การเขียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI

Marcus Olang’ เล่าว่าเขาเคยได้รับคำวิจารณ์ว่างานเขียนของเขา “เหมือน ChatGPT” และถูกขอให้ปรับให้มี “ความเป็นมนุษย์มากขึ้น” ทั้งที่จริงแล้วสไตล์การเขียนนั้นเป็นผลจากการฝึกฝนในระบบการศึกษาเคนยา ที่เน้นความเป็นทางการและโครงสร้างที่ชัดเจน เขาชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ถูกตีความว่าเป็น “ลายเซ็นของ AI” แท้จริงแล้วคือผลผลิตจากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในห้องเรียนเคนยา

รากฐานจากระบบการศึกษาและมรดกอาณานิคม
เขาอธิบายว่าในโรงเรียนเคนยา การสอบเขียนเรียงความเป็นเหมือนพิธีกรรมสำคัญ นักเรียนถูกฝึกให้ใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน และการเชื่อมโยงที่เป็นระบบ สิ่งเหล่านี้สืบทอดมาจากการเรียนภาษาอังกฤษแบบ “Queen’s English” ที่ได้รับจากยุคอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงความมีการศึกษาและสถานะทางสังคม

ความขัดแย้งกับเครื่องตรวจจับ AI
Marcus ชี้ให้เห็นว่าเครื่องตรวจจับ AI มักใช้เกณฑ์ “perplexity” และ “burstiness” เพื่อตัดสินว่างานเขียนเป็นของมนุษย์หรือไม่ แต่ระบบการศึกษาเคนยากลับสอนให้นักเรียนเขียนอย่างมีตรรกะและคงเส้นคงวา ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เครื่องตรวจจับมองว่าเป็น “มนุษย์” ผลคือ งานเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษโดยกำเนิด มักถูกตีความผิดว่าเป็นงานของ AI

มุมมองต่อความเป็นมนุษย์ในงานเขียน
เขาสรุปว่า การเขียนของเขาไม่ใช่ผลผลิตจากเครื่องจักร แต่เป็นผลจากประวัติศาสตร์ การศึกษา และความพยายามของมนุษย์ หากโลกยังใช้มาตรฐานที่แคบในการตัดสินว่าอะไรคือ “มนุษย์” ก็จะเป็นการกีดกันนักเขียนจากภูมิภาคอื่นที่มีรูปแบบการเขียนแตกต่างออกไป

สรุปสาระสำคัญ
ประสบการณ์ของ Marcus Olang’
งานเขียนถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI เพราะมีโครงสร้างเป็นทางการและสมบูรณ์แบบ

ระบบการศึกษาเคนยา
เน้นการใช้คำศัพท์หลากหลายและโครงสร้างเรียงความที่เข้มงวด
สืบทอดจากภาษาอังกฤษยุคอาณานิคม

ปัญหาจากเครื่องตรวจจับ AI
ใช้เกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา
เสี่ยงต่อการตีความผิดและลดคุณค่าของงานเขียนมนุษย์

ข้อคิดสำคัญ
งานเขียนที่ถูกมองว่า “เหมือน AI” อาจสะท้อนถึงวัฒนธรรมและการศึกษา
ความเป็นมนุษย์ในงานเขียนควรถูกมองอย่างหลากหลาย ไม่ใช่จำกัดแค่สไตล์เดียว

https://marcusolang.substack.com/p/im-kenyan-i-dont-write-like-chatgpt
✍️ การเขียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI Marcus Olang’ เล่าว่าเขาเคยได้รับคำวิจารณ์ว่างานเขียนของเขา “เหมือน ChatGPT” และถูกขอให้ปรับให้มี “ความเป็นมนุษย์มากขึ้น” ทั้งที่จริงแล้วสไตล์การเขียนนั้นเป็นผลจากการฝึกฝนในระบบการศึกษาเคนยา ที่เน้นความเป็นทางการและโครงสร้างที่ชัดเจน เขาชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ถูกตีความว่าเป็น “ลายเซ็นของ AI” แท้จริงแล้วคือผลผลิตจากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในห้องเรียนเคนยา 📚 รากฐานจากระบบการศึกษาและมรดกอาณานิคม เขาอธิบายว่าในโรงเรียนเคนยา การสอบเขียนเรียงความเป็นเหมือนพิธีกรรมสำคัญ นักเรียนถูกฝึกให้ใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน และการเชื่อมโยงที่เป็นระบบ สิ่งเหล่านี้สืบทอดมาจากการเรียนภาษาอังกฤษแบบ “Queen’s English” ที่ได้รับจากยุคอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงความมีการศึกษาและสถานะทางสังคม 🤖 ความขัดแย้งกับเครื่องตรวจจับ AI Marcus ชี้ให้เห็นว่าเครื่องตรวจจับ AI มักใช้เกณฑ์ “perplexity” และ “burstiness” เพื่อตัดสินว่างานเขียนเป็นของมนุษย์หรือไม่ แต่ระบบการศึกษาเคนยากลับสอนให้นักเรียนเขียนอย่างมีตรรกะและคงเส้นคงวา ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เครื่องตรวจจับมองว่าเป็น “มนุษย์” ผลคือ งานเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษโดยกำเนิด มักถูกตีความผิดว่าเป็นงานของ AI 🌍 มุมมองต่อความเป็นมนุษย์ในงานเขียน เขาสรุปว่า การเขียนของเขาไม่ใช่ผลผลิตจากเครื่องจักร แต่เป็นผลจากประวัติศาสตร์ การศึกษา และความพยายามของมนุษย์ หากโลกยังใช้มาตรฐานที่แคบในการตัดสินว่าอะไรคือ “มนุษย์” ก็จะเป็นการกีดกันนักเขียนจากภูมิภาคอื่นที่มีรูปแบบการเขียนแตกต่างออกไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ประสบการณ์ของ Marcus Olang’ ➡️ งานเขียนถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI เพราะมีโครงสร้างเป็นทางการและสมบูรณ์แบบ ✅ ระบบการศึกษาเคนยา ➡️ เน้นการใช้คำศัพท์หลากหลายและโครงสร้างเรียงความที่เข้มงวด ➡️ สืบทอดจากภาษาอังกฤษยุคอาณานิคม ‼️ ปัญหาจากเครื่องตรวจจับ AI ⛔ ใช้เกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ⛔ เสี่ยงต่อการตีความผิดและลดคุณค่าของงานเขียนมนุษย์ ✅ ข้อคิดสำคัญ ➡️ งานเขียนที่ถูกมองว่า “เหมือน AI” อาจสะท้อนถึงวัฒนธรรมและการศึกษา ➡️ ความเป็นมนุษย์ในงานเขียนควรถูกมองอย่างหลากหลาย ไม่ใช่จำกัดแค่สไตล์เดียว https://marcusolang.substack.com/p/im-kenyan-i-dont-write-like-chatgpt
0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว