66478 มีคะแนน CVSS 10.0 ➡️ เกิดจาก React Server Components (RSC) Protocol ที่ไม่ตรวจสอบข้อมูลเข้มงวด ➡️ ส่งผลให้เกิด Remote Code Execution (RCE) ได้ทันที ➡️ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบคือ Next.js 15.x, 16.x และ 14.3.0-canary.77+ ➡️ เวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ Next.js 13.x, 14.x stable, Pages Router และ Edge Runtime ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ ไม่มี workaround หรือการตั้งค่าที่ช่วยแก้ไขได้ ⛔ หากไม่อัปเดตทันที ระบบเสี่ยงต่อการถูกยึดครองเต็มรูปแบบ ⛔ ผู้ใช้ Next.js Canary ต้อง downgrade เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ⛔ การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ข้อมูลและระบบถูกโจมตีโดยตรง https://securityonline.info/maximum-severity-alert-critical-rce-flaw-hits-next-js-cve-2025-66478-cvss-10-0/
    SECURITYONLINE.INFO
    Maximum Severity Alert: Critical RCE Flaw Hits Next.js (CVE-2025-66478, CVSS 10.0)
    Developers using the modern stack of Next.js and React are facing a “red alert” situation today. A maximum-severity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือจากยุคแรกที่เป็น “Car Phones” จนถึงสมาร์ทโฟนยุคใหม่

    บทความนี้เล่าถึงวิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือจากยุคแรกที่เป็น “Car Phones” จนถึงสมาร์ทโฟนยุคใหม่ โดยเน้นเหตุการณ์สำคัญ เช่น การเปิดตัว Motorola DynaTAC, Nokia Cityman, Motorola MicroTAC (Flip Phone), ข้อความ SMS แรก, IBM Simon (Smartphone แรก), โทรศัพท์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, โทรศัพท์ที่เล่นเพลง MP3, โทรศัพท์กล้อง และการเปิดตัว iPhone

    ยุคแรก: Car Phones และ Motorola DynaTAC
    โทรศัพท์มือถือเริ่มต้นในปี 1946 โดย AT&T แต่ยังมีข้อจำกัดด้านช่องสัญญาณและพลังงาน จึงถูกติดตั้งในรถยนต์และเรียกว่า “Car Phones” ต่อมาในปี 1973 Martin Cooper จาก Motorola ได้โทรศัพท์ครั้งแรกด้วย DynaTAC 8000X ซึ่งหนักถึง 2.5 ปอนด์และใช้งานได้เพียง 35 นาที

    การพัฒนาในยุค 80s–90s: Nokia และ Flip Phone
    ปี 1987 Nokia Mobira Cityman ได้รับความนิยมเมื่อถูกใช้โดย Mikhail Gorbachev และถือเป็นโทรศัพท์ที่เบากว่า DynaTAC แม้ราคาสูงมาก ต่อมาในปี 1989 Motorola เปิดตัว MicroTAC 9800X ซึ่งเป็น โทรศัพท์ฝาพับ (Flip Phone) รุ่นแรก ทำให้โทรศัพท์เริ่มมีขนาดเล็กลงและพกพาสะดวกขึ้น

    การสื่อสารใหม่: SMS และ IBM Simon
    วันที่ 3 ธันวาคม 1992 มีการส่ง ข้อความ SMS แรก (“Merry Christmas”) โดย Neil Papworth ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการสื่อสาร ต่อมาในปี 1992 IBM เปิดตัว Simon Personal Communicator ซึ่งถูกมองว่าเป็น สมาร์ทโฟนรุ่นแรก เพราะมีหน้าจอสัมผัสและสามารถส่งอีเมล, fax และเก็บข้อมูลติดต่อได้

    ฟีเจอร์ใหม่: อินเทอร์เน็ต, MP3 และกล้อง
    ช่วงกลางยุค 90s โทรศัพท์เริ่มเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น Nokia 9000 Communicator (1996) และ Nokia 7110 ที่รองรับ WAP ต่อมาในปี 2000 Samsung UpRoar กลายเป็นโทรศัพท์ที่เล่น MP3 ได้ และในปีเดียวกัน Samsung SCH-V200 และ Sharp J-SH04 ถือเป็นโทรศัพท์กล้องรุ่นแรกที่สามารถถ่ายและส่งภาพได้

    จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่: iPhone
    ปี 2007 Apple เปิดตัว iPhone รุ่นแรก ที่รวมการโทร, อินเทอร์เน็ต, เพลง และแอปพลิเคชันไว้ในเครื่องเดียว แม้รุ่นแรกยังไม่มี App Store หรือการส่ง MMS แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนยุคใหม่ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ยุคแรก (1946–1973)
    Car Phones ใช้พลังงานจากแบตรถยนต์
    Motorola DynaTAC โทรศัพท์มือถือเชิงพาณิชย์รุ่นแรก

    ยุค 80s–90s
    Nokia Cityman เบากว่าและถูกใช้โดยผู้นำโลก
    Motorola MicroTAC โทรศัพท์ฝาพับรุ่นแรก

    การสื่อสารใหม่
    SMS แรกในปี 1992
    IBM Simon สมาร์ทโฟนรุ่นแรก

    ฟีเจอร์ใหม่ในยุค 90s–2000s
    Nokia 9000 เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    Samsung UpRoar เล่น MP3
    Samsung SCH-V200 และ Sharp J-SH04 โทรศัพท์กล้องรุ่นแรก

    ยุคสมาร์ทโฟน
    iPhone (2007) ปฏิวัติวงการมือถือ

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    โทรศัพท์รุ่นเก่าไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย เสี่ยงต่อการใช้งานในปัจจุบัน
    การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ทำให้ข้อมูลส่วนตัวเสี่ยงต่อการถูกเก็บและใช้งานโดยบริษัทใหญ่

    https://www.slashgear.com/947221/the-stunning-transformation-of-cell-phones/
    📳 วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือจากยุคแรกที่เป็น “Car Phones” จนถึงสมาร์ทโฟนยุคใหม่ บทความนี้เล่าถึงวิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือจากยุคแรกที่เป็น “Car Phones” จนถึงสมาร์ทโฟนยุคใหม่ โดยเน้นเหตุการณ์สำคัญ เช่น การเปิดตัว Motorola DynaTAC, Nokia Cityman, Motorola MicroTAC (Flip Phone), ข้อความ SMS แรก, IBM Simon (Smartphone แรก), โทรศัพท์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, โทรศัพท์ที่เล่นเพลง MP3, โทรศัพท์กล้อง และการเปิดตัว iPhone 📞 ยุคแรก: Car Phones และ Motorola DynaTAC โทรศัพท์มือถือเริ่มต้นในปี 1946 โดย AT&T แต่ยังมีข้อจำกัดด้านช่องสัญญาณและพลังงาน จึงถูกติดตั้งในรถยนต์และเรียกว่า “Car Phones” ต่อมาในปี 1973 Martin Cooper จาก Motorola ได้โทรศัพท์ครั้งแรกด้วย DynaTAC 8000X ซึ่งหนักถึง 2.5 ปอนด์และใช้งานได้เพียง 35 นาที 📱 การพัฒนาในยุค 80s–90s: Nokia และ Flip Phone ปี 1987 Nokia Mobira Cityman ได้รับความนิยมเมื่อถูกใช้โดย Mikhail Gorbachev และถือเป็นโทรศัพท์ที่เบากว่า DynaTAC แม้ราคาสูงมาก ต่อมาในปี 1989 Motorola เปิดตัว MicroTAC 9800X ซึ่งเป็น โทรศัพท์ฝาพับ (Flip Phone) รุ่นแรก ทำให้โทรศัพท์เริ่มมีขนาดเล็กลงและพกพาสะดวกขึ้น 💬 การสื่อสารใหม่: SMS และ IBM Simon วันที่ 3 ธันวาคม 1992 มีการส่ง ข้อความ SMS แรก (“Merry Christmas”) โดย Neil Papworth ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการสื่อสาร ต่อมาในปี 1992 IBM เปิดตัว Simon Personal Communicator ซึ่งถูกมองว่าเป็น สมาร์ทโฟนรุ่นแรก เพราะมีหน้าจอสัมผัสและสามารถส่งอีเมล, fax และเก็บข้อมูลติดต่อได้ 🎶📷 ฟีเจอร์ใหม่: อินเทอร์เน็ต, MP3 และกล้อง ช่วงกลางยุค 90s โทรศัพท์เริ่มเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น Nokia 9000 Communicator (1996) และ Nokia 7110 ที่รองรับ WAP ต่อมาในปี 2000 Samsung UpRoar กลายเป็นโทรศัพท์ที่เล่น MP3 ได้ และในปีเดียวกัน Samsung SCH-V200 และ Sharp J-SH04 ถือเป็นโทรศัพท์กล้องรุ่นแรกที่สามารถถ่ายและส่งภาพได้ 🍏 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่: iPhone ปี 2007 Apple เปิดตัว iPhone รุ่นแรก ที่รวมการโทร, อินเทอร์เน็ต, เพลง และแอปพลิเคชันไว้ในเครื่องเดียว แม้รุ่นแรกยังไม่มี App Store หรือการส่ง MMS แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนยุคใหม่ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ยุคแรก (1946–1973) ➡️ Car Phones ใช้พลังงานจากแบตรถยนต์ ➡️ Motorola DynaTAC โทรศัพท์มือถือเชิงพาณิชย์รุ่นแรก ✅ ยุค 80s–90s ➡️ Nokia Cityman เบากว่าและถูกใช้โดยผู้นำโลก ➡️ Motorola MicroTAC โทรศัพท์ฝาพับรุ่นแรก ✅ การสื่อสารใหม่ ➡️ SMS แรกในปี 1992 ➡️ IBM Simon สมาร์ทโฟนรุ่นแรก ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในยุค 90s–2000s ➡️ Nokia 9000 เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ Samsung UpRoar เล่น MP3 ➡️ Samsung SCH-V200 และ Sharp J-SH04 โทรศัพท์กล้องรุ่นแรก ✅ ยุคสมาร์ทโฟน ➡️ iPhone (2007) ปฏิวัติวงการมือถือ ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ โทรศัพท์รุ่นเก่าไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย เสี่ยงต่อการใช้งานในปัจจุบัน ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ทำให้ข้อมูลส่วนตัวเสี่ยงต่อการถูกเก็บและใช้งานโดยบริษัทใหญ่ https://www.slashgear.com/947221/the-stunning-transformation-of-cell-phones/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Stunning Transformation Of Cell Phones - SlashGear
    It's hard to imagine life without a phone in your pocket. The incredible transformation of cell phones proves just how far these modern marvels have come.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • NVIDIA 590 Beta: ก้าวใหม่ของการรองรับ Wayland

    ไดรเวอร์ NVIDIA 590 ได้ยกระดับการรองรับ Wayland โดยกำหนดให้ Wayland เวอร์ชันขั้นต่ำเป็น 1.20 และแก้ไขบั๊กที่ทำให้เมนู PowerMizer ใน nvidia-settings ไม่ทำงานบน Wayland สิ่งนี้ถือเป็นการปรับปรุงสำคัญ เนื่องจาก Wayland กำลังถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่แทน X11 ในหลายดิสโทร

    Vulkan Performance ดีขึ้น
    อีกหนึ่งจุดเด่นคือการปรับปรุงการจัดการ Vulkan swapchains ซึ่งช่วยลดอาการกระตุกเมื่อผู้ใช้ปรับขนาดหน้าต่างแอปพลิเคชันที่ใช้ Vulkan รวมถึงแก้ไขปัญหาที่ทำให้ Vulkan ไม่ทำงานบน Venus VirtIO virtual GPU สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้ที่ทำงานด้านเกมและกราฟิกได้ประสบการณ์ที่ลื่นไหลมากขึ้น

    การแก้บั๊กที่สำคัญ
    แก้บั๊กที่ทำให้ระบบ ค้างบน PREEMPT_RT kernels
    แก้บั๊กการรายงาน DPI ที่ผิดพลาดบนบางจอ เช่น Samsung Odyssey Neo G9
    ยกระดับการรองรับ Xorg Server (ขั้นต่ำ 1.17) และ GNU C Library (glibc 2.27)

    ความหมายต่อผู้ใช้
    แม้จะเป็นเวอร์ชันเบต้าและยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อม Production แต่การปรับปรุงเหล่านี้สะท้อนว่า NVIDIA กำลังเดินหน้าสนับสนุน Wayland และ Vulkan อย่างจริงจัง ผู้ใช้ที่ชอบทดสอบฟีเจอร์ใหม่จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีขึ้นทั้งในด้านเสถียรภาพและการทำงานกับจอภาพรุ่นใหม่ ๆ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การปรับปรุง Wayland
    กำหนด Wayland ขั้นต่ำเป็น 1.20
    แก้บั๊ก PowerMizer บน Wayland

    การปรับปรุง Vulkan
    Swapchains ทำงานได้ลื่นขึ้น ลดการกระตุก
    รองรับ Venus VirtIO virtual GPU

    การแก้บั๊กสำคัญ
    แก้ปัญหาค้างบน PREEMPT_RT kernels
    แก้การรายงาน DPI ผิดพลาดบนบางจอ
    ยกระดับการรองรับ Xorg และ glibc

    ผลต่อผู้ใช้
    ประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับเกมและงานกราฟิก
    รองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่มากขึ้น

    คำเตือนด้านการใช้งาน
    เป็นเวอร์ชันเบต้า ไม่เหมาะกับ Production
    อาจยังมีบั๊กที่ไม่ถูกค้นพบ
    ผู้ใช้ทั่วไปควรรอเวอร์ชัน Stable ก่อนอัปเดต

    https://9to5linux.com/nvidia-590-linux-graphics-driver-enters-public-beta-with-better-wayland-support
    🖥️ NVIDIA 590 Beta: ก้าวใหม่ของการรองรับ Wayland ไดรเวอร์ NVIDIA 590 ได้ยกระดับการรองรับ Wayland โดยกำหนดให้ Wayland เวอร์ชันขั้นต่ำเป็น 1.20 และแก้ไขบั๊กที่ทำให้เมนู PowerMizer ใน nvidia-settings ไม่ทำงานบน Wayland สิ่งนี้ถือเป็นการปรับปรุงสำคัญ เนื่องจาก Wayland กำลังถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่แทน X11 ในหลายดิสโทร 🎮 Vulkan Performance ดีขึ้น อีกหนึ่งจุดเด่นคือการปรับปรุงการจัดการ Vulkan swapchains ซึ่งช่วยลดอาการกระตุกเมื่อผู้ใช้ปรับขนาดหน้าต่างแอปพลิเคชันที่ใช้ Vulkan รวมถึงแก้ไขปัญหาที่ทำให้ Vulkan ไม่ทำงานบน Venus VirtIO virtual GPU สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้ที่ทำงานด้านเกมและกราฟิกได้ประสบการณ์ที่ลื่นไหลมากขึ้น 🛠️ การแก้บั๊กที่สำคัญ 🪛 แก้บั๊กที่ทำให้ระบบ ค้างบน PREEMPT_RT kernels 🪛 แก้บั๊กการรายงาน DPI ที่ผิดพลาดบนบางจอ เช่น Samsung Odyssey Neo G9 🪛 ยกระดับการรองรับ Xorg Server (ขั้นต่ำ 1.17) และ GNU C Library (glibc 2.27) 🔮 ความหมายต่อผู้ใช้ แม้จะเป็นเวอร์ชันเบต้าและยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อม Production แต่การปรับปรุงเหล่านี้สะท้อนว่า NVIDIA กำลังเดินหน้าสนับสนุน Wayland และ Vulkan อย่างจริงจัง ผู้ใช้ที่ชอบทดสอบฟีเจอร์ใหม่จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีขึ้นทั้งในด้านเสถียรภาพและการทำงานกับจอภาพรุ่นใหม่ ๆ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การปรับปรุง Wayland ➡️ กำหนด Wayland ขั้นต่ำเป็น 1.20 ➡️ แก้บั๊ก PowerMizer บน Wayland ✅ การปรับปรุง Vulkan ➡️ Swapchains ทำงานได้ลื่นขึ้น ลดการกระตุก ➡️ รองรับ Venus VirtIO virtual GPU ✅ การแก้บั๊กสำคัญ ➡️ แก้ปัญหาค้างบน PREEMPT_RT kernels ➡️ แก้การรายงาน DPI ผิดพลาดบนบางจอ ➡️ ยกระดับการรองรับ Xorg และ glibc ✅ ผลต่อผู้ใช้ ➡️ ประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับเกมและงานกราฟิก ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่มากขึ้น ‼️ คำเตือนด้านการใช้งาน ⛔ เป็นเวอร์ชันเบต้า ไม่เหมาะกับ Production ⛔ อาจยังมีบั๊กที่ไม่ถูกค้นพบ ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปควรรอเวอร์ชัน Stable ก่อนอัปเดต https://9to5linux.com/nvidia-590-linux-graphics-driver-enters-public-beta-with-better-wayland-support
    9TO5LINUX.COM
    NVIDIA 590 Linux Graphics Driver Enters Public Beta with Better Wayland Support - 9to5Linux
    NVIDIA 590 graphics driver series is now available for public beta testing with improved Wayland support and other changes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปิดตัว Linux Mint 22.3 “Zena”

    Clement Lefebvre ผู้นำทีมพัฒนา Linux Mint ได้ประกาศว่าเวอร์ชันใหม่ Linux Mint 22.3 จะใช้ชื่อโค้ดเนมว่า “Zena” และคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงคริสต์มาส 2025 โดยเวอร์ชันเบต้าจะออกในครึ่งแรกของเดือนธันวาคม และเวอร์ชันเต็มจะตามมาในช่วงปลายเดือน

    ฐานระบบและเทคโนโลยีใหม่
    Linux Mint 22.3 จะถูกสร้างบน Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) ซึ่งมีการสนับสนุนระยะยาวถึงปี 2029 และใช้ Linux Kernel 6.14 ทำให้ระบบมีความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังคงใช้ฐานแพ็กเกจเดียวกับ Mint 22.1 และ 22.2 เพื่อให้การอัปเกรดเป็นไปอย่างปลอดภัยและราบรื่น

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ
    System Information และ System Administration Tools ใหม่ ช่วยให้ผู้ใช้จัดการระบบได้ง่ายขึ้น
    เมนูแอปพลิเคชัน Cinnamon ปรับปรุงใหม่ รองรับไอคอนเชิงสัญลักษณ์ และการใช้งานกับ Wayland ได้ดีขึ้น
    Nemo File Manager เพิ่มความสามารถในการ Pause การทำงานของไฟล์
    Timeshift Backup Tool รองรับการหยุดชั่วคราวของ Snapshot
    Warpinator File Sharing App เพิ่มฟีเจอร์ส่งข้อความ
    ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น Always-on Night Light, Template Management, และ Per-app Panel Notification Indicators

    ความหมายต่อผู้ใช้
    การเปิดตัว Linux Mint 22.3 “Zena” ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเน้นความสะดวกในการจัดการระบบ ความเข้ากันได้กับ Wayland และการเพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยให้การทำงานประจำวันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ใช้ที่ใช้ Mint รุ่นก่อนหน้าจะสามารถอัปเกรดได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเข้ากันได้ของแพ็กเกจ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเปิดตัว Linux Mint 22.3 “Zena”
    คาดว่าจะออกช่วงคริสต์มาส 2025
    เวอร์ชันเบต้ามาในครึ่งแรกของเดือนธันวาคม

    ฐานระบบและ Kernel
    ใช้ Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat)
    ใช้ Linux Kernel 6.14
    สนับสนุนระยะยาวถึงปี 2029

    ฟีเจอร์ใหม่
    System Information และ Administration Tools
    Cinnamon Menu ปรับปรุง รองรับ Wayland
    Nemo File Manager สามารถ Pause งานไฟล์
    Timeshift Backup Tool รองรับ Pause Snapshot
    Warpinator เพิ่มฟีเจอร์ส่งข้อความ
    Always-on Night Light และ Template Management

    ผลต่อผู้ใช้
    อัปเกรดได้อย่างปลอดภัยจาก Mint 22.1 และ 22.2
    เพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการใช้งาน

    คำเตือนด้านการใช้งาน
    ผู้ใช้ที่ยังอยู่บน Mint รุ่นเก่า หากไม่อัปเดตอาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการสนับสนุนระยะยาว
    การไม่อัปเกรดอาจทำให้ระบบไม่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ

    https://9to5linux.com/linux-mint-22-3-codenamed-zena-planned-for-christmas-2025
    🎄 การเปิดตัว Linux Mint 22.3 “Zena” Clement Lefebvre ผู้นำทีมพัฒนา Linux Mint ได้ประกาศว่าเวอร์ชันใหม่ Linux Mint 22.3 จะใช้ชื่อโค้ดเนมว่า “Zena” และคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงคริสต์มาส 2025 โดยเวอร์ชันเบต้าจะออกในครึ่งแรกของเดือนธันวาคม และเวอร์ชันเต็มจะตามมาในช่วงปลายเดือน ⚙️ ฐานระบบและเทคโนโลยีใหม่ Linux Mint 22.3 จะถูกสร้างบน Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) ซึ่งมีการสนับสนุนระยะยาวถึงปี 2029 และใช้ Linux Kernel 6.14 ทำให้ระบบมีความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังคงใช้ฐานแพ็กเกจเดียวกับ Mint 22.1 และ 22.2 เพื่อให้การอัปเกรดเป็นไปอย่างปลอดภัยและราบรื่น 🖥️ ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ 💠 System Information และ System Administration Tools ใหม่ ช่วยให้ผู้ใช้จัดการระบบได้ง่ายขึ้น 💠 เมนูแอปพลิเคชัน Cinnamon ปรับปรุงใหม่ รองรับไอคอนเชิงสัญลักษณ์ และการใช้งานกับ Wayland ได้ดีขึ้น 💠 Nemo File Manager เพิ่มความสามารถในการ Pause การทำงานของไฟล์ 💠 Timeshift Backup Tool รองรับการหยุดชั่วคราวของ Snapshot 💠 Warpinator File Sharing App เพิ่มฟีเจอร์ส่งข้อความ 💠 ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น Always-on Night Light, Template Management, และ Per-app Panel Notification Indicators 🔮 ความหมายต่อผู้ใช้ การเปิดตัว Linux Mint 22.3 “Zena” ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเน้นความสะดวกในการจัดการระบบ ความเข้ากันได้กับ Wayland และการเพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยให้การทำงานประจำวันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ใช้ที่ใช้ Mint รุ่นก่อนหน้าจะสามารถอัปเกรดได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเข้ากันได้ของแพ็กเกจ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเปิดตัว Linux Mint 22.3 “Zena” ➡️ คาดว่าจะออกช่วงคริสต์มาส 2025 ➡️ เวอร์ชันเบต้ามาในครึ่งแรกของเดือนธันวาคม ✅ ฐานระบบและ Kernel ➡️ ใช้ Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.14 ➡️ สนับสนุนระยะยาวถึงปี 2029 ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ System Information และ Administration Tools ➡️ Cinnamon Menu ปรับปรุง รองรับ Wayland ➡️ Nemo File Manager สามารถ Pause งานไฟล์ ➡️ Timeshift Backup Tool รองรับ Pause Snapshot ➡️ Warpinator เพิ่มฟีเจอร์ส่งข้อความ ➡️ Always-on Night Light และ Template Management ✅ ผลต่อผู้ใช้ ➡️ อัปเกรดได้อย่างปลอดภัยจาก Mint 22.1 และ 22.2 ➡️ เพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการใช้งาน ‼️ คำเตือนด้านการใช้งาน ⛔ ผู้ใช้ที่ยังอยู่บน Mint รุ่นเก่า หากไม่อัปเดตอาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการสนับสนุนระยะยาว ⛔ การไม่อัปเกรดอาจทำให้ระบบไม่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ https://9to5linux.com/linux-mint-22-3-codenamed-zena-planned-for-christmas-2025
    9TO5LINUX.COM
    Linux Mint 22.3 Codenamed "Zena", Planned for Christmas 2025 - 9to5Linux
    Linux Mint 22.3 distribution was announced as “Zena”, based on the Ubuntu 24.04 LTS operating system series and Linux kernel 6.14.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Angular: CVE-2025-66412

    ทีมพัฒนา Angular ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับสูงใน Angular Template Compiler โดยช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง CVSS 8.5 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ High Severity ช่องโหว่เกิดจากการที่ระบบ Sanitization ของ Angular ไม่สามารถตรวจสอบบาง Attribute ที่เกี่ยวข้องกับ URL ได้อย่างเข้มงวด เช่น xlink:href ใน SVG และ href ใน MathML ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงไปได้

    วิธีการโจมตีผ่าน SVG และ MathML
    ผู้โจมตีสามารถใช้ SVG Animation Elements เช่น <animate>, <set>, <animateMotion> โดยอาศัย Attribute attributeName ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้อง เพื่อเปลี่ยนค่าไปยัง Attribute ที่มีความอ่อนไหว เช่น href หรือ xlink:href เมื่อผู้ใช้คลิกหรือเมื่อ Animation ทำงาน โค้ด JavaScript ที่ฝังไว้ก็จะถูกเรียกใช้งานทันที ส่งผลให้เกิดการโจมตีแบบ Stored XSS ซึ่ง Payload จะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์และส่งต่อไปยังผู้ใช้รายอื่น

    ผลกระทบและความเสียหาย
    หากช่องโหว่นี้ถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น
    Session Hijacking: ขโมย Cookies และ Token การยืนยันตัวตน
    Data Exfiltration: ดึงข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    Unauthorized Actions: สั่งการหรือทำงานแทนผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    นี่ถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้และองค์กรที่ใช้ Angular ในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน

    แนวทางแก้ไขและป้องกัน
    ทีม Angular ได้ออก Patch แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 19.2.17, 20.3.15 และ 21.0.2 ผู้พัฒนาควรอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ ควรใช้มาตรการเสริม เช่น
    หลีกเลี่ยงการ Bind ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือไปยัง Attribute ที่เสี่ยง
    ใช้ Content Security Policy (CSP) เพื่อบล็อก javascript: URLs
    ตรวจสอบ Input Hygiene อย่างเข้มงวด

    สรุปเป็นหัวข้อ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-66412
    เกิดจากการ Sanitization ไม่สมบูรณ์ใน Angular Template Compiler
    มีผลกระทบต่อ Attribute ที่เกี่ยวข้องกับ URL เช่น xlink:href และ math|href

    วิธีการโจมตี
    ใช้ SVG Animation Elements เช่น <animate> และ Attribute attributeName
    โค้ดอันตรายถูกฝังและทำงานเมื่อผู้ใช้โต้ตอบหรือเมื่อ Animation ทำงาน

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น
    ขโมย Session Cookies และ Token
    ดึงข้อมูลผู้ใช้ (Data Exfiltration)
    ทำงานแทนผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดต Angular เป็นเวอร์ชัน 19.2.17, 20.3.15 หรือ 21.0.2
    ใช้ CSP เพื่อบล็อก javascript: URLs
    หลีกเลี่ยงการ Bind ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ Stored XSS ได้ง่าย
    การละเลย Input Hygiene อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ
    การใช้ Angular เวอร์ชันเก่าโดยไม่ Patch เสี่ยงต่อการถูก Hijack และ Data Breach

    https://securityonline.info/high-severity-angular-flaw-cve-2025-66412-allows-stored-xss-via-svg-and-mathml-bypass/
    🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Angular: CVE-2025-66412 ทีมพัฒนา Angular ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับสูงใน Angular Template Compiler โดยช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง CVSS 8.5 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ High Severity ช่องโหว่เกิดจากการที่ระบบ Sanitization ของ Angular ไม่สามารถตรวจสอบบาง Attribute ที่เกี่ยวข้องกับ URL ได้อย่างเข้มงวด เช่น xlink:href ใน SVG และ href ใน MathML ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงไปได้ ⚙️ วิธีการโจมตีผ่าน SVG และ MathML ผู้โจมตีสามารถใช้ SVG Animation Elements เช่น <animate>, <set>, <animateMotion> โดยอาศัย Attribute attributeName ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้อง เพื่อเปลี่ยนค่าไปยัง Attribute ที่มีความอ่อนไหว เช่น href หรือ xlink:href เมื่อผู้ใช้คลิกหรือเมื่อ Animation ทำงาน โค้ด JavaScript ที่ฝังไว้ก็จะถูกเรียกใช้งานทันที ส่งผลให้เกิดการโจมตีแบบ Stored XSS ซึ่ง Payload จะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์และส่งต่อไปยังผู้ใช้รายอื่น 🔐 ผลกระทบและความเสียหาย หากช่องโหว่นี้ถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น 🪲 Session Hijacking: ขโมย Cookies และ Token การยืนยันตัวตน 🪲 Data Exfiltration: ดึงข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี 🪲 Unauthorized Actions: สั่งการหรือทำงานแทนผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต นี่ถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้และองค์กรที่ใช้ Angular ในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน 🛠️ แนวทางแก้ไขและป้องกัน ทีม Angular ได้ออก Patch แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 19.2.17, 20.3.15 และ 21.0.2 ผู้พัฒนาควรอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ ควรใช้มาตรการเสริม เช่น 🪛 หลีกเลี่ยงการ Bind ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือไปยัง Attribute ที่เสี่ยง 🪛 ใช้ Content Security Policy (CSP) เพื่อบล็อก javascript: URLs 🪛 ตรวจสอบ Input Hygiene อย่างเข้มงวด 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-66412 ➡️ เกิดจากการ Sanitization ไม่สมบูรณ์ใน Angular Template Compiler ➡️ มีผลกระทบต่อ Attribute ที่เกี่ยวข้องกับ URL เช่น xlink:href และ math|href ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้ SVG Animation Elements เช่น <animate> และ Attribute attributeName ➡️ โค้ดอันตรายถูกฝังและทำงานเมื่อผู้ใช้โต้ตอบหรือเมื่อ Animation ทำงาน ✅ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ➡️ ขโมย Session Cookies และ Token ➡️ ดึงข้อมูลผู้ใช้ (Data Exfiltration) ➡️ ทำงานแทนผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดต Angular เป็นเวอร์ชัน 19.2.17, 20.3.15 หรือ 21.0.2 ➡️ ใช้ CSP เพื่อบล็อก javascript: URLs ➡️ หลีกเลี่ยงการ Bind ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ Stored XSS ได้ง่าย ⛔ การละเลย Input Hygiene อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ⛔ การใช้ Angular เวอร์ชันเก่าโดยไม่ Patch เสี่ยงต่อการถูก Hijack และ Data Breach https://securityonline.info/high-severity-angular-flaw-cve-2025-66412-allows-stored-xss-via-svg-and-mathml-bypass/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity Angular Flaw (CVE-2025-66412) Allows Stored XSS via SVG and MathML Bypass
    A High-severity XSS flaw (CVE-2025-66412, CVSS 8.5) in Angular allows attackers to bypass sanitization and execute scripts via vulnerable SVG/MathML attributes. Update to v21.0.2 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • รถยนต์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เสี่ยงถูกแฮ็กมากขึ้น

    นักวิเคราะห์จาก BMI (บริษัทวิจัยในเครือ Fitch Solutions) เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของระบบอัตโนมัติและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในรถยนต์ กำลังทำให้ผู้ขับขี่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีฟังก์ชันควบคุมผ่านซอฟต์แวร์และระบบไร้สาย.

    รายงานระบุว่า การโจมตีจากระยะไกล (remote hijacking) อาจเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากรถยนต์สมัยใหม่มีการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์, แอปพลิเคชันมือถือ และเครือข่าย 5G ซึ่งหากมีช่องโหว่เพียงเล็กน้อยก็อาจถูกใช้เพื่อเข้าควบคุมการทำงานของรถ เช่น ระบบเบรก, พวงมาลัย หรือเครื่องยนต์.

    แม้ผู้ผลิตรถยนต์จะลงทุนมหาศาลในด้าน Cybersecurity แต่ความซับซ้อนของซอฟต์แวร์และการพัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้การป้องกันไม่ทันต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ นักวิจัยชี้ว่า การโจมตีรถยนต์อาจกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคต หากไม่มีมาตรการเข้มงวดและการทดสอบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง.

    นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลว่า ผู้บริโภคอาจไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง เพราะมองว่ารถยนต์เป็นเพียงเครื่องจักรกล แต่ในความจริงแล้ว รถยนต์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตคือ “คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่” ที่มีช่องโหว่ไม่ต่างจากสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
    รถยนต์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเปิดช่องให้ถูกโจมตีจากระยะไกล
    ระบบอัตโนมัติและซอฟต์แวร์ซับซ้อนทำให้การป้องกันยากขึ้น

    ช่องทางการโจมตี
    การเชื่อมต่อกับคลาวด์, แอปมือถือ และเครือข่าย 5G
    อาจถูกควบคุมระบบเบรก, พวงมาลัย หรือเครื่องยนต์

    ความท้าทายของผู้ผลิต
    ต้องลงทุนมหาศาลใน Cybersecurity
    การพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วทำให้การป้องกันไม่ทันภัยใหม่

    คำเตือนจากนักวิจัย
    การโจมตีรถยนต์อาจกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคต
    ผู้บริโภคยังไม่ตระหนักว่ารถยนต์คือ “คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่” ที่มีช่องโหว่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/30/connected-cars-at-growing-risk-of-remote-hijacking-researchers-warn
    🚗 รถยนต์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เสี่ยงถูกแฮ็กมากขึ้น นักวิเคราะห์จาก BMI (บริษัทวิจัยในเครือ Fitch Solutions) เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของระบบอัตโนมัติและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในรถยนต์ กำลังทำให้ผู้ขับขี่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีฟังก์ชันควบคุมผ่านซอฟต์แวร์และระบบไร้สาย. รายงานระบุว่า การโจมตีจากระยะไกล (remote hijacking) อาจเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากรถยนต์สมัยใหม่มีการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์, แอปพลิเคชันมือถือ และเครือข่าย 5G ซึ่งหากมีช่องโหว่เพียงเล็กน้อยก็อาจถูกใช้เพื่อเข้าควบคุมการทำงานของรถ เช่น ระบบเบรก, พวงมาลัย หรือเครื่องยนต์. แม้ผู้ผลิตรถยนต์จะลงทุนมหาศาลในด้าน Cybersecurity แต่ความซับซ้อนของซอฟต์แวร์และการพัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้การป้องกันไม่ทันต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ นักวิจัยชี้ว่า การโจมตีรถยนต์อาจกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคต หากไม่มีมาตรการเข้มงวดและการทดสอบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง. นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลว่า ผู้บริโภคอาจไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง เพราะมองว่ารถยนต์เป็นเพียงเครื่องจักรกล แต่ในความจริงแล้ว รถยนต์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตคือ “คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่” ที่มีช่องโหว่ไม่ต่างจากสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ➡️ รถยนต์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเปิดช่องให้ถูกโจมตีจากระยะไกล ➡️ ระบบอัตโนมัติและซอฟต์แวร์ซับซ้อนทำให้การป้องกันยากขึ้น ✅ ช่องทางการโจมตี ➡️ การเชื่อมต่อกับคลาวด์, แอปมือถือ และเครือข่าย 5G ➡️ อาจถูกควบคุมระบบเบรก, พวงมาลัย หรือเครื่องยนต์ ✅ ความท้าทายของผู้ผลิต ➡️ ต้องลงทุนมหาศาลใน Cybersecurity ➡️ การพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วทำให้การป้องกันไม่ทันภัยใหม่ ‼️ คำเตือนจากนักวิจัย ⛔ การโจมตีรถยนต์อาจกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคต ⛔ ผู้บริโภคยังไม่ตระหนักว่ารถยนต์คือ “คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่” ที่มีช่องโหว่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/30/connected-cars-at-growing-risk-of-remote-hijacking-researchers-warn
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Connected cars at growing risk of remote hijacking, researchers warn
    The increasing automation and connectivity of cars is not only taking the driving out of driving – and for some, the fun too – but could also be leaving owners vulnerable to hackers trying to remotely hijack their vehicles, analysts say.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • Molly - App Signal สำหรับ Android ที่ปลอดภัยกว่าต้นฉบับ

    Molly คือแอปพลิเคชันที่พัฒนาต่อยอดจาก Signal สำหรับ Android โดยเน้นความเป็น FOSS (Free and Open Source Software) และเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการใช้งาน

    จุดเด่นด้านความปลอดภัย
    Passphrase Encryption: ปกป้องฐานข้อมูลด้วยการเข้ารหัสผ่าน
    RAM Shredding: ลบข้อมูลที่อ่อนไหวออกจากหน่วยความจำอย่างปลอดภัย
    Automatic Locking: แอปจะล็อกอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ไม่อยู่ในช่วงเวลาที่กำหนด

    ฟีเจอร์การใช้งานที่ยืดหยุ่น
    Multi-Device: รองรับการเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์กับบัญชีเดียว
    Material You Theme: ธีมที่ปรับตามโทนสีของอุปกรณ์ Android
    UnifiedPush: ระบบแจ้งเตือนที่ไม่พึ่งพา Google (Ungoogled notification system)

    การเชื่อมต่อและความเป็นส่วนตัว
    Tor Support: รองรับ SOCKS proxy และ Tor ผ่าน Orbot
    Fully FOSS: ไม่มี proprietary blobs ต่างจาก Signal เวอร์ชันหลัก
    Infrastructure: ได้รับการสนับสนุนจาก Bahnhof (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในสวีเดน)

    วิสัยทัศน์และการพัฒนา
    Molly ประกาศว่าจะมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ปลอดภัยและทันสมัยมากขึ้น โดยยังคงยึดหลักการโอเพนซอร์สและความโปร่งใสในการพัฒนา

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เข้ากันได้กับ Signal
    ใช้โปรโตคอลการเข้ารหัสเดียวกัน
    สามารถส่งข้อความ/โทรหาผู้ใช้ Signal ได้

    ความปลอดภัย
    Passphrase Encryption ปกป้องฐานข้อมูล
    RAM Shredding ลบข้อมูลอ่อนไหวออกจากหน่วยความจำ
    Automatic Locking ล็อกอัตโนมัติเมื่อไม่ใช้งาน

    ฟีเจอร์การใช้งาน
    Multi-Device รองรับหลายอุปกรณ์
    Material You Theme ปรับตามโทนสีเครื่อง
    UnifiedPush แจ้งเตือนแบบไม่พึ่ง Google

    ความเป็นส่วนตัว
    Tor Support ผ่าน Orbot
    Fully FOSS ไม่มี proprietary blobs
    โครงสร้างพื้นฐานได้รับการสนับสนุนจาก Bahnhof

    คำเตือน/ข้อสังเกต
    ฟีเจอร์บางอย่างอาจยังอยู่ระหว่างการพัฒนา
    การใช้ Tor อาจทำให้ความเร็วการเชื่อมต่อลดลง

    https://molly.im/
    📲 Molly - App Signal สำหรับ Android ที่ปลอดภัยกว่าต้นฉบับ Molly คือแอปพลิเคชันที่พัฒนาต่อยอดจาก Signal สำหรับ Android โดยเน้นความเป็น FOSS (Free and Open Source Software) และเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการใช้งาน 🔐 จุดเด่นด้านความปลอดภัย 🎗️ Passphrase Encryption: ปกป้องฐานข้อมูลด้วยการเข้ารหัสผ่าน 🎗️ RAM Shredding: ลบข้อมูลที่อ่อนไหวออกจากหน่วยความจำอย่างปลอดภัย 🎗️ Automatic Locking: แอปจะล็อกอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ไม่อยู่ในช่วงเวลาที่กำหนด 📱 ฟีเจอร์การใช้งานที่ยืดหยุ่น 💠 Multi-Device: รองรับการเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์กับบัญชีเดียว 💠 Material You Theme: ธีมที่ปรับตามโทนสีของอุปกรณ์ Android 💠 UnifiedPush: ระบบแจ้งเตือนที่ไม่พึ่งพา Google (Ungoogled notification system) 🌐 การเชื่อมต่อและความเป็นส่วนตัว 💠 Tor Support: รองรับ SOCKS proxy และ Tor ผ่าน Orbot 💠 Fully FOSS: ไม่มี proprietary blobs ต่างจาก Signal เวอร์ชันหลัก 💠 Infrastructure: ได้รับการสนับสนุนจาก Bahnhof (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในสวีเดน) 🚀 วิสัยทัศน์และการพัฒนา Molly ประกาศว่าจะมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ปลอดภัยและทันสมัยมากขึ้น โดยยังคงยึดหลักการโอเพนซอร์สและความโปร่งใสในการพัฒนา 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เข้ากันได้กับ Signal ➡️ ใช้โปรโตคอลการเข้ารหัสเดียวกัน ➡️ สามารถส่งข้อความ/โทรหาผู้ใช้ Signal ได้ ✅ ความปลอดภัย ➡️ Passphrase Encryption ปกป้องฐานข้อมูล ➡️ RAM Shredding ลบข้อมูลอ่อนไหวออกจากหน่วยความจำ ➡️ Automatic Locking ล็อกอัตโนมัติเมื่อไม่ใช้งาน ✅ ฟีเจอร์การใช้งาน ➡️ Multi-Device รองรับหลายอุปกรณ์ ➡️ Material You Theme ปรับตามโทนสีเครื่อง ➡️ UnifiedPush แจ้งเตือนแบบไม่พึ่ง Google ✅ ความเป็นส่วนตัว ➡️ Tor Support ผ่าน Orbot ➡️ Fully FOSS ไม่มี proprietary blobs ➡️ โครงสร้างพื้นฐานได้รับการสนับสนุนจาก Bahnhof ‼️ คำเตือน/ข้อสังเกต ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างอาจยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ⛔ การใช้ Tor อาจทำให้ความเร็วการเชื่อมต่อลดลง https://molly.im/
    MOLLY.IM
    Molly
    Molly is an improved Signal app for Android
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • Solus 4.8 เปิดตัวแล้ว: Linux Kernel 6.17, GNOME 49, KDE Plasma 6.5 และอีกมากมาย

    Solus 4.8 (โค้ดเนม Opportunity) เปิดตัวพร้อม Linux Kernel 6.17 และเดสก์ท็อปใหม่ล่าสุด ได้แก่ Budgie 10.9.4, GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.3 และ Xfce 4.20 โดย GNOME edition ได้ยกเลิกการใช้ X11 session เป็นค่าเริ่มต้น และหันไปใช้ Wayland อย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพและความทันสมัยของระบบ

    การเปลี่ยนแปลงระบบและแพ็กเกจ
    Solus 4.8 ใช้ Polaris package repository ใหม่ ทำให้สามารถลบ symbolic links ที่ใช้สำหรับ Usr-Merge compatibility และอัปเดต systemd package ได้ นอกจากนี้ยังมีการลบ Python 2 ออกจาก repository และ live ISO อย่างถาวร พร้อมทั้งยกเลิก Solus Software Center โดยหันไปใช้ GNOME Software และ Plasma Discover แทนในการจัดการแอปพลิเคชัน

    ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันใหม่
    รุ่นนี้มาพร้อมซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุด เช่น Mozilla Firefox 145, LibreOffice 25.2.6, Thunderbird 140.5, และ Mesa 25.2.6 graphics stack รวมถึง girepository 2.0 และ systemd 257.10 ทำให้ผู้ใช้ได้รับระบบที่ทันสมัยและเสถียรยิ่งขึ้น

    การอัปเดตสำหรับผู้ใช้เดิม
    เนื่องจาก Solus เป็น rolling-release ผู้ใช้เดิมไม่จำเป็นต้องติดตั้งใหม่ เพียงอัปเดตผ่าน package manager ก็จะได้รับฟีเจอร์ทั้งหมดทันที รุ่นใหม่นี้ยังปรับปรุงการจัดการโมดูล 32-bit ให้เบาลง และเปิดใช้งาน homed และ userdb modules เพื่อรองรับการจัดการผู้ใช้ที่ทันสมัยมากขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ฟีเจอร์หลักใน Solus 4.8
    ใช้ Linux Kernel 6.17
    Budgie 10.9.4, GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.3, Xfce 4.20
    GNOME edition ใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้น

    การเปลี่ยนแปลงระบบ
    ใช้ Polaris package repository ใหม่
    ลบ Python 2 ออกจากระบบ
    ยกเลิก Solus Software Center

    ซอฟต์แวร์ใหม่
    Firefox 145, LibreOffice 25.2.6, Thunderbird 140.5
    Mesa 25.2.6 graphics stack
    systemd 257.10

    การอัปเดตสำหรับผู้ใช้เดิม
    อัปเดตผ่าน package manager ได้ทันที
    โมดูล 32-bit ถูกทำให้เบาลง
    เปิดใช้งาน homed และ userdb modules

    ข้อควรระวัง
    การยกเลิก X11 อาจทำให้บางแอปที่ยังไม่รองรับ Wayland มีปัญหา
    การลบ Python 2 อาจกระทบกับสคริปต์เก่าที่ไม่ได้อัปเดต
    การยกเลิก Solus Software Center อาจทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวไปใช้ GNOME Software หรือ Plasma Discover

    https://9to5linux.com/solus-4-8-released-with-linux-kernel-6-17-gnome-49-kde-plasma-6-5-and-more
    📰 Solus 4.8 เปิดตัวแล้ว: Linux Kernel 6.17, GNOME 49, KDE Plasma 6.5 และอีกมากมาย Solus 4.8 (โค้ดเนม Opportunity) เปิดตัวพร้อม Linux Kernel 6.17 และเดสก์ท็อปใหม่ล่าสุด ได้แก่ Budgie 10.9.4, GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.3 และ Xfce 4.20 โดย GNOME edition ได้ยกเลิกการใช้ X11 session เป็นค่าเริ่มต้น และหันไปใช้ Wayland อย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพและความทันสมัยของระบบ ⚙️ การเปลี่ยนแปลงระบบและแพ็กเกจ Solus 4.8 ใช้ Polaris package repository ใหม่ ทำให้สามารถลบ symbolic links ที่ใช้สำหรับ Usr-Merge compatibility และอัปเดต systemd package ได้ นอกจากนี้ยังมีการลบ Python 2 ออกจาก repository และ live ISO อย่างถาวร พร้อมทั้งยกเลิก Solus Software Center โดยหันไปใช้ GNOME Software และ Plasma Discover แทนในการจัดการแอปพลิเคชัน 🌐 ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันใหม่ รุ่นนี้มาพร้อมซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุด เช่น Mozilla Firefox 145, LibreOffice 25.2.6, Thunderbird 140.5, และ Mesa 25.2.6 graphics stack รวมถึง girepository 2.0 และ systemd 257.10 ทำให้ผู้ใช้ได้รับระบบที่ทันสมัยและเสถียรยิ่งขึ้น 🔄 การอัปเดตสำหรับผู้ใช้เดิม เนื่องจาก Solus เป็น rolling-release ผู้ใช้เดิมไม่จำเป็นต้องติดตั้งใหม่ เพียงอัปเดตผ่าน package manager ก็จะได้รับฟีเจอร์ทั้งหมดทันที รุ่นใหม่นี้ยังปรับปรุงการจัดการโมดูล 32-bit ให้เบาลง และเปิดใช้งาน homed และ userdb modules เพื่อรองรับการจัดการผู้ใช้ที่ทันสมัยมากขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ฟีเจอร์หลักใน Solus 4.8 ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.17 ➡️ Budgie 10.9.4, GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.3, Xfce 4.20 ➡️ GNOME edition ใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้น ✅ การเปลี่ยนแปลงระบบ ➡️ ใช้ Polaris package repository ใหม่ ➡️ ลบ Python 2 ออกจากระบบ ➡️ ยกเลิก Solus Software Center ✅ ซอฟต์แวร์ใหม่ ➡️ Firefox 145, LibreOffice 25.2.6, Thunderbird 140.5 ➡️ Mesa 25.2.6 graphics stack ➡️ systemd 257.10 ✅ การอัปเดตสำหรับผู้ใช้เดิม ➡️ อัปเดตผ่าน package manager ได้ทันที ➡️ โมดูล 32-bit ถูกทำให้เบาลง ➡️ เปิดใช้งาน homed และ userdb modules ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การยกเลิก X11 อาจทำให้บางแอปที่ยังไม่รองรับ Wayland มีปัญหา ⛔ การลบ Python 2 อาจกระทบกับสคริปต์เก่าที่ไม่ได้อัปเดต ⛔ การยกเลิก Solus Software Center อาจทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวไปใช้ GNOME Software หรือ Plasma Discover https://9to5linux.com/solus-4-8-released-with-linux-kernel-6-17-gnome-49-kde-plasma-6-5-and-more
    9TO5LINUX.COM
    Solus 4.8 Released with Linux Kernel 6.17, GNOME 49, KDE Plasma 6.5, and More - 9to5Linux
    Solus 4.8 distribution is now available for download with Linux 6.17 and featuring updated GNOME, KDE Plasma, Budgie, and Xfce editions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึกสองแอป System Monitor บน Linux

    Mission Center และ Resources เป็นสองแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้ Linux ตรวจสอบการทำงานของระบบ ทั้งคู่ใช้ GTK4 และ libadwaita ทำให้หน้าตาโมเดิร์นและเข้ากับ GNOME Desktop ได้ดี แต่แนวทางต่างกัน: Mission Center เน้นรายละเอียดเชิงลึกของฮาร์ดแวร์ทันทีที่เปิดใช้งาน ส่วน Resources เน้นความเรียบง่ายและแสดงข้อมูลแอปควบคู่กับฮาร์ดแวร์ในมุมมองเดียว

    ประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากร
    Mission Center ใช้ GPU acceleration เพื่อแสดงกราฟ ทำให้ CPU ใช้งานน้อยมาก แม้จะแสดงข้อมูลแบบละเอียดก็ยังใช้ RAM ประมาณ 168MB ขณะที่ Resources ใช้หน่วยความจำเพียง 136MB และ CPU ก็เบามากเช่นกัน แม้จะไม่มีการยืนยันว่าใช้ GPU acceleration แต่ก็ยังคงทำงานได้ลื่นไหล ความแตกต่างด้านทรัพยากรถือว่าน้อย แต่ผู้ใช้ที่มี RAM จำกัดอาจเลือก Resources ได้เปรียบกว่า

    ฟีเจอร์จัดการ Process
    ทั้งสองแอปมีฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น หยุด, ยุติ, หรือดูรายละเอียดของ Process แต่ Mission Center โดดเด่นด้วยการจัดการ Service ผ่าน Systemd โดยตรง เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ GUI แทนการใช้ CLI ส่วน Resources มีลูกเล่นซ่อน เช่น การปรับค่า Niceness และการเปลี่ยน CPU affinity ของ Process ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการปรับแต่งการทำงานเชิงลึกบนเครื่องที่มีหลายคอร์

    เทรนด์ GNOME และอนาคต
    ในปี 2025 GNOME 49 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น การควบคุมสื่อจาก Lock Screen, การปรับความสว่างต่อจอแยก, และแอปใหม่อย่าง Showtime (แทน Totem) และ Papers (แทน Evince) สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า GNOME กำลังพัฒนา ecosystem ให้ครบวงจรและใช้งานง่ายขึ้น แอปอย่าง Mission Center และ Resources จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระแสที่ทำให้ Linux Desktop มีความทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Mission Center
    เน้นรายละเอียดฮาร์ดแวร์ทันทีที่เปิดใช้งาน
    ใช้ GPU acceleration ลดภาระ CPU
    มีฟีเจอร์จัดการ Service ผ่าน Systemd

    Resources
    แสดงข้อมูลแอปและฮาร์ดแวร์ควบคู่กัน
    ใช้ RAM น้อยกว่า Mission Center
    ปรับ Niceness และ CPU affinity ได้

    เทรนด์ GNOME 49
    เพิ่มแอปใหม่ เช่น Showtime และ Papers
    ฟีเจอร์ Lock Screen Media Control และปรับความสว่างต่อจอ

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ที่มี RAM จำกัดควรเลือก Resources เพราะ Mission Center ใช้ RAM มากกว่า
    การปรับ Niceness หรือ CPU affinity ใน Resources หากตั้งค่าผิดอาจทำให้ระบบไม่เสถียร
    การจัดการ Service ผ่าน Mission Center แม้สะดวก แต่หากหยุด Service สำคัญโดยไม่รู้ อาจทำให้ระบบล่ม

    https://itsfoss.com/mission-center-vs-resources/
    🖥️ ศึกสองแอป System Monitor บน Linux Mission Center และ Resources เป็นสองแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้ Linux ตรวจสอบการทำงานของระบบ ทั้งคู่ใช้ GTK4 และ libadwaita ทำให้หน้าตาโมเดิร์นและเข้ากับ GNOME Desktop ได้ดี แต่แนวทางต่างกัน: Mission Center เน้นรายละเอียดเชิงลึกของฮาร์ดแวร์ทันทีที่เปิดใช้งาน ส่วน Resources เน้นความเรียบง่ายและแสดงข้อมูลแอปควบคู่กับฮาร์ดแวร์ในมุมมองเดียว ⚡ ประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากร Mission Center ใช้ GPU acceleration เพื่อแสดงกราฟ ทำให้ CPU ใช้งานน้อยมาก แม้จะแสดงข้อมูลแบบละเอียดก็ยังใช้ RAM ประมาณ 168MB ขณะที่ Resources ใช้หน่วยความจำเพียง 136MB และ CPU ก็เบามากเช่นกัน แม้จะไม่มีการยืนยันว่าใช้ GPU acceleration แต่ก็ยังคงทำงานได้ลื่นไหล ความแตกต่างด้านทรัพยากรถือว่าน้อย แต่ผู้ใช้ที่มี RAM จำกัดอาจเลือก Resources ได้เปรียบกว่า 🔧 ฟีเจอร์จัดการ Process ทั้งสองแอปมีฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น หยุด, ยุติ, หรือดูรายละเอียดของ Process แต่ Mission Center โดดเด่นด้วยการจัดการ Service ผ่าน Systemd โดยตรง เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ GUI แทนการใช้ CLI ส่วน Resources มีลูกเล่นซ่อน เช่น การปรับค่า Niceness และการเปลี่ยน CPU affinity ของ Process ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการปรับแต่งการทำงานเชิงลึกบนเครื่องที่มีหลายคอร์ 🌐 เทรนด์ GNOME และอนาคต ในปี 2025 GNOME 49 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น การควบคุมสื่อจาก Lock Screen, การปรับความสว่างต่อจอแยก, และแอปใหม่อย่าง Showtime (แทน Totem) และ Papers (แทน Evince) สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า GNOME กำลังพัฒนา ecosystem ให้ครบวงจรและใช้งานง่ายขึ้น แอปอย่าง Mission Center และ Resources จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระแสที่ทำให้ Linux Desktop มีความทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Mission Center ➡️ เน้นรายละเอียดฮาร์ดแวร์ทันทีที่เปิดใช้งาน ➡️ ใช้ GPU acceleration ลดภาระ CPU ➡️ มีฟีเจอร์จัดการ Service ผ่าน Systemd ✅ Resources ➡️ แสดงข้อมูลแอปและฮาร์ดแวร์ควบคู่กัน ➡️ ใช้ RAM น้อยกว่า Mission Center ➡️ ปรับ Niceness และ CPU affinity ได้ ✅ เทรนด์ GNOME 49 ➡️ เพิ่มแอปใหม่ เช่น Showtime และ Papers ➡️ ฟีเจอร์ Lock Screen Media Control และปรับความสว่างต่อจอ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ที่มี RAM จำกัดควรเลือก Resources เพราะ Mission Center ใช้ RAM มากกว่า ⛔ การปรับ Niceness หรือ CPU affinity ใน Resources หากตั้งค่าผิดอาจทำให้ระบบไม่เสถียร ⛔ การจัดการ Service ผ่าน Mission Center แม้สะดวก แต่หากหยุด Service สำคัญโดยไม่รู้ อาจทำให้ระบบล่ม https://itsfoss.com/mission-center-vs-resources/
    ITSFOSS.COM
    Mission Center vs. Resources: The Ultimate Linux System Monitor Showdown
    Two of the best GUI-based system monitors for desktop Linux users. Which one is better of the two? Let's find out.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qualcomm เปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 พร้อมซัพพอร์ต Linux แบบวันเดียว”

    Qualcomm Technologies ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญด้วยการ ปล่อยแพตช์ซัพพอร์ต Linux สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ภายในวันเดียวหลังจากเปิดตัวชิปใหม่ ถือเป็นการยกระดับแนวคิด developer-first ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการ upstream ที่ยืดเยื้อ

    รายละเอียดฟีเจอร์ที่ถูก upstream
    รองรับ Qualcomm Oryon CPUs พร้อม DVFS และการจัดการพลังงาน
    ระบบ I/O ความเร็วสูง เช่น PCIe, USB 3.0, UFS 4.1
    โมดูลการเชื่อมต่อ WCN7851 สำหรับ Wi-Fi และ Bluetooth
    ซับซิสเต็ม Hexagon DSP สำหรับงาน audio และ compute
    หน่วยประมวลผลภาพและเสียง เช่น Iris VPU, Adreno GPU, WSA8845/WCD9395 codecs

    ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การ upstream แบบทันทีนี้ทำให้นักพัฒนาสามารถทดลองใช้ Debian image ที่พร้อมบูตได้ทันที พร้อมเข้าถึงแพตช์บน Linux kernel mailing lists โดยไม่ต้องลงทะเบียนใด ๆ สิ่งนี้ช่วยลด “time-to-market” และสร้างความมั่นใจว่าฟีเจอร์ใหม่จะถูกทดสอบและปรับปรุงอย่างรวดเร็วโดยชุมชน

    ผลกระทบต่อระบบนิเวศ
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI inference, multimedia และการประมวลผลกราฟิกขั้นสูง การที่ Qualcomm เปิดให้เข้าถึง upstream ได้ทันทีจึงเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ทั้งในด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่และการสร้างระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง

    สรุปสาระสำคัญ
    การปล่อยแพตช์ทันที
    Qualcomm upstream ซัพพอร์ต Linux ภายในวันเดียวหลังเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5
    Debian image พร้อมใช้งานสำหรับนักพัฒนา

    ฟีเจอร์หลักที่รองรับ
    Oryon CPUs, PCIe, USB 3.0, UFS 4.1
    Iris VPU, Adreno GPU, Hexagon DSP, Audio codecs

    ผลต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    ลดเวลาในการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่
    เปิดให้ทดสอบและปรับปรุงโดยนักพัฒนาทั่วโลก

    ข้อควรระวัง
    ฟีเจอร์บางส่วน เช่น Display และ GPU device tree ยังไม่ถูก upstream เต็มรูปแบบ
    ต้องติดตามการอัปเดตแพตช์เพิ่มเติมในอนาคต

    https://www.qualcomm.com/developer/blog/2025/10/same-day-snapdragon-8-elite-gen-5-upstream-linux-support
    📰 “Qualcomm เปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 พร้อมซัพพอร์ต Linux แบบวันเดียว” Qualcomm Technologies ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญด้วยการ ปล่อยแพตช์ซัพพอร์ต Linux สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ภายในวันเดียวหลังจากเปิดตัวชิปใหม่ ถือเป็นการยกระดับแนวคิด developer-first ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการ upstream ที่ยืดเยื้อ 🔧 รายละเอียดฟีเจอร์ที่ถูก upstream 🎗️ รองรับ Qualcomm Oryon CPUs พร้อม DVFS และการจัดการพลังงาน 🎗️ ระบบ I/O ความเร็วสูง เช่น PCIe, USB 3.0, UFS 4.1 🎗️ โมดูลการเชื่อมต่อ WCN7851 สำหรับ Wi-Fi และ Bluetooth 🎗️ ซับซิสเต็ม Hexagon DSP สำหรับงาน audio และ compute 🎗️ หน่วยประมวลผลภาพและเสียง เช่น Iris VPU, Adreno GPU, WSA8845/WCD9395 codecs 🌐 ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส การ upstream แบบทันทีนี้ทำให้นักพัฒนาสามารถทดลองใช้ Debian image ที่พร้อมบูตได้ทันที พร้อมเข้าถึงแพตช์บน Linux kernel mailing lists โดยไม่ต้องลงทะเบียนใด ๆ สิ่งนี้ช่วยลด “time-to-market” และสร้างความมั่นใจว่าฟีเจอร์ใหม่จะถูกทดสอบและปรับปรุงอย่างรวดเร็วโดยชุมชน 🚀 ผลกระทบต่อระบบนิเวศ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI inference, multimedia และการประมวลผลกราฟิกขั้นสูง การที่ Qualcomm เปิดให้เข้าถึง upstream ได้ทันทีจึงเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ทั้งในด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่และการสร้างระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปล่อยแพตช์ทันที ➡️ Qualcomm upstream ซัพพอร์ต Linux ภายในวันเดียวหลังเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 5 ➡️ Debian image พร้อมใช้งานสำหรับนักพัฒนา ✅ ฟีเจอร์หลักที่รองรับ ➡️ Oryon CPUs, PCIe, USB 3.0, UFS 4.1 ➡️ Iris VPU, Adreno GPU, Hexagon DSP, Audio codecs ✅ ผลต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส ➡️ ลดเวลาในการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ ➡️ เปิดให้ทดสอบและปรับปรุงโดยนักพัฒนาทั่วโลก ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ฟีเจอร์บางส่วน เช่น Display และ GPU device tree ยังไม่ถูก upstream เต็มรูปแบบ ⛔ ต้องติดตามการอัปเดตแพตช์เพิ่มเติมในอนาคต https://www.qualcomm.com/developer/blog/2025/10/same-day-snapdragon-8-elite-gen-5-upstream-linux-support
    WWW.QUALCOMM.COM
    Same-day upstream Linux support for Snapdragon 8 Elite Gen 5 mobile platform
    Initial kernel and subsystem support for new Snapdragon 8 Elite Gen 5 posted for review. Learn what’s in the patches and how you can start working with them.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • EU บังคับ Apple ใช้มาตรฐาน Wi-Fi ใหม่ เปิดทาง Android รองรับ AirDrop

    สหภาพยุโรป (EU) ได้บังคับให้ Apple ต้องปรับเปลี่ยนมาตรฐาน Wi-Fi ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการแชร์ไฟล์ไร้สาย โดยผลลัพธ์ที่ตามมาคือ Android สามารถรองรับฟีเจอร์แบบ AirDrop ได้แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดข้อจำกัดระหว่างแพลตฟอร์มและเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน.

    การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี
    ก่อนหน้านี้ AirDrop เป็นฟีเจอร์เฉพาะของ Apple ที่ใช้เทคโนโลยี Wi-Fi และ Bluetooth ในการส่งไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ iOS และ macOS แต่ด้วยการบังคับใช้มาตรฐานใหม่ ทำให้ระบบการเชื่อมต่อไร้สายมีความเป็นสากลมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ Android สามารถใช้วิธีการแชร์ไฟล์ที่ใกล้เคียงกับ AirDrop ได้โดยตรง.

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์ระหว่าง iPhone และ Android ได้ง่ายขึ้น ลดความยุ่งยากที่เคยต้องพึ่งพาแอปพลิเคชันเสริม เช่น Google Drive หรือการส่งผ่านแอปแชท นอกจากนี้ยังช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ต่างระบบเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปที่มีการบังคับใช้ข้อกำหนดนี้.

    ความหมายต่ออนาคต
    การที่ EU กำหนดมาตรฐาน Wi-Fi ใหม่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อ Apple แต่ยังเป็นการสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตอุปกรณ์รายอื่นต้องปรับตัวตามมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ การเชื่อมต่อไร้สายที่เป็นสากลมากขึ้นทั่วโลก และลดการแบ่งแยกระหว่างระบบนิเวศของแต่ละบริษัท.

    สรุปสาระสำคัญ
    EU บังคับ Apple ใช้มาตรฐาน Wi-Fi ใหม่
    ส่งผลให้ Android รองรับฟีเจอร์แบบ AirDrop

    AirDrop เดิมเป็นฟีเจอร์เฉพาะของ Apple
    ใช้ Wi-Fi และ Bluetooth ในการส่งไฟล์

    การเปลี่ยนแปลงช่วยให้แชร์ไฟล์ระหว่าง iPhone และ Android ง่ายขึ้น
    ลดการพึ่งพาแอปเสริม เช่น Google Drive

    สร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตอุปกรณ์รายอื่นปรับตัวตามมาตรฐานเดียวกัน
    อาจนำไปสู่การเชื่อมต่อไร้สายที่เป็นสากลทั่วโลก

    การเปลี่ยนแปลงอาจทำให้ผู้ใช้บางรายต้องปรับตัว
    แอปหรือบริการที่เคยใช้ในการแชร์ไฟล์อาจถูกลดความสำคัญ

    ผู้ผลิตที่ไม่ปรับตามมาตรฐานใหม่เสี่ยงต่อการถูกจำกัดตลาดในยุโรป
    อาจกระทบต่อยอดขายและการเข้าถึงผู้ใช้

    https://arstechnica.com/gadgets/2025/11/the-eu-made-apple-adopt-new-wi-fi-standards-and-now-android-can-support-airdrop/
    📡 EU บังคับ Apple ใช้มาตรฐาน Wi-Fi ใหม่ เปิดทาง Android รองรับ AirDrop สหภาพยุโรป (EU) ได้บังคับให้ Apple ต้องปรับเปลี่ยนมาตรฐาน Wi-Fi ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการแชร์ไฟล์ไร้สาย โดยผลลัพธ์ที่ตามมาคือ Android สามารถรองรับฟีเจอร์แบบ AirDrop ได้แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดข้อจำกัดระหว่างแพลตฟอร์มและเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน. 🔄 การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ก่อนหน้านี้ AirDrop เป็นฟีเจอร์เฉพาะของ Apple ที่ใช้เทคโนโลยี Wi-Fi และ Bluetooth ในการส่งไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ iOS และ macOS แต่ด้วยการบังคับใช้มาตรฐานใหม่ ทำให้ระบบการเชื่อมต่อไร้สายมีความเป็นสากลมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ Android สามารถใช้วิธีการแชร์ไฟล์ที่ใกล้เคียงกับ AirDrop ได้โดยตรง. 📱 ผลกระทบต่อผู้ใช้ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์ระหว่าง iPhone และ Android ได้ง่ายขึ้น ลดความยุ่งยากที่เคยต้องพึ่งพาแอปพลิเคชันเสริม เช่น Google Drive หรือการส่งผ่านแอปแชท นอกจากนี้ยังช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ต่างระบบเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปที่มีการบังคับใช้ข้อกำหนดนี้. 🌍 ความหมายต่ออนาคต การที่ EU กำหนดมาตรฐาน Wi-Fi ใหม่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อ Apple แต่ยังเป็นการสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตอุปกรณ์รายอื่นต้องปรับตัวตามมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ การเชื่อมต่อไร้สายที่เป็นสากลมากขึ้นทั่วโลก และลดการแบ่งแยกระหว่างระบบนิเวศของแต่ละบริษัท. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ EU บังคับ Apple ใช้มาตรฐาน Wi-Fi ใหม่ ➡️ ส่งผลให้ Android รองรับฟีเจอร์แบบ AirDrop ✅ AirDrop เดิมเป็นฟีเจอร์เฉพาะของ Apple ➡️ ใช้ Wi-Fi และ Bluetooth ในการส่งไฟล์ ✅ การเปลี่ยนแปลงช่วยให้แชร์ไฟล์ระหว่าง iPhone และ Android ง่ายขึ้น ➡️ ลดการพึ่งพาแอปเสริม เช่น Google Drive ✅ สร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตอุปกรณ์รายอื่นปรับตัวตามมาตรฐานเดียวกัน ➡️ อาจนำไปสู่การเชื่อมต่อไร้สายที่เป็นสากลทั่วโลก ‼️ การเปลี่ยนแปลงอาจทำให้ผู้ใช้บางรายต้องปรับตัว ⛔ แอปหรือบริการที่เคยใช้ในการแชร์ไฟล์อาจถูกลดความสำคัญ ‼️ ผู้ผลิตที่ไม่ปรับตามมาตรฐานใหม่เสี่ยงต่อการถูกจำกัดตลาดในยุโรป ⛔ อาจกระทบต่อยอดขายและการเข้าถึงผู้ใช้ https://arstechnica.com/gadgets/2025/11/the-eu-made-apple-adopt-new-wi-fi-standards-and-now-android-can-support-airdrop/
    ARSTECHNICA.COM
    The EU made Apple adopt new Wi-Fi standards, and now Android can support AirDrop
    Google’s Pixel 10 works with AirDrop, and other phones should follow later.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • คู่มือเลือก Cloud Security Posture Management (CSPM) Tools

    ในยุคที่องค์กรใช้ Hybrid Multicloud กันมากขึ้น การจัดการความปลอดภัยบนคลาวด์จึงเป็นเรื่องสำคัญ บทความจาก CSO Online อธิบายว่า CSPM (Cloud Security Posture Management) คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบและแก้ไขการตั้งค่าที่ผิดพลาดในคลาวด์ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์ โดย CSPM จะทำงานร่วมกับมาตรฐานความปลอดภัย เช่น PCI, SOC2 และช่วยให้องค์กรมั่นใจว่าการตั้งค่าคลาวด์สอดคล้องกับข้อกำหนด.

    สิ่งที่ควรมองหาใน CSPM Tools
    องค์กรควรเลือกเครื่องมือที่สามารถทำงานได้กับทุกแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ใช้งาน เช่น AWS, Azure และ Google Cloud รวมถึงต้องมีความสามารถในการ normalize risks เพื่อให้ทีมเข้าใจความเสี่ยงได้ชัดเจน ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมี ได้แก่:
    การตรวจจับภัยคุกคามจากหลายแหล่ง
    การป้องกันข้อมูลเชิงลึก (Data Security Integration)
    ระบบแจ้งเตือนและแก้ไขอัตโนมัติ (Automated Remediation)
    การทำงานร่วมกับ DevOps เพื่อฝังความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนพัฒนา.

    ประโยชน์และข้อควรระวัง
    CSPM ช่วยให้องค์กรสามารถ ระบุและแก้ไขความเสี่ยงเชิงรุก ก่อนที่แฮกเกอร์จะโจมตี ลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา และทำให้การตรวจสอบตามมาตรฐานเป็นไปโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม หากทีมไม่มีความรู้ด้านคลาวด์เพียงพอ การใช้งาน CSPM อาจไม่เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งการเลือกเครื่องมือที่รองรับเพียงคลาวด์เดียวอาจทำให้ขาดมุมมองรวมของระบบทั้งหมด.

    ผู้เล่นหลักในตลาด CSPM
    ปัจจุบัน CSPM ไม่ได้เป็นเครื่องมือแยกเดี่ยวอีกต่อไป แต่มักถูกรวมเข้ากับ CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) หรือ SSE (Secure Service Edge) โดยผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น CrowdStrike, Palo Alto Networks, Wiz, Zscaler และ Tenable ซึ่งช่วยให้การจัดการความปลอดภัยครอบคลุมทั้งแอปพลิเคชัน ข้อมูล และเครือข่าย.

    สรุปสาระสำคัญ
    CSPM คือเครื่องมือจัดการความปลอดภัยบนคลาวด์
    ตรวจสอบและแก้ไขการตั้งค่าที่ผิดพลาด

    ควรเลือกเครื่องมือที่รองรับหลายแพลตฟอร์มคลาวด์
    AWS, Azure, Google Cloud

    ฟีเจอร์สำคัญ: Threat Detection, Data Security, Automated Remediation, DevOps Integration
    ช่วยให้ทีมเข้าใจและแก้ไขความเสี่ยงได้รวดเร็ว

    ประโยชน์: ลดความเสี่ยงเชิงรุก, ลดค่าใช้จ่าย, ตรวจสอบตามมาตรฐานอัตโนมัติ
    เพิ่มความมั่นใจด้าน Compliance

    ผู้เล่นหลัก: CrowdStrike, Palo Alto Networks, Wiz, Zscaler, Tenable
    มักรวม CSPM เข้ากับ CNAPP หรือ SSE

    หากทีมไม่มีความรู้ด้านคลาวด์เพียงพอ CSPM อาจไม่เต็มประสิทธิภาพ
    ต้องมีการฝึกอบรมและความเข้าใจร่วมกันระหว่าง Dev และ Sec

    การเลือกเครื่องมือที่รองรับเพียงคลาวด์เดียวเป็นความเสี่ยง
    อาจขาดการมองภาพรวมของระบบทั้งหมด

    https://www.csoonline.com/article/657138/how-to-choose-the-best-cloud-security-posture-management-tools.html
    ☁️ คู่มือเลือก Cloud Security Posture Management (CSPM) Tools ในยุคที่องค์กรใช้ Hybrid Multicloud กันมากขึ้น การจัดการความปลอดภัยบนคลาวด์จึงเป็นเรื่องสำคัญ บทความจาก CSO Online อธิบายว่า CSPM (Cloud Security Posture Management) คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบและแก้ไขการตั้งค่าที่ผิดพลาดในคลาวด์ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์ โดย CSPM จะทำงานร่วมกับมาตรฐานความปลอดภัย เช่น PCI, SOC2 และช่วยให้องค์กรมั่นใจว่าการตั้งค่าคลาวด์สอดคล้องกับข้อกำหนด. 🔎 สิ่งที่ควรมองหาใน CSPM Tools องค์กรควรเลือกเครื่องมือที่สามารถทำงานได้กับทุกแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ใช้งาน เช่น AWS, Azure และ Google Cloud รวมถึงต้องมีความสามารถในการ normalize risks เพื่อให้ทีมเข้าใจความเสี่ยงได้ชัดเจน ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมี ได้แก่: 🎗️ การตรวจจับภัยคุกคามจากหลายแหล่ง 🎗️ การป้องกันข้อมูลเชิงลึก (Data Security Integration) 🎗️ ระบบแจ้งเตือนและแก้ไขอัตโนมัติ (Automated Remediation) 🎗️ การทำงานร่วมกับ DevOps เพื่อฝังความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนพัฒนา. 🛡️ ประโยชน์และข้อควรระวัง CSPM ช่วยให้องค์กรสามารถ ระบุและแก้ไขความเสี่ยงเชิงรุก ก่อนที่แฮกเกอร์จะโจมตี ลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา และทำให้การตรวจสอบตามมาตรฐานเป็นไปโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม หากทีมไม่มีความรู้ด้านคลาวด์เพียงพอ การใช้งาน CSPM อาจไม่เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งการเลือกเครื่องมือที่รองรับเพียงคลาวด์เดียวอาจทำให้ขาดมุมมองรวมของระบบทั้งหมด. 🏢 ผู้เล่นหลักในตลาด CSPM ปัจจุบัน CSPM ไม่ได้เป็นเครื่องมือแยกเดี่ยวอีกต่อไป แต่มักถูกรวมเข้ากับ CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) หรือ SSE (Secure Service Edge) โดยผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น CrowdStrike, Palo Alto Networks, Wiz, Zscaler และ Tenable ซึ่งช่วยให้การจัดการความปลอดภัยครอบคลุมทั้งแอปพลิเคชัน ข้อมูล และเครือข่าย. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ CSPM คือเครื่องมือจัดการความปลอดภัยบนคลาวด์ ➡️ ตรวจสอบและแก้ไขการตั้งค่าที่ผิดพลาด ✅ ควรเลือกเครื่องมือที่รองรับหลายแพลตฟอร์มคลาวด์ ➡️ AWS, Azure, Google Cloud ✅ ฟีเจอร์สำคัญ: Threat Detection, Data Security, Automated Remediation, DevOps Integration ➡️ ช่วยให้ทีมเข้าใจและแก้ไขความเสี่ยงได้รวดเร็ว ✅ ประโยชน์: ลดความเสี่ยงเชิงรุก, ลดค่าใช้จ่าย, ตรวจสอบตามมาตรฐานอัตโนมัติ ➡️ เพิ่มความมั่นใจด้าน Compliance ✅ ผู้เล่นหลัก: CrowdStrike, Palo Alto Networks, Wiz, Zscaler, Tenable ➡️ มักรวม CSPM เข้ากับ CNAPP หรือ SSE ‼️ หากทีมไม่มีความรู้ด้านคลาวด์เพียงพอ CSPM อาจไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ ต้องมีการฝึกอบรมและความเข้าใจร่วมกันระหว่าง Dev และ Sec ‼️ การเลือกเครื่องมือที่รองรับเพียงคลาวด์เดียวเป็นความเสี่ยง ⛔ อาจขาดการมองภาพรวมของระบบทั้งหมด https://www.csoonline.com/article/657138/how-to-choose-the-best-cloud-security-posture-management-tools.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CSPM buyer’s guide: How to choose the best cloud security posture management tools
    With hybrid multicloud environments becoming prevalent across all industries, it pays to invest in the right CSPM tools to minimize risk, protect cloud assets, and manage compliance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • Cronos เปิดตัว Hackathon มูลค่า $42,000 ขับเคลื่อนการชำระเงินบนบล็อกเชนด้วย AI

    เครือข่าย Cronos ได้ประกาศจัดงาน x402 PayTech Hackathon โดยมีเงินรางวัลรวมกว่า 42,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อผลักดันการพัฒนาเครื่องมือและแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน งานนี้เปิดให้เหล่านักพัฒนาทั่วโลกเข้าร่วม โดยใช้ Crypto.com AI Agent SDK และโครงสร้างพื้นฐานล่าสุดของ Cronos และ Crypto.com..

    การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพของ Cronos
    ในช่วงที่ผ่านมา Cronos ได้ปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ เช่น ลดค่า gas ลงถึง 10 เท่า, เพิ่มปริมาณธุรกรรมรายวันกว่า 400%, และลดเวลาในการสร้างบล็อกเหลือไม่ถึง 1 วินาที สิ่งเหล่านี้ทำให้ Cronos กลายเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วสูงและรองรับ AI-native ได้อย่างเต็มรูปแบบ.

    สิ่งที่นักพัฒนาจะได้ทดลอง
    ผู้เข้าร่วม Hackathon จะได้ทดลองสร้างโซลูชันที่หลากหลาย เช่น การทำธุรกรรมอัตโนมัติ, smart wallet ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, การเชื่อมโยงสินทรัพย์จริงเข้ากับบล็อกเชน, และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยมีการสนับสนุนเต็มรูปแบบจาก Cronos และ Crypto.com ทั้ง workshop, office hours, และเอกสารทางเทคนิค.

    เป้าหมายระยะยาวและโอกาสต่อยอด
    Hackathon ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่ยังเป็นการทดสอบว่า AI agents สามารถจัดการและเคลื่อนย้ายมูลค่าได้จริง ทีมที่โดดเด่นอาจได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น เงินทุน, การบ่มเพาะโครงการ และการร่วมมือกับระบบนิเวศของ Cronos ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคน และมีสินทรัพย์รวมกว่า 6 พันล้านดอลลาร์.

    สรุปสาระสำคัญ
    Cronos จัด x402 PayTech Hackathon มูลค่า $42,000
    เปิดให้นักพัฒนาทั่วโลกเข้าร่วม

    ใช้ Crypto.com AI Agent SDK และโครงสร้างพื้นฐานใหม่
    รองรับการสร้าง AI-native applications

    Cronos ปรับปรุงระบบครั้งใหญ่
    ลดค่า gas 10 เท่า, เพิ่มธุรกรรม 400%, block time < 1 วินาที

    ผู้เข้าร่วมจะได้ทดลองสร้าง smart wallet, automated flows และ asset integration
    มี workshop และ office hours สนับสนุน

    การแข่งขันเน้นการทดสอบความสามารถของ AI agents
    ทีมที่ไม่สามารถสร้างโซลูชันที่ใช้งานจริงอาจไม่ผ่านการคัดเลือก

    การพัฒนา AI-native บนบล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
    อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการปรับใช้ในตลาดจริง

    https://hackread.com/cronos-hackathon-ai-powered-chain-payments/
    🌍 Cronos เปิดตัว Hackathon มูลค่า $42,000 ขับเคลื่อนการชำระเงินบนบล็อกเชนด้วย AI เครือข่าย Cronos ได้ประกาศจัดงาน x402 PayTech Hackathon โดยมีเงินรางวัลรวมกว่า 42,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อผลักดันการพัฒนาเครื่องมือและแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน งานนี้เปิดให้เหล่านักพัฒนาทั่วโลกเข้าร่วม โดยใช้ Crypto.com AI Agent SDK และโครงสร้างพื้นฐานล่าสุดของ Cronos และ Crypto.com.. ⚡ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพของ Cronos ในช่วงที่ผ่านมา Cronos ได้ปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ เช่น ลดค่า gas ลงถึง 10 เท่า, เพิ่มปริมาณธุรกรรมรายวันกว่า 400%, และลดเวลาในการสร้างบล็อกเหลือไม่ถึง 1 วินาที สิ่งเหล่านี้ทำให้ Cronos กลายเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วสูงและรองรับ AI-native ได้อย่างเต็มรูปแบบ. 🛠️ สิ่งที่นักพัฒนาจะได้ทดลอง ผู้เข้าร่วม Hackathon จะได้ทดลองสร้างโซลูชันที่หลากหลาย เช่น การทำธุรกรรมอัตโนมัติ, smart wallet ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, การเชื่อมโยงสินทรัพย์จริงเข้ากับบล็อกเชน, และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยมีการสนับสนุนเต็มรูปแบบจาก Cronos และ Crypto.com ทั้ง workshop, office hours, และเอกสารทางเทคนิค. 🚀 เป้าหมายระยะยาวและโอกาสต่อยอด Hackathon ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่ยังเป็นการทดสอบว่า AI agents สามารถจัดการและเคลื่อนย้ายมูลค่าได้จริง ทีมที่โดดเด่นอาจได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น เงินทุน, การบ่มเพาะโครงการ และการร่วมมือกับระบบนิเวศของ Cronos ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคน และมีสินทรัพย์รวมกว่า 6 พันล้านดอลลาร์. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Cronos จัด x402 PayTech Hackathon มูลค่า $42,000 ➡️ เปิดให้นักพัฒนาทั่วโลกเข้าร่วม ✅ ใช้ Crypto.com AI Agent SDK และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ➡️ รองรับการสร้าง AI-native applications ✅ Cronos ปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ ➡️ ลดค่า gas 10 เท่า, เพิ่มธุรกรรม 400%, block time < 1 วินาที ✅ ผู้เข้าร่วมจะได้ทดลองสร้าง smart wallet, automated flows และ asset integration ➡️ มี workshop และ office hours สนับสนุน ‼️ การแข่งขันเน้นการทดสอบความสามารถของ AI agents ⛔ ทีมที่ไม่สามารถสร้างโซลูชันที่ใช้งานจริงอาจไม่ผ่านการคัดเลือก ‼️ การพัฒนา AI-native บนบล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ⛔ อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการปรับใช้ในตลาดจริง https://hackread.com/cronos-hackathon-ai-powered-chain-payments/
    HACKREAD.COM
    Cronos Kicks Off $42K Global Hackathon Focused on AI-Powered On-Chain Payments
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • KDE Plasma 6.8 เตรียมยุติการรองรับ X11

    ทีมพัฒนา KDE Plasma ประกาศว่าในเวอร์ชัน Plasma 6.8 จะยุติการรองรับ X11 session อย่างเป็นทางการ และจะเปลี่ยนไปใช้ Wayland เพียงอย่างเดียว โดย X11 ซึ่งเป็นระบบหน้าต่างที่ใช้กันมายาวนานกว่า 30 ปี กำลังถูกแทนที่ด้วย Wayland ที่มีความทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากกว่า

    เหตุผลของการเปลี่ยนแปลง
    นักพัฒนา KDE ระบุว่าการคงไว้ซึ่ง X11 ทำให้การพัฒนา Plasma ช้าลง เนื่องจากต้องแบกรับภาระการดูแลระบบเก่าที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด การย้ายไปใช้ Wayland เพียงอย่างเดียวจะช่วยให้ทีมสามารถปรับปรุงเสถียรภาพและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้รวดเร็วขึ้น โดยยังมี Xwayland เป็นชั้นกลางเพื่อให้แอปพลิเคชันที่ยังต้องใช้ X11 สามารถทำงานได้บน Wayland

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบมากนัก เพราะส่วนใหญ่ได้ใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะบนดิสโทรยอดนิยม เช่น Fedora และ Ubuntu นอกจากนี้ Wayland ยังมีข้อดีด้าน การเล่นเกม เช่น รองรับ adaptive sync, high-refresh-rate, multi-monitor และ HDR gaming ได้ดีกว่าเดิม รวมถึงการรองรับ GPU NVIDIA ที่มีความเสถียรมากขึ้น

    ทางเลือกสำหรับผู้ที่ยังต้องการ X11
    แม้ Plasma 6.8 จะไม่รองรับ X11 session แต่ผู้ใช้ที่ยังต้องการสามารถเลือกใช้ distro แบบ Long-Term Support (LTS) เช่น AlmaLinux 9 ที่ยังคงมี Plasma X11 session และจะได้รับการดูแลไปจนถึงปี 2032 ทำให้ยังมีเวลาในการปรับตัวก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    สรุปสาระสำคัญ
    KDE Plasma 6.8 จะยุติการรองรับ X11 session
    ใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้นเพียงอย่างเดียว

    Xwayland จะช่วยให้แอปที่ยังต้องใช้ X11 ทำงานได้บน Wayland
    ลดผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา

    Wayland มีข้อดีด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย
    รองรับ adaptive sync, HDR gaming, multi-monitor และ NVIDIA GPU ได้ดีขึ้น

    ผู้ใช้ทั่วไปส่วนใหญ่ใช้งาน Wayland อยู่แล้ว
    การเปลี่ยนแปลงจึงไม่กระทบมากนัก

    Plasma X11 session จะถูกเลิกสนับสนุนหลังปี 2027
    ผู้ใช้ที่ยังพึ่งพา X11 ต้องหาทางเลือกอื่น

    แอปพลิเคชันบางตัวยังไม่รองรับ Wayland เต็มรูปแบบ
    อาจเกิดปัญหาการใช้งานในช่วงเปลี่ยนผ่าน

    https://itsfoss.com/news/kde-plasma-to-drop-x11-support/
    🖥️ KDE Plasma 6.8 เตรียมยุติการรองรับ X11 ทีมพัฒนา KDE Plasma ประกาศว่าในเวอร์ชัน Plasma 6.8 จะยุติการรองรับ X11 session อย่างเป็นทางการ และจะเปลี่ยนไปใช้ Wayland เพียงอย่างเดียว โดย X11 ซึ่งเป็นระบบหน้าต่างที่ใช้กันมายาวนานกว่า 30 ปี กำลังถูกแทนที่ด้วย Wayland ที่มีความทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากกว่า ⚡ เหตุผลของการเปลี่ยนแปลง นักพัฒนา KDE ระบุว่าการคงไว้ซึ่ง X11 ทำให้การพัฒนา Plasma ช้าลง เนื่องจากต้องแบกรับภาระการดูแลระบบเก่าที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด การย้ายไปใช้ Wayland เพียงอย่างเดียวจะช่วยให้ทีมสามารถปรับปรุงเสถียรภาพและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้รวดเร็วขึ้น โดยยังมี Xwayland เป็นชั้นกลางเพื่อให้แอปพลิเคชันที่ยังต้องใช้ X11 สามารถทำงานได้บน Wayland 🎮 ผลกระทบต่อผู้ใช้ สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบมากนัก เพราะส่วนใหญ่ได้ใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะบนดิสโทรยอดนิยม เช่น Fedora และ Ubuntu นอกจากนี้ Wayland ยังมีข้อดีด้าน การเล่นเกม เช่น รองรับ adaptive sync, high-refresh-rate, multi-monitor และ HDR gaming ได้ดีกว่าเดิม รวมถึงการรองรับ GPU NVIDIA ที่มีความเสถียรมากขึ้น 🛡️ ทางเลือกสำหรับผู้ที่ยังต้องการ X11 แม้ Plasma 6.8 จะไม่รองรับ X11 session แต่ผู้ใช้ที่ยังต้องการสามารถเลือกใช้ distro แบบ Long-Term Support (LTS) เช่น AlmaLinux 9 ที่ยังคงมี Plasma X11 session และจะได้รับการดูแลไปจนถึงปี 2032 ทำให้ยังมีเวลาในการปรับตัวก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ KDE Plasma 6.8 จะยุติการรองรับ X11 session ➡️ ใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้นเพียงอย่างเดียว ✅ Xwayland จะช่วยให้แอปที่ยังต้องใช้ X11 ทำงานได้บน Wayland ➡️ ลดผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา ✅ Wayland มีข้อดีด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ➡️ รองรับ adaptive sync, HDR gaming, multi-monitor และ NVIDIA GPU ได้ดีขึ้น ✅ ผู้ใช้ทั่วไปส่วนใหญ่ใช้งาน Wayland อยู่แล้ว ➡️ การเปลี่ยนแปลงจึงไม่กระทบมากนัก ‼️ Plasma X11 session จะถูกเลิกสนับสนุนหลังปี 2027 ⛔ ผู้ใช้ที่ยังพึ่งพา X11 ต้องหาทางเลือกอื่น ‼️ แอปพลิเคชันบางตัวยังไม่รองรับ Wayland เต็มรูปแบบ ⛔ อาจเกิดปัญหาการใช้งานในช่วงเปลี่ยนผ่าน https://itsfoss.com/news/kde-plasma-to-drop-x11-support/
    ITSFOSS.COM
    KDE Plasma 6.8 to Drop X11 Support, Goes All-In on Wayland
    Long transition nears completion as developers address remaining concerns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • GNOME Project เปิดตัว GNOME 49.2 ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของเดสก์ท็อป

    GNOME Project เปิดตัว GNOME 49.2 ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของเดสก์ท็อปสิ่งแวดล้อม โดยเน้นแก้ไขบั๊กและปรับปรุงการใช้งาน เช่น การจัดการ Sticky Keys, การรองรับ Tiled Monitors, และการปรับปรุงเครื่องมือหลักอย่าง Nautilus, Epiphany และ GNOME Settings.

    GNOME 49.2: ปรับปรุงการใช้งาน Sticky Keys และ Tiled Monitors
    GNOME 49.2 มาพร้อมการปรับปรุงการจัดการ Sticky Keys และ Tiled Monitors ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการการเข้าถึงพิเศษหรือการทำงานกับหลายจอภาพสามารถใช้งานได้ราบรื่นขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มการรองรับ ignored modifiers เมื่อจับปุ่มและเมาส์บน X11 รวมถึงการปรับปรุง on-screen keyboard layouts สำหรับผู้ใช้ภาษาเยอรมันและออสเตรีย.

    การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงระบบ
    การอัปเดตครั้งนี้แก้ไขบั๊กจำนวนมาก เช่น
    ปัญหา lock screen notification สำหรับ MPRIS clients
    ไอคอนเครือข่ายที่แสดงผิดเมื่อการเชื่อมต่อหลุด
    ปัญหา zombie processes ใน VPN auth helper
    การ freeze เมื่อใช้ shortcut สำหรับ layout switch
    การทำงานผิดพลาดของ swipe gestures ในภาษา RTL (Right-to-Left)

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง GNOME Software ให้แสดงประวัติการอัปเดตของแอป Flatpak และแก้ไขบั๊กที่ทำให้การอัปเดตออฟไลน์ไม่สามารถเปลี่ยน shutdown เป็น reboot ได้.

    การปรับปรุงแอปพลิเคชันหลัก
    Epiphany (GNOME Web): ปรับปรุง UI ให้แสดง action bar เสมอเมื่อเข้าสู่ narrow mode และ decode URLs อย่างสม่ำเสมอ
    Nautilus: ลดการใช้หน่วยความจำจาก thumbnails และแก้ไขการจัดเรียง loopback devices
    Loupe image viewer: ปรับปรุง shortcut zoom ให้ถูกต้อง (300% แทน 200%)
    Orca screen reader: แก้ regression ในการนำทางตาราง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    GNOME 49.2 ปรับปรุงการใช้งานหลัก
    Sticky Keys และ Tiled Monitors ใช้งานได้ดีขึ้น
    เพิ่ม layouts สำหรับ on-screen keyboard

    การแก้ไขบั๊กสำคัญ
    Lock screen notification, network icon, VPN zombie processes
    Swipe gestures ใน RTL locales

    การปรับปรุงแอปหลัก
    Epiphany UI และ URL decoding
    Nautilus memory usage และ loopback sorting
    Loupe zoom shortcut และ Orca screen reader

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากยังใช้ GNOME รุ่นเก่า อาจเจอปัญหาการ freeze และ bug ที่แก้ไขแล้วใน 49.2
    ผู้ใช้ที่พึ่งพา accessibility tools ควรอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานผิดพลาด

    https://9to5linux.com/gnome-49-2-released-with-improved-handling-of-tiled-monitors-and-sticky-keys
    🐐 GNOME Project เปิดตัว GNOME 49.2 ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของเดสก์ท็อป GNOME Project เปิดตัว GNOME 49.2 ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของเดสก์ท็อปสิ่งแวดล้อม โดยเน้นแก้ไขบั๊กและปรับปรุงการใช้งาน เช่น การจัดการ Sticky Keys, การรองรับ Tiled Monitors, และการปรับปรุงเครื่องมือหลักอย่าง Nautilus, Epiphany และ GNOME Settings. 🖥️ GNOME 49.2: ปรับปรุงการใช้งาน Sticky Keys และ Tiled Monitors GNOME 49.2 มาพร้อมการปรับปรุงการจัดการ Sticky Keys และ Tiled Monitors ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการการเข้าถึงพิเศษหรือการทำงานกับหลายจอภาพสามารถใช้งานได้ราบรื่นขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มการรองรับ ignored modifiers เมื่อจับปุ่มและเมาส์บน X11 รวมถึงการปรับปรุง on-screen keyboard layouts สำหรับผู้ใช้ภาษาเยอรมันและออสเตรีย. ⚙️ การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงระบบ การอัปเดตครั้งนี้แก้ไขบั๊กจำนวนมาก เช่น 🔷 ปัญหา lock screen notification สำหรับ MPRIS clients 🔷 ไอคอนเครือข่ายที่แสดงผิดเมื่อการเชื่อมต่อหลุด 🔷 ปัญหา zombie processes ใน VPN auth helper 🔷 การ freeze เมื่อใช้ shortcut สำหรับ layout switch 🔷 การทำงานผิดพลาดของ swipe gestures ในภาษา RTL (Right-to-Left) นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง GNOME Software ให้แสดงประวัติการอัปเดตของแอป Flatpak และแก้ไขบั๊กที่ทำให้การอัปเดตออฟไลน์ไม่สามารถเปลี่ยน shutdown เป็น reboot ได้. 🌐 การปรับปรุงแอปพลิเคชันหลัก 🔷 Epiphany (GNOME Web): ปรับปรุง UI ให้แสดง action bar เสมอเมื่อเข้าสู่ narrow mode และ decode URLs อย่างสม่ำเสมอ 🔷 Nautilus: ลดการใช้หน่วยความจำจาก thumbnails และแก้ไขการจัดเรียง loopback devices 🔷 Loupe image viewer: ปรับปรุง shortcut zoom ให้ถูกต้อง (300% แทน 200%) 🔷 Orca screen reader: แก้ regression ในการนำทางตาราง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ GNOME 49.2 ปรับปรุงการใช้งานหลัก ➡️ Sticky Keys และ Tiled Monitors ใช้งานได้ดีขึ้น ➡️ เพิ่ม layouts สำหรับ on-screen keyboard ✅ การแก้ไขบั๊กสำคัญ ➡️ Lock screen notification, network icon, VPN zombie processes ➡️ Swipe gestures ใน RTL locales ✅ การปรับปรุงแอปหลัก ➡️ Epiphany UI และ URL decoding ➡️ Nautilus memory usage และ loopback sorting ➡️ Loupe zoom shortcut และ Orca screen reader ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้ GNOME รุ่นเก่า อาจเจอปัญหาการ freeze และ bug ที่แก้ไขแล้วใน 49.2 ⛔ ผู้ใช้ที่พึ่งพา accessibility tools ควรอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานผิดพลาด https://9to5linux.com/gnome-49-2-released-with-improved-handling-of-tiled-monitors-and-sticky-keys
    9TO5LINUX.COM
    GNOME 49.2 Released with Improved Handling of Tiled Monitors and Sticky Keys - 9to5Linux
    GNOME 49.2 is now available as the second point release to the latest GNOME 49 desktop environment series with various improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอปพลิเคชัน Linux ที่ฟื้นคืนชีพ

    บทความจาก It’s FOSS เล่าถึง 11 แอปพลิเคชันบน Linux ที่เคยถูกทิ้งร้าง แต่กลับมาใหม่ในรูปแบบ Next Generation (-ng) โดยมีการเขียนใหม่ ปรับปรุงประสิทธิภาพ และเพิ่มฟีเจอร์ให้ทันสมัย

    หนึ่งในเสน่ห์ของโอเพ่นซอร์สคือ เมื่อโครงการถูกทิ้งไว้ ก็ยังมีชุมชนหรือผู้พัฒนารายใหม่หยิบขึ้นมาสานต่อ ตัวอย่างเช่น iotop-c ที่เขียนใหม่ด้วยภาษา C เพื่อแก้ปัญหาความช้าในเวอร์ชัน Python และ vokoscreenNG ที่ปรับปรุงให้รองรับ Wayland พร้อมอินเทอร์เฟซใหม่ด้วย Qt

    นอกจากนี้ยังมี WoeUSB-ng ที่ช่วยสร้าง USB ติดตั้ง Windows จาก Linux แม้ปัจจุบันจะหยุดพัฒนาไปอีกครั้ง แต่ก็ยังมีผู้ใช้จำนวนมาก และ eSpeak NG ที่เป็นเครื่องมือสังเคราะห์เสียงรองรับกว่า 100 ภาษา ใช้แทน eSpeak รุ่นเดิมได้ทันที

    เครื่องมือสำหรับงานเฉพาะทาง
    บางแอปพลิเคชันถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อรองรับงานเฉพาะ เช่น stress-ng ที่ใช้ทดสอบความทนทานของระบบโดยสร้างโหลดหนัก ๆ (เหมาะสำหรับมืออาชีพเท่านั้น) และ aircrack-ng ที่กลายเป็นชุดเครื่องมือเต็มรูปแบบสำหรับตรวจสอบความปลอดภัยของ WiFi

    ในด้านการใช้งานทั่วไปก็มี tomboy-ng สำหรับจดบันทึกที่เขียนใหม่ด้วย Pascal แทน C# เพื่อลดภาระของ Mono และ radiotray-ng ที่ทำให้การฟังวิทยุออนไลน์จาก system tray มีความเสถียรมากขึ้น

    แอปพลิเคชันด้านข้อมูลและการวิเคราะห์
    อีกกลุ่มหนึ่งคือเครื่องมือด้านข้อมูล เช่น GoldenDict-ng ที่ปรับปรุงการทำงานของพจนานุกรมและการแปล พร้อมรองรับ Qt6 และ Dark Mode รวมถึง ntopng ที่เป็นตัววิเคราะห์ทราฟฟิกเครือข่ายแบบเรียลไทม์ มี UI ทันสมัยและรองรับการตรวจสอบเชิงลึก

    สุดท้ายคือ Shutter แอปจับภาพหน้าจอที่เคยถูกทิ้งร้าง แต่กลับมาพร้อมการรองรับ Wayland และการดูแลโดยชุมชน ทำให้ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้ Linux

    สรุปประเด็นสำคัญ
    แอปที่ถูกเขียนใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    iotop-c (เขียนใหม่ด้วย C)
    vokoscreenNG (รองรับ Wayland, Qt interface)

    แอปสำหรับงานเฉพาะทาง
    stress-ng (ทดสอบระบบด้วยโหลดหนัก)
    aircrack-ng (ตรวจสอบความปลอดภัย WiFi)

    แอปสำหรับการใช้งานทั่วไป
    tomboy-ng (จดบันทึก, เขียนใหม่ด้วย Pascal)
    radiotray-ng (ฟังวิทยุออนไลน์เสถียรขึ้น)

    แอปด้านข้อมูลและการวิเคราะห์
    GoldenDict-ng (พจนานุกรม, รองรับ Qt6)
    ntopng (วิเคราะห์ทราฟฟิกเครือข่าย)
    Shutter (จับภาพหน้าจอ, รองรับ Wayland)

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    stress-ng ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป อาจทำให้ระบบล่มหรือร้อนเกินไป
    WoeUSB-ng หยุดพัฒนาแล้ว อาจไม่รองรับระบบใหม่ ๆ

    https://itsfoss.com/new-gen-linux-apps/
    🖥️ แอปพลิเคชัน Linux ที่ฟื้นคืนชีพ บทความจาก It’s FOSS เล่าถึง 11 แอปพลิเคชันบน Linux ที่เคยถูกทิ้งร้าง แต่กลับมาใหม่ในรูปแบบ Next Generation (-ng) โดยมีการเขียนใหม่ ปรับปรุงประสิทธิภาพ และเพิ่มฟีเจอร์ให้ทันสมัย หนึ่งในเสน่ห์ของโอเพ่นซอร์สคือ เมื่อโครงการถูกทิ้งไว้ ก็ยังมีชุมชนหรือผู้พัฒนารายใหม่หยิบขึ้นมาสานต่อ ตัวอย่างเช่น iotop-c ที่เขียนใหม่ด้วยภาษา C เพื่อแก้ปัญหาความช้าในเวอร์ชัน Python และ vokoscreenNG ที่ปรับปรุงให้รองรับ Wayland พร้อมอินเทอร์เฟซใหม่ด้วย Qt นอกจากนี้ยังมี WoeUSB-ng ที่ช่วยสร้าง USB ติดตั้ง Windows จาก Linux แม้ปัจจุบันจะหยุดพัฒนาไปอีกครั้ง แต่ก็ยังมีผู้ใช้จำนวนมาก และ eSpeak NG ที่เป็นเครื่องมือสังเคราะห์เสียงรองรับกว่า 100 ภาษา ใช้แทน eSpeak รุ่นเดิมได้ทันที ⚡ เครื่องมือสำหรับงานเฉพาะทาง บางแอปพลิเคชันถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อรองรับงานเฉพาะ เช่น stress-ng ที่ใช้ทดสอบความทนทานของระบบโดยสร้างโหลดหนัก ๆ (เหมาะสำหรับมืออาชีพเท่านั้น) และ aircrack-ng ที่กลายเป็นชุดเครื่องมือเต็มรูปแบบสำหรับตรวจสอบความปลอดภัยของ WiFi ในด้านการใช้งานทั่วไปก็มี tomboy-ng สำหรับจดบันทึกที่เขียนใหม่ด้วย Pascal แทน C# เพื่อลดภาระของ Mono และ radiotray-ng ที่ทำให้การฟังวิทยุออนไลน์จาก system tray มีความเสถียรมากขึ้น 📚 แอปพลิเคชันด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ อีกกลุ่มหนึ่งคือเครื่องมือด้านข้อมูล เช่น GoldenDict-ng ที่ปรับปรุงการทำงานของพจนานุกรมและการแปล พร้อมรองรับ Qt6 และ Dark Mode รวมถึง ntopng ที่เป็นตัววิเคราะห์ทราฟฟิกเครือข่ายแบบเรียลไทม์ มี UI ทันสมัยและรองรับการตรวจสอบเชิงลึก สุดท้ายคือ Shutter แอปจับภาพหน้าจอที่เคยถูกทิ้งร้าง แต่กลับมาพร้อมการรองรับ Wayland และการดูแลโดยชุมชน ทำให้ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้ Linux 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ แอปที่ถูกเขียนใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ iotop-c (เขียนใหม่ด้วย C) ➡️ vokoscreenNG (รองรับ Wayland, Qt interface) ✅ แอปสำหรับงานเฉพาะทาง ➡️ stress-ng (ทดสอบระบบด้วยโหลดหนัก) ➡️ aircrack-ng (ตรวจสอบความปลอดภัย WiFi) ✅ แอปสำหรับการใช้งานทั่วไป ➡️ tomboy-ng (จดบันทึก, เขียนใหม่ด้วย Pascal) ➡️ radiotray-ng (ฟังวิทยุออนไลน์เสถียรขึ้น) ✅ แอปด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ ➡️ GoldenDict-ng (พจนานุกรม, รองรับ Qt6) ➡️ ntopng (วิเคราะห์ทราฟฟิกเครือข่าย) ➡️ Shutter (จับภาพหน้าจอ, รองรับ Wayland) ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ stress-ng ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป อาจทำให้ระบบล่มหรือร้อนเกินไป ⛔ WoeUSB-ng หยุดพัฒนาแล้ว อาจไม่รองรับระบบใหม่ ๆ https://itsfoss.com/new-gen-linux-apps/
    ITSFOSS.COM
    Open Source Never Dies: 11 of My Favorite Linux Apps That Refused to Stay Dead
    These Linux apps were popular once. And then they were abandoned. And then they came back with a new generation tag.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ Protocol-Relative URLs ใน Angular

    ทีมงาน Angular ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ใน HTTP Client ของเฟรมเวิร์ก ซึ่งเกิดจากการตรวจสอบ URL ที่ไม่สมบูรณ์ โดยปกติ Angular จะป้องกัน CSRF ด้วยการแนบ X-XSRF-TOKEN ไปกับ Request ที่ส่งไปยัง same-origin เท่านั้น แต่หากมีการใช้ URL ที่ขึ้นต้นด้วย // Angular จะเข้าใจผิดว่าเป็น same-origin และแนบ Token ไปด้วย ทำให้ข้อมูลรั่วไหลไปยังโดเมนที่ผู้โจมตีควบคุมได้

    ผลกระทบและความเสี่ยง
    หากผู้โจมตีสามารถบังคับให้แอปพลิเคชันส่ง Request ไปยังโดเมนที่ควบคุมโดยตนเองด้วยรูปแบบ //attacker.com พวกเขาจะได้รับ XSRF Token ที่ถูกต้อง และสามารถใช้มันเพื่อปลอมแปลงคำสั่งในระบบของผู้ใช้ได้ทันที เช่น การเปลี่ยนรหัสผ่าน การลบข้อมูล หรือการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต

    ช่องโหว่นี้ถือเป็นการ ล้มเหลวของกลไกป้องกัน CSRF ที่มีอยู่ใน Angular และอาจส่งผลกระทบต่อเว็บแอปพลิเคชันจำนวนมากที่ยังไม่ได้อัปเดต

    การแก้ไขและคำแนะนำ
    Angular ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน v21.0.1, v20.3.14 และ v19.2.16 ผู้พัฒนาควรอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ในตอนนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ protocol-relative URLs และใช้เฉพาะ relative paths (/api/data) หรือ absolute URLs ที่เชื่อถือได้ (https://api.my-app.com) เท่านั้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-66035 ใน Angular HTTP Client
    เกิดจากการใช้ Protocol-Relative URLs (//)
    ทำให้ XSRF Token ถูกส่งไปยังโดเมนที่ไม่ปลอดภัย

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ผู้โจมตีสามารถขโมย Token และทำ CSRF ได้
    เสี่ยงต่อการปลอมแปลงคำสั่ง เช่น ลบข้อมูลหรือทำธุรกรรม

    การแก้ไขจาก Angular
    อัปเดตเป็น v21.0.1, v20.3.14 หรือ v19.2.16
    ใช้เฉพาะ relative paths หรือ absolute URLs ที่เชื่อถือได้

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    หากยังใช้ Protocol-Relative URLs จะเสี่ยงต่อการรั่วไหลของ Token
    การไม่อัปเดตแพตช์อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบได้

    https://securityonline.info/angular-alert-protocol-relative-urls-leak-xsrf-tokens-cve-2025-66035/
    ⚠️ ช่องโหว่ Protocol-Relative URLs ใน Angular ทีมงาน Angular ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ใน HTTP Client ของเฟรมเวิร์ก ซึ่งเกิดจากการตรวจสอบ URL ที่ไม่สมบูรณ์ โดยปกติ Angular จะป้องกัน CSRF ด้วยการแนบ X-XSRF-TOKEN ไปกับ Request ที่ส่งไปยัง same-origin เท่านั้น แต่หากมีการใช้ URL ที่ขึ้นต้นด้วย // Angular จะเข้าใจผิดว่าเป็น same-origin และแนบ Token ไปด้วย ทำให้ข้อมูลรั่วไหลไปยังโดเมนที่ผู้โจมตีควบคุมได้ 🔐 ผลกระทบและความเสี่ยง หากผู้โจมตีสามารถบังคับให้แอปพลิเคชันส่ง Request ไปยังโดเมนที่ควบคุมโดยตนเองด้วยรูปแบบ //attacker.com พวกเขาจะได้รับ XSRF Token ที่ถูกต้อง และสามารถใช้มันเพื่อปลอมแปลงคำสั่งในระบบของผู้ใช้ได้ทันที เช่น การเปลี่ยนรหัสผ่าน การลบข้อมูล หรือการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต ช่องโหว่นี้ถือเป็นการ ล้มเหลวของกลไกป้องกัน CSRF ที่มีอยู่ใน Angular และอาจส่งผลกระทบต่อเว็บแอปพลิเคชันจำนวนมากที่ยังไม่ได้อัปเดต 🛠️ การแก้ไขและคำแนะนำ Angular ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน v21.0.1, v20.3.14 และ v19.2.16 ผู้พัฒนาควรอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ในตอนนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ protocol-relative URLs และใช้เฉพาะ relative paths (/api/data) หรือ absolute URLs ที่เชื่อถือได้ (https://api.my-app.com) เท่านั้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-66035 ใน Angular HTTP Client ➡️ เกิดจากการใช้ Protocol-Relative URLs (//) ➡️ ทำให้ XSRF Token ถูกส่งไปยังโดเมนที่ไม่ปลอดภัย ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้โจมตีสามารถขโมย Token และทำ CSRF ได้ ➡️ เสี่ยงต่อการปลอมแปลงคำสั่ง เช่น ลบข้อมูลหรือทำธุรกรรม ✅ การแก้ไขจาก Angular ➡️ อัปเดตเป็น v21.0.1, v20.3.14 หรือ v19.2.16 ➡️ ใช้เฉพาะ relative paths หรือ absolute URLs ที่เชื่อถือได้ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ หากยังใช้ Protocol-Relative URLs จะเสี่ยงต่อการรั่วไหลของ Token ⛔ การไม่อัปเดตแพตช์อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบได้ https://securityonline.info/angular-alert-protocol-relative-urls-leak-xsrf-tokens-cve-2025-66035/
    SECURITYONLINE.INFO
    Angular Alert: Protocol-Relative URLs Leak XSRF Tokens (CVE-2025-66035)
    CVE-2025-66035: Angular protocol-relative URLs leak XSRF tokens, bypassing CSRF protection. Update to v19.2.16, v20.3.14, or v21.0.1 now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • การกลับมาของ JPEG-XL บน Chromium

    Google กำลังพิจารณานำฟีเจอร์ JPEG-XL กลับมาใน Chromium หลังจากที่ Apple ได้เพิ่มการรองรับใน Safari และ iPhone 16 Pro ซึ่งอาจทำให้ฟอร์แมตนี้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของภาพดิจิทัล

    JPEG-XL เป็นฟอร์แมตภาพรุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแทนที่ JPEG โดยมีจุดเด่นคือ การบีบอัดที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และยังคงความเข้ากันได้กับไฟล์ JPEG เดิมได้ดี Google เคยทดสอบและนำมาใช้ใน Chromium ตั้งแต่ปี 2021 แต่ในปี 2023 ได้ตัดสินใจลบออกเนื่องจาก "ขาดความสนใจจาก ecosystem" อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ Apple นำ JPEG-XL มาใช้ใน Safari และเพิ่มตัวเลือกถ่ายภาพ JPEG-XL ใน iPhone 16 Pro ทำให้ Google ต้องกลับมาเปิดการถกเถียงอีกครั้ง

    Apple จุดประกายให้ JPEG-XL กลับมา
    การที่ Apple นำ JPEG-XL มาใช้จริงถือเป็นแรงผลักดันสำคัญ เพราะ ecosystem ของ Apple มีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล การรองรับใน Safari และ iPhone ทำให้ JPEG-XL มีโอกาสกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการภาพดิจิทัล หาก Google ตัดสินใจนำกลับมาใน Chromium จะส่งผลให้เบราว์เซอร์หลัก ๆ อย่าง Chrome, Edge, Brave, Vivaldi และ Opera รองรับพร้อมกันทันที

    สถานะปัจจุบันและอนาคต
    ตอนนี้ Google เพียงแค่ เปิด issue เดิมใน Chromium เพื่อเริ่มต้นการถกเถียงใหม่ ยังไม่มีการประกาศ timeline ที่ชัดเจนว่าจะนำกลับมาเมื่อไร ขณะเดียวกัน Firefox ก็กำลังทดสอบการรองรับ JPEG-XL ผ่านคอมโพเนนต์ที่เขียนด้วย Rust หากทั้ง Google และ Mozilla ตัดสินใจเดินหน้า JPEG-XL จะกลายเป็นฟอร์แมตที่มีการรองรับเกือบทุกเบราว์เซอร์หลัก รวมถึงหาก Windows และ Linux เพิ่มการรองรับในระบบปฏิบัติการ ก็จะทำให้ JPEG-XL มีโอกาสกลายเป็นมาตรฐานสากล

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา
    สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การรองรับ JPEG-XL หมายถึง ไฟล์ภาพที่เล็กลงแต่คุณภาพสูงขึ้น และสามารถแชร์หรือเก็บข้อมูลได้สะดวกกว่าเดิม ส่วนสำหรับนักพัฒนาเว็บและแอปพลิเคชัน การรองรับฟอร์แมตนี้จะช่วยลดภาระด้าน bandwidth และ storage ได้มาก หากกลายเป็นมาตรฐานจริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    JPEG-XL ถูกนำกลับมาถกเถียงใน Chromium
    Google เปิด issue เดิมเพื่อพิจารณาการรองรับอีกครั้ง

    Apple นำ JPEG-XL มาใช้จริง
    Safari และ iPhone 16 Pro รองรับการถ่ายภาพและแสดงผล JPEG-XL

    หาก Chromium รองรับ จะกระทบ ecosystem ใหญ่
    Chrome, Edge, Brave, Vivaldi และ Opera จะรองรับพร้อมกัน

    Firefox กำลังทดสอบการรองรับด้วย Rust
    หากสำเร็จจะทำให้เบราว์เซอร์หลักเกือบทั้งหมดรองรับ JPEG-XL

    ยังไม่มี timeline ที่ชัดเจนจาก Google
    ผู้ใช้ Chrome ยังไม่สามารถดูภาพ JPEG-XL ได้ในตอนนี้

    การเปลี่ยนมาตรฐานต้องอาศัยการรองรับจาก OS
    หาก Windows และ Linux ยังไม่รองรับ อาจทำให้การใช้งานไม่แพร่หลายเต็มที่

    https://securityonline.info/chromium-reopens-jpeg-xl-debate-will-google-reinstate-support-after-apple-adopted-it/
    🖼️ การกลับมาของ JPEG-XL บน Chromium Google กำลังพิจารณานำฟีเจอร์ JPEG-XL กลับมาใน Chromium หลังจากที่ Apple ได้เพิ่มการรองรับใน Safari และ iPhone 16 Pro ซึ่งอาจทำให้ฟอร์แมตนี้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของภาพดิจิทัล JPEG-XL เป็นฟอร์แมตภาพรุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแทนที่ JPEG โดยมีจุดเด่นคือ การบีบอัดที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และยังคงความเข้ากันได้กับไฟล์ JPEG เดิมได้ดี Google เคยทดสอบและนำมาใช้ใน Chromium ตั้งแต่ปี 2021 แต่ในปี 2023 ได้ตัดสินใจลบออกเนื่องจาก "ขาดความสนใจจาก ecosystem" อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ Apple นำ JPEG-XL มาใช้ใน Safari และเพิ่มตัวเลือกถ่ายภาพ JPEG-XL ใน iPhone 16 Pro ทำให้ Google ต้องกลับมาเปิดการถกเถียงอีกครั้ง 🍏 Apple จุดประกายให้ JPEG-XL กลับมา การที่ Apple นำ JPEG-XL มาใช้จริงถือเป็นแรงผลักดันสำคัญ เพราะ ecosystem ของ Apple มีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล การรองรับใน Safari และ iPhone ทำให้ JPEG-XL มีโอกาสกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการภาพดิจิทัล หาก Google ตัดสินใจนำกลับมาใน Chromium จะส่งผลให้เบราว์เซอร์หลัก ๆ อย่าง Chrome, Edge, Brave, Vivaldi และ Opera รองรับพร้อมกันทันที 🔧 สถานะปัจจุบันและอนาคต ตอนนี้ Google เพียงแค่ เปิด issue เดิมใน Chromium เพื่อเริ่มต้นการถกเถียงใหม่ ยังไม่มีการประกาศ timeline ที่ชัดเจนว่าจะนำกลับมาเมื่อไร ขณะเดียวกัน Firefox ก็กำลังทดสอบการรองรับ JPEG-XL ผ่านคอมโพเนนต์ที่เขียนด้วย Rust หากทั้ง Google และ Mozilla ตัดสินใจเดินหน้า JPEG-XL จะกลายเป็นฟอร์แมตที่มีการรองรับเกือบทุกเบราว์เซอร์หลัก รวมถึงหาก Windows และ Linux เพิ่มการรองรับในระบบปฏิบัติการ ก็จะทำให้ JPEG-XL มีโอกาสกลายเป็นมาตรฐานสากล 🌐 ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การรองรับ JPEG-XL หมายถึง ไฟล์ภาพที่เล็กลงแต่คุณภาพสูงขึ้น และสามารถแชร์หรือเก็บข้อมูลได้สะดวกกว่าเดิม ส่วนสำหรับนักพัฒนาเว็บและแอปพลิเคชัน การรองรับฟอร์แมตนี้จะช่วยลดภาระด้าน bandwidth และ storage ได้มาก หากกลายเป็นมาตรฐานจริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ JPEG-XL ถูกนำกลับมาถกเถียงใน Chromium ➡️ Google เปิด issue เดิมเพื่อพิจารณาการรองรับอีกครั้ง ✅ Apple นำ JPEG-XL มาใช้จริง ➡️ Safari และ iPhone 16 Pro รองรับการถ่ายภาพและแสดงผล JPEG-XL ✅ หาก Chromium รองรับ จะกระทบ ecosystem ใหญ่ ➡️ Chrome, Edge, Brave, Vivaldi และ Opera จะรองรับพร้อมกัน ✅ Firefox กำลังทดสอบการรองรับด้วย Rust ➡️ หากสำเร็จจะทำให้เบราว์เซอร์หลักเกือบทั้งหมดรองรับ JPEG-XL ‼️ ยังไม่มี timeline ที่ชัดเจนจาก Google ⛔ ผู้ใช้ Chrome ยังไม่สามารถดูภาพ JPEG-XL ได้ในตอนนี้ ‼️ การเปลี่ยนมาตรฐานต้องอาศัยการรองรับจาก OS ⛔ หาก Windows และ Linux ยังไม่รองรับ อาจทำให้การใช้งานไม่แพร่หลายเต็มที่ https://securityonline.info/chromium-reopens-jpeg-xl-debate-will-google-reinstate-support-after-apple-adopted-it/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chromium Reopens JPEG-XL Debate: Will Google Reinstate Support After Apple Adopted It?
    After removing JPEG-XL support in 2023, Chromium has reopened the debate on reinstating the format, driven by Apple's recent adoption in Safari and the iPhone 16 Pro.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • AlmaLinux OS 10.1 เปิดตัวพร้อมรองรับ Btrfs

    AlmaLinux OS Foundation ประกาศเปิดตัว AlmaLinux OS 10.1 (Heliotrope Lion) ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งแรกของซีรีส์ AlmaLinux 10 โดยมาพร้อมฟีเจอร์สำคัญคือ รองรับระบบไฟล์ Btrfs ตั้งแต่ขั้นตอนการติดตั้ง ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ Btrfs ได้ทันทีโดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม

    ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง
    Btrfs Support: รองรับทั้ง kernel และ userspace ทำให้สามารถติดตั้งและจัดการระบบไฟล์ Btrfs ได้ตั้งแต่ต้น
    CRB Repository Enabled by Default: เปิดใช้งาน CRB repo โดยอัตโนมัติสำหรับการติดตั้งใหม่
    Extended Support for x86_64_v2: เพิ่มการรองรับโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่ใช้ instruction set x86_64_v2
    Performance Enhancements: เปิดใช้งาน frame pointers โดยค่าเริ่มต้นเพื่อช่วยในการ debug และปรับปรุงประสิทธิภาพ
    Updated Toolchain: GCC 15.1, LLVM 20.1.8, Rust 1.88.0, Go 1.24 และอื่น ๆ
    Software Updates: NetworkManager 1.54, QEMU 10, Node.js 24, Podman 5.6.0, Mesa 25.0.7, Samba 4.22.4, Python 3.12.11, Apache 2.4.63, OpenSSL 3.5 และอีกมากมาย

    การติดตั้งและการอัปเกรด
    AlmaLinux OS 10.1 พร้อมให้ดาวน์โหลดเป็น ISO images สำหรับสถาปัตยกรรม x86_64, AArch64, PowerPC 64-bit Little Endian และ IBM System Z โดยมีทั้ง live images, cloud images และ container images สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความยืดหยุ่น

    ผู้ใช้ที่มี AlmaLinux OS อยู่แล้วสามารถอัปเกรดได้ง่าย ๆ เพียงใช้คำสั่ง:
    sudo dnf update

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน AlmaLinux OS 10.1
    รองรับ Btrfs filesystem ตั้งแต่การติดตั้ง
    เปิดใช้งาน CRB repo โดยค่าเริ่มต้น
    รองรับ x86_64_v2 processors

    การปรับปรุงระบบและซอฟต์แวร์
    Toolchain ใหม่: GCC 15.1, LLVM 20.1.8, Rust 1.88.0, Go 1.24
    อัปเดตซอฟต์แวร์หลัก เช่น Python 3.12.11, Apache 2.4.63, OpenSSL 3.5
    Performance enhancements และ frame pointers

    การติดตั้งและการอัปเกรด
    มี ISO สำหรับหลายสถาปัตยกรรม
    รองรับ live, cloud และ container images
    อัปเกรดด้วย sudo dnf update

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ยังไม่คุ้นกับ Btrfs ควรทดสอบก่อนใช้งานจริง
    การเปลี่ยนระบบไฟล์อาจมีผลต่อการทำงานของบางแอปพลิเคชัน
    ควรสำรองข้อมูลก่อนการอัปเกรดหรือเปลี่ยนระบบไฟล์

    https://9to5linux.com/almalinux-os-10-1-officially-released-with-support-for-the-btrfs-file-system
    📰 AlmaLinux OS 10.1 เปิดตัวพร้อมรองรับ Btrfs AlmaLinux OS Foundation ประกาศเปิดตัว AlmaLinux OS 10.1 (Heliotrope Lion) ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งแรกของซีรีส์ AlmaLinux 10 โดยมาพร้อมฟีเจอร์สำคัญคือ รองรับระบบไฟล์ Btrfs ตั้งแต่ขั้นตอนการติดตั้ง ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ Btrfs ได้ทันทีโดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ⚙️ ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง 💠 Btrfs Support: รองรับทั้ง kernel และ userspace ทำให้สามารถติดตั้งและจัดการระบบไฟล์ Btrfs ได้ตั้งแต่ต้น 💠 CRB Repository Enabled by Default: เปิดใช้งาน CRB repo โดยอัตโนมัติสำหรับการติดตั้งใหม่ 💠 Extended Support for x86_64_v2: เพิ่มการรองรับโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่ใช้ instruction set x86_64_v2 💠 Performance Enhancements: เปิดใช้งาน frame pointers โดยค่าเริ่มต้นเพื่อช่วยในการ debug และปรับปรุงประสิทธิภาพ 💠 Updated Toolchain: GCC 15.1, LLVM 20.1.8, Rust 1.88.0, Go 1.24 และอื่น ๆ 💠 Software Updates: NetworkManager 1.54, QEMU 10, Node.js 24, Podman 5.6.0, Mesa 25.0.7, Samba 4.22.4, Python 3.12.11, Apache 2.4.63, OpenSSL 3.5 และอีกมากมาย 💻 การติดตั้งและการอัปเกรด AlmaLinux OS 10.1 พร้อมให้ดาวน์โหลดเป็น ISO images สำหรับสถาปัตยกรรม x86_64, AArch64, PowerPC 64-bit Little Endian และ IBM System Z โดยมีทั้ง live images, cloud images และ container images สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความยืดหยุ่น ผู้ใช้ที่มี AlmaLinux OS อยู่แล้วสามารถอัปเกรดได้ง่าย ๆ เพียงใช้คำสั่ง: 👉 sudo dnf update 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน AlmaLinux OS 10.1 ➡️ รองรับ Btrfs filesystem ตั้งแต่การติดตั้ง ➡️ เปิดใช้งาน CRB repo โดยค่าเริ่มต้น ➡️ รองรับ x86_64_v2 processors ✅ การปรับปรุงระบบและซอฟต์แวร์ ➡️ Toolchain ใหม่: GCC 15.1, LLVM 20.1.8, Rust 1.88.0, Go 1.24 ➡️ อัปเดตซอฟต์แวร์หลัก เช่น Python 3.12.11, Apache 2.4.63, OpenSSL 3.5 ➡️ Performance enhancements และ frame pointers ✅ การติดตั้งและการอัปเกรด ➡️ มี ISO สำหรับหลายสถาปัตยกรรม ➡️ รองรับ live, cloud และ container images ➡️ อัปเกรดด้วย sudo dnf update ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ผู้ใช้ที่ยังไม่คุ้นกับ Btrfs ควรทดสอบก่อนใช้งานจริง ⛔ การเปลี่ยนระบบไฟล์อาจมีผลต่อการทำงานของบางแอปพลิเคชัน ⛔ ควรสำรองข้อมูลก่อนการอัปเกรดหรือเปลี่ยนระบบไฟล์ https://9to5linux.com/almalinux-os-10-1-officially-released-with-support-for-the-btrfs-file-system
    9TO5LINUX.COM
    AlmaLinux OS 10.1 Officially Released with Support for the Btrfs File System - 9to5Linux
    AlmaLinux OS 10.1 distribution is now available for download as a free alternative to Red Hat Enterprise Linux 10.1 with Btrfs support.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • Raspberry Pi OS รุ่นล่าสุดรองรับ HiDPI Scaling

    Raspberry Pi Project ได้ปล่อย Raspberry Pi OS รุ่นใหม่ (2025-11-24) ที่ยังคงใช้ฐานจาก Debian 13 “Trixie” และ Kernel Linux 6.12.47 LTS โดยมีการปรับปรุงครั้งสำคัญคือการเพิ่ม HiDPI scaling ในหน้าจอควบคุม (Screens control panel) ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับการแสดงผลให้เหมาะสมกับจอความละเอียดสูงได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งเพิ่ม HiDPI icons ให้กับ panel, file manager และแอปพลิเคชันต่าง ๆ

    ปรับปรุงด้านอินเทอร์เฟซและการใช้งาน
    รุ่นใหม่นี้มาพร้อม Labwc 0.9.4 เป็น Wayland compositor เริ่มต้น และปรับปรุงหน้าตา Openbox ให้สอดคล้องกับ Labwc รวมถึงเพิ่ม Alacarte menu editor สำหรับการจัดการเมนูได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มไอคอนใน task switcher, รองรับการปรับธีมสำหรับ Qt 6 apps และปรับปรุงการเลือกฟอนต์สำหรับ Qt 5 apps เพื่อให้การใช้งานบนจอ HiDPI มีความสวยงามและอ่านง่ายขึ้น

    การปรับปรุงระบบและซอฟต์แวร์หลัก
    การอัปเดตครั้งนี้ยังมีการแก้ไขการทำงานของ volume slider และ calendar pop-ups ให้สามารถปิดได้ด้วยการคลิกที่ไอคอน, ปรับปรุงการแสดงผล external drives, ลบการรองรับ PulseAudio และอัปเดตการแปลภาษาโปรตุเกส นอกจากนี้ยังมาพร้อม Mozilla Firefox 145 และ Chromium 142.0.7444.162 รุ่นล่าสุด รวมถึงการปรับปรุงการจัดการ plugin dialogs และการซ่อน Control Centre จาก taskbar เพื่อให้ระบบทำงานได้เรียบง่ายขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Raspberry Pi OS 2025-11-24
    รองรับ HiDPI scaling ใน Screens control panel
    เพิ่ม HiDPI icons ให้กับ panel และ file manager
    Labwc 0.9.4 เป็น Wayland compositor เริ่มต้น

    การปรับปรุงอินเทอร์เฟซ
    ปรับปรุง Openbox ให้เข้ากับ Labwc
    เพิ่ม Alacarte menu editor
    รองรับธีม Qt 6 และปรับปรุงฟอนต์ Qt 5

    การปรับปรุงระบบและซอฟต์แวร์หลัก
    Firefox 145 และ Chromium 142 รุ่นล่าสุด
    ปรับปรุงการจัดการ volume slider และ calendar pop-ups
    ลบ PulseAudio และปรับปรุง external drive icons

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ยังใช้ PulseAudio อาจต้องปรับตัวไปใช้ PipeWire
    หากไม่อัปเดต อาจพลาดการปรับปรุงด้าน HiDPI และความปลอดภัย
    การเปลี่ยนแปลงใน Labwc อาจทำให้บางแอปพลิเคชันเก่ามีปัญหาในการแสดงผล

    https://9to5linux.com/new-raspberry-pi-os-release-adds-support-for-setting-hidpi-scaling-updates-labwc
    🖥️ Raspberry Pi OS รุ่นล่าสุดรองรับ HiDPI Scaling Raspberry Pi Project ได้ปล่อย Raspberry Pi OS รุ่นใหม่ (2025-11-24) ที่ยังคงใช้ฐานจาก Debian 13 “Trixie” และ Kernel Linux 6.12.47 LTS โดยมีการปรับปรุงครั้งสำคัญคือการเพิ่ม HiDPI scaling ในหน้าจอควบคุม (Screens control panel) ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับการแสดงผลให้เหมาะสมกับจอความละเอียดสูงได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งเพิ่ม HiDPI icons ให้กับ panel, file manager และแอปพลิเคชันต่าง ๆ 🎨 ปรับปรุงด้านอินเทอร์เฟซและการใช้งาน รุ่นใหม่นี้มาพร้อม Labwc 0.9.4 เป็น Wayland compositor เริ่มต้น และปรับปรุงหน้าตา Openbox ให้สอดคล้องกับ Labwc รวมถึงเพิ่ม Alacarte menu editor สำหรับการจัดการเมนูได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มไอคอนใน task switcher, รองรับการปรับธีมสำหรับ Qt 6 apps และปรับปรุงการเลือกฟอนต์สำหรับ Qt 5 apps เพื่อให้การใช้งานบนจอ HiDPI มีความสวยงามและอ่านง่ายขึ้น ⚙️ การปรับปรุงระบบและซอฟต์แวร์หลัก การอัปเดตครั้งนี้ยังมีการแก้ไขการทำงานของ volume slider และ calendar pop-ups ให้สามารถปิดได้ด้วยการคลิกที่ไอคอน, ปรับปรุงการแสดงผล external drives, ลบการรองรับ PulseAudio และอัปเดตการแปลภาษาโปรตุเกส นอกจากนี้ยังมาพร้อม Mozilla Firefox 145 และ Chromium 142.0.7444.162 รุ่นล่าสุด รวมถึงการปรับปรุงการจัดการ plugin dialogs และการซ่อน Control Centre จาก taskbar เพื่อให้ระบบทำงานได้เรียบง่ายขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Raspberry Pi OS 2025-11-24 ➡️ รองรับ HiDPI scaling ใน Screens control panel ➡️ เพิ่ม HiDPI icons ให้กับ panel และ file manager ➡️ Labwc 0.9.4 เป็น Wayland compositor เริ่มต้น ✅ การปรับปรุงอินเทอร์เฟซ ➡️ ปรับปรุง Openbox ให้เข้ากับ Labwc ➡️ เพิ่ม Alacarte menu editor ➡️ รองรับธีม Qt 6 และปรับปรุงฟอนต์ Qt 5 ✅ การปรับปรุงระบบและซอฟต์แวร์หลัก ➡️ Firefox 145 และ Chromium 142 รุ่นล่าสุด ➡️ ปรับปรุงการจัดการ volume slider และ calendar pop-ups ➡️ ลบ PulseAudio และปรับปรุง external drive icons ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ผู้ใช้ที่ยังใช้ PulseAudio อาจต้องปรับตัวไปใช้ PipeWire ⛔ หากไม่อัปเดต อาจพลาดการปรับปรุงด้าน HiDPI และความปลอดภัย ⛔ การเปลี่ยนแปลงใน Labwc อาจทำให้บางแอปพลิเคชันเก่ามีปัญหาในการแสดงผล https://9to5linux.com/new-raspberry-pi-os-release-adds-support-for-setting-hidpi-scaling-updates-labwc
    9TO5LINUX.COM
    New Raspberry Pi OS Release Supports Setting HiDPI Scaling, Updates Labwc - 9to5Linux
    Raspberry Pi OS 2025-11-24 is now available for download with support for setting HiDPI scaling, updated Labwc Wayland compositor, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 11 Update KB5062553 ทำระบบหลักล่ม

    Microsoft ยืนยันว่าอัปเดต KB5062553 ซึ่งปล่อยในเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ 25H2 ก่อให้เกิดความผิดพลาดในหลายส่วนของระบบหลัก โดยเฉพาะ Start Menu, File Explorer และ System Settings ที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ปัญหานี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงใน Windows XAML components ซึ่งเป็นแกนสำคัญในการแสดงผลอินเทอร์เฟซ ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเจออาการ crash และ critical error เมื่อใช้งาน

    อาการที่ผู้ใช้พบ
    หลังติดตั้ง KB5062553 ผู้ใช้รายงานว่า File Explorer crash บ่อยครั้ง, Start Menu ไม่สามารถเปิดได้, System Settings ไม่ตอบสนอง และบางครั้ง shellhost.exe ล่มโดยไม่มีคำเตือน นอกจากนี้ยังมีปัญหากับการแสดงผล XAML Island views ที่ทำให้แอปพลิเคชันบางตัวไม่สามารถเปิดได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้การใช้งานประจำวันสะดุดและสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้ที่อัปเดตระบบ

    แนวทางแก้ไขชั่วคราวจาก Microsoft
    Microsoft ได้ออกเอกสารสนับสนุน KB5072911 เพื่อแนะนำวิธีแก้ไขชั่วคราว โดยผู้ใช้สามารถใช้ PowerShell commands ที่ระบุไว้เพื่อบรรเทาปัญหาบางส่วน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เป็นเพียงการแก้ไขเฉพาะหน้า ไม่ใช่การแก้ไขถาวร ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ยังคงต้องรอการอัปเดตใหม่จาก Microsoft ที่จะออกมาแก้ไขปัญหานี้อย่างสมบูรณ์

    สรุปสาระสำคัญ
    ปัญหาที่เกิดจาก KB5062553
    Start Menu ไม่สามารถเปิดได้และแสดง critical error
    File Explorer crash และไม่แสดงบน taskbar
    System Settings ไม่ตอบสนอง

    สาเหตุของปัญหา
    เกิดจากการเปลี่ยนแปลงใน Windows XAML components
    ส่งผลกระทบต่อ shellhost.exe และ XAML Island views

    แนวทางแก้ไขชั่วคราว
    Microsoft แนะนำให้ใช้ PowerShell commands ตามเอกสาร KB5072911
    วิธีแก้เป็นเพียงชั่วคราว ต้องรออัปเดตใหม่

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    การติดตั้ง KB5062553 อาจทำให้ระบบหลักใช้งานไม่ได้
    การใช้วิธีแก้ชั่วคราวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด
    ผู้ใช้ควรพิจารณาชะลอการอัปเดตจนกว่าจะมีแพตช์แก้ไขถาวร

    https://securityonline.info/core-failure-windows-11-update-kb5062553-is-causing-system-start-menu-and-explorer-crashes/
    💻 Windows 11 Update KB5062553 ทำระบบหลักล่ม Microsoft ยืนยันว่าอัปเดต KB5062553 ซึ่งปล่อยในเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ 25H2 ก่อให้เกิดความผิดพลาดในหลายส่วนของระบบหลัก โดยเฉพาะ Start Menu, File Explorer และ System Settings ที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ปัญหานี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงใน Windows XAML components ซึ่งเป็นแกนสำคัญในการแสดงผลอินเทอร์เฟซ ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเจออาการ crash และ critical error เมื่อใช้งาน ⚙️ อาการที่ผู้ใช้พบ หลังติดตั้ง KB5062553 ผู้ใช้รายงานว่า File Explorer crash บ่อยครั้ง, Start Menu ไม่สามารถเปิดได้, System Settings ไม่ตอบสนอง และบางครั้ง shellhost.exe ล่มโดยไม่มีคำเตือน นอกจากนี้ยังมีปัญหากับการแสดงผล XAML Island views ที่ทำให้แอปพลิเคชันบางตัวไม่สามารถเปิดได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้การใช้งานประจำวันสะดุดและสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้ที่อัปเดตระบบ 🛠️ แนวทางแก้ไขชั่วคราวจาก Microsoft Microsoft ได้ออกเอกสารสนับสนุน KB5072911 เพื่อแนะนำวิธีแก้ไขชั่วคราว โดยผู้ใช้สามารถใช้ PowerShell commands ที่ระบุไว้เพื่อบรรเทาปัญหาบางส่วน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เป็นเพียงการแก้ไขเฉพาะหน้า ไม่ใช่การแก้ไขถาวร ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ยังคงต้องรอการอัปเดตใหม่จาก Microsoft ที่จะออกมาแก้ไขปัญหานี้อย่างสมบูรณ์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ปัญหาที่เกิดจาก KB5062553 ➡️ Start Menu ไม่สามารถเปิดได้และแสดง critical error ➡️ File Explorer crash และไม่แสดงบน taskbar ➡️ System Settings ไม่ตอบสนอง ✅ สาเหตุของปัญหา ➡️ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงใน Windows XAML components ➡️ ส่งผลกระทบต่อ shellhost.exe และ XAML Island views ✅ แนวทางแก้ไขชั่วคราว ➡️ Microsoft แนะนำให้ใช้ PowerShell commands ตามเอกสาร KB5072911 ➡️ วิธีแก้เป็นเพียงชั่วคราว ต้องรออัปเดตใหม่ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ การติดตั้ง KB5062553 อาจทำให้ระบบหลักใช้งานไม่ได้ ⛔ การใช้วิธีแก้ชั่วคราวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ⛔ ผู้ใช้ควรพิจารณาชะลอการอัปเดตจนกว่าจะมีแพตช์แก้ไขถาวร https://securityonline.info/core-failure-windows-11-update-kb5062553-is-causing-system-start-menu-and-explorer-crashes/
    SECURITYONLINE.INFO
    Core Failure: Windows 11 Update KB5062553 is Causing System, Start Menu, and Explorer Crashes
    A major bug in the Windows 11 July update (KB5062553) is causing widespread crashes in core system components like File Explorer, Taskbar, and Start Menu on 24H2/25H2.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ปิดฉาก WINS หลัง Windows Server 2025

    WINS หรือ Windows Internet Name Service เปิดตัวครั้งแรกในปี 1994 เพื่อแก้ปัญหาการแปลงชื่อ NetBIOS เป็น IP Address ในยุคที่ DNS ยังไม่แพร่หลาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป DNS กลายเป็นมาตรฐานสากลที่มีความปลอดภัยและรองรับการขยายตัวได้ดีกว่า ทำให้ WINS ค่อย ๆ ถูกลดบทบาทลง และในที่สุด Microsoft ประกาศว่า Windows Server 2025 จะเป็นรุ่นสุดท้ายที่ยังคงมี WINS ให้ใช้งาน

    องค์กรที่ยังพึ่งพา WINS จะยังได้รับการสนับสนุนต่อไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2034 ภายใต้ Fixed Lifecycle Policy แต่หลังจากนั้น Microsoft จะหยุดการอัปเดตด้านความปลอดภัยและบั๊กทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าการใช้งาน WINS ต่อไปจะเสี่ยงต่อการโจมตีและไม่สอดคล้องกับมาตรฐานเครือข่ายสมัยใหม่

    ทำไมต้องเปลี่ยนไปใช้ DNS
    DNS ไม่เพียงแต่เป็นมาตรฐานที่ใช้ทั่วโลก แต่ยังมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่า เช่น DNSSEC ที่ช่วยป้องกันการโจมตีแบบ spoofing และ cache poisoning ซึ่ง WINS ไม่สามารถทำได้ อีกทั้ง DNS ยังรองรับ IPv6 และการทำงานร่วมกับบริการคลาวด์และ Active Directory ได้อย่างราบรื่น ต่างจาก WINS ที่ยังคงยึดติดกับ IPv4 และโครงสร้างแบบ centralized replication ที่ไม่เหมาะกับเครือข่ายขนาดใหญ่

    การเปลี่ยนผ่านไปใช้ DNS จึงไม่ใช่แค่การอัปเกรด แต่เป็นการลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและลดภาระการดูแลระบบที่ซับซ้อนจากการคงไว้ซึ่งเทคโนโลยีเก่า

    ผลกระทบต่อองค์กรและแนวทางการปรับตัว
    องค์กรที่ยังมีระบบหรือแอปพลิเคชันเก่าที่พึ่งพา WINS จำเป็นต้องเร่งตรวจสอบและวางแผนการย้ายไปใช้ DNS โดยเฉพาะในกรณีที่ยังมีการใช้ NetBIOS หรือระบบที่ต้องการ short-name resolution หากไม่ปรับตัวทันเวลา อาจเกิดปัญหาการเชื่อมต่อ การค้นหาทรัพยากรในเครือข่าย และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่รุนแรงขึ้น

    Microsoft แนะนำให้ใช้วิธีการอย่าง conditional forwarders, split-brain DNS และ DNS suffix search lists เพื่อทดแทนการทำงานของ WINS รวมถึงการปรับปรุงหรือเลิกใช้งานแอปพลิเคชันที่ยังคงพึ่งพาเทคโนโลยีนี้

    สรุปสาระสำคัญ
    การประกาศยุติ WINS
    Windows Server 2025 เป็นรุ่นสุดท้ายที่ยังมี WINS
    การสนับสนุนจะสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน 2034

    ข้อดีของ DNS เทียบกับ WINS
    รองรับ IPv6 และการทำงานกับ Active Directory
    มีระบบความปลอดภัย DNSSEC ป้องกันการโจมตี
    โครงสร้างแบบ distributed และ scalable

    แนวทางการปรับตัวขององค์กร
    ตรวจสอบระบบที่ยังพึ่งพา WINS
    ใช้ conditional forwarders และ DNS suffix lists
    ปรับปรุงหรือเลิกใช้แอปพลิเคชันเก่า

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หลังปี 2034 จะไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัย
    ระบบที่ยังใช้ WINS อาจถูกโจมตีด้วย NetBIOS spoofing
    การพึ่งพา WINS ทำให้ไม่สอดคล้องกับ Zero Trust และ Cloud-native architectures

    https://securityonline.info/wins-is-dead-microsoft-to-fully-retire-wins-name-resolution-from-windows-server-post-2025/
    🖥️ Microsoft ปิดฉาก WINS หลัง Windows Server 2025 WINS หรือ Windows Internet Name Service เปิดตัวครั้งแรกในปี 1994 เพื่อแก้ปัญหาการแปลงชื่อ NetBIOS เป็น IP Address ในยุคที่ DNS ยังไม่แพร่หลาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป DNS กลายเป็นมาตรฐานสากลที่มีความปลอดภัยและรองรับการขยายตัวได้ดีกว่า ทำให้ WINS ค่อย ๆ ถูกลดบทบาทลง และในที่สุด Microsoft ประกาศว่า Windows Server 2025 จะเป็นรุ่นสุดท้ายที่ยังคงมี WINS ให้ใช้งาน องค์กรที่ยังพึ่งพา WINS จะยังได้รับการสนับสนุนต่อไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2034 ภายใต้ Fixed Lifecycle Policy แต่หลังจากนั้น Microsoft จะหยุดการอัปเดตด้านความปลอดภัยและบั๊กทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าการใช้งาน WINS ต่อไปจะเสี่ยงต่อการโจมตีและไม่สอดคล้องกับมาตรฐานเครือข่ายสมัยใหม่ 🔐 ทำไมต้องเปลี่ยนไปใช้ DNS DNS ไม่เพียงแต่เป็นมาตรฐานที่ใช้ทั่วโลก แต่ยังมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่า เช่น DNSSEC ที่ช่วยป้องกันการโจมตีแบบ spoofing และ cache poisoning ซึ่ง WINS ไม่สามารถทำได้ อีกทั้ง DNS ยังรองรับ IPv6 และการทำงานร่วมกับบริการคลาวด์และ Active Directory ได้อย่างราบรื่น ต่างจาก WINS ที่ยังคงยึดติดกับ IPv4 และโครงสร้างแบบ centralized replication ที่ไม่เหมาะกับเครือข่ายขนาดใหญ่ การเปลี่ยนผ่านไปใช้ DNS จึงไม่ใช่แค่การอัปเกรด แต่เป็นการลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและลดภาระการดูแลระบบที่ซับซ้อนจากการคงไว้ซึ่งเทคโนโลยีเก่า ⚠️ ผลกระทบต่อองค์กรและแนวทางการปรับตัว องค์กรที่ยังมีระบบหรือแอปพลิเคชันเก่าที่พึ่งพา WINS จำเป็นต้องเร่งตรวจสอบและวางแผนการย้ายไปใช้ DNS โดยเฉพาะในกรณีที่ยังมีการใช้ NetBIOS หรือระบบที่ต้องการ short-name resolution หากไม่ปรับตัวทันเวลา อาจเกิดปัญหาการเชื่อมต่อ การค้นหาทรัพยากรในเครือข่าย และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่รุนแรงขึ้น Microsoft แนะนำให้ใช้วิธีการอย่าง conditional forwarders, split-brain DNS และ DNS suffix search lists เพื่อทดแทนการทำงานของ WINS รวมถึงการปรับปรุงหรือเลิกใช้งานแอปพลิเคชันที่ยังคงพึ่งพาเทคโนโลยีนี้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การประกาศยุติ WINS ➡️ Windows Server 2025 เป็นรุ่นสุดท้ายที่ยังมี WINS ➡️ การสนับสนุนจะสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน 2034 ✅ ข้อดีของ DNS เทียบกับ WINS ➡️ รองรับ IPv6 และการทำงานกับ Active Directory ➡️ มีระบบความปลอดภัย DNSSEC ป้องกันการโจมตี ➡️ โครงสร้างแบบ distributed และ scalable ✅ แนวทางการปรับตัวขององค์กร ➡️ ตรวจสอบระบบที่ยังพึ่งพา WINS ➡️ ใช้ conditional forwarders และ DNS suffix lists ➡️ ปรับปรุงหรือเลิกใช้แอปพลิเคชันเก่า ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หลังปี 2034 จะไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัย ⛔ ระบบที่ยังใช้ WINS อาจถูกโจมตีด้วย NetBIOS spoofing ⛔ การพึ่งพา WINS ทำให้ไม่สอดคล้องกับ Zero Trust และ Cloud-native architectures https://securityonline.info/wins-is-dead-microsoft-to-fully-retire-wins-name-resolution-from-windows-server-post-2025/
    SECURITYONLINE.INFO
    WINS is Dead: Microsoft to Fully Retire WINS Name Resolution from Windows Server Post-2025
    Microsoft will fully retire the WINS name-resolution service after Windows Server 2025. Support for existing deployments ends in 2034, urging migration to DNS now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ชาวรัสเซียเดือดร้อนหนักจากการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถือ"

    ตั้งแต่ต้นปี 2025 รัฐบาลรัสเซียได้ใช้มาตรการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถือในหลายภูมิภาค โดยให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันการโจมตีด้วยโดรนจากยูเครน แต่ผลลัพธ์คือประชาชนจำนวนมากไม่สามารถใช้บริการพื้นฐานได้ เช่น การจ่ายค่าโดยสารสาธารณะผ่านบัตรเครดิต การถอนเงินจากตู้ ATM หรือแม้แต่การส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันสื่อสาร ทำให้ชีวิตประจำวันหยุดชะงักและเกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง

    ผลกระทบต่อสุขภาพและครอบครัว
    หนึ่งในผลกระทบที่ร้ายแรงคือ ผู้ปกครองเด็กที่เป็นเบาหวานไม่สามารถตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดของลูกได้ เนื่องจากอุปกรณ์เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมือถือ การปิดกั้นนี้จึงไม่เพียงแต่สร้างความไม่สะดวก แต่ยังเป็นภัยต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนโดยตรง

    ความไม่พอใจและเสียงวิจารณ์
    ประชาชนจำนวนมากมองว่ามาตรการนี้เป็นการควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดขึ้น และสะท้อนถึงแนวโน้มที่รัฐบาลรัสเซียพยายามจำกัดเสรีภาพทางดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนเปรียบเทียบกับการปิดกั้นสื่อในอดีต และกังวลว่าการปิดอินเทอร์เน็ตมือถืออาจกลายเป็นมาตรการถาวรที่กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง

    มิติทางการเมืองและความมั่นคง
    นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถืออาจเป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามจริงจากโดรน แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมข้อมูลและการสื่อสารของประชาชน การกระทำนี้อาจสร้างแรงกดดันต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน และเพิ่มความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลในระยะยาว

    สรุปสาระสำคัญ
    มาตรการของรัฐบาลรัสเซีย
    ปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถือเพื่อสกัดกั้นการโจมตีด้วยโดรน
    ส่งผลกระทบต่อบริการพื้นฐาน เช่น ตู้ ATM และการจ่ายค่าโดยสาร

    ผลกระทบต่อประชาชน
    ผู้ปกครองเด็กเบาหวานไม่สามารถตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดได้
    แอปสื่อสารและการทำธุรกรรมทางการเงินหยุดชะงัก

    เสียงวิจารณ์และความไม่พอใจ
    ประชาชนมองว่าเป็นการควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดขึ้น
    กังวลว่าจะกลายเป็นมาตรการถาวรที่กระทบเศรษฐกิจและสังคม

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถืออาจเป็นภัยต่อสุขภาพและชีวิตประชาชน
    การควบคุมเสรีภาพทางดิจิทัลอาจเพิ่มความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/24/frustrations-grow-in-russia-over-cellphone-internet-outages-that-disrupt-daily-life
    📡 "ชาวรัสเซียเดือดร้อนหนักจากการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถือ" ตั้งแต่ต้นปี 2025 รัฐบาลรัสเซียได้ใช้มาตรการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถือในหลายภูมิภาค โดยให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันการโจมตีด้วยโดรนจากยูเครน แต่ผลลัพธ์คือประชาชนจำนวนมากไม่สามารถใช้บริการพื้นฐานได้ เช่น การจ่ายค่าโดยสารสาธารณะผ่านบัตรเครดิต การถอนเงินจากตู้ ATM หรือแม้แต่การส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันสื่อสาร ทำให้ชีวิตประจำวันหยุดชะงักและเกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง 🏥 ผลกระทบต่อสุขภาพและครอบครัว หนึ่งในผลกระทบที่ร้ายแรงคือ ผู้ปกครองเด็กที่เป็นเบาหวานไม่สามารถตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดของลูกได้ เนื่องจากอุปกรณ์เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมือถือ การปิดกั้นนี้จึงไม่เพียงแต่สร้างความไม่สะดวก แต่ยังเป็นภัยต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนโดยตรง 💬 ความไม่พอใจและเสียงวิจารณ์ ประชาชนจำนวนมากมองว่ามาตรการนี้เป็นการควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดขึ้น และสะท้อนถึงแนวโน้มที่รัฐบาลรัสเซียพยายามจำกัดเสรีภาพทางดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนเปรียบเทียบกับการปิดกั้นสื่อในอดีต และกังวลว่าการปิดอินเทอร์เน็ตมือถืออาจกลายเป็นมาตรการถาวรที่กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง 🌍 มิติทางการเมืองและความมั่นคง นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถืออาจเป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามจริงจากโดรน แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมข้อมูลและการสื่อสารของประชาชน การกระทำนี้อาจสร้างแรงกดดันต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน และเพิ่มความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลในระยะยาว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ มาตรการของรัฐบาลรัสเซีย ➡️ ปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถือเพื่อสกัดกั้นการโจมตีด้วยโดรน ➡️ ส่งผลกระทบต่อบริการพื้นฐาน เช่น ตู้ ATM และการจ่ายค่าโดยสาร ✅ ผลกระทบต่อประชาชน ➡️ ผู้ปกครองเด็กเบาหวานไม่สามารถตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดได้ ➡️ แอปสื่อสารและการทำธุรกรรมทางการเงินหยุดชะงัก ✅ เสียงวิจารณ์และความไม่พอใจ ➡️ ประชาชนมองว่าเป็นการควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดขึ้น ➡️ กังวลว่าจะกลายเป็นมาตรการถาวรที่กระทบเศรษฐกิจและสังคม ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตมือถืออาจเป็นภัยต่อสุขภาพและชีวิตประชาชน ⛔ การควบคุมเสรีภาพทางดิจิทัลอาจเพิ่มความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/24/frustrations-grow-in-russia-over-cellphone-internet-outages-that-disrupt-daily-life
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Frustrations grow in Russia over cellphone Internet outages that disrupt daily life
    When Russians look back at 2025, they might remember it as the year when the government took even tighter control of the Internet.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts