ปรากฏการณ์มนุษย์กลายเป็นปีศาจ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวประกอบด้วยลักษณะสำคัญร่วมกัน 10 ประการ
ที่ทำให้เปลี่ยนด้านสว่างของมนุษย์ที่ถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐและสมองถูกวิวัฒน์ จนกระทั่งคิดว่าปกครองพัฒนาชีวิต การเป็นอยู่สิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด เพื่อเอื้อประโยชน์ให้มนุษย์ด้วยกัน
กลายเป็นด้านมืดที่สุด ที่กระทำทุกอย่างได้โดยไม่กระพริบตา
ทั้งนี้รวมถึงการฆ่าฟัน การนำพาสิ่งอันตรายต่างๆ มาให้คน โดยจุดประสงค์แฝงเพื่อประโยชน์มหาศาลรวมทั้งการเกื้อกูลพวกเดียวกันโดย ให้อำนาจ เงิน อามิส สินจ้าง ทั้งนี้ล้างสมองตัวเองก่อนและล้างสมองแพร่ออกเป็นกลุ่มก้อน
ปรากฏการณ์เกิดปีศาจร้าย ได้มีการรวบรวมและสรุปจากหมอผ่าตัดสมอง Itzhak Fried จาก University of California, Los Angeles ในปี 1997 โดยเรียกว่า Syndrome E และ E มาจาก Evil
กลุ่มอาการทั้ง 10 ประกอบด้วย การแสดงออกซึ่งอธิบายได้ทางกลไกประสาทวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม
“การประพฤติบ่อย“ นำไปสู่
“ความอยากทำอีก” โดยเริ่มมีการชำระล้างความชั่วที่ทำ ให้กลายเป็นสิ่งที่ดี
“ การทำซ้ำๆที่ควบคุมไม่ได้” โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีผลกระทบต่อ อารมณ์และจิตใจ และความประพฤติปฏิบัติ ต่อมา แม้ว่าจะเกิดความเสียหายแม้กระทั่งต่อตนเองก็ตาม
“ ไร้อารมณ์ความรู้สึก“ เมื่อกระทำชั่ว
” ความเร้าใจ” เมื่อกระทำได้สำเร็จ ตัวอย่าง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ยิ่งตายมาก พิการ ทรมานมาก เท่าไหร่ ยิ่งเร้าใจมาก
“ ยังดูเหมือนเป็นมนุษย์ปกติ” สมองยังคงทำงานได้ ความจำ การสื่อสาร ความสามารถในการแก้ปัญหา และอื่นๆ
“ เกิดการเสพติด” เฉยชา ในความเลวร้าย ที่ตนตนเองทำ
“ แบ่งส่วนกับครอบครัวตนเองได้” มีชีวิตสุขสบายปกติกับครอบครัวตนเอง ไม่มีใครสำเหนียก
“ ถูกกระตุ้นได้ง่าย“ เมื่อมีเหตุการณ์ที่มีโอกาศทำ จะรีบนำพาไปสู่ความคิดและการกระทำที่ชั่วร้าย
“ แพร่เชื้อเหมือนโรคระบาด” มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนผู้อื่นให้กลายเป็นพวกเดียวกันในความคิดและการปฏิบัติเหมือนกัน
มนุษย์กลายเป็นปีศาจนั้นไม่ใช่ลักษณะเดียวกับ กลุ่มที่ มีจิตและความประพฤติผิดปกติต่อต้านสังคมตั้งแต่ต้น เปรียบเสมือนทหารนาซีที่ สามารถฆ่าได้เป็นล้าน และในปัจจุบันอิสราเอลที่ฆ่าได้เป็นหมื่นเป็นแสน โดยประกาศตั้งเป้าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่นเดียวกับที่เกิดในแอฟริกา
ปรากฏการณ์ E ตั้งแต่ปี 1997 ทำให้มีการประชุมกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทางด้านสมอง นักจิตวิทยาทางสังคม จิตแพทย์ กลุ่มต่อต้านผู้ก่อการร้าย นักเชี่ยวชาญสรีระวิทยาทางสมอง จนกระทั่งถึงกลุ่มทางกฎหมาย โดยมีการประชุมที่ปารีสสามครั้งระหว่าง 2015 ถึง 2017
แกนกลางปัจจัยของปรากฏการณ์ E คือ
ความเฉยชาไร้อารมณ์ ก่อน รวมทั้งในช่วงวางแผน จน ขณะก่อ ความชั่วร้าย และ แม้กระทั่งหลังจากนั้น แม้ถึงกับทำให้คร่าชีวิตคนด้วยกัน แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด รู้ร้อนรู้หนาว แต่กับครอบครัวยังเป็นปกติ
เมื่อเป็นการล้างสมองอย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ความเห็นใจ ไม่มีความเข้าอกเข้าใจ แต่สามารถแสร้งทำปกติได้อย่างแนบเนียน ตามสถานการณ์ได้อย่างนุ่มนวล
ในขณะเดียวกันมีความรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ตนเองรู้สึกว่า “น่าทำ”
ความเข้าอกเข้าใจนั้นเป็นลักษณะสำคัญในการเติบโตของมนุษย์แต่ละคนที่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นโดยเกิดขึ้นในช่วงห้าขวบปีแรก และทำให้ตระหนักว่าการกระทำของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่รับรู้จากคนอื่นด้วย
ดังนั้น เป็นการสร้างความตระหนักที่ให้เรียนรู้ในสังคม แต่ทำให้มีการแบ่งแยกโดยการสร้างกลุ่มของตนเองและบูลลี่คนเคราะห์ร้าย
และกลุ่มอาจสร้างค่านิยมให้แบ่งชนชั้น (selective empathy) ดูถูกคนไร้บ้าน คนข้างถนน คนที่ด้อยกว่า ในที่ทำงาน ในธุรกิจ เป็นการกัดกร่อน ความเข้าอกเข้าใจคนด้วยกัน (empathy erosion)
และในที่สุดจุดประกายกำเนิดความโหดร้าย และเป็นด้านมืดของสังคม ที่เพาะบ่ม เหมือนกับการตีสองหน้า ช่วยพวกเดียวกันเอง ถีบหัวไสส่ง มนุษย์ที่ไม่ใช่พวกตัวเอง หรือด้อยกว่า
การปรับเปลี่ยนจนเกิดความเป็นปึกแผ่นของกลุ่มและสังคม อาจมีประโยชน์ในการป้องกันศัตรูที่เข้ามารุกราน
แต่แล้วที่เห็นในปัจจุบันคือการตีความ “ศัตรู” ให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ประนีประนอมไม่ได้ใช้ประโยชน์พื้นแผ่นดินทรัพยากรรวมกันไม่ได้ และต้องหายไปจากพื้นโลกนี้
วงจรสมองที่ประกอบขึ้นมาในการเป็นอารมณ์และความเข้าอกเข้าใจกันนั้น มีความซับซ้อนและประกอบด้วย
สมองส่วน vmPFC หรือ ventromedial Prefrontal cortex OFC หรือ orbito Frontal cortex และ ส่วน ของ amygdala ในระบบ limbic
ปรากฏการณ์ เฉยชาต่อความเข้าอกเข้าใจ
จะมีการกระตุ้นผิดปกติของบริเวณสมองส่วนหน้าซึ่งจะยับยั้ง สมองส่วน amygdala และอธิบายได้จนกระทั่งถึงความคิดและการกระทำที่ออกมาเป็นย้ำคิดย้ำทำและอยากฆ่าทำร้าย ยาเสพติด cocaine ก่อให้เกิดลักษณะเช่นนี้ได้
แต่ถึงแม้จะรู้ระบบวงจรเหล่านี้มานานแล้วก็ตาม แต่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ ถึงปรากฏการณ์ E ซึ่งทำให้มนุษย์กลายเป็นปีศาจได้อย่างหมดจด เพราะมนุษย์ปีศาจนั้น แยกตัวเองจากความรู้สึก จนเป็นความแตกหักของสมองและปัญญาอันประเสริฐ (cognitive fracture)
ไม่เคยมีความรู้สึกผิดหรือเสียใจใดๆทั้งสิ้น และเกิดได้ทุกเชื้อชาติภาษา เช่นเขมรแดงทรมานและฆ่าทิ้ง
ความเฉียบคมของสมองของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ยังคงอยู่
สรรหาวิธีการทรมานที่ทำให้เจ็บปวดที่สุด หาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่เป็นกลุ่มก้อน
แม้กระทั่งมีการใช้ยา บ้า amphetamine ในกลุ่ม ISIS โดยทำให้มีการทำงานของระบบโดปามีน แปรปรวน ลดการทำงานของ serotonin ใน OFC นำไปสู่ พฤติกรรมต่อต้านสังคมฆ่าได้อย่างเฉยชา มีความก้าวร้าวและทำเป็นสันดาน ซึ่งเป็นการก่อการร้ายโดยใช้ยาเสพติดร่วมด้วย (pharmaco-terrorism)
การกระทำชั่วร้ายของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ก่อให้เกิดอารมณ์ ปิติ ปลาบปลื้ม มีความสุขเป็นรางวัลให้ตัวเอง และต้องทำชั่วไปเพื่อความสุขของตนเอง แม้กระทั่งมีความอิ่มเอมเมื่อเห็นเหยื่อร้องขอชีวิต
ในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ปรากฏการณ์ปีศาจนี้ มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจไปแล้วนั้น จะมีความกระหายอย่างแรงกล้าที่จะทำให้คนรอบข้างเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำนั้น และกลายเป็นปีศาจด้วยกัน และปีศาจตัวหัวหน้าใหญ่ แม้เมื่อตายไปแล้วก็จะมีปีศาจตัวอื่นๆทยอยขึ้นมาแตกกิ่งก้านสาขาไปทั่ว
ถึงตรงนี้ เราทุกคนต้องถามตัวเองว่า เราใช้ด้านมืด จนกลายเป็นปีศาจไปแล้วหรือไม่?
รวบรวม เรียบเรียงจากบทความใน aeon ของ Naga Arikha associate fellow ของ Warburg Institute (London) และ honorary fellow of the Center for the Politics of Feelings, and a research associate at the Institut Jean Nicod of the Ecole Normale Supérieure (Paris) 30 กรกฎาคม 2018
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
ปรากฏการณ์ดังกล่าวประกอบด้วยลักษณะสำคัญร่วมกัน 10 ประการ
ที่ทำให้เปลี่ยนด้านสว่างของมนุษย์ที่ถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐและสมองถูกวิวัฒน์ จนกระทั่งคิดว่าปกครองพัฒนาชีวิต การเป็นอยู่สิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด เพื่อเอื้อประโยชน์ให้มนุษย์ด้วยกัน
กลายเป็นด้านมืดที่สุด ที่กระทำทุกอย่างได้โดยไม่กระพริบตา
ทั้งนี้รวมถึงการฆ่าฟัน การนำพาสิ่งอันตรายต่างๆ มาให้คน โดยจุดประสงค์แฝงเพื่อประโยชน์มหาศาลรวมทั้งการเกื้อกูลพวกเดียวกันโดย ให้อำนาจ เงิน อามิส สินจ้าง ทั้งนี้ล้างสมองตัวเองก่อนและล้างสมองแพร่ออกเป็นกลุ่มก้อน
ปรากฏการณ์เกิดปีศาจร้าย ได้มีการรวบรวมและสรุปจากหมอผ่าตัดสมอง Itzhak Fried จาก University of California, Los Angeles ในปี 1997 โดยเรียกว่า Syndrome E และ E มาจาก Evil
กลุ่มอาการทั้ง 10 ประกอบด้วย การแสดงออกซึ่งอธิบายได้ทางกลไกประสาทวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม
“การประพฤติบ่อย“ นำไปสู่
“ความอยากทำอีก” โดยเริ่มมีการชำระล้างความชั่วที่ทำ ให้กลายเป็นสิ่งที่ดี
“ การทำซ้ำๆที่ควบคุมไม่ได้” โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีผลกระทบต่อ อารมณ์และจิตใจ และความประพฤติปฏิบัติ ต่อมา แม้ว่าจะเกิดความเสียหายแม้กระทั่งต่อตนเองก็ตาม
“ ไร้อารมณ์ความรู้สึก“ เมื่อกระทำชั่ว
” ความเร้าใจ” เมื่อกระทำได้สำเร็จ ตัวอย่าง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ยิ่งตายมาก พิการ ทรมานมาก เท่าไหร่ ยิ่งเร้าใจมาก
“ ยังดูเหมือนเป็นมนุษย์ปกติ” สมองยังคงทำงานได้ ความจำ การสื่อสาร ความสามารถในการแก้ปัญหา และอื่นๆ
“ เกิดการเสพติด” เฉยชา ในความเลวร้าย ที่ตนตนเองทำ
“ แบ่งส่วนกับครอบครัวตนเองได้” มีชีวิตสุขสบายปกติกับครอบครัวตนเอง ไม่มีใครสำเหนียก
“ ถูกกระตุ้นได้ง่าย“ เมื่อมีเหตุการณ์ที่มีโอกาศทำ จะรีบนำพาไปสู่ความคิดและการกระทำที่ชั่วร้าย
“ แพร่เชื้อเหมือนโรคระบาด” มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนผู้อื่นให้กลายเป็นพวกเดียวกันในความคิดและการปฏิบัติเหมือนกัน
มนุษย์กลายเป็นปีศาจนั้นไม่ใช่ลักษณะเดียวกับ กลุ่มที่ มีจิตและความประพฤติผิดปกติต่อต้านสังคมตั้งแต่ต้น เปรียบเสมือนทหารนาซีที่ สามารถฆ่าได้เป็นล้าน และในปัจจุบันอิสราเอลที่ฆ่าได้เป็นหมื่นเป็นแสน โดยประกาศตั้งเป้าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่นเดียวกับที่เกิดในแอฟริกา
ปรากฏการณ์ E ตั้งแต่ปี 1997 ทำให้มีการประชุมกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทางด้านสมอง นักจิตวิทยาทางสังคม จิตแพทย์ กลุ่มต่อต้านผู้ก่อการร้าย นักเชี่ยวชาญสรีระวิทยาทางสมอง จนกระทั่งถึงกลุ่มทางกฎหมาย โดยมีการประชุมที่ปารีสสามครั้งระหว่าง 2015 ถึง 2017
แกนกลางปัจจัยของปรากฏการณ์ E คือ
ความเฉยชาไร้อารมณ์ ก่อน รวมทั้งในช่วงวางแผน จน ขณะก่อ ความชั่วร้าย และ แม้กระทั่งหลังจากนั้น แม้ถึงกับทำให้คร่าชีวิตคนด้วยกัน แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด รู้ร้อนรู้หนาว แต่กับครอบครัวยังเป็นปกติ
เมื่อเป็นการล้างสมองอย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ความเห็นใจ ไม่มีความเข้าอกเข้าใจ แต่สามารถแสร้งทำปกติได้อย่างแนบเนียน ตามสถานการณ์ได้อย่างนุ่มนวล
ในขณะเดียวกันมีความรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ตนเองรู้สึกว่า “น่าทำ”
ความเข้าอกเข้าใจนั้นเป็นลักษณะสำคัญในการเติบโตของมนุษย์แต่ละคนที่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นโดยเกิดขึ้นในช่วงห้าขวบปีแรก และทำให้ตระหนักว่าการกระทำของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่รับรู้จากคนอื่นด้วย
ดังนั้น เป็นการสร้างความตระหนักที่ให้เรียนรู้ในสังคม แต่ทำให้มีการแบ่งแยกโดยการสร้างกลุ่มของตนเองและบูลลี่คนเคราะห์ร้าย
และกลุ่มอาจสร้างค่านิยมให้แบ่งชนชั้น (selective empathy) ดูถูกคนไร้บ้าน คนข้างถนน คนที่ด้อยกว่า ในที่ทำงาน ในธุรกิจ เป็นการกัดกร่อน ความเข้าอกเข้าใจคนด้วยกัน (empathy erosion)
และในที่สุดจุดประกายกำเนิดความโหดร้าย และเป็นด้านมืดของสังคม ที่เพาะบ่ม เหมือนกับการตีสองหน้า ช่วยพวกเดียวกันเอง ถีบหัวไสส่ง มนุษย์ที่ไม่ใช่พวกตัวเอง หรือด้อยกว่า
การปรับเปลี่ยนจนเกิดความเป็นปึกแผ่นของกลุ่มและสังคม อาจมีประโยชน์ในการป้องกันศัตรูที่เข้ามารุกราน
แต่แล้วที่เห็นในปัจจุบันคือการตีความ “ศัตรู” ให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ประนีประนอมไม่ได้ใช้ประโยชน์พื้นแผ่นดินทรัพยากรรวมกันไม่ได้ และต้องหายไปจากพื้นโลกนี้
วงจรสมองที่ประกอบขึ้นมาในการเป็นอารมณ์และความเข้าอกเข้าใจกันนั้น มีความซับซ้อนและประกอบด้วย
สมองส่วน vmPFC หรือ ventromedial Prefrontal cortex OFC หรือ orbito Frontal cortex และ ส่วน ของ amygdala ในระบบ limbic
ปรากฏการณ์ เฉยชาต่อความเข้าอกเข้าใจ
จะมีการกระตุ้นผิดปกติของบริเวณสมองส่วนหน้าซึ่งจะยับยั้ง สมองส่วน amygdala และอธิบายได้จนกระทั่งถึงความคิดและการกระทำที่ออกมาเป็นย้ำคิดย้ำทำและอยากฆ่าทำร้าย ยาเสพติด cocaine ก่อให้เกิดลักษณะเช่นนี้ได้
แต่ถึงแม้จะรู้ระบบวงจรเหล่านี้มานานแล้วก็ตาม แต่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ ถึงปรากฏการณ์ E ซึ่งทำให้มนุษย์กลายเป็นปีศาจได้อย่างหมดจด เพราะมนุษย์ปีศาจนั้น แยกตัวเองจากความรู้สึก จนเป็นความแตกหักของสมองและปัญญาอันประเสริฐ (cognitive fracture)
ไม่เคยมีความรู้สึกผิดหรือเสียใจใดๆทั้งสิ้น และเกิดได้ทุกเชื้อชาติภาษา เช่นเขมรแดงทรมานและฆ่าทิ้ง
ความเฉียบคมของสมองของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ยังคงอยู่
สรรหาวิธีการทรมานที่ทำให้เจ็บปวดที่สุด หาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่เป็นกลุ่มก้อน
แม้กระทั่งมีการใช้ยา บ้า amphetamine ในกลุ่ม ISIS โดยทำให้มีการทำงานของระบบโดปามีน แปรปรวน ลดการทำงานของ serotonin ใน OFC นำไปสู่ พฤติกรรมต่อต้านสังคมฆ่าได้อย่างเฉยชา มีความก้าวร้าวและทำเป็นสันดาน ซึ่งเป็นการก่อการร้ายโดยใช้ยาเสพติดร่วมด้วย (pharmaco-terrorism)
การกระทำชั่วร้ายของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ก่อให้เกิดอารมณ์ ปิติ ปลาบปลื้ม มีความสุขเป็นรางวัลให้ตัวเอง และต้องทำชั่วไปเพื่อความสุขของตนเอง แม้กระทั่งมีความอิ่มเอมเมื่อเห็นเหยื่อร้องขอชีวิต
ในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ปรากฏการณ์ปีศาจนี้ มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจไปแล้วนั้น จะมีความกระหายอย่างแรงกล้าที่จะทำให้คนรอบข้างเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำนั้น และกลายเป็นปีศาจด้วยกัน และปีศาจตัวหัวหน้าใหญ่ แม้เมื่อตายไปแล้วก็จะมีปีศาจตัวอื่นๆทยอยขึ้นมาแตกกิ่งก้านสาขาไปทั่ว
ถึงตรงนี้ เราทุกคนต้องถามตัวเองว่า เราใช้ด้านมืด จนกลายเป็นปีศาจไปแล้วหรือไม่?
รวบรวม เรียบเรียงจากบทความใน aeon ของ Naga Arikha associate fellow ของ Warburg Institute (London) และ honorary fellow of the Center for the Politics of Feelings, and a research associate at the Institut Jean Nicod of the Ecole Normale Supérieure (Paris) 30 กรกฎาคม 2018
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
ปรากฏการณ์มนุษย์กลายเป็นปีศาจ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวประกอบด้วยลักษณะสำคัญร่วมกัน 10 ประการ
ที่ทำให้เปลี่ยนด้านสว่างของมนุษย์ที่ถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐและสมองถูกวิวัฒน์ จนกระทั่งคิดว่าปกครองพัฒนาชีวิต การเป็นอยู่สิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด เพื่อเอื้อประโยชน์ให้มนุษย์ด้วยกัน
กลายเป็นด้านมืดที่สุด ที่กระทำทุกอย่างได้โดยไม่กระพริบตา
ทั้งนี้รวมถึงการฆ่าฟัน การนำพาสิ่งอันตรายต่างๆ มาให้คน โดยจุดประสงค์แฝงเพื่อประโยชน์มหาศาลรวมทั้งการเกื้อกูลพวกเดียวกันโดย ให้อำนาจ เงิน อามิส สินจ้าง ทั้งนี้ล้างสมองตัวเองก่อนและล้างสมองแพร่ออกเป็นกลุ่มก้อน
ปรากฏการณ์เกิดปีศาจร้าย ได้มีการรวบรวมและสรุปจากหมอผ่าตัดสมอง Itzhak Fried จาก University of California, Los Angeles ในปี 1997 โดยเรียกว่า Syndrome E และ E มาจาก Evil
กลุ่มอาการทั้ง 10 ประกอบด้วย การแสดงออกซึ่งอธิบายได้ทางกลไกประสาทวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม
“การประพฤติบ่อย“ นำไปสู่
“ความอยากทำอีก” โดยเริ่มมีการชำระล้างความชั่วที่ทำ ให้กลายเป็นสิ่งที่ดี
“ การทำซ้ำๆที่ควบคุมไม่ได้” โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีผลกระทบต่อ อารมณ์และจิตใจ และความประพฤติปฏิบัติ ต่อมา แม้ว่าจะเกิดความเสียหายแม้กระทั่งต่อตนเองก็ตาม
“ ไร้อารมณ์ความรู้สึก“ เมื่อกระทำชั่ว
” ความเร้าใจ” เมื่อกระทำได้สำเร็จ ตัวอย่าง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ยิ่งตายมาก พิการ ทรมานมาก เท่าไหร่ ยิ่งเร้าใจมาก
“ ยังดูเหมือนเป็นมนุษย์ปกติ” สมองยังคงทำงานได้ ความจำ การสื่อสาร ความสามารถในการแก้ปัญหา และอื่นๆ
“ เกิดการเสพติด” เฉยชา ในความเลวร้าย ที่ตนตนเองทำ
“ แบ่งส่วนกับครอบครัวตนเองได้” มีชีวิตสุขสบายปกติกับครอบครัวตนเอง ไม่มีใครสำเหนียก
“ ถูกกระตุ้นได้ง่าย“ เมื่อมีเหตุการณ์ที่มีโอกาศทำ จะรีบนำพาไปสู่ความคิดและการกระทำที่ชั่วร้าย
“ แพร่เชื้อเหมือนโรคระบาด” มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนผู้อื่นให้กลายเป็นพวกเดียวกันในความคิดและการปฏิบัติเหมือนกัน
มนุษย์กลายเป็นปีศาจนั้นไม่ใช่ลักษณะเดียวกับ กลุ่มที่ มีจิตและความประพฤติผิดปกติต่อต้านสังคมตั้งแต่ต้น เปรียบเสมือนทหารนาซีที่ สามารถฆ่าได้เป็นล้าน และในปัจจุบันอิสราเอลที่ฆ่าได้เป็นหมื่นเป็นแสน โดยประกาศตั้งเป้าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่นเดียวกับที่เกิดในแอฟริกา
ปรากฏการณ์ E ตั้งแต่ปี 1997 ทำให้มีการประชุมกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทางด้านสมอง นักจิตวิทยาทางสังคม จิตแพทย์ กลุ่มต่อต้านผู้ก่อการร้าย นักเชี่ยวชาญสรีระวิทยาทางสมอง จนกระทั่งถึงกลุ่มทางกฎหมาย โดยมีการประชุมที่ปารีสสามครั้งระหว่าง 2015 ถึง 2017
แกนกลางปัจจัยของปรากฏการณ์ E คือ
ความเฉยชาไร้อารมณ์ ก่อน รวมทั้งในช่วงวางแผน จน ขณะก่อ ความชั่วร้าย และ แม้กระทั่งหลังจากนั้น แม้ถึงกับทำให้คร่าชีวิตคนด้วยกัน แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด รู้ร้อนรู้หนาว แต่กับครอบครัวยังเป็นปกติ
เมื่อเป็นการล้างสมองอย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ความเห็นใจ ไม่มีความเข้าอกเข้าใจ แต่สามารถแสร้งทำปกติได้อย่างแนบเนียน ตามสถานการณ์ได้อย่างนุ่มนวล
ในขณะเดียวกันมีความรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ตนเองรู้สึกว่า “น่าทำ”
ความเข้าอกเข้าใจนั้นเป็นลักษณะสำคัญในการเติบโตของมนุษย์แต่ละคนที่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นโดยเกิดขึ้นในช่วงห้าขวบปีแรก และทำให้ตระหนักว่าการกระทำของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่รับรู้จากคนอื่นด้วย
ดังนั้น เป็นการสร้างความตระหนักที่ให้เรียนรู้ในสังคม แต่ทำให้มีการแบ่งแยกโดยการสร้างกลุ่มของตนเองและบูลลี่คนเคราะห์ร้าย
และกลุ่มอาจสร้างค่านิยมให้แบ่งชนชั้น (selective empathy) ดูถูกคนไร้บ้าน คนข้างถนน คนที่ด้อยกว่า ในที่ทำงาน ในธุรกิจ เป็นการกัดกร่อน ความเข้าอกเข้าใจคนด้วยกัน (empathy erosion)
และในที่สุดจุดประกายกำเนิดความโหดร้าย และเป็นด้านมืดของสังคม ที่เพาะบ่ม เหมือนกับการตีสองหน้า ช่วยพวกเดียวกันเอง ถีบหัวไสส่ง มนุษย์ที่ไม่ใช่พวกตัวเอง หรือด้อยกว่า
การปรับเปลี่ยนจนเกิดความเป็นปึกแผ่นของกลุ่มและสังคม อาจมีประโยชน์ในการป้องกันศัตรูที่เข้ามารุกราน
แต่แล้วที่เห็นในปัจจุบันคือการตีความ “ศัตรู” ให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ประนีประนอมไม่ได้ใช้ประโยชน์พื้นแผ่นดินทรัพยากรรวมกันไม่ได้ และต้องหายไปจากพื้นโลกนี้
วงจรสมองที่ประกอบขึ้นมาในการเป็นอารมณ์และความเข้าอกเข้าใจกันนั้น มีความซับซ้อนและประกอบด้วย
สมองส่วน vmPFC หรือ ventromedial Prefrontal cortex OFC หรือ orbito Frontal cortex และ ส่วน ของ amygdala ในระบบ limbic
ปรากฏการณ์ เฉยชาต่อความเข้าอกเข้าใจ
จะมีการกระตุ้นผิดปกติของบริเวณสมองส่วนหน้าซึ่งจะยับยั้ง สมองส่วน amygdala และอธิบายได้จนกระทั่งถึงความคิดและการกระทำที่ออกมาเป็นย้ำคิดย้ำทำและอยากฆ่าทำร้าย ยาเสพติด cocaine ก่อให้เกิดลักษณะเช่นนี้ได้
แต่ถึงแม้จะรู้ระบบวงจรเหล่านี้มานานแล้วก็ตาม แต่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ ถึงปรากฏการณ์ E ซึ่งทำให้มนุษย์กลายเป็นปีศาจได้อย่างหมดจด เพราะมนุษย์ปีศาจนั้น แยกตัวเองจากความรู้สึก จนเป็นความแตกหักของสมองและปัญญาอันประเสริฐ (cognitive fracture)
ไม่เคยมีความรู้สึกผิดหรือเสียใจใดๆทั้งสิ้น และเกิดได้ทุกเชื้อชาติภาษา เช่นเขมรแดงทรมานและฆ่าทิ้ง
ความเฉียบคมของสมองของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ยังคงอยู่
สรรหาวิธีการทรมานที่ทำให้เจ็บปวดที่สุด หาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่เป็นกลุ่มก้อน
แม้กระทั่งมีการใช้ยา บ้า amphetamine ในกลุ่ม ISIS โดยทำให้มีการทำงานของระบบโดปามีน แปรปรวน ลดการทำงานของ serotonin ใน OFC นำไปสู่ พฤติกรรมต่อต้านสังคมฆ่าได้อย่างเฉยชา มีความก้าวร้าวและทำเป็นสันดาน ซึ่งเป็นการก่อการร้ายโดยใช้ยาเสพติดร่วมด้วย (pharmaco-terrorism)
การกระทำชั่วร้ายของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ก่อให้เกิดอารมณ์ ปิติ ปลาบปลื้ม มีความสุขเป็นรางวัลให้ตัวเอง และต้องทำชั่วไปเพื่อความสุขของตนเอง แม้กระทั่งมีความอิ่มเอมเมื่อเห็นเหยื่อร้องขอชีวิต
ในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ปรากฏการณ์ปีศาจนี้ มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจไปแล้วนั้น จะมีความกระหายอย่างแรงกล้าที่จะทำให้คนรอบข้างเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำนั้น และกลายเป็นปีศาจด้วยกัน และปีศาจตัวหัวหน้าใหญ่ แม้เมื่อตายไปแล้วก็จะมีปีศาจตัวอื่นๆทยอยขึ้นมาแตกกิ่งก้านสาขาไปทั่ว
ถึงตรงนี้ เราทุกคนต้องถามตัวเองว่า เราใช้ด้านมืด จนกลายเป็นปีศาจไปแล้วหรือไม่?
รวบรวม เรียบเรียงจากบทความใน aeon ของ Naga Arikha associate fellow ของ Warburg Institute (London) และ honorary fellow of the Center for the Politics of Feelings, and a research associate at the Institut Jean Nicod of the Ecole Normale Supérieure (Paris) 30 กรกฎาคม 2018
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต