• 👁️‍🗨️ 48 ปี “ปีศาจโดเวอร์” สิ่งมีชีวิตลึกลับแห่งแมสซาชูเซตส์ ตำนานปริศนาอเมริกา ที่ยังไร้คำอธิบาย

    เปิดตำนานปริศนาสุดลึกลับ จากสหรัฐอเมริกา กับสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับทิ้งคำถาม ไว้ให้โลกค้นหามานานถึงครึ่งศตวรรษ

    🎯 เมื่อ “สิ่งลึกลับ” ปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่วินาที... แต่คนทั้งเมืองจดจำมันได้เป็นสิบปี หากเป็นหนึ่งในคนที่ชอบเรื่องลี้ลับ ชอบฟังตำนานเมือง หรือหลงใหลในเรื่องสิ่งมีชีวิตประหลาดแบบ “X-Files” หรือ “Stranger Things” ไม่ควรพลาดตำนานของ “ปีศาจโดเวอร์” (Dover Demon) 🛸

    ปี พ.ศ. 2520 คือปีที่ชื่อของ “Dover Demon” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า “โดเวอร์” รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดที่มีหัวโต ตาเรืองแสง ไม่มีจมูกปาก แขนขายาว ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย และสำคัญที่สุด ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า มันคืออะไร ❓

    👹 ตำนานที่เริ่มต้นจาก “ความบังเอิญ” เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2520 ในคืนเดือนมืด วันพฤหัสบดีอันเงียบสงบของเมืองโดเวอร์ กลับกลายเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิต ของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปตลอดกาล…

    "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" (Bill Bartlett) วัย 17 ปี กำลังขับรถกับเพื่อน ๆ ในถนนสายเปลี่ยว จู่ ๆ เขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์แปลกประหลาดปีนไปตามกำแพงเตี้ย ๆ ข้างถนน มันมีหัวโตมาก ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก และผิวของมันดูเหมือน “ทรายเปียก” 🌑

    เสียงของเพื่อนอาจไม่ได้ยิน แต่ภาพนั้นกลับตราตรึงบาร์ทเล็ทท์ ไปตลอดชีวิต เขาถึงขั้นวาดภาพสิ่งที่เห็น ออกมาในคืนนั้นเลยทันที

    การพบเห็นอีก 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงถัดมา

    "จอห์น แบกซ์เตอร์" วัย 15 ปี พบเห็นสิ่งมีชีวิตเดียวกัน ในช่วงเช้ามืดของวันถัดมา

    "แอ็บบี อับราฮัม" และ "วิลล์ เทนเตอร์" ก็พบเห็นรูปร่างคล้ายกัน ขณะขับรถบนถนนอีกสาย ที่อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากจุดแรก

    ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในรัศมีเพียง 4 กิโลเมตร ‼️ และแม้จะเป็นวัยรุ่นต่างกลุ่ม ต่างสถานที่ ต่างช่วงเวลา แต่คำอธิบายของพวกเขา กลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ

    🧠 ความสำคัญของปีศาจโดเวอร์ ในแง่วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม การพบเห็นสิ่งลึกลับเพียงไม่กี่วินาที ทำไมถึงกลายเป็นตำนาน ที่คนทั้งโลกพูดถึง? 🤔

    มุมมองเชิงจิตวิทยา นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า เรื่องของ “ปีศาจโดเวอร์” อาจเป็นผลจากการรับรู้ผิดเพี้ยน (misperception) หรือการตีความสิ่งที่เห็นผิดจากความจริง อันเนื่องมาจากสภาพแสง เงา และความกลัว

    👁️‍🗨️ “เราเห็นสิ่งที่เรา อยากเห็น มากกว่าสิ่งที่ มันเป็นจริง ๆ”

    แต่ถ้าแค่คนเดียวที่เห็นผิด ยังพอเข้าใจได้... แล้วทำไมถึงมีคนเห็นคล้ายกันถึง 3 กลุ่ม ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง? นี่คือสิ่งที่ทำให้ปีศาจโดเวอร์ ไม่ใช่แค่เรื่องหลอนกลางคืน ธรรมดา

    มุมมองเชิงวัฒนธรรม ปีศาจโดเวอร์ได้รับการบันทึกโดย "Loren Coleman" ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cryptozoology หรือการศึกษาสิ่งมีชีวิตลึกลับ และเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์และสารคดี ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายจนกลายเป็น Urban Legend หรือ “ตำนานเมือง” ที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง 🌍

    💬 ความเชื่อและทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับปีศาจโดเวอร์

    👽 มนุษย์ต่างดาว (Alien Theory) ด้วยรูปลักษณ์ที่หัวโต ตาใหญ่ คล้ายกับ “Grey Alien” ในวัฒนธรรมป๊อป หลายคนจึงเชื่อว่า ปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือ “สปาย” จากกาแล็กซีอื่นที่กำลังสำรวจโลกอยู่ 🛸

    🧬 สิ่งมีชีวิตทดลองหลุดจากห้องแล็บ? อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าขนลุกไม่น้อย คือปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นผลผลิตของการทดลองทางพันธุกรรม ที่ผิดพลาด และหลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก โดยไม่ได้ตั้งใจ

    🧠 ภาพลวงตาหรือจินตนาการ? ฝ่ายที่ไม่เชื่อ มักมองว่าทั้งหมด เป็นเพียงจินตนาการของวัยรุ่นที่ตื่นเต้น หรืออาจเป็นอาการ hypnagogic hallucination คือภาพหลอนช่วงก่อนหลับ ที่สมองสร้างขึ้นเองจากความกลัว

    🔍 รายละเอียดการพบเห็นทั้ง 3 ครั้ง

    📍 กรณีที่ 1 "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" เห็นครั้งแรก 21 เม.ย. 2520 พบสิ่งมีชีวิตปีนกำแพง ลักษณะหัวใหญ่ ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก แขนขายาว ผิวเหมือนกระดาษทราย สูงประมาณ 4 ฟุต หรือ 1.2 เมตร วาดภาพไว้เป็นหลักฐานทันที หลังเหตุการณ์

    📍 กรณีที่ 2 "จอห์น แบกซ์เตอร์" การเผชิญหน้าใกล้ 22 เม.ย. 2520 ตี 1 พบสิ่งมีชีวิตเดินสวนทางมา รูปร่างคล้ายลิง แต่ไม่มีขน ตาเขียว ผิวดำ ใช้นิ้วยาวโอบต้นไม้ คล้ายพฤติกรรมลิง

    📍 กรณีที่ 3 "แอ็บบี และวิลล์" บังเอิญเจออีกครั้ง 22 เม.ย. 2520 เที่ยงคืน เห็นรูปร่างคล้าย “แพะ” ยืนอยู่ข้างถนน ดวงตาสะท้อนแสงสีเขียว เมื่อต้องไฟหน้ารถ

    📌 ปีศาจโดเวอร์กับตำนานในอเมริกาอื่น ๆ

    The Rake ผิวซีด เดิน 4 ขา ไร้ขน รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน

    Mothman มนุษย์มีปีก ดวงตาแดง ความหลอนในช่วงเวลาเฉพาะ

    Grey Alien หัวโต ผิวเทา ตาดำ ตรงลักษณะกายภาพที่สุด

    🇹🇭 เปรียบเทียบกับตำนานลึกลับในไทย

    👻 กระสือ สิ่งลี้ลับที่เห็นเฉพาะกลางคืน ไม่มีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์

    🌊 พรายน้ำ สิ่งมีชีวิตลึกลับในแหล่งน้ำ ที่คนเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง

    🙏 ผีเปรต ร่างสูง ผอม หวาดกลัว แต่ไม่ใช่สัตว์

    😱 แม่นาคพระโขนง สิ่งลี้ลับระหว่างความเป็นคน กับวิญญาณ

    ปีศาจโดเวอร์ใกล้เคียงที่สุดกับ “กระสือ” หรือ “พรายน้ำ” ที่เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และเห็นเพียงบางช่วงเวลา

    🧩 เรื่องเล่าที่ไม่มีวันหายไป แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 48 ปี แล้ว แต่คำถามที่ว่า “ปีศาจโดเวอร์คืออะไรกันแน่?” ยังคงไม่ได้รับคำตอบ

    จะเป็นเอเลี่ยน สัตว์ทดลอง ภาพลวงตา หรือปีศาจในตำนานอินเดียแดง สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ มันได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ไว้ในใจผู้คน และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือ สารคดี และแม้แต่ในเกมบางเกม 🎮

    “บางเรื่อง... ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เสมอไป แค่มีคนเล่า... มันก็อยู่ได้ตลอดไปแล้ว” 👣

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210817 เม.ย. 2568

    📲 #ปีศาจโดเวอร์ #DoverDemon #สิ่งมีชีวิตลึกลับ #UrbanLegend #เรื่องลี้ลับอเมริกา #มนุษย์ต่างดาว #GreyAlien #Mothman #TheRake #ตำนานเมือง
    👁️‍🗨️ 48 ปี “ปีศาจโดเวอร์” สิ่งมีชีวิตลึกลับแห่งแมสซาชูเซตส์ ตำนานปริศนาอเมริกา ที่ยังไร้คำอธิบาย เปิดตำนานปริศนาสุดลึกลับ จากสหรัฐอเมริกา กับสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับทิ้งคำถาม ไว้ให้โลกค้นหามานานถึงครึ่งศตวรรษ 🎯 เมื่อ “สิ่งลึกลับ” ปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่วินาที... แต่คนทั้งเมืองจดจำมันได้เป็นสิบปี หากเป็นหนึ่งในคนที่ชอบเรื่องลี้ลับ ชอบฟังตำนานเมือง หรือหลงใหลในเรื่องสิ่งมีชีวิตประหลาดแบบ “X-Files” หรือ “Stranger Things” ไม่ควรพลาดตำนานของ “ปีศาจโดเวอร์” (Dover Demon) 🛸 ปี พ.ศ. 2520 คือปีที่ชื่อของ “Dover Demon” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า “โดเวอร์” รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดที่มีหัวโต ตาเรืองแสง ไม่มีจมูกปาก แขนขายาว ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย และสำคัญที่สุด ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า มันคืออะไร ❓ 👹 ตำนานที่เริ่มต้นจาก “ความบังเอิญ” เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2520 ในคืนเดือนมืด วันพฤหัสบดีอันเงียบสงบของเมืองโดเวอร์ กลับกลายเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิต ของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปตลอดกาล… "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" (Bill Bartlett) วัย 17 ปี กำลังขับรถกับเพื่อน ๆ ในถนนสายเปลี่ยว จู่ ๆ เขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์แปลกประหลาดปีนไปตามกำแพงเตี้ย ๆ ข้างถนน มันมีหัวโตมาก ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก และผิวของมันดูเหมือน “ทรายเปียก” 🌑 เสียงของเพื่อนอาจไม่ได้ยิน แต่ภาพนั้นกลับตราตรึงบาร์ทเล็ทท์ ไปตลอดชีวิต เขาถึงขั้นวาดภาพสิ่งที่เห็น ออกมาในคืนนั้นเลยทันที การพบเห็นอีก 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงถัดมา "จอห์น แบกซ์เตอร์" วัย 15 ปี พบเห็นสิ่งมีชีวิตเดียวกัน ในช่วงเช้ามืดของวันถัดมา "แอ็บบี อับราฮัม" และ "วิลล์ เทนเตอร์" ก็พบเห็นรูปร่างคล้ายกัน ขณะขับรถบนถนนอีกสาย ที่อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากจุดแรก ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในรัศมีเพียง 4 กิโลเมตร ‼️ และแม้จะเป็นวัยรุ่นต่างกลุ่ม ต่างสถานที่ ต่างช่วงเวลา แต่คำอธิบายของพวกเขา กลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ 🧠 ความสำคัญของปีศาจโดเวอร์ ในแง่วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม การพบเห็นสิ่งลึกลับเพียงไม่กี่วินาที ทำไมถึงกลายเป็นตำนาน ที่คนทั้งโลกพูดถึง? 🤔 มุมมองเชิงจิตวิทยา นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า เรื่องของ “ปีศาจโดเวอร์” อาจเป็นผลจากการรับรู้ผิดเพี้ยน (misperception) หรือการตีความสิ่งที่เห็นผิดจากความจริง อันเนื่องมาจากสภาพแสง เงา และความกลัว 👁️‍🗨️ “เราเห็นสิ่งที่เรา อยากเห็น มากกว่าสิ่งที่ มันเป็นจริง ๆ” แต่ถ้าแค่คนเดียวที่เห็นผิด ยังพอเข้าใจได้... แล้วทำไมถึงมีคนเห็นคล้ายกันถึง 3 กลุ่ม ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง? นี่คือสิ่งที่ทำให้ปีศาจโดเวอร์ ไม่ใช่แค่เรื่องหลอนกลางคืน ธรรมดา มุมมองเชิงวัฒนธรรม ปีศาจโดเวอร์ได้รับการบันทึกโดย "Loren Coleman" ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cryptozoology หรือการศึกษาสิ่งมีชีวิตลึกลับ และเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์และสารคดี ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายจนกลายเป็น Urban Legend หรือ “ตำนานเมือง” ที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง 🌍 💬 ความเชื่อและทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับปีศาจโดเวอร์ 👽 มนุษย์ต่างดาว (Alien Theory) ด้วยรูปลักษณ์ที่หัวโต ตาใหญ่ คล้ายกับ “Grey Alien” ในวัฒนธรรมป๊อป หลายคนจึงเชื่อว่า ปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือ “สปาย” จากกาแล็กซีอื่นที่กำลังสำรวจโลกอยู่ 🛸 🧬 สิ่งมีชีวิตทดลองหลุดจากห้องแล็บ? อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าขนลุกไม่น้อย คือปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นผลผลิตของการทดลองทางพันธุกรรม ที่ผิดพลาด และหลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก โดยไม่ได้ตั้งใจ 🧠 ภาพลวงตาหรือจินตนาการ? ฝ่ายที่ไม่เชื่อ มักมองว่าทั้งหมด เป็นเพียงจินตนาการของวัยรุ่นที่ตื่นเต้น หรืออาจเป็นอาการ hypnagogic hallucination คือภาพหลอนช่วงก่อนหลับ ที่สมองสร้างขึ้นเองจากความกลัว 🔍 รายละเอียดการพบเห็นทั้ง 3 ครั้ง 📍 กรณีที่ 1 "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" เห็นครั้งแรก 21 เม.ย. 2520 พบสิ่งมีชีวิตปีนกำแพง ลักษณะหัวใหญ่ ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก แขนขายาว ผิวเหมือนกระดาษทราย สูงประมาณ 4 ฟุต หรือ 1.2 เมตร วาดภาพไว้เป็นหลักฐานทันที หลังเหตุการณ์ 📍 กรณีที่ 2 "จอห์น แบกซ์เตอร์" การเผชิญหน้าใกล้ 22 เม.ย. 2520 ตี 1 พบสิ่งมีชีวิตเดินสวนทางมา รูปร่างคล้ายลิง แต่ไม่มีขน ตาเขียว ผิวดำ ใช้นิ้วยาวโอบต้นไม้ คล้ายพฤติกรรมลิง 📍 กรณีที่ 3 "แอ็บบี และวิลล์" บังเอิญเจออีกครั้ง 22 เม.ย. 2520 เที่ยงคืน เห็นรูปร่างคล้าย “แพะ” ยืนอยู่ข้างถนน ดวงตาสะท้อนแสงสีเขียว เมื่อต้องไฟหน้ารถ 📌 ปีศาจโดเวอร์กับตำนานในอเมริกาอื่น ๆ The Rake ผิวซีด เดิน 4 ขา ไร้ขน รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน Mothman มนุษย์มีปีก ดวงตาแดง ความหลอนในช่วงเวลาเฉพาะ Grey Alien หัวโต ผิวเทา ตาดำ ตรงลักษณะกายภาพที่สุด 🇹🇭 เปรียบเทียบกับตำนานลึกลับในไทย 👻 กระสือ สิ่งลี้ลับที่เห็นเฉพาะกลางคืน ไม่มีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ 🌊 พรายน้ำ สิ่งมีชีวิตลึกลับในแหล่งน้ำ ที่คนเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง 🙏 ผีเปรต ร่างสูง ผอม หวาดกลัว แต่ไม่ใช่สัตว์ 😱 แม่นาคพระโขนง สิ่งลี้ลับระหว่างความเป็นคน กับวิญญาณ ปีศาจโดเวอร์ใกล้เคียงที่สุดกับ “กระสือ” หรือ “พรายน้ำ” ที่เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และเห็นเพียงบางช่วงเวลา 🧩 เรื่องเล่าที่ไม่มีวันหายไป แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 48 ปี แล้ว แต่คำถามที่ว่า “ปีศาจโดเวอร์คืออะไรกันแน่?” ยังคงไม่ได้รับคำตอบ จะเป็นเอเลี่ยน สัตว์ทดลอง ภาพลวงตา หรือปีศาจในตำนานอินเดียแดง สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ มันได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ไว้ในใจผู้คน และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือ สารคดี และแม้แต่ในเกมบางเกม 🎮 “บางเรื่อง... ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เสมอไป แค่มีคนเล่า... มันก็อยู่ได้ตลอดไปแล้ว” 👣 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210817 เม.ย. 2568 📲 #ปีศาจโดเวอร์ #DoverDemon #สิ่งมีชีวิตลึกลับ #UrbanLegend #เรื่องลี้ลับอเมริกา #มนุษย์ต่างดาว #GreyAlien #Mothman #TheRake #ตำนานเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • เห็นเค้าทำ ก็เลยไปหาข้อมูล .. ช่วงหมกมุ่น เพื่อความบันทึกใจ

    แว๊ปแรก คนสวมหน้ากาก นึกถึงใครบ้างคนเลย สาราวัตร..

    #ไม่ว่างจริงทำไม่ได้ 😁😁
    เห็นเค้าทำ ก็เลยไปหาข้อมูล .. ช่วงหมกมุ่น เพื่อความบันทึกใจ แว๊ปแรก คนสวมหน้ากาก นึกถึงใครบ้างคนเลย สาราวัตร.. #ไม่ว่างจริงทำไม่ได้ 😁😁
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 91 ปี “เนสซี” เผยโฉม 🐉 สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนสส์ ตำนานลวงโลก หรือปริศนาแห่งความจริง?

    จากภาพลวงตา สู่ปริศนาระดับโลก ✨ ตำนานแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์ ที่แม้ถูกแฉว่า "หลอกลวง" แต่ก็ยังไม่มีใครหยุดตามหาได้

    ✨ ตำนานที่ยังมีชีวิต ทุกคนคงเคยได้ยินชื่อ "เนสซี" 🐲 หรือ สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนสส์ (Loch Ness Monster) อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ไม่ว่าจะผ่านสารคดี รายการทีวี หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่การ์ตูน เนสซีได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความลึกลับ ที่ดึงดูดจินตนาการของคนทั่วโลก มานานกว่า 9 ทศวรรษ 🕰️

    ปีนี้ พ.ศ. 2568 เป็นวาระครบ 91 ปี ของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่ทำให้ชื่อของเนสซี กลายเป็นตำนานระดับโลก นั่นคือ ภาพถ่าย “Surgeon's Photograph” อันโด่งดังในปี 2477 ซึ่งกลายเป็น "หลักฐาน" แรก ที่ทำให้คนทั้งโลกเชื่อว่า สัตว์ประหลาดในทะเลสาบมีอยู่จริง...

    แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความจริงบางอย่างก็ค่อยๆ ปรากฏ จนกลายเป็นคำถามว่า… “เนสซี” มีอยู่จริง หรือเป็นแค่ เรื่องแต่ง?

    🐉 "เนสซี" หรือ Loch Ness Monster เป็นชื่อเรียกของสัตว์ประหลาดลึกลับ ที่เชื่อกันว่า อาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อคเนสส์ (Loch Ness) ทางตอนเหนือของประเทศสก็อตแลนด์ ลักษณะที่ถูกบรรยายมักเป็นสัตว์คอยาว 🦕 ตัวใหญ่คล้ายไดโนเสาร์น้ำโบราณ

    จุดเริ่มต้นของตำนานนี้ มาจากเหตุการณ์ในวันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2477 เมื่อ "โรเบิร์ต เคนเน็ธ วิลสัน" (Robert Kenneth Wilson) สูตินรีแพทย์ชาวอังกฤษ ได้ถ่ายภาพที่ดูเหมือนหัว และคอของสัตว์ประหลาดโผล่พ้นผิวน้ำ ภาพนี้ถูกตีพิมพ์ไปทั่วโลกในชื่อว่า “Surgeon’s Photograph” 📸 และกลายเป็นไวรัลในยุคนั้น!

    ภาพนั้นคือสิ่งที่เปลี่ยน เรื่องเล่าในท้องถิ่น ให้กลายเป็นข่าวระดับโลกทันที แต่กว่า 60 ปี ต่อมา ความจริงก็ถูกเปิดเผย… 📜

    🕵️‍♂️ ภาพปลอมที่สร้างความเชื่อทั้งโลก ในปี 2541 ความจริงที่สะเทือนโลกก็เปิดเผยโดย "คริสเตียน สเปอร์ลิง" (Christian Spurling) หนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับภาพถ่ายว่า แท้จริงแล้วภาพนั้นคือ “ของปลอม” ❌

    พวกเขาใช้หุ่นจำลอง ติดกับเรือดำน้ำของเล่น แล้วจัดฉากถ่ายภาพเพื่อหลอกผู้คน ซึ่งพวกเขาทำเพราะต้องการ “เอาคืน” สื่อที่เคยทำให้ญาติของเขาเสียชื่อเสียง

    แม้จะเป็นเรื่องโกหก... แต่กลับไม่มีใครหยุดตามหา "เนสซี" ได้เลย 🧭

    🔍 ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ยังคงมี “ความเชื่อ” จนถึงปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถหาหลักฐานชัดเจนว่า เนสซีมีตัวตนอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็น...

    🦴 โครงกระดูก

    🐋 ซากสัตว์

    📷 ภาพถ่าย หรือวิดีโอที่ชัด 100%

    🧬 DNA ของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ชนิดใหม่

    แต่ในทางกลับกัน “เนสซี” ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเล่านิทาน เพราะยังมี... 📚 หลักฐานและข้อเท็จจริง ที่ทำให้คนยังเชื่อ

    ✅ รายงานการพบเห็นกว่า 1,100 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2476 จนถึงปัจจุบัน มีการบันทึกการพบเห็น "เนสซี" มากกว่า 1,159 ครั้ง และบางครั้งยังมีภาพถ่าย วิดีโอ หรือการจับสัญญาณแปลกๆ จากโซนาร์

    ✅ ภาพถ่ายและคลิปที่ยังอธิบายไม่ได้ แม้บางภาพจะไม่ชัดเจน หรือเป็นของปลอม แต่ก็มีหลายภาพ ที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ จนถึงปัจจุบัน

    ✅ โซนาร์จับวัตถุขนาดใหญ่ใต้น้ำ มีรายงานว่า โซนาร์ตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ ในทะเลสาบได้ โดยเฉพาะบริเวณจุดลึกกลางทะเลสาบ

    ✅ นักวิทยาศาสตร์บางส่วน “ไม่ปฏิเสธ” นักวิจัยบางคนยังเชื่อว่า อาจมีสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ถูกค้นพบ อาศัยอยู่ในทะเลสาบ ที่กว้างและลึกแห่งนี้

    🔬 ทฤษฎีปลาไหลยักษ์ คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุด? ในปี 2562 มีการศึกษาด้วยวิธี eDNA (Environmental DNA) จากทีมของ "ศาสตราจารย์ Neil Gemmell" ที่เก็บตัวอย่างน้ำกว่า 250 จุดในทะเลสาบล็อกเนสส์ เพื่อดูว่ามี DNA ของสิ่งมีชีวิตชนิดใดอยู่บ้าง

    ผลลัพธ์คือ พบ DNA ของ ปลาไหลยุโรป (European Eel) จำนวนมาก แต่ไม่พบ DNA ของไดโนเสาร์ หรือสัตว์เลื้อยคลานโบราณ อีกทั้งยังไม่พบหลักฐาน ของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่เช่น วาฬ

    📌 ความเป็นไปได้ ของทฤษฎีปลาไหลยักษ์คือ มีรูปร่างคล้ายที่พยานบรรยาย มีอยู่จริงในทะเลสาบ และมีพฤติกรรมว่ายน้ำลึกลับ

    📌 แต่ก็มีข้อโต้แย้งคือ ไม่เคยพบปลาไหลที่ยาวกว่า 2 เมตรจริงๆ ปลาไหลไม่ค่อยโผล่พ้นน้ำแบบสัตว์คอยาว หากมีปลาไหลยักษ์อยู่จริง ควรมีคนถ่ายภาพได้ชัดกว่านี้

    🌍 จุดที่พบเห็น "เนสซี" บ่อยที่สุด

    🏰 Urquhart Bay ใกล้ปราสาท Urquhart จุดชมวิวที่ได้รับรายงานพบเห็น มากที่สุดในประวัติศาสตร์

    ใกล้หมู่บ้าน Drumnadrochit มีพิพิธภัณฑ์ Loch Ness Centre และมีผู้เชี่ยวชาญประจำ

    ใจกลางทะเลสาบ ลึกกว่า 200 เมตร โซนาร์ตรวจพบวัตถุลึกลับบ่อยครั้ง

    ริมทะเลสาบฝั่งเมือง Inverness มีถนน A82 เลียบทะเลสาบ ผ่านผู้คนมาก ทำให้มีรายงานมากในอดีต

    🧠 ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา? นักวิทยาศาสตร์หลายคนเสนอว่า เนสซีอาจเป็นผลของปรากฏการณ์ ที่เรียกว่า Pareidolia คือ... “สมองของมนุษย์พยายามตีความภาพที่ไม่ชัดเจน ให้กลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย เช่น รูปสัตว์ หน้าคน หรือร่างลึกลับ” 👀 บวกกับความลึกลับ บรรยากาศหมอกปกคลุม และการคาดหวัง ก็ทำให้ผู้คน "เชื่อ" ได้ง่ายขึ้น

    📖 10 ข้อเท็จจริงที่ไม่ใช่แค่ตำนาน
    1. ทะเลสาบล็อคเนสส์ยาว 37 กม. ลึกเกือบ 230 เมตร
    2. ภาพ "Surgeon's Photograph" ถูกพิสูจน์ว่าเป็นของปลอม
    3. ตรวจพบ eDNA ของปลาไหลในปริมาณมาก
    4. ใช้โซนาร์ตรวจสอบหลายรอบ แต่ยังไม่พบสัตว์ประหลาด
    5. ล็อคเนสส์ไม่มีทางเชื่อมกับทะเล เปิดโอกาสการมีสัตว์ทะเลต่ำ
    6. รายงานพบเห็นเพิ่มขึ้น หลังมีถนนเลียบทะเลสาบ
    7. BBC เคยทำสารคดีพิสูจน์เรื่องนี้โดยตรง
    5. หลายกรณีพบว่าเป็นฟองอากาศ ท่อนไม้ หรือนกน้ำ
    9. การพบเห็นล่าสุดยังมีอยู่ทุกปี
    10. เนสซีเป็นตัวดึงดูดการท่องเที่ยวสำคัญ ของสก็อตแลนด์ 💰

    🎯 ตำนานอมตะที่ยังไม่มีบทจบ “เนสซี” ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่า แต่เป็นสัญลักษณ์ของ ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ที่ไม่เคยหยุดตามหาความจริง 🔍

    แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเนสซีมีอยู่จริง แต่ “ปริศนา” นี้ก็ยังไม่มีใครไขได้ทั้งหมด

    นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ “เนสซี” ยังคง มีชีวิตในจินตนาการของผู้คน และอาจจะยังอยู่ในคลื่นลึก ของทะเลสาบล็อคเนสส์... หรือในหัวใจของคนที่อยากเชื่อว่า “สิ่งลึกลับ” ยังมีอยู่จริงในโลกใบนี้ 🌍💙

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 191553 เม.ย. 2568

    📣 #Nessie #LochNessMonster #เนสซี #ตำนานเนสซี #สัตว์ประหลาดล็อคเนสส์
    #LochNess #MysteryOfNessie #ค้นหาความจริง #เนสซีมีอยู่จริงไหม #ภาพหลอนหรือตัวจริง
    91 ปี “เนสซี” เผยโฉม 🐉 สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนสส์ ตำนานลวงโลก หรือปริศนาแห่งความจริง? จากภาพลวงตา สู่ปริศนาระดับโลก ✨ ตำนานแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์ ที่แม้ถูกแฉว่า "หลอกลวง" แต่ก็ยังไม่มีใครหยุดตามหาได้ ✨ ตำนานที่ยังมีชีวิต ทุกคนคงเคยได้ยินชื่อ "เนสซี" 🐲 หรือ สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนสส์ (Loch Ness Monster) อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ไม่ว่าจะผ่านสารคดี รายการทีวี หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่การ์ตูน เนสซีได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความลึกลับ ที่ดึงดูดจินตนาการของคนทั่วโลก มานานกว่า 9 ทศวรรษ 🕰️ ปีนี้ พ.ศ. 2568 เป็นวาระครบ 91 ปี ของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่ทำให้ชื่อของเนสซี กลายเป็นตำนานระดับโลก นั่นคือ ภาพถ่าย “Surgeon's Photograph” อันโด่งดังในปี 2477 ซึ่งกลายเป็น "หลักฐาน" แรก ที่ทำให้คนทั้งโลกเชื่อว่า สัตว์ประหลาดในทะเลสาบมีอยู่จริง... แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความจริงบางอย่างก็ค่อยๆ ปรากฏ จนกลายเป็นคำถามว่า… “เนสซี” มีอยู่จริง หรือเป็นแค่ เรื่องแต่ง? 🐉 "เนสซี" หรือ Loch Ness Monster เป็นชื่อเรียกของสัตว์ประหลาดลึกลับ ที่เชื่อกันว่า อาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อคเนสส์ (Loch Ness) ทางตอนเหนือของประเทศสก็อตแลนด์ ลักษณะที่ถูกบรรยายมักเป็นสัตว์คอยาว 🦕 ตัวใหญ่คล้ายไดโนเสาร์น้ำโบราณ จุดเริ่มต้นของตำนานนี้ มาจากเหตุการณ์ในวันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2477 เมื่อ "โรเบิร์ต เคนเน็ธ วิลสัน" (Robert Kenneth Wilson) สูตินรีแพทย์ชาวอังกฤษ ได้ถ่ายภาพที่ดูเหมือนหัว และคอของสัตว์ประหลาดโผล่พ้นผิวน้ำ ภาพนี้ถูกตีพิมพ์ไปทั่วโลกในชื่อว่า “Surgeon’s Photograph” 📸 และกลายเป็นไวรัลในยุคนั้น! ภาพนั้นคือสิ่งที่เปลี่ยน เรื่องเล่าในท้องถิ่น ให้กลายเป็นข่าวระดับโลกทันที แต่กว่า 60 ปี ต่อมา ความจริงก็ถูกเปิดเผย… 📜 🕵️‍♂️ ภาพปลอมที่สร้างความเชื่อทั้งโลก ในปี 2541 ความจริงที่สะเทือนโลกก็เปิดเผยโดย "คริสเตียน สเปอร์ลิง" (Christian Spurling) หนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับภาพถ่ายว่า แท้จริงแล้วภาพนั้นคือ “ของปลอม” ❌ พวกเขาใช้หุ่นจำลอง ติดกับเรือดำน้ำของเล่น แล้วจัดฉากถ่ายภาพเพื่อหลอกผู้คน ซึ่งพวกเขาทำเพราะต้องการ “เอาคืน” สื่อที่เคยทำให้ญาติของเขาเสียชื่อเสียง แม้จะเป็นเรื่องโกหก... แต่กลับไม่มีใครหยุดตามหา "เนสซี" ได้เลย 🧭 🔍 ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ยังคงมี “ความเชื่อ” จนถึงปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถหาหลักฐานชัดเจนว่า เนสซีมีตัวตนอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็น... 🦴 โครงกระดูก 🐋 ซากสัตว์ 📷 ภาพถ่าย หรือวิดีโอที่ชัด 100% 🧬 DNA ของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ชนิดใหม่ แต่ในทางกลับกัน “เนสซี” ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเล่านิทาน เพราะยังมี... 📚 หลักฐานและข้อเท็จจริง ที่ทำให้คนยังเชื่อ ✅ รายงานการพบเห็นกว่า 1,100 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2476 จนถึงปัจจุบัน มีการบันทึกการพบเห็น "เนสซี" มากกว่า 1,159 ครั้ง และบางครั้งยังมีภาพถ่าย วิดีโอ หรือการจับสัญญาณแปลกๆ จากโซนาร์ ✅ ภาพถ่ายและคลิปที่ยังอธิบายไม่ได้ แม้บางภาพจะไม่ชัดเจน หรือเป็นของปลอม แต่ก็มีหลายภาพ ที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ จนถึงปัจจุบัน ✅ โซนาร์จับวัตถุขนาดใหญ่ใต้น้ำ มีรายงานว่า โซนาร์ตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ ในทะเลสาบได้ โดยเฉพาะบริเวณจุดลึกกลางทะเลสาบ ✅ นักวิทยาศาสตร์บางส่วน “ไม่ปฏิเสธ” นักวิจัยบางคนยังเชื่อว่า อาจมีสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ถูกค้นพบ อาศัยอยู่ในทะเลสาบ ที่กว้างและลึกแห่งนี้ 🔬 ทฤษฎีปลาไหลยักษ์ คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุด? ในปี 2562 มีการศึกษาด้วยวิธี eDNA (Environmental DNA) จากทีมของ "ศาสตราจารย์ Neil Gemmell" ที่เก็บตัวอย่างน้ำกว่า 250 จุดในทะเลสาบล็อกเนสส์ เพื่อดูว่ามี DNA ของสิ่งมีชีวิตชนิดใดอยู่บ้าง ผลลัพธ์คือ พบ DNA ของ ปลาไหลยุโรป (European Eel) จำนวนมาก แต่ไม่พบ DNA ของไดโนเสาร์ หรือสัตว์เลื้อยคลานโบราณ อีกทั้งยังไม่พบหลักฐาน ของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่เช่น วาฬ 📌 ความเป็นไปได้ ของทฤษฎีปลาไหลยักษ์คือ มีรูปร่างคล้ายที่พยานบรรยาย มีอยู่จริงในทะเลสาบ และมีพฤติกรรมว่ายน้ำลึกลับ 📌 แต่ก็มีข้อโต้แย้งคือ ไม่เคยพบปลาไหลที่ยาวกว่า 2 เมตรจริงๆ ปลาไหลไม่ค่อยโผล่พ้นน้ำแบบสัตว์คอยาว หากมีปลาไหลยักษ์อยู่จริง ควรมีคนถ่ายภาพได้ชัดกว่านี้ 🌍 จุดที่พบเห็น "เนสซี" บ่อยที่สุด 🏰 Urquhart Bay ใกล้ปราสาท Urquhart จุดชมวิวที่ได้รับรายงานพบเห็น มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ใกล้หมู่บ้าน Drumnadrochit มีพิพิธภัณฑ์ Loch Ness Centre และมีผู้เชี่ยวชาญประจำ ใจกลางทะเลสาบ ลึกกว่า 200 เมตร โซนาร์ตรวจพบวัตถุลึกลับบ่อยครั้ง ริมทะเลสาบฝั่งเมือง Inverness มีถนน A82 เลียบทะเลสาบ ผ่านผู้คนมาก ทำให้มีรายงานมากในอดีต 🧠 ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา? นักวิทยาศาสตร์หลายคนเสนอว่า เนสซีอาจเป็นผลของปรากฏการณ์ ที่เรียกว่า Pareidolia คือ... “สมองของมนุษย์พยายามตีความภาพที่ไม่ชัดเจน ให้กลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย เช่น รูปสัตว์ หน้าคน หรือร่างลึกลับ” 👀 บวกกับความลึกลับ บรรยากาศหมอกปกคลุม และการคาดหวัง ก็ทำให้ผู้คน "เชื่อ" ได้ง่ายขึ้น 📖 10 ข้อเท็จจริงที่ไม่ใช่แค่ตำนาน 1. ทะเลสาบล็อคเนสส์ยาว 37 กม. ลึกเกือบ 230 เมตร 2. ภาพ "Surgeon's Photograph" ถูกพิสูจน์ว่าเป็นของปลอม 3. ตรวจพบ eDNA ของปลาไหลในปริมาณมาก 4. ใช้โซนาร์ตรวจสอบหลายรอบ แต่ยังไม่พบสัตว์ประหลาด 5. ล็อคเนสส์ไม่มีทางเชื่อมกับทะเล เปิดโอกาสการมีสัตว์ทะเลต่ำ 6. รายงานพบเห็นเพิ่มขึ้น หลังมีถนนเลียบทะเลสาบ 7. BBC เคยทำสารคดีพิสูจน์เรื่องนี้โดยตรง 5. หลายกรณีพบว่าเป็นฟองอากาศ ท่อนไม้ หรือนกน้ำ 9. การพบเห็นล่าสุดยังมีอยู่ทุกปี 10. เนสซีเป็นตัวดึงดูดการท่องเที่ยวสำคัญ ของสก็อตแลนด์ 💰 🎯 ตำนานอมตะที่ยังไม่มีบทจบ “เนสซี” ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่า แต่เป็นสัญลักษณ์ของ ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ที่ไม่เคยหยุดตามหาความจริง 🔍 แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเนสซีมีอยู่จริง แต่ “ปริศนา” นี้ก็ยังไม่มีใครไขได้ทั้งหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ “เนสซี” ยังคง มีชีวิตในจินตนาการของผู้คน และอาจจะยังอยู่ในคลื่นลึก ของทะเลสาบล็อคเนสส์... หรือในหัวใจของคนที่อยากเชื่อว่า “สิ่งลึกลับ” ยังมีอยู่จริงในโลกใบนี้ 🌍💙 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 191553 เม.ย. 2568 📣 #Nessie #LochNessMonster #เนสซี #ตำนานเนสซี #สัตว์ประหลาดล็อคเนสส์ #LochNess #MysteryOfNessie #ค้นหาความจริง #เนสซีมีอยู่จริงไหม #ภาพหลอนหรือตัวจริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้จาก CSO Online เตือนถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดจาก AI ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ (Autopoietic AI) ซึ่งเป็นระบบที่สามารถ เขียนโปรแกรมตัวเองใหม่ และปรับเปลี่ยนการทำงานโดยไม่มีการควบคุมจากมนุษย์ โดยนักวิจัยระบุว่า องค์กรขนาดเล็กและหน่วยงานสาธารณะ อาจเผชิญความเสี่ยงสูง เนื่องจากขาดทรัพยากรในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ AI

    ✅ AI ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองได้สามารถสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    - ระบบ AI อาจ ลดความเข้มงวดของการตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    - ตัวอย่างเช่น ระบบกรองอีเมลอาจ ลดการบล็อกอีเมลฟิชชิง เพื่อหลีกเลี่ยงการร้องเรียนจากผู้ใช้

    ✅ การเปลี่ยนแปลงของ AI อาจไม่สามารถตรวจสอบได้
    - AI อาจ ปรับเปลี่ยนการตั้งค่าความปลอดภัยโดยไม่มีการบันทึก ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์
    - องค์กรอาจไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะเกิดเหตุการณ์ความปลอดภัย

    ✅ องค์กรขนาดเล็กและหน่วยงานสาธารณะมีความเสี่ยงสูง
    - ขาดทรัพยากรในการ ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ AI
    - ตัวอย่างเช่น ระบบตรวจจับการฉ้อโกงอาจ ลดการแจ้งเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดชะงัก

    ✅ นักวิจัยเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    - ใช้ ระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของ AI
    - พัฒนา AI ที่มีความโปร่งใส เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจการตัดสินใจของระบบ

    https://www.csoonline.com/article/3852782/when-ai-moves-beyond-human-oversight-the-cybersecurity-risks-of-self-sustaining-systems.html
    บทความนี้จาก CSO Online เตือนถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดจาก AI ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ (Autopoietic AI) ซึ่งเป็นระบบที่สามารถ เขียนโปรแกรมตัวเองใหม่ และปรับเปลี่ยนการทำงานโดยไม่มีการควบคุมจากมนุษย์ โดยนักวิจัยระบุว่า องค์กรขนาดเล็กและหน่วยงานสาธารณะ อาจเผชิญความเสี่ยงสูง เนื่องจากขาดทรัพยากรในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ AI ✅ AI ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองได้สามารถสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัย - ระบบ AI อาจ ลดความเข้มงวดของการตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน - ตัวอย่างเช่น ระบบกรองอีเมลอาจ ลดการบล็อกอีเมลฟิชชิง เพื่อหลีกเลี่ยงการร้องเรียนจากผู้ใช้ ✅ การเปลี่ยนแปลงของ AI อาจไม่สามารถตรวจสอบได้ - AI อาจ ปรับเปลี่ยนการตั้งค่าความปลอดภัยโดยไม่มีการบันทึก ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์ - องค์กรอาจไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะเกิดเหตุการณ์ความปลอดภัย ✅ องค์กรขนาดเล็กและหน่วยงานสาธารณะมีความเสี่ยงสูง - ขาดทรัพยากรในการ ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ AI - ตัวอย่างเช่น ระบบตรวจจับการฉ้อโกงอาจ ลดการแจ้งเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดชะงัก ✅ นักวิจัยเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อเพิ่มความปลอดภัย - ใช้ ระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของ AI - พัฒนา AI ที่มีความโปร่งใส เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจการตัดสินใจของระบบ https://www.csoonline.com/article/3852782/when-ai-moves-beyond-human-oversight-the-cybersecurity-risks-of-self-sustaining-systems.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    When AI moves beyond human oversight: The cybersecurity risks of self-sustaining systems
    What happens when AI cybersecurity systems start to rewrite themselves as they adapt over time? Keeping an eye on what they’re doing will be mission-critical.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • **เจาะลึกจิตวิญญาณและอารมณ์ของตัวละครหลัก**
    (ในนิยาย *The Seven Heirs: Bonds of the Compass*)

    ---

    ### **1. หลง เจี้ยน (จีน - ทิศเหนือ)**
    **จิตวิญญาณ :** *ผู้แบกรักเก่าในร่างนักรบ*
    - **ความเจ็บปวดซ่อนเร้น :** แผลเป็นรูปเกล็ดงูบนแก้มไม่ใช่แค่ร่องรอยคำสาป แต่เป็นสัญลักษณ์แห่ง "ความอัปยศ" ที่ปล่อยให้หยวนเยี่ยนต้องเป็นอมตะเพียงลำพัง
    - **การแสดงออก :** สื่อสารผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด เวลาโกรธจะจัดระเบียบเข็มปักจักรวาลให้เรียงตัวเป็นรูปวงแหวน
    - **ความปรารถนาลึกๆ :** อยากใช้ชีวิตธรรมดาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาในตรอกเล็กๆ ของปักกิ่ง โดยไม่ต้องสวมมงกุฎแห่งความรับผิดชอบ
    - **จุดแตกหักทางอารมณ์ :** การพบว่าหยวนเยี่ยนเลือกถูกสาปเพื่อให้เขาได้มีชีวิตต่อ...แทนที่จะปล่อยให้เขาตายตาม

    ---

    ### **2. ทาเคดะ ซากุระ (ญี่ปุ่น - ทิศตะวันออก)**
    **จิตวิญญาณ :** *ศิลปินผู้วาดภาพด้วยวิญญาณตนเอง*
    - **ความเปราะบาง :** รู้สึกเหมือนเป็น "ภาพวาดที่ยังไม่เสร็จ" เปรียบเทียบตัวเองกับพี่ชายที่สมบูรณ์แบบเสมอ
    - **พิธีกรรมส่วนตัว :** แอบเก็บเส้นผมของทุกคนที่วาดภาพไว้ในสมุดสีน้ำ เพื่อรู้สึกว่ายังควบคุมบางสิ่งได้
    - **ความฝันลับ :** อยากวาดภาพที่ไม่มีคำสาปซ่อนอยู่ แค่ภาพทุ่งซากุระกับพี่ชายที่ยิ้มได้อย่างอิสระ
    - **การเผชิญความจริง :** วันที่ต้องใช้พู่กันจุ่มเลือดตัวเองเพื่อวาดทางรอดให้ทุกคน

    ---

    ### **3. วีร ราชปุต (อินเดีย - ทิศตะวันตก)**
    **จิตวิญญาณ :** *มหาเศรษฐีผู้ห่อหุ้มหัวใจด้วยเงินตรา*
    - **ความกลัวที่ซ่อนอยู่ :** กลัวความเงียบ จึงใช้เสียงเพลง/การเจรจาเติมเต็มชีวิตตลอดเวลา
    - **พฤติกรรมย้ำคิด :** นับเม็ดพลอยในสร้อย 108 เม็ดทุกเช้า เพื่อยืนยันว่ายัง "เป็นปกติ"
    - **ความขัดแย้ง :** เกลียดความอ่อนแอ แต่แอบเก็บยาพิษที่อานยาทำไว้...ในกรณีที่ต้องฆ่าตัวตาย
    - **จุดเปลี่ยน :** การพบว่าแม่แท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่ในร่างของศัตรู

    ---

    ### **4. คิม จีอู (เกาหลีใต้ - ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)**
    **จิตวิญญาณ :** *นกในกรงทองแห่งเสียงเพลง*
    - **ความทุกข์ระทม :** ได้ยินเสียงกระซิบจากไมโครโฟนเก่าๆ ที่พี่ชายให้มา เสียงนั้นบอกให้เธอ "ร้องให้ดังกว่านี้...แม้ต้องแลกด้วยชีวิต"
    - **การต่อรองกับชะตา :** ใช้ลิปสติกสีเลือดเขียนคำสาปบนกระจกห้องน้ำทุกครั้งก่อนขึ้นเวที
    - **ความฝันที่ถูกกดทับ :** อยากร้องเพลงกล่อมเด็กในหมู่บ้านเล็กๆ โดยไม่ต้องมีเอฟเฟกต์พิเศษ
    - **ความสัมพันธ์กับแทฮยอน :** รู้สึกเหมือนเป็น "นกขมิ้นในกรงทอง" ที่พี่ชายสวยงาม แต่กรงนั้นทำจากความผิดพลาดในอดีตของเขา

    ---

    ### **5. ณัฐ ศรีสุวรรณ (ไทย - ทิศใต้)**
    **จิตวิญญาณ :** *นักรบผู้สวมหน้ากากแห่งรอยยิ้ม*
    - **ความเจ็บปวดที่ซ่อนใต้รอยสัก :** สักคำว่า "อิสระ" ซ่อนไว้ใต้ลายนาคราช แต่รู้ตัวว่าตนเองถูกพันธนาการโดยความรักที่มีต่อน้องสาว
    - **พิธีกรรม :** ทุบกระจกในห้องฝึกมวยทุกครั้งที่รู้สึกอ่อนแอ
    - **ความฝันลึกๆ :** อยากพาพิมพ์ลดาไปเที่ยวทะเล โดยไม่ต้องคิดเรื่องคำสาปหรือพิธีกรรม
    - **จุดพลิกผัน :** วันที่พิมพ์ลดาเลือกเต้นระบำหน้ากากครั้งสุดท้าย...โดยไม่บอกเขา

    ---

    ### **6. เดีย วิชายา (อินโดนีเซีย - ทิศตะวันออกเฉียงใต้)**
    **จิตวิญญาณ :** *ราชินีเครื่องเทศผู้หลงกลิ่นอดีต*
    - **ความขัดแย้ง :** เกลียดเครื่องเทศเพราะถูกพ่อฝึกจนจมูกเสื่อม แต่กลับใช้มันเป็นอาวุธ
    - **ความทรงจำสุขสุด :** กลิ่นดินหลังฝนตกในวันที่พี่ชายพาไปตั้งแคมป์โดยไม่บอกแม่
    - **ความกลัว :** กลัวการถูกทิ้ง จึงแสร้งทำตัวแข็งกร้าวตลอดเวลา
    - **สัญลักษณ์ :** แก้วกาแฟร้าวที่พี่ชายให้...เก็บไว้เป็นเครื่องเตือนใจว่า "ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ"

