• เรื่องเล่าจากโรงเรียนที่ไร้สมาร์ทโฟน

    เมื่อโรงเรียน Cardozo เริ่มใช้มาตรการแบนสมาร์ทโฟนอย่างจริงจังในปี 2025 โดยให้นักเรียนเก็บโทรศัพท์ไว้ในซองแม่เหล็กที่บล็อกสัญญาณอินเทอร์เน็ต บรรยากาศในโรงเรียนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ช่วงพักกลางวันเงียบสงัดเพราะทุกคนก้มหน้าอยู่กับหน้าจอ กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะและการเล่นเกมกระดานที่ครูบริจาคให้

    นักเรียนหลายคนบอกว่าพวกเขาได้ลองเล่นเกมอย่าง Jenga, Scrabble, Chess และ Clue เป็นครั้งแรก และรู้สึกสนุกกับการเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ มากขึ้น ขณะที่ครูและผู้บริหารโรงเรียนรายงานว่าการมีส่วนร่วมในห้องเรียนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นักเรียนมีสมาธิและพูดคุยกันมากขึ้น

    แม้จะมีข้อยกเว้นสำหรับนักเรียนบางกลุ่ม เช่น ผู้พิการหรือผู้เรียนภาษาอังกฤษ แต่โดยรวมแล้วนโยบายนี้ได้รับการตอบรับเชิงบวกจากทั้งครูและนักเรียน แม้จะมีบางคนแอบใช้ “โทรศัพท์สำรอง” หรือพยายามฝ่าฝืนกฎก็ตาม

    บรรยากาศใหม่ในโรงเรียน
    จากความเงียบเหงา กลายเป็นเสียงหัวเราะและการเล่นเกม
    นักเรียนเริ่มอ่านหนังสือจริงมากขึ้น เช่น “Lord of the Flies”
    การพูดคุยและสร้างมิตรภาพเพิ่มขึ้น

    นโยบายแบนสมาร์ทโฟน
    ใช้ซองแม่เหล็กบล็อกสัญญาณอินเทอร์เน็ต
    มีข้อยกเว้นสำหรับบางกลุ่ม เช่น ผู้พิการและผู้เรียนภาษาอังกฤษ
    โรงเรียนอื่นใช้วิธีเก็บในล็อกเกอร์หรือกระเป๋า

    ผลลัพธ์จากการแบน
    89% ของครูรายงานว่าสภาพแวดล้อมดีขึ้น
    76% บอกว่านักเรียนมีส่วนร่วมในบทเรียนมากขึ้น
    นักเรียนต้องทำวิจัยจริงแทนการใช้ AI หรือ Google

    กิจกรรมย้อนยุคกลับมา
    เกมกระดาน, การส่งโน้ต, กล้องโพลารอยด์
    นักเรียนบางคนเริ่มเรียนรู้การดูนาฬิกาแบบเข็ม

    https://gothamist.com/news/ny-smartphone-ban-has-made-lunch-loud-again
    🏫 เรื่องเล่าจากโรงเรียนที่ไร้สมาร์ทโฟน เมื่อโรงเรียน Cardozo เริ่มใช้มาตรการแบนสมาร์ทโฟนอย่างจริงจังในปี 2025 โดยให้นักเรียนเก็บโทรศัพท์ไว้ในซองแม่เหล็กที่บล็อกสัญญาณอินเทอร์เน็ต บรรยากาศในโรงเรียนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ช่วงพักกลางวันเงียบสงัดเพราะทุกคนก้มหน้าอยู่กับหน้าจอ กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะและการเล่นเกมกระดานที่ครูบริจาคให้ นักเรียนหลายคนบอกว่าพวกเขาได้ลองเล่นเกมอย่าง Jenga, Scrabble, Chess และ Clue เป็นครั้งแรก และรู้สึกสนุกกับการเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ มากขึ้น ขณะที่ครูและผู้บริหารโรงเรียนรายงานว่าการมีส่วนร่วมในห้องเรียนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นักเรียนมีสมาธิและพูดคุยกันมากขึ้น แม้จะมีข้อยกเว้นสำหรับนักเรียนบางกลุ่ม เช่น ผู้พิการหรือผู้เรียนภาษาอังกฤษ แต่โดยรวมแล้วนโยบายนี้ได้รับการตอบรับเชิงบวกจากทั้งครูและนักเรียน แม้จะมีบางคนแอบใช้ “โทรศัพท์สำรอง” หรือพยายามฝ่าฝืนกฎก็ตาม ✅ บรรยากาศใหม่ในโรงเรียน ➡️ จากความเงียบเหงา กลายเป็นเสียงหัวเราะและการเล่นเกม ➡️ นักเรียนเริ่มอ่านหนังสือจริงมากขึ้น เช่น “Lord of the Flies” ➡️ การพูดคุยและสร้างมิตรภาพเพิ่มขึ้น ✅ นโยบายแบนสมาร์ทโฟน ➡️ ใช้ซองแม่เหล็กบล็อกสัญญาณอินเทอร์เน็ต ➡️ มีข้อยกเว้นสำหรับบางกลุ่ม เช่น ผู้พิการและผู้เรียนภาษาอังกฤษ ➡️ โรงเรียนอื่นใช้วิธีเก็บในล็อกเกอร์หรือกระเป๋า ✅ ผลลัพธ์จากการแบน ➡️ 89% ของครูรายงานว่าสภาพแวดล้อมดีขึ้น ➡️ 76% บอกว่านักเรียนมีส่วนร่วมในบทเรียนมากขึ้น ➡️ นักเรียนต้องทำวิจัยจริงแทนการใช้ AI หรือ Google ✅ กิจกรรมย้อนยุคกลับมา ➡️ เกมกระดาน, การส่งโน้ต, กล้องโพลารอยด์ ➡️ นักเรียนบางคนเริ่มเรียนรู้การดูนาฬิกาแบบเข็ม https://gothamist.com/news/ny-smartphone-ban-has-made-lunch-loud-again
    GOTHAMIST.COM
    New York school phone ban has made lunch loud again
    Two months into the school year, students say they are adjusting to life without their smart devices. Teachers report more focused pupils.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • “36 USB Ports” บนเมนบอร์ด Intel สุดล้ำ — เชื่อมโลกดิจิทัลหรือฟาร์มบอท?

    ลองจินตนาการถึงเมนบอร์ดที่มี USB มากกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 5 เท่า — นี่คือสิ่งที่ปรากฏในวิดีโอจาก Reddit ซึ่งเผยให้เห็นเมนบอร์ด Intel แบบปรับแต่งพิเศษที่มีถึง 36 พอร์ต USB พร้อมการออกแบบที่ดูเหมือนมาจากโรงงานหรือคลังสินค้า

    ภาพในวิดีโอแสดงให้เห็นเมนบอร์ดหลายตัววางเรียงกันบนถุงพลาสติกกันกระแทก โดยมี RAM และพัดลม CPU ติดตั้งไว้แล้ว จุดเด่นคือแผงพอร์ต USB ที่เรียงกันแน่นขนัด พร้อมชิปควบคุม USB หลายตัว ซึ่งบ่งบอกว่าเมนบอร์ดเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อ งานเฉพาะทาง เช่น การทดสอบอุปกรณ์จำนวนมาก, การทำฟาร์มบอท หรือแม้แต่การขุดคริปโต

    ฟาร์มบอทหรือแล็บทดสอบ? ความเป็นไปได้ที่หลากหลาย
    ผู้ใช้ใน Reddit ตั้งข้อสังเกตว่าเมนบอร์ดเหล่านี้อาจถูกใช้ในฟาร์มบอท ซึ่งต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เพื่อทำงานอัตโนมัติ หรืออาจใช้ในแล็บทดสอบอุปกรณ์ USB จำนวนมากในเวลาเดียวกัน

    นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับเมนบอร์ด Asus H370 Mining Master ที่เคยเปิดตัวพร้อม 20 พอร์ต USB สำหรับการขุดคริปโต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการออกแบบแบบนี้มี รากฐานในอุตสาหกรรมจริง

    ขุมพลังจากยุค Skylake/Kaby Lake
    จากการตรวจสอบซ็อกเก็ตของ CPU พบว่าเป็น LGA 1151 ซึ่งรองรับชิป Intel รุ่น Skylake และ Kaby Lake — ยุคสุดท้ายก่อนที่ AMD จะเริ่มแซงหน้าในตลาด CPU ประสิทธิภาพสูง

    เมนบอร์ด Intel แบบปรับแต่งพิเศษ
    มีพอร์ต USB มากถึง 36 ช่อง
    ติดตั้ง RAM และพัดลม CPU พร้อมใช้งาน
    ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1151 รองรับ Skylake/Kaby Lake

    การใช้งานที่เป็นไปได้
    ฟาร์มบอทที่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก
    แล็บทดสอบอุปกรณ์ USB แบบ mass testing
    การขุดคริปโตแบบใช้ USB riser

    การออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ
    มีชิปควบคุม USB หลายตัวเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ
    ยังมีพื้นที่สำหรับติดตั้ง GPU เพิ่มเติม

    ข้อจำกัดของการใช้งานทั่วไป
    เมนบอร์ดแบบนี้ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปหรือเกมเมอร์
    อาจมีข้อจำกัดด้านการระบายความร้อนและพลังงาน

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    การใช้ในฟาร์มบอทอาจเกี่ยวข้องกับการละเมิดเงื่อนไขการใช้งานของแพลตฟอร์มต่างๆ
    การเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูล

    https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/custom-intel-motherboards-with-a-whopping-36-usb-ports-spotted-online-extravagant-connectivity-offering-fuels-bot-farm-speculation
    🧠🔌 “36 USB Ports” บนเมนบอร์ด Intel สุดล้ำ — เชื่อมโลกดิจิทัลหรือฟาร์มบอท? ลองจินตนาการถึงเมนบอร์ดที่มี USB มากกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 5 เท่า — นี่คือสิ่งที่ปรากฏในวิดีโอจาก Reddit ซึ่งเผยให้เห็นเมนบอร์ด Intel แบบปรับแต่งพิเศษที่มีถึง 36 พอร์ต USB พร้อมการออกแบบที่ดูเหมือนมาจากโรงงานหรือคลังสินค้า ภาพในวิดีโอแสดงให้เห็นเมนบอร์ดหลายตัววางเรียงกันบนถุงพลาสติกกันกระแทก โดยมี RAM และพัดลม CPU ติดตั้งไว้แล้ว จุดเด่นคือแผงพอร์ต USB ที่เรียงกันแน่นขนัด พร้อมชิปควบคุม USB หลายตัว ซึ่งบ่งบอกว่าเมนบอร์ดเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อ งานเฉพาะทาง เช่น การทดสอบอุปกรณ์จำนวนมาก, การทำฟาร์มบอท หรือแม้แต่การขุดคริปโต 🏭 ฟาร์มบอทหรือแล็บทดสอบ? ความเป็นไปได้ที่หลากหลาย ผู้ใช้ใน Reddit ตั้งข้อสังเกตว่าเมนบอร์ดเหล่านี้อาจถูกใช้ในฟาร์มบอท ซึ่งต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เพื่อทำงานอัตโนมัติ หรืออาจใช้ในแล็บทดสอบอุปกรณ์ USB จำนวนมากในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับเมนบอร์ด Asus H370 Mining Master ที่เคยเปิดตัวพร้อม 20 พอร์ต USB สำหรับการขุดคริปโต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการออกแบบแบบนี้มี รากฐานในอุตสาหกรรมจริง 🧬 ขุมพลังจากยุค Skylake/Kaby Lake จากการตรวจสอบซ็อกเก็ตของ CPU พบว่าเป็น LGA 1151 ซึ่งรองรับชิป Intel รุ่น Skylake และ Kaby Lake — ยุคสุดท้ายก่อนที่ AMD จะเริ่มแซงหน้าในตลาด CPU ประสิทธิภาพสูง ✅ เมนบอร์ด Intel แบบปรับแต่งพิเศษ ➡️ มีพอร์ต USB มากถึง 36 ช่อง ➡️ ติดตั้ง RAM และพัดลม CPU พร้อมใช้งาน ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1151 รองรับ Skylake/Kaby Lake ✅ การใช้งานที่เป็นไปได้ ➡️ ฟาร์มบอทที่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก ➡️ แล็บทดสอบอุปกรณ์ USB แบบ mass testing ➡️ การขุดคริปโตแบบใช้ USB riser ✅ การออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ ➡️ มีชิปควบคุม USB หลายตัวเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ ➡️ ยังมีพื้นที่สำหรับติดตั้ง GPU เพิ่มเติม ‼️ ข้อจำกัดของการใช้งานทั่วไป ⛔ เมนบอร์ดแบบนี้ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปหรือเกมเมอร์ ⛔ อาจมีข้อจำกัดด้านการระบายความร้อนและพลังงาน ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ การใช้ในฟาร์มบอทอาจเกี่ยวข้องกับการละเมิดเงื่อนไขการใช้งานของแพลตฟอร์มต่างๆ ⛔ การเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูล https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/custom-intel-motherboards-with-a-whopping-36-usb-ports-spotted-online-extravagant-connectivity-offering-fuels-bot-farm-speculation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สงครามชิป AI ดันราคา DRAM พุ่งทะลุฟ้า แซงราคาทองคำ!"

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะอัปเกรดคอมพิวเตอร์ แต่ราคาหน่วยความจำ (RAM) กลับพุ่งสูงจนต้องคิดหนัก… นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2025 นี้ เมื่อความต้องการชิปหน่วยความจำจากอุตสาหกรรม AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ราคา DRAM เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว — มากกว่าการขึ้นราคาของทองคำเสียอีก!

    บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังหันไปเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูล AI เช่น RDIMM และ HBM แทนที่จะผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงในตลาดค้าปลีก เช่น Corsair Vengeance DDR5 ที่เคยขายในราคา $91 ตอนเดือนกรกฎาคม ตอนนี้พุ่งไปถึง $183 แล้ว!

    นอกจาก DRAM แล้ว NAND Flash และฮาร์ดไดรฟ์ก็โดนผลกระทบเช่นกัน เพราะบริษัท AI รายใหญ่แห่กันเซ็นสัญญาซื้อชิปกับ Samsung และ SK Hynix ล่วงหน้าเป็นเวลานานถึง 4 ปี ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
    เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    สูงกว่าการขึ้นราคาของทองคำในช่วงเวลาเดียวกัน

    ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI เป็นตัวเร่ง
    ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการหน่วยความจำความเร็วสูง เช่น RDIMM และ HBM
    ผู้ผลิตจึงลดการผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    ราคาหน่วยความจำ DDR5 ในตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเท่าตัว
    ตัวอย่างเช่น Corsair Vengeance DDR5 ขึ้นจาก $91 เป็น $183

    แนวโน้มระยะยาว
    ผู้ผลิตเซ็นสัญญาซื้อ DRAM ล่วงหน้ากับ Samsung และ SK Hynix นานถึง 4 ปี
    ราคาสินค้าดิจิทัล เช่น สมาร์ทโฟน และพีซี อาจปรับตัวสูงขึ้นตาม

    คำเตือนสำหรับผู้บริโภคทั่วไป
    อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าเทคโนโลยีที่สูงขึ้นในระยะยาว
    การอัปเกรดคอมพิวเตอร์หรือซื้ออุปกรณ์ใหม่อาจต้องวางแผนล่วงหน้า

    คำเตือนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
    ต้นทุนการผลิตที่ใช้หน่วยความจำอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    ควรพิจารณาการจัดซื้อหรือสต็อกสินค้าให้เหมาะสมกับแนวโน้มตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/dram-prices-surge-171-percent-year-over-year-ai-demand-drives-a-higher-yoy-price-increase-than-gold
    🧠💰 "สงครามชิป AI ดันราคา DRAM พุ่งทะลุฟ้า แซงราคาทองคำ!" ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะอัปเกรดคอมพิวเตอร์ แต่ราคาหน่วยความจำ (RAM) กลับพุ่งสูงจนต้องคิดหนัก… นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2025 นี้ เมื่อความต้องการชิปหน่วยความจำจากอุตสาหกรรม AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ราคา DRAM เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว — มากกว่าการขึ้นราคาของทองคำเสียอีก! บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังหันไปเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูล AI เช่น RDIMM และ HBM แทนที่จะผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงในตลาดค้าปลีก เช่น Corsair Vengeance DDR5 ที่เคยขายในราคา $91 ตอนเดือนกรกฎาคม ตอนนี้พุ่งไปถึง $183 แล้ว! นอกจาก DRAM แล้ว NAND Flash และฮาร์ดไดรฟ์ก็โดนผลกระทบเช่นกัน เพราะบริษัท AI รายใหญ่แห่กันเซ็นสัญญาซื้อชิปกับ Samsung และ SK Hynix ล่วงหน้าเป็นเวลานานถึง 4 ปี ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ➡️ เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ➡️ สูงกว่าการขึ้นราคาของทองคำในช่วงเวลาเดียวกัน ✅ ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI เป็นตัวเร่ง ➡️ ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการหน่วยความจำความเร็วสูง เช่น RDIMM และ HBM ➡️ ผู้ผลิตจึงลดการผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ ราคาหน่วยความจำ DDR5 ในตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเท่าตัว ➡️ ตัวอย่างเช่น Corsair Vengeance DDR5 ขึ้นจาก $91 เป็น $183 ✅ แนวโน้มระยะยาว ➡️ ผู้ผลิตเซ็นสัญญาซื้อ DRAM ล่วงหน้ากับ Samsung และ SK Hynix นานถึง 4 ปี ➡️ ราคาสินค้าดิจิทัล เช่น สมาร์ทโฟน และพีซี อาจปรับตัวสูงขึ้นตาม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ⛔ อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าเทคโนโลยีที่สูงขึ้นในระยะยาว ⛔ การอัปเกรดคอมพิวเตอร์หรือซื้ออุปกรณ์ใหม่อาจต้องวางแผนล่วงหน้า ‼️ คำเตือนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ⛔ ต้นทุนการผลิตที่ใช้หน่วยความจำอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ⛔ ควรพิจารณาการจัดซื้อหรือสต็อกสินค้าให้เหมาะสมกับแนวโน้มตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/dram-prices-surge-171-percent-year-over-year-ai-demand-drives-a-higher-yoy-price-increase-than-gold
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: Exynos 2600 โชว์พลัง! ทำคะแนนเทียบชั้น Apple M5 ในการทดสอบ Geekbench 6

    Samsung กำลังเขย่าวงการชิปมือถือด้วย Exynos 2600 ที่เพิ่งหลุดผลทดสอบจาก Geekbench 6 โดยสามารถทำคะแนนในหมวด single-core ได้ใกล้เคียงกับ Apple M5 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิปที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แม้จะยังเป็นแค่ตัวอย่างทางวิศวกรรม แต่ผลลัพธ์ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการไม่น้อย.

    Exynos 2600 ใช้สถาปัตยกรรม 2nm GAA รุ่นแรกของ Samsung
    ช่วยลดการรั่วไหลของพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ
    ทำให้ประหยัดไฟกว่า Apple A19 Pro ถึง 59% ในการทดสอบ multi-core

    ความเร็วของ CPU ที่โดดเด่น
    Core ที่แรงที่สุดทำงานที่ 4.20GHz
    3 คอร์ประสิทธิภาพที่ 3.56GHz และ 6 คอร์ประหยัดพลังงานที่ 2.76GHz

    คะแนน Geekbench 6 ที่น่าทึ่ง
    Single-core: 4,217 (เพิ่มขึ้น 22% จากรอบก่อน)
    Multi-core: 13,482 (เพิ่มขึ้น 16%)
    เทียบกับ Apple M5: Single-core 4,263 และ Multi-core 17,862

    คาดการณ์เปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2026
    จะได้เห็นประสิทธิภาพจริงเมื่อใช้งานในอุปกรณ์จริง
    อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ Exynos ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง

    https://wccftech.com/exynos-2600-matches-m5-in-geekbench-6-single-core-leak/
    🚀 หัวข้อข่าว: Exynos 2600 โชว์พลัง! ทำคะแนนเทียบชั้น Apple M5 ในการทดสอบ Geekbench 6 Samsung กำลังเขย่าวงการชิปมือถือด้วย Exynos 2600 ที่เพิ่งหลุดผลทดสอบจาก Geekbench 6 โดยสามารถทำคะแนนในหมวด single-core ได้ใกล้เคียงกับ Apple M5 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิปที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แม้จะยังเป็นแค่ตัวอย่างทางวิศวกรรม แต่ผลลัพธ์ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการไม่น้อย. ✅ Exynos 2600 ใช้สถาปัตยกรรม 2nm GAA รุ่นแรกของ Samsung ➡️ ช่วยลดการรั่วไหลของพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ทำให้ประหยัดไฟกว่า Apple A19 Pro ถึง 59% ในการทดสอบ multi-core ✅ ความเร็วของ CPU ที่โดดเด่น ➡️ Core ที่แรงที่สุดทำงานที่ 4.20GHz ➡️ 3 คอร์ประสิทธิภาพที่ 3.56GHz และ 6 คอร์ประหยัดพลังงานที่ 2.76GHz ✅ คะแนน Geekbench 6 ที่น่าทึ่ง ➡️ Single-core: 4,217 (เพิ่มขึ้น 22% จากรอบก่อน) ➡️ Multi-core: 13,482 (เพิ่มขึ้น 16%) ➡️ เทียบกับ Apple M5: Single-core 4,263 และ Multi-core 17,862 ✅ คาดการณ์เปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ จะได้เห็นประสิทธิภาพจริงเมื่อใช้งานในอุปกรณ์จริง ➡️ อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ Exynos ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง https://wccftech.com/exynos-2600-matches-m5-in-geekbench-6-single-core-leak/
    WCCFTECH.COM
    Exynos 2600 Engineering Sample Brings M5 Levels Of Performance In The Latest Single-Core Results, Outpaces Every Other Mobile SoC In New Leak
    A new Geekbench 6 shows that the Exynos 2600 can match Apple’s M5 in single-core test, while beating the A19 Pro, the Snapdragon 8 Elite Gen 5 and Dimensity 9500 in multi-core
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอปฟรีที่ควรมีติดเครื่อง Android เครื่องใหม่ทันที!

    หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ทโฟน Android เครื่องใหม่ หรือกำลังมองหาแอปฟรีที่คุ้มค่าและปลอดภัยในการใช้งาน นี่คือ 5 แอปที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสาระเสริมที่คุณอาจยังไม่รู้!

    Proton VPN: ปลอดภัยไว้ก่อน
    Proton VPN เป็นหนึ่งใน VPN ฟรีที่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะไม่มีโฆษณา ไม่ขายข้อมูล และมีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ
    VPN ฟรีที่ไม่เก็บ log และไม่มีโฆษณา
    ให้ความเร็วและแบนด์วิดธ์ไม่จำกัด
    เหมาะสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะและปลดล็อกคอนเทนต์
    VPN ไม่สามารถทำให้คุณ “นิรนาม” ได้จริง
    หากต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ควรใช้ Tor Browser แทน

    Vivaldi Browser: เบราว์เซอร์ที่เหนือกว่า Chrome
    Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมฟีเจอร์จัดการแท็บและโน้ตที่เหนือชั้น
    รองรับการจัดการแท็บแบบซ้อน, จดโน้ต, ถ่ายภาพหน้าจอเต็มหน้า
    มีระบบซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์
    มีตัวบล็อกโฆษณาในตัวและแปลภาษาอัตโนมัติ
    หากใช้ Chrome อาจเสี่ยงต่อการถูกติดตามพฤติกรรม
    ควรเปลี่ยนมาใช้เบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า

    Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้รอยต่อ
    Blip คือทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่า AirDrop และ Quick Share เพราะรองรับทุกระบบปฏิบัติการ
    ส่งไฟล์ได้ทุกขนาด ข้ามแพลตฟอร์ม Android, iOS, Windows, macOS, Linux
    ไม่ต้องยืนยันการรับไฟล์จากอีกเครื่อง
    รองรับการส่งไฟล์ระยะไกลทั่วโลก
    ไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end
    หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ที่มีข้อมูลอ่อนไหว

    Speedtest by Ookla: ตรวจสอบความเร็วเน็ตแบบมือโปร
    แอปนี้ช่วยให้คุณตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ
    วัดความเร็วดาวน์โหลด/อัปโหลด, ping, jitter และ packet loss
    ใช้งานง่าย แค่กดปุ่ม “Go”
    แอปมีโฆษณาและเก็บข้อมูลผู้ใช้
    หากต้องการความเป็นส่วนตัว ควรใช้ LibreSpeed ผ่านเว็บแทน

    Loop Habit Tracker: ตัวช่วยสร้างนิสัยดีๆ
    แอปติดตามนิสัยที่เรียบง่าย ไม่มีโฆษณา และไม่เก็บข้อมูล
    ใช้งานฟรี 100% พร้อมฟีเจอร์ครบ
    สร้างรายการนิสัย, ตั้งเตือน, ดูสถิติความก้าวหน้า
    ข้อมูลเก็บไว้ในเครื่อง ไม่แชร์ออกภายนอก
    แอปติดตามนิสัยบางตัวอาจบังคับให้สมัครสมาชิก
    ระวังแอปที่เก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://www.slashgear.com/2010815/free-apps-you-should-install-on-any-android-device/
    📱 แอปฟรีที่ควรมีติดเครื่อง Android เครื่องใหม่ทันที! หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ทโฟน Android เครื่องใหม่ หรือกำลังมองหาแอปฟรีที่คุ้มค่าและปลอดภัยในการใช้งาน นี่คือ 5 แอปที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสาระเสริมที่คุณอาจยังไม่รู้! 🛡️ Proton VPN: ปลอดภัยไว้ก่อน Proton VPN เป็นหนึ่งใน VPN ฟรีที่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะไม่มีโฆษณา ไม่ขายข้อมูล และมีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ ✅ VPN ฟรีที่ไม่เก็บ log และไม่มีโฆษณา ➡️ ให้ความเร็วและแบนด์วิดธ์ไม่จำกัด ➡️ เหมาะสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะและปลดล็อกคอนเทนต์ ‼️ VPN ไม่สามารถทำให้คุณ “นิรนาม” ได้จริง ⛔ หากต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ควรใช้ Tor Browser แทน 🌐 Vivaldi Browser: เบราว์เซอร์ที่เหนือกว่า Chrome Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมฟีเจอร์จัดการแท็บและโน้ตที่เหนือชั้น ✅ รองรับการจัดการแท็บแบบซ้อน, จดโน้ต, ถ่ายภาพหน้าจอเต็มหน้า ➡️ มีระบบซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ ➡️ มีตัวบล็อกโฆษณาในตัวและแปลภาษาอัตโนมัติ ‼️ หากใช้ Chrome อาจเสี่ยงต่อการถูกติดตามพฤติกรรม ⛔ ควรเปลี่ยนมาใช้เบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า 📤 Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้รอยต่อ Blip คือทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่า AirDrop และ Quick Share เพราะรองรับทุกระบบปฏิบัติการ ✅ ส่งไฟล์ได้ทุกขนาด ข้ามแพลตฟอร์ม Android, iOS, Windows, macOS, Linux ➡️ ไม่ต้องยืนยันการรับไฟล์จากอีกเครื่อง ➡️ รองรับการส่งไฟล์ระยะไกลทั่วโลก ‼️ ไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ⛔ หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ที่มีข้อมูลอ่อนไหว 📶 Speedtest by Ookla: ตรวจสอบความเร็วเน็ตแบบมือโปร แอปนี้ช่วยให้คุณตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ ✅ วัดความเร็วดาวน์โหลด/อัปโหลด, ping, jitter และ packet loss ➡️ ใช้งานง่าย แค่กดปุ่ม “Go” ‼️ แอปมีโฆษณาและเก็บข้อมูลผู้ใช้ ⛔ หากต้องการความเป็นส่วนตัว ควรใช้ LibreSpeed ผ่านเว็บแทน 📊 Loop Habit Tracker: ตัวช่วยสร้างนิสัยดีๆ แอปติดตามนิสัยที่เรียบง่าย ไม่มีโฆษณา และไม่เก็บข้อมูล ✅ ใช้งานฟรี 100% พร้อมฟีเจอร์ครบ ➡️ สร้างรายการนิสัย, ตั้งเตือน, ดูสถิติความก้าวหน้า ➡️ ข้อมูลเก็บไว้ในเครื่อง ไม่แชร์ออกภายนอก ‼️ แอปติดตามนิสัยบางตัวอาจบังคับให้สมัครสมาชิก ⛔ ระวังแอปที่เก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต https://www.slashgear.com/2010815/free-apps-you-should-install-on-any-android-device/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Free Apps You Should Install ASAP On A New Android Device - SlashGear
    Setting up your Android? Don’t waste time digging through the Play Store. These free apps are the ones actually worth keeping.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • มือดีแฉ! Pixel รุ่นไหนโดน Cellebrite เจาะข้อมูลได้ – GrapheneOS คือเกราะป้องกันที่แท้จริง

    มีการเปิดเผยข้อมูลจากการประชุมลับของ Cellebrite บริษัทที่ผลิตเครื่องมือให้ตำรวจใช้เจาะข้อมูลจากสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะ Pixel ของ Google ซึ่งถูกแฮกเกอร์นามว่า “rogueFed” แอบเข้าร่วมประชุมผ่าน Microsoft Teams และนำข้อมูลมาเผยแพร่บนฟอรั่มของ GrapheneOS.

    Pixel 6 ถึง Pixel 9 เสี่ยงโดนเจาะข้อมูล Cellebrite ระบุว่าสามารถดึงข้อมูลจาก Pixel 6, 7, 8 และ 9 ได้ในทุกสถานะของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นก่อนปลดล็อก (BFU), หลังปลดล็อกครั้งแรก (AFU) หรือแม้แต่ตอนที่เครื่องปลดล็อกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อใช้ระบบปฏิบัติการมาตรฐานจาก Google

    GrapheneOS คือเกราะป้องกันที่เหนือกว่า หาก Pixel เหล่านี้ใช้ GrapheneOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัยและไม่มีบริการจาก Google จะสามารถป้องกันการเจาะข้อมูลได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเวอร์ชันหลังปี 2022 ที่ Cellebrite ไม่สามารถเข้าถึงได้แม้เครื่องจะปลดล็อกแล้วก็ตาม

    eSIM ยังไม่ถูกเจาะ แม้จะเจาะข้อมูลได้บางส่วน แต่ Cellebrite ยังไม่สามารถคัดลอก eSIM จาก Pixel ได้ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้

    Pixel 10 ยังไม่อยู่ในรายการ รุ่นล่าสุดอย่าง Pixel 10 ยังไม่ถูกระบุในตารางของ Cellebrite อาจเพราะยังไม่มีการทดสอบหรือยังไม่รองรับการเจาะข้อมูล

    Pixel 6–9 บนระบบปกติเสี่ยงถูกเจาะข้อมูล
    สามารถถูกดึงข้อมูลได้ในทุกสถานะของเครื่อง

    GrapheneOS ป้องกันการเจาะข้อมูลได้ดีกว่า
    เวอร์ชันหลังปี 2022 ป้องกันได้แม้เครื่องปลดล็อกแล้ว

    ข้อมูลจากการประชุมลับของ Cellebrite ถูกแฉ
    rogueFed แอบเข้าร่วมและเผยแพร่ข้อมูลบนฟอรั่ม

    Pixel 10 ยังไม่ถูกระบุในรายการ
    อาจยังไม่มีการทดสอบหรือยังไม่รองรับการเจาะ

    eSIM ยังไม่สามารถถูกคัดลอกได้
    เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ Pixel

    Pixel ที่ใช้ระบบปฏิบัติการมาตรฐานมีความเสี่ยงสูง
    ข้อมูลสามารถถูกดึงได้แม้ยังไม่ปลดล็อกเครื่อง

    ระบบปลดล็อกแบบ BFU และ AFU ไม่ปลอดภัยพอ
    แม้จะดูปลอดภัย แต่ยังสามารถถูกเจาะได้ในบางกรณี

    การใช้ระบบที่ไม่เน้นความปลอดภัยอาจเปิดช่องให้ถูกละเมิด
    ผู้ใช้ควรพิจารณาเปลี่ยนมาใช้ระบบที่เน้นความปลอดภัยมากขึ้น

    หากคุณใช้ Pixel และห่วงใยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว การเปลี่ยนมาใช้ GrapheneOS อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในยุคที่การเจาะข้อมูลกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นทุกวัน

    https://arstechnica.com/gadgets/2025/10/leaker-reveals-which-pixels-are-vulnerable-to-cellebrite-phone-hacking/
    🔓 มือดีแฉ! Pixel รุ่นไหนโดน Cellebrite เจาะข้อมูลได้ – GrapheneOS คือเกราะป้องกันที่แท้จริง มีการเปิดเผยข้อมูลจากการประชุมลับของ Cellebrite บริษัทที่ผลิตเครื่องมือให้ตำรวจใช้เจาะข้อมูลจากสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะ Pixel ของ Google ซึ่งถูกแฮกเกอร์นามว่า “rogueFed” แอบเข้าร่วมประชุมผ่าน Microsoft Teams และนำข้อมูลมาเผยแพร่บนฟอรั่มของ GrapheneOS. 📱 Pixel 6 ถึง Pixel 9 เสี่ยงโดนเจาะข้อมูล Cellebrite ระบุว่าสามารถดึงข้อมูลจาก Pixel 6, 7, 8 และ 9 ได้ในทุกสถานะของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นก่อนปลดล็อก (BFU), หลังปลดล็อกครั้งแรก (AFU) หรือแม้แต่ตอนที่เครื่องปลดล็อกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อใช้ระบบปฏิบัติการมาตรฐานจาก Google 🛡️ GrapheneOS คือเกราะป้องกันที่เหนือกว่า หาก Pixel เหล่านี้ใช้ GrapheneOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัยและไม่มีบริการจาก Google จะสามารถป้องกันการเจาะข้อมูลได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเวอร์ชันหลังปี 2022 ที่ Cellebrite ไม่สามารถเข้าถึงได้แม้เครื่องจะปลดล็อกแล้วก็ตาม 📶 eSIM ยังไม่ถูกเจาะ แม้จะเจาะข้อมูลได้บางส่วน แต่ Cellebrite ยังไม่สามารถคัดลอก eSIM จาก Pixel ได้ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ 📦 Pixel 10 ยังไม่อยู่ในรายการ รุ่นล่าสุดอย่าง Pixel 10 ยังไม่ถูกระบุในตารางของ Cellebrite อาจเพราะยังไม่มีการทดสอบหรือยังไม่รองรับการเจาะข้อมูล ✅ Pixel 6–9 บนระบบปกติเสี่ยงถูกเจาะข้อมูล ➡️ สามารถถูกดึงข้อมูลได้ในทุกสถานะของเครื่อง ✅ GrapheneOS ป้องกันการเจาะข้อมูลได้ดีกว่า ➡️ เวอร์ชันหลังปี 2022 ป้องกันได้แม้เครื่องปลดล็อกแล้ว ✅ ข้อมูลจากการประชุมลับของ Cellebrite ถูกแฉ ➡️ rogueFed แอบเข้าร่วมและเผยแพร่ข้อมูลบนฟอรั่ม ✅ Pixel 10 ยังไม่ถูกระบุในรายการ ➡️ อาจยังไม่มีการทดสอบหรือยังไม่รองรับการเจาะ ✅ eSIM ยังไม่สามารถถูกคัดลอกได้ ➡️ เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ Pixel ‼️ Pixel ที่ใช้ระบบปฏิบัติการมาตรฐานมีความเสี่ยงสูง ⛔ ข้อมูลสามารถถูกดึงได้แม้ยังไม่ปลดล็อกเครื่อง ‼️ ระบบปลดล็อกแบบ BFU และ AFU ไม่ปลอดภัยพอ ⛔ แม้จะดูปลอดภัย แต่ยังสามารถถูกเจาะได้ในบางกรณี ‼️ การใช้ระบบที่ไม่เน้นความปลอดภัยอาจเปิดช่องให้ถูกละเมิด ⛔ ผู้ใช้ควรพิจารณาเปลี่ยนมาใช้ระบบที่เน้นความปลอดภัยมากขึ้น หากคุณใช้ Pixel และห่วงใยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว การเปลี่ยนมาใช้ GrapheneOS อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในยุคที่การเจาะข้อมูลกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นทุกวัน https://arstechnica.com/gadgets/2025/10/leaker-reveals-which-pixels-are-vulnerable-to-cellebrite-phone-hacking/
    ARSTECHNICA.COM
    Leaker reveals which Pixels are vulnerable to Cellebrite phone hacking
    Cellebrite can apparently extract data from most Pixel phones, unless they’re running GrapheneOS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไม่สามารถปฏิเสธได้": เมื่อการสแกนใบหน้ากลายเป็นข้อบังคับ

    ICE ใช้แอปสแกนใบหน้า Mobile Fortify โดยไม่ให้ประชาชนปฏิเสธได้ แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ข้อมูลจะถูกเก็บนานถึง 15 ปี

    ในเอกสารภายในของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ที่เปิดเผยโดย 404 Media พบว่า Immigration and Customs Enforcement (ICE) ได้ใช้แอปชื่อ Mobile Fortify เพื่อสแกนใบหน้าประชาชนบนท้องถนนเพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมือง โดยไม่มีทางเลือกให้ปฏิเสธ แม้บุคคลนั้นจะเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ตาม

    ภาพใบหน้าที่ถูกสแกนจะถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี โดยไม่สนใจสถานะการเข้าเมืองหรือสัญชาติของบุคคลนั้น ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและการละเมิดข้อมูล

    แอป Mobile Fortify สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของรัฐบาลจำนวนมาก และเปรียบเทียบภาพใบหน้ากับคลังภาพกว่า 200 ล้านภาพ เพื่อดึงข้อมูลเช่น ชื่อ วันเกิด หมายเลขคนเข้าเมือง และคำสั่งเนรเทศ

    นักการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนออกโรงเตือน สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมถึง Bernie Sanders ได้เรียกร้องให้ ICE ยุติการใช้เทคโนโลยีนี้ โดยชี้ว่า ระบบจดจำใบหน้าเหล่านี้มีความลำเอียงและไม่แม่นยำ โดยเฉพาะกับคนผิวสี และอาจนำไปสู่การควบคุมตัวผิดพลาด เช่นกรณีพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกควบคุมตัวนานถึง 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิดพลาด

    การทดสอบโดย National Institute of Standards and Technology ในปี 2024 พบว่า ระบบจดจำใบหน้าให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อภาพมีคุณภาพต่ำ เบลอ หรือถ่ายจากมุมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของภาพที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามจะได้จากสมาร์ทโฟน

    ICE ใช้แอป Mobile Fortify สแกนใบหน้า
    ใช้เพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมืองของบุคคล

    ไม่สามารถปฏิเสธการสแกนได้
    แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

    ข้อมูลใบหน้าถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี
    ไม่สนใจสถานะหรือสัญชาติของบุคคลนั้น

    แอปเข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมาก
    เปรียบเทียบกับภาพกว่า 200 ล้านภาพเพื่อดึงข้อมูลส่วนบุคคล

    นักการเมืองเรียกร้องให้ยุติการใช้
    ชี้ว่าเทคโนโลยีมีความลำเอียงและไม่แม่นยำ

    มีกรณีควบคุมตัวผิดพลาด
    พลเมืองสหรัฐฯ ถูกควบคุมตัว 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิด

    https://www.404media.co/you-cant-refuse-to-be-scanned-by-ices-facial-recognition-app-dhs-document-says/
    🕵️‍♂️ "ไม่สามารถปฏิเสธได้": เมื่อการสแกนใบหน้ากลายเป็นข้อบังคับ ICE ใช้แอปสแกนใบหน้า Mobile Fortify โดยไม่ให้ประชาชนปฏิเสธได้ แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ข้อมูลจะถูกเก็บนานถึง 15 ปี ในเอกสารภายในของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ที่เปิดเผยโดย 404 Media พบว่า Immigration and Customs Enforcement (ICE) ได้ใช้แอปชื่อ Mobile Fortify เพื่อสแกนใบหน้าประชาชนบนท้องถนนเพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมือง โดยไม่มีทางเลือกให้ปฏิเสธ แม้บุคคลนั้นจะเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ตาม 📸 ภาพใบหน้าที่ถูกสแกนจะถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี โดยไม่สนใจสถานะการเข้าเมืองหรือสัญชาติของบุคคลนั้น ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและการละเมิดข้อมูล 📱 แอป Mobile Fortify สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของรัฐบาลจำนวนมาก และเปรียบเทียบภาพใบหน้ากับคลังภาพกว่า 200 ล้านภาพ เพื่อดึงข้อมูลเช่น ชื่อ วันเกิด หมายเลขคนเข้าเมือง และคำสั่งเนรเทศ ⚠️ นักการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนออกโรงเตือน สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมถึง Bernie Sanders ได้เรียกร้องให้ ICE ยุติการใช้เทคโนโลยีนี้ โดยชี้ว่า ระบบจดจำใบหน้าเหล่านี้มีความลำเอียงและไม่แม่นยำ โดยเฉพาะกับคนผิวสี และอาจนำไปสู่การควบคุมตัวผิดพลาด เช่นกรณีพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกควบคุมตัวนานถึง 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิดพลาด 🌫️ การทดสอบโดย National Institute of Standards and Technology ในปี 2024 พบว่า ระบบจดจำใบหน้าให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อภาพมีคุณภาพต่ำ เบลอ หรือถ่ายจากมุมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของภาพที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามจะได้จากสมาร์ทโฟน ✅ ICE ใช้แอป Mobile Fortify สแกนใบหน้า ➡️ ใช้เพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมืองของบุคคล ✅ ไม่สามารถปฏิเสธการสแกนได้ ➡️ แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ✅ ข้อมูลใบหน้าถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี ➡️ ไม่สนใจสถานะหรือสัญชาติของบุคคลนั้น ✅ แอปเข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมาก ➡️ เปรียบเทียบกับภาพกว่า 200 ล้านภาพเพื่อดึงข้อมูลส่วนบุคคล ✅ นักการเมืองเรียกร้องให้ยุติการใช้ ➡️ ชี้ว่าเทคโนโลยีมีความลำเอียงและไม่แม่นยำ ✅ มีกรณีควบคุมตัวผิดพลาด ➡️ พลเมืองสหรัฐฯ ถูกควบคุมตัว 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิด https://www.404media.co/you-cant-refuse-to-be-scanned-by-ices-facial-recognition-app-dhs-document-says/
    WWW.404MEDIA.CO
    You Can't Refuse To Be Scanned by ICE's Facial Recognition App, DHS Document Says
    Photos captured by Mobile Fortify will be stored for 15 years, regardless of immigration or citizenship status, the document says.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD เปิดตัว Sound Wave APU บนสถาปัตยกรรม ARM ผลิตด้วย TSMC 3nm เตรียมลุยตลาดมือถือและ Windows on ARM!

    AMD ก้าวเข้าสู่ตลาด ARM อย่างเป็นทางการด้วย APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 และผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 3nm โดยมีเป้าหมายสำหรับอุปกรณ์พกพา, โน้ตบุ๊ก Windows on ARM และอุปกรณ์ edge AI

    ข้อมูลจาก customs manifest และแหล่งข่าววงในเผยว่า AMD กำลังทดสอบ APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86 ที่ AMD ใช้มานานหลายทศวรรษ โดยผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 3nm N3B ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน Apple M3 และ Snapdragon X Elite

    จุดเด่นของ Sound Wave APU:
    ใช้ ARM64 architecture: เป็นครั้งแรกที่ AMD พัฒนา APU บน ARM แทน x86
    ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B: เทคโนโลยีระดับสูงที่ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีเยี่ยม
    รองรับ Windows on ARM: คาดว่าอาจใช้ในโน้ตบุ๊ก ultrathin หรือ Surface รุ่นใหม่
    มี NPU สำหรับ AI: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ เช่น Copilot และ LLM inference
    อาจมี iGPU Radeon รุ่นใหม่: เพื่อรองรับงานกราฟิกและเกมเบื้องต้น

    การเข้าสู่ตลาด ARM ของ AMD ถือเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มที่ Microsoft และ Qualcomm กำลังผลักดัน Windows on ARM อย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม ultrabook และอุปกรณ์ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ

    นี่คือก้าวสำคัญของ AMD ที่อาจเปลี่ยนโฉมตลาดโน้ตบุ๊กและอุปกรณ์พกพาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และหาก Sound Wave APU ทำได้ดี… เราอาจได้เห็น AMD ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในอนาคตก็เป็นได้.

    รายละเอียดของ Sound Wave APU
    ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86
    ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B node
    รองรับ Windows on ARM และ edge AI
    มี NPU สำหรับงาน AI และ inference
    อาจมี iGPU Radeon สำหรับงานกราฟิกเบื้องต้น

    บริบทของตลาด
    Microsoft ผลักดัน Windows on ARM อย่างจริงจัง
    Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X Elite สำหรับโน้ตบุ๊ก
    Apple ใช้ ARM มานานแล้วใน Mac และ iPad
    AMD ต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันในตลาด ultrathin และ low-power

    คำเตือนจากข่าวนี้
    ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก AMD เกี่ยวกับสเปกเต็มหรือวันเปิดตัว
    การเข้าสู่ตลาด ARM ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem และ driver
    ต้องพิสูจน์ว่า Sound Wave APU จะสู้กับ Apple M3 และ Snapdragon X Elite ได้จริง

    https://www.guru3d.com/story/amd-enters-arm-market-with-sound-wave-apu-built-on-tsmc-3nm-process/
    📱🚀 AMD เปิดตัว Sound Wave APU บนสถาปัตยกรรม ARM ผลิตด้วย TSMC 3nm เตรียมลุยตลาดมือถือและ Windows on ARM! AMD ก้าวเข้าสู่ตลาด ARM อย่างเป็นทางการด้วย APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 และผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 3nm โดยมีเป้าหมายสำหรับอุปกรณ์พกพา, โน้ตบุ๊ก Windows on ARM และอุปกรณ์ edge AI ข้อมูลจาก customs manifest และแหล่งข่าววงในเผยว่า AMD กำลังทดสอบ APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86 ที่ AMD ใช้มานานหลายทศวรรษ โดยผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 3nm N3B ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน Apple M3 และ Snapdragon X Elite จุดเด่นของ Sound Wave APU: 🎗️ ใช้ ARM64 architecture: เป็นครั้งแรกที่ AMD พัฒนา APU บน ARM แทน x86 🎗️ ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B: เทคโนโลยีระดับสูงที่ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีเยี่ยม 🎗️ รองรับ Windows on ARM: คาดว่าอาจใช้ในโน้ตบุ๊ก ultrathin หรือ Surface รุ่นใหม่ 🎗️ มี NPU สำหรับ AI: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ เช่น Copilot และ LLM inference 🎗️ อาจมี iGPU Radeon รุ่นใหม่: เพื่อรองรับงานกราฟิกและเกมเบื้องต้น การเข้าสู่ตลาด ARM ของ AMD ถือเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มที่ Microsoft และ Qualcomm กำลังผลักดัน Windows on ARM อย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม ultrabook และอุปกรณ์ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ นี่คือก้าวสำคัญของ AMD ที่อาจเปลี่ยนโฉมตลาดโน้ตบุ๊กและอุปกรณ์พกพาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และหาก Sound Wave APU ทำได้ดี… เราอาจได้เห็น AMD ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในอนาคตก็เป็นได้. ✅ รายละเอียดของ Sound Wave APU ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86 ➡️ ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B node ➡️ รองรับ Windows on ARM และ edge AI ➡️ มี NPU สำหรับงาน AI และ inference ➡️ อาจมี iGPU Radeon สำหรับงานกราฟิกเบื้องต้น ✅ บริบทของตลาด ➡️ Microsoft ผลักดัน Windows on ARM อย่างจริงจัง ➡️ Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X Elite สำหรับโน้ตบุ๊ก ➡️ Apple ใช้ ARM มานานแล้วใน Mac และ iPad ➡️ AMD ต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันในตลาด ultrathin และ low-power ‼️ คำเตือนจากข่าวนี้ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก AMD เกี่ยวกับสเปกเต็มหรือวันเปิดตัว ⛔ การเข้าสู่ตลาด ARM ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem และ driver ⛔ ต้องพิสูจน์ว่า Sound Wave APU จะสู้กับ Apple M3 และ Snapdragon X Elite ได้จริง https://www.guru3d.com/story/amd-enters-arm-market-with-sound-wave-apu-built-on-tsmc-3nm-process/
    WWW.GURU3D.COM
    AMD Could Enter ARM Market with Sound Wave APU Built on TSMC 3nm Process
    AMD is expanding its processor portfolio beyond the x86 architecture with its first ARM-based APU, internally known as “Sound Wave. ” The chip’s existence was uncovered through customs import records, confirming several details about its design and purpose.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • Lock Glimpse: ฟีเจอร์ใหม่จาก Nothing ที่เปลี่ยนหน้าจอล็อกให้กลายเป็นพื้นที่โฆษณา (แบบแนบเนียน)

    Nothing เปิดตัวฟีเจอร์ “Lock Glimpse” บนสมาร์ทโฟนรุ่น 3a และ 3a Lite ซึ่งแสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความภายนอกที่มีโฆษณาแฝง แม้จะไม่ใช่โฆษณาเต็มจอแบบตรง ๆ แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและคุณภาพของเนื้อหา

    ฟีเจอร์ Lock Glimpse ของ Nothing ทำงานโดยแสดงวอลเปเปอร์แบบหมุนเวียนบนหน้าจอล็อก พร้อมลิงก์เล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพ เช่น สูตรอาหารหรือบทความ DIY หากผู้ใช้แตะลิงก์นั้น จะถูกนำไปยังหน้าเว็บที่เต็มไปด้วยโฆษณา ซึ่งหลายบทความถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจสร้างโดย AI และไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน

    บริษัทที่อยู่เบื้องหลังเนื้อหาเหล่านี้ชื่อว่า Vilykke ซึ่งไม่มีเว็บไซต์หลักหรือข้อมูลสาธารณะที่ตรวจสอบได้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Nothing กำลังร่วมมือกับ “ฟาร์มคลิกเบต” เพื่อสร้างรายได้จากการแสดงโฆษณาโดยไม่แจ้งผู้ใช้อย่างชัดเจน

    Nothing ชี้แจงว่า Lock Glimpse มีจุดประสงค์เพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” โดยนำเสนอ “เนื้อหาที่มีประโยชน์และทันเวลา” และไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นเฉพาะในรุ่น 3a Lite และสามารถปิดได้ใน Settings

    รายละเอียดของ Lock Glimpse
    แสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความ
    บทความมีโฆษณาแฝง และอาจสร้างโดย AI
    ฟีเจอร์เปิดโดยค่าเริ่มต้นในรุ่น 3a Lite
    ปิดได้ใน Settings หรือปัดซ้ายจากหน้าจอล็อก

    คำชี้แจงจาก Nothing
    ไม่มีการเก็บหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว
    ฟีเจอร์ออกแบบมาเพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” ไม่ใช่รบกวน
    อ้างว่าเนื้อหาคัดสรรจากหมวดหมู่ที่ผู้ใช้เลือกได้

    บริบทของอุตสาหกรรม
    Motorola, Samsung, Xiaomi เคยใช้ฟีเจอร์คล้ายกันชื่อ Glance
    Nothing อาจร่วมมือกับบริษัท Bouyan จากฮ่องกง
    การแสดงโฆษณาบนหน้าจอล็อกเริ่มกลายเป็นแนวโน้มในสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

    คำเตือนจากข่าวนี้
    บทความที่แสดงอาจไม่มีคุณภาพหรือแหล่งอ้างอิง
    ผู้ใช้บางคนอาจไม่รู้ว่ากำลังดูโฆษณา
    ความโปร่งใสของ Nothing ถูกตั้งคำถาม
    ฟีเจอร์นี้อาจขัดกับภาพลักษณ์ “UX สะอาด” ที่ Nothing เคยโปรโมต

    https://www.techradar.com/phones/nothing-phones/watch-out-lock-screen-ads-are-coming-to-smartphones-and-nothings-are-the-strangest-ones-yet
    📱🔒 Lock Glimpse: ฟีเจอร์ใหม่จาก Nothing ที่เปลี่ยนหน้าจอล็อกให้กลายเป็นพื้นที่โฆษณา (แบบแนบเนียน) Nothing เปิดตัวฟีเจอร์ “Lock Glimpse” บนสมาร์ทโฟนรุ่น 3a และ 3a Lite ซึ่งแสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความภายนอกที่มีโฆษณาแฝง แม้จะไม่ใช่โฆษณาเต็มจอแบบตรง ๆ แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและคุณภาพของเนื้อหา ฟีเจอร์ Lock Glimpse ของ Nothing ทำงานโดยแสดงวอลเปเปอร์แบบหมุนเวียนบนหน้าจอล็อก พร้อมลิงก์เล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพ เช่น สูตรอาหารหรือบทความ DIY หากผู้ใช้แตะลิงก์นั้น จะถูกนำไปยังหน้าเว็บที่เต็มไปด้วยโฆษณา ซึ่งหลายบทความถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจสร้างโดย AI และไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน บริษัทที่อยู่เบื้องหลังเนื้อหาเหล่านี้ชื่อว่า Vilykke ซึ่งไม่มีเว็บไซต์หลักหรือข้อมูลสาธารณะที่ตรวจสอบได้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Nothing กำลังร่วมมือกับ “ฟาร์มคลิกเบต” เพื่อสร้างรายได้จากการแสดงโฆษณาโดยไม่แจ้งผู้ใช้อย่างชัดเจน Nothing ชี้แจงว่า Lock Glimpse มีจุดประสงค์เพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” โดยนำเสนอ “เนื้อหาที่มีประโยชน์และทันเวลา” และไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นเฉพาะในรุ่น 3a Lite และสามารถปิดได้ใน Settings ✅ รายละเอียดของ Lock Glimpse ➡️ แสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความ ➡️ บทความมีโฆษณาแฝง และอาจสร้างโดย AI ➡️ ฟีเจอร์เปิดโดยค่าเริ่มต้นในรุ่น 3a Lite ➡️ ปิดได้ใน Settings หรือปัดซ้ายจากหน้าจอล็อก ✅ คำชี้แจงจาก Nothing ➡️ ไม่มีการเก็บหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว ➡️ ฟีเจอร์ออกแบบมาเพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” ไม่ใช่รบกวน ➡️ อ้างว่าเนื้อหาคัดสรรจากหมวดหมู่ที่ผู้ใช้เลือกได้ ✅ บริบทของอุตสาหกรรม ➡️ Motorola, Samsung, Xiaomi เคยใช้ฟีเจอร์คล้ายกันชื่อ Glance ➡️ Nothing อาจร่วมมือกับบริษัท Bouyan จากฮ่องกง ➡️ การแสดงโฆษณาบนหน้าจอล็อกเริ่มกลายเป็นแนวโน้มในสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ‼️ คำเตือนจากข่าวนี้ ⛔ บทความที่แสดงอาจไม่มีคุณภาพหรือแหล่งอ้างอิง ⛔ ผู้ใช้บางคนอาจไม่รู้ว่ากำลังดูโฆษณา ⛔ ความโปร่งใสของ Nothing ถูกตั้งคำถาม ⛔ ฟีเจอร์นี้อาจขัดกับภาพลักษณ์ “UX สะอาด” ที่ Nothing เคยโปรโมต https://www.techradar.com/phones/nothing-phones/watch-out-lock-screen-ads-are-coming-to-smartphones-and-nothings-are-the-strangest-ones-yet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung Galaxy Tri-Fold โผล่ตัวจริงครั้งแรก! มือถือพับสามทบที่อาจเปลี่ยนอนาคตสมาร์ทโฟน

    Samsung ได้เผยโฉมมือถือพับสามทบรุ่นแรกในงาน K-Tech Showcase ที่เกาหลีใต้ โดยนำเครื่องต้นแบบมาโชว์ในตู้กระจกให้เห็นทั้งตอนพับและกางออก แม้ยังไม่มีใครได้สัมผัสตัวจริง แต่ภาพที่หลุดออกมาให้เห็นดีไซน์ชัดเจน และอาจเปิดตัวเต็มรูปแบบในช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นพฤศจิกายนนี้

    รายละเอียดของ Galaxy Tri-Fold
    หน้าจอด้านนอกขนาดประมาณ 6.5 นิ้ว
    เมื่อกางออกเต็มที่ หน้าจอขยายได้ถึง 10 นิ้ว — ใช้งานได้ทั้งแบบมือถือและแท็บเล็ต
    เป็นการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ของ Samsung หลังจาก Fold และ Flip
    มีภาพเรนเดอร์หลุดจาก @UniverseIce ที่เผยให้เห็นหน้าจอภายในแบบละเอียด
    คาดว่าจะวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียเท่านั้นในช่วงแรก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Samsung โชว์ Galaxy Tri-Fold ครั้งแรกในงาน K-Tech Showcase
    เครื่องต้นแบบถูกจัดแสดงในตู้กระจก ไม่สามารถสัมผัสได้
    หน้าจอภายนอก 6.5 นิ้ว และขยายได้ถึง 10 นิ้วเมื่อกางออก
    ภาพเรนเดอร์จากแหล่งข่าวหลุดเผยดีไซน์ภายใน
    คาดว่าจะเปิดตัวเต็มรูปแบบในวันที่ 31 ตุลาคมหรือ 1 พฤศจิกายน
    อาจวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียช่วงแรก

    ความสำคัญของการเปิดตัว
    เป็นมือถือพับสามทบรุ่นแรกของ Samsung
    สะท้อนการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟน
    หากได้รับความนิยม อาจมีการอัปเดตรุ่นใหม่ทุกปี

    คำเตือนสำหรับผู้ที่สนใจ
    ยังไม่มีข้อมูลสเปกภายในหรือฟีเจอร์อย่างเป็นทางการ
    ไม่สามารถทดลองใช้งานจริงได้ในงาน
    การวางจำหน่ายอาจจำกัดเฉพาะบางประเทศในช่วงแรก

    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/the-samsung-galaxy-tri-fold-just-got-officially-shown-off
    📱🔺 Samsung Galaxy Tri-Fold โผล่ตัวจริงครั้งแรก! มือถือพับสามทบที่อาจเปลี่ยนอนาคตสมาร์ทโฟน Samsung ได้เผยโฉมมือถือพับสามทบรุ่นแรกในงาน K-Tech Showcase ที่เกาหลีใต้ โดยนำเครื่องต้นแบบมาโชว์ในตู้กระจกให้เห็นทั้งตอนพับและกางออก แม้ยังไม่มีใครได้สัมผัสตัวจริง แต่ภาพที่หลุดออกมาให้เห็นดีไซน์ชัดเจน และอาจเปิดตัวเต็มรูปแบบในช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นพฤศจิกายนนี้ 🔍 รายละเอียดของ Galaxy Tri-Fold 💠 หน้าจอด้านนอกขนาดประมาณ 6.5 นิ้ว 💠 เมื่อกางออกเต็มที่ หน้าจอขยายได้ถึง 10 นิ้ว — ใช้งานได้ทั้งแบบมือถือและแท็บเล็ต 💠 เป็นการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ของ Samsung หลังจาก Fold และ Flip 💠 มีภาพเรนเดอร์หลุดจาก @UniverseIce ที่เผยให้เห็นหน้าจอภายในแบบละเอียด 💠 คาดว่าจะวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียเท่านั้นในช่วงแรก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Samsung โชว์ Galaxy Tri-Fold ครั้งแรกในงาน K-Tech Showcase ➡️ เครื่องต้นแบบถูกจัดแสดงในตู้กระจก ไม่สามารถสัมผัสได้ ➡️ หน้าจอภายนอก 6.5 นิ้ว และขยายได้ถึง 10 นิ้วเมื่อกางออก ➡️ ภาพเรนเดอร์จากแหล่งข่าวหลุดเผยดีไซน์ภายใน ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวเต็มรูปแบบในวันที่ 31 ตุลาคมหรือ 1 พฤศจิกายน ➡️ อาจวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียช่วงแรก ✅ ความสำคัญของการเปิดตัว ➡️ เป็นมือถือพับสามทบรุ่นแรกของ Samsung ➡️ สะท้อนการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟน ➡️ หากได้รับความนิยม อาจมีการอัปเดตรุ่นใหม่ทุกปี ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่สนใจ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลสเปกภายในหรือฟีเจอร์อย่างเป็นทางการ ⛔ ไม่สามารถทดลองใช้งานจริงได้ในงาน ⛔ การวางจำหน่ายอาจจำกัดเฉพาะบางประเทศในช่วงแรก https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/the-samsung-galaxy-tri-fold-just-got-officially-shown-off
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • RedMagic 11 Pro – สมาร์ทโฟนเกมมิ่งเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว

    ถ้าคุณเป็นสายเกมมือถือที่กำลังมองหาเครื่องแรงๆ RedMagic 11 Pro อาจเป็นคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันมาพร้อมกับชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แถมยังมีชิปกราฟิกเฉพาะ RedCore R4 ที่ช่วยให้ภาพลื่นไหลไม่มีสะดุด

    แต่ไฮไลต์เด็ดจริงๆ คือระบบระบายความร้อน “AquaCore” ที่ใช้ของเหลวหมุนเวียนผ่านท่อใสด้านหลังเครื่อง พร้อมพัดลมหมุนเร็วถึง 24,000 รอบต่อนาที! นี่ไม่ใช่แค่เท่ แต่ช่วยให้เครื่องไม่ร้อนแม้เล่นเกมหนักๆ ต่อเนื่องหลายชั่วโมง

    แม้จะอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี แต่ตัวเครื่องยังบางเพียง 8.9 มม. และหนักแค่ 230 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,500mAh ที่เล่นเกมได้ต่อเนื่องถึง 13 ชั่วโมง

    หน้าจอก็ไม่ธรรมดา เป็น AMOLED รีเฟรชเรต 144Hz ความละเอียด 1.5K (2,688 x 1,216 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี “ใต้หน้าจอ” และ “ถนอมสายตา” สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง

    จุดเด่นของ RedMagic 11 Pro
    เปิดตัวในสหรัฐฯ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2025
    ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 + RedCore R4
    ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว + พัดลม 24,000rpm
    แบตเตอรี่ 7,500mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง
    หน้าจอ AMOLED 144Hz ความละเอียด 1.5K
    ดีไซน์บาง 8.9 มม. น้ำหนัก 230 กรัม

    ความแตกต่างจากรุ่นจีน
    รุ่นจีนมี 2 แบบ: Pro (80W) และ Pro+ (120W)
    รุ่น Global ลดแบตจาก 8,000mAh เหลือ 7,500mAh
    ยังไม่ยืนยันว่าจะวางขายรุ่น Pro+ ทั่วโลกหรือไม่

    ราคาโดยประมาณ
    รุ่น 12GB RAM + 256GB ราคา ~ $700
    รุ่น 16GB RAM + 512GB ราคา ~ $800
    รุ่น Pro+ (เฉพาะจีน) มีถึง 24GB RAM + 1TB ราคาเกิน $1,000

    https://www.slashgear.com/2003821/redmagic-11-pro-liquid-cooled-smartphone-details/
    📱 RedMagic 11 Pro – สมาร์ทโฟนเกมมิ่งเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ถ้าคุณเป็นสายเกมมือถือที่กำลังมองหาเครื่องแรงๆ RedMagic 11 Pro อาจเป็นคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันมาพร้อมกับชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แถมยังมีชิปกราฟิกเฉพาะ RedCore R4 ที่ช่วยให้ภาพลื่นไหลไม่มีสะดุด แต่ไฮไลต์เด็ดจริงๆ คือระบบระบายความร้อน “AquaCore” ที่ใช้ของเหลวหมุนเวียนผ่านท่อใสด้านหลังเครื่อง พร้อมพัดลมหมุนเร็วถึง 24,000 รอบต่อนาที! นี่ไม่ใช่แค่เท่ แต่ช่วยให้เครื่องไม่ร้อนแม้เล่นเกมหนักๆ ต่อเนื่องหลายชั่วโมง แม้จะอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี แต่ตัวเครื่องยังบางเพียง 8.9 มม. และหนักแค่ 230 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,500mAh ที่เล่นเกมได้ต่อเนื่องถึง 13 ชั่วโมง หน้าจอก็ไม่ธรรมดา เป็น AMOLED รีเฟรชเรต 144Hz ความละเอียด 1.5K (2,688 x 1,216 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี “ใต้หน้าจอ” และ “ถนอมสายตา” สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง ✅ จุดเด่นของ RedMagic 11 Pro ➡️ เปิดตัวในสหรัฐฯ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 + RedCore R4 ➡️ ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว + พัดลม 24,000rpm ➡️ แบตเตอรี่ 7,500mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง ➡️ หน้าจอ AMOLED 144Hz ความละเอียด 1.5K ➡️ ดีไซน์บาง 8.9 มม. น้ำหนัก 230 กรัม ✅ ความแตกต่างจากรุ่นจีน ➡️ รุ่นจีนมี 2 แบบ: Pro (80W) และ Pro+ (120W) ➡️ รุ่น Global ลดแบตจาก 8,000mAh เหลือ 7,500mAh ➡️ ยังไม่ยืนยันว่าจะวางขายรุ่น Pro+ ทั่วโลกหรือไม่ ✅ ราคาโดยประมาณ ➡️ รุ่น 12GB RAM + 256GB ราคา ~ $700 ➡️ รุ่น 16GB RAM + 512GB ราคา ~ $800 ➡️ รุ่น Pro+ (เฉพาะจีน) มีถึง 24GB RAM + 1TB ราคาเกิน $1,000 https://www.slashgear.com/2003821/redmagic-11-pro-liquid-cooled-smartphone-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The World's First Liquid-Cooled Smartphone Is About To Hit The Market - SlashGear
    RedMagic is coming out with a new smartphone with a liquid-cooled processor, enabling the Snapdragon 8 Gen 5 chip to run even harder for optimal gaming.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้า iPhone Air ใช้แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน อาจไม่ล้มเหลว – เทคโนโลยีที่จีนใช้แล้ว แต่ Apple ยังลังเล

    Apple เปิดตัว iPhone Air ด้วยดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. แต่กลับมาพร้อมแบตเตอรี่ที่เล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 คือ 3,149mAh ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายตกต่ำจนบริษัทต้องลดการผลิตลงถึง 80% ตามรายงานของ Ming-Chi Kuo แม้จะมีความบางที่โดดเด่น แต่ผู้ใช้กลับไม่พอใจเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดเร็ว

    บทความชี้ว่า Apple สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ หากเลือกใช้แบตเตอรี่แบบซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ซึ่งมีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยใช้แอโนดที่ทำจากวัสดุผสมซิลิคอนและคาร์บอนแบบนาโน แม้จะมีข้อเสียเรื่องการขยายตัวเมื่อชาร์จเต็ม แต่เทคโนโลยีใหม่สามารถลดผลกระทบนี้ได้มาก

    หลายแบรนด์จีน เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ได้เริ่มใช้แบตเตอรี่ Si-C แล้วในสมาร์ทโฟนรุ่นบางเฉียบ เช่น HONOR Magic V5 ที่บางเพียง 4.1 มม. แต่ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,160mAh ได้ เทียบกับ iPhone Air ที่บางกว่า Tecno Pova Slim 5G เพียง 6% แต่แบตเตอรี่เล็กกว่าถึง 39%

    แม้ Apple จะกังวลเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ Si-C ที่อาจเสื่อมภายใน 2–3 ปี แต่การเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กเพื่อรักษาความบาง กลับทำให้ iPhone Air ถูกมองว่า “สวยแต่ไร้สาระ” และยอดขายที่ตกต่ำก็สะท้อนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด

    จุดอ่อนของ iPhone Air
    ดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม.
    ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 (3,149mAh)
    ยอดขายตกต่ำจน Apple ต้องลดการผลิตลง 80%

    ข้อเสนอทางเลือก: แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C)
    มีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนถึง 10 เท่า
    ใช้แอโนดแบบนาโนซิลิคอน-คาร์บอน
    ลดปัญหาการขยายตัวด้วยโครงสร้างคาร์บอนที่ทนต่อการแตกร้าว
    แบรนด์จีนหลายรายเริ่มใช้แล้ว เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno

    การเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนจีน
    HONOR Magic V5 บางเพียง 4.1 มม. แต่ใส่แบต 5,160mAh ได้
    Tecno Pova Slim 5G หนา 5.95 มม. ใส่แบต 5,160mAh
    iPhone Air บางกว่า Tecno 6% แต่แบตเล็กกว่าถึง 39%

    https://wccftech.com/a-silicon-carbon-battery-could-have-rescued-the-iphone-air/
    🔋 ถ้า iPhone Air ใช้แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน อาจไม่ล้มเหลว – เทคโนโลยีที่จีนใช้แล้ว แต่ Apple ยังลังเล Apple เปิดตัว iPhone Air ด้วยดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. แต่กลับมาพร้อมแบตเตอรี่ที่เล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 คือ 3,149mAh ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายตกต่ำจนบริษัทต้องลดการผลิตลงถึง 80% ตามรายงานของ Ming-Chi Kuo แม้จะมีความบางที่โดดเด่น แต่ผู้ใช้กลับไม่พอใจเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดเร็ว บทความชี้ว่า Apple สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ หากเลือกใช้แบตเตอรี่แบบซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ซึ่งมีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยใช้แอโนดที่ทำจากวัสดุผสมซิลิคอนและคาร์บอนแบบนาโน แม้จะมีข้อเสียเรื่องการขยายตัวเมื่อชาร์จเต็ม แต่เทคโนโลยีใหม่สามารถลดผลกระทบนี้ได้มาก หลายแบรนด์จีน เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ได้เริ่มใช้แบตเตอรี่ Si-C แล้วในสมาร์ทโฟนรุ่นบางเฉียบ เช่น HONOR Magic V5 ที่บางเพียง 4.1 มม. แต่ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,160mAh ได้ เทียบกับ iPhone Air ที่บางกว่า Tecno Pova Slim 5G เพียง 6% แต่แบตเตอรี่เล็กกว่าถึง 39% แม้ Apple จะกังวลเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ Si-C ที่อาจเสื่อมภายใน 2–3 ปี แต่การเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กเพื่อรักษาความบาง กลับทำให้ iPhone Air ถูกมองว่า “สวยแต่ไร้สาระ” และยอดขายที่ตกต่ำก็สะท้อนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด ✅ จุดอ่อนของ iPhone Air ➡️ ดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. ➡️ ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 (3,149mAh) ➡️ ยอดขายตกต่ำจน Apple ต้องลดการผลิตลง 80% ✅ ข้อเสนอทางเลือก: แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ➡️ มีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนถึง 10 เท่า ➡️ ใช้แอโนดแบบนาโนซิลิคอน-คาร์บอน ➡️ ลดปัญหาการขยายตัวด้วยโครงสร้างคาร์บอนที่ทนต่อการแตกร้าว ➡️ แบรนด์จีนหลายรายเริ่มใช้แล้ว เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ✅ การเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนจีน ➡️ HONOR Magic V5 บางเพียง 4.1 มม. แต่ใส่แบต 5,160mAh ได้ ➡️ Tecno Pova Slim 5G หนา 5.95 มม. ใส่แบต 5,160mAh ➡️ iPhone Air บางกว่า Tecno 6% แต่แบตเล็กกว่าถึง 39% https://wccftech.com/a-silicon-carbon-battery-could-have-rescued-the-iphone-air/
    WCCFTECH.COM
    A Silicon-Carbon Battery Could Have Rescued The iPhone Air
    No one ever said, "Geez, my iPhone is too fat; Apple better give me a razor-thin phone next time." Yes, I'm talking about the iPhone Air.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple และ SpaceX อาจจับมือกัน – สัญญาณเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม Starlink ใกล้เป็นจริง

    ดูเหมือนว่า Apple และ SpaceX กำลังเข้าใกล้การร่วมมือกันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเป้าหมายคือการนำเครือข่ายดาวเทียม Starlink มาให้บริการกับ iPhone โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อได้แม้อยู่ในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือหรือ Wi-Fi

    ปัจจุบัน Apple ใช้บริการจาก Globalstar สำหรับฟีเจอร์ Emergency SOS แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทเริ่มห่างเหิน โดย Globalstar กำลังพิจารณาขายกิจการ และแม้ Apple จะลงทุนไปกว่า $2 พันล้าน ก็ยังไม่ต้องการซื้อกิจการเพราะไม่อยากถูกจัดเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย

    ในขณะเดียวกัน SpaceX ได้ออกแบบดาวเทียม Starlink รุ่นใหม่ให้รองรับคลื่นความถี่ที่ iPhone ใช้ และยังซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar มูลค่า $17 พันล้าน เพื่อเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อฝังระบบเชื่อมต่อดาวเทียมลงในสมาร์ทโฟนโดยตรง

    แม้จะมีอุปสรรค เช่น ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Tim Cook รวมถึงข้อเสนอเดิมที่ Apple ปฏิเสธไปในปี 2022 แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดบ่งชี้ว่าความร่วมมือครั้งนี้อาจเกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้

    ความเคลื่อนไหวของ Apple และ SpaceX
    อาจร่วมมือกันให้บริการเชื่อมต่อ iPhone ผ่านเครือข่าย Starlink
    ดาวเทียมรุ่นใหม่ของ SpaceX รองรับคลื่นความถี่ของ iPhone
    SpaceX ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar มูลค่า $17 พันล้าน
    กำลังร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อฝังระบบเชื่อมต่อดาวเทียมในสมาร์ทโฟน

    สถานการณ์ของ Globalstar
    ปัจจุบันให้บริการ Emergency SOS บน iPhone
    Apple ลงทุนกว่า $2 พันล้าน แต่ไม่ต้องการซื้อกิจการ
    Globalstar อาจขายกิจการในราคาเกิน $10 พันล้าน
    ความสัมพันธ์กับ Apple เริ่มห่างเหิน

    อุปสรรคที่อาจขัดขวางความร่วมมือ
    ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Tim Cook
    Apple เคยปฏิเสธข้อเสนอของ Musk ในปี 2022
    Musk เคยเสนอให้ SpaceX เป็นผู้ให้บริการดาวเทียมแต่เพียงผู้เดียว พร้อมเรียกเงินล่วงหน้า $5 พันล้าน

    https://wccftech.com/tantalizing-signs-of-a-possible-tie-up-between-apple-and-spacex/
    📡 Apple และ SpaceX อาจจับมือกัน – สัญญาณเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม Starlink ใกล้เป็นจริง ดูเหมือนว่า Apple และ SpaceX กำลังเข้าใกล้การร่วมมือกันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเป้าหมายคือการนำเครือข่ายดาวเทียม Starlink มาให้บริการกับ iPhone โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อได้แม้อยู่ในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือหรือ Wi-Fi ปัจจุบัน Apple ใช้บริการจาก Globalstar สำหรับฟีเจอร์ Emergency SOS แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทเริ่มห่างเหิน โดย Globalstar กำลังพิจารณาขายกิจการ และแม้ Apple จะลงทุนไปกว่า $2 พันล้าน ก็ยังไม่ต้องการซื้อกิจการเพราะไม่อยากถูกจัดเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย ในขณะเดียวกัน SpaceX ได้ออกแบบดาวเทียม Starlink รุ่นใหม่ให้รองรับคลื่นความถี่ที่ iPhone ใช้ และยังซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar มูลค่า $17 พันล้าน เพื่อเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อฝังระบบเชื่อมต่อดาวเทียมลงในสมาร์ทโฟนโดยตรง แม้จะมีอุปสรรค เช่น ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Tim Cook รวมถึงข้อเสนอเดิมที่ Apple ปฏิเสธไปในปี 2022 แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดบ่งชี้ว่าความร่วมมือครั้งนี้อาจเกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้ ✅ ความเคลื่อนไหวของ Apple และ SpaceX ➡️ อาจร่วมมือกันให้บริการเชื่อมต่อ iPhone ผ่านเครือข่าย Starlink ➡️ ดาวเทียมรุ่นใหม่ของ SpaceX รองรับคลื่นความถี่ของ iPhone ➡️ SpaceX ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar มูลค่า $17 พันล้าน ➡️ กำลังร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อฝังระบบเชื่อมต่อดาวเทียมในสมาร์ทโฟน ✅ สถานการณ์ของ Globalstar ➡️ ปัจจุบันให้บริการ Emergency SOS บน iPhone ➡️ Apple ลงทุนกว่า $2 พันล้าน แต่ไม่ต้องการซื้อกิจการ ➡️ Globalstar อาจขายกิจการในราคาเกิน $10 พันล้าน ➡️ ความสัมพันธ์กับ Apple เริ่มห่างเหิน ✅ อุปสรรคที่อาจขัดขวางความร่วมมือ ➡️ ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Tim Cook ➡️ Apple เคยปฏิเสธข้อเสนอของ Musk ในปี 2022 ➡️ Musk เคยเสนอให้ SpaceX เป็นผู้ให้บริการดาวเทียมแต่เพียงผู้เดียว พร้อมเรียกเงินล่วงหน้า $5 พันล้าน https://wccftech.com/tantalizing-signs-of-a-possible-tie-up-between-apple-and-spacex/
    WCCFTECH.COM
    Tantalizing Signs Of A Possible Tie-Up Between Apple And SpaceX
    This previously incorporeal Apple-SpaceX tie-up idea seems closer to getting realized, courtesy of a few tantalizing developments.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง

    Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ

    SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้

    นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา

    ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung
    พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง
    ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์
    รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่
    ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า
    คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า
    รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้

    การลงทุนของ SpaceX
    ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G
    มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก

    การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น
    โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์
    ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ
    ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ
    การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม
    การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    🚀 Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้ นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา ✅ ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung ➡️ พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง ➡️ ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) ✅ ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า ➡️ คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า ➡️ รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้ ✅ การลงทุนของ SpaceX ➡️ ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G ➡️ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ➡️ โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ ⛔ ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ ⛔ การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม ⛔ การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Elon Musk's Starlink reportedly tasks Samsung to build AI-powered modem — space-based 6G service could revolutionize satellite-to-device connectivity
    The modem’s NPU will be used to ‘predict satellite trajectories and optimize signal links in real time,’ it is claimed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Cerabyte เปิดตัวสื่อบันทึกข้อมูลแบบเซรามิกบนกระจก: เก็บรัฐธรรมนูญสหรัฐไว้ในวัสดุที่อยู่เหนือกาลเวลา"

    ในงาน OCP Global Summit ปี 2025 ที่ซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัท Cerabyte ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้วัสดุ “เซรามิกบนกระจก” ซึ่งมีความทนทานสูงและไม่ต้องใช้พลังงานในการเก็บรักษา โดยแจกตัวอย่างสื่อบันทึกที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐให้กับผู้เข้าร่วมงานในรูปแบบกรอบโชว์สุดล้ำ

    เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการเก็บข้อมูลระยะยาวในยุคที่ข้อมูลมีปริมาณมหาศาลและต้องการความมั่นคงสูง โดย Cerabyte ชูจุดเด่นว่า “ไม่ต้องบำรุงรักษา ไม่ต้องใช้พลังงาน และไม่ต้องย้ายข้อมูลซ้ำ” ซึ่งต่างจากระบบเก็บข้อมูลทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนสื่อทุกไม่กี่ปี

    ที่น่าทึ่งคือ ตัวอย่างสื่อบันทึกสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยสมาร์ทโฟนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงความเข้าถึงง่ายของเทคโนโลยีนี้ แม้จะยังอยู่ในขั้นต้น แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเก็บข้อมูลแบบถาวรที่ยั่งยืน

    เทคโนโลยีเซรามิกบนกระจกของ Cerabyte
    ใช้วัสดุเซรามิกบนแผ่นกระจกเพื่อบันทึกข้อมูล
    ไม่ต้องใช้พลังงานหรือการบำรุงรักษา
    ออกแบบมาเพื่อการเก็บข้อมูลถาวรและลดต้นทุนระยะยาว

    การเปิดตัวในงาน OCP Summit 2025
    แจกตัวอย่างที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐในกรอบโชว์
    แสดงการอ่านข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนแบบเรียลไทม์
    เป็นส่วนหนึ่งของ Innovation Village ที่เน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต

    จุดเด่นของเทคโนโลยี
    ทนทานต่อเวลาและสภาพแวดล้อม
    ลดการปล่อยคาร์บอนจากการเก็บข้อมูล
    เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น hyperscalers และสถาบันวิจัย

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ
    ความจุยังจำกัดในระดับกิกะไบต์
    ต้องพิสูจน์ความสามารถในการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความสำคัญของการเก็บข้อมูลถาวร
    ข้อมูลวิจัย, ประวัติศาสตร์, และหลักฐานทางกฎหมายต้องการสื่อที่มั่นคง
    สื่อแบบเทป, ฮาร์ดดิสก์ และ SSD มีอายุการใช้งานจำกัด

    แนวโน้มการพัฒนาในอนาคต
    การรวมเทคโนโลยีเซรามิกกับระบบ AI เพื่อจัดการข้อมูลถาวร
    การใช้วัสดุใหม่ เช่น sapphire, diamond-like carbon และ optical glass

    https://www.techradar.com/pro/own-a-piece-of-storage-history-as-cerabyte-gives-way-framed-ceramic-on-glass-media-samples-containing-copies-of-the-us-constitution
    📀 "Cerabyte เปิดตัวสื่อบันทึกข้อมูลแบบเซรามิกบนกระจก: เก็บรัฐธรรมนูญสหรัฐไว้ในวัสดุที่อยู่เหนือกาลเวลา" ในงาน OCP Global Summit ปี 2025 ที่ซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัท Cerabyte ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้วัสดุ “เซรามิกบนกระจก” ซึ่งมีความทนทานสูงและไม่ต้องใช้พลังงานในการเก็บรักษา โดยแจกตัวอย่างสื่อบันทึกที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐให้กับผู้เข้าร่วมงานในรูปแบบกรอบโชว์สุดล้ำ เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการเก็บข้อมูลระยะยาวในยุคที่ข้อมูลมีปริมาณมหาศาลและต้องการความมั่นคงสูง โดย Cerabyte ชูจุดเด่นว่า “ไม่ต้องบำรุงรักษา ไม่ต้องใช้พลังงาน และไม่ต้องย้ายข้อมูลซ้ำ” ซึ่งต่างจากระบบเก็บข้อมูลทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนสื่อทุกไม่กี่ปี ที่น่าทึ่งคือ ตัวอย่างสื่อบันทึกสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยสมาร์ทโฟนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงความเข้าถึงง่ายของเทคโนโลยีนี้ แม้จะยังอยู่ในขั้นต้น แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเก็บข้อมูลแบบถาวรที่ยั่งยืน ✅ เทคโนโลยีเซรามิกบนกระจกของ Cerabyte ➡️ ใช้วัสดุเซรามิกบนแผ่นกระจกเพื่อบันทึกข้อมูล ➡️ ไม่ต้องใช้พลังงานหรือการบำรุงรักษา ➡️ ออกแบบมาเพื่อการเก็บข้อมูลถาวรและลดต้นทุนระยะยาว ✅ การเปิดตัวในงาน OCP Summit 2025 ➡️ แจกตัวอย่างที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐในกรอบโชว์ ➡️ แสดงการอ่านข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนแบบเรียลไทม์ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของ Innovation Village ที่เน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี ➡️ ทนทานต่อเวลาและสภาพแวดล้อม ➡️ ลดการปล่อยคาร์บอนจากการเก็บข้อมูล ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น hyperscalers และสถาบันวิจัย ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ ⛔ ความจุยังจำกัดในระดับกิกะไบต์ ⛔ ต้องพิสูจน์ความสามารถในการผลิตในระดับอุตสาหกรรม 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความสำคัญของการเก็บข้อมูลถาวร ➡️ ข้อมูลวิจัย, ประวัติศาสตร์, และหลักฐานทางกฎหมายต้องการสื่อที่มั่นคง ➡️ สื่อแบบเทป, ฮาร์ดดิสก์ และ SSD มีอายุการใช้งานจำกัด ✅ แนวโน้มการพัฒนาในอนาคต ➡️ การรวมเทคโนโลยีเซรามิกกับระบบ AI เพื่อจัดการข้อมูลถาวร ➡️ การใช้วัสดุใหม่ เช่น sapphire, diamond-like carbon และ optical glass https://www.techradar.com/pro/own-a-piece-of-storage-history-as-cerabyte-gives-way-framed-ceramic-on-glass-media-samples-containing-copies-of-the-us-constitution
    WWW.TECHRADAR.COM
    This framed piece of glass could outlast your hard drives
    Gigabyte-scale prototypes signal early progress toward scalable, glass-based storage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • "TSMC เปิดโรงงานในสหรัฐฯ ให้ชมผ่านวิดีโอ: เทคโนโลยีล้ำยุคใน Fab 21 ที่แอริโซนา"

    TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกจากไต้หวัน ได้เผยแพร่วิดีโอหายากที่พาผู้ชมบินผ่านโรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีระดับ 4nm และ 5nm (N4/N5) สำหรับบริษัทชั้นนำอย่าง Apple, AMD และ Nvidia

    วิดีโอแสดงให้เห็นระบบ “Silver Highway” หรือระบบขนส่งวัสดุอัตโนมัติ (AMHS) ที่ใช้รางเหนือศีรษะในการเคลื่อนย้าย FOUPs (Front-Opening Unified Pods) ซึ่งบรรจุเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ไปยังเครื่องมือผลิตต่าง ๆ อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

    จุดเด่นของโรงงานคือเครื่อง EUV Lithography จาก ASML รุ่น Twinscan NXE ที่ใช้แสงความยาวคลื่น 13.5nm จากพลาสมาทินในการ “พิมพ์” ลวดลายบนเวเฟอร์ด้วยความละเอียดระดับ 13nm ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปยุคใหม่

    ไฮไลต์จากวิดีโอโรงงาน Fab 21
    แสดงระบบ Silver Highway สำหรับขนส่ง FOUPs อัตโนมัติ
    ใช้แสงสีเหลืองในห้อง cleanroom เพื่อป้องกันการเปิดรับแสงของ photoresist
    เครื่อง EUV จาก ASML ใช้ plasma จากหยดทินในการสร้างลวดลายบนเวเฟอร์

    เทคโนโลยีการผลิต
    ใช้กระบวนการ N4 และ N5 (4nm และ 5nm-class)
    เครื่อง Twinscan NXE:3600D มีความแม่นยำระดับ 1.1nm
    ใช้ระบบเลเซอร์ผลิตพลาสมาและกระจกสะท้อนพิเศษแทนเลนส์ทั่วไป

    แผนการขยายโรงงาน
    Fab 21 phase 2 จะรองรับการผลิตชิประดับ N3 และ N2
    TSMC เตรียมซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้าง Gigafab cluster ในแอริโซนา
    รองรับความต้องการด้าน AI, สมาร์ทโฟน และ HPC ที่เพิ่มขึ้น

    ความท้าทายของเทคโนโลยี EUV
    ต้องควบคุมความแม่นยำของการวางลวดลายในระดับนาโนเมตร
    มีผลกระทบจาก stochastic effects ที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด
    ต้องใช้กระจกพิเศษแทนเลนส์ เพราะแสง EUV ถูกดูดกลืนโดยวัสดุทั่วไป

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความหมายของ Gigafab
    โรงงานที่สามารถผลิตเวเฟอร์ได้มากกว่า 100,000 แผ่นต่อเดือน
    เป็นระดับสูงสุดของโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์

    ความสำคัญของ Fab 21 ต่อสหรัฐฯ
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาการผลิตจากเอเชีย
    สนับสนุนความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-gives-an-ultra-rare-video-look-inside-its-fabs-silver-highway-and-fab-tools-revealed-in-flyby-video-of-companys-us-arizona-fab-21
    🏭 "TSMC เปิดโรงงานในสหรัฐฯ ให้ชมผ่านวิดีโอ: เทคโนโลยีล้ำยุคใน Fab 21 ที่แอริโซนา" TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกจากไต้หวัน ได้เผยแพร่วิดีโอหายากที่พาผู้ชมบินผ่านโรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีระดับ 4nm และ 5nm (N4/N5) สำหรับบริษัทชั้นนำอย่าง Apple, AMD และ Nvidia วิดีโอแสดงให้เห็นระบบ “Silver Highway” หรือระบบขนส่งวัสดุอัตโนมัติ (AMHS) ที่ใช้รางเหนือศีรษะในการเคลื่อนย้าย FOUPs (Front-Opening Unified Pods) ซึ่งบรรจุเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ไปยังเครื่องมือผลิตต่าง ๆ อย่างแม่นยำและรวดเร็ว จุดเด่นของโรงงานคือเครื่อง EUV Lithography จาก ASML รุ่น Twinscan NXE ที่ใช้แสงความยาวคลื่น 13.5nm จากพลาสมาทินในการ “พิมพ์” ลวดลายบนเวเฟอร์ด้วยความละเอียดระดับ 13nm ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปยุคใหม่ ✅ ไฮไลต์จากวิดีโอโรงงาน Fab 21 ➡️ แสดงระบบ Silver Highway สำหรับขนส่ง FOUPs อัตโนมัติ ➡️ ใช้แสงสีเหลืองในห้อง cleanroom เพื่อป้องกันการเปิดรับแสงของ photoresist ➡️ เครื่อง EUV จาก ASML ใช้ plasma จากหยดทินในการสร้างลวดลายบนเวเฟอร์ ✅ เทคโนโลยีการผลิต ➡️ ใช้กระบวนการ N4 และ N5 (4nm และ 5nm-class) ➡️ เครื่อง Twinscan NXE:3600D มีความแม่นยำระดับ 1.1nm ➡️ ใช้ระบบเลเซอร์ผลิตพลาสมาและกระจกสะท้อนพิเศษแทนเลนส์ทั่วไป ✅ แผนการขยายโรงงาน ➡️ Fab 21 phase 2 จะรองรับการผลิตชิประดับ N3 และ N2 ➡️ TSMC เตรียมซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้าง Gigafab cluster ในแอริโซนา ➡️ รองรับความต้องการด้าน AI, สมาร์ทโฟน และ HPC ที่เพิ่มขึ้น ‼️ ความท้าทายของเทคโนโลยี EUV ⛔ ต้องควบคุมความแม่นยำของการวางลวดลายในระดับนาโนเมตร ⛔ มีผลกระทบจาก stochastic effects ที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด ⛔ ต้องใช้กระจกพิเศษแทนเลนส์ เพราะแสง EUV ถูกดูดกลืนโดยวัสดุทั่วไป 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความหมายของ Gigafab ➡️ โรงงานที่สามารถผลิตเวเฟอร์ได้มากกว่า 100,000 แผ่นต่อเดือน ➡️ เป็นระดับสูงสุดของโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ความสำคัญของ Fab 21 ต่อสหรัฐฯ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาการผลิตจากเอเชีย ➡️ สนับสนุนความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-gives-an-ultra-rare-video-look-inside-its-fabs-silver-highway-and-fab-tools-revealed-in-flyby-video-of-companys-us-arizona-fab-21
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • "13 อุปกรณ์สุดเซอร์ไพรส์ที่คุณสามารถเสียบเข้าพอร์ต USB ของจอมอนิเตอร์ได้"

    หลายคนอาจไม่รู้ว่าจอมอนิเตอร์ของคุณไม่ได้มีไว้แค่แสดงภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย! บทความจาก SlashGear เผยว่า USB Type-A ที่อยู่ด้านหลังหรือข้างจอสามารถใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ที่อาจมีจำกัด

    ตั้งแต่การเสียบ dongle ไร้สาย ไปจนถึงพัดลมตั้งโต๊ะ ไฟ RGB ไมโครโฟน กล้องเว็บแคม และแม้แต่เครื่องดูดฝุ่นขนาดจิ๋ว—ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB ของจอได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การตรวจสอบกำลังไฟที่อุปกรณ์ใช้ และการทำความสะอาดพอร์ตเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อผิดพลาด

    พอร์ต USB บนจอมอนิเตอร์
    มักเป็น USB Type-A ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย
    ใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้
    ช่วยประหยัดพอร์ตบนตัวเครื่อง PC

    อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้
    Dongle สำหรับเมาส์ หูฟัง และ Wi-Fi
    จอยเกม เช่น 8BitDo Ultimate 2C Wireless Controller
    พัดลมตั้งโต๊ะ เช่น Gaiatop USB Desk Fan
    ไฟ RGB เช่น Phopollo Light Strip และ Velted RGB Light Bar
    ไมโครโฟน USB เช่น Logitech Blue Microphone
    เครื่องดูดฝุ่นจิ๋ว เช่น Auloea Portable Mini Vacuum Cleaner
    USB Hub Splitter เช่น Vienon USB Hub
    กล้องเว็บแคม เช่น Logitech Brio 101 HD
    คีย์บอร์ด เมาส์ และลำโพง
    อุปกรณ์ชาร์จ เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
    แฟลชไดรฟ์และฮาร์ดดิสก์ภายนอก
    จอแสดงผลขนาดเล็ก เช่น Wownova Temp Monitor
    เครื่องอ่าน SD Card เช่น uni SD Card Reader

    คำเตือนในการใช้งานพอร์ต USB บนจอ
    อย่าเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป อาจทำให้วงจรจอเสียหาย
    หากอุปกรณ์ไม่ถูกตรวจพบ อาจเกิดจากพอร์ตเสียหรือมีฝุ่นสะสม
    ความเร็วในการชาร์จอาจไม่เทียบเท่าที่ชาร์จโดยตรงจากปลั๊กไฟ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ประโยชน์ของการใช้จอเป็น USB hub
    ลดความยุ่งเหยิงของสายไฟบนโต๊ะ
    เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงอุปกรณ์
    เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือใช้โน้ตบุ๊กที่มีพอร์ตน้อย

    แนวโน้มการออกแบบจอภาพยุคใหม่
    จอภาพหลายรุ่นเริ่มมีพอร์ต USB-C และฟีเจอร์ชาร์จเร็ว
    บางรุ่นรองรับการถ่ายโอนข้อมูลและภาพผ่าน USB-C โดยตรง

    https://www.slashgear.com/1996516/surprising-gadgets-can-plug-into-monitor-usb-port/
    🖥️ "13 อุปกรณ์สุดเซอร์ไพรส์ที่คุณสามารถเสียบเข้าพอร์ต USB ของจอมอนิเตอร์ได้" หลายคนอาจไม่รู้ว่าจอมอนิเตอร์ของคุณไม่ได้มีไว้แค่แสดงภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย! บทความจาก SlashGear เผยว่า USB Type-A ที่อยู่ด้านหลังหรือข้างจอสามารถใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ที่อาจมีจำกัด ตั้งแต่การเสียบ dongle ไร้สาย ไปจนถึงพัดลมตั้งโต๊ะ ไฟ RGB ไมโครโฟน กล้องเว็บแคม และแม้แต่เครื่องดูดฝุ่นขนาดจิ๋ว—ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB ของจอได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การตรวจสอบกำลังไฟที่อุปกรณ์ใช้ และการทำความสะอาดพอร์ตเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อผิดพลาด ✅ พอร์ต USB บนจอมอนิเตอร์ ➡️ มักเป็น USB Type-A ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย ➡️ ใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้ ➡️ ช่วยประหยัดพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ✅ อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้ ➡️ Dongle สำหรับเมาส์ หูฟัง และ Wi-Fi ➡️ จอยเกม เช่น 8BitDo Ultimate 2C Wireless Controller ➡️ พัดลมตั้งโต๊ะ เช่น Gaiatop USB Desk Fan ➡️ ไฟ RGB เช่น Phopollo Light Strip และ Velted RGB Light Bar ➡️ ไมโครโฟน USB เช่น Logitech Blue Microphone ➡️ เครื่องดูดฝุ่นจิ๋ว เช่น Auloea Portable Mini Vacuum Cleaner ➡️ USB Hub Splitter เช่น Vienon USB Hub ➡️ กล้องเว็บแคม เช่น Logitech Brio 101 HD ➡️ คีย์บอร์ด เมาส์ และลำโพง ➡️ อุปกรณ์ชาร์จ เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ➡️ แฟลชไดรฟ์และฮาร์ดดิสก์ภายนอก ➡️ จอแสดงผลขนาดเล็ก เช่น Wownova Temp Monitor ➡️ เครื่องอ่าน SD Card เช่น uni SD Card Reader ‼️ คำเตือนในการใช้งานพอร์ต USB บนจอ ⛔ อย่าเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป อาจทำให้วงจรจอเสียหาย ⛔ หากอุปกรณ์ไม่ถูกตรวจพบ อาจเกิดจากพอร์ตเสียหรือมีฝุ่นสะสม ⛔ ความเร็วในการชาร์จอาจไม่เทียบเท่าที่ชาร์จโดยตรงจากปลั๊กไฟ 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ประโยชน์ของการใช้จอเป็น USB hub ➡️ ลดความยุ่งเหยิงของสายไฟบนโต๊ะ ➡️ เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงอุปกรณ์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือใช้โน้ตบุ๊กที่มีพอร์ตน้อย ✅ แนวโน้มการออกแบบจอภาพยุคใหม่ ➡️ จอภาพหลายรุ่นเริ่มมีพอร์ต USB-C และฟีเจอร์ชาร์จเร็ว ➡️ บางรุ่นรองรับการถ่ายโอนข้อมูลและภาพผ่าน USB-C โดยตรง https://www.slashgear.com/1996516/surprising-gadgets-can-plug-into-monitor-usb-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    13 Surprising Gadgets You Can Plug Into Your Monitor's USB Port - SlashGear
    Your monitor’s USB ports can do more than you think. Learn how to power, connect, and enhance your setup with smart, space-saving gadgets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • “JEDEC เปิดตัวมาตรฐาน UFS 5.0 — ความเร็วทะลุ 10.8 GB/s เพื่อโลกแห่ง AI และอุปกรณ์พกพา”

    JEDEC สมาคมเทคโนโลยีโซลิดสเตต ได้ประกาศใกล้เสร็จสิ้นการพัฒนามาตรฐาน Universal Flash Storage (UFS) เวอร์ชัน 5.0 ซึ่งเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่จาก UFS 4.1 ที่เปิดตัวในปี 2024 โดย UFS 5.0 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์พกพาและระบบคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ เช่น สมาร์ทโฟน อุปกรณ์สวมใส่ คอนโซลเกม รถยนต์ และระบบ edge computing

    UFS 5.0 จะสามารถทำความเร็วในการอ่าน/เขียนแบบต่อเนื่องได้สูงถึง 10.8 GB/s โดยใช้เทคโนโลยีจาก MIPI Alliance ได้แก่ M-PHY เวอร์ชัน 6.0 และ UniPro เวอร์ชัน 3.0 ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดท์ของอินเทอร์เฟซได้ถึง 46.6 Gb/s ต่อเลน และรองรับการทำงานแบบสองเลนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

    นอกจากความเร็วแล้ว UFS 5.0 ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อความปลอดภัยและความเสถียร เช่น inline hashing เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย, ระบบ equalization เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ และการแยกแหล่งจ่ายไฟระหว่าง PHY กับหน่วยความจำเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน

    มาตรฐานใหม่นี้ยังคงรองรับฮาร์ดแวร์เดิมจาก UFS 4.x เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถอัปเกรดได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบทั้งหมด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    JEDEC ใกล้เปิดตัวมาตรฐาน UFS 5.0 สำหรับอุปกรณ์พกพาและระบบคอมพิวเตอร์
    ความเร็วในการอ่าน/เขียนแบบต่อเนื่องสูงสุดถึง 10.8 GB/s
    ใช้เทคโนโลยี MIPI M-PHY 6.0 และ UniPro 3.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์
    รองรับการทำงานแบบสองเลนที่ความเร็ว 46.6 Gb/s ต่อเลน
    เพิ่มฟีเจอร์ inline hashing เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
    มีระบบ equalization เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ
    แยกแหล่งจ่ายไฟระหว่าง PHY กับหน่วยความจำเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
    ยังคงรองรับฮาร์ดแวร์จาก UFS 4.x เพื่อความสะดวกในการอัปเกรด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    UFS ถูกใช้ในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง เช่น Galaxy S และ iPhone รุ่นใหม่
    มาตรฐาน UFS ช่วยให้การโหลดแอปและเกมเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    MIPI Alliance เป็นองค์กรที่พัฒนาโปรโตคอลการเชื่อมต่อสำหรับอุปกรณ์พกพาทั่วโลก
    Inline hashing เป็นเทคนิคที่ใช้ในระบบจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    การแยกแหล่งจ่ายไฟช่วยลดความร้อนและเพิ่มเสถียรภาพของระบบ

    https://www.techpowerup.com/341645/jedec-ufs-5-0-standard-to-deliver-sequential-performance-up-to-10-8-gb-s
    ⚡ “JEDEC เปิดตัวมาตรฐาน UFS 5.0 — ความเร็วทะลุ 10.8 GB/s เพื่อโลกแห่ง AI และอุปกรณ์พกพา” JEDEC สมาคมเทคโนโลยีโซลิดสเตต ได้ประกาศใกล้เสร็จสิ้นการพัฒนามาตรฐาน Universal Flash Storage (UFS) เวอร์ชัน 5.0 ซึ่งเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่จาก UFS 4.1 ที่เปิดตัวในปี 2024 โดย UFS 5.0 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์พกพาและระบบคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ เช่น สมาร์ทโฟน อุปกรณ์สวมใส่ คอนโซลเกม รถยนต์ และระบบ edge computing UFS 5.0 จะสามารถทำความเร็วในการอ่าน/เขียนแบบต่อเนื่องได้สูงถึง 10.8 GB/s โดยใช้เทคโนโลยีจาก MIPI Alliance ได้แก่ M-PHY เวอร์ชัน 6.0 และ UniPro เวอร์ชัน 3.0 ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดท์ของอินเทอร์เฟซได้ถึง 46.6 Gb/s ต่อเลน และรองรับการทำงานแบบสองเลนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากความเร็วแล้ว UFS 5.0 ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อความปลอดภัยและความเสถียร เช่น inline hashing เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย, ระบบ equalization เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ และการแยกแหล่งจ่ายไฟระหว่าง PHY กับหน่วยความจำเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน มาตรฐานใหม่นี้ยังคงรองรับฮาร์ดแวร์เดิมจาก UFS 4.x เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถอัปเกรดได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบทั้งหมด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ JEDEC ใกล้เปิดตัวมาตรฐาน UFS 5.0 สำหรับอุปกรณ์พกพาและระบบคอมพิวเตอร์ ➡️ ความเร็วในการอ่าน/เขียนแบบต่อเนื่องสูงสุดถึง 10.8 GB/s ➡️ ใช้เทคโนโลยี MIPI M-PHY 6.0 และ UniPro 3.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์ ➡️ รองรับการทำงานแบบสองเลนที่ความเร็ว 46.6 Gb/s ต่อเลน ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ inline hashing เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ มีระบบ equalization เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ ➡️ แยกแหล่งจ่ายไฟระหว่าง PHY กับหน่วยความจำเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน ➡️ ยังคงรองรับฮาร์ดแวร์จาก UFS 4.x เพื่อความสะดวกในการอัปเกรด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ UFS ถูกใช้ในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง เช่น Galaxy S และ iPhone รุ่นใหม่ ➡️ มาตรฐาน UFS ช่วยให้การโหลดแอปและเกมเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ➡️ MIPI Alliance เป็นองค์กรที่พัฒนาโปรโตคอลการเชื่อมต่อสำหรับอุปกรณ์พกพาทั่วโลก ➡️ Inline hashing เป็นเทคนิคที่ใช้ในระบบจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ การแยกแหล่งจ่ายไฟช่วยลดความร้อนและเพิ่มเสถียรภาพของระบบ https://www.techpowerup.com/341645/jedec-ufs-5-0-standard-to-deliver-sequential-performance-up-to-10-8-gb-s
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Smart TV ไม่ได้ฉลาดตลอดไป ถ้าไม่อัปเดต — ช่องโหว่ความปลอดภัยที่คุณอาจมองข้าม”

    ในยุคที่โทรทัศน์กลายเป็นมากกว่าแค่จอภาพ Smart TV ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบปฏิบัติการ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ และแอปพลิเคชันมากมาย ซึ่งหมายความว่า มันคือ “คอมพิวเตอร์ที่ดูหนังได้” และเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง มันต้องการการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ

    หลายคนอาจคิดว่า Smart TV ไม่จำเป็นต้องอัปเดตบ่อย แต่ความจริงคือ การไม่อัปเดตอาจทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่การทำงานช้า แอปค้าง ไปจนถึงการถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ผลิตหยุดสนับสนุนซอฟต์แวร์ แม้ฮาร์ดแวร์ยังใช้งานได้ดีอยู่ก็ตาม

    รายงานจาก NETGEAR และ Bitdefender ในปี 2024 พบว่า Smart TV เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ IoT ที่ถูกโจมตีมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของอุปกรณ์ที่มีช่องโหว่ทั้งหมด สาเหตุหลักคือการใช้งานยาวนานและการหยุดอัปเดตจากผู้ผลิต

    Smart TV ที่ไม่ได้อัปเดตอาจถูกแฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล บัตรเครดิต หรือบัญชีสตรีมมิ่ง โดยเฉพาะหากมีการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ หรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย

    แม้การอัปเดตจะไม่เกิดขึ้นบ่อยเท่ากับสมาร์ทโฟน แต่ผู้ผลิตมักปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส และอัปเดตใหญ่ปีละครั้ง เช่น Android TV 14 ที่เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026

    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการอัปเดตได้จากเมนูตั้งค่าของทีวี และควรเปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติไว้เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ยังปลอดภัยและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Smart TV มีระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์คล้ายคอมพิวเตอร์
    ต้องการการอัปเดตเพื่อแก้บั๊ก เพิ่มฟีเจอร์ และเสริมความปลอดภัย
    Android TV 14 เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปี 2025–2026
    ผู้ผลิตปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส
    Smart TV มีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ปี แต่การสนับสนุนซอฟต์แวร์อาจสิ้นสุดก่อน
    ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดการอัปเดตอัตโนมัติได้จากเมนูตั้งค่า
    การอัปเดตช่วยให้แอปทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Smart TV บางรุ่นมีไมโครโฟนและกล้องในตัว ซึ่งอาจถูกใช้โจมตีได้
    ผู้ผลิตบางรายให้การสนับสนุนซอฟต์แวร์เพียง 2–3 ปีหลังเปิดตัว
    มีกรณีจริงที่แฮกเกอร์สามารถควบคุมทีวีจากระยะไกล เช่น เปลี่ยนช่องหรือเพิ่มเสียง
    FTC เคยปรับบริษัท Vizio ฐานเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
    การใช้รหัสผ่าน Wi-Fi ที่แข็งแรงและการตั้งค่าความปลอดภัยของเครือข่ายช่วยลดความเสี่ยง

    https://www.slashgear.com/1984686/smart-tvs-need-software-updates-reason-why-how-often/
    📺 “Smart TV ไม่ได้ฉลาดตลอดไป ถ้าไม่อัปเดต — ช่องโหว่ความปลอดภัยที่คุณอาจมองข้าม” ในยุคที่โทรทัศน์กลายเป็นมากกว่าแค่จอภาพ Smart TV ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบปฏิบัติการ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ และแอปพลิเคชันมากมาย ซึ่งหมายความว่า มันคือ “คอมพิวเตอร์ที่ดูหนังได้” และเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง มันต้องการการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ หลายคนอาจคิดว่า Smart TV ไม่จำเป็นต้องอัปเดตบ่อย แต่ความจริงคือ การไม่อัปเดตอาจทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่การทำงานช้า แอปค้าง ไปจนถึงการถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ผลิตหยุดสนับสนุนซอฟต์แวร์ แม้ฮาร์ดแวร์ยังใช้งานได้ดีอยู่ก็ตาม รายงานจาก NETGEAR และ Bitdefender ในปี 2024 พบว่า Smart TV เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ IoT ที่ถูกโจมตีมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของอุปกรณ์ที่มีช่องโหว่ทั้งหมด สาเหตุหลักคือการใช้งานยาวนานและการหยุดอัปเดตจากผู้ผลิต Smart TV ที่ไม่ได้อัปเดตอาจถูกแฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล บัตรเครดิต หรือบัญชีสตรีมมิ่ง โดยเฉพาะหากมีการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ หรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย แม้การอัปเดตจะไม่เกิดขึ้นบ่อยเท่ากับสมาร์ทโฟน แต่ผู้ผลิตมักปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส และอัปเดตใหญ่ปีละครั้ง เช่น Android TV 14 ที่เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026 ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการอัปเดตได้จากเมนูตั้งค่าของทีวี และควรเปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติไว้เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ยังปลอดภัยและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Smart TV มีระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์คล้ายคอมพิวเตอร์ ➡️ ต้องการการอัปเดตเพื่อแก้บั๊ก เพิ่มฟีเจอร์ และเสริมความปลอดภัย ➡️ Android TV 14 เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปี 2025–2026 ➡️ ผู้ผลิตปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส ➡️ Smart TV มีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ปี แต่การสนับสนุนซอฟต์แวร์อาจสิ้นสุดก่อน ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดการอัปเดตอัตโนมัติได้จากเมนูตั้งค่า ➡️ การอัปเดตช่วยให้แอปทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Smart TV บางรุ่นมีไมโครโฟนและกล้องในตัว ซึ่งอาจถูกใช้โจมตีได้ ➡️ ผู้ผลิตบางรายให้การสนับสนุนซอฟต์แวร์เพียง 2–3 ปีหลังเปิดตัว ➡️ มีกรณีจริงที่แฮกเกอร์สามารถควบคุมทีวีจากระยะไกล เช่น เปลี่ยนช่องหรือเพิ่มเสียง ➡️ FTC เคยปรับบริษัท Vizio ฐานเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ➡️ การใช้รหัสผ่าน Wi-Fi ที่แข็งแรงและการตั้งค่าความปลอดภัยของเครือข่ายช่วยลดความเสี่ยง https://www.slashgear.com/1984686/smart-tvs-need-software-updates-reason-why-how-often/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Yes, Smart TVs Need Software Updates - Here's Why & How Often - SlashGear
    Smart TVs require regular software updates to patch security flaws, improve app compatibility, fix bugs, and add new features over time.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • “5 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ผู้ใช้รีวิวว่ายกระดับห้องนอนได้ทันที — จากปลั๊กไฟยันผ้าห่มอุ่น”

    ห้องนอนคือพื้นที่พักผ่อนที่ควรสะดวกสบายและตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน ล่าสุดเว็บไซต์ SlashGear ได้รวบรวม 5 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ได้รับรีวิวจากผู้ใช้จริงมากกว่า 1,000 ราย และมีคะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 4.4 ดาวบน Amazon ซึ่งช่วยยกระดับห้องนอนให้ทันสมัยและใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น

    1️⃣ เริ่มจาก Qinlianf Outlet Extender ปลั๊กพ่วงอัจฉริยะที่มีทั้ง 5 ช่องเสียบไฟและ 4 ช่อง USB รวมถึงรุ่นอัปเกรดที่มีไฟกลางคืนในตัว เหมาะสำหรับบ้านเก่าที่มีช่องเสียบไฟน้อย และยังรองรับปลั๊กขนาดใหญ่ได้โดยไม่เบียดกัน

    2️⃣ ต่อมาคือ Rootro Table Lamp โคมไฟสัมผัสที่ปรับสีได้แบบ RGB และมีแสง 360 องศา เหมาะสำหรับการสร้างบรรยากาศผ่อนคลายก่อนนอน แม้จะไม่มีรีโมทหรือแอปควบคุม แต่ผู้ใช้หลายคนยืนยันว่าใช้งานได้นานหลายปีโดยไม่เสีย

    3️⃣ Dreo Smart Humidifier เครื่องเพิ่มความชื้นที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ ช่วยดูแลผิวและสุขภาพในห้องที่อากาศแห้ง มีถังน้ำขนาด 4 ลิตรที่เติมง่ายและมีระบบแจ้งเตือนทำความสะอาด

    4️⃣ Bedsure Heated Blanket ผ้าห่มไฟฟ้าที่ปรับอุณหภูมิได้หลายระดับ มีระบบตั้งเวลาและเนื้อผ้านุ่มสบาย เหมาะสำหรับฤดูหนาวหรือผู้ที่ต้องการความอบอุ่นเฉพาะจุด

    5️⃣ สุดท้ายคือ Huanuo Lap Desk โต๊ะวางแล็ปท็อปแบบพกพาที่มีเบาะรองมือและพื้นเอียง ช่วยให้ใช้งานอุปกรณ์ในเตียงได้สะดวกขึ้น โดยมีให้เลือกหลายขนาดตามอุปกรณ์ที่ใช้

    https://www.slashgear.com/1985726/more-smart-gadgets-to-upgrade-bedroom/
    🛏️ “5 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ผู้ใช้รีวิวว่ายกระดับห้องนอนได้ทันที — จากปลั๊กไฟยันผ้าห่มอุ่น” ห้องนอนคือพื้นที่พักผ่อนที่ควรสะดวกสบายและตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน ล่าสุดเว็บไซต์ SlashGear ได้รวบรวม 5 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ได้รับรีวิวจากผู้ใช้จริงมากกว่า 1,000 ราย และมีคะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 4.4 ดาวบน Amazon ซึ่งช่วยยกระดับห้องนอนให้ทันสมัยและใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น 1️⃣ เริ่มจาก Qinlianf Outlet Extender ปลั๊กพ่วงอัจฉริยะที่มีทั้ง 5 ช่องเสียบไฟและ 4 ช่อง USB รวมถึงรุ่นอัปเกรดที่มีไฟกลางคืนในตัว เหมาะสำหรับบ้านเก่าที่มีช่องเสียบไฟน้อย และยังรองรับปลั๊กขนาดใหญ่ได้โดยไม่เบียดกัน 2️⃣ ต่อมาคือ Rootro Table Lamp โคมไฟสัมผัสที่ปรับสีได้แบบ RGB และมีแสง 360 องศา เหมาะสำหรับการสร้างบรรยากาศผ่อนคลายก่อนนอน แม้จะไม่มีรีโมทหรือแอปควบคุม แต่ผู้ใช้หลายคนยืนยันว่าใช้งานได้นานหลายปีโดยไม่เสีย 3️⃣ Dreo Smart Humidifier เครื่องเพิ่มความชื้นที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ ช่วยดูแลผิวและสุขภาพในห้องที่อากาศแห้ง มีถังน้ำขนาด 4 ลิตรที่เติมง่ายและมีระบบแจ้งเตือนทำความสะอาด 4️⃣ Bedsure Heated Blanket ผ้าห่มไฟฟ้าที่ปรับอุณหภูมิได้หลายระดับ มีระบบตั้งเวลาและเนื้อผ้านุ่มสบาย เหมาะสำหรับฤดูหนาวหรือผู้ที่ต้องการความอบอุ่นเฉพาะจุด 5️⃣ สุดท้ายคือ Huanuo Lap Desk โต๊ะวางแล็ปท็อปแบบพกพาที่มีเบาะรองมือและพื้นเอียง ช่วยให้ใช้งานอุปกรณ์ในเตียงได้สะดวกขึ้น โดยมีให้เลือกหลายขนาดตามอุปกรณ์ที่ใช้ https://www.slashgear.com/1985726/more-smart-gadgets-to-upgrade-bedroom/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 More Smart Gadgets User Reviews Say Can Instantly Upgrade Any Bedroom - SlashGear
    Smart gadgets with thousands of reviews that users say improve comfort, lighting, and convenience in the bedroom while staying budget-friendly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แปรงสีฟันไฟฟ้าอาจทำให้คุณถูก TSA เรียกตรวจ — เมื่อแบตเตอรี่กลายเป็นภัยบนเครื่องบิน”

    หลายคนอาจไม่เคยนึกถึงว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าจะกลายเป็นปัญหาในการเดินทางทางอากาศ แต่ล่าสุด TSA และ FAA ได้ออกคำเตือนถึงผู้โดยสารว่าอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียม เช่น แปรงสีฟันไฟฟ้า อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยบนเครื่องบิน โดยเฉพาะเมื่อเก็บไว้ในกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง

    แบตเตอรี่ลิเธียมมีความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ “thermal runaway” ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้ได้ และในสภาพแวดล้อมที่มีแรงดันอากาศสูงอย่างห้องเก็บสัมภาระใต้เครื่อง การควบคุมไฟไหม้แทบเป็นไปไม่ได้เลย

    แม้ผู้โดยสารจะยังสามารถนำแปรงสีฟันไฟฟ้าใส่ไว้ในกระเป๋าโหลดได้ แต่ต้องปิดเครื่องให้สนิทและจัดเก็บอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการเปิดใช้งานโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม TSA แนะนำให้เก็บไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องจะปลอดภัยกว่า เพราะหากเกิดเหตุ Flight crew จะสามารถสังเกตและรับมือได้ทันที

    นอกจากนี้ TSA ยังเตือนว่าอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม เช่น โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป กล้อง สมาร์ทวอทช์ และ e-reader ก็ควรเก็บไว้ในกระเป๋าถือเช่นกัน และห้ามนำแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเตอรี่ที่ยังไม่ได้ติดตั้งใส่ในกระเป๋าโหลดโดยเด็ดขาด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSA และ FAA เตือนว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมมีความเสี่ยงไฟไหม้
    ปรากฏการณ์ thermal runaway อาจทำให้แบตเตอรี่ลุกไหม้โดยไม่คาดคิด
    แนะนำให้เก็บแปรงสีฟันไฟฟ้าไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเพื่อความปลอดภัย
    หากต้องโหลดใต้เครื่อง ต้องปิดเครื่องและจัดเก็บให้ปลอดภัย
    อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โทรศัพท์ แล็ปท็อป กล้อง และสมาร์ทวอทช์ ก็ควรอยู่ในกระเป๋าถือ
    ห้ามนำแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเตอรี่ที่ยังไม่ได้ติดตั้งใส่ในกระเป๋าโหลด
    TSA เคยแบนอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมแบบไร้สายที่ใช้แก๊สหรือบิวเทนจากการโหลดใต้เครื่อง
    หากไม่แน่ใจ ควรสอบถามเจ้าหน้าที่ TSA ก่อนเดินทาง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แปรงสีฟันไฟฟ้าสมัยใหม่มักใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเหมือนกับสมาร์ทโฟน
    thermal runaway เกิดจากการลัดวงจรหรือความร้อนสะสมในแบตเตอรี่
    FAA มีข้อกำหนดชัดเจนเกี่ยวกับการขนส่งอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม
    แบตเตอรี่ลิเธียมมีพลังงานสูงในขนาดเล็ก จึงมีความเสี่ยงหากเกิดความเสียหาย
    การเก็บอุปกรณ์ไว้ในกระเป๋าถือช่วยให้ลูกเรือสามารถตรวจสอบและรับมือได้ทันที

    https://www.slashgear.com/1986302/avoid-bringing-electric-toothbrush-through-tsa/
    🧳 “แปรงสีฟันไฟฟ้าอาจทำให้คุณถูก TSA เรียกตรวจ — เมื่อแบตเตอรี่กลายเป็นภัยบนเครื่องบิน” หลายคนอาจไม่เคยนึกถึงว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าจะกลายเป็นปัญหาในการเดินทางทางอากาศ แต่ล่าสุด TSA และ FAA ได้ออกคำเตือนถึงผู้โดยสารว่าอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียม เช่น แปรงสีฟันไฟฟ้า อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยบนเครื่องบิน โดยเฉพาะเมื่อเก็บไว้ในกระเป๋าโหลดใต้เครื่อง แบตเตอรี่ลิเธียมมีความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ “thermal runaway” ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้ได้ และในสภาพแวดล้อมที่มีแรงดันอากาศสูงอย่างห้องเก็บสัมภาระใต้เครื่อง การควบคุมไฟไหม้แทบเป็นไปไม่ได้เลย แม้ผู้โดยสารจะยังสามารถนำแปรงสีฟันไฟฟ้าใส่ไว้ในกระเป๋าโหลดได้ แต่ต้องปิดเครื่องให้สนิทและจัดเก็บอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการเปิดใช้งานโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม TSA แนะนำให้เก็บไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องจะปลอดภัยกว่า เพราะหากเกิดเหตุ Flight crew จะสามารถสังเกตและรับมือได้ทันที นอกจากนี้ TSA ยังเตือนว่าอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม เช่น โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป กล้อง สมาร์ทวอทช์ และ e-reader ก็ควรเก็บไว้ในกระเป๋าถือเช่นกัน และห้ามนำแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเตอรี่ที่ยังไม่ได้ติดตั้งใส่ในกระเป๋าโหลดโดยเด็ดขาด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSA และ FAA เตือนว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมมีความเสี่ยงไฟไหม้ ➡️ ปรากฏการณ์ thermal runaway อาจทำให้แบตเตอรี่ลุกไหม้โดยไม่คาดคิด ➡️ แนะนำให้เก็บแปรงสีฟันไฟฟ้าไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องเพื่อความปลอดภัย ➡️ หากต้องโหลดใต้เครื่อง ต้องปิดเครื่องและจัดเก็บให้ปลอดภัย ➡️ อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โทรศัพท์ แล็ปท็อป กล้อง และสมาร์ทวอทช์ ก็ควรอยู่ในกระเป๋าถือ ➡️ ห้ามนำแบตเตอรี่สำรองหรือแบตเตอรี่ที่ยังไม่ได้ติดตั้งใส่ในกระเป๋าโหลด ➡️ TSA เคยแบนอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมแบบไร้สายที่ใช้แก๊สหรือบิวเทนจากการโหลดใต้เครื่อง ➡️ หากไม่แน่ใจ ควรสอบถามเจ้าหน้าที่ TSA ก่อนเดินทาง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แปรงสีฟันไฟฟ้าสมัยใหม่มักใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเหมือนกับสมาร์ทโฟน ➡️ thermal runaway เกิดจากการลัดวงจรหรือความร้อนสะสมในแบตเตอรี่ ➡️ FAA มีข้อกำหนดชัดเจนเกี่ยวกับการขนส่งอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม ➡️ แบตเตอรี่ลิเธียมมีพลังงานสูงในขนาดเล็ก จึงมีความเสี่ยงหากเกิดความเสียหาย ➡️ การเก็บอุปกรณ์ไว้ในกระเป๋าถือช่วยให้ลูกเรือสามารถตรวจสอบและรับมือได้ทันที https://www.slashgear.com/1986302/avoid-bringing-electric-toothbrush-through-tsa/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    You May Want To Avoid Bringing Your Electric Toothbrush Through TSA (Here's Why) - SlashGear
    The caution comes down to the inherent and well-documented fire risk of lithium-ion and lithium-metal batteries, which some electric toothbrushes use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Welder Keyboard — คีย์บอร์ดจอสัมผัสพับได้ที่อาจแทนที่แล็ปท็อป สำหรับสายสร้างสรรค์ที่ต้องการพื้นที่ทำงานแบบไฮบริด”

    ในยุคที่การทำงานแบบมัลติทาสก์กลายเป็นเรื่องปกติ และอุปกรณ์พกพาต้องตอบโจทย์ทั้งความคล่องตัวและประสิทธิภาพ Welder Keyboard ได้เปิดตัวในฐานะ “คีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัส” ที่อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่เปลี่ยนวิธีทำงานของผู้ใช้ไปโดยสิ้นเชิง

    Welder มาพร้อมแป้นพิมพ์กลไกแบบ 84 ปุ่มที่รองรับการเปลี่ยนสวิตช์ได้ (hot-swappable) และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทานและสัมผัสที่ดีขึ้น ด้านบนของคีย์บอร์ดคือหน้าจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 720 พิกเซล เป็น IPS panel ที่รองรับการสัมผัสแบบ 10 จุด พร้อมความสว่าง 300 cd/m² และมุมมอง 89 องศาทุกด้าน

    จุดเด่นคือการออกแบบให้พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC ที่แข็งแรงและน้ำหนักประมาณ 1.5 กก. แม้จะดูหนัก แต่เมื่อเทียบกับการได้ทั้งคีย์บอร์ดกลไก จอสัมผัส และฮับเชื่อมต่อในเครื่องเดียว ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า

    Welder รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C สองช่อง และ USB-A หนึ่งช่อง ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android โดยสามารถใช้เป็นจอที่สองสำหรับโน้ตบุ๊ก หรือแปลงสมาร์ทโฟน USB-C ให้กลายเป็นเวิร์กสเตชันขนาดย่อมได้ทันที

    นอกจากนี้ยังมีโหมดไฟ RGB ถึง 108 แบบที่เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์เสริม เหมาะกับทั้งสายเกมเมอร์และสายงานสร้างสรรค์ที่ต้องการบรรยากาศเฉพาะตัว

    แม้จะดูเหมือน “แล็ปท็อปปลอม” แต่ Welder ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วใน Kickstarter โดยระดมทุนได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่าในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้ใช้ที่มองหาอุปกรณ์ไฮบริดที่ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Welder Keyboard เป็นคีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว
    หน้าจอ IPS ความละเอียด 1920 x 720 รองรับสัมผัส 10 จุด และมีมุมมอง 89 องศาทุกด้าน
    รองรับการเปลี่ยนสวิตช์และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทาน
    พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC น้ำหนักประมาณ 1.5 กก.
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C x2 และ USB-A x1 สำหรับพลังงาน ข้อมูล และภาพเสียง
    ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android
    ใช้เป็นจอที่สอง หรือแปลงสมาร์ทโฟนให้เป็นเวิร์กสเตชันได้ทันที
    มีโหมดไฟ RGB 108 แบบ เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์
    ระดมทุนใน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Welder สามารถใช้จอสัมผัสเป็นแผงควบคุม Photoshop, timeline ตัดต่อ หรือหน้าต่างแชต
    การออกแบบให้พับได้ช่วยให้พกพาเหมือนแล็ปท็อป แต่ใช้งานได้หลากหลายกว่า
    จอสัมผัสแบบ laminated glass ช่วยลดแสงสะท้อนและเพิ่มความคมชัด
    RGB lighting มีโหมดตอบสนองต่อการพิมพ์ เช่น reactive touch และ breathing effect
    ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน USB-C ที่รองรับ DisplayPort Alt Mode เช่น Samsung Galaxy และ Pixel

    https://www.techradar.com/pro/i-think-i-found-the-perfect-fake-laptop-for-my-projects-i-only-need-to-find-a-mouse-with-a-built-in-pc
    ⌨️ “Welder Keyboard — คีย์บอร์ดจอสัมผัสพับได้ที่อาจแทนที่แล็ปท็อป สำหรับสายสร้างสรรค์ที่ต้องการพื้นที่ทำงานแบบไฮบริด” ในยุคที่การทำงานแบบมัลติทาสก์กลายเป็นเรื่องปกติ และอุปกรณ์พกพาต้องตอบโจทย์ทั้งความคล่องตัวและประสิทธิภาพ Welder Keyboard ได้เปิดตัวในฐานะ “คีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัส” ที่อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่เปลี่ยนวิธีทำงานของผู้ใช้ไปโดยสิ้นเชิง Welder มาพร้อมแป้นพิมพ์กลไกแบบ 84 ปุ่มที่รองรับการเปลี่ยนสวิตช์ได้ (hot-swappable) และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทานและสัมผัสที่ดีขึ้น ด้านบนของคีย์บอร์ดคือหน้าจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 720 พิกเซล เป็น IPS panel ที่รองรับการสัมผัสแบบ 10 จุด พร้อมความสว่าง 300 cd/m² และมุมมอง 89 องศาทุกด้าน จุดเด่นคือการออกแบบให้พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC ที่แข็งแรงและน้ำหนักประมาณ 1.5 กก. แม้จะดูหนัก แต่เมื่อเทียบกับการได้ทั้งคีย์บอร์ดกลไก จอสัมผัส และฮับเชื่อมต่อในเครื่องเดียว ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า Welder รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C สองช่อง และ USB-A หนึ่งช่อง ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android โดยสามารถใช้เป็นจอที่สองสำหรับโน้ตบุ๊ก หรือแปลงสมาร์ทโฟน USB-C ให้กลายเป็นเวิร์กสเตชันขนาดย่อมได้ทันที นอกจากนี้ยังมีโหมดไฟ RGB ถึง 108 แบบที่เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์เสริม เหมาะกับทั้งสายเกมเมอร์และสายงานสร้างสรรค์ที่ต้องการบรรยากาศเฉพาะตัว แม้จะดูเหมือน “แล็ปท็อปปลอม” แต่ Welder ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วใน Kickstarter โดยระดมทุนได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่าในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้ใช้ที่มองหาอุปกรณ์ไฮบริดที่ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Welder Keyboard เป็นคีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ➡️ หน้าจอ IPS ความละเอียด 1920 x 720 รองรับสัมผัส 10 จุด และมีมุมมอง 89 องศาทุกด้าน ➡️ รองรับการเปลี่ยนสวิตช์และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทาน ➡️ พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC น้ำหนักประมาณ 1.5 กก. ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C x2 และ USB-A x1 สำหรับพลังงาน ข้อมูล และภาพเสียง ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android ➡️ ใช้เป็นจอที่สอง หรือแปลงสมาร์ทโฟนให้เป็นเวิร์กสเตชันได้ทันที ➡️ มีโหมดไฟ RGB 108 แบบ เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์ ➡️ ระดมทุนใน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Welder สามารถใช้จอสัมผัสเป็นแผงควบคุม Photoshop, timeline ตัดต่อ หรือหน้าต่างแชต ➡️ การออกแบบให้พับได้ช่วยให้พกพาเหมือนแล็ปท็อป แต่ใช้งานได้หลากหลายกว่า ➡️ จอสัมผัสแบบ laminated glass ช่วยลดแสงสะท้อนและเพิ่มความคมชัด ➡️ RGB lighting มีโหมดตอบสนองต่อการพิมพ์ เช่น reactive touch และ breathing effect ➡️ ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน USB-C ที่รองรับ DisplayPort Alt Mode เช่น Samsung Galaxy และ Pixel https://www.techradar.com/pro/i-think-i-found-the-perfect-fake-laptop-for-my-projects-i-only-need-to-find-a-mouse-with-a-built-in-pc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sony เปิดตัว Pulse Elevate ลำโพงไร้สายสำหรับเกมเมอร์ PC และ PS5 — เสียงสมจริง ดีไซน์พกพา พร้อมไมค์ AI ตัดเสียงรบกวน”

    ในงาน State of Play ล่าสุด Sony ได้เผยโฉม “Pulse Elevate” ลำโพงไร้สายรุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์บนเดสก์ท็อปโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ PC, Mac หรือ PS5 ลำโพงรุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Pulse Audio ที่เคยมีทั้งหูฟัง Pulse Elite และหูฟังไร้สาย Pulse Explore มาก่อน

    Pulse Elevate มาพร้อมเทคโนโลยี PlayStation Link ที่ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำมาก เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำของเสียงแบบเรียลไทม์ โดยใช้ไดรเวอร์แบบ planar magnetic ซึ่งให้เสียงที่สมจริงครอบคลุมทุกย่านความถี่ พร้อมวูฟเฟอร์ในตัวเพื่อเพิ่มพลังเสียงเบสให้ “รู้สึกถึงแรงกระแทก” ในเกม

    ลำโพงยังมีไมโครโฟนในตัวที่ฝังอยู่ในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI noise rejection ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้สามารถใช้สนทนาเสียงได้โดยไม่ต้องใส่หูฟัง นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับเสียงและ EQ ที่สามารถตั้งค่าได้ผ่าน PS5 และ PC (Mac ยังไม่รองรับการปรับแต่งเต็มรูปแบบ)

    Pulse Elevate รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ทำให้สามารถฟังเสียงเกมจาก PS5 พร้อมกับเสียงเพลงหรือแชทจากมือถือได้ในเวลาเดียวกัน ลำโพงยังมีแบตเตอรี่ในตัวและแท่นชาร์จ ทำให้สามารถพกพาไปใช้งานกับ PlayStation Portal หรือสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก

    Sony ระบุว่าจะวางจำหน่ายในปี 2026 โดยมีสองสีให้เลือกคือ Midnight Black และ White แต่ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายในขณะนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Pulse Elevate เป็นลำโพงไร้สายรุ่นแรกของ Sony สำหรับเกมเมอร์เดสก์ท็อป
    รองรับ PS5, PC, Mac และ PlayStation Portal
    ใช้เทคโนโลยี PlayStation Link ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำ
    ใช้ไดรเวอร์ planar magnetic พร้อมวูฟเฟอร์ในตัว
    มีไมโครโฟนฝังในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI ตัดเสียงรบกวน
    รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link
    มีแบตเตอรี่ในตัว พร้อมแท่นชาร์จสำหรับใช้งานแบบพกพา
    ปรับแต่ง EQ, sidetone, volume และ mic mute ได้บน PS5 และ PC
    วางจำหน่ายปี 2026 มีสองสี Midnight Black และ White

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ไดรเวอร์ planar magnetic มักใช้ในหูฟังระดับสตูดิโอ ให้เสียงแม่นยำและสมจริง
    Tempest 3D AudioTech บน PS5 ช่วยให้เสียงมีมิติและตำแหน่งที่แม่นยำในเกม
    ลำโพงไร้สายแบบพกพาที่มี latency ต่ำยังหาได้ยากในตลาดเกมมิ่ง
    การมีไมค์ในตัวช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพึ่งหูฟังสำหรับแชทเสียง
    การเชื่อมต่อแบบคู่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการเสียงจากหลายอุปกรณ์ได้อย่างยืดหยุ่น

    https://www.tomshardware.com/speakers/sony-unveils-first-ever-wireless-desktop-speakers-for-pc-gamers-with-planar-magnetic-drivers-sleek-design-features-microphone-and-battery-also-work-with-mac-and-ps5
    🔊 “Sony เปิดตัว Pulse Elevate ลำโพงไร้สายสำหรับเกมเมอร์ PC และ PS5 — เสียงสมจริง ดีไซน์พกพา พร้อมไมค์ AI ตัดเสียงรบกวน” ในงาน State of Play ล่าสุด Sony ได้เผยโฉม “Pulse Elevate” ลำโพงไร้สายรุ่นแรกที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์บนเดสก์ท็อปโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ PC, Mac หรือ PS5 ลำโพงรุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Pulse Audio ที่เคยมีทั้งหูฟัง Pulse Elite และหูฟังไร้สาย Pulse Explore มาก่อน Pulse Elevate มาพร้อมเทคโนโลยี PlayStation Link ที่ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำมาก เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำของเสียงแบบเรียลไทม์ โดยใช้ไดรเวอร์แบบ planar magnetic ซึ่งให้เสียงที่สมจริงครอบคลุมทุกย่านความถี่ พร้อมวูฟเฟอร์ในตัวเพื่อเพิ่มพลังเสียงเบสให้ “รู้สึกถึงแรงกระแทก” ในเกม ลำโพงยังมีไมโครโฟนในตัวที่ฝังอยู่ในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI noise rejection ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้สามารถใช้สนทนาเสียงได้โดยไม่ต้องใส่หูฟัง นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับเสียงและ EQ ที่สามารถตั้งค่าได้ผ่าน PS5 และ PC (Mac ยังไม่รองรับการปรับแต่งเต็มรูปแบบ) Pulse Elevate รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ทำให้สามารถฟังเสียงเกมจาก PS5 พร้อมกับเสียงเพลงหรือแชทจากมือถือได้ในเวลาเดียวกัน ลำโพงยังมีแบตเตอรี่ในตัวและแท่นชาร์จ ทำให้สามารถพกพาไปใช้งานกับ PlayStation Portal หรือสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก Sony ระบุว่าจะวางจำหน่ายในปี 2026 โดยมีสองสีให้เลือกคือ Midnight Black และ White แต่ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายในขณะนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Pulse Elevate เป็นลำโพงไร้สายรุ่นแรกของ Sony สำหรับเกมเมอร์เดสก์ท็อป ➡️ รองรับ PS5, PC, Mac และ PlayStation Portal ➡️ ใช้เทคโนโลยี PlayStation Link ให้เสียงแบบ lossless และ latency ต่ำ ➡️ ใช้ไดรเวอร์ planar magnetic พร้อมวูฟเฟอร์ในตัว ➡️ มีไมโครโฟนฝังในลำโพงด้านขวา พร้อมระบบ AI ตัดเสียงรบกวน ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบคู่ ทั้ง Bluetooth และ PlayStation Link ➡️ มีแบตเตอรี่ในตัว พร้อมแท่นชาร์จสำหรับใช้งานแบบพกพา ➡️ ปรับแต่ง EQ, sidetone, volume และ mic mute ได้บน PS5 และ PC ➡️ วางจำหน่ายปี 2026 มีสองสี Midnight Black และ White ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ไดรเวอร์ planar magnetic มักใช้ในหูฟังระดับสตูดิโอ ให้เสียงแม่นยำและสมจริง ➡️ Tempest 3D AudioTech บน PS5 ช่วยให้เสียงมีมิติและตำแหน่งที่แม่นยำในเกม ➡️ ลำโพงไร้สายแบบพกพาที่มี latency ต่ำยังหาได้ยากในตลาดเกมมิ่ง ➡️ การมีไมค์ในตัวช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพึ่งหูฟังสำหรับแชทเสียง ➡️ การเชื่อมต่อแบบคู่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการเสียงจากหลายอุปกรณ์ได้อย่างยืดหยุ่น https://www.tomshardware.com/speakers/sony-unveils-first-ever-wireless-desktop-speakers-for-pc-gamers-with-planar-magnetic-drivers-sleek-design-features-microphone-and-battery-also-work-with-mac-and-ps5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนทันยาฮู กล่าวด้วยความ "อหังการ" :
    'ถ้าคุณมีโทรศัพท์มือถือ คุณกำลังตกเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล'

    ที่ผ่านมาอิสราเอลเคยใช้ระบบติดตาม GPS บนสมาร์ทโฟนเพื่อใช้ในการลอบสังหารบุคคลมากมายทั้งฮิซบอลเลาะห์ และเจ้าหน้าที่นิวเคลียร์ของอิหร่าน
    เนทันยาฮู กล่าวด้วยความ "อหังการ" : 'ถ้าคุณมีโทรศัพท์มือถือ คุณกำลังตกเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล' 👉ที่ผ่านมาอิสราเอลเคยใช้ระบบติดตาม GPS บนสมาร์ทโฟนเพื่อใช้ในการลอบสังหารบุคคลมากมายทั้งฮิซบอลเลาะห์ และเจ้าหน้าที่นิวเคลียร์ของอิหร่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “iPhone Air เปิดตัวแล้ว! บางเฉียบ 5.6 มม. พร้อมชิป A19 Pro และกล้อง 48MP ที่ถ่ายได้ 4 ระยะ — เบาเหมือนฝัน แรงเหมือน MacBook”

    ถ้าคุณเคยคิดว่า iPhone จะบางได้แค่ไหน — Apple เพิ่งตอบคำถามนั้นด้วยการเปิดตัว “iPhone Air” รุ่นใหม่ล่าสุดที่บางเพียง 5.6 มิลลิเมตร แต่ยังคงความแรงระดับโปรด้วยชิป A19 Pro และกล้องที่ถ่ายได้ถึง 4 ระยะในตัวเดียว

    iPhone Air มาพร้อมดีไซน์ไทเทเนียมเกรด 5 แบบเงาสะท้อน พร้อม Ceramic Shield 2 ที่แข็งแรงกว่ากระจกสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 3 เท่า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึง “plateau” กล้องที่ถูกเจาะแบบละเอียดเพื่อเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ตลอดวัน

    หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display พร้อมความสว่างสูงสุด 3,000 nits — ใช้งานกลางแดดได้สบาย และยังมี Action Button กับ Camera Control ที่ช่วยให้เรียกใช้งานฟีเจอร์ได้รวดเร็ว

    กล้องหลัง 48MP Fusion สามารถถ่ายภาพได้ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm และ 52mm ด้วยการครอปในเซนเซอร์แบบ AI พร้อมระบบกันสั่น sensor-shift และ Photonic Engine รุ่นใหม่ ส่วนกล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์แบบสี่เหลี่ยมครั้งแรกใน iPhone ถ่ายวิดีโอ 4K HDR ได้แบบนิ่งสุดๆ และยังสามารถถ่ายพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและหลังด้วย Dual Capture

    ภายในใช้ชิป A19 Pro ที่มี CPU 6-core และ GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ในทุกคอร์ GPU เพื่อรองรับโมเดล AI แบบ on-device ได้อย่างลื่นไหล รวมถึงชิป N1 สำหรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread และโมเด็ม C1X ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่าแต่ใช้พลังงานน้อยลง 30%

    iPhone Air ใช้ eSIM เท่านั้น เพื่อประหยัดพื้นที่ภายใน และมาพร้อม iOS 26 ที่มี Apple Intelligence สำหรับแปลภาษาแบบเรียลไทม์, ค้นหาข้อมูลจากภาพหน้าจอ และจัดการข้อความแบบอัจฉริยะ

    ดีไซน์และวัสดุ
    บางเพียง 5.6 มม. น้ำหนัก 165 กรัม
    ใช้ไทเทเนียมเกรด 5 พร้อม Ceramic Shield 2 ทั้งหน้าและหลัง
    Plateau กล้องแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่
    มี Action Button และ Camera Control สำหรับเรียกใช้งานเร็ว

    หน้าจอและการแสดงผล
    Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2736x1260
    รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display
    ความสว่างสูงสุด 3,000 nits และ contrast 2,000,000:1
    รองรับ HDR, True Tone, และ anti-reflective coating

    กล้องและการถ่ายภาพ
    กล้องหลัง 48MP Fusion รองรับ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm, 52mm
    กล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์สี่เหลี่ยม
    รองรับ Dual Capture, Focus Control, และ Photographic Styles ใหม่
    ถ่ายวิดีโอ 4K60 Dolby Vision พร้อม Spatial Audio และ Action Mode

    ชิปและประสิทธิภาพ
    A19 Pro: CPU 6-core + GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator
    N1: รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6, Thread และปรับปรุง AirDrop/Hotspot
    C1X: โมเด็มเร็วกว่าเดิม 2 เท่า ใช้พลังงานน้อยลง 30%
    รองรับการรันโมเดล AI บนอุปกรณ์แบบไม่ต้องต่อเน็ต

    แบตเตอรี่และการใช้งาน
    ใช้ Adaptive Power Mode ใน iOS 26 เพื่อจัดการพลังงานอัจฉริยะ
    รองรับ MagSafe Battery แบบบางที่เพิ่มเวลาเล่นวิดีโอถึง 40 ชั่วโมง
    รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 20W

    ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ใหม่
    iOS 26 มาพร้อม Apple Intelligence สำหรับแปลภาษา, ค้นหาจากภาพ, และจัดการข้อความ
    รองรับ Live Translation, Visual Intelligence และ Apple Games
    ใช้ eSIM เท่านั้น รองรับกว่า 500 ผู้ให้บริการทั่วโลก

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เริ่มต้นที่ $999 สำหรับรุ่น 256GB
    มีรุ่น 512GB และ 1TB ให้เลือก
    เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน

    https://www.apple.com/newsroom/2025/09/introducing-iphone-air-a-powerful-new-iphone-with-a-breakthrough-design/
    📱 “iPhone Air เปิดตัวแล้ว! บางเฉียบ 5.6 มม. พร้อมชิป A19 Pro และกล้อง 48MP ที่ถ่ายได้ 4 ระยะ — เบาเหมือนฝัน แรงเหมือน MacBook” ถ้าคุณเคยคิดว่า iPhone จะบางได้แค่ไหน — Apple เพิ่งตอบคำถามนั้นด้วยการเปิดตัว “iPhone Air” รุ่นใหม่ล่าสุดที่บางเพียง 5.6 มิลลิเมตร แต่ยังคงความแรงระดับโปรด้วยชิป A19 Pro และกล้องที่ถ่ายได้ถึง 4 ระยะในตัวเดียว iPhone Air มาพร้อมดีไซน์ไทเทเนียมเกรด 5 แบบเงาสะท้อน พร้อม Ceramic Shield 2 ที่แข็งแรงกว่ากระจกสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 3 เท่า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึง “plateau” กล้องที่ถูกเจาะแบบละเอียดเพื่อเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ตลอดวัน หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display พร้อมความสว่างสูงสุด 3,000 nits — ใช้งานกลางแดดได้สบาย และยังมี Action Button กับ Camera Control ที่ช่วยให้เรียกใช้งานฟีเจอร์ได้รวดเร็ว กล้องหลัง 48MP Fusion สามารถถ่ายภาพได้ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm และ 52mm ด้วยการครอปในเซนเซอร์แบบ AI พร้อมระบบกันสั่น sensor-shift และ Photonic Engine รุ่นใหม่ ส่วนกล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์แบบสี่เหลี่ยมครั้งแรกใน iPhone ถ่ายวิดีโอ 4K HDR ได้แบบนิ่งสุดๆ และยังสามารถถ่ายพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและหลังด้วย Dual Capture ภายในใช้ชิป A19 Pro ที่มี CPU 6-core และ GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ในทุกคอร์ GPU เพื่อรองรับโมเดล AI แบบ on-device ได้อย่างลื่นไหล รวมถึงชิป N1 สำหรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread และโมเด็ม C1X ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่าแต่ใช้พลังงานน้อยลง 30% iPhone Air ใช้ eSIM เท่านั้น เพื่อประหยัดพื้นที่ภายใน และมาพร้อม iOS 26 ที่มี Apple Intelligence สำหรับแปลภาษาแบบเรียลไทม์, ค้นหาข้อมูลจากภาพหน้าจอ และจัดการข้อความแบบอัจฉริยะ ✅ ดีไซน์และวัสดุ ➡️ บางเพียง 5.6 มม. น้ำหนัก 165 กรัม ➡️ ใช้ไทเทเนียมเกรด 5 พร้อม Ceramic Shield 2 ทั้งหน้าและหลัง ➡️ Plateau กล้องแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ ➡️ มี Action Button และ Camera Control สำหรับเรียกใช้งานเร็ว ✅ หน้าจอและการแสดงผล ➡️ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2736x1260 ➡️ รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display ➡️ ความสว่างสูงสุด 3,000 nits และ contrast 2,000,000:1 ➡️ รองรับ HDR, True Tone, และ anti-reflective coating ✅ กล้องและการถ่ายภาพ ➡️ กล้องหลัง 48MP Fusion รองรับ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm, 52mm ➡️ กล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์สี่เหลี่ยม ➡️ รองรับ Dual Capture, Focus Control, และ Photographic Styles ใหม่ ➡️ ถ่ายวิดีโอ 4K60 Dolby Vision พร้อม Spatial Audio และ Action Mode ✅ ชิปและประสิทธิภาพ ➡️ A19 Pro: CPU 6-core + GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ➡️ N1: รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6, Thread และปรับปรุง AirDrop/Hotspot ➡️ C1X: โมเด็มเร็วกว่าเดิม 2 เท่า ใช้พลังงานน้อยลง 30% ➡️ รองรับการรันโมเดล AI บนอุปกรณ์แบบไม่ต้องต่อเน็ต ✅ แบตเตอรี่และการใช้งาน ➡️ ใช้ Adaptive Power Mode ใน iOS 26 เพื่อจัดการพลังงานอัจฉริยะ ➡️ รองรับ MagSafe Battery แบบบางที่เพิ่มเวลาเล่นวิดีโอถึง 40 ชั่วโมง ➡️ รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 20W ✅ ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ใหม่ ➡️ iOS 26 มาพร้อม Apple Intelligence สำหรับแปลภาษา, ค้นหาจากภาพ, และจัดการข้อความ ➡️ รองรับ Live Translation, Visual Intelligence และ Apple Games ➡️ ใช้ eSIM เท่านั้น รองรับกว่า 500 ผู้ให้บริการทั่วโลก ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ เริ่มต้นที่ $999 สำหรับรุ่น 256GB ➡️ มีรุ่น 512GB และ 1TB ให้เลือก ➡️ เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน https://www.apple.com/newsroom/2025/09/introducing-iphone-air-a-powerful-new-iphone-with-a-breakthrough-design/
    WWW.APPLE.COM
    Introducing iPhone Air, a powerful new iPhone with a breakthrough design
    Apple today debuted the all-new iPhone Air, the thinnest iPhone ever made, with pro performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts