Google Maps: จากเครื่องมือค้นหา สู่ผู้กำหนดตลาด
Lauren Leek เริ่มต้นจากการหาที่กินข้าว แต่กลับกลายเป็นงานวิจัยเต็มรูปแบบ เธอใช้ข้อมูลร้านอาหารกว่า 13,000 แห่งในลอนดอน มาสร้างโมเดล Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ว่า Google Maps จัดอันดับร้านอาหารอย่างไร ผลลัพธ์ชี้ว่าแพลตฟอร์มไม่ได้เพียงสะท้อนความนิยม แต่ กำหนดการมองเห็นและการอยู่รอดของร้านอาหาร โดยใช้ตัวชี้วัดหลักคือ relevance, distance, และ prominence.
วงจรสะสมความได้เปรียบ
ระบบ “prominence” ของ Google Maps ให้รางวัลกับร้านที่มีรีวิวจำนวนมาก ความเร็วในการได้รับรีวิวสูง และการรับรู้แบรนด์ ส่งผลให้ร้านใหญ่หรือร้านที่อยู่ในพื้นที่คนพลุกพล่านได้เปรียบ ขณะที่ร้านเล็ก ๆ หรือร้านใหม่ ๆ เจอปัญหา cold-start เพราะไม่มีรีวิวมากพอที่จะถูกค้นพบ วงจรนี้คล้ายกับ “Matthew Effect” ในเศรษฐศาสตร์ ที่ผู้มีมากจะได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
การสร้าง Dashboard เพื่อมองทะลุอัลกอริทึม
Lauren สร้าง London Food Dashboard โดยใช้ Gradient Boosted Decision Tree เพื่อคาดการณ์คะแนนที่ร้านควรได้ตามคุณลักษณะเชิงโครงสร้าง เช่น ประเภทอาหาร ราคา ทำเล และจำนวนรีวิว จากนั้นเปรียบเทียบกับคะแนนจริงเพื่อหาว่าร้านใดถูก “ประเมินต่ำ” หรือ “สูงเกินจริง” Dashboard นี้ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหา “underrated gems” ได้ และยังเผยให้เห็นความผิดพลาดในการจัดหมวดหมู่ร้านอาหารของ Google Maps
ผลกระทบต่อชุมชนและนโยบาย
การวิเคราะห์ยังขยายไปถึงระดับย่าน โดยใช้ PCA และ K-means clustering เพื่อจัดประเภทพื้นที่เป็น elite, strong, everyday, และ weak hubs. ผลลัพธ์ชี้ว่า ความหลากหลายทางอาหารของลอนดอนไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม ร้านอาหารของชุมชนผู้อพยชมักอยู่ในพื้นที่ที่มีการมองเห็นต่ำกว่า ข้อค้นพบนี้นำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายว่า อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มควรถูกตรวจสอบและเปิดเผยเหมือนตลาดการเงิน เพราะมันมีผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจท้องถิ่นโดยตรง
สรุปสาระสำคัญ
Google Maps ทำหน้าที่เป็น “ตลาดกลาง”
ใช้ตัวชี้วัด relevance, distance, prominence กำหนดการมองเห็น
วงจรสะสมความได้เปรียบ
ร้านใหญ่และร้านดังได้เปรียบ ร้านเล็กเจอ cold-start
London Food Dashboard
ใช้ ML วิเคราะห์ร้านที่ถูกประเมินต่ำหรือสูงเกินจริง
การวิเคราะห์ระดับย่าน
พบความเหลื่อมล้ำด้านการมองเห็นและความหลากหลายทางอาหาร
ความเสี่ยงต่อธุรกิจเล็กและชุมชนผู้อพยพ
อัลกอริทึมอาจทำให้ร้านใหม่หรือร้านเล็กถูกมองข้าม
ความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม
ควรมีการตรวจสอบอัลกอริทึมเหมือนตลาดการเงิน
https://laurenleek.substack.com/p/how-google-maps-quietly-allocates
Lauren Leek เริ่มต้นจากการหาที่กินข้าว แต่กลับกลายเป็นงานวิจัยเต็มรูปแบบ เธอใช้ข้อมูลร้านอาหารกว่า 13,000 แห่งในลอนดอน มาสร้างโมเดล Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ว่า Google Maps จัดอันดับร้านอาหารอย่างไร ผลลัพธ์ชี้ว่าแพลตฟอร์มไม่ได้เพียงสะท้อนความนิยม แต่ กำหนดการมองเห็นและการอยู่รอดของร้านอาหาร โดยใช้ตัวชี้วัดหลักคือ relevance, distance, และ prominence.
วงจรสะสมความได้เปรียบ
ระบบ “prominence” ของ Google Maps ให้รางวัลกับร้านที่มีรีวิวจำนวนมาก ความเร็วในการได้รับรีวิวสูง และการรับรู้แบรนด์ ส่งผลให้ร้านใหญ่หรือร้านที่อยู่ในพื้นที่คนพลุกพล่านได้เปรียบ ขณะที่ร้านเล็ก ๆ หรือร้านใหม่ ๆ เจอปัญหา cold-start เพราะไม่มีรีวิวมากพอที่จะถูกค้นพบ วงจรนี้คล้ายกับ “Matthew Effect” ในเศรษฐศาสตร์ ที่ผู้มีมากจะได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
การสร้าง Dashboard เพื่อมองทะลุอัลกอริทึม
Lauren สร้าง London Food Dashboard โดยใช้ Gradient Boosted Decision Tree เพื่อคาดการณ์คะแนนที่ร้านควรได้ตามคุณลักษณะเชิงโครงสร้าง เช่น ประเภทอาหาร ราคา ทำเล และจำนวนรีวิว จากนั้นเปรียบเทียบกับคะแนนจริงเพื่อหาว่าร้านใดถูก “ประเมินต่ำ” หรือ “สูงเกินจริง” Dashboard นี้ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหา “underrated gems” ได้ และยังเผยให้เห็นความผิดพลาดในการจัดหมวดหมู่ร้านอาหารของ Google Maps
ผลกระทบต่อชุมชนและนโยบาย
การวิเคราะห์ยังขยายไปถึงระดับย่าน โดยใช้ PCA และ K-means clustering เพื่อจัดประเภทพื้นที่เป็น elite, strong, everyday, และ weak hubs. ผลลัพธ์ชี้ว่า ความหลากหลายทางอาหารของลอนดอนไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม ร้านอาหารของชุมชนผู้อพยชมักอยู่ในพื้นที่ที่มีการมองเห็นต่ำกว่า ข้อค้นพบนี้นำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายว่า อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มควรถูกตรวจสอบและเปิดเผยเหมือนตลาดการเงิน เพราะมันมีผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจท้องถิ่นโดยตรง
สรุปสาระสำคัญ
Google Maps ทำหน้าที่เป็น “ตลาดกลาง”
ใช้ตัวชี้วัด relevance, distance, prominence กำหนดการมองเห็น
วงจรสะสมความได้เปรียบ
ร้านใหญ่และร้านดังได้เปรียบ ร้านเล็กเจอ cold-start
London Food Dashboard
ใช้ ML วิเคราะห์ร้านที่ถูกประเมินต่ำหรือสูงเกินจริง
การวิเคราะห์ระดับย่าน
พบความเหลื่อมล้ำด้านการมองเห็นและความหลากหลายทางอาหาร
ความเสี่ยงต่อธุรกิจเล็กและชุมชนผู้อพยพ
อัลกอริทึมอาจทำให้ร้านใหม่หรือร้านเล็กถูกมองข้าม
ความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม
ควรมีการตรวจสอบอัลกอริทึมเหมือนตลาดการเงิน
https://laurenleek.substack.com/p/how-google-maps-quietly-allocates
🗺️ Google Maps: จากเครื่องมือค้นหา สู่ผู้กำหนดตลาด
Lauren Leek เริ่มต้นจากการหาที่กินข้าว แต่กลับกลายเป็นงานวิจัยเต็มรูปแบบ เธอใช้ข้อมูลร้านอาหารกว่า 13,000 แห่งในลอนดอน มาสร้างโมเดล Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ว่า Google Maps จัดอันดับร้านอาหารอย่างไร ผลลัพธ์ชี้ว่าแพลตฟอร์มไม่ได้เพียงสะท้อนความนิยม แต่ กำหนดการมองเห็นและการอยู่รอดของร้านอาหาร โดยใช้ตัวชี้วัดหลักคือ relevance, distance, และ prominence.
📊 วงจรสะสมความได้เปรียบ
ระบบ “prominence” ของ Google Maps ให้รางวัลกับร้านที่มีรีวิวจำนวนมาก ความเร็วในการได้รับรีวิวสูง และการรับรู้แบรนด์ ส่งผลให้ร้านใหญ่หรือร้านที่อยู่ในพื้นที่คนพลุกพล่านได้เปรียบ ขณะที่ร้านเล็ก ๆ หรือร้านใหม่ ๆ เจอปัญหา cold-start เพราะไม่มีรีวิวมากพอที่จะถูกค้นพบ วงจรนี้คล้ายกับ “Matthew Effect” ในเศรษฐศาสตร์ ที่ผู้มีมากจะได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
🧮 การสร้าง Dashboard เพื่อมองทะลุอัลกอริทึม
Lauren สร้าง London Food Dashboard โดยใช้ Gradient Boosted Decision Tree เพื่อคาดการณ์คะแนนที่ร้านควรได้ตามคุณลักษณะเชิงโครงสร้าง เช่น ประเภทอาหาร ราคา ทำเล และจำนวนรีวิว จากนั้นเปรียบเทียบกับคะแนนจริงเพื่อหาว่าร้านใดถูก “ประเมินต่ำ” หรือ “สูงเกินจริง” Dashboard นี้ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหา “underrated gems” ได้ และยังเผยให้เห็นความผิดพลาดในการจัดหมวดหมู่ร้านอาหารของ Google Maps
🌍 ผลกระทบต่อชุมชนและนโยบาย
การวิเคราะห์ยังขยายไปถึงระดับย่าน โดยใช้ PCA และ K-means clustering เพื่อจัดประเภทพื้นที่เป็น elite, strong, everyday, และ weak hubs. ผลลัพธ์ชี้ว่า ความหลากหลายทางอาหารของลอนดอนไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม ร้านอาหารของชุมชนผู้อพยชมักอยู่ในพื้นที่ที่มีการมองเห็นต่ำกว่า ข้อค้นพบนี้นำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายว่า อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มควรถูกตรวจสอบและเปิดเผยเหมือนตลาดการเงิน เพราะมันมีผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจท้องถิ่นโดยตรง
📌 สรุปสาระสำคัญ
✅ Google Maps ทำหน้าที่เป็น “ตลาดกลาง”
➡️ ใช้ตัวชี้วัด relevance, distance, prominence กำหนดการมองเห็น
✅ วงจรสะสมความได้เปรียบ
➡️ ร้านใหญ่และร้านดังได้เปรียบ ร้านเล็กเจอ cold-start
✅ London Food Dashboard
➡️ ใช้ ML วิเคราะห์ร้านที่ถูกประเมินต่ำหรือสูงเกินจริง
✅ การวิเคราะห์ระดับย่าน
➡️ พบความเหลื่อมล้ำด้านการมองเห็นและความหลากหลายทางอาหาร
‼️ ความเสี่ยงต่อธุรกิจเล็กและชุมชนผู้อพยพ
⛔ อัลกอริทึมอาจทำให้ร้านใหม่หรือร้านเล็กถูกมองข้าม
‼️ ความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม
⛔ ควรมีการตรวจสอบอัลกอริทึมเหมือนตลาดการเงิน
https://laurenleek.substack.com/p/how-google-maps-quietly-allocates
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
24 มุมมอง
0 รีวิว