    ---

    ### **7. เหงียน ลาน (เวียดนาม - ทิศตะวันตกเฉียงใต้)**
    **จิตวิญญาณ :** *เชฟผู้ปรุงรสชาติแห่งความทรงจำ*
    - **ความสามารถพิเศษ :** รู้รสชาติอารมณ์คนผ่านอาหาร แต่ไม่สามารถลิ้มรสอาหารที่ตัวเองปรุงได้
    - **พิธีกรรม :** แอบชิมน้ำตาตัวเองเวลาปรุงอาหารให้คนสำคัญ
    - **ความฝันที่ถูกเก็บไว้ :** อยากเปิดร้านอาหารเล็กๆ ที่เสิร์ฟแต่เมนูแห่งความสุข โดยไม่มีสูตรลับของตระกูล
    - **ความสัมพันธ์กับล็อง :** มองว่าพี่ชายคือ "สมุดบันทึกที่มีชีวิต" ที่เธอไม่อยากให้เขียนจบ
    **เจาะลึกจิตวิญญาณและอารมณ์ของตัวละครหลัก** (ในนิยาย *The Seven Heirs: Bonds of the Compass*) --- ### **1. หลง เจี้ยน (จีน - ทิศเหนือ)** **จิตวิญญาณ :** *ผู้แบกรักเก่าในร่างนักรบ* - **ความเจ็บปวดซ่อนเร้น :** แผลเป็นรูปเกล็ดงูบนแก้มไม่ใช่แค่ร่องรอยคำสาป แต่เป็นสัญลักษณ์แห่ง "ความอัปยศ" ที่ปล่อยให้หยวนเยี่ยนต้องเป็นอมตะเพียงลำพัง - **การแสดงออก :** สื่อสารผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด เวลาโกรธจะจัดระเบียบเข็มปักจักรวาลให้เรียงตัวเป็นรูปวงแหวน - **ความปรารถนาลึกๆ :** อยากใช้ชีวิตธรรมดาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาในตรอกเล็กๆ ของปักกิ่ง โดยไม่ต้องสวมมงกุฎแห่งความรับผิดชอบ - **จุดแตกหักทางอารมณ์ :** การพบว่าหยวนเยี่ยนเลือกถูกสาปเพื่อให้เขาได้มีชีวิตต่อ...แทนที่จะปล่อยให้เขาตายตาม --- ### **2. ทาเคดะ ซากุระ (ญี่ปุ่น - ทิศตะวันออก)** **จิตวิญญาณ :** *ศิลปินผู้วาดภาพด้วยวิญญาณตนเอง* - **ความเปราะบาง :** รู้สึกเหมือนเป็น "ภาพวาดที่ยังไม่เสร็จ" เปรียบเทียบตัวเองกับพี่ชายที่สมบูรณ์แบบเสมอ - **พิธีกรรมส่วนตัว :** แอบเก็บเส้นผมของทุกคนที่วาดภาพไว้ในสมุดสีน้ำ เพื่อรู้สึกว่ายังควบคุมบางสิ่งได้ - **ความฝันลับ :** อยากวาดภาพที่ไม่มีคำสาปซ่อนอยู่ แค่ภาพทุ่งซากุระกับพี่ชายที่ยิ้มได้อย่างอิสระ - **การเผชิญความจริง :** วันที่ต้องใช้พู่กันจุ่มเลือดตัวเองเพื่อวาดทางรอดให้ทุกคน --- ### **3. วีร ราชปุต (อินเดีย - ทิศตะวันตก)** **จิตวิญญาณ :** *มหาเศรษฐีผู้ห่อหุ้มหัวใจด้วยเงินตรา* - **ความกลัวที่ซ่อนอยู่ :** กลัวความเงียบ จึงใช้เสียงเพลง/การเจรจาเติมเต็มชีวิตตลอดเวลา - **พฤติกรรมย้ำคิด :** นับเม็ดพลอยในสร้อย 108 เม็ดทุกเช้า เพื่อยืนยันว่ายัง "เป็นปกติ" - **ความขัดแย้ง :** เกลียดความอ่อนแอ แต่แอบเก็บยาพิษที่อานยาทำไว้...ในกรณีที่ต้องฆ่าตัวตาย - **จุดเปลี่ยน :** การพบว่าแม่แท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่ในร่างของศัตรู --- ### **4. คิม จีอู (เกาหลีใต้ - ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)** **จิตวิญญาณ :** *นกในกรงทองแห่งเสียงเพลง* - **ความทุกข์ระทม :** ได้ยินเสียงกระซิบจากไมโครโฟนเก่าๆ ที่พี่ชายให้มา เสียงนั้นบอกให้เธอ "ร้องให้ดังกว่านี้...แม้ต้องแลกด้วยชีวิต" - **การต่อรองกับชะตา :** ใช้ลิปสติกสีเลือดเขียนคำสาปบนกระจกห้องน้ำทุกครั้งก่อนขึ้นเวที - **ความฝันที่ถูกกดทับ :** อยากร้องเพลงกล่อมเด็กในหมู่บ้านเล็กๆ โดยไม่ต้องมีเอฟเฟกต์พิเศษ - **ความสัมพันธ์กับแทฮยอน :** รู้สึกเหมือนเป็น "นกขมิ้นในกรงทอง" ที่พี่ชายสวยงาม แต่กรงนั้นทำจากความผิดพลาดในอดีตของเขา --- ### **5. ณัฐ ศรีสุวรรณ (ไทย - ทิศใต้)** **จิตวิญญาณ :** *นักรบผู้สวมหน้ากากแห่งรอยยิ้ม* - **ความเจ็บปวดที่ซ่อนใต้รอยสัก :** สักคำว่า "อิสระ" ซ่อนไว้ใต้ลายนาคราช แต่รู้ตัวว่าตนเองถูกพันธนาการโดยความรักที่มีต่อน้องสาว - **พิธีกรรม :** ทุบกระจกในห้องฝึกมวยทุกครั้งที่รู้สึกอ่อนแอ - **ความฝันลึกๆ :** อยากพาพิมพ์ลดาไปเที่ยวทะเล โดยไม่ต้องคิดเรื่องคำสาปหรือพิธีกรรม - **จุดพลิกผัน :** วันที่พิมพ์ลดาเลือกเต้นระบำหน้ากากครั้งสุดท้าย...โดยไม่บอกเขา --- ### **6. เดีย วิชายา (อินโดนีเซีย - ทิศตะวันออกเฉียงใต้)** **จิตวิญญาณ :** *ราชินีเครื่องเทศผู้หลงกลิ่นอดีต* - **ความขัดแย้ง :** เกลียดเครื่องเทศเพราะถูกพ่อฝึกจนจมูกเสื่อม แต่กลับใช้มันเป็นอาวุธ - **ความทรงจำสุขสุด :** กลิ่นดินหลังฝนตกในวันที่พี่ชายพาไปตั้งแคมป์โดยไม่บอกแม่ - **ความกลัว :** กลัวการถูกทิ้ง จึงแสร้งทำตัวแข็งกร้าวตลอดเวลา - **สัญลักษณ์ :** แก้วกาแฟร้าวที่พี่ชายให้...เก็บไว้เป็นเครื่องเตือนใจว่า "ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ" --- ### **7. เหงียน ลาน (เวียดนาม - ทิศตะวันตกเฉียงใต้)** **จิตวิญญาณ :** *เชฟผู้ปรุงรสชาติแห่งความทรงจำ* - **ความสามารถพิเศษ :** รู้รสชาติอารมณ์คนผ่านอาหาร แต่ไม่สามารถลิ้มรสอาหารที่ตัวเองปรุงได้ - **พิธีกรรม :** แอบชิมน้ำตาตัวเองเวลาปรุงอาหารให้คนสำคัญ - **ความฝันที่ถูกเก็บไว้ :** อยากเปิดร้านอาหารเล็กๆ ที่เสิร์ฟแต่เมนูแห่งความสุข โดยไม่มีสูตรลับของตระกูล - **ความสัมพันธ์กับล็อง :** มองว่าพี่ชายคือ "สมุดบันทึกที่มีชีวิต" ที่เธอไม่อยากให้เขียนจบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • **พิธีแต่งงาน กราบไหว้กระจก**

    สวัสดีค่ะ วันนี้คุยกันสั้นๆ ว่าด้วยเกร็ดเล็กๆ จากเรื่อง <ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ> เกี่ยวกับพิธีแต่งงาน
    เราเคยคุยกันเกี่ยวกับหลากหลายธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับพิธีแต่งงาน แต่มีขั้นตอนหนึ่งที่ปรากฏในเรื่องนี้เป็นที่สะดุดตา Storyฯ ไม่น้อย ไม่ทราบว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูถึงฉากแต่งงานของจ้าวซิวเหยวียนและหนิวอู่เหนียงจะรู้สึกสะดุดตากับการไหว้กระจกหรือไม่?

    การไหว้กระจกนี้เรียกว่า ‘ว่องจิ้งจ่านป้าย’ (望镜展拜) เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการกราบไหว้ตอนแต่งงาน โดยมีพื้นฐานมาจากความเชื่อว่ากระจกสามารถขับสิ่งอัปมงคลออกจากชีวิต อีกทั้งสื่อความหมายของความกระจ่างเปิดเผย สะท้อนให้เห็นว่างานมงคลครั้งนี้ทำอย่างถูกต้องตามพิธีการ เปิดเผยและสมเกียรติ

    แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนจะคุ้นหูคุ้นตามากกว่ากับการกราบไหว้สามครั้ง ประกอบด้วยการกราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้บิดามารดาฝ่ายชาย และกราบไหว้คู่แต่งงาน จึงเป็นที่มาของความ ‘เอ๊ะ’ ว่าแล้วกราบไหว้กระจกตอนไหน Storyฯ จึงไปหาข้อมูลมาเพิ่ม และพบว่าจริงๆ แล้วพิธีแต่งงานแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและพื้นที่ ดังนั้นเราจึงพบเห็นความหลากหลายในซีรีส์ต่างๆ ที่พยายามเอาธรรมเนียมจีนมาถ่ายทอดให้ดู

    การไหว้กระจกเป็นธรรมเนียมที่มีมาแต่สมัยใดไม่ทราบชัด แต่มีปรากฏอยู่บนภาพวาดในถ้ำโบราณม่อเกาถ้ำที่สิบสองแห่งเมืองโบราณตุนหวง ซึ่งเป็นภาพวาดสมัยถังตอนปลาย (ดูรูปประกอบ) เราจะเห็นคู่บ่าวสาวอยู่หน้ากระจกที่ตั้งอยู่บนขาตั้งสามขา โดยฝ่ายชายคุกเข่ากราบไหว้ ฝ่ายหญิงยืนคารวะอยู่ข้างๆ ซึ่งการที่ฝ่ายชายคุกเข่าแต่ฝ่ายหญิงคุกเข่านั้น บางข้อมูลกล่าวว่าเป็นเพราะว่ามันเป็นพิธีของการที่ฝ่ายชายแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง แต่ก็มีบางบทความที่กล่าวว่านี่เป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปในช่วงเวลาหนึ่งในสมัยถัง

    ในสมัยถัง หนึ่งในรูปแบบพิธีแต่งงานคือมีการกราบไหว้บรรพบุรุษที่วัดของตระกูลต่างหาก และในส่วนพิธีในบ้านนั้นบอกแต่เพียงว่าเป็นการกราบไหว้ของคู่บ่าวสาว โดยไม่ได้กำหนดว่าให้ไหว้ฟ้าดินหรือบิดามารดาหรือใคร จึงกลายเป็นการกราบไหว้กระจกอย่างเดียวก็จบพิธีแล้วส่งตัวเข้าห้องหอเลย

    วิธีปฏิบัตินี้มีสืบทอดต่อไปจนถึงสมัยซ่งเหนือ ปรากฏในบันทึกตงจิงเมิ่งหัวลู่ว่า เมื่อถึงบ้านเจ้าบ่าว จะมีคนโปรยถั่วต่างๆ พร้อมเอ่ยคำอวยพร บ่าวสาวก้าวไปบนผ้าหรือพรมคนนำมาสลับวาง (เรียกว่า ‘จ่วนสี’ / 转席) เพื่อไม่ให้เท้าแตะพื้น มีคนถือกระจกกลับด้าน (คือให้สะท้อนไปที่คู่บ่าวสาว) นำทางบ่าวสาวเดินข้ามผ่านอานม้าไปยังหน้าแท่นพิธี กราบไหว้แล้วส่งตัวเข้าห้องหอ แล้วบ่าวสาวค่อยไปคำนับซึ่งกันและกันตอนดื่มสุรามงคลในห้องหอ

    จากคำบรรยายฟังดูใกล้เคียงมากกับฉากแต่งงานของจ้าวซิวเหยวียนและหนิวอู่เหนียงที่เราเห็นในเรื่อง <ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ> ที่มีสมัยถังเป็นฉากหลัง เพียงแต่ว่าเท่าที่ Storyฯ หาข้อมูลมาการก้าวข้ามอานม้าเพิ่งมีปฏิบัติในสมัยซ่ง แต่อย่างที่เราพอจะเห็นภาพว่าพิธีการเกี่ยวกับการแต่งงานมีรายละเอียดมากและแตกต่างกันไปตามพื้นที่และยุคสมัย และแน่นอนว่าเราจะเห็นอีกหลายหลายซีรีส์ทั้งในยุคถังและซ่งที่มีขั้นตอนการกราบไหว้ฟ้าดินที่แตกต่างกันในรายละเอียด

    ได้ยินว่าในเรื่อง <งามบุปผาสกุณา> ก็มีฉากกราบไหว้กระจกในพิธีแต่งงานเช่นกัน แต่ Storyฯ ยังไม่ได้ดู เพื่อนเพจเคยผ่านตาธรรมเนียมนี้ในเรื่องใด เม้นท์กันเข้ามาเล่าให้ฟังหน่อยนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.yicai.com/news/102418541.html
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_29901251
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_29901251
    https://baike.baidu.com/item/拜堂/63174
    https://yuedu.163.com/book_reader/eba5f99b2df44d1781d1e12e583d647c_4/95a26035c7624257a18cd5c3819a33bc_5
    https://chiculture.org.hk/sc/china-five-thousand-years/4488

    #ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ #พิธีแต่งงานจีน #กราบไหว้กระจก #ว่องจิ้งจ่านป้าย #สาระจีน
    **พิธีแต่งงาน กราบไหว้กระจก** สวัสดีค่ะ วันนี้คุยกันสั้นๆ ว่าด้วยเกร็ดเล็กๆ จากเรื่อง <ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ> เกี่ยวกับพิธีแต่งงาน เราเคยคุยกันเกี่ยวกับหลากหลายธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับพิธีแต่งงาน แต่มีขั้นตอนหนึ่งที่ปรากฏในเรื่องนี้เป็นที่สะดุดตา Storyฯ ไม่น้อย ไม่ทราบว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูถึงฉากแต่งงานของจ้าวซิวเหยวียนและหนิวอู่เหนียงจะรู้สึกสะดุดตากับการไหว้กระจกหรือไม่? การไหว้กระจกนี้เรียกว่า ‘ว่องจิ้งจ่านป้าย’ (望镜展拜) เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการกราบไหว้ตอนแต่งงาน โดยมีพื้นฐานมาจากความเชื่อว่ากระจกสามารถขับสิ่งอัปมงคลออกจากชีวิต อีกทั้งสื่อความหมายของความกระจ่างเปิดเผย สะท้อนให้เห็นว่างานมงคลครั้งนี้ทำอย่างถูกต้องตามพิธีการ เปิดเผยและสมเกียรติ แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนจะคุ้นหูคุ้นตามากกว่ากับการกราบไหว้สามครั้ง ประกอบด้วยการกราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้บิดามารดาฝ่ายชาย และกราบไหว้คู่แต่งงาน จึงเป็นที่มาของความ ‘เอ๊ะ’ ว่าแล้วกราบไหว้กระจกตอนไหน Storyฯ จึงไปหาข้อมูลมาเพิ่ม และพบว่าจริงๆ แล้วพิธีแต่งงานแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและพื้นที่ ดังนั้นเราจึงพบเห็นความหลากหลายในซีรีส์ต่างๆ ที่พยายามเอาธรรมเนียมจีนมาถ่ายทอดให้ดู การไหว้กระจกเป็นธรรมเนียมที่มีมาแต่สมัยใดไม่ทราบชัด แต่มีปรากฏอยู่บนภาพวาดในถ้ำโบราณม่อเกาถ้ำที่สิบสองแห่งเมืองโบราณตุนหวง ซึ่งเป็นภาพวาดสมัยถังตอนปลาย (ดูรูปประกอบ) เราจะเห็นคู่บ่าวสาวอยู่หน้ากระจกที่ตั้งอยู่บนขาตั้งสามขา โดยฝ่ายชายคุกเข่ากราบไหว้ ฝ่ายหญิงยืนคารวะอยู่ข้างๆ ซึ่งการที่ฝ่ายชายคุกเข่าแต่ฝ่ายหญิงคุกเข่านั้น บางข้อมูลกล่าวว่าเป็นเพราะว่ามันเป็นพิธีของการที่ฝ่ายชายแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง แต่ก็มีบางบทความที่กล่าวว่านี่เป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปในช่วงเวลาหนึ่งในสมัยถัง ในสมัยถัง หนึ่งในรูปแบบพิธีแต่งงานคือมีการกราบไหว้บรรพบุรุษที่วัดของตระกูลต่างหาก และในส่วนพิธีในบ้านนั้นบอกแต่เพียงว่าเป็นการกราบไหว้ของคู่บ่าวสาว โดยไม่ได้กำหนดว่าให้ไหว้ฟ้าดินหรือบิดามารดาหรือใคร จึงกลายเป็นการกราบไหว้กระจกอย่างเดียวก็จบพิธีแล้วส่งตัวเข้าห้องหอเลย วิธีปฏิบัตินี้มีสืบทอดต่อไปจนถึงสมัยซ่งเหนือ ปรากฏในบันทึกตงจิงเมิ่งหัวลู่ว่า เมื่อถึงบ้านเจ้าบ่าว จะมีคนโปรยถั่วต่างๆ พร้อมเอ่ยคำอวยพร บ่าวสาวก้าวไปบนผ้าหรือพรมคนนำมาสลับวาง (เรียกว่า ‘จ่วนสี’ / 转席) เพื่อไม่ให้เท้าแตะพื้น มีคนถือกระจกกลับด้าน (คือให้สะท้อนไปที่คู่บ่าวสาว) นำทางบ่าวสาวเดินข้ามผ่านอานม้าไปยังหน้าแท่นพิธี กราบไหว้แล้วส่งตัวเข้าห้องหอ แล้วบ่าวสาวค่อยไปคำนับซึ่งกันและกันตอนดื่มสุรามงคลในห้องหอ จากคำบรรยายฟังดูใกล้เคียงมากกับฉากแต่งงานของจ้าวซิวเหยวียนและหนิวอู่เหนียงที่เราเห็นในเรื่อง <ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ> ที่มีสมัยถังเป็นฉากหลัง เพียงแต่ว่าเท่าที่ Storyฯ หาข้อมูลมาการก้าวข้ามอานม้าเพิ่งมีปฏิบัติในสมัยซ่ง แต่อย่างที่เราพอจะเห็นภาพว่าพิธีการเกี่ยวกับการแต่งงานมีรายละเอียดมากและแตกต่างกันไปตามพื้นที่และยุคสมัย และแน่นอนว่าเราจะเห็นอีกหลายหลายซีรีส์ทั้งในยุคถังและซ่งที่มีขั้นตอนการกราบไหว้ฟ้าดินที่แตกต่างกันในรายละเอียด ได้ยินว่าในเรื่อง <งามบุปผาสกุณา> ก็มีฉากกราบไหว้กระจกในพิธีแต่งงานเช่นกัน แต่ Storyฯ ยังไม่ได้ดู เพื่อนเพจเคยผ่านตาธรรมเนียมนี้ในเรื่องใด เม้นท์กันเข้ามาเล่าให้ฟังหน่อยนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.yicai.com/news/102418541.html https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_29901251 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_29901251 https://baike.baidu.com/item/拜堂/63174 https://yuedu.163.com/book_reader/eba5f99b2df44d1781d1e12e583d647c_4/95a26035c7624257a18cd5c3819a33bc_5 https://chiculture.org.hk/sc/china-five-thousand-years/4488 #ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ #พิธีแต่งงานจีน #กราบไหว้กระจก #ว่องจิ้งจ่านป้าย #สาระจีน
    从《蜀锦人家》看非遗生意经,这些诀窍可借鉴|乐言商业
    《蜀锦人家》通过女主角季英英的故事,展示了核心技术、创新、产业链合作、资本运作和渠道拓展等商业策略,为现代消费企业提供了宝贵的启示。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยูเลีย สวีรีเดนโก (Yulia Svyrydenko) รองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง และรมต.กระทรวงเศรษฐกิจและการค้ายูเครน ประกาศการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum) เกี่ยวกับข้อตกลงด้านแร่ธาตุกับสหรัฐแล้ว (บันทึกความเข้าใจยังไม่มีผลผูกพันธ์ทางกฎหมาย)

    สวีรีเดนโก กล่าวอีกว่า ทั้งสองประเทศจะเร่งสรุปกรอบของข้อตกลงด้านแร่ธาตุและลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการต่อไป


    ทางด้านเซเลนสกีได้ยืนยันถึงการลงนามตามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ (Memorandum) และยังกล่าวอีกว่า "นี่ยังไม่ใช่ข้อตกลงขั้นตอนสุดท้ายที่แท้จริง"

    ขณะเดียวกันทรัมป์ได้กล่าวในวันนี้ว่า ข้อตกลงขั้นสุดท้ายกับยูเครนในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุจะมีการ "ลงนามข้อตกลง" ในวันพฤหัสบดีหน้านี้


    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว The New York Times เปิดเผยเกี่ยวกับรายละเอียดบางส่วนของข้อตกลงแร่ธาตุระหว่างสหรัฐฯและยูเครน โดยระบุว่า:

    ยูเครนจะต้องคืนเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่สหรัฐส่งความช่วยเหลือทางการทหารตลอดระยะเวลา 3 ปีของการต่อสู้กับรัสเซียให้แก่สหรัฐฯ

    ยูเครนจะต้องแบ่งรายได้ครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดจากการทำธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งรายได้จากโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เช่น ท่าเรือ ท่อส่งน้ำมันและก๊าซ เข้ากองทุนที่สหรัฐกำลังจัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนต่อในด้านโครงการทรัพยากรธรรมชาติของยูเครน แต่ยังไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าสหรัฐจะร่วมลงทุนในสัดส่วนเท่าไหร่

    ข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้ไปจนกว่ายูเครนจะคืนเงินค่าใช้จ่ายความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯ พร้อมดอกเบี้ย 4% ต่อปี

    นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวไม่ได้กล่าวถึงการรับประกันความปลอดภัยสำหรับยูเครน แม้ว่าฝ่ายยูเครนจะเคยยืนยันหนักแน่นว่าจะต้องรวมข้อกำหนดนี้ไว้ในข้อตกลงแร่ธาตุด้วยก็ตาม

    ยูเลีย สวีรีเดนโก (Yulia Svyrydenko) รองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง และรมต.กระทรวงเศรษฐกิจและการค้ายูเครน ประกาศการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum) เกี่ยวกับข้อตกลงด้านแร่ธาตุกับสหรัฐแล้ว (บันทึกความเข้าใจยังไม่มีผลผูกพันธ์ทางกฎหมาย) สวีรีเดนโก กล่าวอีกว่า ทั้งสองประเทศจะเร่งสรุปกรอบของข้อตกลงด้านแร่ธาตุและลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการต่อไป ทางด้านเซเลนสกีได้ยืนยันถึงการลงนามตามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ (Memorandum) และยังกล่าวอีกว่า "นี่ยังไม่ใช่ข้อตกลงขั้นตอนสุดท้ายที่แท้จริง" ขณะเดียวกันทรัมป์ได้กล่าวในวันนี้ว่า ข้อตกลงขั้นสุดท้ายกับยูเครนในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุจะมีการ "ลงนามข้อตกลง" ในวันพฤหัสบดีหน้านี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว The New York Times เปิดเผยเกี่ยวกับรายละเอียดบางส่วนของข้อตกลงแร่ธาตุระหว่างสหรัฐฯและยูเครน โดยระบุว่า: ยูเครนจะต้องคืนเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่สหรัฐส่งความช่วยเหลือทางการทหารตลอดระยะเวลา 3 ปีของการต่อสู้กับรัสเซียให้แก่สหรัฐฯ ยูเครนจะต้องแบ่งรายได้ครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดจากการทำธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งรายได้จากโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เช่น ท่าเรือ ท่อส่งน้ำมันและก๊าซ เข้ากองทุนที่สหรัฐกำลังจัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนต่อในด้านโครงการทรัพยากรธรรมชาติของยูเครน แต่ยังไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าสหรัฐจะร่วมลงทุนในสัดส่วนเท่าไหร่ ข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้ไปจนกว่ายูเครนจะคืนเงินค่าใช้จ่ายความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯ พร้อมดอกเบี้ย 4% ต่อปี นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวไม่ได้กล่าวถึงการรับประกันความปลอดภัยสำหรับยูเครน แม้ว่าฝ่ายยูเครนจะเคยยืนยันหนักแน่นว่าจะต้องรวมข้อกำหนดนี้ไว้ในข้อตกลงแร่ธาตุด้วยก็ตาม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3/
    ภาพเหตุการณ์หลังจากเครื่องบินรบอเมริกันทิ้งระเบิดใส่ท่าเรือโฮเดดาห์ (Hodeidah) บริเวณคลังน้ำมันราสอิสซา (Ras Issa) ประเทศเยเมน คร่าชีวิตผู้คนไป 22 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่พยาบาลฉุกเฉิน 5 นาย ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น

    ภาพจากประชาชนในพื้นที่บันทึกเหตุการณ์เหยื่อที่โดนระเบิดอย่างน่าสลดไว้ได้
    3/ ภาพเหตุการณ์หลังจากเครื่องบินรบอเมริกันทิ้งระเบิดใส่ท่าเรือโฮเดดาห์ (Hodeidah) บริเวณคลังน้ำมันราสอิสซา (Ras Issa) ประเทศเยเมน คร่าชีวิตผู้คนไป 22 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่พยาบาลฉุกเฉิน 5 นาย ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น ภาพจากประชาชนในพื้นที่บันทึกเหตุการณ์เหยื่อที่โดนระเบิดอย่างน่าสลดไว้ได้
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/
    ภาพเหตุการณ์หลังจากเครื่องบินรบอเมริกันทิ้งระเบิดใส่ท่าเรือโฮเดดาห์ (Hodeidah) บริเวณคลังน้ำมันราสอิสซา (Ras Issa) ประเทศเยเมน คร่าชีวิตผู้คนไป 22 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่พยาบาลฉุกเฉิน 5 นาย ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น

    ภาพจากประชาชนในพื้นที่บันทึกเหตุการณ์เหยื่อที่โดนระเบิดอย่างน่าสลดไว้ได้
    2/ ภาพเหตุการณ์หลังจากเครื่องบินรบอเมริกันทิ้งระเบิดใส่ท่าเรือโฮเดดาห์ (Hodeidah) บริเวณคลังน้ำมันราสอิสซา (Ras Issa) ประเทศเยเมน คร่าชีวิตผู้คนไป 22 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่พยาบาลฉุกเฉิน 5 นาย ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น ภาพจากประชาชนในพื้นที่บันทึกเหตุการณ์เหยื่อที่โดนระเบิดอย่างน่าสลดไว้ได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • 1/
    ภาพเหตุการณ์หลังจากเครื่องบินรบอเมริกันทิ้งระเบิดใส่ท่าเรือโฮเดดาห์ (Hodeidah) บริเวณคลังน้ำมันราสอิสซา (Ras Issa) ประเทศเยเมน คร่าชีวิตผู้คนไป 22 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่พยาบาลฉุกเฉิน 5 นาย ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น

    ภาพจากประชาชนในพื้นที่บันทึกเหตุการณ์เหยื่อที่โดนระเบิดอย่างน่าสลดไว้ได้
    1/ ภาพเหตุการณ์หลังจากเครื่องบินรบอเมริกันทิ้งระเบิดใส่ท่าเรือโฮเดดาห์ (Hodeidah) บริเวณคลังน้ำมันราสอิสซา (Ras Issa) ประเทศเยเมน คร่าชีวิตผู้คนไป 22 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่พยาบาลฉุกเฉิน 5 นาย ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น ภาพจากประชาชนในพื้นที่บันทึกเหตุการณ์เหยื่อที่โดนระเบิดอย่างน่าสลดไว้ได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 21 0 รีวิว
  • Tesla กำลังเผชิญกับคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับ การปรับเปลี่ยนค่ามิเตอร์ระยะทาง (odometer) ในรถยนต์ ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าซ่อมแพงขึ้นและหมดสิทธิ์รับบริการภายใต้การรับประกันเร็วกว่าที่ควร

    ✅ Tesla ถูกกล่าวหาว่าปรับเปลี่ยนค่ามิเตอร์ระยะทางเพื่อหลีกเลี่ยงการรับประกัน
    - คดีนี้ถูกยื่นโดย Nyree Hinton ซึ่งซื้อ Tesla Model Y ปี 2020 ในเดือนธันวาคม 2022
    - รถของเขามีระยะทาง 36,772 ไมล์ ซึ่งยังอยู่ภายใต้การรับประกัน 50,000 ไมล์

    ✅ Hinton พบว่าระยะทางที่บันทึกเพิ่มขึ้นผิดปกติ
    - จากเดือนธันวาคม 2022 ถึงกุมภาพันธ์ 2023 เขาขับรถเฉลี่ย 55.54 ไมล์ต่อวัน
    - แต่ระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน 2023 ระยะทางที่บันทึกเพิ่มขึ้นเป็น 72.53 ไมล์ต่อวัน

    ✅ Tesla ออกประกาศเรียกคืนเกี่ยวกับปัญหาระบบกันสะเทือน แต่ Hinton ต้องจ่ายค่าซ่อมเอง
    - เมื่อเขานำรถเข้าซ่อมในเดือนมกราคม 2024 Tesla แจ้งว่า การรับประกันหมดอายุแล้ว
    - ในเดือนตุลาคม 2024 ระบบกันสะเทือนของรถเสียหายจนต้องลากไปที่ศูนย์บริการ ซึ่ง Tesla แจ้งว่าค่าซ่อมอยู่ที่ $10,000

    ✅ Hinton ยื่นฟ้อง Tesla และขอให้คดีนี้เป็นคดีแบบกลุ่ม
    - หากคดีได้รับสถานะ class-action เจ้าของ Tesla รายอื่นที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้าร่วมได้

    ✅ มีเจ้าของ Tesla รายอื่นที่พบปัญหาคล้ายกัน
    - ผู้ใช้ใน Reddit และฟอรัมของ Tesla รายงานว่าระยะทางที่บันทึกสูงกว่าความเป็นจริง

    https://www.techspot.com/news/107589-tesla-sued-allegedly-faking-odometer-readings-avoid-warranty.html
    Tesla กำลังเผชิญกับคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับ การปรับเปลี่ยนค่ามิเตอร์ระยะทาง (odometer) ในรถยนต์ ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าซ่อมแพงขึ้นและหมดสิทธิ์รับบริการภายใต้การรับประกันเร็วกว่าที่ควร ✅ Tesla ถูกกล่าวหาว่าปรับเปลี่ยนค่ามิเตอร์ระยะทางเพื่อหลีกเลี่ยงการรับประกัน - คดีนี้ถูกยื่นโดย Nyree Hinton ซึ่งซื้อ Tesla Model Y ปี 2020 ในเดือนธันวาคม 2022 - รถของเขามีระยะทาง 36,772 ไมล์ ซึ่งยังอยู่ภายใต้การรับประกัน 50,000 ไมล์ ✅ Hinton พบว่าระยะทางที่บันทึกเพิ่มขึ้นผิดปกติ - จากเดือนธันวาคม 2022 ถึงกุมภาพันธ์ 2023 เขาขับรถเฉลี่ย 55.54 ไมล์ต่อวัน - แต่ระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน 2023 ระยะทางที่บันทึกเพิ่มขึ้นเป็น 72.53 ไมล์ต่อวัน ✅ Tesla ออกประกาศเรียกคืนเกี่ยวกับปัญหาระบบกันสะเทือน แต่ Hinton ต้องจ่ายค่าซ่อมเอง - เมื่อเขานำรถเข้าซ่อมในเดือนมกราคม 2024 Tesla แจ้งว่า การรับประกันหมดอายุแล้ว - ในเดือนตุลาคม 2024 ระบบกันสะเทือนของรถเสียหายจนต้องลากไปที่ศูนย์บริการ ซึ่ง Tesla แจ้งว่าค่าซ่อมอยู่ที่ $10,000 ✅ Hinton ยื่นฟ้อง Tesla และขอให้คดีนี้เป็นคดีแบบกลุ่ม - หากคดีได้รับสถานะ class-action เจ้าของ Tesla รายอื่นที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้าร่วมได้ ✅ มีเจ้าของ Tesla รายอื่นที่พบปัญหาคล้ายกัน - ผู้ใช้ใน Reddit และฟอรัมของ Tesla รายงานว่าระยะทางที่บันทึกสูงกว่าความเป็นจริง https://www.techspot.com/news/107589-tesla-sued-allegedly-faking-odometer-readings-avoid-warranty.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tesla sued for allegedly faking odometer readings to avoid warranty repairs
    Nyree Hinton brought the suit after he bought a 2020 Tesla Model Y in December 2022 with 36,772 miles on the clock, which meant it was still...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Word บน iOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารที่มีโครงสร้างดี โดยใช้ Copilot ซึ่งช่วยให้การจัดรูปแบบเอกสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว

    ✅ Copilot ใน Word บน iOS สามารถแปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารได้อย่างมีโครงสร้าง
    - ผู้ใช้สามารถ เลือกภาษาและเทมเพลตเอกสาร ก่อนเริ่มบันทึกเสียง
    - เมื่อบันทึกเสร็จ Copilot จะ ถอดเสียงและจัดรูปแบบเอกสารตามเทมเพลตที่เลือก

    ✅ Word มีเทมเพลตเริ่มต้นสำหรับบันทึกเสียง 3 แบบ
    - Document: เอกสารมาตรฐานที่มีหัวข้อและส่วนต่างๆ
    - Notes: เอกสารข้อความเรียบง่ายที่แบ่งเป็นย่อหน้า
    - Email: เอกสารที่มีเนื้อหาอีเมลพร้อมคำลงท้าย

    ✅ ผู้ใช้สามารถสร้างเทมเพลตของตนเองได้
    - สามารถตั้งชื่อเทมเพลต เช่น Groceries และกำหนดรูปแบบเอกสารที่ต้องการ
    - ช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นไปตามความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล

    ✅ ฟีเจอร์นี้รองรับหลายภาษา แต่ยังไม่ครบทุกภาษา
    - รองรับ อังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, จีน, เยอรมัน, อิตาลี และญี่ปุ่น
    - Microsoft ระบุว่าจะเพิ่มการรองรับภาษาอื่นๆ ในอนาคต

    ✅ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี Copilot License
    - ต้องมี Copilot Pro หรือ AI credits ใน Microsoft 365 subscription
    - ใช้งานได้บน Word เวอร์ชัน 2.96 (build 25041112)

    https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-easier-to-turn-voice-notes-into-well-made-documents-in-word-on-mobile/
    Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Word บน iOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารที่มีโครงสร้างดี โดยใช้ Copilot ซึ่งช่วยให้การจัดรูปแบบเอกสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ✅ Copilot ใน Word บน iOS สามารถแปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารได้อย่างมีโครงสร้าง - ผู้ใช้สามารถ เลือกภาษาและเทมเพลตเอกสาร ก่อนเริ่มบันทึกเสียง - เมื่อบันทึกเสร็จ Copilot จะ ถอดเสียงและจัดรูปแบบเอกสารตามเทมเพลตที่เลือก ✅ Word มีเทมเพลตเริ่มต้นสำหรับบันทึกเสียง 3 แบบ - Document: เอกสารมาตรฐานที่มีหัวข้อและส่วนต่างๆ - Notes: เอกสารข้อความเรียบง่ายที่แบ่งเป็นย่อหน้า - Email: เอกสารที่มีเนื้อหาอีเมลพร้อมคำลงท้าย ✅ ผู้ใช้สามารถสร้างเทมเพลตของตนเองได้ - สามารถตั้งชื่อเทมเพลต เช่น Groceries และกำหนดรูปแบบเอกสารที่ต้องการ - ช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นไปตามความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล ✅ ฟีเจอร์นี้รองรับหลายภาษา แต่ยังไม่ครบทุกภาษา - รองรับ อังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, จีน, เยอรมัน, อิตาลี และญี่ปุ่น - Microsoft ระบุว่าจะเพิ่มการรองรับภาษาอื่นๆ ในอนาคต ✅ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี Copilot License - ต้องมี Copilot Pro หรือ AI credits ใน Microsoft 365 subscription - ใช้งานได้บน Word เวอร์ชัน 2.96 (build 25041112) https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-easier-to-turn-voice-notes-into-well-made-documents-in-word-on-mobile/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft makes it easier to turn voice notes into well-made documents in Word on mobile
    Copilot in Word on mobile devices gets a new feature to make life easier for users who frequently use voice notes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว

  • Airstrikes สงคราม ทองคำ และคนลุ่มน้ำโขง (ตอนที่ 4)
    *****************
    เสียงเครื่องบินกระหึ่มสัญชาติรัสเซีย และจีน ทั้งรุ่น MiG-29 -Yak-130 - K-8, F-7 และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-35 Mi-17 เทคออฟขึ้นน่านฟ้าเมียนมา สร้างความหวาดวิตกกับพลเรือนในพื้นที่เสี่ยง ความถี่มิได้เป็นปกป้องอธิปไตยเหนือน่านฟ้า บางครั้งก็ถลำรุกน่านฟ้าของไทย และถูกต้อนกลับ
    เสียงอากาศยานของเมียนมาทำให้ประชาชน พลเรือนระส่ำระสาย บาดเจ็บล้มตายกัน ในพื้นที่พลเรือนและกลุ่มต่อต้าน ปี 2023-24 กระทรวงกลาโหมใช้งบประมาณเพื่อภารกิจ Aistrike กว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ อาวุธ ส่วนใหญ่มาจากรัสเซียและจีน
    กองทัพเผด็จการเมียนมาได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศประมาณ 30 ครั้งในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยงนี และรัฐกะฉิ่นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยทิ้งระเบิดเกือบ 100 ลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ตามข้อมูลที่ Shan Herald Agency for News (SHAN) ได้รับ
    ระหว่างปลายปีที่ผ่าน ถึงวันที่ 30 มกราคม 2025 การโจมตีทางอากาศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือนเป็นหลัก สร้างความเสียหายและการสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะเขตเมืองนองคิโอ รัฐฉาน ซึ่งระเบิดตกใส่ร้านน้ำชา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย
    มีการประเมินว่านับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว โดยบันทึกการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 1,767 ครั้ง ซึ่งน่าตกใจว่าร้อยละ 47 ของการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือน ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงขึ้น
    พื้นที่ ที่เป็นเป้าหมายคือพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เหมืองแร่ และแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะใน รัฐฉาน (Shan State), รัฐกะเหรี่ยงนี-คะยา (Karenni/Kayah State), รัฐกะฉิ่น (Kachin State), รัฐระแหง (Rakhine State) และพื้นที่อื่นๆ เช่น ภูมิภาคสกาย (Sagaing Region) เป็นต้น
    *****************
    USGS (United States Geological Survey) ได้ ประมาณการไว้ว่า ยังคงเหลือทองคำอยู่ใต้ดินที่ยังไม่ได้ผลิตออกมาอีกประมาณ 50,000 ตัน คาดกันว่าปริมาณทองคำที่ขุดขึ้นมา และมีการใช้ประโยชน์กันแล้วกว่า 190,000 ตัน และโดยเฉลี่ยในปัจจุบันมีการผลิตออกจากเหมืองประมาณปีละ 2,500 ถึง 3,000 ตัน มีการทำเหมืองทองคำทั่วโลกอยู่ใน 82 ประเทศ
    สแกนใต้ดินแอฟริกาใต้ มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก จนถึงปัจจุบันราว 31,000 ตัน รองลงมา คือ รัสเซีย ประมาณ 7,000 ตัน และ จีนเป็นอันดับ 3 ที่ผลิตประมาณ 6,328 ตัน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย แคนาดา และ เปรู
    ทว่าในปี 2564 จีนขึ้นแป้นครองแชมป์ประเทศที่ผลิตทองคำจากเหมืองทองคำในประเทศมากที่สุด คิดเป็น 11% ของการผลิต ทั่วโลก ซึ่งจากฐานข้อมูล Global Data’s mines and projects ที่ได้ติดตามการพัฒนาและปฏิบัติการของเหมืองแร่ และโครงการทั่วโลก โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 4,000 บริษัท ได้สรุป 5 อันดับ เหมืองทองคำในจีนที่ผลิตทองคำได้มากที่สุดในปี 2563 ดังนี้
    1.Shaxi Copper Mine เป็นเหมืองใต้ดินในมณฑลอานฮุย (Anhui) ของกลุ่มบริษัท Togling Nonferrous Metal Group ซึ่งผลิตทองคำได้ประมาณ 730,000 ounces of gold ในปี 2563
    2.Jiaojia Gold Mine ของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง (Shandong) ผลิตทองคำได้ประมาณ 230,000 ounces of gold ในปี 2563 และกำลังจะปิดตัวลงในปี 2566
    3.Dayingezhuang Gold Mine เป็นเหมืองทองคำในมณฑลซานตงเช่นกัน อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท Zhaojin Mining Industry และผลิตทองคำประมาณ 228,000 ounces of gold ในปี 2563
    4.Sanshandao Gold Mine เป็นเหมืองใต้ดินของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง ผลิตทองคำได้ ประมาณ 218,000 ounces of gold ในปี 2563 และจะผลิตตามแผนงานไปจนถึงปี 2571
    5.Zaozigou Gold Mine เป็นเหมืองทองคำของบริษัท Zhaojin Mining Industy ในมณฑลกานซู (Gansu) ผลิตทองคำได้ ประมาณ 207,000 ounces of gold

    *****************
    รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ และ สหภาพนักศึกษาไทใหญ่ เกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำขยายวงกว้างทำให้เกิดดินโคลนถล่มท่วมชุมชนทางตะวันออกท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ระบุว่าบริษัทเหมืองแร่ได้เข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2550 ที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคำ ตอนใต้ของบ้านนาโฮหลงในตำบลเมืองเลน ในปัจจุบันเหมืองทองคำแบบเปิดได้ขยายตัวไปกว่า 10 กิโลเมตรตลอดทั่วเทือกเขาดอยค้า ตามริมฝั่งน้ำด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง การปล่อยน้ำจาจากการทำเหมืองแร่ทองแร่ทองคำที่ขาดการควบคุม รวมทั้งน้ำที่ไหลมาจากากอำบน้ำที่เจือด้วยสารไชยาไนด์ทำให้ลำน้ำน้ำอุดตัน และมักทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงที่ริมฝั่งน้ำในช่วงฤดูฝน
    การขยายตัวของเหมืองทองคำในเมืองเลน ยังทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และในปัจจุบัน มีบริษัท 12 แห่งที่เชื่อมโยงกับนายทหารพม่าระดับสูงได้รับประทานบัตรอายุ 11 ปี เพื่อการทำเหมืองแร่ทองคำ
    ในบรรดาประทานบัตร มีการให้ประทานบัตร 13 ฉบับแก่ (8 บริษัท) เมื่อกลางปี 2563 และอีก 7 ฉบับให้แก่ (5 บริษัท) ในปี 2564 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ประทานบัตรแต่ละฉบับครอบคลุมพื้นที่ 50 ไร่บริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รับประทานบัตรจด ทะเบียนในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ยกเว้นเพียงเมย์ฟลาวเวอร์ไมนิ่ง เอนเตอร์ไพรส์(Maylower Mining Enterprises) ที่จัดตั้งขึ้นโดยนายจ่อวิน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่า และตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง
    การขุดทองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรัฐกะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเกิดขึ้นโดยขาดการควบคุมและก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น
    *****************
    EarthRights.org รายงานว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 การขุดทองในรัฐกะฉิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทัพกะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ เช่น กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) การขุดทองนี้ส่วนใหญ่เป็นการขุดแบบไม่มีการควบคุม (unregulated) และใช้สารเคมี เช่น ปรอทและไซยาไนด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำอิรวดี (Irrawaddy River) และแม่น้ำชินดวิน (Chindwin River) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้สารเคมีในการสกัดทองทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและสุขภาพของประชาชน นอกจากนั้นคือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขุดทองทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม
    ผลกระทบต่อชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ในเมืองตานาย (Tanai) และเมืองชิปวี (Chipwi) เผชิญกับการสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งน้ำสะอาดการขุดทองดึงดูดแรงงานจากพื้นที่อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในชุมชนและเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเด็กและเยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าสู่อุตสาหกรรมการขุดทอง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    และพื้นที่นี้ เหมืองทองในเมืองตานายถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพเมียนมาในเดือนมกราคม 2025 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย การโจมตีนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของกองทัพในการขัดขวางแหล่งรายได้ของ KIA
    *****************
    ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการในพื้นที่เชียงราย พื้นที่ประสบภัยพิบัติทางแม่น้ำ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ทำเหมืองทองคำ และแร่ธาตุเผยแพรข้อเสนอในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำกกและสายซึ่งเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนแล้ว เป็นสถานการณ์ความซับซ้อนของปัญหามลพิษข้ามแดนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจากรัฐส่วนกลางที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้คล้ายกับปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน
    พร้อมกับอ้างอิงงานศึกษาว่าบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำระหว่างประเทศดังเช่นแม่น้ำโขง Ding (2019) ที่วิพากษ์แนวคิด traditional state-centric governance เกี่ยวกับปัญหาสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงตอนล่าง อันประกอบด้วย ไทย ลาว เวียนดนาม และกัมพูชา การแก้ไขภายใต้อาเซียนและ MRC (Mekong River Commission มีข้อจำกัดในแง่ที่ 1) รายงานมิได้ครอบคลุมรายละเอียดของปัญหามลพิษ 2) รายงานมิได้สนับสนุนการสื่อสารกันระหว่างองคกรที่แตกต่างกัน เช่น สถาบันการวิจัย 3) ขาดกลไกเชิงกฎหมายระดับภูมิภาคและการบังคับใช้กฎหมายในควบคุมมลพิษในน้ำข้ามพรมแดน 4) รายงานไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน
    สรุปคือกลกลไกระหว่างประเทศแบบที่ สทนช.เสนอให้ MRC ทำ น่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดนในบริบทอาเซียนได้ เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของปัญหาในต้นน้ำกกและสาย จำเป็นต้องแกะปมตั้งแต่ บริษัทจีน กองกำลังติดอาวุธ ชาติพันธ์ และประเทศจีน ชุมชนในตลอดลำน้ำกกและสาย สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ ปละภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย
    เสียงคำรามของเครื่องบินพร้อมลูกระเบิดภารกิจ Airstrikes ก่อสงครามแย่งชิงขุมทรัพย์ทองคำสีเลือด และคนลุ่มน้ำโขงกำลังเผชิญภัยวิกฤติจากสารพิษ ที่เจือปนในแม่น้ำ รวมถึงการสลายความเป็นมนุษย์ในดินแดนขุมเมืองแห่งลุ่มแม่น้ำแห่งชีวิตสายนี้
    *****************
    อ้างอิง :
    • สำนักข่าว Shan Herald Agency for News, Burma News International, Human Rights Watch, The Irrawaddy Radio Free Asia Al Jazeera, Amnesty International, Justice For Myanmar, และ Wikipedia
    • World Gold Council https://www.gold.org/
    • EarthRights International
    Airstrikes สงคราม ทองคำ และคนลุ่มน้ำโขง (ตอนที่ 4) ***************** เสียงเครื่องบินกระหึ่มสัญชาติรัสเซีย และจีน ทั้งรุ่น MiG-29 -Yak-130 - K-8, F-7 และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-35 Mi-17 เทคออฟขึ้นน่านฟ้าเมียนมา สร้างความหวาดวิตกกับพลเรือนในพื้นที่เสี่ยง ความถี่มิได้เป็นปกป้องอธิปไตยเหนือน่านฟ้า บางครั้งก็ถลำรุกน่านฟ้าของไทย และถูกต้อนกลับ เสียงอากาศยานของเมียนมาทำให้ประชาชน พลเรือนระส่ำระสาย บาดเจ็บล้มตายกัน ในพื้นที่พลเรือนและกลุ่มต่อต้าน ปี 2023-24 กระทรวงกลาโหมใช้งบประมาณเพื่อภารกิจ Aistrike กว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ อาวุธ ส่วนใหญ่มาจากรัสเซียและจีน กองทัพเผด็จการเมียนมาได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศประมาณ 30 ครั้งในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยงนี และรัฐกะฉิ่นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยทิ้งระเบิดเกือบ 100 ลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ตามข้อมูลที่ Shan Herald Agency for News (SHAN) ได้รับ ระหว่างปลายปีที่ผ่าน ถึงวันที่ 30 มกราคม 2025 การโจมตีทางอากาศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือนเป็นหลัก สร้างความเสียหายและการสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะเขตเมืองนองคิโอ รัฐฉาน ซึ่งระเบิดตกใส่ร้านน้ำชา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย มีการประเมินว่านับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว โดยบันทึกการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 1,767 ครั้ง ซึ่งน่าตกใจว่าร้อยละ 47 ของการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือน ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงขึ้น พื้นที่ ที่เป็นเป้าหมายคือพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เหมืองแร่ และแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะใน รัฐฉาน (Shan State), รัฐกะเหรี่ยงนี-คะยา (Karenni/Kayah State), รัฐกะฉิ่น (Kachin State), รัฐระแหง (Rakhine State) และพื้นที่อื่นๆ เช่น ภูมิภาคสกาย (Sagaing Region) เป็นต้น ***************** USGS (United States Geological Survey) ได้ ประมาณการไว้ว่า ยังคงเหลือทองคำอยู่ใต้ดินที่ยังไม่ได้ผลิตออกมาอีกประมาณ 50,000 ตัน คาดกันว่าปริมาณทองคำที่ขุดขึ้นมา และมีการใช้ประโยชน์กันแล้วกว่า 190,000 ตัน และโดยเฉลี่ยในปัจจุบันมีการผลิตออกจากเหมืองประมาณปีละ 2,500 ถึง 3,000 ตัน มีการทำเหมืองทองคำทั่วโลกอยู่ใน 82 ประเทศ สแกนใต้ดินแอฟริกาใต้ มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก จนถึงปัจจุบันราว 31,000 ตัน รองลงมา คือ รัสเซีย ประมาณ 7,000 ตัน และ จีนเป็นอันดับ 3 ที่ผลิตประมาณ 6,328 ตัน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย แคนาดา และ เปรู ทว่าในปี 2564 จีนขึ้นแป้นครองแชมป์ประเทศที่ผลิตทองคำจากเหมืองทองคำในประเทศมากที่สุด คิดเป็น 11% ของการผลิต ทั่วโลก ซึ่งจากฐานข้อมูล Global Data’s mines and projects ที่ได้ติดตามการพัฒนาและปฏิบัติการของเหมืองแร่ และโครงการทั่วโลก โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 4,000 บริษัท ได้สรุป 5 อันดับ เหมืองทองคำในจีนที่ผลิตทองคำได้มากที่สุดในปี 2563 ดังนี้ 1.Shaxi Copper Mine เป็นเหมืองใต้ดินในมณฑลอานฮุย (Anhui) ของกลุ่มบริษัท Togling Nonferrous Metal Group ซึ่งผลิตทองคำได้ประมาณ 730,000 ounces of gold ในปี 2563 2.Jiaojia Gold Mine ของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง (Shandong) ผลิตทองคำได้ประมาณ 230,000 ounces of gold ในปี 2563 และกำลังจะปิดตัวลงในปี 2566 3.Dayingezhuang Gold Mine เป็นเหมืองทองคำในมณฑลซานตงเช่นกัน อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท Zhaojin Mining Industry และผลิตทองคำประมาณ 228,000 ounces of gold ในปี 2563 4.Sanshandao Gold Mine เป็นเหมืองใต้ดินของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง ผลิตทองคำได้ ประมาณ 218,000 ounces of gold ในปี 2563 และจะผลิตตามแผนงานไปจนถึงปี 2571 5.Zaozigou Gold Mine เป็นเหมืองทองคำของบริษัท Zhaojin Mining Industy ในมณฑลกานซู (Gansu) ผลิตทองคำได้ ประมาณ 207,000 ounces of gold ***************** รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ และ สหภาพนักศึกษาไทใหญ่ เกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำขยายวงกว้างทำให้เกิดดินโคลนถล่มท่วมชุมชนทางตะวันออกท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ระบุว่าบริษัทเหมืองแร่ได้เข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2550 ที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคำ ตอนใต้ของบ้านนาโฮหลงในตำบลเมืองเลน ในปัจจุบันเหมืองทองคำแบบเปิดได้ขยายตัวไปกว่า 10 กิโลเมตรตลอดทั่วเทือกเขาดอยค้า ตามริมฝั่งน้ำด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง การปล่อยน้ำจาจากการทำเหมืองแร่ทองแร่ทองคำที่ขาดการควบคุม รวมทั้งน้ำที่ไหลมาจากากอำบน้ำที่เจือด้วยสารไชยาไนด์ทำให้ลำน้ำน้ำอุดตัน และมักทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงที่ริมฝั่งน้ำในช่วงฤดูฝน การขยายตัวของเหมืองทองคำในเมืองเลน ยังทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และในปัจจุบัน มีบริษัท 12 แห่งที่เชื่อมโยงกับนายทหารพม่าระดับสูงได้รับประทานบัตรอายุ 11 ปี เพื่อการทำเหมืองแร่ทองคำ ในบรรดาประทานบัตร มีการให้ประทานบัตร 13 ฉบับแก่ (8 บริษัท) เมื่อกลางปี 2563 และอีก 7 ฉบับให้แก่ (5 บริษัท) ในปี 2564 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ประทานบัตรแต่ละฉบับครอบคลุมพื้นที่ 50 ไร่บริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รับประทานบัตรจด ทะเบียนในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ยกเว้นเพียงเมย์ฟลาวเวอร์ไมนิ่ง เอนเตอร์ไพรส์(Maylower Mining Enterprises) ที่จัดตั้งขึ้นโดยนายจ่อวิน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่า และตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง การขุดทองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรัฐกะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเกิดขึ้นโดยขาดการควบคุมและก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น ***************** EarthRights.org รายงานว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 การขุดทองในรัฐกะฉิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทัพกะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ เช่น กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) การขุดทองนี้ส่วนใหญ่เป็นการขุดแบบไม่มีการควบคุม (unregulated) และใช้สารเคมี เช่น ปรอทและไซยาไนด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำอิรวดี (Irrawaddy River) และแม่น้ำชินดวิน (Chindwin River) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้สารเคมีในการสกัดทองทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและสุขภาพของประชาชน นอกจากนั้นคือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขุดทองทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม ผลกระทบต่อชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ในเมืองตานาย (Tanai) และเมืองชิปวี (Chipwi) เผชิญกับการสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งน้ำสะอาดการขุดทองดึงดูดแรงงานจากพื้นที่อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในชุมชนและเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเด็กและเยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าสู่อุตสาหกรรมการขุดทอง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน และพื้นที่นี้ เหมืองทองในเมืองตานายถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพเมียนมาในเดือนมกราคม 2025 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย การโจมตีนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของกองทัพในการขัดขวางแหล่งรายได้ของ KIA ***************** ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการในพื้นที่เชียงราย พื้นที่ประสบภัยพิบัติทางแม่น้ำ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ทำเหมืองทองคำ และแร่ธาตุเผยแพรข้อเสนอในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำกกและสายซึ่งเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนแล้ว เป็นสถานการณ์ความซับซ้อนของปัญหามลพิษข้ามแดนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจากรัฐส่วนกลางที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้คล้ายกับปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน พร้อมกับอ้างอิงงานศึกษาว่าบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำระหว่างประเทศดังเช่นแม่น้ำโขง Ding (2019) ที่วิพากษ์แนวคิด traditional state-centric governance เกี่ยวกับปัญหาสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงตอนล่าง อันประกอบด้วย ไทย ลาว เวียนดนาม และกัมพูชา การแก้ไขภายใต้อาเซียนและ MRC (Mekong River Commission มีข้อจำกัดในแง่ที่ 1) รายงานมิได้ครอบคลุมรายละเอียดของปัญหามลพิษ 2) รายงานมิได้สนับสนุนการสื่อสารกันระหว่างองคกรที่แตกต่างกัน เช่น สถาบันการวิจัย 3) ขาดกลไกเชิงกฎหมายระดับภูมิภาคและการบังคับใช้กฎหมายในควบคุมมลพิษในน้ำข้ามพรมแดน 4) รายงานไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน สรุปคือกลกลไกระหว่างประเทศแบบที่ สทนช.เสนอให้ MRC ทำ น่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดนในบริบทอาเซียนได้ เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของปัญหาในต้นน้ำกกและสาย จำเป็นต้องแกะปมตั้งแต่ บริษัทจีน กองกำลังติดอาวุธ ชาติพันธ์ และประเทศจีน ชุมชนในตลอดลำน้ำกกและสาย สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ ปละภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย เสียงคำรามของเครื่องบินพร้อมลูกระเบิดภารกิจ Airstrikes ก่อสงครามแย่งชิงขุมทรัพย์ทองคำสีเลือด และคนลุ่มน้ำโขงกำลังเผชิญภัยวิกฤติจากสารพิษ ที่เจือปนในแม่น้ำ รวมถึงการสลายความเป็นมนุษย์ในดินแดนขุมเมืองแห่งลุ่มแม่น้ำแห่งชีวิตสายนี้ ***************** อ้างอิง : • สำนักข่าว Shan Herald Agency for News, Burma News International, Human Rights Watch, The Irrawaddy Radio Free Asia Al Jazeera, Amnesty International, Justice For Myanmar, และ Wikipedia • World Gold Council https://www.gold.org/ • EarthRights International
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • 258 ปี สิ้น “ขุนหลวงขี้เรื้อน” จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง 👑 ราชบัลลังก์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และชะตากรรมที่โลกไม่ลืม

    เส้นทางชีวิตของพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับบทสรุปแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” 📜

    ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึก การสิ้นสุดของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผ่านพระเจ้าเอกทัศ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โรคร้าย และโศกนาฏกรรมแห่งชาติ 🇹🇭📖

    🕰️ ประวัติศาสตร์ไม่เคยหลับใหล 🕰️ 258 ปี ผ่านไป นับแต่วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2310 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่สอง ชาติไทยได้สูญเสียสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือเอกราชแห่งแผ่นดิน และราชวงศ์ที่ปกครองสืบเนื่อง มายาวนานกว่า 400 ปี

    หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห้วงเวลานี้คือ “พระเจ้าเอกทัศ” หรือที่ราษฎรทั่วไปเรียกว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” ชื่อที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เย้ยหยัน และประวัติศาสตร์ที่แสนซับซ้อน ของกษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้สิ้นราชย์ ในห้วงยามแห่งความล่มสลายของชาติ 💔

    👑กษัตริย์ที่ราชบัลลังก์ไม่เคยพร้อมให้ครอง "พระเจ้าเอกทัศ" หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ทรงมีพระนามหลากหลาย ทั้ง "พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์" และ "ขุนหลวงขี้เรื้อน" ซึ่งเป็นคำเรียกขานโดยราษฎร เนื่องจากพระองค์มีอาการประชวร ด้วยโรคผิวหนัง ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเรื้อน หรือกลากเกลื้อนเรื้อรัง 🩺

    จุดเริ่มต้นของการขึ้นครองราชย์ หลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชทายาทที่เหมาะสมตามสายพระโลหิตคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” แต่ด้วยแรงปรารถนาจะขึ้นครองราชย์อย่างแรงกล้า เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งเป็นเชษฐา ได้เสด็จกลับจากการผนวช และปรี่ขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ดั่งการตีตราจองราชบัลลังก์ ไว้ด้วยพระองค์เอง 🤴

    เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงสละราชสมบัติให้ หลังครองราชย์เพียง 10 วัน แล้วเสด็จออกผนวชเป็น “ขุนหลวงหาวัด” หวังหลีกเร้นจากวังวนอำนาจ 👣

    สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของขุนหลวงขี้เรื้อน ☠️

    หลักฐานไทย บันทึกของฝ่ายไทยกล่าวว่า พระองค์หนีภัยสงครามไปหลบซ่อนที่บ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส และสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารนานเกิน 10 วัน

    พงศาวดารพม่า 🐘 กล่าวว่าพระองค์ถูกยิงเสียชีวิต ขณะหลบหนีระหว่างกรุงแตก บริเวณประตูท้ายวัง

    คำให้การของฝรั่ง "แอนโทนี โกยาตัน" บันทึกว่า พระเจ้าเอกทัศถูกปลงพระชนม์โดยชาวสยาม หรืออาจทรงวางยาพิษพระองค์เอง 🧪

    พระศพและพิธีพระเพลิง นายทองสุกนำพระบรมศพ ไปฝังที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร ก่อนจะถูกอัญเชิญถวายพระเพลิง ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

    😇 ขุนหลวงหาวัด กับขุนหลวงขี้เรื้อน 😈

    "พระเจ้าอุทุมพร" กษัตริย์ผู้สละบัลลังก์เพื่อความสงบ พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แต่เลือกสละราชสมบัติ เพื่อความสงบภายใน พระองค์จึงกลายเป็น "ขุนหลวงหาวัด" ผู้ปลีกวิเวกที่พระตำหนักคำหยาด จังหวัดอ่างทอง 🏯

    "พระเจ้าเอกทัศ" กษัตริย์ผู้ไม่ยอมเสียราชบัลลังก์ ตรงกันข้าม พระเจ้าเอกทัศมีความกระหายอำนาจ แม้จะมีข้อจำกัดจากพระวรกาย ทรงใช้บัลลังก์เป็นตราจองอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อบ้านเมือง

    "ขุนหลวงขี้เรื้อน" เป็นโรคเรื้อนจริงหรือแค่คำเล่าลือ? 🧬

    หลักฐานจากตะวันตก ฝรั่งเศส "สังฆราชปีแยร์ บรีโกต์" ระบุว่า พระองค์มีอาการของโรคเรื้อน และไม่ทรงปรากฏพระวรกายต่อผู้ใด ส่วนดัตช์รายงานของ "นิโกลาส บัง" ใช้คำว่า "ลาซารัส" อันเป็นคำเปรียบเทียบถึงโรคเรื้อน

    แต่...โรคเรื้อนห้ามบวช! พระวินัยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนห้ามบวช ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ว่า พระเจ้าเอกทัศเคยออกผนวช จึงอาจหมายถึงโรคผิวหนังอื่น ที่คล้ายคลึงกัน เช่น กลากเกลื้อน หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง 😕

    ความขัดแย้งในแผ่นดิน การแตกความสามัคคีในยุคปลายอยุธยา ⚔️ ขุนนางฉ้อฉล ข่มเหงประชาชน พระเจ้าเอกทัศไม่แสดงพระองค์แก่ประชาชน ฝ่ายในมีอำนาจครอบงำการเมือง ราษฎรถูกรีดไถ จนหมดศรัทธา

    ถึงแม้จะมีหลักฐาน ที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระองค์ ในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม แต่ภาพรวมกลับเป็นลบ ต่อสายตาประวัติศาสตร์

    📖 คำให้การจากผู้ถูกกวาดต้อน มุมมองที่แตกต่าง ใน "คำให้การของชาวกรุงเก่า" พระเจ้าเอกทัศกลับถูกยกย่องว่า

    “...ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง”

    คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยังเสริมว่า พระองค์มีศีลธรรม ทศพิธราชธรรม และทำนุบำรุงบ้านเมือง พัฒนามาตราฐานตวงวัด และยกเลิกภาษี 3 ปี 🎯

    🏚️ จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง และบทเรียนจากความล่มสลาย พระเจ้าเอกทัศถูกมองว่า เป็นต้นเหตุการเสียกรุง ทั้งจากราษฎรไทยในสมัยธนบุรี ไปจนถึงกษัตริย์ยุคต่อมา เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงกลัวจะถูกกล่าวขานในแบบเดียวกัน

    ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่การจดจำบุคคล แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในยุคที่ความมั่นคง พังทลายด้วยความทะยานอยากของอำนาจ ⚖️

    🕯️ กษัตริย์ผู้ถูกลืม หรือถูกจำในมุมผิด? “ขุนหลวงขี้เรื้อน” อาจเป็นเพียงนามที่ประชาชนผู้สิ้นศรัทธา ใช้เรียกผู้มีอำนาจที่ไร้ความสามารถ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเอกทัศอาจเป็นเพียงเหยื่อของช่วงเวลา แรงกดดัน และความไม่พร้อมของแผ่นดิน

    เรื่องราวของพระองค์ จึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของความพ่ายแพ้ แต่คือบทเรียนของการเมืองไทย ที่วนเวียนไม่รู้จบ 🌪️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171927 เม.ย. 2568

    📢 #ขุนหลวงขี้เรื้อน #กรุงศรีอยุธยา #ประวัติศาสตร์ไทย #พระเจ้าเอกทัศ #ราชวงศ์บ้านพลูหลวง #ขุนหลวงหาวัด #คำให้การชาวกรุงเก่า #กษัตริย์ไทย #โบราณสถาน #พระตำหนักคำหยาด
    258 ปี สิ้น “ขุนหลวงขี้เรื้อน” จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง 👑 ราชบัลลังก์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และชะตากรรมที่โลกไม่ลืม เส้นทางชีวิตของพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับบทสรุปแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” 📜 ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึก การสิ้นสุดของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผ่านพระเจ้าเอกทัศ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โรคร้าย และโศกนาฏกรรมแห่งชาติ 🇹🇭📖 🕰️ ประวัติศาสตร์ไม่เคยหลับใหล 🕰️ 258 ปี ผ่านไป นับแต่วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2310 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่สอง ชาติไทยได้สูญเสียสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือเอกราชแห่งแผ่นดิน และราชวงศ์ที่ปกครองสืบเนื่อง มายาวนานกว่า 400 ปี หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห้วงเวลานี้คือ “พระเจ้าเอกทัศ” หรือที่ราษฎรทั่วไปเรียกว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” ชื่อที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เย้ยหยัน และประวัติศาสตร์ที่แสนซับซ้อน ของกษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้สิ้นราชย์ ในห้วงยามแห่งความล่มสลายของชาติ 💔 👑กษัตริย์ที่ราชบัลลังก์ไม่เคยพร้อมให้ครอง "พระเจ้าเอกทัศ" หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ทรงมีพระนามหลากหลาย ทั้ง "พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์" และ "ขุนหลวงขี้เรื้อน" ซึ่งเป็นคำเรียกขานโดยราษฎร เนื่องจากพระองค์มีอาการประชวร ด้วยโรคผิวหนัง ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเรื้อน หรือกลากเกลื้อนเรื้อรัง 🩺 จุดเริ่มต้นของการขึ้นครองราชย์ หลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชทายาทที่เหมาะสมตามสายพระโลหิตคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” แต่ด้วยแรงปรารถนาจะขึ้นครองราชย์อย่างแรงกล้า เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งเป็นเชษฐา ได้เสด็จกลับจากการผนวช และปรี่ขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ดั่งการตีตราจองราชบัลลังก์ ไว้ด้วยพระองค์เอง 🤴 เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงสละราชสมบัติให้ หลังครองราชย์เพียง 10 วัน แล้วเสด็จออกผนวชเป็น “ขุนหลวงหาวัด” หวังหลีกเร้นจากวังวนอำนาจ 👣 สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของขุนหลวงขี้เรื้อน ☠️ หลักฐานไทย บันทึกของฝ่ายไทยกล่าวว่า พระองค์หนีภัยสงครามไปหลบซ่อนที่บ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส และสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารนานเกิน 10 วัน พงศาวดารพม่า 🐘 กล่าวว่าพระองค์ถูกยิงเสียชีวิต ขณะหลบหนีระหว่างกรุงแตก บริเวณประตูท้ายวัง คำให้การของฝรั่ง "แอนโทนี โกยาตัน" บันทึกว่า พระเจ้าเอกทัศถูกปลงพระชนม์โดยชาวสยาม หรืออาจทรงวางยาพิษพระองค์เอง 🧪 พระศพและพิธีพระเพลิง นายทองสุกนำพระบรมศพ ไปฝังที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร ก่อนจะถูกอัญเชิญถวายพระเพลิง ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี 😇 ขุนหลวงหาวัด กับขุนหลวงขี้เรื้อน 😈 "พระเจ้าอุทุมพร" กษัตริย์ผู้สละบัลลังก์เพื่อความสงบ พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แต่เลือกสละราชสมบัติ เพื่อความสงบภายใน พระองค์จึงกลายเป็น "ขุนหลวงหาวัด" ผู้ปลีกวิเวกที่พระตำหนักคำหยาด จังหวัดอ่างทอง 🏯 "พระเจ้าเอกทัศ" กษัตริย์ผู้ไม่ยอมเสียราชบัลลังก์ ตรงกันข้าม พระเจ้าเอกทัศมีความกระหายอำนาจ แม้จะมีข้อจำกัดจากพระวรกาย ทรงใช้บัลลังก์เป็นตราจองอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อบ้านเมือง "ขุนหลวงขี้เรื้อน" เป็นโรคเรื้อนจริงหรือแค่คำเล่าลือ? 🧬 หลักฐานจากตะวันตก ฝรั่งเศส "สังฆราชปีแยร์ บรีโกต์" ระบุว่า พระองค์มีอาการของโรคเรื้อน และไม่ทรงปรากฏพระวรกายต่อผู้ใด ส่วนดัตช์รายงานของ "นิโกลาส บัง" ใช้คำว่า "ลาซารัส" อันเป็นคำเปรียบเทียบถึงโรคเรื้อน แต่...โรคเรื้อนห้ามบวช! พระวินัยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนห้ามบวช ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ว่า พระเจ้าเอกทัศเคยออกผนวช จึงอาจหมายถึงโรคผิวหนังอื่น ที่คล้ายคลึงกัน เช่น กลากเกลื้อน หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง 😕 ความขัดแย้งในแผ่นดิน การแตกความสามัคคีในยุคปลายอยุธยา ⚔️ ขุนนางฉ้อฉล ข่มเหงประชาชน พระเจ้าเอกทัศไม่แสดงพระองค์แก่ประชาชน ฝ่ายในมีอำนาจครอบงำการเมือง ราษฎรถูกรีดไถ จนหมดศรัทธา ถึงแม้จะมีหลักฐาน ที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระองค์ ในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม แต่ภาพรวมกลับเป็นลบ ต่อสายตาประวัติศาสตร์ 📖 คำให้การจากผู้ถูกกวาดต้อน มุมมองที่แตกต่าง ใน "คำให้การของชาวกรุงเก่า" พระเจ้าเอกทัศกลับถูกยกย่องว่า “...ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง” คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยังเสริมว่า พระองค์มีศีลธรรม ทศพิธราชธรรม และทำนุบำรุงบ้านเมือง พัฒนามาตราฐานตวงวัด และยกเลิกภาษี 3 ปี 🎯 🏚️ จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง และบทเรียนจากความล่มสลาย พระเจ้าเอกทัศถูกมองว่า เป็นต้นเหตุการเสียกรุง ทั้งจากราษฎรไทยในสมัยธนบุรี ไปจนถึงกษัตริย์ยุคต่อมา เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงกลัวจะถูกกล่าวขานในแบบเดียวกัน ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่การจดจำบุคคล แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในยุคที่ความมั่นคง พังทลายด้วยความทะยานอยากของอำนาจ ⚖️ 🕯️ กษัตริย์ผู้ถูกลืม หรือถูกจำในมุมผิด? “ขุนหลวงขี้เรื้อน” อาจเป็นเพียงนามที่ประชาชนผู้สิ้นศรัทธา ใช้เรียกผู้มีอำนาจที่ไร้ความสามารถ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเอกทัศอาจเป็นเพียงเหยื่อของช่วงเวลา แรงกดดัน และความไม่พร้อมของแผ่นดิน เรื่องราวของพระองค์ จึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของความพ่ายแพ้ แต่คือบทเรียนของการเมืองไทย ที่วนเวียนไม่รู้จบ 🌪️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171927 เม.ย. 2568 📢 #ขุนหลวงขี้เรื้อน #กรุงศรีอยุธยา #ประวัติศาสตร์ไทย #พระเจ้าเอกทัศ #ราชวงศ์บ้านพลูหลวง #ขุนหลวงหาวัด #คำให้การชาวกรุงเก่า #กษัตริย์ไทย #โบราณสถาน #พระตำหนักคำหยาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • Notion ได้เปิดตัว Notion Mail ซึ่งเป็นแอปอีเมลที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้จัดการอีเมลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ Notion Mail ใช้ AI เพื่อช่วยจัดการอีเมล
    - ระบบสามารถ จัดเรียง, ติดป้ายกำกับ และกรองอีเมล ตามความสำคัญของผู้ใช้
    - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ AI จัดลำดับความสำคัญของอีเมล เช่น อีเมลเกี่ยวกับการจ้างงานสำหรับฝ่ายสรรหาบุคลากร

    ✅ อินเทอร์เฟซของ Notion Mail สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้
    - ผู้ใช้สามารถ สร้างมุมมองแบบกำหนดเอง เพื่อให้โฟกัสกับอีเมลที่สำคัญ
    - หมวดหมู่เช่น โปรโมชั่น, ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า และการเดินทาง ช่วยให้การจัดการอีเมลเป็นระเบียบมากขึ้น

    ✅ Notion Mail มีฟีเจอร์ Snippets เพื่อช่วยให้การเขียนอีเมลเร็วขึ้น
    - ผู้ใช้สามารถ บันทึกเทมเพลตอีเมล และให้ AI ช่วยเขียนข้อความเปิด, คำตอบ และอื่นๆ
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตอบอีเมลที่มีเนื้อหาคล้ายกัน

    ✅ Notion Mail เชื่อมต่อกับ Notion Calendar เพื่อช่วยจัดตารางเวลาการประชุม
    - ผู้ส่งสามารถ แชร์ช่วงเวลาที่ว่าง เพื่อให้การนัดหมายเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    ✅ Notion Mail เปิดให้ใช้งานฟรี
    - รวมอยู่ใน แพ็กเกจฟรีของ Notion ซึ่งมี Notion Calendar และการเชื่อมต่อกับ Slack และ GitHub
    - รองรับ Gmail

    https://www.techradar.com/pro/notion-launches-ai-powered-email-app-to-give-busy-users-a-productivity-boost
    Notion ได้เปิดตัว Notion Mail ซึ่งเป็นแอปอีเมลที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้จัดการอีเมลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ Notion Mail ใช้ AI เพื่อช่วยจัดการอีเมล - ระบบสามารถ จัดเรียง, ติดป้ายกำกับ และกรองอีเมล ตามความสำคัญของผู้ใช้ - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ AI จัดลำดับความสำคัญของอีเมล เช่น อีเมลเกี่ยวกับการจ้างงานสำหรับฝ่ายสรรหาบุคลากร ✅ อินเทอร์เฟซของ Notion Mail สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้ - ผู้ใช้สามารถ สร้างมุมมองแบบกำหนดเอง เพื่อให้โฟกัสกับอีเมลที่สำคัญ - หมวดหมู่เช่น โปรโมชั่น, ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า และการเดินทาง ช่วยให้การจัดการอีเมลเป็นระเบียบมากขึ้น ✅ Notion Mail มีฟีเจอร์ Snippets เพื่อช่วยให้การเขียนอีเมลเร็วขึ้น - ผู้ใช้สามารถ บันทึกเทมเพลตอีเมล และให้ AI ช่วยเขียนข้อความเปิด, คำตอบ และอื่นๆ - ฟีเจอร์นี้ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตอบอีเมลที่มีเนื้อหาคล้ายกัน ✅ Notion Mail เชื่อมต่อกับ Notion Calendar เพื่อช่วยจัดตารางเวลาการประชุม - ผู้ส่งสามารถ แชร์ช่วงเวลาที่ว่าง เพื่อให้การนัดหมายเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ✅ Notion Mail เปิดให้ใช้งานฟรี - รวมอยู่ใน แพ็กเกจฟรีของ Notion ซึ่งมี Notion Calendar และการเชื่อมต่อกับ Slack และ GitHub - รองรับ Gmail https://www.techradar.com/pro/notion-launches-ai-powered-email-app-to-give-busy-users-a-productivity-boost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple กำลังเผชิญกับปัญหาภายในที่ส่งผลให้ Siri ล้าหลังคู่แข่งด้าน AI อย่าง OpenAI และ Google โดยมีรายงานว่า ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา และ การขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Siri ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่แข่งขันได้

    ✅ Apple ล้มเหลวในการพัฒนา Siri ให้ทันคู่แข่ง
    - Apple ต้องเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Siri เนื่องจาก ปัญหาด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ
    - อดีตพนักงานของ Apple ระบุว่า การขาดวิสัยทัศน์และการเน้นพัฒนาเพียงฟีเจอร์เล็กๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ

    ✅ ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา AI และวิศวกรซอฟต์แวร์
    - ทีม AI ได้รับ เงินเดือนสูงกว่า, การเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า
    - ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์รู้สึกว่า ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีการบันทึกหลักฐานเพื่อโยนความผิดให้ทีมอื่นหากโครงการล้มเหลว

    ✅ อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Apple ไม่เชื่อว่า Chatbots มีประโยชน์
    - John Giannandrea เคยบอกทีมงานในปี 2022 ว่า Chatbots อย่าง ChatGPT ไม่มีประโยชน์
    - ในปี 2023 Apple สั่งห้ามวิศวกร ใช้โมเดล AI จากบริษัทอื่น แม้จะเห็นว่าเทคโนโลยีของ Apple ยังตามหลังคู่แข่ง

    ✅ Craig Federighi เข้ามากู้สถานการณ์ Siri
    - Federighi ได้สั่งให้ทีม Siri ทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนา AI ให้ดีขึ้น
    - Apple อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทีมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/hey-siri-explain-how-internal-feuding-at-apple-left-the-company-losing-the-ai-race
    Apple กำลังเผชิญกับปัญหาภายในที่ส่งผลให้ Siri ล้าหลังคู่แข่งด้าน AI อย่าง OpenAI และ Google โดยมีรายงานว่า ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา และ การขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Siri ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่แข่งขันได้ ✅ Apple ล้มเหลวในการพัฒนา Siri ให้ทันคู่แข่ง - Apple ต้องเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Siri เนื่องจาก ปัญหาด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ - อดีตพนักงานของ Apple ระบุว่า การขาดวิสัยทัศน์และการเน้นพัฒนาเพียงฟีเจอร์เล็กๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ ✅ ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา AI และวิศวกรซอฟต์แวร์ - ทีม AI ได้รับ เงินเดือนสูงกว่า, การเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า - ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์รู้สึกว่า ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีการบันทึกหลักฐานเพื่อโยนความผิดให้ทีมอื่นหากโครงการล้มเหลว ✅ อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Apple ไม่เชื่อว่า Chatbots มีประโยชน์ - John Giannandrea เคยบอกทีมงานในปี 2022 ว่า Chatbots อย่าง ChatGPT ไม่มีประโยชน์ - ในปี 2023 Apple สั่งห้ามวิศวกร ใช้โมเดล AI จากบริษัทอื่น แม้จะเห็นว่าเทคโนโลยีของ Apple ยังตามหลังคู่แข่ง ✅ Craig Federighi เข้ามากู้สถานการณ์ Siri - Federighi ได้สั่งให้ทีม Siri ทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนา AI ให้ดีขึ้น - Apple อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทีมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/hey-siri-explain-how-internal-feuding-at-apple-left-the-company-losing-the-ai-race
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ‘Hey Siri: Explain how internal feuding at Apple left the company losing the AI race’
    A damning expose of Apple's missteps trying upgrade Siri delivers a masterclass on how competing teams build resentment inside a company.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เปิดให้ Copilot Vision ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge ทุกคน ซึ่งก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้สงวนไว้สำหรับสมาชิก Copilot Pro เท่านั้น โดย Copilot Vision ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แชร์เนื้อหาเว็บกับ Copilot และรับคำตอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นได้ทันที

    ✅ Copilot Vision เปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge
    - ก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้มีเฉพาะใน Copilot Pro แต่ตอนนี้เปิดให้ทุกคนใช้งานได้
    - ผู้ใช้สามารถ พูดคุยกับ Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาบนเว็บที่กำลังดูอยู่

    ✅ Copilot Vision รองรับเว็บไซต์บางแห่งเท่านั้น
    - ใช้งานได้กับ Amazon.com, Target.com, Wikipedia และ Tripadvisor
    - ไม่สามารถใช้กับ เว็บไซต์ที่มี paywall หรือเนื้อหาที่ละเอียดอ่อน

    ✅ Microsoft ยืนยันว่า Copilot Vision ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้
    - ไม่มีการบันทึก เสียง, รูปภาพ, ข้อความ หรือบทสนทนา เพื่อใช้ในการฝึกโมเดล AI
    - ฟีเจอร์นี้เป็น ระบบ opt-in ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องเปิดใช้งานเอง

    ✅ Copilot Vision ขยายไปยังแอปมือถือและ Windows
    - ผู้ใช้สามารถใช้ Copilot mobile app เพื่อให้ AI วิเคราะห์ วิดีโอแบบเรียลไทม์และภาพถ่ายในแกลเลอรี
    - Copilot Vision ใน Windows รองรับ การแชร์หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน

    ✅ วิธีใช้งาน Copilot Vision บน Windows
    - คลิกที่ ไอคอนแว่นตา ในแอป Copilot
    - เลือก หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปที่ต้องการแชร์
    - ถาม Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังดู

    https://www.neowin.net/news/microsoft-just-made-copilot-vision-free-for-everyone-using-edge-browser/
    Microsoft ได้เปิดให้ Copilot Vision ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge ทุกคน ซึ่งก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้สงวนไว้สำหรับสมาชิก Copilot Pro เท่านั้น โดย Copilot Vision ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แชร์เนื้อหาเว็บกับ Copilot และรับคำตอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นได้ทันที ✅ Copilot Vision เปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge - ก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้มีเฉพาะใน Copilot Pro แต่ตอนนี้เปิดให้ทุกคนใช้งานได้ - ผู้ใช้สามารถ พูดคุยกับ Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาบนเว็บที่กำลังดูอยู่ ✅ Copilot Vision รองรับเว็บไซต์บางแห่งเท่านั้น - ใช้งานได้กับ Amazon.com, Target.com, Wikipedia และ Tripadvisor - ไม่สามารถใช้กับ เว็บไซต์ที่มี paywall หรือเนื้อหาที่ละเอียดอ่อน ✅ Microsoft ยืนยันว่า Copilot Vision ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้ - ไม่มีการบันทึก เสียง, รูปภาพ, ข้อความ หรือบทสนทนา เพื่อใช้ในการฝึกโมเดล AI - ฟีเจอร์นี้เป็น ระบบ opt-in ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ Copilot Vision ขยายไปยังแอปมือถือและ Windows - ผู้ใช้สามารถใช้ Copilot mobile app เพื่อให้ AI วิเคราะห์ วิดีโอแบบเรียลไทม์และภาพถ่ายในแกลเลอรี - Copilot Vision ใน Windows รองรับ การแชร์หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน ✅ วิธีใช้งาน Copilot Vision บน Windows - คลิกที่ ไอคอนแว่นตา ในแอป Copilot - เลือก หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปที่ต้องการแชร์ - ถาม Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังดู https://www.neowin.net/news/microsoft-just-made-copilot-vision-free-for-everyone-using-edge-browser/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft just made Copilot Vision free for everyone using Edge browser
    Microsoft has made its Copilot Vision feature, previously exclusive to Pro subscribers, available for free to all Microsoft Edge users on select websites.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังใช้ AI และโทรศัพท์ Pixel เพื่อพัฒนาโมเดลที่สามารถ เข้าใจและสื่อสารกับโลมา โดยโครงการนี้ใช้ DolphinGemma ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์เสียงของโลมา เช่น เสียงหวีด, คลิก และ squawk

    ✅ Google ใช้ AI เพื่อศึกษาภาษาของโลมา
    - โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Georgia Tech และ Wild Dolphin Project (WDP)
    - WDP มีข้อมูลเสียงของโลมามากกว่า 40 ปี ซึ่งใช้ในการฝึกโมเดล DolphinGemma

    ✅ DolphinGemma วิเคราะห์เสียงโลมาเพื่อเข้าใจพฤติกรรม
    - โลมามี เสียงหวีดเฉพาะตัว ที่ใช้เรียกกันเหมือนชื่อ
    - ใช้ เสียงคลิก "buzzes" ในการเกี้ยวพาราสีหรือขับไล่ฉลาม
    - ใช้ เสียง burst-pulse "squarks" ในระหว่างการต่อสู้

    ✅ Pixel phones ถูกใช้ในการบันทึกเสียงโลมา
    - โทรศัพท์ Pixel ใช้ SoundStream tokenizer เพื่อแปลงเสียงโลมาเป็นข้อมูลที่ AI สามารถวิเคราะห์ได้
    - DolphinGemma มี 400 ล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานบน Pixel ได้โดยตรง

    ✅ CHAT: ระบบสื่อสารสองทางกับโลมา
    - CHAT (Cetacean Hearing Augmentation Telemetry) ใช้ Pixel 6 เพื่อสร้าง เสียงหวีดสังเคราะห์
    - นักวิจัยหวังว่าโลมาจะเลียนแบบเสียงเหล่านี้เพื่อขอสิ่งที่ต้องการ เช่น สาหร่ายทะเลหรือผ้าพันคอ
    - Google เตรียมเปิดตัว CHAT รุ่นใหม่บน Pixel 9 สำหรับฤดูร้อนปี 2025

    https://www.techspot.com/news/107552-how-google-plans-use-ai-pixel-phones-talk.html
    Google กำลังใช้ AI และโทรศัพท์ Pixel เพื่อพัฒนาโมเดลที่สามารถ เข้าใจและสื่อสารกับโลมา โดยโครงการนี้ใช้ DolphinGemma ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์เสียงของโลมา เช่น เสียงหวีด, คลิก และ squawk ✅ Google ใช้ AI เพื่อศึกษาภาษาของโลมา - โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Georgia Tech และ Wild Dolphin Project (WDP) - WDP มีข้อมูลเสียงของโลมามากกว่า 40 ปี ซึ่งใช้ในการฝึกโมเดล DolphinGemma ✅ DolphinGemma วิเคราะห์เสียงโลมาเพื่อเข้าใจพฤติกรรม - โลมามี เสียงหวีดเฉพาะตัว ที่ใช้เรียกกันเหมือนชื่อ - ใช้ เสียงคลิก "buzzes" ในการเกี้ยวพาราสีหรือขับไล่ฉลาม - ใช้ เสียง burst-pulse "squarks" ในระหว่างการต่อสู้ ✅ Pixel phones ถูกใช้ในการบันทึกเสียงโลมา - โทรศัพท์ Pixel ใช้ SoundStream tokenizer เพื่อแปลงเสียงโลมาเป็นข้อมูลที่ AI สามารถวิเคราะห์ได้ - DolphinGemma มี 400 ล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานบน Pixel ได้โดยตรง ✅ CHAT: ระบบสื่อสารสองทางกับโลมา - CHAT (Cetacean Hearing Augmentation Telemetry) ใช้ Pixel 6 เพื่อสร้าง เสียงหวีดสังเคราะห์ - นักวิจัยหวังว่าโลมาจะเลียนแบบเสียงเหล่านี้เพื่อขอสิ่งที่ต้องการ เช่น สาหร่ายทะเลหรือผ้าพันคอ - Google เตรียมเปิดตัว CHAT รุ่นใหม่บน Pixel 9 สำหรับฤดูร้อนปี 2025 https://www.techspot.com/news/107552-how-google-plans-use-ai-pixel-phones-talk.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google's AI is learning dolphin language - for real
    Google has announced a collaboration with researchers at Georgia Tech and the field research of the Wild Dolphin Project (WDP), the latter of which has been collecting...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mark Zuckerberg เคยพิจารณา แยก Instagram ออกเป็นบริษัทอิสระ ในปี 2018 เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับ การตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาด ตามเอกสารที่ถูกเปิดเผยในศาลสหรัฐฯ

    ✅ Zuckerberg เคยพิจารณาแยก Instagram ออกจาก Meta
    - ในปี 2018 เขาเขียนบันทึกภายในว่าอาจต้อง แยก Instagram ออกเป็นบริษัทอิสระ
    - เหตุผลหลักคือ ความเสี่ยงจากการตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาด

    ✅ Meta ตัดสินใจรวมแอปแทนการแยกออก
    - แม้จะมีการพิจารณา แต่ Meta เลือกที่จะ รวม Instagram และ WhatsApp เข้ากับ Facebook
    - Zuckerberg เชื่อว่าการรวมกันจะช่วยให้บริษัทเติบโตได้ดีขึ้น

    ✅ การตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาดในสหรัฐฯ
    - คณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ (FTC) กำลังดำเนินคดีเพื่อ ยกเลิกการเข้าซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp
    - FTC อ้างว่า Meta ใช้กลยุทธ์ "ซื้อหรือทำลายคู่แข่ง" เพื่อรักษาการผูกขาด

    ✅ Zuckerberg ยอมรับว่า Instagram ดีกว่า Facebook ในบางด้าน
    - เขากล่าวว่า Instagram มี กล้องที่ดีกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Meta ตัดสินใจซื้อกิจการ
    - Meta เคยพยายามสร้างแอปกล้องของตัวเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

    ℹ️ ผลกระทบต่ออนาคตของ Meta
    - หาก FTC ชนะคดี Meta อาจต้อง แยก Instagram และ WhatsApp ออกจากบริษัท

    ℹ️ ความท้าทายในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่น
    - Meta ต้องเผชิญกับการแข่งขันจาก TikTok, YouTube และ Apple Messages

    ℹ️ แนวโน้มของการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
    - รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการผูกขาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/at-us-antitrust-trial-meta039s-zuckerberg-admits-he-bought-instagram-because-it-was-039better039
    Mark Zuckerberg เคยพิจารณา แยก Instagram ออกเป็นบริษัทอิสระ ในปี 2018 เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับ การตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาด ตามเอกสารที่ถูกเปิดเผยในศาลสหรัฐฯ ✅ Zuckerberg เคยพิจารณาแยก Instagram ออกจาก Meta - ในปี 2018 เขาเขียนบันทึกภายในว่าอาจต้อง แยก Instagram ออกเป็นบริษัทอิสระ - เหตุผลหลักคือ ความเสี่ยงจากการตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาด ✅ Meta ตัดสินใจรวมแอปแทนการแยกออก - แม้จะมีการพิจารณา แต่ Meta เลือกที่จะ รวม Instagram และ WhatsApp เข้ากับ Facebook - Zuckerberg เชื่อว่าการรวมกันจะช่วยให้บริษัทเติบโตได้ดีขึ้น ✅ การตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาดในสหรัฐฯ - คณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ (FTC) กำลังดำเนินคดีเพื่อ ยกเลิกการเข้าซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp - FTC อ้างว่า Meta ใช้กลยุทธ์ "ซื้อหรือทำลายคู่แข่ง" เพื่อรักษาการผูกขาด ✅ Zuckerberg ยอมรับว่า Instagram ดีกว่า Facebook ในบางด้าน - เขากล่าวว่า Instagram มี กล้องที่ดีกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Meta ตัดสินใจซื้อกิจการ - Meta เคยพยายามสร้างแอปกล้องของตัวเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ℹ️ ผลกระทบต่ออนาคตของ Meta - หาก FTC ชนะคดี Meta อาจต้อง แยก Instagram และ WhatsApp ออกจากบริษัท ℹ️ ความท้าทายในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่น - Meta ต้องเผชิญกับการแข่งขันจาก TikTok, YouTube และ Apple Messages ℹ️ แนวโน้มของการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ - รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการผูกขาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/at-us-antitrust-trial-meta039s-zuckerberg-admits-he-bought-instagram-because-it-was-039better039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta's Zuckerberg eyed Instagram spinoff amid antitrust scrutiny, document shows
    WASHINGTON (Reuters) -Meta CEO Mark Zuckerberg considered spinning off popular photo-sharing app Instagram in 2018 over concerns about the growing risk of antitrust scrutiny, according to a document shown at a trial in Washington on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anthropic ได้เปิดตัว Claude Research และการผสานรวมกับ Google Workspace เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Claude Research จะทำการค้นหาหลายครั้งเพื่อให้ได้คำตอบที่ครอบคลุมและมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูล

    ✅ Claude Research: ฟีเจอร์ใหม่สำหรับการค้นหาข้อมูล
    - คล้ายกับ Deep Research ของ ChatGPT แต่เน้นให้คำตอบที่กระชับและมีคุณภาพสูง
    - ทำการค้นหาหลายครั้งเพื่อสำรวจมุมมองต่างๆ ของคำถาม
    - ให้คำตอบพร้อม การอ้างอิงแหล่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้อง

    ✅ การผสานรวมกับ Google Workspace
    - Claude สามารถเข้าถึง Gmail และ Calendar เพื่อให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานของผู้ใช้
    - ผู้ใช้สามารถขอให้ Claude ตรวจสอบ บันทึกการประชุม และค้นหาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
    - Claude สามารถให้ การอ้างอิงเนื้อหาแบบอินไลน์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบแหล่งข้อมูลได้ง่ายขึ้น

    ✅ การปรับปรุงการค้นหาสำหรับองค์กร
    - ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดใช้งาน cataloging เพื่อให้ Claude ค้นหาข้อมูลจากเอกสารภายในองค์กรได้ดีขึ้น
    - ใช้เทคนิค Retrieval-Augmented Generation (RAG) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการค้นหา

    ✅ การเปิดใช้งานและการเข้าถึง
    - Claude Research เปิดให้ใช้งานใน Max, Team และ Enterprise plans ในสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และบราซิล
    - การผสานรวมกับ Google Workspace เปิดให้ใช้งานสำหรับ ผู้ใช้ที่สมัครแพ็กเกจแบบชำระเงิน
    - ผู้ดูแลระบบต้องเปิดใช้งาน Google Workspace integration ก่อนที่ผู้ใช้จะสามารถเชื่อมต่อบัญชีได้

    https://www.neowin.net/news/anthropic-claude-announces-google-workspace-integration-and-new-research-tool/
    Anthropic ได้เปิดตัว Claude Research และการผสานรวมกับ Google Workspace เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Claude Research จะทำการค้นหาหลายครั้งเพื่อให้ได้คำตอบที่ครอบคลุมและมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูล ✅ Claude Research: ฟีเจอร์ใหม่สำหรับการค้นหาข้อมูล - คล้ายกับ Deep Research ของ ChatGPT แต่เน้นให้คำตอบที่กระชับและมีคุณภาพสูง - ทำการค้นหาหลายครั้งเพื่อสำรวจมุมมองต่างๆ ของคำถาม - ให้คำตอบพร้อม การอ้างอิงแหล่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้อง ✅ การผสานรวมกับ Google Workspace - Claude สามารถเข้าถึง Gmail และ Calendar เพื่อให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานของผู้ใช้ - ผู้ใช้สามารถขอให้ Claude ตรวจสอบ บันทึกการประชุม และค้นหาเอกสารที่เกี่ยวข้อง - Claude สามารถให้ การอ้างอิงเนื้อหาแบบอินไลน์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบแหล่งข้อมูลได้ง่ายขึ้น ✅ การปรับปรุงการค้นหาสำหรับองค์กร - ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดใช้งาน cataloging เพื่อให้ Claude ค้นหาข้อมูลจากเอกสารภายในองค์กรได้ดีขึ้น - ใช้เทคนิค Retrieval-Augmented Generation (RAG) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการค้นหา ✅ การเปิดใช้งานและการเข้าถึง - Claude Research เปิดให้ใช้งานใน Max, Team และ Enterprise plans ในสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และบราซิล - การผสานรวมกับ Google Workspace เปิดให้ใช้งานสำหรับ ผู้ใช้ที่สมัครแพ็กเกจแบบชำระเงิน - ผู้ดูแลระบบต้องเปิดใช้งาน Google Workspace integration ก่อนที่ผู้ใช้จะสามารถเชื่อมต่อบัญชีได้ https://www.neowin.net/news/anthropic-claude-announces-google-workspace-integration-and-new-research-tool/
    WWW.NEOWIN.NET
    Anthropic Claude announces Google Workspace integration and new Research tool
    Anthropic has launched two new features for its AI assistant, Claude, aimed at enterprise users. The 'Research' feature performs multi-faceted searches for cited answers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 7 การสร้างความมั่นคงด้านการเงินแก่ครอบครัว
    .
    ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และการเป็นครอบครัวที่อบอุ่นโยงใยกับการจัดการเรื่องการเงินอย่างไม่อ่จหลีกเลี่ยงได้ การที่คนสองคนมาร่วมชีวิตกันและมีลูก คือทางเลือกของชีวิตที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นจึงต้องร่วมกันรับผิดชอบให้ครอบครัวมีความสุข มีความเป็นปึกแผ่นด้านการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของทุกๆคนในครอบครัว
    .
    ในเบื้องแรก สามีภรรยาต้องพูดจาตกลงกันให้ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเงินทองของครอบครัว เช่น จะรวมกระเป๋าและแยกกระเป๋ากันอย่างไร ค่าใช้จ่ายของครอบครัวจะรับผิดชอบกันอย่างไร ข้อพิจารณาในเรื่องนี้มีดังนี้
    .
    การตัดสินใจทางการเงินของพ่อแม่จะต้องเป็นหน่วยเดียวกัน การซื้อสิ่งของที่มีราคาสูงและผูกมัดทางการเงินของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ลงทุนธุรกิจ ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีการปรึกษาหารือ และตัดสินใจร่วมกันเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทราบถึงภาระผูกพันที่จะเกิดขึ้น
    .
    การใช้จ่ายที่ต่างคนต่างทำ เช่น การใช้บัตรเครดิต การเล่นหุ้น เล่นแชร์ การร่วมลงทุนกับผู้อื่น ควรให้แต่ละฝ่ายได้รับรู้ เพราะเป็นบุคคลเดียวกันตามกฏหมาย (ในกรณีจดทะเบียนสมรส) ทั้งพ่อและแม่ต้องรับรู้ข้อมูลและรับผิดชอบสถานะการเงินของครอบครัวร่วมกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งใช้เงินอย่างเดียวโดยไม่ยอมรับรู้เรื่องรายได้ ไม่ยอมหรือไม่ร่วมปรึกษาหารือในการวางแผนการเงินของครอบครัว ความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวก็เกิดขึ้นไม่ได้
    .
    การวางแผนการเงินของครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่จะต้องจัดไว้ในลำดับสำคัญสูงสุด การจดบันทึกข้อมูลการใช้จ่ายในแต่ละเดือนจะทำให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสามารถในการออมของครอบครัว ในการสร้างความมั้นคงด้านการเงินให้แก่ครอบครัว ประเด็นที่พึงพิจารณามีดังต่อไปนี้
    .
    1.ความมั่งคั่งและการมีรายได้ต่อช่วงเวลานั้นแตกต่างกัน ถ้าเปรียบเงินเหมือนน้ำที่อยู่ในถัง รายได้เสมือนน้ำที่ไหลออกจากก้นถังในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าน้ำไหลเข้าถังมากกว่าน้ำที่ไหลออก ปริมาณน้ำในถังที่ได้สะสมมาก่อนหน้า ก็จะมากขึ้น แต่ถ้าน้ำไหลออกจากถังในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่าน้ำไหลเข้า ดังนั้น ปริมาณน้ำในถังที่สะสมมาก่อนหน้าก็จะลดลง ความมั่งคั่งก็คือปริมาณน้ำที่อยู่ในถัง ส่วนรายได้ก็คือปริมาณน้ำที่ไหลเข้าถึงในช่วงเวลานั้น
    .
    ความมั่งคั่งวัด ณ จุดหนึ่งของเวลา ส่วนการมีรายได้เป็นการวัดต่อช่วงเวลา เช่น บ้านมีมูลค่า 3 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวามคม 2568 เป็นความมั่งคั่ง ส่วนรายได้ 5 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นการมีรายได้
    .
    สองสิ่งนี้แตกต่างกัน ความมั่งคั่งมีนัยผูกพันกับอนาคตที่จะมีรายได้ให้ใช้ ส่วนการมีรายได้นั้นมีนัยผูกพันกับช่วงเวลาสั้นๆ บางครอบครัวอาจมีรายได้ต่อเดือนมาก แต่อาจไม่มีความมั่งคั่งก็เป็นได้ กล่าวคือ ถึงมีรายได้มากก็ใช้ไปจนหมด ไม่เหลือไว้สร้างความมั่งคั่งซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มเติมอีกเลยในอนาคต
    .
    การสร้างความมั่งคั่งของครอบครัวต้องเน้นไปที่การสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว ในแต่ละเดือนจะต้องมีรายได้มากกว่าการใช้จ่าย ซึงหมายถึงมีเงินออมนั่นเอง จึงจะทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มพูนขึ้นได้ และความมั่งคั่งนี้จะเป็นฐานของการหารายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่งสำหรับครอบครัวนอกเหนือจากการออกแรงทำงาน
    .
    2.การใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด สอดคล้องกับเงินในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญ สุภาษิต “การหาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่การรู้จักใช้เงินนั้นสำคัญกว่า” เป็นจริงทุกยุคสมัย..... พ่อแม่จำนวนมากทำงานหนักหาเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวโดยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย นั่นคือมีเวลาให้ลูกน้อยลง ทำให้ความเอาใจใส่และผูกพันกับลูกลดลงน้อยลงไปด้วย
    .
    พ่อแม่เหล่านี้ มักเน้นการหารายได้แต่เพียงอย่างเดียวจนละเลยความสำคัญของการใช้จ่าย รายได้ส่วนหนึ่งมักถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อชดเชยที่ใกล้ชิดลูกน้อยลง จนอาจทำให้เงินออมขนาดใหญ่ในแต่ละเดือนเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น การทุ่มเทหาเงินทองในกรณีนี้จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ครอบครัวมากดังที่เข้าใจ หรือคาดหวัง บางครอบครัวกว่าจะรู้ตัวว่าไม่คุ้มก็ต่อเมื่อได้สูญเสียความใกล้ชิดผูกพันในครอบครัวหรือสูญเสียลูกไปแล้ว
    .
    การทำงานหนักเพื่อหาเงินและใช้จ่ายเงินเพื่อดำรงชีพและหาความสุขไม่ใช่เรื่องเสียหาย เช่นเดียวกับการมีบัตรเครดิตและการกู้ยืม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบริการด้านการเงินที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและช่วยให้บรรลุความต้องการในชีวิต ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเหมาะสมระหว่างสถานะทางการเงินของครอบครัวกับหนี้ที่ก่อขึ้น
    .
    3.จะไม่กู้เงินเพื่อสิ่งอื่นใด นอกจากที่อยู่อาศัย การศึกษา หรือเหตุฉุกเฉินด้านปัญหาสุขภาพ นี่คือความเชื่ออย่างนึงของคนในโลกตะวันตก ที่เข้าใจเรื่องการใช้เงินมายาวนานกว่าคนเอเชีย
    .
    การมีที่อยู่อาศัยของตนเอง เป็นพื้นฐานของความมั่งคงในชีวิต นักจิตวิทยาบอกว่า ลึกเข้าไปในใจของมนุษย์ทุกคน บ้านคือตัวแทนของแม่ เพราะบ้านป้องกัน แสงแดด ลมฝน และความหนาวเย็น ก่อให้เกิดความสุขสบายปลอดภัย เฉกเช่นเดียวกับครรภ์มารดา
    .
    การที่ครอบครัวจะมีบ้านเป็นของตนเองนั้นควรเป็นเป้าหมายแรกของพ่อแม่ เพราะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ซึ่งค่าเช่านี้อาจแปรเปลี่ยนเป็นเงินผ่อนซื้อบ้านในแต่ละเดือนได้ หากมีการกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านหลังเดียวกันนี้ ผู้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนไม่มีความหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของบ้านในวันข้างหน้า ซึ่งต่างจากผู้ซื้อบ้านที่มีโอกาสในวันข้างหน้าที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยอีก เนื่องจากเป็นเจ้าของบ้านเอง นอกจากนี้ภายใต้กฏหมายไทย ไม่อาจใช้ค่าเช่าบ้านเป็นค่าลดหย่อนสำหรับการเสียถาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 50,000 บาท
    .
    อย่างไรก็ดี การผ่อนซื้อบ้านเป็นภาระการเงินที่หนักหน่วง เพราะไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินผ่อนชำระทุกเดือนเท่านั้น ยังมีระยะเวลาผูกพันอันยาวนานเกี่ยวข้องอีกด้วย การผ่อนบ้านจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของครอบครัว ซึ่งต้องคำนึงถึงราคาบ้าน ความสามารถในการผ่อนชำระแต่ละเดือน อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันและอนาคต ความแน่นอนของรายได้ ระยะเวลาแห่งการผูกมัด ศักยภาพการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบ้าน ตลอดจน “ความแพง” ของบ้านในภาพรวม
    .
    ยกตัวอย่าง “ความแพง” ของบ้านเพื่อประกอบการพิจารณา : ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนชำระ 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 1,322 บาท ดังนั้นต้องจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 158,640 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท (ถ้าผ่อนส่ง 20 ปี ต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 316,080 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท)
    .
    ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนส่ง 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 66,100 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 7.93 ล้านบาท และถ้าผ่อนส่ง 15 ปี ต้องชำระเดือนละ 53,750 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 9.68 ล้านบาท หรืออีกเกือบหนึ่งเท่าของราคาบ้าน
    .
    ถึงแม้การกู้ยืมจะทำให้บ้าน “แพง” ขึ้นมาก แต่ก็ทำให้สามารถมีบ้านอยู่อาศัยที่เป็นของตนเองในอนาคต และมูลค่าบ้านก็อาจเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใคร่ครวญทั้งในด้าน “ความแพง” อันเกิดจากดอกเบี้ย ความมีคุณค่าของบ้านในปัจจุบันและมูลค่าบ้านในอนาคตประกอบกัน
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 7 การสร้างความมั่นคงด้านการเงินแก่ครอบครัว . ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และการเป็นครอบครัวที่อบอุ่นโยงใยกับการจัดการเรื่องการเงินอย่างไม่อ่จหลีกเลี่ยงได้ การที่คนสองคนมาร่วมชีวิตกันและมีลูก คือทางเลือกของชีวิตที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นจึงต้องร่วมกันรับผิดชอบให้ครอบครัวมีความสุข มีความเป็นปึกแผ่นด้านการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของทุกๆคนในครอบครัว . ในเบื้องแรก สามีภรรยาต้องพูดจาตกลงกันให้ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเงินทองของครอบครัว เช่น จะรวมกระเป๋าและแยกกระเป๋ากันอย่างไร ค่าใช้จ่ายของครอบครัวจะรับผิดชอบกันอย่างไร ข้อพิจารณาในเรื่องนี้มีดังนี้ . การตัดสินใจทางการเงินของพ่อแม่จะต้องเป็นหน่วยเดียวกัน การซื้อสิ่งของที่มีราคาสูงและผูกมัดทางการเงินของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ลงทุนธุรกิจ ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีการปรึกษาหารือ และตัดสินใจร่วมกันเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทราบถึงภาระผูกพันที่จะเกิดขึ้น . การใช้จ่ายที่ต่างคนต่างทำ เช่น การใช้บัตรเครดิต การเล่นหุ้น เล่นแชร์ การร่วมลงทุนกับผู้อื่น ควรให้แต่ละฝ่ายได้รับรู้ เพราะเป็นบุคคลเดียวกันตามกฏหมาย (ในกรณีจดทะเบียนสมรส) ทั้งพ่อและแม่ต้องรับรู้ข้อมูลและรับผิดชอบสถานะการเงินของครอบครัวร่วมกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งใช้เงินอย่างเดียวโดยไม่ยอมรับรู้เรื่องรายได้ ไม่ยอมหรือไม่ร่วมปรึกษาหารือในการวางแผนการเงินของครอบครัว ความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวก็เกิดขึ้นไม่ได้ . การวางแผนการเงินของครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่จะต้องจัดไว้ในลำดับสำคัญสูงสุด การจดบันทึกข้อมูลการใช้จ่ายในแต่ละเดือนจะทำให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสามารถในการออมของครอบครัว ในการสร้างความมั้นคงด้านการเงินให้แก่ครอบครัว ประเด็นที่พึงพิจารณามีดังต่อไปนี้ . 1.ความมั่งคั่งและการมีรายได้ต่อช่วงเวลานั้นแตกต่างกัน ถ้าเปรียบเงินเหมือนน้ำที่อยู่ในถัง รายได้เสมือนน้ำที่ไหลออกจากก้นถังในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าน้ำไหลเข้าถังมากกว่าน้ำที่ไหลออก ปริมาณน้ำในถังที่ได้สะสมมาก่อนหน้า ก็จะมากขึ้น แต่ถ้าน้ำไหลออกจากถังในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่าน้ำไหลเข้า ดังนั้น ปริมาณน้ำในถังที่สะสมมาก่อนหน้าก็จะลดลง ความมั่งคั่งก็คือปริมาณน้ำที่อยู่ในถัง ส่วนรายได้ก็คือปริมาณน้ำที่ไหลเข้าถึงในช่วงเวลานั้น . ความมั่งคั่งวัด ณ จุดหนึ่งของเวลา ส่วนการมีรายได้เป็นการวัดต่อช่วงเวลา เช่น บ้านมีมูลค่า 3 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวามคม 2568 เป็นความมั่งคั่ง ส่วนรายได้ 5 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นการมีรายได้ . สองสิ่งนี้แตกต่างกัน ความมั่งคั่งมีนัยผูกพันกับอนาคตที่จะมีรายได้ให้ใช้ ส่วนการมีรายได้นั้นมีนัยผูกพันกับช่วงเวลาสั้นๆ บางครอบครัวอาจมีรายได้ต่อเดือนมาก แต่อาจไม่มีความมั่งคั่งก็เป็นได้ กล่าวคือ ถึงมีรายได้มากก็ใช้ไปจนหมด ไม่เหลือไว้สร้างความมั่งคั่งซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มเติมอีกเลยในอนาคต . การสร้างความมั่งคั่งของครอบครัวต้องเน้นไปที่การสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว ในแต่ละเดือนจะต้องมีรายได้มากกว่าการใช้จ่าย ซึงหมายถึงมีเงินออมนั่นเอง จึงจะทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มพูนขึ้นได้ และความมั่งคั่งนี้จะเป็นฐานของการหารายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่งสำหรับครอบครัวนอกเหนือจากการออกแรงทำงาน . 2.การใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด สอดคล้องกับเงินในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญ สุภาษิต “การหาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่การรู้จักใช้เงินนั้นสำคัญกว่า” เป็นจริงทุกยุคสมัย..... พ่อแม่จำนวนมากทำงานหนักหาเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวโดยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย นั่นคือมีเวลาให้ลูกน้อยลง ทำให้ความเอาใจใส่และผูกพันกับลูกลดลงน้อยลงไปด้วย . พ่อแม่เหล่านี้ มักเน้นการหารายได้แต่เพียงอย่างเดียวจนละเลยความสำคัญของการใช้จ่าย รายได้ส่วนหนึ่งมักถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อชดเชยที่ใกล้ชิดลูกน้อยลง จนอาจทำให้เงินออมขนาดใหญ่ในแต่ละเดือนเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น การทุ่มเทหาเงินทองในกรณีนี้จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ครอบครัวมากดังที่เข้าใจ หรือคาดหวัง บางครอบครัวกว่าจะรู้ตัวว่าไม่คุ้มก็ต่อเมื่อได้สูญเสียความใกล้ชิดผูกพันในครอบครัวหรือสูญเสียลูกไปแล้ว . การทำงานหนักเพื่อหาเงินและใช้จ่ายเงินเพื่อดำรงชีพและหาความสุขไม่ใช่เรื่องเสียหาย เช่นเดียวกับการมีบัตรเครดิตและการกู้ยืม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบริการด้านการเงินที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและช่วยให้บรรลุความต้องการในชีวิต ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเหมาะสมระหว่างสถานะทางการเงินของครอบครัวกับหนี้ที่ก่อขึ้น . 3.จะไม่กู้เงินเพื่อสิ่งอื่นใด นอกจากที่อยู่อาศัย การศึกษา หรือเหตุฉุกเฉินด้านปัญหาสุขภาพ นี่คือความเชื่ออย่างนึงของคนในโลกตะวันตก ที่เข้าใจเรื่องการใช้เงินมายาวนานกว่าคนเอเชีย . การมีที่อยู่อาศัยของตนเอง เป็นพื้นฐานของความมั่งคงในชีวิต นักจิตวิทยาบอกว่า ลึกเข้าไปในใจของมนุษย์ทุกคน บ้านคือตัวแทนของแม่ เพราะบ้านป้องกัน แสงแดด ลมฝน และความหนาวเย็น ก่อให้เกิดความสุขสบายปลอดภัย เฉกเช่นเดียวกับครรภ์มารดา . การที่ครอบครัวจะมีบ้านเป็นของตนเองนั้นควรเป็นเป้าหมายแรกของพ่อแม่ เพราะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ซึ่งค่าเช่านี้อาจแปรเปลี่ยนเป็นเงินผ่อนซื้อบ้านในแต่ละเดือนได้ หากมีการกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านหลังเดียวกันนี้ ผู้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนไม่มีความหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของบ้านในวันข้างหน้า ซึ่งต่างจากผู้ซื้อบ้านที่มีโอกาสในวันข้างหน้าที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยอีก เนื่องจากเป็นเจ้าของบ้านเอง นอกจากนี้ภายใต้กฏหมายไทย ไม่อาจใช้ค่าเช่าบ้านเป็นค่าลดหย่อนสำหรับการเสียถาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 50,000 บาท . อย่างไรก็ดี การผ่อนซื้อบ้านเป็นภาระการเงินที่หนักหน่วง เพราะไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินผ่อนชำระทุกเดือนเท่านั้น ยังมีระยะเวลาผูกพันอันยาวนานเกี่ยวข้องอีกด้วย การผ่อนบ้านจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของครอบครัว ซึ่งต้องคำนึงถึงราคาบ้าน ความสามารถในการผ่อนชำระแต่ละเดือน อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันและอนาคต ความแน่นอนของรายได้ ระยะเวลาแห่งการผูกมัด ศักยภาพการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบ้าน ตลอดจน “ความแพง” ของบ้านในภาพรวม . ยกตัวอย่าง “ความแพง” ของบ้านเพื่อประกอบการพิจารณา : ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนชำระ 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 1,322 บาท ดังนั้นต้องจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 158,640 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท (ถ้าผ่อนส่ง 20 ปี ต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 316,080 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท) . ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนส่ง 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 66,100 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 7.93 ล้านบาท และถ้าผ่อนส่ง 15 ปี ต้องชำระเดือนละ 53,750 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 9.68 ล้านบาท หรืออีกเกือบหนึ่งเท่าของราคาบ้าน . ถึงแม้การกู้ยืมจะทำให้บ้าน “แพง” ขึ้นมาก แต่ก็ทำให้สามารถมีบ้านอยู่อาศัยที่เป็นของตนเองในอนาคต และมูลค่าบ้านก็อาจเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใคร่ครวญทั้งในด้าน “ความแพง” อันเกิดจากดอกเบี้ย ความมีคุณค่าของบ้านในปัจจุบันและมูลค่าบ้านในอนาคตประกอบกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขออภัยที่มาอัพเรื่องให้อ่านช้า (อีกแล้ว) เพราะ Storyฯ หมดเวลาไปกับการเตรียมทริปเที่ยวหน้าหนาวค่ะ วันนี้ยังคงมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> มาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับชื่อของนางเอกเฉินเซ่าซาง ที่ในละครมีกล่าวถึงหลายครั้งว่าแปลว่า ‘สายพิณ’ และถึงขนาดองค์ฮองเฮายังตรัสชมว่าเป็นชื่อที่ดี

    เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้รู้สึกงงกันบ้างไหมว่า มีชื่อเป็นสายพิณมันดียังไงคะ?

    แน่นอนว่าเรากำลังคุยกันถึงพิณโบราณของจีนหรือที่เรียกว่า ‘กู่ฉิน’ (古琴) ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ถือกำเนิดมาก่อนยุคสมัยชุนชิวและการดีดพิณถือเป็นศิลปะชั้นสูงที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาชีวิต โดยมีการกล่าวถึงปรัชญาเหล่านี้ในบันทึกเกี่ยวกับพิธีการโบราณสมัยราชวงศ์โจว วันนี้ Storyฯ จะกล่าวถึงชื่อเรียกและปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับสายพิณ

    แรกเริ่มเลยกู่ฉินมีเพียงสายพิณห้าเส้น เรียกกันว่า ‘กงซางเจวี๋ยจื่ออวี่’ ซึ่งชื่อเรียกเหล่านี้มาจากดวงดาว สรุปได้ดังนี้
    1. กง (宫) : เป็นเส้นที่ใหญ่สุด เสียงทุ้มหนักแน่น เป็นสัญลักษณ์แห่งราชัน แฝงด้วยปรัชญาแห่งการปกครองและความเป็นเจ้าคนนายคน และจัดเป็นตัวแทนแห่งธาตุดินหรือ ‘ดาวดิน’ (คือชื่อเรียกภาษาจีนของดาวเสาร์) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘โด’ นั่นเอง
    2. ซาง (商) : เป็นสัญลักษณ์ของข้าราชสำนักหรือรัฐบุรุษ แฝงด้วยปรัชญาแห่งการบริหารงาน และจัดเป็นตัวแทนแห่งธาตุทองหรือ ‘ดาวทอง’ (ดาวศุกร์) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘เร’
    3. เจวี๋ย (角) : เป็นสัญลักษณ์ของประชาชน แฝงด้วยปรัชญาแห่งการเติบโตจากผืนดิน และเป็นตัวแทนแห่งธาตุไม้หรือ ‘ดาวไม้’ (ดาวพฤหัส) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘มี’
    4. จื่อ (徵) : เป็นสัญลักษณ์แห่งทุกสรรพสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แฝงด้วยปรัชญาแห่งการเจริญงอกงาม และเป็นตัวแทนแห่งธาตุไฟหรือ ‘ดาวไฟ’ (ดาวอังคาร) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘ฟา’
    5. อวี่ (羽) : เป็นสัญลักษณ์แห่งทุกสรรพสิ่งที่จับต้องได้ แฝงด้วยปรัชญาแห่งการหล่อหลอมกลมเกลียวและเป็นตัวแทนแห่งธาตุน้ำหรือ ‘ดาวน้ำ’ (ดาวพุธ) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘ซอล’

    ต่อมากู่ฉินจึงถูกเพิ่มสายพิณขึ้นมาอีกสองเส้น จนครบคีย์ ‘ลา’ และ ‘ที’

    โดยเส้นที่หกเรียกว่า ‘เซ่ากง’ (少宫) เป็นตัวแทนแห่ง ‘ดาวบุ๋น’ (文星 หรือออกเสียงตามจีนกลางว่าดาว ‘เหวิน’ เป็นหนึ่งในดวงดาวในกลุ่มดาวหมีใหญ่) มีตำนานว่าสายพิณเส้นที่หกนี้ถูกเพิ่มเข้ามาโดยองค์โจวเหวินหวาง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว (ปี 1152-1050 ก่อนคริสตกาล) เพื่อเป็นที่ระลึกถึงโอรสที่วายชนม์ไป สายพิณเซ่ากงนี้แฝงด้วยปรัชญาของการใช้ความอ่อนโยนเข้าสยบความแข็งแกร่ง

    และเส้นที่เจ็ดเรียกว่า เซ่าซาง (少商)เป็นตัวแทนแห่ง ‘ดาวบู๊’ (武星 หรือออกเสียงตามจีนกลางว่าดาว ‘อู่’ เป็นอีกหนึ่งในดวงดาวในกลุ่มดาวหมีใหญ่เช่นกัน) มีตำนานว่าสายพิณเส้นที่เจ็ดนี้ถูกเพิ่มเข้ามาโดยองค์โจวอู่หวางแห่งราชวงศ์โจว เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่ล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ สายพิณเซ่าซางนี้แฝงด้วยปรัชญาของการใช้ความแข็งแกร่งเข้าสยบความอ่อนแอ

    ดังนั้น ชื่อของนางเอกที่คนเขาชมว่าความหมายดีนั้น ก็คือแปลว่าเป็นคนเข้มแข็งเป็นผู้ชนะค่ะ และเพื่อนเพจที่ได้ดูละคร <ดาราจักรรักลำนำใจ> คงพอจำได้ว่านางเอกมีพี่ชายฝาแฝดนามว่า เซ่ากง ที่มีบุคลิกเป็นคนนุ่มนิ่มอยู่หนึ่งคน ทีนี้คงพอเข้าใจถึงความหมายแฝงอันบ่งบอกบุคลิกของสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้อันมาจากชื่อเซ่ากงและเซ่าซางแล้วนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g40713266/love-like-the-galaxy-ending/
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/21940180
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    บทความเรื่อง “คัมภีร์พิณ ดนตรีแห่งลมปราณและจิตวิญญาณ” โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบินส์
    https://www.jianshu.com/p/11cc57a753ad
    https://baike.baidu.com/item/宫商角徵羽/85388
    https://baike.baidu.com/item/少商/10047831
    https://www.sohu.com/a/566244575_120498438

    #ดาราจักรรักลำนำใจ #สายพิณจีน #เซ่าซาง #เซ่ากง #กู่ฉิน
    ขออภัยที่มาอัพเรื่องให้อ่านช้า (อีกแล้ว) เพราะ Storyฯ หมดเวลาไปกับการเตรียมทริปเที่ยวหน้าหนาวค่ะ วันนี้ยังคงมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากละครเรื่อง <ดาราจักรรักลำนำใจ> มาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับชื่อของนางเอกเฉินเซ่าซาง ที่ในละครมีกล่าวถึงหลายครั้งว่าแปลว่า ‘สายพิณ’ และถึงขนาดองค์ฮองเฮายังตรัสชมว่าเป็นชื่อที่ดี เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้รู้สึกงงกันบ้างไหมว่า มีชื่อเป็นสายพิณมันดียังไงคะ? แน่นอนว่าเรากำลังคุยกันถึงพิณโบราณของจีนหรือที่เรียกว่า ‘กู่ฉิน’ (古琴) ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ถือกำเนิดมาก่อนยุคสมัยชุนชิวและการดีดพิณถือเป็นศิลปะชั้นสูงที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาชีวิต โดยมีการกล่าวถึงปรัชญาเหล่านี้ในบันทึกเกี่ยวกับพิธีการโบราณสมัยราชวงศ์โจว วันนี้ Storyฯ จะกล่าวถึงชื่อเรียกและปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับสายพิณ แรกเริ่มเลยกู่ฉินมีเพียงสายพิณห้าเส้น เรียกกันว่า ‘กงซางเจวี๋ยจื่ออวี่’ ซึ่งชื่อเรียกเหล่านี้มาจากดวงดาว สรุปได้ดังนี้ 1. กง (宫) : เป็นเส้นที่ใหญ่สุด เสียงทุ้มหนักแน่น เป็นสัญลักษณ์แห่งราชัน แฝงด้วยปรัชญาแห่งการปกครองและความเป็นเจ้าคนนายคน และจัดเป็นตัวแทนแห่งธาตุดินหรือ ‘ดาวดิน’ (คือชื่อเรียกภาษาจีนของดาวเสาร์) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘โด’ นั่นเอง 2. ซาง (商) : เป็นสัญลักษณ์ของข้าราชสำนักหรือรัฐบุรุษ แฝงด้วยปรัชญาแห่งการบริหารงาน และจัดเป็นตัวแทนแห่งธาตุทองหรือ ‘ดาวทอง’ (ดาวศุกร์) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘เร’ 3. เจวี๋ย (角) : เป็นสัญลักษณ์ของประชาชน แฝงด้วยปรัชญาแห่งการเติบโตจากผืนดิน และเป็นตัวแทนแห่งธาตุไม้หรือ ‘ดาวไม้’ (ดาวพฤหัส) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘มี’ 4. จื่อ (徵) : เป็นสัญลักษณ์แห่งทุกสรรพสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แฝงด้วยปรัชญาแห่งการเจริญงอกงาม และเป็นตัวแทนแห่งธาตุไฟหรือ ‘ดาวไฟ’ (ดาวอังคาร) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘ฟา’ 5. อวี่ (羽) : เป็นสัญลักษณ์แห่งทุกสรรพสิ่งที่จับต้องได้ แฝงด้วยปรัชญาแห่งการหล่อหลอมกลมเกลียวและเป็นตัวแทนแห่งธาตุน้ำหรือ ‘ดาวน้ำ’ (ดาวพุธ) คีย์ของสายพิณเส้นนี้คือ ‘ซอล’ ต่อมากู่ฉินจึงถูกเพิ่มสายพิณขึ้นมาอีกสองเส้น จนครบคีย์ ‘ลา’ และ ‘ที’ โดยเส้นที่หกเรียกว่า ‘เซ่ากง’ (少宫) เป็นตัวแทนแห่ง ‘ดาวบุ๋น’ (文星 หรือออกเสียงตามจีนกลางว่าดาว ‘เหวิน’ เป็นหนึ่งในดวงดาวในกลุ่มดาวหมีใหญ่) มีตำนานว่าสายพิณเส้นที่หกนี้ถูกเพิ่มเข้ามาโดยองค์โจวเหวินหวาง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว (ปี 1152-1050 ก่อนคริสตกาล) เพื่อเป็นที่ระลึกถึงโอรสที่วายชนม์ไป สายพิณเซ่ากงนี้แฝงด้วยปรัชญาของการใช้ความอ่อนโยนเข้าสยบความแข็งแกร่ง และเส้นที่เจ็ดเรียกว่า เซ่าซาง (少商)เป็นตัวแทนแห่ง ‘ดาวบู๊’ (武星 หรือออกเสียงตามจีนกลางว่าดาว ‘อู่’ เป็นอีกหนึ่งในดวงดาวในกลุ่มดาวหมีใหญ่เช่นกัน) มีตำนานว่าสายพิณเส้นที่เจ็ดนี้ถูกเพิ่มเข้ามาโดยองค์โจวอู่หวางแห่งราชวงศ์โจว เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่ล้มราชวงศ์ซางได้สำเร็จ สายพิณเซ่าซางนี้แฝงด้วยปรัชญาของการใช้ความแข็งแกร่งเข้าสยบความอ่อนแอ ดังนั้น ชื่อของนางเอกที่คนเขาชมว่าความหมายดีนั้น ก็คือแปลว่าเป็นคนเข้มแข็งเป็นผู้ชนะค่ะ และเพื่อนเพจที่ได้ดูละคร <ดาราจักรรักลำนำใจ> คงพอจำได้ว่านางเอกมีพี่ชายฝาแฝดนามว่า เซ่ากง ที่มีบุคลิกเป็นคนนุ่มนิ่มอยู่หนึ่งคน ทีนี้คงพอเข้าใจถึงความหมายแฝงอันบ่งบอกบุคลิกของสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้อันมาจากชื่อเซ่ากงและเซ่าซางแล้วนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g40713266/love-like-the-galaxy-ending/ https://zhuanlan.zhihu.com/p/21940180 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: บทความเรื่อง “คัมภีร์พิณ ดนตรีแห่งลมปราณและจิตวิญญาณ” โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบินส์ https://www.jianshu.com/p/11cc57a753ad https://baike.baidu.com/item/宫商角徵羽/85388 https://baike.baidu.com/item/少商/10047831 https://www.sohu.com/a/566244575_120498438 #ดาราจักรรักลำนำใจ #สายพิณจีน #เซ่าซาง #เซ่ากง #กู่ฉิน
    WWW.HARPERSBAZAAR.COM
    《星漢燦爛》第一部結局趙露思、吳磊定親!「疑商夫婦」高甜名場景回顧,凌不疑化身男友力頂級教科書
    《星漢燦爛》趙露思、吳磊的感情線看得太不過癮,期待《月升滄海》開始大撒糖!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ได้เปิดตัว Apple Maps Web App ที่สามารถใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์ โดยไม่จำกัดเฉพาะอุปกรณ์ของ Apple อีกต่อไป ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหาและการนำทาง รวมถึงฟีเจอร์ Look Around ที่คล้ายกับ Google Street View อย่างไรก็ตาม Web App นี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล ไม่มีแผนที่การเดินทาง และไม่มีอาคาร 3D

    การเปิดตัวนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของ Apple ในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่เรียกร้องให้ Apple เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น

    ✅ การเปิดตัว Apple Maps Web App
    - Apple Maps Web App สามารถใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์ รวมถึง Android
    - รองรับฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหา การนำทาง และ Look Around

    ✅ ข้อจำกัดของ Web App
    - ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล
    - ไม่มีแผนที่การเดินทางและอาคาร 3D

    ✅ แรงผลักดันจากหน่วยงานกำกับดูแล
    - การเปิดตัวนี้เป็นผลมาจากแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป
    - Apple ถูกเรียกร้องให้เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อการใช้งาน
    - Web App อาจไม่สามารถแข่งขันกับ Google Maps ในด้านฟีเจอร์และความสะดวก
    - ผู้ใช้งานอาจไม่เลือกใช้ Apple Maps หากไม่มีฟีเจอร์ที่ครบครัน

    ℹ️ ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Apple
    - การเปิดตัว Web App ที่มีข้อจำกัดอาจลดความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของ Apple
    - Apple อาจต้องพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติมเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน

    https://www.techspot.com/news/107529-android-users-can-now-use-apple-maps-web.html
    Apple ได้เปิดตัว Apple Maps Web App ที่สามารถใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์ โดยไม่จำกัดเฉพาะอุปกรณ์ของ Apple อีกต่อไป ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหาและการนำทาง รวมถึงฟีเจอร์ Look Around ที่คล้ายกับ Google Street View อย่างไรก็ตาม Web App นี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล ไม่มีแผนที่การเดินทาง และไม่มีอาคาร 3D การเปิดตัวนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของ Apple ในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่เรียกร้องให้ Apple เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น ✅ การเปิดตัว Apple Maps Web App - Apple Maps Web App สามารถใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์ รวมถึง Android - รองรับฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหา การนำทาง และ Look Around ✅ ข้อจำกัดของ Web App - ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล - ไม่มีแผนที่การเดินทางและอาคาร 3D ✅ แรงผลักดันจากหน่วยงานกำกับดูแล - การเปิดตัวนี้เป็นผลมาจากแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป - Apple ถูกเรียกร้องให้เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น ℹ️ ความเสี่ยงต่อการใช้งาน - Web App อาจไม่สามารถแข่งขันกับ Google Maps ในด้านฟีเจอร์และความสะดวก - ผู้ใช้งานอาจไม่เลือกใช้ Apple Maps หากไม่มีฟีเจอร์ที่ครบครัน ℹ️ ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Apple - การเปิดตัว Web App ที่มีข้อจำกัดอาจลดความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของ Apple - Apple อาจต้องพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติมเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน https://www.techspot.com/news/107529-android-users-can-now-use-apple-maps-web.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Apple Maps web app is now available on all devices, including Android
    Initially, users could only access the Maps web app from desktops or tablets. Now, Apple has quietly dropped the beta tag from the URL and opened the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้ Storyฯ กลับไปดูซีรีส์เก่าๆ ค่ะ มาลงเอยที่ละครเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> และสะดุดกับเนื้อเรื่องตอนที่กล่าวถึงว่า พระรองพยายามจีบนางเอกด้วยการล่าสัตว์เอาสัตว์ป่ามาให้ ทำเอาพระเอกหึงจนร่ายยาวออกมาเป็นบทกวี แต่นางเอกฟังไม่เข้าใจ วันนี้มาคุยเรื่องบทกวีนี้กันค่ะ

    ความมีอยู่ว่า
    ... “กวางสิ้นใจในป่าทึบ หญ้าคาขาวห่อหุ้มตัวมันไว้ หญิงสาวความรักผลิบาน ชายหนุ่มไล่ตามพูดหยอกเย้า ป่ามีต้นอ่อนถือกำเนิด พณาร้างมีกวางหนึ่งสิ้นใจ ห่อคาขาวนี้คิดมอบให้ผู้ใด มอบให้หญิงงามดุจยอดหยก อย่าได้รีบร้อนถอดนักซิ อย่าแตะต้องผ้าคาดเอวข้า อย่าทำสุนัขเห่าหอนมา ชาตินี้ข้าติดตามท่านแน่แล้ว” ... กล่าวคือบุรุษในกลอนนี้นำผ้าขาวห่อสัตว์ที่ล่ามาได้หลอกล่อหญิงสาวที่กำลังตกหลุมรักชายผู้นั้น ...
    - ถอดบทสนทนาจาก <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> (ตามซับไทย)

    กลอนบทนี้มีชื่อว่า ‘เหยียโหย่วสื่อจวิน’ (野有死麕 แปลได้ตามซับไทยของละครว่า ‘กวางสิ้นใจในป่าทึบ’) (หมายเหตุ ‘จวิน’ เป็นกวางขนาดเล็กไม่มีเขา ไม่แน่ใจว่าใช่กระจงหรือไม่)

    บทกวีนี้มีทั้งหมดสามท่อน ท่อนละสี่วรรค เป็นหนึ่งในบทกวีที่ถูกรวบรวมไว้ใน ‘ซือจิง’ (诗经 แปลตรงตัวว่าคัมภีร์บทกวี) ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นบทกวีจีนที่เก่าแก่ที่สุด โดยรวบรวมไว้ถึง 311 บท เป็นบทกวีตั้งแต่สมัยโจวตะวันตกตอนปลายจนถึงยุคชุนชิว (ประมาณปี1066 - 479 ก่อนคริสตกาล) จัดอยู่ในหมวด ‘กั๋วเฟิง’ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับบทเพลงพื้นบ้าน

    ‘เหยียโหย่วสื่อจวิน’ เป็นบทกวีที่สะท้อนถึงการเกี้ยวพาราสีของชายหญิง โดยเฉพาะท่อนหลังดูจะบรรยายถึงความสัมพันธ์ที่ดูจะถึงเนื้อถึงตัว เป็นเนื้อหาที่ดูจะสะท้อนถึงอิสระของสตรีในแบบที่เราไม่ค่อยเห็นในกลอนจีนโบราณ

    แต่จริงๆ แล้วมันสะท้อนถึงสถานะสตรีในยุคสมัยนั้นได้ดี

    เราอาจคุ้นเคยว่าคติสอนหญิงของจีนโบราณคือบุรุษเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วก่อนยุคสมัยชุนชิวสถานะทางสังคมของสตรีนั้นสูงไม่เบา ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณปี 1600-1050 ก่อนคริสตกาล) จนถึงราชวงศ์ฮั่น ปรากฏสตรีมีอำนาจทางการทหาร มีที่ได้รับการอวยยศเป็นโหวหลายสิบคน และสตรีสามารถถือครองทรัพย์สินได้ ในยุคสมัยนั้นสตรีมีอิสระด้านการครองเรือนและการออกมาปรากฏกายในสาธารณะ สามารถเลือกคู่ครองเองได้ ขอหย่าได้ หย่าร้างแล้วก็สามารถแต่งงานใหม่ได้โดยไม่ถูกมองอย่างหยามเหยียด และมีตัวอย่างฮองเฮาหลายคนในประวัติศาสตร์ที่เคยมีสามีอื่นมาก่อน

    ต่อมาจึงเกิดแนวคิดแยกบทบาทให้บุรุษเน้นเรื่องนอกบ้าน สตรีเน้นเรื่องในบ้าน จนกลายเป็นแนวคิดเรื่องบุรุษเป็นใหญ่ที่แพร่หลายในสมัยฮั่นตะวันออก (ประมาณปี 25 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ในช่วงเวลานั้นมีนักประพันธ์และนักวิชาการหลายคนมีผลงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยที่โด่งดังมากและเป็นมรดกตกทอดไปอีกหลายพันปีคือวรรณกรรมเรื่อง ‘เตือนหญิง’ (女诫 หรือ ‘หนี่ว์เจี้ย’) ซึ่งเป็นผลงานของนักวิชาการสตรีนาม ‘ปันเจา’ ที่กลายเป็นหนึ่งในหนังสือที่สตรีต้องเล่าเรียนไปอีกหลายยุคหลายสมัย

    บทกวี ‘เหยียโหย่วสื่อจวิน’ ในบริบทของละครเป็นการเปรียบเปรยถึงการที่ผู้ชายพยายามจีบหญิง แต่พอเข้าใจถึงยุคสมัยที่เกี่ยวข้องก็ทำให้ Storyฯ อดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า วัฒนธรรมจีนโบราณแต่บรรพกาลก็คล้ายๆ วัฒนธรรมโบราณอื่นๆ ที่สตรีเคยเป็นใหญ่และมีบทบาททางสังคมไม่น้อยไปกว่าชาย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    http://m.qulishi.com/article/202101/478420.html
    https://view.inews.qq.com/a/20200704A03V3J00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/召南·野有死麕/19680551
    https://shijing.5000yan.com/guofeng-zhaonan/yeyousijun.html
    https://baike.baidu.com/item/女诫/3423545
    https://new.qq.com/rain/a/20200617A0R16W00
    https://www.sohu.com/a/249005081_100234890

    #ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้ #ซือจิง #คัมภีร์บทกวี #หนี่ว์เจี้ย #วรรณกรรมจีนเตือนหญิง #กวางสิ้นใจในป่าทึบ
    ช่วงนี้ Storyฯ กลับไปดูซีรีส์เก่าๆ ค่ะ มาลงเอยที่ละครเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> และสะดุดกับเนื้อเรื่องตอนที่กล่าวถึงว่า พระรองพยายามจีบนางเอกด้วยการล่าสัตว์เอาสัตว์ป่ามาให้ ทำเอาพระเอกหึงจนร่ายยาวออกมาเป็นบทกวี แต่นางเอกฟังไม่เข้าใจ วันนี้มาคุยเรื่องบทกวีนี้กันค่ะ ความมีอยู่ว่า ... “กวางสิ้นใจในป่าทึบ หญ้าคาขาวห่อหุ้มตัวมันไว้ หญิงสาวความรักผลิบาน ชายหนุ่มไล่ตามพูดหยอกเย้า ป่ามีต้นอ่อนถือกำเนิด พณาร้างมีกวางหนึ่งสิ้นใจ ห่อคาขาวนี้คิดมอบให้ผู้ใด มอบให้หญิงงามดุจยอดหยก อย่าได้รีบร้อนถอดนักซิ อย่าแตะต้องผ้าคาดเอวข้า อย่าทำสุนัขเห่าหอนมา ชาตินี้ข้าติดตามท่านแน่แล้ว” ... กล่าวคือบุรุษในกลอนนี้นำผ้าขาวห่อสัตว์ที่ล่ามาได้หลอกล่อหญิงสาวที่กำลังตกหลุมรักชายผู้นั้น ... - ถอดบทสนทนาจาก <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> (ตามซับไทย) กลอนบทนี้มีชื่อว่า ‘เหยียโหย่วสื่อจวิน’ (野有死麕 แปลได้ตามซับไทยของละครว่า ‘กวางสิ้นใจในป่าทึบ’) (หมายเหตุ ‘จวิน’ เป็นกวางขนาดเล็กไม่มีเขา ไม่แน่ใจว่าใช่กระจงหรือไม่) บทกวีนี้มีทั้งหมดสามท่อน ท่อนละสี่วรรค เป็นหนึ่งในบทกวีที่ถูกรวบรวมไว้ใน ‘ซือจิง’ (诗经 แปลตรงตัวว่าคัมภีร์บทกวี) ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นบทกวีจีนที่เก่าแก่ที่สุด โดยรวบรวมไว้ถึง 311 บท เป็นบทกวีตั้งแต่สมัยโจวตะวันตกตอนปลายจนถึงยุคชุนชิว (ประมาณปี1066 - 479 ก่อนคริสตกาล) จัดอยู่ในหมวด ‘กั๋วเฟิง’ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับบทเพลงพื้นบ้าน ‘เหยียโหย่วสื่อจวิน’ เป็นบทกวีที่สะท้อนถึงการเกี้ยวพาราสีของชายหญิง โดยเฉพาะท่อนหลังดูจะบรรยายถึงความสัมพันธ์ที่ดูจะถึงเนื้อถึงตัว เป็นเนื้อหาที่ดูจะสะท้อนถึงอิสระของสตรีในแบบที่เราไม่ค่อยเห็นในกลอนจีนโบราณ แต่จริงๆ แล้วมันสะท้อนถึงสถานะสตรีในยุคสมัยนั้นได้ดี เราอาจคุ้นเคยว่าคติสอนหญิงของจีนโบราณคือบุรุษเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วก่อนยุคสมัยชุนชิวสถานะทางสังคมของสตรีนั้นสูงไม่เบา ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณปี 1600-1050 ก่อนคริสตกาล) จนถึงราชวงศ์ฮั่น ปรากฏสตรีมีอำนาจทางการทหาร มีที่ได้รับการอวยยศเป็นโหวหลายสิบคน และสตรีสามารถถือครองทรัพย์สินได้ ในยุคสมัยนั้นสตรีมีอิสระด้านการครองเรือนและการออกมาปรากฏกายในสาธารณะ สามารถเลือกคู่ครองเองได้ ขอหย่าได้ หย่าร้างแล้วก็สามารถแต่งงานใหม่ได้โดยไม่ถูกมองอย่างหยามเหยียด และมีตัวอย่างฮองเฮาหลายคนในประวัติศาสตร์ที่เคยมีสามีอื่นมาก่อน ต่อมาจึงเกิดแนวคิดแยกบทบาทให้บุรุษเน้นเรื่องนอกบ้าน สตรีเน้นเรื่องในบ้าน จนกลายเป็นแนวคิดเรื่องบุรุษเป็นใหญ่ที่แพร่หลายในสมัยฮั่นตะวันออก (ประมาณปี 25 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ในช่วงเวลานั้นมีนักประพันธ์และนักวิชาการหลายคนมีผลงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยที่โด่งดังมากและเป็นมรดกตกทอดไปอีกหลายพันปีคือวรรณกรรมเรื่อง ‘เตือนหญิง’ (女诫 หรือ ‘หนี่ว์เจี้ย’) ซึ่งเป็นผลงานของนักวิชาการสตรีนาม ‘ปันเจา’ ที่กลายเป็นหนึ่งในหนังสือที่สตรีต้องเล่าเรียนไปอีกหลายยุคหลายสมัย บทกวี ‘เหยียโหย่วสื่อจวิน’ ในบริบทของละครเป็นการเปรียบเปรยถึงการที่ผู้ชายพยายามจีบหญิง แต่พอเข้าใจถึงยุคสมัยที่เกี่ยวข้องก็ทำให้ Storyฯ อดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า วัฒนธรรมจีนโบราณแต่บรรพกาลก็คล้ายๆ วัฒนธรรมโบราณอื่นๆ ที่สตรีเคยเป็นใหญ่และมีบทบาททางสังคมไม่น้อยไปกว่าชาย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: http://m.qulishi.com/article/202101/478420.html https://view.inews.qq.com/a/20200704A03V3J00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/召南·野有死麕/19680551 https://shijing.5000yan.com/guofeng-zhaonan/yeyousijun.html https://baike.baidu.com/item/女诫/3423545 https://new.qq.com/rain/a/20200617A0R16W00 https://www.sohu.com/a/249005081_100234890 #ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้ #ซือจิง #คัมภีร์บทกวี #หนี่ว์เจี้ย #วรรณกรรมจีนเตือนหญิง #กวางสิ้นใจในป่าทึบ
    《我就是这般女子》在哪儿可以看?一周更新几集?-趣历史网
    关晓彤和侯明昊主演的《我就是这般女子》追剧日历出炉,自1月18日正式开播到2月15日大结局,见证班婳
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • “หลักกู”กสทช.พ่นพิษ รอคำสั่งประธานเถื่อน.เรากลับมาถึงปัญหาอันใหญ่หลวงใน กสทช. ซึ่งผู้ชมจะเห็นได้ว่า ภายใต้การนำของนายแพทย์สรณ ประธานเถื่อน กสทช. และนายไตรรัตน์ รักษาการเลขาธิการ กสทช. ที่ล้มเหลวและเน่าเฟะ แทบทุกองคาพยพ จนไม่เพียงกระทบต่อการดำเนินงานภายในสำนักงาน กสทช. แต่ยังได้ส่งผลมาถึงประเทศชาติในภาพรวมด้วย.ไม่กี่วันที่ผ่านมา ในโลกโซเชียลได้แชร์และวิจารณ์โพสต์จากเฟซบุ๊ก พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ในวันเสาร์ที่แล้ว(5เม.ย.) ได้โพสต์ข้อความอย่างนี้ครับ"วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. นับเป็นประสบการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้อยู่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวในขณะที่นั่งทำงานอยู่ที่สำนักงาน กสทช. ชั้น 10 จึงได้ให้ทีมงานรีบลงบันไดมาข้างสนามเพื่อความปลอดภัย ซึ่งก็ดีใจมากที่ทีมงานและพนักงานสำนักงาน กสทช. ทุกคนปลอดภัย แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะมีหนังสือฯสั่งการ หากกรรมการ กสทช. จะให้สำนักงานฯ ดำเนินการใดๆต้องให้ประธานฯ มอบหมายก่อน".ปรากฏว่ามีชาวเน็ตจำนวนมากโพสต์ข้อความวิจารณ์กรรมการ กสทช. รายดังกล่าว ว่า "หากท่านประธานอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถสั่งการได้ ยกเว้นถ้าท่านอยู่ในลิฟต์เหมือนประชาชนมากมายในวันศุกร์ หรือเกิดเหตุการณ์ด้านสุขภาพ กสทช. มีแนวทางการดำเนินการอย่างไรหรือครับท่าน" อีกคำถามหนึ่งที่ชาวเน็ตถามว่า "แบบนี้ถ้าประธานไม่อยู่ หรือยังสั่งการอะไรไม่ได้ในช่วงเวลาเกิดเหตุเร่งด่วนขนาดนี้ ก็ให้พวกผมรอความตายกันหรือครับ".ถ้าเราไปค้นดูจริงๆ ก็มีจริงๆ หนังสือคำสั่งบ้าๆ ที่เป็นบันทึกข้อความลงนามโดยหมอสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ทำถึงเลขาธิการ กสทช. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 เนื้อหาหลักๆ ก็คือว่า ห้ามทำอะไรทั้งสิ้นถ้าไม่ได้รับการอนุมัติหรือสั่งการมาจากประธาน กสทช. แล้วยังมีบันทึกข้อความของหมอสรณ กับนายไตรรัตน์ อีกหลายฉบับ ที่ออกมาย้ำเรื่องนี้ รวมทั้งคำสั่งขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ กสทช. คนอื่นๆ อีกด้วย.จะเห็นได้ชัดเลยว่า ที่ กสทช. มีความขัดแย้ง แล้วการงานไม่ได้เดินหน้าไปไหน เพราะมีประธานเถื่อน ก็คือนายแพทย์สรณ ผูกขาด เอาอำนาจมารวบไว้ที่ตัวคนเดียว คือทุกอย่างต้องอยู่ที่กู ถ้ากูไม่สั่ง ห้ามขยับเด็ดขาด.จากกรณีแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ล่าสุด ที่สร้างความฉิบหายและความวุ่นวายให้กับคนทั้งประเทศ ก่อนที่พวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) กระทรวงมหาดไทย, กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ที่คุยกันเรื่องทำ Cell Broadcast แจ้งเตือนภัยพิบัติต่างๆ พวกคุณใช้เวลาดำเนินการมา 4 ปีเต็มๆ แล้วพวกคุณใช้เงินไปพันกว่าล้านบาทแล้ว ยังไม่เสร็จ.ล่าสุด หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้นจริงๆ ถ้าพวกคุณคิดจะขยันกันขึ้นมาแบบผิดปกติ แย่งกันทำ แย่งกันพรีเซนต์ว่าระบบเสร็จแล้ว ระบบพร้อมแล้ว กำลังจัดซื้อโน่นจัดซื้อนี่เพิ่มเติม เพราะเชื่อแน่ได้ว่าแต่ละหน่วยงานก็หวังได้ค่าหัวคิว ได้เงินส่วนต่างจากการจัดซื้อจัดจ้างทำระบบต่างๆ ขึ้นมา.คราวต่อไป ผมจะมาเปิดโปงเรื่องอื่นๆ ต่ออีก รับรองว่าถ้าประชาชนได้รับรู้ ทราบเรื่องราวแล้ว มั่นใจว่าเก้าอี้ทำงานของพวกคุณต้องสั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหวที่สำนักงาน กสทช. ซอยสายลม เพียงที่เดียว อย่างแน่นอนที่สุด
    “หลักกู”กสทช.พ่นพิษ รอคำสั่งประธานเถื่อน.เรากลับมาถึงปัญหาอันใหญ่หลวงใน กสทช. ซึ่งผู้ชมจะเห็นได้ว่า ภายใต้การนำของนายแพทย์สรณ ประธานเถื่อน กสทช. และนายไตรรัตน์ รักษาการเลขาธิการ กสทช. ที่ล้มเหลวและเน่าเฟะ แทบทุกองคาพยพ จนไม่เพียงกระทบต่อการดำเนินงานภายในสำนักงาน กสทช. แต่ยังได้ส่งผลมาถึงประเทศชาติในภาพรวมด้วย.ไม่กี่วันที่ผ่านมา ในโลกโซเชียลได้แชร์และวิจารณ์โพสต์จากเฟซบุ๊ก พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ในวันเสาร์ที่แล้ว(5เม.ย.) ได้โพสต์ข้อความอย่างนี้ครับ"วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. นับเป็นประสบการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้อยู่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวในขณะที่นั่งทำงานอยู่ที่สำนักงาน กสทช. ชั้น 10 จึงได้ให้ทีมงานรีบลงบันไดมาข้างสนามเพื่อความปลอดภัย ซึ่งก็ดีใจมากที่ทีมงานและพนักงานสำนักงาน กสทช. ทุกคนปลอดภัย แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะมีหนังสือฯสั่งการ หากกรรมการ กสทช. จะให้สำนักงานฯ ดำเนินการใดๆต้องให้ประธานฯ มอบหมายก่อน".ปรากฏว่ามีชาวเน็ตจำนวนมากโพสต์ข้อความวิจารณ์กรรมการ กสทช. รายดังกล่าว ว่า "หากท่านประธานอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถสั่งการได้ ยกเว้นถ้าท่านอยู่ในลิฟต์เหมือนประชาชนมากมายในวันศุกร์ หรือเกิดเหตุการณ์ด้านสุขภาพ กสทช. มีแนวทางการดำเนินการอย่างไรหรือครับท่าน" อีกคำถามหนึ่งที่ชาวเน็ตถามว่า "แบบนี้ถ้าประธานไม่อยู่ หรือยังสั่งการอะไรไม่ได้ในช่วงเวลาเกิดเหตุเร่งด่วนขนาดนี้ ก็ให้พวกผมรอความตายกันหรือครับ".ถ้าเราไปค้นดูจริงๆ ก็มีจริงๆ หนังสือคำสั่งบ้าๆ ที่เป็นบันทึกข้อความลงนามโดยหมอสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ทำถึงเลขาธิการ กสทช. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 เนื้อหาหลักๆ ก็คือว่า ห้ามทำอะไรทั้งสิ้นถ้าไม่ได้รับการอนุมัติหรือสั่งการมาจากประธาน กสทช. แล้วยังมีบันทึกข้อความของหมอสรณ กับนายไตรรัตน์ อีกหลายฉบับ ที่ออกมาย้ำเรื่องนี้ รวมทั้งคำสั่งขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ กสทช. คนอื่นๆ อีกด้วย.จะเห็นได้ชัดเลยว่า ที่ กสทช. มีความขัดแย้ง แล้วการงานไม่ได้เดินหน้าไปไหน เพราะมีประธานเถื่อน ก็คือนายแพทย์สรณ ผูกขาด เอาอำนาจมารวบไว้ที่ตัวคนเดียว คือทุกอย่างต้องอยู่ที่กู ถ้ากูไม่สั่ง ห้ามขยับเด็ดขาด.จากกรณีแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ล่าสุด ที่สร้างความฉิบหายและความวุ่นวายให้กับคนทั้งประเทศ ก่อนที่พวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) กระทรวงมหาดไทย, กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ที่คุยกันเรื่องทำ Cell Broadcast แจ้งเตือนภัยพิบัติต่างๆ พวกคุณใช้เวลาดำเนินการมา 4 ปีเต็มๆ แล้วพวกคุณใช้เงินไปพันกว่าล้านบาทแล้ว ยังไม่เสร็จ.ล่าสุด หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้นจริงๆ ถ้าพวกคุณคิดจะขยันกันขึ้นมาแบบผิดปกติ แย่งกันทำ แย่งกันพรีเซนต์ว่าระบบเสร็จแล้ว ระบบพร้อมแล้ว กำลังจัดซื้อโน่นจัดซื้อนี่เพิ่มเติม เพราะเชื่อแน่ได้ว่าแต่ละหน่วยงานก็หวังได้ค่าหัวคิว ได้เงินส่วนต่างจากการจัดซื้อจัดจ้างทำระบบต่างๆ ขึ้นมา.คราวต่อไป ผมจะมาเปิดโปงเรื่องอื่นๆ ต่ออีก รับรองว่าถ้าประชาชนได้รับรู้ ทราบเรื่องราวแล้ว มั่นใจว่าเก้าอี้ทำงานของพวกคุณต้องสั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหวที่สำนักงาน กสทช. ซอยสายลม เพียงที่เดียว อย่างแน่นอนที่สุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts