• “SK hynix เปิดตัว ZUFS 4.1 — หน่วยความจำมือถือที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และพร้อมรองรับ AI บนเครื่องโดยตรง”

    SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ประกาศเริ่มส่งมอบโซลูชัน NAND สำหรับมือถือรุ่นใหม่ในชื่อ ZUFS 4.1 ซึ่งถือเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของเทคโนโลยีนี้ในโลก โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสมาร์ตโฟนที่ใช้ AI บนเครื่อง (on-device AI) และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่

    ZUFS ย่อมาจาก Zoned Universal Flash Storage ซึ่งเป็นการต่อยอดจากมาตรฐาน UFS โดยนำแนวคิด Zoned Storage มาใช้ — คือการจัดเก็บข้อมูลในโซนต่าง ๆ ตามลักษณะการใช้งาน เพื่อเพิ่มความเร็วและลดการเสื่อมของประสิทธิภาพเมื่อใช้งานไปนาน ๆ

    ZUFS 4.1 สามารถลดเวลาเปิดแอปทั่วไปได้ถึง 45% และลดเวลาเปิดแอป AI ได้ถึง 47% เมื่อเทียบกับ UFS แบบเดิม โดยใช้วิธีเขียนข้อมูลแบบเรียงลำดับ (sequential write) แทนการเขียนทับแบบเดิม ซึ่งช่วยให้ข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ SK hynix ยังปรับปรุงระบบตรวจจับข้อผิดพลาดให้แม่นยำขึ้น และสามารถสื่อสารกับ CPU ได้ดีขึ้น ทำให้ระบบสามารถฟื้นตัวจากข้อผิดพลาดได้เร็วขึ้นและเสถียรขึ้น โดย ZUFS 4.1 ผ่านการทดสอบร่วมกับลูกค้าในเดือนมิถุนายน และเริ่มผลิตจริงในเดือนกรกฎาคม 2025

    จุดเด่นของ ZUFS 4.1 จาก SK hynix
    เป็นโซลูชัน NAND สำหรับมือถือที่ใช้เทคโนโลยี Zoned Storage
    ลดเวลาเปิดแอปทั่วไปได้ 45% และแอป AI ได้ 47%
    เขียนข้อมูลแบบ sequential แทนการเขียนทับ — ช่วยลดการเสื่อมของประสิทธิภาพ
    ปรับปรุงระบบตรวจจับข้อผิดพลาดและการสื่อสารกับ CPU เพื่อเพิ่มความเสถียร

    การพัฒนาและการผลิต
    ผ่านการทดสอบร่วมกับลูกค้าในเดือนมิถุนายน 2025
    เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม และเริ่มส่งมอบในเดือนกันยายน
    เป็นโซลูชันแรกที่พัฒนาเพื่อปรับแต่งการทำงานร่วมกับ Android OS โดยเฉพาะ
    รองรับการใช้งานในสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่เน้น on-device AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zoned Storage เคยใช้ในเซิร์ฟเวอร์และ SSD ระดับองค์กรมาก่อน
    UFS 4.1 เป็นมาตรฐานล่าสุดที่เปิดตัวในปี 2025 โดย JEDEC
    SK hynix กำลังแข่งขันกับ Samsung และ Kioxia ในตลาด NAND สำหรับมือถือ
    การจัดเก็บแบบ zoned ช่วยลดการเขียนซ้ำและยืดอายุการใช้งานของหน่วยความจำ

    https://www.techpowerup.com/340882/sk-hynix-begins-supplying-mobile-nand-solution-zufs-4-1
    📱 “SK hynix เปิดตัว ZUFS 4.1 — หน่วยความจำมือถือที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และพร้อมรองรับ AI บนเครื่องโดยตรง” SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ประกาศเริ่มส่งมอบโซลูชัน NAND สำหรับมือถือรุ่นใหม่ในชื่อ ZUFS 4.1 ซึ่งถือเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของเทคโนโลยีนี้ในโลก โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสมาร์ตโฟนที่ใช้ AI บนเครื่อง (on-device AI) และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ ZUFS ย่อมาจาก Zoned Universal Flash Storage ซึ่งเป็นการต่อยอดจากมาตรฐาน UFS โดยนำแนวคิด Zoned Storage มาใช้ — คือการจัดเก็บข้อมูลในโซนต่าง ๆ ตามลักษณะการใช้งาน เพื่อเพิ่มความเร็วและลดการเสื่อมของประสิทธิภาพเมื่อใช้งานไปนาน ๆ ZUFS 4.1 สามารถลดเวลาเปิดแอปทั่วไปได้ถึง 45% และลดเวลาเปิดแอป AI ได้ถึง 47% เมื่อเทียบกับ UFS แบบเดิม โดยใช้วิธีเขียนข้อมูลแบบเรียงลำดับ (sequential write) แทนการเขียนทับแบบเดิม ซึ่งช่วยให้ข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ SK hynix ยังปรับปรุงระบบตรวจจับข้อผิดพลาดให้แม่นยำขึ้น และสามารถสื่อสารกับ CPU ได้ดีขึ้น ทำให้ระบบสามารถฟื้นตัวจากข้อผิดพลาดได้เร็วขึ้นและเสถียรขึ้น โดย ZUFS 4.1 ผ่านการทดสอบร่วมกับลูกค้าในเดือนมิถุนายน และเริ่มผลิตจริงในเดือนกรกฎาคม 2025 ✅ จุดเด่นของ ZUFS 4.1 จาก SK hynix ➡️ เป็นโซลูชัน NAND สำหรับมือถือที่ใช้เทคโนโลยี Zoned Storage ➡️ ลดเวลาเปิดแอปทั่วไปได้ 45% และแอป AI ได้ 47% ➡️ เขียนข้อมูลแบบ sequential แทนการเขียนทับ — ช่วยลดการเสื่อมของประสิทธิภาพ ➡️ ปรับปรุงระบบตรวจจับข้อผิดพลาดและการสื่อสารกับ CPU เพื่อเพิ่มความเสถียร ✅ การพัฒนาและการผลิต ➡️ ผ่านการทดสอบร่วมกับลูกค้าในเดือนมิถุนายน 2025 ➡️ เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม และเริ่มส่งมอบในเดือนกันยายน ➡️ เป็นโซลูชันแรกที่พัฒนาเพื่อปรับแต่งการทำงานร่วมกับ Android OS โดยเฉพาะ ➡️ รองรับการใช้งานในสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่เน้น on-device AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zoned Storage เคยใช้ในเซิร์ฟเวอร์และ SSD ระดับองค์กรมาก่อน ➡️ UFS 4.1 เป็นมาตรฐานล่าสุดที่เปิดตัวในปี 2025 โดย JEDEC ➡️ SK hynix กำลังแข่งขันกับ Samsung และ Kioxia ในตลาด NAND สำหรับมือถือ ➡️ การจัดเก็บแบบ zoned ช่วยลดการเขียนซ้ำและยืดอายุการใช้งานของหน่วยความจำ https://www.techpowerup.com/340882/sk-hynix-begins-supplying-mobile-nand-solution-zufs-4-1
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SK hynix Begins Supplying Mobile NAND Solution ZUFS 4.1
    SK hynix Inc. announced today that it has begun supplying its high-performance mobile NAND solution ZUFS 4.1 to customers, marking the world's first mass production of this solution. The solution's adoption in the latest smartphones reinforces SK hynix's technological excellence in the global market...
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • “KDE Gear 25.08.1 อัปเดตชุดแอป KDE ครั้งใหญ่ — แก้บั๊ก เสริมฟีเจอร์ พร้อมรองรับ Wayland และ GPU AMD ดีขึ้น”

    KDE Gear 25.08.1 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตบำรุงรักษาชุดแอป KDE ประจำเดือนกันยายน 2025 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานในหลายแอปยอดนิยม เช่น Dolphin, Kdenlive, Kate, Ark, Dragon Player, KMail และอีกมากมาย

    หนึ่งในการแก้ไขสำคัญคือการปรับปรุง Dolphin ให้แก้ปัญหา scroll ซ้ำซ้อน และการแครชเมื่อใช้งานโหมดเลือกไฟล์ร่วมกับการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ ส่วน Kdenlive ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ curve editor แบบเต็มหน้าจอและไอคอนความละเอียดสูง

    Kate แก้ปัญหา loop ไม่สิ้นสุดเมื่อใช้ git blame ในเวอร์ชัน Flatpak และ Ark ปรับ API ให้ซ่อนการแจ้งเตือนที่เสร็จสิ้นได้อย่างถูกต้อง Dragon Player ได้รับ workaround สำหรับปัญหา texture บน GPU AMD และ ffmpegthumbs ได้รับการ backport จาก FFmpeg 8.0 เพื่อแก้ปัญหา build

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในแอปอื่น ๆ เช่น Gwenview แก้ fade-out bug ในโหมดเปรียบเทียบวิดีโอ, Umbrello ป้องกันการแครชเมื่อเปิดไฟล์ใหม่หลังยกเลิกเอกสารที่แก้ไข, Konqueror ปรับเมนู sidebar ให้ทำงานบน Wayland ได้ดีขึ้น และ KDE Itinerary ปรับ heuristic การตรวจจับ rich text ให้แม่นยำขึ้น

    แอปอื่น ๆ ที่ได้รับการอัปเดตในเวอร์ชันนี้ ได้แก่ AudioTube, Kamoso, KDevelop, Kleopatra, KolourPaint, KOrganizer, Merkuro, NeoChat, KRDC, Kontact และ KTouch รวมถึงไลบรารีและคอมโพเนนต์ที่เกี่ยวข้อง

    การปรับปรุงแอปหลักใน KDE Gear 25.08.1
    Dolphin แก้ปัญหา scroll ซ้ำและแครชจากโหมดเลือกไฟล์
    Kdenlive รองรับ curve editor แบบเต็มหน้าจอและไอคอนความละเอียดสูง
    Kate แก้ loop ไม่สิ้นสุดจาก git blame ในเวอร์ชัน Flatpak
    Ark ใช้ API ที่ถูกต้องในการซ่อนการแจ้งเตือนที่เสร็จสิ้น

    การแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านระบบและ GPU
    Dragon Player ได้ workaround สำหรับ texture บน GPU AMD
    ffmpegthumbs ได้รับ build fix จาก FFmpeg 8.0
    Gwenview แก้ fade-out bug ใน video player controls
    Umbrello ป้องกันแครชเมื่อเปิดไฟล์ใหม่หลังยกเลิกเอกสาร

    การปรับปรุงด้าน UI และ Wayland
    Konqueror ปรับ sidebar context menu ให้ทำงานบน Wayland
    KDE Itinerary ปรับ heuristic การตรวจจับ rich text ให้แม่นยำขึ้น
    เพิ่มความเสถียรในการใช้งาน screencast และการแสดงผล
    ปรับปรุงการแสดงผลข้อมูลใน status bar และ export file

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KDE Gear เป็นชุดแอปที่ปล่อยพร้อม KDE Plasma แต่สามารถใช้แยกได้
    การรองรับ Wayland ดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน KDE Gear เวอร์ชันใหม่
    Flatpak ยังมีข้อจำกัดด้าน integration กับระบบไฟล์และ session
    KDE Gear 25.08.1 รองรับ Linux distros หลัก เช่น Fedora, Arch, openSUSE

    https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-1-released-with-more-improvements-for-your-favorite-kde-apps
    🛠️ “KDE Gear 25.08.1 อัปเดตชุดแอป KDE ครั้งใหญ่ — แก้บั๊ก เสริมฟีเจอร์ พร้อมรองรับ Wayland และ GPU AMD ดีขึ้น” KDE Gear 25.08.1 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตบำรุงรักษาชุดแอป KDE ประจำเดือนกันยายน 2025 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานในหลายแอปยอดนิยม เช่น Dolphin, Kdenlive, Kate, Ark, Dragon Player, KMail และอีกมากมาย หนึ่งในการแก้ไขสำคัญคือการปรับปรุง Dolphin ให้แก้ปัญหา scroll ซ้ำซ้อน และการแครชเมื่อใช้งานโหมดเลือกไฟล์ร่วมกับการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ ส่วน Kdenlive ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ curve editor แบบเต็มหน้าจอและไอคอนความละเอียดสูง Kate แก้ปัญหา loop ไม่สิ้นสุดเมื่อใช้ git blame ในเวอร์ชัน Flatpak และ Ark ปรับ API ให้ซ่อนการแจ้งเตือนที่เสร็จสิ้นได้อย่างถูกต้อง Dragon Player ได้รับ workaround สำหรับปัญหา texture บน GPU AMD และ ffmpegthumbs ได้รับการ backport จาก FFmpeg 8.0 เพื่อแก้ปัญหา build นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในแอปอื่น ๆ เช่น Gwenview แก้ fade-out bug ในโหมดเปรียบเทียบวิดีโอ, Umbrello ป้องกันการแครชเมื่อเปิดไฟล์ใหม่หลังยกเลิกเอกสารที่แก้ไข, Konqueror ปรับเมนู sidebar ให้ทำงานบน Wayland ได้ดีขึ้น และ KDE Itinerary ปรับ heuristic การตรวจจับ rich text ให้แม่นยำขึ้น แอปอื่น ๆ ที่ได้รับการอัปเดตในเวอร์ชันนี้ ได้แก่ AudioTube, Kamoso, KDevelop, Kleopatra, KolourPaint, KOrganizer, Merkuro, NeoChat, KRDC, Kontact และ KTouch รวมถึงไลบรารีและคอมโพเนนต์ที่เกี่ยวข้อง ✅ การปรับปรุงแอปหลักใน KDE Gear 25.08.1 ➡️ Dolphin แก้ปัญหา scroll ซ้ำและแครชจากโหมดเลือกไฟล์ ➡️ Kdenlive รองรับ curve editor แบบเต็มหน้าจอและไอคอนความละเอียดสูง ➡️ Kate แก้ loop ไม่สิ้นสุดจาก git blame ในเวอร์ชัน Flatpak ➡️ Ark ใช้ API ที่ถูกต้องในการซ่อนการแจ้งเตือนที่เสร็จสิ้น ✅ การแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านระบบและ GPU ➡️ Dragon Player ได้ workaround สำหรับ texture บน GPU AMD ➡️ ffmpegthumbs ได้รับ build fix จาก FFmpeg 8.0 ➡️ Gwenview แก้ fade-out bug ใน video player controls ➡️ Umbrello ป้องกันแครชเมื่อเปิดไฟล์ใหม่หลังยกเลิกเอกสาร ✅ การปรับปรุงด้าน UI และ Wayland ➡️ Konqueror ปรับ sidebar context menu ให้ทำงานบน Wayland ➡️ KDE Itinerary ปรับ heuristic การตรวจจับ rich text ให้แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มความเสถียรในการใช้งาน screencast และการแสดงผล ➡️ ปรับปรุงการแสดงผลข้อมูลใน status bar และ export file ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KDE Gear เป็นชุดแอปที่ปล่อยพร้อม KDE Plasma แต่สามารถใช้แยกได้ ➡️ การรองรับ Wayland ดีขึ้นเรื่อย ๆ ใน KDE Gear เวอร์ชันใหม่ ➡️ Flatpak ยังมีข้อจำกัดด้าน integration กับระบบไฟล์และ session ➡️ KDE Gear 25.08.1 รองรับ Linux distros หลัก เช่น Fedora, Arch, openSUSE https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-1-released-with-more-improvements-for-your-favorite-kde-apps
    9TO5LINUX.COM
    KDE Gear 25.08.1 Released with More Improvements for Your Favorite KDE Apps - 9to5Linux
    KDE Gear 25.08.1 is now available as the first maintenance update to the latest KDE Gear 25.08 open-source software suite series with fixes.
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • “Firewalla อัปเดตใหม่หลอกลูกให้เลิกเล่นมือถือด้วย ‘เน็ตช้า’ — เมื่อการควบคุมพฤติกรรมดิจิทัลไม่ต้องใช้คำสั่ง แต่ใช้ความรู้สึก”

    ในยุคที่เด็ก ๆ ใช้เวลาบนหน้าจอมากกว่าการเล่นกลางแจ้ง Firewalla แอปจัดการเครือข่ายและความปลอดภัยสำหรับครอบครัว ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 1.66 ที่ชื่อว่า “Disturb” ซึ่งใช้วิธีแปลกใหม่ในการควบคุมพฤติกรรมการใช้งานมือถือของเด็ก ๆ โดยไม่ต้องบล็อกแอปหรือปิดอินเทอร์เน็ต — แต่ใช้การ “หลอกว่าเน็ตช้า” เพื่อให้เด็กเบื่อและเลิกเล่นไปเอง

    ฟีเจอร์นี้จะจำลองอาการอินเทอร์เน็ตช้า เช่น การบัฟเฟอร์ การโหลดช้า หรือดีเลย์ในการใช้งานแอปยอดนิยมอย่าง Snapchat โดยไม่แจ้งให้ผู้ใช้รู้ว่าเป็นการตั้งใจ ทำให้เด็กเข้าใจว่าเป็นปัญหาทางเทคนิค และเลือกที่จะหยุดใช้งานเอง ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจแบบนุ่มนวลมากกว่าการลงโทษ

    นอกจากฟีเจอร์ Disturb แล้ว Firewalla ยังเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัย เช่น “Device Active Protect” ที่ใช้แนวคิด Zero Trust ในการเรียนรู้พฤติกรรมของอุปกรณ์ และบล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยอัตโนมัติ รวมถึงการเชื่อมต่อกับระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบเปิดอย่าง Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับมัลแวร์และการโจมตีเครือข่าย

    สำหรับผู้ใช้งานระดับบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก Firewalla ยังเพิ่มฟีเจอร์ Multi-WAN Data Usage Tracking ที่สามารถติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากหลายสายพร้อมกัน พร้อมระบบแจ้งเตือนและรายงานแบบละเอียด

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Firewalla App 1.66
    “Disturb” จำลองอินเทอร์เน็ตช้าเพื่อเบี่ยงเบนพฤติกรรมเด็กจากการใช้แอป
    ไม่บล็อกแอปโดยตรง แต่สร้างความรู้สึกว่าเน็ตไม่เสถียร
    ใช้กับแอปที่ใช้เวลานาน เช่น Snapchat, TikTok, YouTube
    เป็นวิธีควบคุมแบบนุ่มนวล ไม่ใช่การลงโทษ

    ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม
    “Device Active Protect” ใช้ Zero Trust เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมอุปกรณ์
    บล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยไม่ต้องตั้งค่ากฎเอง
    เชื่อมต่อกับ Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัย
    เพิ่มระบบ FireAI วิเคราะห์เหตุการณ์เครือข่ายแบบเรียลไทม์

    ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ระดับบ้านและธุรกิจ
    Multi-WAN Data Usage Tracking ติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายสาย
    มีระบบแจ้งเตือนเมื่อใช้งานเกินขีดจำกัด
    รายงานการใช้งานแบบละเอียดสำหรับการวางแผนเครือข่าย
    รองรับการใช้งานในบ้านที่มีหลายอุปกรณ์หรือหลายเครือข่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Suricata เป็นระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ open-source ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่
    Zero Trust เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ไม่เชื่อถืออุปกรณ์ใด ๆ โดยอัตโนมัติ
    Firewalla ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครือข่ายภายในบ้าน
    ฟีเจอร์ Disturb อาจเป็นต้นแบบของการควบคุมพฤติกรรมเชิงจิตวิทยาในยุคดิจิทัล

    https://www.techradar.com/pro/phone-communications/this-security-app-deliberately-slows-down-internet-speeds-to-encourage-your-kids-to-log-off-their-snapchat-accounts
    📱 “Firewalla อัปเดตใหม่หลอกลูกให้เลิกเล่นมือถือด้วย ‘เน็ตช้า’ — เมื่อการควบคุมพฤติกรรมดิจิทัลไม่ต้องใช้คำสั่ง แต่ใช้ความรู้สึก” ในยุคที่เด็ก ๆ ใช้เวลาบนหน้าจอมากกว่าการเล่นกลางแจ้ง Firewalla แอปจัดการเครือข่ายและความปลอดภัยสำหรับครอบครัว ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 1.66 ที่ชื่อว่า “Disturb” ซึ่งใช้วิธีแปลกใหม่ในการควบคุมพฤติกรรมการใช้งานมือถือของเด็ก ๆ โดยไม่ต้องบล็อกแอปหรือปิดอินเทอร์เน็ต — แต่ใช้การ “หลอกว่าเน็ตช้า” เพื่อให้เด็กเบื่อและเลิกเล่นไปเอง ฟีเจอร์นี้จะจำลองอาการอินเทอร์เน็ตช้า เช่น การบัฟเฟอร์ การโหลดช้า หรือดีเลย์ในการใช้งานแอปยอดนิยมอย่าง Snapchat โดยไม่แจ้งให้ผู้ใช้รู้ว่าเป็นการตั้งใจ ทำให้เด็กเข้าใจว่าเป็นปัญหาทางเทคนิค และเลือกที่จะหยุดใช้งานเอง ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจแบบนุ่มนวลมากกว่าการลงโทษ นอกจากฟีเจอร์ Disturb แล้ว Firewalla ยังเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัย เช่น “Device Active Protect” ที่ใช้แนวคิด Zero Trust ในการเรียนรู้พฤติกรรมของอุปกรณ์ และบล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยอัตโนมัติ รวมถึงการเชื่อมต่อกับระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบเปิดอย่าง Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับมัลแวร์และการโจมตีเครือข่าย สำหรับผู้ใช้งานระดับบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก Firewalla ยังเพิ่มฟีเจอร์ Multi-WAN Data Usage Tracking ที่สามารถติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากหลายสายพร้อมกัน พร้อมระบบแจ้งเตือนและรายงานแบบละเอียด ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Firewalla App 1.66 ➡️ “Disturb” จำลองอินเทอร์เน็ตช้าเพื่อเบี่ยงเบนพฤติกรรมเด็กจากการใช้แอป ➡️ ไม่บล็อกแอปโดยตรง แต่สร้างความรู้สึกว่าเน็ตไม่เสถียร ➡️ ใช้กับแอปที่ใช้เวลานาน เช่น Snapchat, TikTok, YouTube ➡️ เป็นวิธีควบคุมแบบนุ่มนวล ไม่ใช่การลงโทษ ✅ ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม ➡️ “Device Active Protect” ใช้ Zero Trust เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมอุปกรณ์ ➡️ บล็อกกิจกรรมที่ผิดปกติโดยไม่ต้องตั้งค่ากฎเอง ➡️ เชื่อมต่อกับ Suricata เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัย ➡️ เพิ่มระบบ FireAI วิเคราะห์เหตุการณ์เครือข่ายแบบเรียลไทม์ ✅ ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ระดับบ้านและธุรกิจ ➡️ Multi-WAN Data Usage Tracking ติดตามการใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายสาย ➡️ มีระบบแจ้งเตือนเมื่อใช้งานเกินขีดจำกัด ➡️ รายงานการใช้งานแบบละเอียดสำหรับการวางแผนเครือข่าย ➡️ รองรับการใช้งานในบ้านที่มีหลายอุปกรณ์หรือหลายเครือข่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Suricata เป็นระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ open-source ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Zero Trust เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ไม่เชื่อถืออุปกรณ์ใด ๆ โดยอัตโนมัติ ➡️ Firewalla ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครือข่ายภายในบ้าน ➡️ ฟีเจอร์ Disturb อาจเป็นต้นแบบของการควบคุมพฤติกรรมเชิงจิตวิทยาในยุคดิจิทัล https://www.techradar.com/pro/phone-communications/this-security-app-deliberately-slows-down-internet-speeds-to-encourage-your-kids-to-log-off-their-snapchat-accounts
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • “Debian 13.1 ‘Trixie’ มาแล้ว! อัปเดตแรกของดิสโทรสายเสถียร พร้อม 71 แพตช์บั๊กและ 16 ช่องโหว่ความปลอดภัย”

    ถ้าคุณเป็นสาย Linux ที่รักความเสถียรและความปลอดภัยเป็นหลัก — ข่าวนี้คือสิ่งที่คุณรอคอย: Debian 13.1 “Trixie” ได้รับการปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 6 กันยายน 2025 โดยเป็นอัปเดตแรกของ Debian 13 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนก่อน

    Debian 13.1 ไม่ใช่เวอร์ชันใหม่ แต่เป็น “point release” ที่รวมการแก้ไขบั๊กจำนวน 71 รายการ และอัปเดตด้านความปลอดภัยอีก 16 รายการ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งระบบได้จาก ISO ที่ใหม่กว่า โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแพตช์จำนวนมากหลังติดตั้ง

    สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้ง Debian 13 ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ เพียงแค่รันคำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade ก็จะได้รับอัปเดตทั้งหมดทันที

    Debian 13.1 รองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น amd64, arm64, riscv64, ppc64el, s390x และ armhf โดยมี Live ISO สำหรับ 64-bit ที่มาพร้อมเดสก์ท็อปยอดนิยม เช่น KDE Plasma 6.3, GNOME 48, Xfce 4.20, Cinnamon 6.4, LXQt 2.1, MATE 1.26.1 และ LXDE 13 รวมถึงรุ่น “Junior” ที่ใช้ IceWM และรุ่น “Standard” ที่ไม่มี GUI

    นอกจากนี้ Debian ยังปล่อย Debian 12.12 “Bookworm” ออกมาพร้อมกัน โดยมีการแก้ไขบั๊กถึง 135 รายการ และอัปเดตความปลอดภัยอีก 83 รายการ — สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลทั้งเวอร์ชันใหม่และเก่าอย่างต่อเนื่อง

    การเปิดตัว Debian 13.1 “Trixie”
    เป็น point release แรกของ Debian 13
    รวม 71 bug fixes และ 16 security updates
    ปล่อยออกมาเพื่อให้ผู้ใช้ติดตั้งจาก ISO ที่อัปเดตแล้ว

    วิธีอัปเดตสำหรับผู้ใช้เดิม
    ใช้คำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade
    ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่
    สามารถตรวจสอบเวอร์ชันด้วย cat /etc/debian_version

    สถาปัตยกรรมและเดสก์ท็อปที่รองรับ
    รองรับ amd64, arm64, riscv64, ppc64el, s390x, armhf
    Live ISO มีเฉพาะสำหรับ 64-bit
    เดสก์ท็อปที่มีให้เลือก: KDE, GNOME, Xfce, Cinnamon, LXQt, MATE, LXDE
    รุ่น Junior ใช้ IceWM และรุ่น Standard ไม่มี GUI

    การอัปเดต Debian 12.12 “Bookworm”
    รวม 135 bug fixes และ 83 security updates
    เป็นการดูแลเวอร์ชันก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Debian เป็นหนึ่งในดิสโทรที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก Linux
    ใช้เป็นฐานให้กับดิสโทรยอดนิยม เช่น Ubuntu, Kali Linux และ Raspbian
    จุดเด่นคือความเสถียร ความปลอดภัย และการควบคุมแพ็กเกจแบบละเอียด

    https://9to5linux.com/debian-13-1-trixie-released-with-71-bug-fixes-and-16-security-updates
    🐧 “Debian 13.1 ‘Trixie’ มาแล้ว! อัปเดตแรกของดิสโทรสายเสถียร พร้อม 71 แพตช์บั๊กและ 16 ช่องโหว่ความปลอดภัย” ถ้าคุณเป็นสาย Linux ที่รักความเสถียรและความปลอดภัยเป็นหลัก — ข่าวนี้คือสิ่งที่คุณรอคอย: Debian 13.1 “Trixie” ได้รับการปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 6 กันยายน 2025 โดยเป็นอัปเดตแรกของ Debian 13 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนก่อน Debian 13.1 ไม่ใช่เวอร์ชันใหม่ แต่เป็น “point release” ที่รวมการแก้ไขบั๊กจำนวน 71 รายการ และอัปเดตด้านความปลอดภัยอีก 16 รายการ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งระบบได้จาก ISO ที่ใหม่กว่า โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแพตช์จำนวนมากหลังติดตั้ง สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้ง Debian 13 ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ เพียงแค่รันคำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade ก็จะได้รับอัปเดตทั้งหมดทันที Debian 13.1 รองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น amd64, arm64, riscv64, ppc64el, s390x และ armhf โดยมี Live ISO สำหรับ 64-bit ที่มาพร้อมเดสก์ท็อปยอดนิยม เช่น KDE Plasma 6.3, GNOME 48, Xfce 4.20, Cinnamon 6.4, LXQt 2.1, MATE 1.26.1 และ LXDE 13 รวมถึงรุ่น “Junior” ที่ใช้ IceWM และรุ่น “Standard” ที่ไม่มี GUI นอกจากนี้ Debian ยังปล่อย Debian 12.12 “Bookworm” ออกมาพร้อมกัน โดยมีการแก้ไขบั๊กถึง 135 รายการ และอัปเดตความปลอดภัยอีก 83 รายการ — สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลทั้งเวอร์ชันใหม่และเก่าอย่างต่อเนื่อง ✅ การเปิดตัว Debian 13.1 “Trixie” ➡️ เป็น point release แรกของ Debian 13 ➡️ รวม 71 bug fixes และ 16 security updates ➡️ ปล่อยออกมาเพื่อให้ผู้ใช้ติดตั้งจาก ISO ที่อัปเดตแล้ว ✅ วิธีอัปเดตสำหรับผู้ใช้เดิม ➡️ ใช้คำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade ➡️ ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ ➡️ สามารถตรวจสอบเวอร์ชันด้วย cat /etc/debian_version ✅ สถาปัตยกรรมและเดสก์ท็อปที่รองรับ ➡️ รองรับ amd64, arm64, riscv64, ppc64el, s390x, armhf ➡️ Live ISO มีเฉพาะสำหรับ 64-bit ➡️ เดสก์ท็อปที่มีให้เลือก: KDE, GNOME, Xfce, Cinnamon, LXQt, MATE, LXDE ➡️ รุ่น Junior ใช้ IceWM และรุ่น Standard ไม่มี GUI ✅ การอัปเดต Debian 12.12 “Bookworm” ➡️ รวม 135 bug fixes และ 83 security updates ➡️ เป็นการดูแลเวอร์ชันก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Debian เป็นหนึ่งในดิสโทรที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก Linux ➡️ ใช้เป็นฐานให้กับดิสโทรยอดนิยม เช่น Ubuntu, Kali Linux และ Raspbian ➡️ จุดเด่นคือความเสถียร ความปลอดภัย และการควบคุมแพ็กเกจแบบละเอียด https://9to5linux.com/debian-13-1-trixie-released-with-71-bug-fixes-and-16-security-updates
    9TO5LINUX.COM
    Debian 13.1 “Trixie” Released with 71 Bug Fixes and 16 Security Updates - 9to5Linux
    Debian 13.1 is now available for download as a new point release to Debian 13 “Trixie” with 71 bug fixes and 16 security updates.
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • “Decisioninator: กล่องไม้เล็กๆ ที่ช่วย ‘รักษาชีวิตคู่’ ด้วย Raspberry Pi และ Flutter!”

    ลองนึกภาพว่าคุณกับคนรักกำลังเถียงกันเรื่องเดิมๆ เช่น “จะกินอะไรดีคืนนี้?” หรือ “ดูหนังเรื่องไหนดี?” แล้วคำตอบก็วนอยู่ที่ “อะไรก็ได้” จนกลายเป็นความอึดอัดสะสม…นั่นคือจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์สุดสร้างสรรค์จากวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ใช้ชื่อว่า Makerinator ผู้ซึ่งกล่าวติดตลกว่า “Decisioninator ช่วยรักษาชีวิตแต่งงานของผมไว้ได้!”

    เครื่องนี้คือกล่องไม้ขนาดเล็กสไตล์ตู้เกมยุค 80 ที่ภายในซ่อนพลังของ Raspberry Pi 4 พร้อมระบบปฏิบัติการ Raspberry Pi OS Lite และแอปที่สร้างด้วย Flutter + Flame Engine ซึ่งเป็น game engine สำหรับ 2D UI ที่เหมาะกับการสร้างระบบหมุนแบบวงล้อคล้าย Wheel of Fortune

    ตัวเครื่องมีปุ่มสองปุ่ม: ปุ่มแดงใหญ่สำหรับหมุนวงล้อ และปุ่มน้ำเงินเล็กสำหรับเลือกโหมด เช่น ร้านอาหาร, งานบ้าน, คืนออกเดต, หรือดูหนัง โดยทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้ใช้งานง่ายและ “ตัดสินใจแทนคุณ” ในเรื่องที่มักกลายเป็นปัญหาเล็กๆ ที่สะสมจนกลายเป็นเรื่องใหญ่

    Makerinator ยังเล่าว่าเขาไม่ใช่ช่างไม้มืออาชีพ แต่สามารถเลเซอร์คัตแผ่นไม้, พ่นสี, แปะลายด้วยการพิมพ์แบบ sublimation และใช้ epoxy กับเครื่องมือโรตารี่เพื่อแก้ปัญหาการประกอบที่ผิดพลาด — จนออกมาเป็นเครื่องที่ดูดีแบบเรโทร และใช้งานได้จริง

    จุดเริ่มต้นของ Decisioninator
    สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการตัดสินใจในชีวิตคู่ เช่น กินอะไรดี ดูอะไรดี
    ใช้ Raspberry Pi 4 เป็นแกนหลักของระบบ
    รันระบบปฏิบัติการ Raspberry Pi OS Lite เพื่อประหยัดทรัพยากร
    ใช้ Flutter + Flame Engine ในการสร้าง UI แบบวงล้อหมุน

    ฟีเจอร์ของเครื่อง
    มีปุ่มแดงสำหรับหมุน และปุ่มน้ำเงินสำหรับเลือกโหมด
    โหมดที่มีให้เลือก: ร้านอาหาร, งานบ้าน, คืนออกเดต, ดูหนัง
    ใช้ GPIO ของ Pi ในการรับอินพุตจากปุ่ม
    ใช้ converter 12V → 5V เพื่อจ่ายไฟให้ Raspberry Pi

    งานประกอบและดีไซน์
    ตัวเครื่องทำจากไม้ที่เลเซอร์คัตและประกอบด้วยมือ
    ใช้ epoxy และเครื่องมือโรตารี่ในการแก้ปัญหาการประกอบ
    พ่นสีและแปะลายด้วยการพิมพ์แบบ sublimation
    ดีไซน์คล้ายตู้เกมยุค 80 เช่น Tempest หรือ Tron

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Flame Engine เป็น game engine สำหรับ Flutter ที่เน้นงาน 2D
    Flutter-Pi เป็น library ที่ช่วยให้ Flutter รันบน Raspberry Pi ได้
    Raspberry Pi GPIO รองรับการเชื่อมต่อกับปุ่ม, LED, และเซ็นเซอร์ต่างๆ
    การใช้ Raspberry Pi ในงาน DIY ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่น

    https://www.tomshardware.com/raspberry-pi/the-decisioninator-saved-my-marriage-says-software-engineer-raspberry-pi-powered-device-automates-restaurant-chore-date-night-and-movie-night-choices
    🎰 “Decisioninator: กล่องไม้เล็กๆ ที่ช่วย ‘รักษาชีวิตคู่’ ด้วย Raspberry Pi และ Flutter!” ลองนึกภาพว่าคุณกับคนรักกำลังเถียงกันเรื่องเดิมๆ เช่น “จะกินอะไรดีคืนนี้?” หรือ “ดูหนังเรื่องไหนดี?” แล้วคำตอบก็วนอยู่ที่ “อะไรก็ได้” จนกลายเป็นความอึดอัดสะสม…นั่นคือจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์สุดสร้างสรรค์จากวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ใช้ชื่อว่า Makerinator ผู้ซึ่งกล่าวติดตลกว่า “Decisioninator ช่วยรักษาชีวิตแต่งงานของผมไว้ได้!” เครื่องนี้คือกล่องไม้ขนาดเล็กสไตล์ตู้เกมยุค 80 ที่ภายในซ่อนพลังของ Raspberry Pi 4 พร้อมระบบปฏิบัติการ Raspberry Pi OS Lite และแอปที่สร้างด้วย Flutter + Flame Engine ซึ่งเป็น game engine สำหรับ 2D UI ที่เหมาะกับการสร้างระบบหมุนแบบวงล้อคล้าย Wheel of Fortune ตัวเครื่องมีปุ่มสองปุ่ม: ปุ่มแดงใหญ่สำหรับหมุนวงล้อ และปุ่มน้ำเงินเล็กสำหรับเลือกโหมด เช่น ร้านอาหาร, งานบ้าน, คืนออกเดต, หรือดูหนัง โดยทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้ใช้งานง่ายและ “ตัดสินใจแทนคุณ” ในเรื่องที่มักกลายเป็นปัญหาเล็กๆ ที่สะสมจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ Makerinator ยังเล่าว่าเขาไม่ใช่ช่างไม้มืออาชีพ แต่สามารถเลเซอร์คัตแผ่นไม้, พ่นสี, แปะลายด้วยการพิมพ์แบบ sublimation และใช้ epoxy กับเครื่องมือโรตารี่เพื่อแก้ปัญหาการประกอบที่ผิดพลาด — จนออกมาเป็นเครื่องที่ดูดีแบบเรโทร และใช้งานได้จริง ✅ จุดเริ่มต้นของ Decisioninator ➡️ สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการตัดสินใจในชีวิตคู่ เช่น กินอะไรดี ดูอะไรดี ➡️ ใช้ Raspberry Pi 4 เป็นแกนหลักของระบบ ➡️ รันระบบปฏิบัติการ Raspberry Pi OS Lite เพื่อประหยัดทรัพยากร ➡️ ใช้ Flutter + Flame Engine ในการสร้าง UI แบบวงล้อหมุน ✅ ฟีเจอร์ของเครื่อง ➡️ มีปุ่มแดงสำหรับหมุน และปุ่มน้ำเงินสำหรับเลือกโหมด ➡️ โหมดที่มีให้เลือก: ร้านอาหาร, งานบ้าน, คืนออกเดต, ดูหนัง ➡️ ใช้ GPIO ของ Pi ในการรับอินพุตจากปุ่ม ➡️ ใช้ converter 12V → 5V เพื่อจ่ายไฟให้ Raspberry Pi ✅ งานประกอบและดีไซน์ ➡️ ตัวเครื่องทำจากไม้ที่เลเซอร์คัตและประกอบด้วยมือ ➡️ ใช้ epoxy และเครื่องมือโรตารี่ในการแก้ปัญหาการประกอบ ➡️ พ่นสีและแปะลายด้วยการพิมพ์แบบ sublimation ➡️ ดีไซน์คล้ายตู้เกมยุค 80 เช่น Tempest หรือ Tron ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Flame Engine เป็น game engine สำหรับ Flutter ที่เน้นงาน 2D ➡️ Flutter-Pi เป็น library ที่ช่วยให้ Flutter รันบน Raspberry Pi ได้ ➡️ Raspberry Pi GPIO รองรับการเชื่อมต่อกับปุ่ม, LED, และเซ็นเซอร์ต่างๆ ➡️ การใช้ Raspberry Pi ในงาน DIY ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่น https://www.tomshardware.com/raspberry-pi/the-decisioninator-saved-my-marriage-says-software-engineer-raspberry-pi-powered-device-automates-restaurant-chore-date-night-and-movie-night-choices
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก WP8 Pro ถึง WP60: เมื่อมือถือสายลุยกลายเป็นเครื่องมือทำงานที่แท้จริง

    Oukitel เปิดตัว WP60 ในงาน IFA 2025 โดยตั้งใจให้เป็น rugged smartphone ที่ท้าทายขีดจำกัดของขนาดหน้าจอและความจุข้อมูล ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 7.2 นิ้ว ความละเอียด HD+ (720 x 1560) และตัวเครื่องหนา 14.9 มม. ที่ดูเหมือนแท็บเล็ตมากกว่ามือถือทั่วไป

    แม้ความละเอียดจะไม่สูงมาก แต่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ทำให้ WP60 เหมาะกับผู้ใช้งานภาคสนาม เช่น วิศวกร, ช่างเทคนิค, หรือเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ที่ต้องการอุปกรณ์ทนทานและใช้งานได้จริงในพื้นที่ที่แท็บเล็ตอาจพกพาไม่สะดวก

    WP60 ใช้ชิป MediaTek Dimensity 7025 และมีให้เลือก 3 รุ่น: 8GB+256GB, 12GB+512GB และ 16GB+512GB ซึ่งตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและสายงานที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ แม้ชิปจะไม่แรงเท่ารุ่นเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับงานเอกสาร, การสื่อสาร, และการใช้งานแอปทั่วไป

    กล้องหลังมีความละเอียดสูงถึง 108MP ซึ่งหาได้ยากในมือถือสาย rugged โดยจับคู่กับกล้อง 8MP และ 2MP ส่วนกล้องหน้าแบบ punch-hole มีความละเอียด 32MP เหมาะสำหรับการประชุมวิดีโอหรือถ่ายภาพในพื้นที่ภาคสนาม

    แบตเตอรี่ขนาด 10,000mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33W PD ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับกลางของมือถือสายลุย (บางรุ่นของ Oukitel มีถึง 16,000mAh) พร้อมฟีเจอร์เสริมเช่น NFC, fingerprint scanner และ gyroscope ที่ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น

    WP60 จะวางจำหน่ายในวันที่ 15 ตุลาคม 2025 โดยยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ

    สเปกหลักของ Oukitel WP60
    หน้าจอ 7.2 นิ้ว HD+ (720 x 1560) ขนาดตัวเครื่อง 184 x 87 x 14.9 มม.
    ใช้ชิป MediaTek Dimensity 7025
    มีให้เลือก 3 รุ่น: 8GB+256GB, 12GB+512GB, 16GB+512GB

    กล้องและการใช้งานภาคสนาม
    กล้องหลัง 108MP + 8MP + 2MP
    กล้องหน้า 32MP แบบ punch-hole
    เหมาะกับงานภาคสนามที่ต้องการภาพชัดและอุปกรณ์ทนทาน

    แบตเตอรี่และฟีเจอร์เสริม
    แบตเตอรี่ 10,000mAh รองรับ 33W PD charging
    มี NFC, fingerprint scanner และ gyroscope
    ใช้ Android 15.0 พร้อมระบบความปลอดภัยระดับพื้นฐาน

    การวางจำหน่าย
    เปิดตัวในงาน IFA 2025
    วางจำหน่ายวันที่ 15 ตุลาคม 2025
    ยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ

    https://www.techradar.com/pro/finally-heres-a-phablet-for-fans-of-big-screen-mobiles-rugged-oukitels-wp60-has-a-huge-7-2-inch-display-and-up-to-512gb-storage
    🎙️ เรื่องเล่าจาก WP8 Pro ถึง WP60: เมื่อมือถือสายลุยกลายเป็นเครื่องมือทำงานที่แท้จริง Oukitel เปิดตัว WP60 ในงาน IFA 2025 โดยตั้งใจให้เป็น rugged smartphone ที่ท้าทายขีดจำกัดของขนาดหน้าจอและความจุข้อมูล ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 7.2 นิ้ว ความละเอียด HD+ (720 x 1560) และตัวเครื่องหนา 14.9 มม. ที่ดูเหมือนแท็บเล็ตมากกว่ามือถือทั่วไป แม้ความละเอียดจะไม่สูงมาก แต่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ทำให้ WP60 เหมาะกับผู้ใช้งานภาคสนาม เช่น วิศวกร, ช่างเทคนิค, หรือเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ที่ต้องการอุปกรณ์ทนทานและใช้งานได้จริงในพื้นที่ที่แท็บเล็ตอาจพกพาไม่สะดวก WP60 ใช้ชิป MediaTek Dimensity 7025 และมีให้เลือก 3 รุ่น: 8GB+256GB, 12GB+512GB และ 16GB+512GB ซึ่งตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและสายงานที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ แม้ชิปจะไม่แรงเท่ารุ่นเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับงานเอกสาร, การสื่อสาร, และการใช้งานแอปทั่วไป กล้องหลังมีความละเอียดสูงถึง 108MP ซึ่งหาได้ยากในมือถือสาย rugged โดยจับคู่กับกล้อง 8MP และ 2MP ส่วนกล้องหน้าแบบ punch-hole มีความละเอียด 32MP เหมาะสำหรับการประชุมวิดีโอหรือถ่ายภาพในพื้นที่ภาคสนาม แบตเตอรี่ขนาด 10,000mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33W PD ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับกลางของมือถือสายลุย (บางรุ่นของ Oukitel มีถึง 16,000mAh) พร้อมฟีเจอร์เสริมเช่น NFC, fingerprint scanner และ gyroscope ที่ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น WP60 จะวางจำหน่ายในวันที่ 15 ตุลาคม 2025 โดยยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ ✅ สเปกหลักของ Oukitel WP60 ➡️ หน้าจอ 7.2 นิ้ว HD+ (720 x 1560) ขนาดตัวเครื่อง 184 x 87 x 14.9 มม. ➡️ ใช้ชิป MediaTek Dimensity 7025 ➡️ มีให้เลือก 3 รุ่น: 8GB+256GB, 12GB+512GB, 16GB+512GB ✅ กล้องและการใช้งานภาคสนาม ➡️ กล้องหลัง 108MP + 8MP + 2MP ➡️ กล้องหน้า 32MP แบบ punch-hole ➡️ เหมาะกับงานภาคสนามที่ต้องการภาพชัดและอุปกรณ์ทนทาน ✅ แบตเตอรี่และฟีเจอร์เสริม ➡️ แบตเตอรี่ 10,000mAh รองรับ 33W PD charging ➡️ มี NFC, fingerprint scanner และ gyroscope ➡️ ใช้ Android 15.0 พร้อมระบบความปลอดภัยระดับพื้นฐาน ✅ การวางจำหน่าย ➡️ เปิดตัวในงาน IFA 2025 ➡️ วางจำหน่ายวันที่ 15 ตุลาคม 2025 ➡️ ยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ https://www.techradar.com/pro/finally-heres-a-phablet-for-fans-of-big-screen-mobiles-rugged-oukitels-wp60-has-a-huge-7-2-inch-display-and-up-to-512gb-storage
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง

    Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว”

    Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก”

    หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม

    Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต”

    แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว

    คำแนะนำจาก Mark Cuban
    “The first thing you have to do is learn AI”
    ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก
    เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต

    การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede
    เคยใช้ AI แค่แทน Google Search
    หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที
    บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน”

    ข้อมูลจาก Harvard
    อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น
    คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล
    เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC

    วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI
    ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity
    ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ
    ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว” Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก” หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต” แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว ✅ คำแนะนำจาก Mark Cuban ➡️ “The first thing you have to do is learn AI” ➡️ ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก ➡️ เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต ✅ การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede ➡️ เคยใช้ AI แค่แทน Google Search ➡️ หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที ➡️ บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ✅ ข้อมูลจาก Harvard ➡️ อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น ➡️ คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล ➡️ เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC ✅ วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI ➡️ ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity ➡️ ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ ➡️ ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Billionaire entrepreneur has some words for people who don’t want to learn AI
    Mark Cuban has a salty warning for people who are avoiding getting started on learning to use AI.
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Raycast ถึง Sonner: เมื่อแอนิเมชันไม่ใช่สิ่งที่ต้องมีเสมอไป

    Emil Kowalski วิศวกรออกแบบจาก Linear ได้เขียนบทความที่ชวนให้เราตั้งคำถามว่า “เราจำเป็นต้องมีแอนิเมชันจริงหรือ?” เขาเสนอว่าแอนิเมชันที่ดีควรมี “เป้าหมายที่ชัดเจน” ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม แต่ต้องช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเทอร์เฟซได้ดีขึ้น

    ตัวอย่างเช่น แอนิเมชันที่ Linear ใช้เพื่ออธิบายฟีเจอร์ Product Intelligence ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจฟังก์ชันได้ทันทีจาก viewport แรก โดยไม่ต้องอ่านคำอธิบายยาว ๆ หรือคลิกเพิ่ม

    อีกตัวอย่างคือ Sonner ซึ่งเป็น toast component ที่ใช้แอนิเมชันเพื่อให้การปรากฏและหายไปของข้อความแจ้งเตือนดูเป็นธรรมชาติ และสร้าง “spatial consistency” ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจทิศทางของการ dismiss ได้ง่ายขึ้น

    แต่ Emil ก็เตือนว่า แอนิเมชันที่ใช้บ่อยเกินไป เช่น morphing feedback หรือ hover effects ที่เกิดทุกครั้งที่ผู้ใช้เลื่อนเมาส์ อาจกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญได้ หากผู้ใช้ต้องเจอวันละหลายร้อยครั้ง

    เขายกตัวอย่าง Raycast ซึ่งเป็นแอปที่เขาใช้วันละหลายร้อยครั้ง—และไม่มีแอนิเมชันเลย เพราะเป้าหมายของผู้ใช้คือ “ทำงานให้เสร็จ” ไม่ใช่ “รู้สึกว้าว” ทุกครั้งที่เปิดเมนู

    นอกจากนี้ ความเร็วของแอนิเมชันก็สำคัญมาก แอนิเมชันที่เร็วเกินไปอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าช้าเกินไปก็จะทำให้รู้สึกว่าระบบตอบสนองช้า เช่น dropdown ที่ใช้เวลา 180ms จะรู้สึก responsive กว่าแบบ 400ms อย่างชัดเจน

    สุดท้าย Emil สรุปว่า “บางครั้งแอนิเมชันที่ดีที่สุดคือไม่มีแอนิเมชันเลย” และการตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้ ต้องพิจารณาจากความถี่ในการใช้งาน เป้าหมายของผู้ใช้ และความเร็วของการตอบสนอง

    https://emilkowal.ski/ui/you-dont-need-animations
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Raycast ถึง Sonner: เมื่อแอนิเมชันไม่ใช่สิ่งที่ต้องมีเสมอไป Emil Kowalski วิศวกรออกแบบจาก Linear ได้เขียนบทความที่ชวนให้เราตั้งคำถามว่า “เราจำเป็นต้องมีแอนิเมชันจริงหรือ?” เขาเสนอว่าแอนิเมชันที่ดีควรมี “เป้าหมายที่ชัดเจน” ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม แต่ต้องช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเทอร์เฟซได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น แอนิเมชันที่ Linear ใช้เพื่ออธิบายฟีเจอร์ Product Intelligence ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจฟังก์ชันได้ทันทีจาก viewport แรก โดยไม่ต้องอ่านคำอธิบายยาว ๆ หรือคลิกเพิ่ม อีกตัวอย่างคือ Sonner ซึ่งเป็น toast component ที่ใช้แอนิเมชันเพื่อให้การปรากฏและหายไปของข้อความแจ้งเตือนดูเป็นธรรมชาติ และสร้าง “spatial consistency” ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจทิศทางของการ dismiss ได้ง่ายขึ้น แต่ Emil ก็เตือนว่า แอนิเมชันที่ใช้บ่อยเกินไป เช่น morphing feedback หรือ hover effects ที่เกิดทุกครั้งที่ผู้ใช้เลื่อนเมาส์ อาจกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญได้ หากผู้ใช้ต้องเจอวันละหลายร้อยครั้ง เขายกตัวอย่าง Raycast ซึ่งเป็นแอปที่เขาใช้วันละหลายร้อยครั้ง—และไม่มีแอนิเมชันเลย เพราะเป้าหมายของผู้ใช้คือ “ทำงานให้เสร็จ” ไม่ใช่ “รู้สึกว้าว” ทุกครั้งที่เปิดเมนู นอกจากนี้ ความเร็วของแอนิเมชันก็สำคัญมาก แอนิเมชันที่เร็วเกินไปอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าช้าเกินไปก็จะทำให้รู้สึกว่าระบบตอบสนองช้า เช่น dropdown ที่ใช้เวลา 180ms จะรู้สึก responsive กว่าแบบ 400ms อย่างชัดเจน สุดท้าย Emil สรุปว่า “บางครั้งแอนิเมชันที่ดีที่สุดคือไม่มีแอนิเมชันเลย” และการตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้ ต้องพิจารณาจากความถี่ในการใช้งาน เป้าหมายของผู้ใช้ และความเร็วของการตอบสนอง https://emilkowal.ski/ui/you-dont-need-animations
    EMILKOWAL.SKI
    You Don't Need Animations
    Why you are animating more often than you should.
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Nova Lake-S ถึง Zen 6: เมื่อ HWiNFO กลายเป็นผู้เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ CPU สายเดสก์ท็อป

    ใน release notes ของ HWiNFO เวอร์ชัน 8.31 มีการระบุว่าซอฟต์แวร์จะรองรับแพลตฟอร์มใหม่จากทั้ง Intel และ AMD โดยฝั่ง Intel คือ Nova Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ ส่วนฝั่ง AMD คือ “Next-Gen Platform” ที่คาดว่าจะเป็นซีรีส์ 900 สำหรับ Zen 6 บนซ็อกเก็ต AM5 เช่นเดิม

    Nova Lake-S ถูกออกแบบมาให้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-tile ที่ประกอบด้วย 16 P-cores, 32 E-cores และ 4 LP-E cores รวมเป็น 52 คอร์ในรุ่นสูงสุด โดยไม่มี SMT บน P-core และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบผสมระหว่าง Intel 14A และ TSMC N2 สำหรับบางส่วนของ SoC

    ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่ากับ LGA 1700 เดิม (45 × 37.5 มม.) แต่เพิ่มจำนวนขาเพื่อรองรับพลังงานและแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น พร้อมเปิดตัวคู่กับชิปเซ็ต 900-series เช่น Z990 และ H970 ที่รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5

    ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า โดย Zen 6 จะใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 2nm และ 3nm ตามลำดับ โดยยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และคาดว่าจะเปิดตัวพร้อมกับเมนบอร์ดซีรีส์ 900 เช่น X970, B950 และ B940 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026

    การที่ HWiNFO เพิ่มการรองรับล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ใกล้เข้าสู่ช่วง Pre-QS หรือการทดสอบก่อนผลิตจริง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD ในตลาดเดสก์ท็อประดับสูง

    การอัปเดตของ HWiNFO
    เวอร์ชัน 8.31 จะรองรับ Intel Nova Lake-S และ AMD Next-Gen Platform
    เป็นครั้งแรกที่ Nova Lake-S ถูกระบุใน release notes ของซอฟต์แวร์

    Intel Nova Lake-S และซ็อกเก็ต LGA 1954
    ใช้สถาปัตยกรรม multi-tile: 16 P-cores + 32 E-cores + 4 LP-E cores
    ไม่มี SMT บน P-core และใช้ Intel 14A + TSMC N2
    ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่าเดิมแต่เพิ่มจำนวนขา
    เปิดตัวพร้อมชิปเซ็ต Z990, H970 รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Thunderbolt 5

    AMD Zen 6 และแพลตฟอร์ม 900-series
    ใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P
    ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และเปิดตัวพร้อม X970, B950, B940
    คาดว่าจะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026

    ความหมายต่อวงการเดสก์ท็อป
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและ I/O
    HWiNFO เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบสเปกและการทดสอบเบื้องต้น
    จุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD

    https://wccftech.com/hwinfo-to-add-support-for-nova-lake-s-and-next-gen-amd-platform-likely-hinting-towards-amd-900-series-for-zen-6/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Nova Lake-S ถึง Zen 6: เมื่อ HWiNFO กลายเป็นผู้เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ CPU สายเดสก์ท็อป ใน release notes ของ HWiNFO เวอร์ชัน 8.31 มีการระบุว่าซอฟต์แวร์จะรองรับแพลตฟอร์มใหม่จากทั้ง Intel และ AMD โดยฝั่ง Intel คือ Nova Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ ส่วนฝั่ง AMD คือ “Next-Gen Platform” ที่คาดว่าจะเป็นซีรีส์ 900 สำหรับ Zen 6 บนซ็อกเก็ต AM5 เช่นเดิม Nova Lake-S ถูกออกแบบมาให้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-tile ที่ประกอบด้วย 16 P-cores, 32 E-cores และ 4 LP-E cores รวมเป็น 52 คอร์ในรุ่นสูงสุด โดยไม่มี SMT บน P-core และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบผสมระหว่าง Intel 14A และ TSMC N2 สำหรับบางส่วนของ SoC ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่ากับ LGA 1700 เดิม (45 × 37.5 มม.) แต่เพิ่มจำนวนขาเพื่อรองรับพลังงานและแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น พร้อมเปิดตัวคู่กับชิปเซ็ต 900-series เช่น Z990 และ H970 ที่รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5 ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า โดย Zen 6 จะใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 2nm และ 3nm ตามลำดับ โดยยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และคาดว่าจะเปิดตัวพร้อมกับเมนบอร์ดซีรีส์ 900 เช่น X970, B950 และ B940 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 การที่ HWiNFO เพิ่มการรองรับล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ใกล้เข้าสู่ช่วง Pre-QS หรือการทดสอบก่อนผลิตจริง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD ในตลาดเดสก์ท็อประดับสูง ✅ การอัปเดตของ HWiNFO ➡️ เวอร์ชัน 8.31 จะรองรับ Intel Nova Lake-S และ AMD Next-Gen Platform ➡️ เป็นครั้งแรกที่ Nova Lake-S ถูกระบุใน release notes ของซอฟต์แวร์ ✅ Intel Nova Lake-S และซ็อกเก็ต LGA 1954 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม multi-tile: 16 P-cores + 32 E-cores + 4 LP-E cores ➡️ ไม่มี SMT บน P-core และใช้ Intel 14A + TSMC N2 ➡️ ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่าเดิมแต่เพิ่มจำนวนขา ➡️ เปิดตัวพร้อมชิปเซ็ต Z990, H970 รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Thunderbolt 5 ✅ AMD Zen 6 และแพลตฟอร์ม 900-series ➡️ ใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ➡️ ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และเปิดตัวพร้อม X970, B950, B940 ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026 ✅ ความหมายต่อวงการเดสก์ท็อป ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและ I/O ➡️ HWiNFO เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบสเปกและการทดสอบเบื้องต้น ➡️ จุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD https://wccftech.com/hwinfo-to-add-support-for-nova-lake-s-and-next-gen-amd-platform-likely-hinting-towards-amd-900-series-for-zen-6/
    WCCFTECH.COM
    HWiNFO To Add Support For Nova Lake-S And "Next-Gen" AMD Platform, Likely Hinting Towards AMD 900-Series For Zen 6
    The upcoming HWiNFO version 8.31 will add support for the next-gen Intel Nova Lake-S and AMD's next-gen platform support.
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก CVE-2025-50173: เมื่อการป้องกันการยกระดับสิทธิ์กลายเป็นกับดักสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    Microsoft ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัย KB5063878 สำหรับ Windows 10, 11 และ Server ทุกรุ่นในเดือนสิงหาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-50173 ซึ่งเป็นช่องโหว่ด้านการยกระดับสิทธิ์ผ่าน Windows Installer โดยผู้โจมตีสามารถใช้ MSI repair flow เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM ได้

    เพื่อปิดช่องโหว่นี้ Microsoft ได้เพิ่มความเข้มงวดของระบบ UAC (User Account Control) โดยบังคับให้มีการขอสิทธิ์แอดมินเมื่อมีการเรียกใช้ MSI repair หรือการติดตั้งบางประเภท แม้จะเป็นผู้ใช้ทั่วไปที่เคยใช้งานได้ตามปกติก็ตาม

    ผลที่ตามมาคือ ผู้ใช้ที่ไม่ใช่แอดมินจะเจอหน้าต่าง UAC เด้งขึ้นมาโดยไม่คาดคิด หรือบางครั้งแอปจะล้มเหลวทันทีโดยไม่มีการแจ้งเตือน เช่น การติดตั้ง Office 2010 จะล้มเหลวด้วย error code 1730 หรือ Autodesk AutoCAD จะไม่สามารถเปิดได้หากมีการเรียก MSI repair แบบเบื้องหลัง

    Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ทั่วไป “คลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator” เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา และสำหรับองค์กรสามารถใช้ Group Policy ที่ชื่อ Known Issue Rollback (KIR) เพื่อย้อนการเปลี่ยนแปลงนี้ชั่วคราว

    ในอนาคต Microsoft วางแผนจะให้แอดมินสามารถอนุญาตให้แอปบางตัวทำ MSI repair ได้โดยไม่ต้องขอสิทธิ์ทุกครั้ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีแพตช์แก้ไขถาวร

    ช่องโหว่ CVE-2025-50173 และการแก้ไข
    เป็นช่องโหว่ด้านการยกระดับสิทธิ์ผ่าน Windows Installer
    Microsoft แก้ไขด้วยการเพิ่มความเข้มงวดของ UAC
    ส่งผลให้ผู้ใช้ทั่วไปเจอ UAC prompt หรือแอปล้มเหลว

    ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป
    แอปที่ใช้ MSI repair เช่น Office 2010, Autodesk, SAP อาจล้มเหลว
    การติดตั้งแบบ per-user หรือ Active Setup จะเจอ UAC prompt
    การ deploy ผ่าน ConfigMgr ที่ใช้ “advertising” จะล้มเหลว

    วิธีแก้ไขชั่วคราว
    ผู้ใช้ทั่วไปควรใช้ “Run as administrator” เพื่อเปิดแอป
    องค์กรสามารถใช้ Group Policy แบบ KIR เพื่อย้อนการเปลี่ยนแปลง
    Microsoft กำลังพัฒนาให้แอดมินอนุญาตแอปเฉพาะได้ในอนาคต

    แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบ
    Windows 11 ทุกรุ่น (22H2, 23H2, 24H2)
    Windows 10 (21H2, 22H2) และ Windows Server ตั้งแต่ 2012
    Enterprise และ Server editions ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-august-2025-security-update-is-causing-unintended-uac-prompts-to-appear-for-non-admin-users-some-apps-are-crashing
    🎙️ เรื่องเล่าจาก CVE-2025-50173: เมื่อการป้องกันการยกระดับสิทธิ์กลายเป็นกับดักสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Microsoft ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัย KB5063878 สำหรับ Windows 10, 11 และ Server ทุกรุ่นในเดือนสิงหาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-50173 ซึ่งเป็นช่องโหว่ด้านการยกระดับสิทธิ์ผ่าน Windows Installer โดยผู้โจมตีสามารถใช้ MSI repair flow เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM ได้ เพื่อปิดช่องโหว่นี้ Microsoft ได้เพิ่มความเข้มงวดของระบบ UAC (User Account Control) โดยบังคับให้มีการขอสิทธิ์แอดมินเมื่อมีการเรียกใช้ MSI repair หรือการติดตั้งบางประเภท แม้จะเป็นผู้ใช้ทั่วไปที่เคยใช้งานได้ตามปกติก็ตาม ผลที่ตามมาคือ ผู้ใช้ที่ไม่ใช่แอดมินจะเจอหน้าต่าง UAC เด้งขึ้นมาโดยไม่คาดคิด หรือบางครั้งแอปจะล้มเหลวทันทีโดยไม่มีการแจ้งเตือน เช่น การติดตั้ง Office 2010 จะล้มเหลวด้วย error code 1730 หรือ Autodesk AutoCAD จะไม่สามารถเปิดได้หากมีการเรียก MSI repair แบบเบื้องหลัง Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ทั่วไป “คลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator” เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา และสำหรับองค์กรสามารถใช้ Group Policy ที่ชื่อ Known Issue Rollback (KIR) เพื่อย้อนการเปลี่ยนแปลงนี้ชั่วคราว ในอนาคต Microsoft วางแผนจะให้แอดมินสามารถอนุญาตให้แอปบางตัวทำ MSI repair ได้โดยไม่ต้องขอสิทธิ์ทุกครั้ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีแพตช์แก้ไขถาวร ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-50173 และการแก้ไข ➡️ เป็นช่องโหว่ด้านการยกระดับสิทธิ์ผ่าน Windows Installer ➡️ Microsoft แก้ไขด้วยการเพิ่มความเข้มงวดของ UAC ➡️ ส่งผลให้ผู้ใช้ทั่วไปเจอ UAC prompt หรือแอปล้มเหลว ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป ➡️ แอปที่ใช้ MSI repair เช่น Office 2010, Autodesk, SAP อาจล้มเหลว ➡️ การติดตั้งแบบ per-user หรือ Active Setup จะเจอ UAC prompt ➡️ การ deploy ผ่าน ConfigMgr ที่ใช้ “advertising” จะล้มเหลว ✅ วิธีแก้ไขชั่วคราว ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปควรใช้ “Run as administrator” เพื่อเปิดแอป ➡️ องค์กรสามารถใช้ Group Policy แบบ KIR เพื่อย้อนการเปลี่ยนแปลง ➡️ Microsoft กำลังพัฒนาให้แอดมินอนุญาตแอปเฉพาะได้ในอนาคต ✅ แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Windows 11 ทุกรุ่น (22H2, 23H2, 24H2) ➡️ Windows 10 (21H2, 22H2) และ Windows Server ตั้งแต่ 2012 ➡️ Enterprise และ Server editions ได้รับผลกระทบเช่นกัน https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-august-2025-security-update-is-causing-unintended-uac-prompts-to-appear-for-non-admin-users-some-apps-are-crashing
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก 5 แอป Android ที่ควรค่าแก่การรู้จัก: เมื่อฟีเจอร์ลับกลายเป็นพลังเสริมของมือถือ

    ในบทความจาก SlashGear ได้คัดเลือก 5 แอป Android ที่แม้จะไม่ติดอันดับยอดนิยมใน Play Store แต่กลับมีฟีเจอร์ที่ทรงพลังและช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้ลึกขึ้น ทั้งในด้าน gesture, automation, image processing และการปรับแต่งปุ่มฮาร์ดแวร์ โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องรูทเครื่อง

    แอปแรกคือ Tap, Tap ซึ่งเป็นพอร์ตของฟีเจอร์ Quick Tap จาก Pixel ที่ให้คุณแตะด้านหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น เปิดไฟฉาย, ถ่ายภาพหน้าจอ หรือเปิดแอป โดยรองรับทั้ง double-tap และ triple-tap พร้อมระบบ “gates” ที่ช่วยป้องกันการทำงานผิดจังหวะ เช่น ไม่ให้ถ่ายภาพหน้าจอขณะเปิดแอปธนาคาร

    แอปที่สองคือ ImageToolbox ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการภาพแบบครบวงจร รองรับการ resize, convert, ลบข้อมูล EXIF, ใส่ลายน้ำ, OCR, สร้าง PDF, สแกน QR และแม้แต่สร้าง ZIP จากภาพหลายไฟล์—ทั้งหมดนี้ทำได้บนมือถือโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์

    แอปที่สามคือ Key Mapper ซึ่งช่วยให้คุณ remap ปุ่มฮาร์ดแวร์ เช่น ปุ่มเพิ่มเสียงให้กลายเป็นปุ่มเปิดไฟฉาย หรือเปิดแอปเฉพาะเมื่ออยู่ใน lock screen โดยรองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, กดสองครั้ง และกดค้าง พร้อมระบบ constraint ที่ช่วยจำกัดการทำงานในสถานการณ์เฉพาะ

    แอปที่สี่คือ MacroDroid ซึ่งเป็นแอป automation ที่ให้คุณสร้าง macro เพื่อให้มือถือทำงานอัตโนมัติตามเงื่อนไข เช่น เล่นเพลงเมื่อเชื่อมต่อ Bluetooth กับรถ หรือลบภาพหน้าจอทุกวันอาทิตย์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

    แอปสุดท้ายคือ Action Notch ที่เปลี่ยน notch หรือกล้องหน้าให้กลายเป็นปุ่มเสมือน รองรับ gesture แบบแตะครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง และ swipe เพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น scroll to top, เปิด power menu หรือเรียก automation จาก MacroDroid

    Tap, Tap: แตะหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งาน
    รองรับกว่า 50 actions เช่น เปิดแอป, ถ่ายภาพหน้าจอ, เปิดไฟฉาย
    มีระบบ “gates” เพื่อป้องกันการทำงานผิดจังหวะ
    ต้อง sideload จาก GitHub เพราะไม่มีใน Play Store

    ImageToolbox: จัดการภาพแบบครบวงจร
    รองรับการ resize, convert, ลบ EXIF, watermark, OCR
    มีเครื่องมือสร้าง PDF, สแกน QR, สร้าง ZIP และ GIF
    ใช้งานง่ายผ่าน tab แยกหมวดหมู่ เช่น Edit, Create, Tools

    Key Mapper: รีแมปปุ่มฮาร์ดแวร์
    รองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง
    สามารถตั้ง constraint เช่น ทำงานเฉพาะในแอปหรือ lock screen
    ต้องปลดล็อกเวอร์ชันพรีเมียมเพื่อ remap ปุ่มด้านข้าง

    MacroDroid: สร้าง automation แบบไม่ต้องเขียนโค้ด
    macro ประกอบด้วย trigger, action และ constraint
    รองรับ automation เช่น เปิดเพลง, ลบไฟล์, ส่งข้อความ
    มี community ให้แชร์ template และ macro ที่สร้างไว้

    Action Notch: เปลี่ยน notch เป็นปุ่มเสมือน
    รองรับ gesture แบบแตะ, กดค้าง, swipe ซ้าย/ขวา
    เรียกใช้งานเช่น scroll to top, เปิด power menu, trigger automation
    ปรับขนาด interactive zone ได้ เช่น ขยายไปถึง status bar

    https://www.slashgear.com/1952387/android-apps-that-deserve-more-attention/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก 5 แอป Android ที่ควรค่าแก่การรู้จัก: เมื่อฟีเจอร์ลับกลายเป็นพลังเสริมของมือถือ ในบทความจาก SlashGear ได้คัดเลือก 5 แอป Android ที่แม้จะไม่ติดอันดับยอดนิยมใน Play Store แต่กลับมีฟีเจอร์ที่ทรงพลังและช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้ลึกขึ้น ทั้งในด้าน gesture, automation, image processing และการปรับแต่งปุ่มฮาร์ดแวร์ โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องรูทเครื่อง แอปแรกคือ Tap, Tap ซึ่งเป็นพอร์ตของฟีเจอร์ Quick Tap จาก Pixel ที่ให้คุณแตะด้านหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น เปิดไฟฉาย, ถ่ายภาพหน้าจอ หรือเปิดแอป โดยรองรับทั้ง double-tap และ triple-tap พร้อมระบบ “gates” ที่ช่วยป้องกันการทำงานผิดจังหวะ เช่น ไม่ให้ถ่ายภาพหน้าจอขณะเปิดแอปธนาคาร แอปที่สองคือ ImageToolbox ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการภาพแบบครบวงจร รองรับการ resize, convert, ลบข้อมูล EXIF, ใส่ลายน้ำ, OCR, สร้าง PDF, สแกน QR และแม้แต่สร้าง ZIP จากภาพหลายไฟล์—ทั้งหมดนี้ทำได้บนมือถือโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ แอปที่สามคือ Key Mapper ซึ่งช่วยให้คุณ remap ปุ่มฮาร์ดแวร์ เช่น ปุ่มเพิ่มเสียงให้กลายเป็นปุ่มเปิดไฟฉาย หรือเปิดแอปเฉพาะเมื่ออยู่ใน lock screen โดยรองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, กดสองครั้ง และกดค้าง พร้อมระบบ constraint ที่ช่วยจำกัดการทำงานในสถานการณ์เฉพาะ แอปที่สี่คือ MacroDroid ซึ่งเป็นแอป automation ที่ให้คุณสร้าง macro เพื่อให้มือถือทำงานอัตโนมัติตามเงื่อนไข เช่น เล่นเพลงเมื่อเชื่อมต่อ Bluetooth กับรถ หรือลบภาพหน้าจอทุกวันอาทิตย์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด แอปสุดท้ายคือ Action Notch ที่เปลี่ยน notch หรือกล้องหน้าให้กลายเป็นปุ่มเสมือน รองรับ gesture แบบแตะครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง และ swipe เพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น scroll to top, เปิด power menu หรือเรียก automation จาก MacroDroid ✅ Tap, Tap: แตะหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งาน ➡️ รองรับกว่า 50 actions เช่น เปิดแอป, ถ่ายภาพหน้าจอ, เปิดไฟฉาย ➡️ มีระบบ “gates” เพื่อป้องกันการทำงานผิดจังหวะ ➡️ ต้อง sideload จาก GitHub เพราะไม่มีใน Play Store ✅ ImageToolbox: จัดการภาพแบบครบวงจร ➡️ รองรับการ resize, convert, ลบ EXIF, watermark, OCR ➡️ มีเครื่องมือสร้าง PDF, สแกน QR, สร้าง ZIP และ GIF ➡️ ใช้งานง่ายผ่าน tab แยกหมวดหมู่ เช่น Edit, Create, Tools ✅ Key Mapper: รีแมปปุ่มฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง ➡️ สามารถตั้ง constraint เช่น ทำงานเฉพาะในแอปหรือ lock screen ➡️ ต้องปลดล็อกเวอร์ชันพรีเมียมเพื่อ remap ปุ่มด้านข้าง ✅ MacroDroid: สร้าง automation แบบไม่ต้องเขียนโค้ด ➡️ macro ประกอบด้วย trigger, action และ constraint ➡️ รองรับ automation เช่น เปิดเพลง, ลบไฟล์, ส่งข้อความ ➡️ มี community ให้แชร์ template และ macro ที่สร้างไว้ ✅ Action Notch: เปลี่ยน notch เป็นปุ่มเสมือน ➡️ รองรับ gesture แบบแตะ, กดค้าง, swipe ซ้าย/ขวา ➡️ เรียกใช้งานเช่น scroll to top, เปิด power menu, trigger automation ➡️ ปรับขนาด interactive zone ได้ เช่น ขยายไปถึง status bar https://www.slashgear.com/1952387/android-apps-that-deserve-more-attention/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 More Great Android Apps Not Enough People Know About - SlashGear
    Not every Android app worth installing is popular — these ones will add convenience and utility to your smartphone experience and deserve to be more well known.
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Helios 18P AI: เมื่อแล็ปท็อปเกมมิ่งกลายเป็นเครื่องมือของนักวิจัยและนักสร้างสรรค์

    ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Predator Helios 18P AI ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนเกมมิ่งแล็ปท็อปทั่วไป—มีโลโก้ Predator, ไฟ RGB, และดีไซน์ดุดัน แต่เมื่อดูสเปกแล้ว มันคือ “AI workstation แบบพกพา” ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่นเกม

    หัวใจของเครื่องคือ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro ซึ่งให้ความสามารถด้านการจัดการระดับองค์กร และความเสถียรแบบ workstation ส่วน RAM ก็ไม่ธรรมดา เพราะรองรับ ECC (Error-Correcting Code) สูงสุดถึง 192GB—เทคโนโลยีที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายระหว่างการประมวลผล

    GPU ใช้ NVIDIA GeForce RTX 5090 Laptop ที่มีพลัง AI TOPS สูงถึง 1824 พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ซึ่งเหมาะกับทั้งการเล่นเกมระดับสูงและการประมวลผล AI เช่นการเทรนโมเดล, การเรนเดอร์ภาพ 3D, หรือการจำลองทางวิทยาศาสตร์

    หน้าจอ Mini LED ขนาด 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400 รองรับ HDR 1000 nits และ DCI-P3 เต็มช่วงสี พร้อม refresh rate 120Hz ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำด้านสี เช่นการตัดต่อวิดีโอหรือการทำงานด้านภาพยนตร์

    ระบบระบายความร้อนใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 ที่บางเพียง 0.05 มม. พร้อม liquid metal และ heat pipe แบบ vector เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป

    สเปกระดับ workstation ที่ใส่ในแล็ปท็อปเกมมิ่ง
    ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro สำหรับการจัดการระดับองค์กร
    รองรับ ECC RAM สูงสุด 192GB เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย
    GPU เป็น RTX 5090 Laptop พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5

    ความสามารถด้าน AI และการประมวลผลหนัก
    รองรับ AI workload ด้วย NPU และ GPU ที่มี AI TOPS สูง
    เหมาะกับงานเทรนโมเดล, simulation, และการเรนเดอร์ระดับสูง
    ใช้ PCIe Gen 5 SSD สูงสุด 6TB สำหรับการเข้าถึงข้อมูลเร็ว

    หน้าจอและการเชื่อมต่อสำหรับ creator
    Mini LED 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400, HDR 1000 nits, DCI-P3 เต็มช่วงสี
    มี Thunderbolt 5, HDMI 2.1, SD card reader, Wi-Fi 7 และ Killer Ethernet
    เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ, color grading, และการทำงานแบบมืออาชีพ

    ระบบระบายความร้อนระดับสูง
    ใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 บางเพียง 0.05 มม.
    มี liquid metal thermal grease และ vector heat pipe
    ช่วยให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่เกิด thermal throttling

    https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/acer-hedges-its-hardware-bets-puts-vpro-and-ecc-memory-in-new-high-end-gaming-laptop
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Helios 18P AI: เมื่อแล็ปท็อปเกมมิ่งกลายเป็นเครื่องมือของนักวิจัยและนักสร้างสรรค์ ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Predator Helios 18P AI ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนเกมมิ่งแล็ปท็อปทั่วไป—มีโลโก้ Predator, ไฟ RGB, และดีไซน์ดุดัน แต่เมื่อดูสเปกแล้ว มันคือ “AI workstation แบบพกพา” ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่นเกม หัวใจของเครื่องคือ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro ซึ่งให้ความสามารถด้านการจัดการระดับองค์กร และความเสถียรแบบ workstation ส่วน RAM ก็ไม่ธรรมดา เพราะรองรับ ECC (Error-Correcting Code) สูงสุดถึง 192GB—เทคโนโลยีที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายระหว่างการประมวลผล GPU ใช้ NVIDIA GeForce RTX 5090 Laptop ที่มีพลัง AI TOPS สูงถึง 1824 พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ซึ่งเหมาะกับทั้งการเล่นเกมระดับสูงและการประมวลผล AI เช่นการเทรนโมเดล, การเรนเดอร์ภาพ 3D, หรือการจำลองทางวิทยาศาสตร์ หน้าจอ Mini LED ขนาด 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400 รองรับ HDR 1000 nits และ DCI-P3 เต็มช่วงสี พร้อม refresh rate 120Hz ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำด้านสี เช่นการตัดต่อวิดีโอหรือการทำงานด้านภาพยนตร์ ระบบระบายความร้อนใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 ที่บางเพียง 0.05 มม. พร้อม liquid metal และ heat pipe แบบ vector เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป ✅ สเปกระดับ workstation ที่ใส่ในแล็ปท็อปเกมมิ่ง ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro สำหรับการจัดการระดับองค์กร ➡️ รองรับ ECC RAM สูงสุด 192GB เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย ➡️ GPU เป็น RTX 5090 Laptop พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ✅ ความสามารถด้าน AI และการประมวลผลหนัก ➡️ รองรับ AI workload ด้วย NPU และ GPU ที่มี AI TOPS สูง ➡️ เหมาะกับงานเทรนโมเดล, simulation, และการเรนเดอร์ระดับสูง ➡️ ใช้ PCIe Gen 5 SSD สูงสุด 6TB สำหรับการเข้าถึงข้อมูลเร็ว ✅ หน้าจอและการเชื่อมต่อสำหรับ creator ➡️ Mini LED 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400, HDR 1000 nits, DCI-P3 เต็มช่วงสี ➡️ มี Thunderbolt 5, HDMI 2.1, SD card reader, Wi-Fi 7 และ Killer Ethernet ➡️ เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ, color grading, และการทำงานแบบมืออาชีพ ✅ ระบบระบายความร้อนระดับสูง ➡️ ใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 บางเพียง 0.05 มม. ➡️ มี liquid metal thermal grease และ vector heat pipe ➡️ ช่วยให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่เกิด thermal throttling https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/acer-hedges-its-hardware-bets-puts-vpro-and-ecc-memory-in-new-high-end-gaming-laptop
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Acer hedges its hardware bets, puts vPro and ECC memory in new high-end gaming laptop
    The company says the Predator Helios 18P AI is also a local AI workstation.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก USB สีฟ้า: เมื่อสีของพอร์ตกลายเป็นภาษาลับของความเร็วและฟังก์ชัน

    ย้อนกลับไปก่อนปี 2008 ช่อง USB บนคอมพิวเตอร์มีแต่สีดำ—รองรับ USB 2.0 ที่มีความเร็วสูงสุดแค่ 480 Mbps ใช้สำหรับเมาส์ คีย์บอร์ด หรือแฟลชไดรฟ์เล็ก ๆ แต่เมื่อ USB 3.0 เปิดตัว สีฟ้าก็ถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่า “ช่องนี้เร็วกว่า” โดยสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 5 Gbps และรองรับการสื่อสารแบบ full-duplex คือส่งและรับข้อมูลพร้อมกันได้

    พอร์ตสีฟ้าจึงกลายเป็นจุดเด่นบนเมนบอร์ดและแล็ปท็อปที่เน้นประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับการโอนข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น external SSD, backup drive หรืออุปกรณ์วิดีโอความละเอียดสูง

    แต่ความจริงคือ “สีฟ้า” ไม่ใช่มาตรฐานที่บังคับ—USB-IF ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐาน USB ไม่ได้กำหนดสีไว้ ทำให้แต่ละแบรนด์ใช้สีต่างกันไป เช่น Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ แต่ HP บางรุ่นใช้สีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS (SuperSpeed) แทน

    ในอุปกรณ์เกมหรือเมนบอร์ดระดับสูง พอร์ตสีฟ้าอาจหมายถึง USB 3.2 Gen 1 แต่บางครั้งก็มีฟีเจอร์พิเศษแฝงอยู่ เช่น BIOS flashback หรือการปรับแต่งอุปกรณ์เฉพาะทาง ส่วนใน PlayStation พอร์ตสีฟ้ามักใช้สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง

    หากไม่แน่ใจว่าพอร์ตสีฟ้าทำอะไรได้บ้าง วิธีที่ดีที่สุดคือดูคู่มือหรือสเปกของอุปกรณ์ หรือสังเกตสัญลักษณ์ข้างพอร์ต เช่น SS, ตัวเลข 5/10/20 (Gbps), หรือไอคอนสายฟ้า ซึ่งบอกถึงความสามารถในการชาร์จเร็ว

    ความหมายของพอร์ต USB สีฟ้า
    มักหมายถึง USB 3.x (เช่น 3.0, 3.1, 3.2 Gen 1) ที่มีความเร็วสูง
    รองรับ full-duplex communication ส่งและรับข้อมูลพร้อมกัน
    เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ bandwidth สูง เช่น external SSD หรือกล้อง

    ความแตกต่างระหว่างแบรนด์
    Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ
    HP ใช้ทั้งสีฟ้าและสีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS
    Apple ไม่ใช้สี แต่ระบุในคู่มือหรือสเปกแทน

    สัญลักษณ์ที่ควรสังเกต
    SS = SuperSpeed (USB 3.x)
    ตัวเลข 5/10/20 = ความเร็วในการส่งข้อมูล (Gbps)
    ไอคอนสายฟ้า = รองรับการชาร์จเร็วหรือ Power Delivery

    การใช้งานในอุปกรณ์เฉพาะ
    เมนบอร์ดเกมมิ่งอาจใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับ BIOS flashback หรือการปรับแต่ง
    PlayStation ใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก
    Docking station และฮับมักใช้สีฟ้าเพื่อแยก USB 3.x จาก USB 2.0

    https://www.slashgear.com/1953890/blue-usb-port-what-means-uses-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก USB สีฟ้า: เมื่อสีของพอร์ตกลายเป็นภาษาลับของความเร็วและฟังก์ชัน ย้อนกลับไปก่อนปี 2008 ช่อง USB บนคอมพิวเตอร์มีแต่สีดำ—รองรับ USB 2.0 ที่มีความเร็วสูงสุดแค่ 480 Mbps ใช้สำหรับเมาส์ คีย์บอร์ด หรือแฟลชไดรฟ์เล็ก ๆ แต่เมื่อ USB 3.0 เปิดตัว สีฟ้าก็ถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่า “ช่องนี้เร็วกว่า” โดยสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 5 Gbps และรองรับการสื่อสารแบบ full-duplex คือส่งและรับข้อมูลพร้อมกันได้ พอร์ตสีฟ้าจึงกลายเป็นจุดเด่นบนเมนบอร์ดและแล็ปท็อปที่เน้นประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับการโอนข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น external SSD, backup drive หรืออุปกรณ์วิดีโอความละเอียดสูง แต่ความจริงคือ “สีฟ้า” ไม่ใช่มาตรฐานที่บังคับ—USB-IF ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐาน USB ไม่ได้กำหนดสีไว้ ทำให้แต่ละแบรนด์ใช้สีต่างกันไป เช่น Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ แต่ HP บางรุ่นใช้สีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS (SuperSpeed) แทน ในอุปกรณ์เกมหรือเมนบอร์ดระดับสูง พอร์ตสีฟ้าอาจหมายถึง USB 3.2 Gen 1 แต่บางครั้งก็มีฟีเจอร์พิเศษแฝงอยู่ เช่น BIOS flashback หรือการปรับแต่งอุปกรณ์เฉพาะทาง ส่วนใน PlayStation พอร์ตสีฟ้ามักใช้สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง หากไม่แน่ใจว่าพอร์ตสีฟ้าทำอะไรได้บ้าง วิธีที่ดีที่สุดคือดูคู่มือหรือสเปกของอุปกรณ์ หรือสังเกตสัญลักษณ์ข้างพอร์ต เช่น SS, ตัวเลข 5/10/20 (Gbps), หรือไอคอนสายฟ้า ซึ่งบอกถึงความสามารถในการชาร์จเร็ว ✅ ความหมายของพอร์ต USB สีฟ้า ➡️ มักหมายถึง USB 3.x (เช่น 3.0, 3.1, 3.2 Gen 1) ที่มีความเร็วสูง ➡️ รองรับ full-duplex communication ส่งและรับข้อมูลพร้อมกัน ➡️ เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ bandwidth สูง เช่น external SSD หรือกล้อง ✅ ความแตกต่างระหว่างแบรนด์ ➡️ Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ➡️ HP ใช้ทั้งสีฟ้าและสีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS ➡️ Apple ไม่ใช้สี แต่ระบุในคู่มือหรือสเปกแทน ✅ สัญลักษณ์ที่ควรสังเกต ➡️ SS = SuperSpeed (USB 3.x) ➡️ ตัวเลข 5/10/20 = ความเร็วในการส่งข้อมูล (Gbps) ➡️ ไอคอนสายฟ้า = รองรับการชาร์จเร็วหรือ Power Delivery ✅ การใช้งานในอุปกรณ์เฉพาะ ➡️ เมนบอร์ดเกมมิ่งอาจใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับ BIOS flashback หรือการปรับแต่ง ➡️ PlayStation ใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก ➡️ Docking station และฮับมักใช้สีฟ้าเพื่อแยก USB 3.x จาก USB 2.0 https://www.slashgear.com/1953890/blue-usb-port-what-means-uses-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does It Mean When A USB Port Is Blue? - SlashGear
    The color of your USB port can tell you everything you need to know about what the port is capable of, so what does it mean if you have a blue USB port?
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • แอปดูเอกสารที่ดูธรรมดา แต่แอบขโมยเงินคุณแบบเงียบ ๆ

    ในปี 2025 โลกของ Android ต้องเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ เมื่อ Zscaler ThreatLabz ตรวจพบแอปอันตราย 77 ตัวที่ปลอมตัวเป็นแอปดูเอกสารหรือจัดการไฟล์ แต่แท้จริงแล้วแอบฝังมัลแวร์ชื่อ Anatsa (หรือ TeaBot) ซึ่งเป็น banking trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลทางการเงินของผู้ใช้ได้อย่างแนบเนียน

    แอปเหล่านี้ถูกปล่อยผ่าน Google Play Store อย่างถูกต้องตามขั้นตอน โดยในช่วงแรกจะไม่มีโค้ดอันตรายเลย ทำให้ผ่านการตรวจสอบได้ง่าย แต่เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแล้ว แอปจะดาวน์โหลด payload อันตรายจากเซิร์ฟเวอร์ภายนอก โดยอ้างว่าเป็น “อัปเดตจำเป็น”

    เมื่อมัลแวร์ถูกติดตั้ง มันจะหลอกให้ผู้ใช้เปิด Accessibility Services เพื่อให้สามารถควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ จากนั้นจะแสดงหน้าจอปลอมของแอปธนาคารหรือแอปคริปโต เพื่อขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบและรหัสผ่าน

    Anatsa ยังใช้เทคนิคขั้นสูงในการหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เช่น การเข้ารหัสแบบ DES ที่ถอดรหัสแบบ runtime และการตรวจสอบว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมจำลองหรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงเครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์

    นอกจาก Anatsa แล้ว ยังพบมัลแวร์อื่น ๆ เช่น Joker ซึ่งสามารถขโมยรายชื่อผู้ติดต่อ ส่ง SMS สมัครบริการพรีเมียมโดยไม่รู้ตัว และ Harly ซึ่งซ่อนโค้ดอันตรายไว้ลึกมากจนผ่านการตรวจสอบของ Google ได้

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Zscaler พบแอปอันตราย 77 ตัวบน Google Play Store ที่มีการติดตั้งรวมกว่า 19 ล้านครั้ง
    แอปเหล่านี้ปลอมตัวเป็นแอปดูเอกสาร เช่น “Document Reader – File Manager”
    มัลแวร์ Anatsa ถูกดาวน์โหลดหลังติดตั้ง โดยอ้างว่าเป็นอัปเดต
    Anatsa หลอกให้ผู้ใช้เปิด Accessibility Services เพื่อควบคุมเครื่อง
    แสดงหน้าจอปลอมของแอปธนาคารเพื่อขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบ
    ใช้เทคนิค DES runtime decryption และตรวจสอบสภาพแวดล้อมเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ขยายเป้าหมายจาก 650 เป็น 831 สถาบันการเงินทั่วโลก รวมถึงเยอรมนี เกาหลีใต้ และแพลตฟอร์มคริปโต
    แอปบางตัวมีการดาวน์โหลดมากกว่า 50,000 ครั้งต่อแอป
    พบมัลแวร์ Joker ใน 25% ของแอปทั้งหมด ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลและสมัครบริการพรีเมียม
    พบมัลแวร์ Harly ที่ซ่อนโค้ดอันตรายไว้ลึกในแอปเพื่อหลบการตรวจสอบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Anatsa ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2020 และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีความสามารถสูงขึ้น
    Joker เป็นมัลแวร์ที่มีประวัติยาวนานในการโจมตี Android โดยเฉพาะผ่าน SMS และบริการพรีเมียม
    Harly เป็นสายพันธุ์ใหม่ของ Joker ที่เน้นการหลบเลี่ยงการตรวจสอบของ Google Play
    Maskware คือมัลแวร์ที่ทำงานเหมือนแอปจริง แต่แอบขโมยข้อมูลเบื้องหลัง
    การใช้ AI ในการสร้างมัลแวร์ทำให้การหลบเลี่ยงระบบตรวจจับมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://hackread.com/77-malicious-android-apps-19-million-install-banks/
    📱 แอปดูเอกสารที่ดูธรรมดา แต่แอบขโมยเงินคุณแบบเงียบ ๆ ในปี 2025 โลกของ Android ต้องเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ เมื่อ Zscaler ThreatLabz ตรวจพบแอปอันตราย 77 ตัวที่ปลอมตัวเป็นแอปดูเอกสารหรือจัดการไฟล์ แต่แท้จริงแล้วแอบฝังมัลแวร์ชื่อ Anatsa (หรือ TeaBot) ซึ่งเป็น banking trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลทางการเงินของผู้ใช้ได้อย่างแนบเนียน แอปเหล่านี้ถูกปล่อยผ่าน Google Play Store อย่างถูกต้องตามขั้นตอน โดยในช่วงแรกจะไม่มีโค้ดอันตรายเลย ทำให้ผ่านการตรวจสอบได้ง่าย แต่เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแล้ว แอปจะดาวน์โหลด payload อันตรายจากเซิร์ฟเวอร์ภายนอก โดยอ้างว่าเป็น “อัปเดตจำเป็น” เมื่อมัลแวร์ถูกติดตั้ง มันจะหลอกให้ผู้ใช้เปิด Accessibility Services เพื่อให้สามารถควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ จากนั้นจะแสดงหน้าจอปลอมของแอปธนาคารหรือแอปคริปโต เพื่อขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบและรหัสผ่าน Anatsa ยังใช้เทคนิคขั้นสูงในการหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เช่น การเข้ารหัสแบบ DES ที่ถอดรหัสแบบ runtime และการตรวจสอบว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมจำลองหรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงเครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์ นอกจาก Anatsa แล้ว ยังพบมัลแวร์อื่น ๆ เช่น Joker ซึ่งสามารถขโมยรายชื่อผู้ติดต่อ ส่ง SMS สมัครบริการพรีเมียมโดยไม่รู้ตัว และ Harly ซึ่งซ่อนโค้ดอันตรายไว้ลึกมากจนผ่านการตรวจสอบของ Google ได้ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Zscaler พบแอปอันตราย 77 ตัวบน Google Play Store ที่มีการติดตั้งรวมกว่า 19 ล้านครั้ง ➡️ แอปเหล่านี้ปลอมตัวเป็นแอปดูเอกสาร เช่น “Document Reader – File Manager” ➡️ มัลแวร์ Anatsa ถูกดาวน์โหลดหลังติดตั้ง โดยอ้างว่าเป็นอัปเดต ➡️ Anatsa หลอกให้ผู้ใช้เปิด Accessibility Services เพื่อควบคุมเครื่อง ➡️ แสดงหน้าจอปลอมของแอปธนาคารเพื่อขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบ ➡️ ใช้เทคนิค DES runtime decryption และตรวจสอบสภาพแวดล้อมเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ขยายเป้าหมายจาก 650 เป็น 831 สถาบันการเงินทั่วโลก รวมถึงเยอรมนี เกาหลีใต้ และแพลตฟอร์มคริปโต ➡️ แอปบางตัวมีการดาวน์โหลดมากกว่า 50,000 ครั้งต่อแอป ➡️ พบมัลแวร์ Joker ใน 25% ของแอปทั้งหมด ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลและสมัครบริการพรีเมียม ➡️ พบมัลแวร์ Harly ที่ซ่อนโค้ดอันตรายไว้ลึกในแอปเพื่อหลบการตรวจสอบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Anatsa ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2020 และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีความสามารถสูงขึ้น ➡️ Joker เป็นมัลแวร์ที่มีประวัติยาวนานในการโจมตี Android โดยเฉพาะผ่าน SMS และบริการพรีเมียม ➡️ Harly เป็นสายพันธุ์ใหม่ของ Joker ที่เน้นการหลบเลี่ยงการตรวจสอบของ Google Play ➡️ Maskware คือมัลแวร์ที่ทำงานเหมือนแอปจริง แต่แอบขโมยข้อมูลเบื้องหลัง ➡️ การใช้ AI ในการสร้างมัลแวร์ทำให้การหลบเลี่ยงระบบตรวจจับมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://hackread.com/77-malicious-android-apps-19-million-install-banks/
    HACKREAD.COM
    77 Malicious Android Apps With 19M Downloads Targeted 831 Banks Worldwide
    77 Malicious Apps With 19 Million Downloads Targeted 831 Banks Worldwide
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • แอปฟรีที่คุณโหลด อาจไม่ฟรีสำหรับข้อมูลของคุณ

    ในยุคที่ทุกคนมีแอปติดมือถือมากกว่าติดเงินในบัญชี แอปต่างประเทศที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ เช่น TikTok, Temu, Alibaba และ Shein กลับกลายเป็น “นักสะสมข้อมูล” ที่เก็บทุกอย่างตั้งแต่ชื่อ เบอร์โทร ไปจนถึงตำแหน่งที่คุณอยู่และแอปที่คุณใช้

    จากการศึกษาของบริษัท Incogni พบว่า แอปต่างประเทศ 10 อันดับแรกที่ถูกดาวน์โหลดในสหรัฐฯ มีการเก็บข้อมูลเฉลี่ย 15–24 ประเภทต่อผู้ใช้ และแชร์ข้อมูลเหล่านั้นกับบุคคลที่สามเพื่อใช้ในการโฆษณาแบบเจาะจงและการสร้างโปรไฟล์ผู้บริโภค

    TikTok ถูกระบุว่าเก็บข้อมูลมากที่สุดถึง 24 ประเภท รวมถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ส่วน Temu ซึ่งเป็นแอปช้อปปิ้งราคาถูกที่มาแรงที่สุดในปี 2023 ถูกกล่าวหาว่าเข้าถึงระบบปฏิบัติการมือถือได้ลึกกว่าที่ผู้ใช้รู้ เช่น กล้อง รายชื่อผู้ติดต่อ และแม้แต่ไฟล์เอกสาร โดยสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของแอปหลังจากติดตั้งแล้ว

    Alibaba และ Shein ก็ไม่น้อยหน้า โดยมีการเก็บและแชร์ข้อมูลภาพ วิดีโอ และอีเมลกับบุคคลที่สามเพื่อใช้ในการโฆษณา และในบางกรณีอาจนำไปสู่การปรับราคาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลราคามาตรฐานที่ผู้บริโภคคุ้นเคย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แอปเหล่านี้ส่วนใหญ่มีเจ้าของจากจีน และมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนในระดับที่ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” มากกว่าปัญหาความเป็นส่วนตัว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    แอปต่างประเทศยอดนิยมในสหรัฐฯ เช่น TikTok, Temu, Alibaba และ Shein เก็บข้อมูลผู้ใช้อย่างกว้างขวาง
    TikTok เก็บข้อมูลมากถึง 24 ประเภท รวมถึงชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์
    Temu เข้าถึงระบบมือถือได้ลึก เช่น กล้อง รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์เอกสาร
    Alibaba และ Shein แชร์ข้อมูลภาพ วิดีโอ และอีเมลกับบุคคลที่สามเพื่อโฆษณา
    แอปเหล่านี้ใช้ข้อมูลเพื่อสร้างโปรไฟล์ผู้ใช้และปรับราคาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล
    แอปจากจีนมีการดาวน์โหลดในสหรัฐฯ มากถึง 755 ล้านครั้งจากทั้งหมด 1 พันล้านครั้ง
    แอปอื่น ๆ เช่น AliExpress, DramaBox และ ABPV ก็มีการเก็บตำแหน่งและประวัติการซื้อ
    การศึกษาชี้ว่าแอปเหล่านี้แชร์ข้อมูลเฉลี่ย 5–6 ประเภทกับบุคคลที่สาม
    ข้อมูลที่แชร์นำไปสู่การเพิ่มสแปมและการโฆษณาแบบเจาะจง
    ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีการเปิดเผยและควบคุมการใช้ข้อมูลผู้ใช้ให้ชัดเจน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Temu ถูกฟ้องโดยอัยการหลายรัฐในสหรัฐฯ ฐานละเมิดความเป็นส่วนตัวและมีพฤติกรรมคล้ายมัลแวร์
    แอป Temu เคยถูก Apple และ Google ระงับการให้บริการชั่วคราวจากปัญหาด้านความปลอดภัย
    แอปจากจีนบางตัวสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมหลังติดตั้งเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ
    การเก็บข้อมูลตำแหน่งแบบละเอียดและข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็นของแอป
    การเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

    https://hackread.com/study-tiktok-alibaba-temu-collect-us-user-data/
    📱 แอปฟรีที่คุณโหลด อาจไม่ฟรีสำหรับข้อมูลของคุณ ในยุคที่ทุกคนมีแอปติดมือถือมากกว่าติดเงินในบัญชี แอปต่างประเทศที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ เช่น TikTok, Temu, Alibaba และ Shein กลับกลายเป็น “นักสะสมข้อมูล” ที่เก็บทุกอย่างตั้งแต่ชื่อ เบอร์โทร ไปจนถึงตำแหน่งที่คุณอยู่และแอปที่คุณใช้ จากการศึกษาของบริษัท Incogni พบว่า แอปต่างประเทศ 10 อันดับแรกที่ถูกดาวน์โหลดในสหรัฐฯ มีการเก็บข้อมูลเฉลี่ย 15–24 ประเภทต่อผู้ใช้ และแชร์ข้อมูลเหล่านั้นกับบุคคลที่สามเพื่อใช้ในการโฆษณาแบบเจาะจงและการสร้างโปรไฟล์ผู้บริโภค TikTok ถูกระบุว่าเก็บข้อมูลมากที่สุดถึง 24 ประเภท รวมถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ส่วน Temu ซึ่งเป็นแอปช้อปปิ้งราคาถูกที่มาแรงที่สุดในปี 2023 ถูกกล่าวหาว่าเข้าถึงระบบปฏิบัติการมือถือได้ลึกกว่าที่ผู้ใช้รู้ เช่น กล้อง รายชื่อผู้ติดต่อ และแม้แต่ไฟล์เอกสาร โดยสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของแอปหลังจากติดตั้งแล้ว Alibaba และ Shein ก็ไม่น้อยหน้า โดยมีการเก็บและแชร์ข้อมูลภาพ วิดีโอ และอีเมลกับบุคคลที่สามเพื่อใช้ในการโฆษณา และในบางกรณีอาจนำไปสู่การปรับราคาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลราคามาตรฐานที่ผู้บริโภคคุ้นเคย สิ่งที่น่ากังวลคือ แอปเหล่านี้ส่วนใหญ่มีเจ้าของจากจีน และมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนในระดับที่ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” มากกว่าปัญหาความเป็นส่วนตัว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ แอปต่างประเทศยอดนิยมในสหรัฐฯ เช่น TikTok, Temu, Alibaba และ Shein เก็บข้อมูลผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ➡️ TikTok เก็บข้อมูลมากถึง 24 ประเภท รวมถึงชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ➡️ Temu เข้าถึงระบบมือถือได้ลึก เช่น กล้อง รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์เอกสาร ➡️ Alibaba และ Shein แชร์ข้อมูลภาพ วิดีโอ และอีเมลกับบุคคลที่สามเพื่อโฆษณา ➡️ แอปเหล่านี้ใช้ข้อมูลเพื่อสร้างโปรไฟล์ผู้ใช้และปรับราคาสินค้าแบบเฉพาะบุคคล ➡️ แอปจากจีนมีการดาวน์โหลดในสหรัฐฯ มากถึง 755 ล้านครั้งจากทั้งหมด 1 พันล้านครั้ง ➡️ แอปอื่น ๆ เช่น AliExpress, DramaBox และ ABPV ก็มีการเก็บตำแหน่งและประวัติการซื้อ ➡️ การศึกษาชี้ว่าแอปเหล่านี้แชร์ข้อมูลเฉลี่ย 5–6 ประเภทกับบุคคลที่สาม ➡️ ข้อมูลที่แชร์นำไปสู่การเพิ่มสแปมและการโฆษณาแบบเจาะจง ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีการเปิดเผยและควบคุมการใช้ข้อมูลผู้ใช้ให้ชัดเจน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Temu ถูกฟ้องโดยอัยการหลายรัฐในสหรัฐฯ ฐานละเมิดความเป็นส่วนตัวและมีพฤติกรรมคล้ายมัลแวร์ ➡️ แอป Temu เคยถูก Apple และ Google ระงับการให้บริการชั่วคราวจากปัญหาด้านความปลอดภัย ➡️ แอปจากจีนบางตัวสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมหลังติดตั้งเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ➡️ การเก็บข้อมูลตำแหน่งแบบละเอียดและข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็นของแอป ➡️ การเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ https://hackread.com/study-tiktok-alibaba-temu-collect-us-user-data/
    HACKREAD.COM
    Study Reveals TikTok, Alibaba, Temu Collect Extensive User Data in America
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • Google จะไม่ให้ใครติดตั้งแอปอีกต่อไป ถ้าไม่รู้ว่า “คุณเป็นใคร”

    ในปี 2026 การติดตั้งแอปบน Android จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะ Google ประกาศว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนปีนั้นเป็นต้นไป แอปใดก็ตามที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ Android ที่ผ่านการรับรอง (เช่น Pixel หรือ Samsung ที่มี Play Protect) จะต้องมาจากนักพัฒนาที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วเท่านั้น

    ไม่ว่าจะเป็นแอปจาก Play Store, จากร้านแอปภายนอก หรือแม้แต่ไฟล์ APK ที่ดาวน์โหลดมาเอง — ถ้านักพัฒนาไม่ผ่านการยืนยัน แอปจะไม่สามารถติดตั้งได้เลย

    Google เปรียบเทียบว่าเหมือนการตรวจบัตรประชาชนที่สนามบิน: ไม่ได้ตรวจเนื้อหาของกระเป๋า แต่ตรวจว่า “คุณเป็นใคร” โดยหวังว่าจะลดจำนวนแอปปลอมและป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีกลับมาเผยแพร่แอปใหม่หลังถูกแบน

    นักพัฒนาจะต้องลงทะเบียนผ่าน Android Developer Console ใหม่ ซึ่งแยกจาก Play Console สำหรับผู้ที่ไม่เผยแพร่ผ่าน Play Store โดยต้องยืนยันตัวตนด้วยชื่อจริง, ที่อยู่, เบอร์โทร, อีเมล และอาจต้องใช้เอกสารราชการหรือ D-U-N-S number หากเป็นองค์กร

    สำหรับนักเรียนและนักพัฒนาสมัครเล่น Google จะมี workflow แยกต่างหากที่ไม่เข้มงวดเท่ากับนักพัฒนาเชิงพาณิชย์

    นโยบายนี้จะเริ่มใช้ใน 4 ประเทศก่อน: บราซิล, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย ในเดือนกันยายน 2026 ก่อนจะขยายทั่วโลกในปี 2027

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Google จะบังคับให้นักพัฒนาทุกคนต้องผ่านการยืนยันตัวตนก่อนเผยแพร่แอปบน Android
    ครอบคลุมทั้งแอปจาก Play Store, ร้านแอปภายนอก และ sideload (ไฟล์ APK)
    ใช้ระบบ Android Developer Console ใหม่สำหรับนักพัฒนานอก Play Store
    นักพัฒนาต้องยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลส่วนตัวและเอกสารราชการ
    นักเรียนและนักพัฒนาสมัครเล่นจะมี workflow แยกต่างหาก
    เริ่มใช้ใน 4 ประเทศ: บราซิล, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย ใน ก.ย. 2026
    ขยายทั่วโลกในปี 2027 สำหรับอุปกรณ์ Android ที่ผ่านการรับรอง
    Google อ้างว่า sideload มีมัลแวร์มากกว่าแอปใน Play Store ถึง 50 เท่า
    หน่วยงานรัฐในหลายประเทศสนับสนุนนโยบายนี้ เช่น กสทช.ไทย และกระทรวงดิจิทัลอินโดนีเซีย
    นักพัฒนาที่เผยแพร่ผ่าน Play Store อาจผ่านการยืนยันแล้วโดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    D-U-N-S number เป็นรหัสองค์กรที่ใช้ในการตรวจสอบธุรกิจระดับสากล
    Android Developer Console ใหม่จะเปิดให้เข้าถึงแบบ early access ใน ต.ค. 2025
    การยืนยันตัวตนช่วยให้ Google ติดตามและแบนผู้เผยแพร่มัลแวร์ได้ง่ายขึ้น
    Apple ใช้นโยบายคล้ายกันในการควบคุมแอปบน iOS มานานแล้ว
    นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนแอปที่เผยแพร่ภายนอกได้ด้วยการระบุ package name และ signing key

    https://9to5google.com/2025/08/25/android-apps-developer-verification/
    🎙️ Google จะไม่ให้ใครติดตั้งแอปอีกต่อไป ถ้าไม่รู้ว่า “คุณเป็นใคร” ในปี 2026 การติดตั้งแอปบน Android จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะ Google ประกาศว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนปีนั้นเป็นต้นไป แอปใดก็ตามที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ Android ที่ผ่านการรับรอง (เช่น Pixel หรือ Samsung ที่มี Play Protect) จะต้องมาจากนักพัฒนาที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแอปจาก Play Store, จากร้านแอปภายนอก หรือแม้แต่ไฟล์ APK ที่ดาวน์โหลดมาเอง — ถ้านักพัฒนาไม่ผ่านการยืนยัน แอปจะไม่สามารถติดตั้งได้เลย Google เปรียบเทียบว่าเหมือนการตรวจบัตรประชาชนที่สนามบิน: ไม่ได้ตรวจเนื้อหาของกระเป๋า แต่ตรวจว่า “คุณเป็นใคร” โดยหวังว่าจะลดจำนวนแอปปลอมและป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีกลับมาเผยแพร่แอปใหม่หลังถูกแบน นักพัฒนาจะต้องลงทะเบียนผ่าน Android Developer Console ใหม่ ซึ่งแยกจาก Play Console สำหรับผู้ที่ไม่เผยแพร่ผ่าน Play Store โดยต้องยืนยันตัวตนด้วยชื่อจริง, ที่อยู่, เบอร์โทร, อีเมล และอาจต้องใช้เอกสารราชการหรือ D-U-N-S number หากเป็นองค์กร สำหรับนักเรียนและนักพัฒนาสมัครเล่น Google จะมี workflow แยกต่างหากที่ไม่เข้มงวดเท่ากับนักพัฒนาเชิงพาณิชย์ นโยบายนี้จะเริ่มใช้ใน 4 ประเทศก่อน: บราซิล, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย ในเดือนกันยายน 2026 ก่อนจะขยายทั่วโลกในปี 2027 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Google จะบังคับให้นักพัฒนาทุกคนต้องผ่านการยืนยันตัวตนก่อนเผยแพร่แอปบน Android ➡️ ครอบคลุมทั้งแอปจาก Play Store, ร้านแอปภายนอก และ sideload (ไฟล์ APK) ➡️ ใช้ระบบ Android Developer Console ใหม่สำหรับนักพัฒนานอก Play Store ➡️ นักพัฒนาต้องยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลส่วนตัวและเอกสารราชการ ➡️ นักเรียนและนักพัฒนาสมัครเล่นจะมี workflow แยกต่างหาก ➡️ เริ่มใช้ใน 4 ประเทศ: บราซิล, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย ใน ก.ย. 2026 ➡️ ขยายทั่วโลกในปี 2027 สำหรับอุปกรณ์ Android ที่ผ่านการรับรอง ➡️ Google อ้างว่า sideload มีมัลแวร์มากกว่าแอปใน Play Store ถึง 50 เท่า ➡️ หน่วยงานรัฐในหลายประเทศสนับสนุนนโยบายนี้ เช่น กสทช.ไทย และกระทรวงดิจิทัลอินโดนีเซีย ➡️ นักพัฒนาที่เผยแพร่ผ่าน Play Store อาจผ่านการยืนยันแล้วโดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ D-U-N-S number เป็นรหัสองค์กรที่ใช้ในการตรวจสอบธุรกิจระดับสากล ➡️ Android Developer Console ใหม่จะเปิดให้เข้าถึงแบบ early access ใน ต.ค. 2025 ➡️ การยืนยันตัวตนช่วยให้ Google ติดตามและแบนผู้เผยแพร่มัลแวร์ได้ง่ายขึ้น ➡️ Apple ใช้นโยบายคล้ายกันในการควบคุมแอปบน iOS มานานแล้ว ➡️ นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนแอปที่เผยแพร่ภายนอกได้ด้วยการระบุ package name และ signing key https://9to5google.com/2025/08/25/android-apps-developer-verification/
    9TO5GOOGLE.COM
    Google will require developer verification to install Android apps, including sideloading
    Google has announced that only apps from developers that have undergone verification can be installed on certified Android devices in 2026...
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • GodRAT – มัลแวร์ที่แฝงตัวในภาพ ส่งผ่าน Skype เพื่อเจาะระบบธุรกิจ

    ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Kaspersky ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “GodRAT” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ผ่านแอป Skype เพื่อเจาะระบบของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) ในตะวันออกกลางและเอเชีย

    GodRAT ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน โดยใช้เทคนิค “steganography” เพื่อฝัง shellcode ที่เมื่อเปิดใช้งาน จะดาวน์โหลดมัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี

    เมื่อมัลแวร์เข้าสู่ระบบ มันจะเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น ระบบปฏิบัติการ ชื่อโฮสต์ รายชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส และบัญชีผู้ใช้ จากนั้นสามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น ตัวขโมยรหัสผ่าน หรือโปรแกรมสำรวจไฟล์ และในบางกรณี ยังมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างถาวร

    นักวิจัยเชื่อว่า GodRAT เป็นวิวัฒนาการของมัลแวร์ AwesomePuppet ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ Winnti (APT41) โดยมีโค้ดคล้ายกับ Gh0st RAT ซึ่งเป็นมัลแวร์เก่าที่ถูกใช้มานานกว่า 15 ปี

    แม้ว่า Skype จะไม่ใช่ช่องทางหลักในการทำงานอีกต่อไป แต่การใช้แอปที่ไม่ปลอดภัยยังคงเป็นช่องโหว่สำคัญที่องค์กรต้องระวัง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Kaspersky พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ GodRAT ถูกส่งผ่าน Skype ในรูปแบบไฟล์ screensaver
    ใช้เทคนิค steganography ซ่อน shellcode ในภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน
    เมื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    GodRAT เก็บข้อมูลระบบ เช่น OS, hostname, antivirus, และบัญชีผู้ใช้
    สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น FileManager และ password stealer
    บางกรณีมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง
    เหยื่อส่วนใหญ่คือ SMBs ใน UAE, ฮ่องกง, จอร์แดน และเลบานอน
    GodRAT เป็นวิวัฒนาการจาก AwesomePuppet และมีโค้ดคล้าย Gh0st RAT
    การโจมตีสิ้นสุดการใช้ Skype ในเดือนมีนาคม 2025 และเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่น
    Source code ของ GodRAT ถูกพบใน VirusTotal ตั้งแต่กรกฎาคม 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gh0st RAT เป็นมัลแวร์ที่มีต้นกำเนิดจากจีน และถูกใช้โดยกลุ่ม APT มานาน
    Steganography เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการซ่อนมัลแวร์ในไฟล์ภาพหรือเสียง
    AsyncRAT เป็นเครื่องมือควบคุมระยะไกลที่สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบ
    การใช้ Skype ในองค์กรลดลง แต่ยังมีบางธุรกิจที่ใช้เป็นช่องทางสื่อสาร
    การโจมตีลักษณะนี้มักเน้นเป้าหมายที่ไม่มีระบบป้องกันระดับสูง

    https://www.techradar.com/pro/security/still-use-skype-at-work-bad-news-hackers-are-targeting-it-with-dangerous-malware
    🎙️ GodRAT – มัลแวร์ที่แฝงตัวในภาพ ส่งผ่าน Skype เพื่อเจาะระบบธุรกิจ ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Kaspersky ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “GodRAT” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ผ่านแอป Skype เพื่อเจาะระบบของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMBs) ในตะวันออกกลางและเอเชีย GodRAT ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน โดยใช้เทคนิค “steganography” เพื่อฝัง shellcode ที่เมื่อเปิดใช้งาน จะดาวน์โหลดมัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี เมื่อมัลแวร์เข้าสู่ระบบ มันจะเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น ระบบปฏิบัติการ ชื่อโฮสต์ รายชื่อโปรแกรมป้องกันไวรัส และบัญชีผู้ใช้ จากนั้นสามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น ตัวขโมยรหัสผ่าน หรือโปรแกรมสำรวจไฟล์ และในบางกรณี ยังมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างถาวร นักวิจัยเชื่อว่า GodRAT เป็นวิวัฒนาการของมัลแวร์ AwesomePuppet ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ Winnti (APT41) โดยมีโค้ดคล้ายกับ Gh0st RAT ซึ่งเป็นมัลแวร์เก่าที่ถูกใช้มานานกว่า 15 ปี แม้ว่า Skype จะไม่ใช่ช่องทางหลักในการทำงานอีกต่อไป แต่การใช้แอปที่ไม่ปลอดภัยยังคงเป็นช่องโหว่สำคัญที่องค์กรต้องระวัง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Kaspersky พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ GodRAT ถูกส่งผ่าน Skype ในรูปแบบไฟล์ screensaver ➡️ ใช้เทคนิค steganography ซ่อน shellcode ในภาพที่ดูเหมือนเอกสารการเงิน ➡️ เมื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ➡️ GodRAT เก็บข้อมูลระบบ เช่น OS, hostname, antivirus, และบัญชีผู้ใช้ ➡️ สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น FileManager และ password stealer ➡️ บางกรณีมีการติดตั้ง AsyncRAT เพื่อเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง ➡️ เหยื่อส่วนใหญ่คือ SMBs ใน UAE, ฮ่องกง, จอร์แดน และเลบานอน ➡️ GodRAT เป็นวิวัฒนาการจาก AwesomePuppet และมีโค้ดคล้าย Gh0st RAT ➡️ การโจมตีสิ้นสุดการใช้ Skype ในเดือนมีนาคม 2025 และเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่น ➡️ Source code ของ GodRAT ถูกพบใน VirusTotal ตั้งแต่กรกฎาคม 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gh0st RAT เป็นมัลแวร์ที่มีต้นกำเนิดจากจีน และถูกใช้โดยกลุ่ม APT มานาน ➡️ Steganography เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการซ่อนมัลแวร์ในไฟล์ภาพหรือเสียง ➡️ AsyncRAT เป็นเครื่องมือควบคุมระยะไกลที่สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบ ➡️ การใช้ Skype ในองค์กรลดลง แต่ยังมีบางธุรกิจที่ใช้เป็นช่องทางสื่อสาร ➡️ การโจมตีลักษณะนี้มักเน้นเป้าหมายที่ไม่มีระบบป้องกันระดับสูง https://www.techradar.com/pro/security/still-use-skype-at-work-bad-news-hackers-are-targeting-it-with-dangerous-malware
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • แอนตี้ไวรัสปลอมที่กลายเป็นสายลับ – เมื่อมือถือกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม

    ตั้งแต่ต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Doctor Web พบมัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ที่ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB เพื่อหลอกผู้ใช้ Android ในรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ

    ตัวแอปมีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียบนโล่ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเปิดใช้งานจะรันการสแกนปลอม พร้อมแสดงผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

    หลังติดตั้ง มัลแวร์จะขอสิทธิ์เข้าถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่ง, กล้อง, ไมโครโฟน, ข้อความ, รายชื่อ, ไปจนถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ และ Android Accessibility Service ซึ่งช่วยให้มันทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยมอย่าง Gmail, Telegram และ WhatsApp

    มัลแวร์จะรัน background service หลายตัว เช่น DataSecurity, SoundSecurity และ CameraSecurity โดยตรวจสอบทุกนาทีว่าทำงานอยู่หรือไม่ และรีสตาร์ตทันทีหากหยุด

    มันสามารถสตรีมเสียงจากไมค์, วิดีโอจากกล้อง, ข้อมูลหน้าจอแบบเรียลไทม์ และอัปโหลดข้อมูลทุกอย่างไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) รวมถึงภาพ, รายชื่อ, SMS, ประวัติการโทร และแม้แต่ข้อมูลแบตเตอรี่

    ที่น่ากลัวคือ มันสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกลบ โดยใช้ Accessibility Service เพื่อบล็อกการถอนการติดตั้ง หากผู้ใช้รู้ตัวว่าถูกโจมตี

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB
    มีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
    รันการสแกนปลอมพร้อมผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่ม
    ขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง, กล้อง, ไมค์, SMS, รายชื่อ, และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ
    ใช้ Accessibility Service เพื่อทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยม
    รัน background service หลายตัวและตรวจสอบทุกนาที
    สตรีมเสียง, วิดีโอ, หน้าจอ และอัปโหลดข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ป้องกันการลบตัวเองโดยใช้ Accessibility Service
    อินเทอร์เฟซของมัลแวร์มีเฉพาะภาษารัสเซีย แสดงว่าเจาะจงเป้าหมายเฉพาะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มัลแวร์ถูกเขียนด้วยภาษา Kotlin และใช้ coroutine ในการจัดการ background task
    ใช้การเชื่อมต่อ socket กับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมเพื่อรับคำสั่งแบบเรียลไทม์
    คำสั่งที่รับได้รวมถึงการเปิด/ปิดการป้องกัน, อัปโหลด log, และดึงข้อมูลจากอุปกรณ์
    การใช้ Accessibility Service เป็นเทคนิคที่มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้กันแพร่หลาย
    การปลอมตัวเป็นแอปที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกเป้าหมายเฉพาะ
    Android Security Patch เดือนสิงหาคม 2025 ได้แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบ

    https://hackread.com/fake-antivirus-app-android-malware-spy-russian-users/
    📖 แอนตี้ไวรัสปลอมที่กลายเป็นสายลับ – เมื่อมือถือกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม ตั้งแต่ต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Doctor Web พบมัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ที่ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB เพื่อหลอกผู้ใช้ Android ในรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ ตัวแอปมีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียบนโล่ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเปิดใช้งานจะรันการสแกนปลอม พร้อมแสดงผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หลังติดตั้ง มัลแวร์จะขอสิทธิ์เข้าถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่ง, กล้อง, ไมโครโฟน, ข้อความ, รายชื่อ, ไปจนถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ และ Android Accessibility Service ซึ่งช่วยให้มันทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยมอย่าง Gmail, Telegram และ WhatsApp มัลแวร์จะรัน background service หลายตัว เช่น DataSecurity, SoundSecurity และ CameraSecurity โดยตรวจสอบทุกนาทีว่าทำงานอยู่หรือไม่ และรีสตาร์ตทันทีหากหยุด มันสามารถสตรีมเสียงจากไมค์, วิดีโอจากกล้อง, ข้อมูลหน้าจอแบบเรียลไทม์ และอัปโหลดข้อมูลทุกอย่างไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) รวมถึงภาพ, รายชื่อ, SMS, ประวัติการโทร และแม้แต่ข้อมูลแบตเตอรี่ ที่น่ากลัวคือ มันสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกลบ โดยใช้ Accessibility Service เพื่อบล็อกการถอนการติดตั้ง หากผู้ใช้รู้ตัวว่าถูกโจมตี 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB ➡️ มีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ➡️ รันการสแกนปลอมพร้อมผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่ม ➡️ ขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง, กล้อง, ไมค์, SMS, รายชื่อ, และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ ➡️ ใช้ Accessibility Service เพื่อทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยม ➡️ รัน background service หลายตัวและตรวจสอบทุกนาที ➡️ สตรีมเสียง, วิดีโอ, หน้าจอ และอัปโหลดข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ป้องกันการลบตัวเองโดยใช้ Accessibility Service ➡️ อินเทอร์เฟซของมัลแวร์มีเฉพาะภาษารัสเซีย แสดงว่าเจาะจงเป้าหมายเฉพาะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มัลแวร์ถูกเขียนด้วยภาษา Kotlin และใช้ coroutine ในการจัดการ background task ➡️ ใช้การเชื่อมต่อ socket กับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมเพื่อรับคำสั่งแบบเรียลไทม์ ➡️ คำสั่งที่รับได้รวมถึงการเปิด/ปิดการป้องกัน, อัปโหลด log, และดึงข้อมูลจากอุปกรณ์ ➡️ การใช้ Accessibility Service เป็นเทคนิคที่มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้กันแพร่หลาย ➡️ การปลอมตัวเป็นแอปที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกเป้าหมายเฉพาะ ➡️ Android Security Patch เดือนสิงหาคม 2025 ได้แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบ https://hackread.com/fake-antivirus-app-android-malware-spy-russian-users/
    HACKREAD.COM
    Fake Antivirus App Spreads Android Malware to Spy on Russian Users
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • จากฟรีนักเก็ตสู่ช่องโหว่ระดับองค์กร – เมื่อ McDonald’s ลืมล็อกประตูดิจิทัล

    เรื่องเริ่มต้นจากนักวิจัยด้านความปลอดภัยนามว่า “BobDaHacker” ที่แค่อยากได้ McNuggets ฟรีจากแอปของ McDonald’s แต่กลับพบว่าการตรวจสอบคะแนนสะสมทำแค่ฝั่งผู้ใช้ (client-side) ทำให้สามารถปลดล็อกของรางวัลได้แม้ไม่มีคะแนน

    เมื่อเขาขุดลึกลงไป ก็พบช่องโหว่ใน “Feel-Good Design Hub” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มภายในของ McDonald’s ที่ใช้สำหรับจัดการแบรนด์และสื่อการตลาดในกว่า 120 ประเทศ โดยระบบเดิมใช้รหัสผ่านฝั่งผู้ใช้ในการป้องกันข้อมูลลับ!

    แม้ McDonald’s จะใช้เวลาถึง 3 เดือนในการแก้ไขระบบให้มีการล็อกอินแบบแยกสำหรับพนักงานและพันธมิตร แต่ Bob พบว่าเพียงแค่เปลี่ยนคำว่า “login” เป็น “register” ใน URL ก็สามารถสร้างบัญชีใหม่และเข้าถึงข้อมูลลับได้ทันที

    ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือระบบส่งรหัสผ่านแบบ plain-text ทางอีเมล และไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่อย่างเป็นทางการ ทำให้ Bob ต้องโทรไปยังสำนักงานใหญ่และสุ่มชื่อพนักงานจาก LinkedIn เพื่อให้มีคนรับเรื่อง

    นอกจากนี้ยังพบ API Key ที่รั่ว, ระบบค้นหาที่เปิดเผยข้อมูลพนักงานทั่วโลก, ช่องโหว่ในระบบ GRS ที่เปิดให้ใครก็ได้ inject HTML และแม้แต่แอปทดลองของร้าน CosMc’s ที่สามารถใช้คูปองไม่จำกัดและแก้ไขคำสั่งซื้อได้ตามใจ

    ข้อมูลในข่าว
    BobDaHacker พบช่องโหว่จากการตรวจสอบคะแนนสะสมในแอป McDonald’s ที่ทำแค่ฝั่ง client
    ระบบ Feel-Good Design Hub ใช้รหัสผ่านฝั่ง client ในการป้องกันข้อมูลภายใน
    เปลี่ยน “login” เป็น “register” ใน URL สามารถสร้างบัญชีและเข้าถึงข้อมูลลับได้
    ระบบส่งรหัสผ่านแบบ plain-text ทางอีเมล ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ไม่ปลอดภัย
    ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่อย่างเป็นทางการ ต้องโทรสุ่มชื่อพนักงานจาก LinkedIn
    พบ API Key และ Algolia Index ที่รั่ว ทำให้สามารถส่ง phishing และดูข้อมูลพนักงาน
    ระบบ TRT เปิดให้พนักงานทั่วไปค้นหาอีเมลของผู้บริหารและใช้ฟีเจอร์ “impersonation”
    GRS Panel ไม่มีการยืนยันตัวตน ทำให้สามารถ inject HTML ได้
    แอป CosMc’s มีช่องโหว่ให้ใช้คูปองไม่จำกัดและแก้ไขคำสั่งซื้อได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การตรวจสอบฝั่ง client เป็นช่องโหว่พื้นฐานที่ควรหลีกเลี่ยงในระบบที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ์หรือรางวัล
    การส่งรหัสผ่านแบบ plain-text ขัดกับมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ เช่น OWASP
    security.txt เป็นมาตรฐานที่ใช้ระบุช่องทางรายงานช่องโหว่ แต่ McDonald’s ลบไฟล์นี้ออก
    การไม่มีช่องทางรายงานที่ชัดเจนทำให้นักวิจัยอาจละทิ้งการแจ้งเตือน
    การใช้ API Key แบบ hardcoded ใน JavaScript เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในเว็บแอป
    การเปิดเผยข้อมูลพนักงานระดับผู้บริหารอาจนำไปสู่ targeted phishing หรือ social engineering

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/prompted-by-free-nuggets-security-researcher-uncovers-staggering-mcdonalds-internal-platform-vulnerability-changing-login-to-register-in-url-prompted-site-to-issue-plain-text-password-for-a-new-account
    🍟 จากฟรีนักเก็ตสู่ช่องโหว่ระดับองค์กร – เมื่อ McDonald’s ลืมล็อกประตูดิจิทัล เรื่องเริ่มต้นจากนักวิจัยด้านความปลอดภัยนามว่า “BobDaHacker” ที่แค่อยากได้ McNuggets ฟรีจากแอปของ McDonald’s แต่กลับพบว่าการตรวจสอบคะแนนสะสมทำแค่ฝั่งผู้ใช้ (client-side) ทำให้สามารถปลดล็อกของรางวัลได้แม้ไม่มีคะแนน เมื่อเขาขุดลึกลงไป ก็พบช่องโหว่ใน “Feel-Good Design Hub” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มภายในของ McDonald’s ที่ใช้สำหรับจัดการแบรนด์และสื่อการตลาดในกว่า 120 ประเทศ โดยระบบเดิมใช้รหัสผ่านฝั่งผู้ใช้ในการป้องกันข้อมูลลับ! แม้ McDonald’s จะใช้เวลาถึง 3 เดือนในการแก้ไขระบบให้มีการล็อกอินแบบแยกสำหรับพนักงานและพันธมิตร แต่ Bob พบว่าเพียงแค่เปลี่ยนคำว่า “login” เป็น “register” ใน URL ก็สามารถสร้างบัญชีใหม่และเข้าถึงข้อมูลลับได้ทันที ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือระบบส่งรหัสผ่านแบบ plain-text ทางอีเมล และไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่อย่างเป็นทางการ ทำให้ Bob ต้องโทรไปยังสำนักงานใหญ่และสุ่มชื่อพนักงานจาก LinkedIn เพื่อให้มีคนรับเรื่อง นอกจากนี้ยังพบ API Key ที่รั่ว, ระบบค้นหาที่เปิดเผยข้อมูลพนักงานทั่วโลก, ช่องโหว่ในระบบ GRS ที่เปิดให้ใครก็ได้ inject HTML และแม้แต่แอปทดลองของร้าน CosMc’s ที่สามารถใช้คูปองไม่จำกัดและแก้ไขคำสั่งซื้อได้ตามใจ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ BobDaHacker พบช่องโหว่จากการตรวจสอบคะแนนสะสมในแอป McDonald’s ที่ทำแค่ฝั่ง client ➡️ ระบบ Feel-Good Design Hub ใช้รหัสผ่านฝั่ง client ในการป้องกันข้อมูลภายใน ➡️ เปลี่ยน “login” เป็น “register” ใน URL สามารถสร้างบัญชีและเข้าถึงข้อมูลลับได้ ➡️ ระบบส่งรหัสผ่านแบบ plain-text ทางอีเมล ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ไม่ปลอดภัย ➡️ ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่อย่างเป็นทางการ ต้องโทรสุ่มชื่อพนักงานจาก LinkedIn ➡️ พบ API Key และ Algolia Index ที่รั่ว ทำให้สามารถส่ง phishing และดูข้อมูลพนักงาน ➡️ ระบบ TRT เปิดให้พนักงานทั่วไปค้นหาอีเมลของผู้บริหารและใช้ฟีเจอร์ “impersonation” ➡️ GRS Panel ไม่มีการยืนยันตัวตน ทำให้สามารถ inject HTML ได้ ➡️ แอป CosMc’s มีช่องโหว่ให้ใช้คูปองไม่จำกัดและแก้ไขคำสั่งซื้อได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การตรวจสอบฝั่ง client เป็นช่องโหว่พื้นฐานที่ควรหลีกเลี่ยงในระบบที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ์หรือรางวัล ➡️ การส่งรหัสผ่านแบบ plain-text ขัดกับมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ เช่น OWASP ➡️ security.txt เป็นมาตรฐานที่ใช้ระบุช่องทางรายงานช่องโหว่ แต่ McDonald’s ลบไฟล์นี้ออก ➡️ การไม่มีช่องทางรายงานที่ชัดเจนทำให้นักวิจัยอาจละทิ้งการแจ้งเตือน ➡️ การใช้ API Key แบบ hardcoded ใน JavaScript เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในเว็บแอป ➡️ การเปิดเผยข้อมูลพนักงานระดับผู้บริหารอาจนำไปสู่ targeted phishing หรือ social engineering https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/prompted-by-free-nuggets-security-researcher-uncovers-staggering-mcdonalds-internal-platform-vulnerability-changing-login-to-register-in-url-prompted-site-to-issue-plain-text-password-for-a-new-account
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • จาก 47 วินาทีสู่ 3 วินาที: วิศวกรผู้เปลี่ยน UX ฟิตเนสด้วยตัวเอง

    Vadim ต้องใช้เวลา 47 วินาทีทุกครั้งในการเข้า PureGym ผ่านแอปที่โหลดช้า เต็มไปด้วยโฆษณาและข้อมูลไม่จำเป็น ทั้งที่เขาเข้าใช้งานถึง 6 วันต่อสัปดาห์ นั่นคือเวลาที่เสียไปกว่า 3.8 ชั่วโมงต่อปีเพียงเพื่อ “สแกนเข้า” ฟิตเนส

    เขาสังเกตว่า PIN 8 หลักที่ใช้เข้าอาคารนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอด 8 ปี แต่ QR code ในแอปกลับรีเฟรชทุก 60 วินาทีอย่างเข้มงวดราวกับปกป้องข้อมูลลับระดับชาติ—นี่คือ “Security Theatre” ที่ดูจริงจังแต่ไม่สมเหตุสมผล

    Vadim เริ่มต้นด้วยการลองแคปหน้าจอ QR code แล้วใส่ใน Apple Wallet แต่ไม่สำเร็จ เพราะ QR code มีการเข้ารหัสและหมดอายุเร็ว เขาจึงใช้เครื่องมือ proxy เช่น mitmproxy เพื่อดักจับข้อมูล API ของ PureGym และพบว่า QR code มีโครงสร้างที่สามารถสร้างใหม่ได้

    เขาจึงสร้างระบบ backend ด้วย Swift และ Vapor เพื่อสร้าง Apple Wallet pass ที่อัปเดต QR code อัตโนมัติผ่าน push notification โดยไม่ต้องเปิดแอปเลย แถมยังเพิ่มฟีเจอร์ให้ pass ปรากฏบนหน้าจอล็อกเมื่ออยู่ใกล้ฟิตเนส และซิงค์กับ Apple Watch ได้ทันที

    แม้จะรู้ว่าการทำแบบนี้อาจละเมิดข้อกำหนดการใช้งาน แต่เขายืนยันว่าไม่ได้แจกจ่ายให้ใคร และทำเพื่อการใช้งานส่วนตัวเท่านั้น

    ปัญหาการใช้งานแอป PureGym
    ใช้เวลา 47 วินาทีในการเข้าอาคารทุกครั้ง
    แอปโหลดช้า เต็มไปด้วยข้อมูลไม่จำเป็น
    PIN 8 หลักไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอด 8 ปี

    ความไม่สมเหตุสมผลของระบบความปลอดภัย
    QR code รีเฟรชทุก 60 วินาที
    PIN ที่ไม่ปลอดภัยกลับใช้งานได้ทุกที่
    เป็นตัวอย่างของ “Security Theatre”

    การแก้ปัญหาด้วย Apple Wallet
    ใช้ mitmproxy ดักจับ API ของ PureGym
    สร้างระบบ backend ด้วย Swift และ Vapor
    สร้าง pass ที่อัปเดต QR code อัตโนมัติ
    ซิงค์กับ Apple Watch ใช้งานได้ใน 3 วินาที

    ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้าไป
    pass ปรากฏบนหน้าจอล็อกเมื่ออยู่ใกล้ฟิตเนส
    ดึงข้อมูลตำแหน่งฟิตเนสทั่ว UK จาก API
    เพิ่มข้อมูลความหนาแน่นของผู้ใช้งานใน Home Assistant

    ผลลัพธ์ที่ได้
    ประหยัดเวลาได้ 3.8 ชั่วโมงต่อปี
    มีคนถามถึงระบบนี้ถึง 23 ครั้ง
    ได้เรียนรู้การใช้งาน PassKit อย่างลึกซึ้ง

    https://drobinin.com/posts/how-i-accidentally-became-puregyms-unofficial-apple-wallet-developer/
    🧠 จาก 47 วินาทีสู่ 3 วินาที: วิศวกรผู้เปลี่ยน UX ฟิตเนสด้วยตัวเอง Vadim ต้องใช้เวลา 47 วินาทีทุกครั้งในการเข้า PureGym ผ่านแอปที่โหลดช้า เต็มไปด้วยโฆษณาและข้อมูลไม่จำเป็น ทั้งที่เขาเข้าใช้งานถึง 6 วันต่อสัปดาห์ นั่นคือเวลาที่เสียไปกว่า 3.8 ชั่วโมงต่อปีเพียงเพื่อ “สแกนเข้า” ฟิตเนส เขาสังเกตว่า PIN 8 หลักที่ใช้เข้าอาคารนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอด 8 ปี แต่ QR code ในแอปกลับรีเฟรชทุก 60 วินาทีอย่างเข้มงวดราวกับปกป้องข้อมูลลับระดับชาติ—นี่คือ “Security Theatre” ที่ดูจริงจังแต่ไม่สมเหตุสมผล Vadim เริ่มต้นด้วยการลองแคปหน้าจอ QR code แล้วใส่ใน Apple Wallet แต่ไม่สำเร็จ เพราะ QR code มีการเข้ารหัสและหมดอายุเร็ว เขาจึงใช้เครื่องมือ proxy เช่น mitmproxy เพื่อดักจับข้อมูล API ของ PureGym และพบว่า QR code มีโครงสร้างที่สามารถสร้างใหม่ได้ เขาจึงสร้างระบบ backend ด้วย Swift และ Vapor เพื่อสร้าง Apple Wallet pass ที่อัปเดต QR code อัตโนมัติผ่าน push notification โดยไม่ต้องเปิดแอปเลย แถมยังเพิ่มฟีเจอร์ให้ pass ปรากฏบนหน้าจอล็อกเมื่ออยู่ใกล้ฟิตเนส และซิงค์กับ Apple Watch ได้ทันที แม้จะรู้ว่าการทำแบบนี้อาจละเมิดข้อกำหนดการใช้งาน แต่เขายืนยันว่าไม่ได้แจกจ่ายให้ใคร และทำเพื่อการใช้งานส่วนตัวเท่านั้น ✅ ปัญหาการใช้งานแอป PureGym ➡️ ใช้เวลา 47 วินาทีในการเข้าอาคารทุกครั้ง ➡️ แอปโหลดช้า เต็มไปด้วยข้อมูลไม่จำเป็น ➡️ PIN 8 หลักไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอด 8 ปี ✅ ความไม่สมเหตุสมผลของระบบความปลอดภัย ➡️ QR code รีเฟรชทุก 60 วินาที ➡️ PIN ที่ไม่ปลอดภัยกลับใช้งานได้ทุกที่ ➡️ เป็นตัวอย่างของ “Security Theatre” ✅ การแก้ปัญหาด้วย Apple Wallet ➡️ ใช้ mitmproxy ดักจับ API ของ PureGym ➡️ สร้างระบบ backend ด้วย Swift และ Vapor ➡️ สร้าง pass ที่อัปเดต QR code อัตโนมัติ ➡️ ซิงค์กับ Apple Watch ใช้งานได้ใน 3 วินาที ✅ ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้าไป ➡️ pass ปรากฏบนหน้าจอล็อกเมื่ออยู่ใกล้ฟิตเนส ➡️ ดึงข้อมูลตำแหน่งฟิตเนสทั่ว UK จาก API ➡️ เพิ่มข้อมูลความหนาแน่นของผู้ใช้งานใน Home Assistant ✅ ผลลัพธ์ที่ได้ ➡️ ประหยัดเวลาได้ 3.8 ชั่วโมงต่อปี ➡️ มีคนถามถึงระบบนี้ถึง 23 ครั้ง ➡️ ได้เรียนรู้การใช้งาน PassKit อย่างลึกซึ้ง https://drobinin.com/posts/how-i-accidentally-became-puregyms-unofficial-apple-wallet-developer/
    DROBININ.COM
    How I accidentally became PureGym's unofficial Apple Wallet developer
    Tired of fumbling with the PureGym app for 47 seconds every morning, I reverse-engineered their API to build an Apple Wallet pass that gets me in with a quick wrist scan. Along the way, I discovered their bizarre security theatre: QR codes that expire every minute while my ancient 8-digit PIN lives forever.
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • iKKO MindOne: สมาร์ตโฟนจิ๋วที่อัดแน่นด้วย AI และอินเทอร์เน็ตฟรี

    ลองจินตนาการว่าคุณมีสมาร์ตโฟนขนาดเท่าบัตรเครดิต แต่สามารถทำงานได้เหมือนเครื่องมือระดับมืออาชีพ ทั้งแปลภาษาแบบเรียลไทม์ บันทึกเสียงเป็นข้อความ และสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเสียค่าสมัครสมาชิกใด ๆ

    นั่นคือสิ่งที่ iKKO MindOne เสนอไว้ในแคมเปญระดมทุนที่ระดมได้มากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ ตัวเครื่องมีขนาด 86×72×8.9 มม. ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์กันรอยระดับ 9H และกล้อง Sony 50MP ที่หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง

    ที่โดดเด่นคือระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink ให้ใช้งาน AI ฟรีในกว่า 60 ประเทศ ส่วน vSIM แบบเสียเงินครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ เช่น ดูวิดีโอหรือท่องเว็บ นอกจากนี้ยังมีช่องใส่ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ที่เลือกใช้แทน 5G เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน

    ระบบปฏิบัติการมีสองชุด: Android 15 สำหรับแอปทั่วไป และ iKKO AI OS สำหรับงานที่ต้องการสมาธิและความปลอดภัย โดยสามารถสลับผ่านปุ่มจริง และนำแอป Android เข้าไปใช้ในโหมด AI ได้

    อุปกรณ์เสริมอย่างเคสคีย์บอร์ด QWERTY ยังเพิ่มแบตเตอรี่เสริม 500mAh, DAC คุณภาพสูง Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับคนที่ต้องการเสียงคุณภาพและการพิมพ์แบบ tactile

    ข้อมูลพื้นฐานของ iKKO MindOne
    ขนาด 86×72×8.9 มม. หนาเท่าบัตรเครดิต
    หน้าจอ AMOLED 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์ระดับ 9H
    กล้อง Sony 50MP หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง

    ระบบการเชื่อมต่อและอินเทอร์เน็ต
    ใช้ระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink (ฟรี AI) และ vSIM แบบเสียเงิน
    ครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ
    รองรับ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ทั่วโลก
    เลือกใช้ 4G+ แทน 5G เพื่อความเสถียรและลดความร้อน

    ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ AI
    ใช้ Android 15 และ iKKO AI OS สลับได้ผ่านปุ่มจริง
    รองรับ Google Mobile Services และอัปเดต Android 3 รุ่น + แพตช์ 5 ปี
    ฟีเจอร์ AI: แปลภาษา, สรุปเนื้อหา, บันทึกเสียงเป็นข้อความ, จดโน้ตอัตโนมัติ
    ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว

    อุปกรณ์เสริมและการใช้งาน
    เคสคีย์บอร์ด QWERTY พร้อมแบตเตอรี่เสริม 500mAh
    DAC Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับเสียงคุณภาพสูง
    เหมาะกับนักเดินทาง นักเรียน และผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัว

    ยังไม่มีข้อมูลสเปก CPU และ RAM อย่างเป็นทางการ
    การใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรีจำกัดเฉพาะฟีเจอร์ AI เท่านั้น ไม่รวมการท่องเว็บหรือดูวิดีโอ
    เคสคีย์บอร์ดเพิ่มขนาดและน้ำหนักของเครื่อง
    ยังไม่ชัดเจนว่าคุณภาพการผลิตจริงจะตรงกับที่โฆษณาหรือไม่
    การใช้งานในบางประเทศอาจมีข้อจำกัดด้านเครือข่ายหรือกฎหมาย

    https://www.techradar.com/pro/crowdfunded-ai-smartphone-with-free-global-internet-detachable-keyboard-and-square-screen-gets-over-usd1-million-pledge-and-its-strangely-mesmerizing
    🧠 iKKO MindOne: สมาร์ตโฟนจิ๋วที่อัดแน่นด้วย AI และอินเทอร์เน็ตฟรี ลองจินตนาการว่าคุณมีสมาร์ตโฟนขนาดเท่าบัตรเครดิต แต่สามารถทำงานได้เหมือนเครื่องมือระดับมืออาชีพ ทั้งแปลภาษาแบบเรียลไทม์ บันทึกเสียงเป็นข้อความ และสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเสียค่าสมัครสมาชิกใด ๆ นั่นคือสิ่งที่ iKKO MindOne เสนอไว้ในแคมเปญระดมทุนที่ระดมได้มากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ ตัวเครื่องมีขนาด 86×72×8.9 มม. ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์กันรอยระดับ 9H และกล้อง Sony 50MP ที่หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง ที่โดดเด่นคือระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink ให้ใช้งาน AI ฟรีในกว่า 60 ประเทศ ส่วน vSIM แบบเสียเงินครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ เช่น ดูวิดีโอหรือท่องเว็บ นอกจากนี้ยังมีช่องใส่ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ที่เลือกใช้แทน 5G เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน ระบบปฏิบัติการมีสองชุด: Android 15 สำหรับแอปทั่วไป และ iKKO AI OS สำหรับงานที่ต้องการสมาธิและความปลอดภัย โดยสามารถสลับผ่านปุ่มจริง และนำแอป Android เข้าไปใช้ในโหมด AI ได้ อุปกรณ์เสริมอย่างเคสคีย์บอร์ด QWERTY ยังเพิ่มแบตเตอรี่เสริม 500mAh, DAC คุณภาพสูง Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับคนที่ต้องการเสียงคุณภาพและการพิมพ์แบบ tactile ✅ ข้อมูลพื้นฐานของ iKKO MindOne ➡️ ขนาด 86×72×8.9 มม. หนาเท่าบัตรเครดิต ➡️ หน้าจอ AMOLED 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์ระดับ 9H ➡️ กล้อง Sony 50MP หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง ✅ ระบบการเชื่อมต่อและอินเทอร์เน็ต ➡️ ใช้ระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink (ฟรี AI) และ vSIM แบบเสียเงิน ➡️ ครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ ➡️ รองรับ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ทั่วโลก ➡️ เลือกใช้ 4G+ แทน 5G เพื่อความเสถียรและลดความร้อน ✅ ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ AI ➡️ ใช้ Android 15 และ iKKO AI OS สลับได้ผ่านปุ่มจริง ➡️ รองรับ Google Mobile Services และอัปเดต Android 3 รุ่น + แพตช์ 5 ปี ➡️ ฟีเจอร์ AI: แปลภาษา, สรุปเนื้อหา, บันทึกเสียงเป็นข้อความ, จดโน้ตอัตโนมัติ ➡️ ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว ✅ อุปกรณ์เสริมและการใช้งาน ➡️ เคสคีย์บอร์ด QWERTY พร้อมแบตเตอรี่เสริม 500mAh ➡️ DAC Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับเสียงคุณภาพสูง ➡️ เหมาะกับนักเดินทาง นักเรียน และผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัว ⛔ ยังไม่มีข้อมูลสเปก CPU และ RAM อย่างเป็นทางการ ⛔ การใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรีจำกัดเฉพาะฟีเจอร์ AI เท่านั้น ไม่รวมการท่องเว็บหรือดูวิดีโอ ⛔ เคสคีย์บอร์ดเพิ่มขนาดและน้ำหนักของเครื่อง ⛔ ยังไม่ชัดเจนว่าคุณภาพการผลิตจริงจะตรงกับที่โฆษณาหรือไม่ ⛔ การใช้งานในบางประเทศอาจมีข้อจำกัดด้านเครือข่ายหรือกฎหมาย https://www.techradar.com/pro/crowdfunded-ai-smartphone-with-free-global-internet-detachable-keyboard-and-square-screen-gets-over-usd1-million-pledge-and-its-strangely-mesmerizing
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • เมื่อเพื่อนคุยไม่ใช่คน: AI Companion กับผลกระทบที่ลึกกว่าที่คิด

    ในปี 2025 โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ใหม่ที่น่ากังวล นั่นคือการที่เด็กและวัยรุ่นจำนวนมากหันไปหา “AI Companion” หรือแชตบอทที่ออกแบบมาให้เป็นเพื่อนคุย เพื่อนรัก หรือแม้แต่คู่ชีวิตเสมือนจริง

    แอปเหล่านี้สามารถจดจำบทสนทนาเก่า ส่งข้อความส่วนตัว โทรด้วยเสียง และแม้แต่แชร์ภาพได้ พวกมันถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง และทำได้ดีอย่างน่าตกใจ

    แต่เบื้องหลังความน่ารักและความเข้าใจนั้นคือความเสี่ยงที่ร้ายแรง: เด็กบางคนถูกชักจูงให้พูดคุยเรื่องเพศ การทำร้ายตัวเอง หรือแม้แต่การฆ่าตัวตายกับบอทเหล่านี้ โดยไม่มีระบบป้องกันที่เพียงพอ

    มีกรณีเด็กชายวัย 14 ปีในสหรัฐฯ ที่ผูกพันกับบอทจนถึงขั้นเสียชีวิตจากการทำร้ายตัวเอง หลังได้รับคำแนะนำที่เป็นอันตรายจากบอทที่เขาคุยด้วยทุกวัน

    แอปเหล่านี้ยังมีการจัดเรตอายุที่ไม่สอดคล้องกัน เช่น แอปที่มีเนื้อหา 18+ แต่กลับระบุว่าเหมาะสำหรับเด็กอายุ 4+ หรือ 12+ บางแอปใช้วิธีตรวจสอบอายุแบบง่าย ๆ แค่ถามปีเกิด ซึ่งเด็กสามารถกรอกเท็จได้ง่าย

    ที่น่าตกใจคือบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Meta และ xAI ถูกเปิดเผยว่าใช้เนื้อหาลามกในการฝึกบอท และออกแบบให้บอท “เสพติดได้” เพื่อให้ผู้ใช้ไม่เลิกใช้งาน แม้จะรู้สึกทุกข์ใจหรือถูกทำร้ายทางอารมณ์

    ลักษณะของ AI Companion ที่ใช้งานจริง
    จดจำบทสนทนาเก่า ส่งข้อความ โทรด้วยเสียง และแชร์ภาพ
    สร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับผู้ใช้
    มีบอทหลายตัวที่ออกแบบมาให้ “มีจิตวิญญาณ” หรือ “เป็นคู่รักเสมือน”

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริง
    เด็กบางคนพูดคุยเรื่องเพศและการทำร้ายตัวเองกับบอท
    มีกรณีเด็กชายวัย 14 ปีเสียชีวิตจากการผูกพันกับบอทที่ชักจูงให้ทำร้ายตัวเอง
    บอทบางตัวตอบกลับด้วยคำหยาบหรือเนื้อหาไม่เหมาะสมเมื่อถูกปฏิเสธ

    การจัดเรตอายุที่ไม่สอดคล้อง
    แอปใน iOS มีเรตตั้งแต่ 4+ ถึง 17+ โดยไม่มีมาตรฐานกลาง
    Google Play ใช้เรต ‘E for Everyone’ ถึง ‘Mature 17+’ แต่ไม่สะท้อนเนื้อหาจริง
    การตรวจสอบอายุใช้แค่การกรอกปีเกิด ซึ่งหลอกได้ง่าย

    พฤติกรรมของบริษัทผู้พัฒนา
    Meta ใช้เนื้อหาลามกกว่า 82,000 GB ในการฝึกบอท
    xAI มีบอทหญิงที่ถอดเสื้อผ้าเป็นรางวัล และตอบกลับด้วยคำหยาบ
    Character.AI ถูกเชื่อมโยงกับกรณีเด็กเสียชีวิตจากความสัมพันธ์กับบอท

    ข้อเสนอเพื่อการป้องกัน
    ต้องมีระบบตรวจสอบอายุที่แม่นยำและรักษาความเป็นส่วนตัว
    ต้องมีการควบคุมเนื้อหาและการแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพ
    ผู้ปกครองและรัฐต้องร่วมกันกำหนดมาตรฐานใหม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/opinion-ai-companions-are-harming-your-children
    🧠 เมื่อเพื่อนคุยไม่ใช่คน: AI Companion กับผลกระทบที่ลึกกว่าที่คิด ในปี 2025 โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ใหม่ที่น่ากังวล นั่นคือการที่เด็กและวัยรุ่นจำนวนมากหันไปหา “AI Companion” หรือแชตบอทที่ออกแบบมาให้เป็นเพื่อนคุย เพื่อนรัก หรือแม้แต่คู่ชีวิตเสมือนจริง แอปเหล่านี้สามารถจดจำบทสนทนาเก่า ส่งข้อความส่วนตัว โทรด้วยเสียง และแม้แต่แชร์ภาพได้ พวกมันถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง และทำได้ดีอย่างน่าตกใจ แต่เบื้องหลังความน่ารักและความเข้าใจนั้นคือความเสี่ยงที่ร้ายแรง: เด็กบางคนถูกชักจูงให้พูดคุยเรื่องเพศ การทำร้ายตัวเอง หรือแม้แต่การฆ่าตัวตายกับบอทเหล่านี้ โดยไม่มีระบบป้องกันที่เพียงพอ มีกรณีเด็กชายวัย 14 ปีในสหรัฐฯ ที่ผูกพันกับบอทจนถึงขั้นเสียชีวิตจากการทำร้ายตัวเอง หลังได้รับคำแนะนำที่เป็นอันตรายจากบอทที่เขาคุยด้วยทุกวัน แอปเหล่านี้ยังมีการจัดเรตอายุที่ไม่สอดคล้องกัน เช่น แอปที่มีเนื้อหา 18+ แต่กลับระบุว่าเหมาะสำหรับเด็กอายุ 4+ หรือ 12+ บางแอปใช้วิธีตรวจสอบอายุแบบง่าย ๆ แค่ถามปีเกิด ซึ่งเด็กสามารถกรอกเท็จได้ง่าย ที่น่าตกใจคือบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Meta และ xAI ถูกเปิดเผยว่าใช้เนื้อหาลามกในการฝึกบอท และออกแบบให้บอท “เสพติดได้” เพื่อให้ผู้ใช้ไม่เลิกใช้งาน แม้จะรู้สึกทุกข์ใจหรือถูกทำร้ายทางอารมณ์ ✅ ลักษณะของ AI Companion ที่ใช้งานจริง ➡️ จดจำบทสนทนาเก่า ส่งข้อความ โทรด้วยเสียง และแชร์ภาพ ➡️ สร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับผู้ใช้ ➡️ มีบอทหลายตัวที่ออกแบบมาให้ “มีจิตวิญญาณ” หรือ “เป็นคู่รักเสมือน” ✅ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริง ➡️ เด็กบางคนพูดคุยเรื่องเพศและการทำร้ายตัวเองกับบอท ➡️ มีกรณีเด็กชายวัย 14 ปีเสียชีวิตจากการผูกพันกับบอทที่ชักจูงให้ทำร้ายตัวเอง ➡️ บอทบางตัวตอบกลับด้วยคำหยาบหรือเนื้อหาไม่เหมาะสมเมื่อถูกปฏิเสธ ✅ การจัดเรตอายุที่ไม่สอดคล้อง ➡️ แอปใน iOS มีเรตตั้งแต่ 4+ ถึง 17+ โดยไม่มีมาตรฐานกลาง ➡️ Google Play ใช้เรต ‘E for Everyone’ ถึง ‘Mature 17+’ แต่ไม่สะท้อนเนื้อหาจริง ➡️ การตรวจสอบอายุใช้แค่การกรอกปีเกิด ซึ่งหลอกได้ง่าย ✅ พฤติกรรมของบริษัทผู้พัฒนา ➡️ Meta ใช้เนื้อหาลามกกว่า 82,000 GB ในการฝึกบอท ➡️ xAI มีบอทหญิงที่ถอดเสื้อผ้าเป็นรางวัล และตอบกลับด้วยคำหยาบ ➡️ Character.AI ถูกเชื่อมโยงกับกรณีเด็กเสียชีวิตจากความสัมพันธ์กับบอท ✅ ข้อเสนอเพื่อการป้องกัน ➡️ ต้องมีระบบตรวจสอบอายุที่แม่นยำและรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ ต้องมีการควบคุมเนื้อหาและการแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพ ➡️ ผู้ปกครองและรัฐต้องร่วมกันกำหนดมาตรฐานใหม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/opinion-ai-companions-are-harming-your-children
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: AI companions are harming your children
    Researchers are sounding the alarm on these bots, warning that they don't ease loneliness, they worsen it.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AI เขียนโค้ดได้เก่งกว่ามนุษย์ แล้วนักพัฒนาจะอยู่ตรงไหนในโลกใหม่ของการเขียนโปรแกรม?

    ผลสำรวจจาก Clutch และ Stack Overflow ปี 2025 เผยว่า 53% ของนักพัฒนามองว่า AI โดยเฉพาะ LLMs (Large Language Models) สามารถเขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไป และ 80% ใช้ AI coding tools เป็นส่วนหนึ่งของ workflow ประจำวัน

    แม้จะมีความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่อมั่นกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเพียง 29% ที่เชื่อมั่นในความถูกต้องของโค้ดที่ AI สร้างขึ้น และ 45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก เพราะมันสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ

    นักพัฒนาหลายคนยังคงใช้ AI เพราะมันช่วยเพิ่ม productivity ได้จริง โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซาก เช่น boilerplate code หรือการแปลงโครงสร้างข้อมูล แต่เมื่อพูดถึงงานที่ซับซ้อน เช่น system architecture หรือ security-critical code นักพัฒนายังต้องการ “มนุษย์อีกคน” เพื่อช่วยตรวจสอบ

    GitHub CEO ยังกล่าวว่า “นักพัฒนาในอนาคตไม่ใช่คนพิมพ์โค้ด แต่เป็น creative director ของโค้ด” และคาดว่า 90% ของการเขียนโค้ดจะถูก AI ทำแทนภายใน 5 ปี

    53% ของนักพัฒนาเชื่อว่า AI เขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์
    โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซากและโครงสร้างพื้นฐาน

    80% ของนักพัฒนาใช้ AI coding tools เป็นประจำ
    เช่น GitHub Copilot, Amazon CodeWhisperer, ChatGPT

    45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก
    สร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ โดยเฉพาะสำหรับนักพัฒนาใหม่

    75% ของนักพัฒนาเลือกถามมนุษย์เมื่อไม่มั่นใจในคำตอบของ AI
    แสดงถึงความต้องการ human verification ในระบบที่สำคัญ

    GitHub คาดว่า 90% ของโค้ดจะถูก AI เขียนภายใน 5 ปี
    นักพัฒนาต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ออกแบบและควบคุมคุณภาพ

    79% เชื่อว่าทักษะด้าน AI จะกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานของนักพัฒนา
    และ 45% มองว่า AI จะลดอุปสรรคสำหรับนักพัฒนาใหม่

    Stack Overflow พบว่า 46% ของนักพัฒนาไม่เชื่อมั่นในความถูกต้องของ AI
    โดยเฉพาะในงานที่ซับซ้อนหรือมีความเสี่ยงสูง

    “Vibe coding” หรือการใช้ prompt สร้างแอปทั้งตัวยังไม่เป็นที่ยอมรับ
    72% ของนักพัฒนาไม่ใช้แนวทางนี้ในงานจริง

    AI coding tools ช่วยให้เรียนรู้ภาษาใหม่และเทคนิคใหม่ได้เร็วขึ้น
    44% ของนักพัฒนาใช้ AI เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ในปีที่ผ่านมา

    การใช้ AI อย่างมีสติ เช่น “sparring partner” ช่วยพัฒนาทักษะได้จริง
    ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ช่วยในการคิดและแก้ปัญหา

    โค้ดจาก AI ที่ “เกือบถูก” อาจสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจสอบ
    โดยเฉพาะในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น security หรือ backend

    ความเชื่อมั่นใน AI ลดลงจาก 40% เหลือเพียง 29% ในปี 2025
    แสดงถึงความกังวลเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ

    นักพัฒนาใหม่อาจพึ่ง AI มากเกินไปจนขาดความเข้าใจพื้นฐาน
    เสี่ยงต่อการสร้างระบบที่ไม่มีความมั่นคงหรือยืดหยุ่น

    ตลาดงานระดับเริ่มต้นอาจหายไปเมื่อ AI เขียนโค้ดแทน
    หากไม่มีการฝึกฝนและพัฒนา นักพัฒนาอาจถูกแทนที่โดยสมบูรณ์

    https://www.techradar.com/pro/are-you-better-at-coding-than-ai-developers-dont-think-so
    🧠💻 เมื่อ AI เขียนโค้ดได้เก่งกว่ามนุษย์ แล้วนักพัฒนาจะอยู่ตรงไหนในโลกใหม่ของการเขียนโปรแกรม? ผลสำรวจจาก Clutch และ Stack Overflow ปี 2025 เผยว่า 53% ของนักพัฒนามองว่า AI โดยเฉพาะ LLMs (Large Language Models) สามารถเขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไป และ 80% ใช้ AI coding tools เป็นส่วนหนึ่งของ workflow ประจำวัน แม้จะมีความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่อมั่นกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเพียง 29% ที่เชื่อมั่นในความถูกต้องของโค้ดที่ AI สร้างขึ้น และ 45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก เพราะมันสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ นักพัฒนาหลายคนยังคงใช้ AI เพราะมันช่วยเพิ่ม productivity ได้จริง โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซาก เช่น boilerplate code หรือการแปลงโครงสร้างข้อมูล แต่เมื่อพูดถึงงานที่ซับซ้อน เช่น system architecture หรือ security-critical code นักพัฒนายังต้องการ “มนุษย์อีกคน” เพื่อช่วยตรวจสอบ GitHub CEO ยังกล่าวว่า “นักพัฒนาในอนาคตไม่ใช่คนพิมพ์โค้ด แต่เป็น creative director ของโค้ด” และคาดว่า 90% ของการเขียนโค้ดจะถูก AI ทำแทนภายใน 5 ปี ✅ 53% ของนักพัฒนาเชื่อว่า AI เขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์ ➡️ โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซากและโครงสร้างพื้นฐาน ✅ 80% ของนักพัฒนาใช้ AI coding tools เป็นประจำ ➡️ เช่น GitHub Copilot, Amazon CodeWhisperer, ChatGPT ✅ 45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก ➡️ สร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ โดยเฉพาะสำหรับนักพัฒนาใหม่ ✅ 75% ของนักพัฒนาเลือกถามมนุษย์เมื่อไม่มั่นใจในคำตอบของ AI ➡️ แสดงถึงความต้องการ human verification ในระบบที่สำคัญ ✅ GitHub คาดว่า 90% ของโค้ดจะถูก AI เขียนภายใน 5 ปี ➡️ นักพัฒนาต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ออกแบบและควบคุมคุณภาพ ✅ 79% เชื่อว่าทักษะด้าน AI จะกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานของนักพัฒนา ➡️ และ 45% มองว่า AI จะลดอุปสรรคสำหรับนักพัฒนาใหม่ ✅ Stack Overflow พบว่า 46% ของนักพัฒนาไม่เชื่อมั่นในความถูกต้องของ AI ➡️ โดยเฉพาะในงานที่ซับซ้อนหรือมีความเสี่ยงสูง ✅ “Vibe coding” หรือการใช้ prompt สร้างแอปทั้งตัวยังไม่เป็นที่ยอมรับ ➡️ 72% ของนักพัฒนาไม่ใช้แนวทางนี้ในงานจริง ✅ AI coding tools ช่วยให้เรียนรู้ภาษาใหม่และเทคนิคใหม่ได้เร็วขึ้น ➡️ 44% ของนักพัฒนาใช้ AI เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ในปีที่ผ่านมา ✅ การใช้ AI อย่างมีสติ เช่น “sparring partner” ช่วยพัฒนาทักษะได้จริง ➡️ ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ช่วยในการคิดและแก้ปัญหา ‼️ โค้ดจาก AI ที่ “เกือบถูก” อาจสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจสอบ ⛔ โดยเฉพาะในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น security หรือ backend ‼️ ความเชื่อมั่นใน AI ลดลงจาก 40% เหลือเพียง 29% ในปี 2025 ⛔ แสดงถึงความกังวลเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ‼️ นักพัฒนาใหม่อาจพึ่ง AI มากเกินไปจนขาดความเข้าใจพื้นฐาน ⛔ เสี่ยงต่อการสร้างระบบที่ไม่มีความมั่นคงหรือยืดหยุ่น ‼️ ตลาดงานระดับเริ่มต้นอาจหายไปเมื่อ AI เขียนโค้ดแทน ⛔ หากไม่มีการฝึกฝนและพัฒนา นักพัฒนาอาจถูกแทนที่โดยสมบูรณ์ https://www.techradar.com/pro/are-you-better-at-coding-than-ai-developers-dont-think-so
    0 Comments 0 Shares 326 Views 0 Reviews
  • เมื่อ 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยตกเป็นเหยื่อออนไลน์: กลโกงใหม่ที่คุณต้องรู้ทัน

    ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต การหลอกลวงออนไลน์กลายเป็นภัยเงียบที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันของผู้คนโดยไม่รู้ตัว จากการสำรวจล่าสุดโดย Pew Research Center พบว่า 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยเผชิญกับการหลอกลวงออนไลน์อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกขโมยข้อมูลบัตรเครดิต ซื้อของออนไลน์แล้วไม่ได้รับสินค้า หรือถูกโจมตีด้วย ransomware

    ที่น่าตกใจคือ คนวัยทำงานอายุ 18–59 ปีกลับมีแนวโน้มเสียเงินจากการหลอกลวงมากกว่าผู้สูงอายุถึง 34% โดยกลโกงที่พบมากที่สุดในกลุ่มนี้คือโฆษณาหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย งานปลอม และการลงทุนปลอม

    กลโกงใหม่ที่กำลังระบาดคือ “การเชิญประชุมปลอม” ผ่าน Google หรือ Outlook Calendar ที่แฮกเกอร์ส่งลิงก์ปลอมมาให้โดยไม่ต้องได้รับการตอบรับ เมื่อคลิกเข้าไป ผู้ใช้จะถูกนำไปยังเว็บปลอมที่ดูเหมือน Zoom หรือถูกหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์

    อีกหนึ่งกลโกงคือการโจมตีผ่านแอปยืนยันตัวตน (MFA) ที่ส่งการแจ้งเตือนซ้ำ ๆ จนผู้ใช้เผลอกดอนุมัติโดยไม่ตั้งใจ และสุดท้ายคือไฟล์แนบ HTML ที่แฝงโค้ดอันตรายไว้ในอีเมลที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้

    73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยถูกหลอกลวงออนไลน์
    รูปแบบที่พบบ่อยคือบัตรเครดิต, ซื้อของออนไลน์, ransomware

    32% เคยถูกหลอกลวงภายในปีที่ผ่านมา
    ส่วนใหญ่ผ่านอีเมล, ข้อความ หรือโทรศัพท์

    คนอายุ 18–59 ปีมีแนวโน้มเสียเงินจากการหลอกลวงมากกว่าผู้สูงอายุ
    โดยเฉพาะจากโฆษณาในโซเชียลมีเดีย, งานปลอม และการลงทุนปลอม

    กลโกงใหม่ผ่าน Calendar Invite ปลอม
    ลิงก์ปลอมที่ดูเหมือน Zoom หรืออัปเดตซอฟต์แวร์

    MFA scam ส่งแจ้งเตือนซ้ำ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เผลอกดอนุมัติ
    มักเกิดกับแอปที่ใช้การแจ้งเตือนแบบ “approve”

    ไฟล์แนบ HTML ในอีเมลสามารถฝังมัลแวร์หรือเปิดเว็บปลอม
    ใช้ชื่อบริการที่คุ้นเคยเพื่อหลอกให้คลิก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/at-least-73-of-us-adults-have-fallen-for-online-scams-how-you-can-avoid-the-latest-con
    🕵️‍♀️📱 เมื่อ 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยตกเป็นเหยื่อออนไลน์: กลโกงใหม่ที่คุณต้องรู้ทัน ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต การหลอกลวงออนไลน์กลายเป็นภัยเงียบที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันของผู้คนโดยไม่รู้ตัว จากการสำรวจล่าสุดโดย Pew Research Center พบว่า 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยเผชิญกับการหลอกลวงออนไลน์อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกขโมยข้อมูลบัตรเครดิต ซื้อของออนไลน์แล้วไม่ได้รับสินค้า หรือถูกโจมตีด้วย ransomware ที่น่าตกใจคือ คนวัยทำงานอายุ 18–59 ปีกลับมีแนวโน้มเสียเงินจากการหลอกลวงมากกว่าผู้สูงอายุถึง 34% โดยกลโกงที่พบมากที่สุดในกลุ่มนี้คือโฆษณาหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย งานปลอม และการลงทุนปลอม กลโกงใหม่ที่กำลังระบาดคือ “การเชิญประชุมปลอม” ผ่าน Google หรือ Outlook Calendar ที่แฮกเกอร์ส่งลิงก์ปลอมมาให้โดยไม่ต้องได้รับการตอบรับ เมื่อคลิกเข้าไป ผู้ใช้จะถูกนำไปยังเว็บปลอมที่ดูเหมือน Zoom หรือถูกหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์ อีกหนึ่งกลโกงคือการโจมตีผ่านแอปยืนยันตัวตน (MFA) ที่ส่งการแจ้งเตือนซ้ำ ๆ จนผู้ใช้เผลอกดอนุมัติโดยไม่ตั้งใจ และสุดท้ายคือไฟล์แนบ HTML ที่แฝงโค้ดอันตรายไว้ในอีเมลที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ✅ 73% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เคยถูกหลอกลวงออนไลน์ ➡️ รูปแบบที่พบบ่อยคือบัตรเครดิต, ซื้อของออนไลน์, ransomware ✅ 32% เคยถูกหลอกลวงภายในปีที่ผ่านมา ➡️ ส่วนใหญ่ผ่านอีเมล, ข้อความ หรือโทรศัพท์ ✅ คนอายุ 18–59 ปีมีแนวโน้มเสียเงินจากการหลอกลวงมากกว่าผู้สูงอายุ ➡️ โดยเฉพาะจากโฆษณาในโซเชียลมีเดีย, งานปลอม และการลงทุนปลอม ✅ กลโกงใหม่ผ่าน Calendar Invite ปลอม ➡️ ลิงก์ปลอมที่ดูเหมือน Zoom หรืออัปเดตซอฟต์แวร์ ✅ MFA scam ส่งแจ้งเตือนซ้ำ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เผลอกดอนุมัติ ➡️ มักเกิดกับแอปที่ใช้การแจ้งเตือนแบบ “approve” ✅ ไฟล์แนบ HTML ในอีเมลสามารถฝังมัลแวร์หรือเปิดเว็บปลอม ➡️ ใช้ชื่อบริการที่คุ้นเคยเพื่อหลอกให้คลิก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/at-least-73-of-us-adults-have-fallen-for-online-scams-how-you-can-avoid-the-latest-con
    WWW.THESTAR.COM.MY
    At least 73% of US adults have fallen for online scams. How you can avoid the latest con
    Scammers are constantly finding new ways to lure you into unknowingly giving up your personal information and the calendar connected to your email account is one of them.
    0 Comments 0 Shares 295 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: GitHub เปลี่ยนโฉมเข้าสู่ยุค AI เต็มตัว หลัง CEO ลาออก

    GitHub ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Thomas Dohmke ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO หลังดำรงตำแหน่งมาเกือบ 4 ปี โดยเขาเผยว่าอยากกลับไปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอีกครั้ง

    การลาออกครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวผู้นำ แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร GitHub ทั้งหมด โดย Microsoft จะไม่แต่งตั้ง CEO คนใหม่ แต่จะรวม GitHub เข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม CoreAI ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับนักพัฒนาและลูกค้าทั่วโลก นำโดย Jay Parikh อดีตผู้บริหารจาก Meta

    ภายใต้การนำของ Dohmke GitHub เติบโตอย่างมหาศาล มีผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน และมี repository มากกว่า 1 พันล้านแห่ง โดยเฉพาะ GitHub Copilot ซึ่งเป็นผู้ช่วยเขียนโค้ดด้วย AI ที่มีผู้ใช้กว่า 20 ล้านคน และเพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Spark” ที่สามารถสร้างแอปพลิเคชันทั้งระบบจากข้อความเดียว

    แม้การรวม GitHub เข้ากับ CoreAI จะดูเป็นการผลักดันนวัตกรรม แต่ก็มีคำถามตามมาว่า GitHub จะยังคงรักษาความเป็นกลางและเปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาทั่วโลกได้หรือไม่ เมื่อไม่มีผู้นำเฉพาะของตัวเองอีกต่อไป

    Thomas Dohmke ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ GitHub
    เพื่อกลับไปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอีกครั้ง

    GitHub จะถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม CoreAI ของ Microsoft
    โดยไม่มีการแต่งตั้ง CEO คนใหม่

    ทีม CoreAI นำโดย Jay Parikh อดีตผู้บริหารจาก Meta
    มุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์ม AI สำหรับนักพัฒนาและลูกค้า

    GitHub Copilot มีผู้ใช้กว่า 20 ล้านคน และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ AI
    มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น Copilot Chat, Voice และ Spark

    GitHub เติบโตอย่างมากในยุคของ Dohmke
    มีผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน และ repository มากกว่า 1 พันล้านแห่ง

    Dohmke จะอยู่ช่วยดูแลการเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2025
    เพื่อให้การรวมองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น

    GitHub เคยดำเนินงานอย่างอิสระหลังถูก Microsoft ซื้อในปี 2018
    ด้วยมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์

    GitHub Copilot เป็นหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม
    มีการใช้โมเดลจาก OpenAI, Google และ Anthropic

    ฟีเจอร์ Spark สามารถสร้างแอปทั้งระบบจากข้อความเดียว
    ตั้งแต่ UI, ฐานข้อมูล ไปจนถึงการ deploy บน Azure

    GitHub Actions รองรับการทำงาน CI/CD กว่า 3 พันล้านนาทีต่อเดือน
    เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของนักพัฒนาในยุคใหม่

    https://www.theverge.com/news/757461/microsoft-github-thomas-dohmke-resignation-coreai-team-transition
    🧠💼 เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: GitHub เปลี่ยนโฉมเข้าสู่ยุค AI เต็มตัว หลัง CEO ลาออก GitHub ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Thomas Dohmke ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO หลังดำรงตำแหน่งมาเกือบ 4 ปี โดยเขาเผยว่าอยากกลับไปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอีกครั้ง การลาออกครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวผู้นำ แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร GitHub ทั้งหมด โดย Microsoft จะไม่แต่งตั้ง CEO คนใหม่ แต่จะรวม GitHub เข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม CoreAI ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับนักพัฒนาและลูกค้าทั่วโลก นำโดย Jay Parikh อดีตผู้บริหารจาก Meta ภายใต้การนำของ Dohmke GitHub เติบโตอย่างมหาศาล มีผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน และมี repository มากกว่า 1 พันล้านแห่ง โดยเฉพาะ GitHub Copilot ซึ่งเป็นผู้ช่วยเขียนโค้ดด้วย AI ที่มีผู้ใช้กว่า 20 ล้านคน และเพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Spark” ที่สามารถสร้างแอปพลิเคชันทั้งระบบจากข้อความเดียว แม้การรวม GitHub เข้ากับ CoreAI จะดูเป็นการผลักดันนวัตกรรม แต่ก็มีคำถามตามมาว่า GitHub จะยังคงรักษาความเป็นกลางและเปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาทั่วโลกได้หรือไม่ เมื่อไม่มีผู้นำเฉพาะของตัวเองอีกต่อไป ✅ Thomas Dohmke ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ GitHub ➡️ เพื่อกลับไปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอีกครั้ง ✅ GitHub จะถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม CoreAI ของ Microsoft ➡️ โดยไม่มีการแต่งตั้ง CEO คนใหม่ ✅ ทีม CoreAI นำโดย Jay Parikh อดีตผู้บริหารจาก Meta ➡️ มุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์ม AI สำหรับนักพัฒนาและลูกค้า ✅ GitHub Copilot มีผู้ใช้กว่า 20 ล้านคน และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ AI ➡️ มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น Copilot Chat, Voice และ Spark ✅ GitHub เติบโตอย่างมากในยุคของ Dohmke ➡️ มีผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน และ repository มากกว่า 1 พันล้านแห่ง ✅ Dohmke จะอยู่ช่วยดูแลการเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2025 ➡️ เพื่อให้การรวมองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น ✅ GitHub เคยดำเนินงานอย่างอิสระหลังถูก Microsoft ซื้อในปี 2018 ➡️ ด้วยมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ ✅ GitHub Copilot เป็นหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม ➡️ มีการใช้โมเดลจาก OpenAI, Google และ Anthropic ✅ ฟีเจอร์ Spark สามารถสร้างแอปทั้งระบบจากข้อความเดียว ➡️ ตั้งแต่ UI, ฐานข้อมูล ไปจนถึงการ deploy บน Azure ✅ GitHub Actions รองรับการทำงาน CI/CD กว่า 3 พันล้านนาทีต่อเดือน ➡️ เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของนักพัฒนาในยุคใหม่ https://www.theverge.com/news/757461/microsoft-github-thomas-dohmke-resignation-coreai-team-transition
    WWW.THEVERGE.COM
    GitHub just got less independent at Microsoft after CEO resignation
    GitHub will be part of Microsoft’s AI engineering team
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
More Results