เวลาที่อุจจาระอยู่ในร่างกายบอกสุขภาพได้
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนพบว่า คนที่มีการเคลื่อนผ่านของอุจจาระเร็ว (fast transit) และ ช้า (slow transit) มีความแตกต่างของจุลินทรีย์ในลำไส้อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อการสร้างสารเมตาโบไลต์และสมดุลกรดในลำไส้ การเคลื่อนที่เร็วเกินไปอาจทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่เต็มที่ ขณะที่การเคลื่อนที่ช้าเกินไปอาจก่อให้เกิดการหมักและสารพิษสะสม
ข้อมูลจากงานวิจัยสากล
การศึกษาในวารสาร BMJ Gut ระบุว่า เวลาการเดินทางของอาหารทั้งระบบ (Whole Gut Transit Time) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 28 ชั่วโมง แต่สามารถแตกต่างได้ตั้งแต่ 10–73 ชั่วโมง ขึ้นกับอาหาร อายุ และกิจกรรม คนที่มีเวลานานเกินไปมักเสี่ยงต่อโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS ส่วนคนที่เร็วเกินไปเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง
ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน
งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า ผู้ป่วยพาร์กินสันมักเริ่มมีอาการท้องผูกนานหลายสิบปีก่อนโรคแสดงออกทางสมอง การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อการผลิตวิตามินบีและกรดไขมันสายสั้น ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและการอักเสบ การดูแลสุขภาพลำไส้จึงอาจช่วยชะลอหรือบรรเทาอาการของโรคได้
ปัจจัยที่ปรับได้ในชีวิตประจำวัน
นักโภชนาการแนะนำว่า การกินไฟเบอร์ 25–50 กรัมต่อวัน ดื่มน้ำ 2–3 ลิตร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ สามารถช่วยปรับเวลาเคลื่อนผ่านของอุจจาระให้อยู่ในระดับเหมาะสม นอกจากนี้การใช้โปรไบโอติกและการลดอาหารแปรรูปก็มีส่วนช่วยให้จุลินทรีย์ในลำไส้สมดุลมากขึ้น
สรุปเป็นหัวข้อ
Gut Transit Time มีผลต่อสุขภาพโดยตรง
ค่าเฉลี่ยในคนปกติ ~28 ชั่วโมง แต่มีความแปรผันสูง
การเคลื่อนที่เร็วเกินไป
เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง
การเคลื่อนที่ช้าเกินไป
เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS
ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน
การเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อระบบประสาท
การปรับพฤติกรรมช่วยได้
เพิ่มไฟเบอร์ ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และใช้โปรไบโอติก
สัญญาณเตือนจากระบบขับถ่าย
ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออุจจาระแข็ง/เหลวผิดปกติ
ความเสี่ยงจากการละเลยสุขภาพลำไส้
อาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น เมตาบอลิกซินโดรม และโรคทางสมอง
https://www.sciencealert.com/how-long-poop-stays-in-your-body-could-impact-your-health-study-finds
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนพบว่า คนที่มีการเคลื่อนผ่านของอุจจาระเร็ว (fast transit) และ ช้า (slow transit) มีความแตกต่างของจุลินทรีย์ในลำไส้อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อการสร้างสารเมตาโบไลต์และสมดุลกรดในลำไส้ การเคลื่อนที่เร็วเกินไปอาจทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่เต็มที่ ขณะที่การเคลื่อนที่ช้าเกินไปอาจก่อให้เกิดการหมักและสารพิษสะสม
ข้อมูลจากงานวิจัยสากล
การศึกษาในวารสาร BMJ Gut ระบุว่า เวลาการเดินทางของอาหารทั้งระบบ (Whole Gut Transit Time) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 28 ชั่วโมง แต่สามารถแตกต่างได้ตั้งแต่ 10–73 ชั่วโมง ขึ้นกับอาหาร อายุ และกิจกรรม คนที่มีเวลานานเกินไปมักเสี่ยงต่อโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS ส่วนคนที่เร็วเกินไปเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง
ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน
งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า ผู้ป่วยพาร์กินสันมักเริ่มมีอาการท้องผูกนานหลายสิบปีก่อนโรคแสดงออกทางสมอง การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อการผลิตวิตามินบีและกรดไขมันสายสั้น ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและการอักเสบ การดูแลสุขภาพลำไส้จึงอาจช่วยชะลอหรือบรรเทาอาการของโรคได้
ปัจจัยที่ปรับได้ในชีวิตประจำวัน
นักโภชนาการแนะนำว่า การกินไฟเบอร์ 25–50 กรัมต่อวัน ดื่มน้ำ 2–3 ลิตร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ สามารถช่วยปรับเวลาเคลื่อนผ่านของอุจจาระให้อยู่ในระดับเหมาะสม นอกจากนี้การใช้โปรไบโอติกและการลดอาหารแปรรูปก็มีส่วนช่วยให้จุลินทรีย์ในลำไส้สมดุลมากขึ้น
สรุปเป็นหัวข้อ
Gut Transit Time มีผลต่อสุขภาพโดยตรง
ค่าเฉลี่ยในคนปกติ ~28 ชั่วโมง แต่มีความแปรผันสูง
การเคลื่อนที่เร็วเกินไป
เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง
การเคลื่อนที่ช้าเกินไป
เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS
ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน
การเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อระบบประสาท
การปรับพฤติกรรมช่วยได้
เพิ่มไฟเบอร์ ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และใช้โปรไบโอติก
สัญญาณเตือนจากระบบขับถ่าย
ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออุจจาระแข็ง/เหลวผิดปกติ
ความเสี่ยงจากการละเลยสุขภาพลำไส้
อาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น เมตาบอลิกซินโดรม และโรคทางสมอง
https://www.sciencealert.com/how-long-poop-stays-in-your-body-could-impact-your-health-study-finds
🧬 เวลาที่อุจจาระอยู่ในร่างกายบอกสุขภาพได้
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนพบว่า คนที่มีการเคลื่อนผ่านของอุจจาระเร็ว (fast transit) และ ช้า (slow transit) มีความแตกต่างของจุลินทรีย์ในลำไส้อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อการสร้างสารเมตาโบไลต์และสมดุลกรดในลำไส้ การเคลื่อนที่เร็วเกินไปอาจทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่เต็มที่ ขณะที่การเคลื่อนที่ช้าเกินไปอาจก่อให้เกิดการหมักและสารพิษสะสม
🩺 ข้อมูลจากงานวิจัยสากล
การศึกษาในวารสาร BMJ Gut ระบุว่า เวลาการเดินทางของอาหารทั้งระบบ (Whole Gut Transit Time) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 28 ชั่วโมง แต่สามารถแตกต่างได้ตั้งแต่ 10–73 ชั่วโมง ขึ้นกับอาหาร อายุ และกิจกรรม คนที่มีเวลานานเกินไปมักเสี่ยงต่อโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS ส่วนคนที่เร็วเกินไปเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง
🧠 ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน
งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า ผู้ป่วยพาร์กินสันมักเริ่มมีอาการท้องผูกนานหลายสิบปีก่อนโรคแสดงออกทางสมอง การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อการผลิตวิตามินบีและกรดไขมันสายสั้น ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและการอักเสบ การดูแลสุขภาพลำไส้จึงอาจช่วยชะลอหรือบรรเทาอาการของโรคได้
🍎 ปัจจัยที่ปรับได้ในชีวิตประจำวัน
นักโภชนาการแนะนำว่า การกินไฟเบอร์ 25–50 กรัมต่อวัน ดื่มน้ำ 2–3 ลิตร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ สามารถช่วยปรับเวลาเคลื่อนผ่านของอุจจาระให้อยู่ในระดับเหมาะสม นอกจากนี้การใช้โปรไบโอติกและการลดอาหารแปรรูปก็มีส่วนช่วยให้จุลินทรีย์ในลำไส้สมดุลมากขึ้น
📌 สรุปเป็นหัวข้อ
✅ Gut Transit Time มีผลต่อสุขภาพโดยตรง
➡️ ค่าเฉลี่ยในคนปกติ ~28 ชั่วโมง แต่มีความแปรผันสูง
✅ การเคลื่อนที่เร็วเกินไป
➡️ เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง
✅ การเคลื่อนที่ช้าเกินไป
➡️ เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS
✅ ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน
➡️ การเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อระบบประสาท
✅ การปรับพฤติกรรมช่วยได้
➡️ เพิ่มไฟเบอร์ ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และใช้โปรไบโอติก
‼️ สัญญาณเตือนจากระบบขับถ่าย
⛔ ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออุจจาระแข็ง/เหลวผิดปกติ
‼️ ความเสี่ยงจากการละเลยสุขภาพลำไส้
⛔ อาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น เมตาบอลิกซินโดรม และโรคทางสมอง
https://www.sciencealert.com/how-long-poop-stays-in-your-body-could-impact-your-health-study-finds
0 Comments
0 Shares
19 Views
0 Reviews