ปฐมบท..บอสพอล The Icon
พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ
ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์
หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท
ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ
พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย
พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)
จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..
ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ
คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal
ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ
ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง
เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท
แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/
ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้
เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้
จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน
และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/
เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน
เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด
เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ
พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse
และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค
เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“
---------
โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย
โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"
โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา
-----------
ลูกค้าของพอล..
ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง
เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)
โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ
และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี
และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี
การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV
นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว
รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก
โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า
ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที
พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น
พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น
คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง
พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่
เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท
89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)
มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ
เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว
ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว
คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย
เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon
และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM
เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ
และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
---------
ยุคทองของ..บอสพอล The Icon
เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง
เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว
แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป
เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้
The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล
ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น
แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด
ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto
ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ
หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ
คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม
เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน
พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ
และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา
และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร
กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย
เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย
กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย
แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
-----------
ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย
จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู
เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า
การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“
หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ
จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้
เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก
พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง
เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ
แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั
ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป
โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ
หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..
พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน
ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?
ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที
เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย
บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง
พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ
สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..
การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง
ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร
ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว
คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว
หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ
เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว
แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่
บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ
พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้
จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว
อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ
สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship
คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป
กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต
มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
----------
ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้
1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ
2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer
3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%
เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง
พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้
4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย
ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"
ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด
ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.
น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣
เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง
สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง
ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%
ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?
นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก
#พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊
ep.1
👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe
สวัสดี
@ไร้เงา แต่เร้าตรีน
พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ
ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์
หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท
ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ
พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย
พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)
จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..
ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ
คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal
ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ
ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง
เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท
แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/
ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้
เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้
จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน
และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/
เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน
เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด
เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ
พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse
และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค
เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“
---------
โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย
โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"
โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา
-----------
ลูกค้าของพอล..
ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง
เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)
โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ
และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี
และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี
การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV
นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว
รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก
โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า
ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที
พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น
พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น
คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง
พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่
เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท
89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)
มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ
เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว
ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว
คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย
เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon
และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM
เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ
และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
---------
ยุคทองของ..บอสพอล The Icon
เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง
เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว
แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป
เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้
The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล
ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น
แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด
ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto
ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ
หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ
คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม
เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน
พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ
และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา
และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร
กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย
เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย
กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย
แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
-----------
ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย
จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู
เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า
การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“
หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ
จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้
เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก
พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง
เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ
แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั
ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป
โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ
หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..
พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน
ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?
ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที
เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย
บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง
พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ
สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..
การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง
ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร
ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว
คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว
หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ
เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว
แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่
บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ
พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้
จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว
อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ
สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship
คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป
กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต
มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
----------
ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้
1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ
2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer
3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%
เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง
พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้
4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย
ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"
ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด
ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.
น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣
เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง
สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง
ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%
ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?
นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก
#พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊
ep.1
👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe
สวัสดี
@ไร้เงา แต่เร้าตรีน
ปฐมบท..บอสพอล The Icon
พอล..คือชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ
ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณาเรียกว่าเอาคนได้ที่โหล่มาทำแอดก็ยังกำไร เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์
หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท
ดังนั้นถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรกเรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆนั่นแหละ
พ.ศ. 2556 คือยุคเริ่มต้นเมื่อ Facebook ประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย
พอล..จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญจึงเกิดเป็นพอลผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก (ไม่เก่งได้ไงก็ค่าโฆษณามันยังถูกมาก)
จะท้าวความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่งและหัวใสแยบยลได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ เราจะพาเพื่อนๆแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน..
ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่าคุณ ธเนตรการกล่าวถึงคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดบาปอะไรนะ เขาเป็นนักการตลาด MLM ที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้นๆ
คุณ ธเนตร ได้สมัครเข้าไปทำการตลาดกับ Jeunesse Global
👉 https://www.facebook.com/JeunesseGlobal
ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงทั่วๆไปเหมือนแอมเวย์ กิฟฟารีนซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่มันมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจ
ก็คือการตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง
เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันทีเพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท
แต่..มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า Patric Chan
👉 https://www.facebook.com/patricchanlive/
ได้ไปดีลกับ Jeunesse ว่า จะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ได้ไหม โดยให้เหตุผลว่า..จะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ จะทำให้ Jeunesse มีสมาชิกทั่วโลกได้
เช่น.เราทำอยู่ที่ไทย เราอาจจะมี Down line อยู่ที่เคนย่า ลาว ไต้หวัน ได้หมด นั่นเป็นไอเดียที่ Jeunesse ตอบตกลงให้ Patric Chan ทำได้
จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเวบไซต์ Jeunesse อยู่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน
และคุณ ธเนตร ก็ได้ไปเรียนกับ Patric Chan ตอนที่เขามาเปิดสัมมนาที่ไทยในปี 2558
👉 https://www.facebook.com/passivewealthTH/
เมื่อคุณ ธเนตร ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของธเนตร ก็เหมือนจับเอาเสือสองตัวมาตีคู่กัน
เกิดเป็นพลังต่อสู้มหาศาล คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน คนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด
เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ ธเนตร เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆ
พอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า“พอล ตีสิบ” ใครๆก็เรียกเขาแบบนั้นระหว่างที่เขายังคงทำ Jeunesse
และตลอดเวลา พอลก็ได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดแบบ MLM จากธเนตร จนแตกฉานยิ่งกว่าจบเปรียญธรรม 9 ประโยค
เมื่อพอลรู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว ก็กางปีกโบยบินแยกตัวออกมาจาก ธเนตร มาตั้งบริษัท และทำแบรนด์ชื่อว่า“ The Icon“
---------
โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และ คอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่าจะทำการตลาดชวนคนได้ง่าย เพราะเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย
โดยพอลได้วางระบบชวนคนไว้โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ "เที่ยวฟรี" และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก "เที่ยวฟรี"
โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล พัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก พอลฉลาดโดยไม่ได้ดีลโรงแรมห้าดาวอะไร เน้นโรงแรม 3 ดาวก็พอแล้ว โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา
-----------
ลูกค้าของพอล..
ช่วงแรกเขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยวและอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย นั่นก็คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง
เค้ารู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนี้แหละจะผลักดันให้บริษัทเขาอยู่รอดได้ในช่วงแรก ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง)
โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ
และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากินและใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี
และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี
การเที่ยวก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็คือชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็น Event กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออก TV
นั่นคือบอสพอล ตีสิบ โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ เพื่อมาปรากฎตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว
รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก
โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร ก็ใช้เพื่อนชวนเพื่อนมันก็ง่ายสิ่คนแก่ขี้เหงายังไงก็ดีกว่ารอลูกหลานพาเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า
ทำให้การเปิดบิลซ้ำ การเปิดบิลใหม่ จึงเกิดขึ้นตามแผนการตลาดอันแยบยลของพอลและด้วยวิธีนี้ทำให้ปีแรก บริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันที
พอล..เริ่มซื้อรถ Super Car ก่อนเลยเพื่อเริ่มเข้าสู่“โหมดความรวย”เพื่อวางแผนกระเถิ่บไปหาลูกค้าที่มีความฝัน..อยากรวยตามแบบคนอื่น
พอล..เปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไปที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม..เหมือนคนอื่น
คนเรามีความฝันนั้นดี “แต่ต้องไม่ลืมนึกถึงความจริง”ที่ว่า บางครั้งความฝันมันก็เป็นได้แค่ความฝัน..ที่ไม่มีวันเป็นความจริง
พอล..ใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่
เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียม Material ต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท
89 บาท นั่นคือค่าเฉลี่ยที่พอลคำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค OPM (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว (จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน)
มาคราวนี้พอลได้พัฒนา ระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาทค่าเรียน ใส่เข้าไปในโฆษณานั่นแหละ
เท่ากับพอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัครและไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณาเพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้ว
ด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว
คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2-5 พัน และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง แถมยังได้โควต้าชวนคนมาเที่ยวด้วย
เรียกว่าอัดโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ The Icon
และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฏหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเลี่ยงวลี..ไม่ได้ทำ MLM
เพราะรู้ว่าถ้าชวนทำ MLM คนจะไม่มา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ
และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรง ไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
---------
ยุคทองของ..บอสพอล The Icon
เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำ นั่นจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษ ในปี 2564 นั่นเอง
เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กันเนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียนเพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว
แต่..พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต ใส่แบรนด์เนม ความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัวมันเปลี่ยนไป
เริ่มมีความฝัน อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้
The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล
ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสสำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้น
แต่พอคนมาเยอะ มันก็ตรงกับหลัก Supply/Demand เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบน Facebook ความฉิบหายจึงบังเกิด
ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto
ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต็อกเริ่มล้น..สินค้าติดมือ
หลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้แหละคือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ
คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว ดังนั้นการชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม
เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้างล่ะ เป็น รปภ.บ้างล่ะ ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน
พอล..ต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าจึงเริ่มหา #ลมใต้ปีก มาช่วยพยุงธุรกิจ
และรู้ๆกันอยู่ว่าลมใต้ปีกชั้นดีก็คือ..ดารา
และดาราคนแรกๆเลยก็คือ กันต์ ซึ่งแรกๆกันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์อีกตางหาก ลองไปสืบค้นกันเอาเองว่าตอนแรกเข้ามาในฐานะอะไร
กันต์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น CMO ซะเลย
เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทฉันน่ะมันสะอาดโปร่งใสนะฉันไม่โกงหรอก เห็นไหมว่า..พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย
กันต์ และดาราอีกขโยงหนึ่งทำให้ใครๆก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสนก็ใจอ่อนไม่ต้องหวั่นไหวเพราะมีดาราการันตรี มีดาราพารวย
แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
-----------
ดังที่กล่าวมาข้างบน👆จะเห็นได้ว่าไม่มีเหลี่ยมไหนที่จะตั้งข้อกล่าวหาให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย
จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยากเพราะไปผิดทางไอ้ที่เย้วๆตั้งธงว่าแชร์ลูกโซ่นี่พอลยิ้มอ่อนเอามือลูบปากคิดในใจ..เสร็จกู
เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ สคบ.ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ.ก็จะตีความว่า
การขายสินค้าของพอล..“ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน”และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ.จึงไม่มีอำนาจ“
หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหมล่ะ.? ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ.ตีความเอาไว้นั่นแหละ
จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ.ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ.ทำอะไรไม่ได้
เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฏหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปัง #และสินค้ามีคุณภาพ ตรงจุดนี้คือกุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ..สินค้าไม่ตรงปรก
พอล..เริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ที่รามอินทรา มีรถหรูจอดที่ด้านหน้าเพื่อให้คนมาถ่ายกับรถแล้วก็ไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง
เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว ไม่เอาแล้วล่ะ กูเน้นทำแล้วรวย แล้วก็คงคอนเซ็ปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย อยากรวยต้องมาทำกับกูนี่มา ถถถ
แต่เมื่อคนเริ่มตื่นรู้ ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนีั
ทำให้ปีถัดมา ยอดขายตกเหลือ พันแปดร้อยล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป
โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น เพื่อให้การเปิดบิลมัน rotate ไปยังสินค้า SKU ใหม่ๆ
หลังจากนั้นจึงเป็นความวิบัติที่แท้..
พอล..ไม่ได้ควบคุมทิศทางบริษัทตัวเองให้ดี รู้ทั้งรู้แต่ยังปล่อยให้ทำ ก็คือแม่ทีม เริ่มกลายร่างสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน
ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย แล้วรถของใครล่ะ.?
ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ การตลาดมันจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโพรไฟล์จอมปลอมทันที
เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่มาโม้ว่าเป็นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย
บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่าทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเอง
พอล..ก็หลับตาข้างเดียวปล่อยให้แม่ทีมทำไปตามอำเภอใจ จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวายนั่นแหละ
สิ่งที่ควรตระหนักคิด ตื่นให้รู้เอาไว้เลยคือ..
การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้วคือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทนไม่ว่าบริษัทใหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริง
ไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon นะ เราขอพูดถึงทุกๆบริษัท ทุกๆสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า Margin ของกำไร
ดังนั้นคนที่จะอยู่ได้คือ“เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมทเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว
คนมันถึงหนีตายไปยิงแอด shopee , lazada กันไงล่ะ เพราะ Facebook มันอยู่ไม่ได้แล้ว แล้วปีนี้ 2567 shopee , lazada ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้แล้ว
หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละเพราะมันจะลูปเดิม เหมือนกับ Platform อื่นๆ
เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ คุณลองไปท่อง Supply/Demand ก็จบแล้ว
แต่บอสพอลมันพยายามยืดชีวิตด้วยการ rotate บอสจำแลงที่จ้างดาราไปเรื่อยๆ เพื่อให้ FC ทุกระดับทุกวัยยังคงกรี๊ดกับธุรกิจของบอสอยู่
บอสพอล ถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมีน มาหาลูกค้าระดับ 30+ ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ
พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
บริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิ์ไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้
จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ปุ๊บปั๊บอีก เรียกว่าไปปารีสแต่ได้นั่งรถโฉบหอไอเฟล หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรมสามสี่ดาว
อย่างน้อยก็ได้เที่ยวโว๊ยยยยยยย ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะแดกแม่งให้หมด อส. ถถถ
สินค้าที่บอกว่าสต็อกไว้ในโกดัง 100% น่ะ เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship
คือต้องขายได้ บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป
กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไ่ม่มีใครโง่ผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุหรอก ได้ออเดอร์ค่อยสั่งผลิต
มันเลยมีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้ ได้ข่าวแว่วๆว่าบอสพอลเอาเงินไปลงเทรดด้วย กำไรอู้ฟู่ รวยคนเดียวอีกตามเคย
----------
ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้
1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เป็นลูกรักสรรพากรเลยแหละ นั่นเพราะพอลเรียนรู้จากคุณ ธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้่ามพลาด สรรพากรไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะพอลนะ
2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer
3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมันมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถีง 20%
เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี มันจะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง
พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่าจะทำทั้งทีต้องทำแบบ 7-11 เปิดแม่งหลายสาขาเลย ลงเป็นล้านไรงี้
4. ไม่อยากตุยอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต เพราะมันคือยุคบรรลัยของธุรกิจ The I con ที่ตัวพอลเองเห็นอยู่แท้ๆว่ามันบรรลัย
ที่ยังหลับหูหลับตาปล่อยให้มันเป็นดั่งระเบิดเวลาที่มันใกล้จะระเบิดแล้ว ก็เพราะความมั่นใจอย่างเดียวเลยที่พอลคิดในใจก็คือ "กูจะไม่โดนคดีอะไรเลย กูขาวสะอาด"
ทีนี้พวกคุณเข้าใจหรือยังว่าการจะไปด่าพอลมันก็เถียงคอเป็นเอ็น เพราะมันดูใสสะอาด ขาวจั๊วะเลยแหละยิ่งกว่าบรีส จะเห็นแต่แม่ทีมนั่นแหละที่เป็นคนผิด
ดังนั้นบทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกันให้ลึ่ม ถ้าเรารู้จักจะถามว่า..มึงเซฟตัวเองก่อนไหม มึงไปเซฟ Downline มึงโน่น🤣 อส.
น้ำกำลังจะท่วมถีงหลังคาบริษัทแล้ว แม่ทีมกำลังอลหม่าน แต่บอสพอลแม่งนอนดูละครคุณธรรมชิลล์ๆ🤣
เพราะพอลนั้นได้ต่อเรือโนอาร์เตรียมรับสถานการณ์รอไว้ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งบริษัทแล้ว ใสสะอาดจนกฏหมายยากที่จะเอื้อมถึง
สุดท้าย..พอลกับวงศ์วานคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ขึ้นเรือโนอาร์รอดตุยจากการถูกน้ำท่วม รอให้น้ำลดก็กลับมาในฐานะคนที่กฏหมายเอื้อมไม่ถีง
ว่างๆจะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฏหมายถีงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฏหมาย 100%
ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฏหมายตราเอาไว้ว่าทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรมพอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด..ไม่งงนะ.?
นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้งและมันส์ยิ่งกว่าซีรีย์ เสียอีก
#พี่ติ่งกระบือบิน ก็อย่าขึ้นทัวร์มาเซฟบอสพอลที่นี่นะครับนะ ผมนี่เขียนช่วยยืนยันเลยนะว่าบอสพอลจะรอดคุก..โอเค๊
ep.1
👉 https://www.facebook.com/share/p/YgaYdxzS5FirmYa2/?mibextid=WC7FNe
สวัสดี
@ไร้เงา แต่เร้าตรีน
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
571 มุมมอง
0 รีวิว