EFF เตือนว่ากฎหมายใหม่ในรัฐวิสคอนซินและมิชิแกนที่พยายาม “แบน VPN” เพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาลามก เป็นแนวคิดที่ผิดพลาด
กฎหมาย A.B. 105/S.B. 130 ในรัฐวิสคอนซินกำหนดให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหา “อาจเป็นอันตรายต่อผู้เยาว์” ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้และบล็อกการเข้าถึงจากผู้ใช้ที่เชื่อมต่อผ่าน VPN. ปัญหาคือการบล็อก VPN แบบเจาะจงพื้นที่เป็นไปไม่ได้ในทางเทคนิค เพราะเว็บไซต์ไม่สามารถรู้ได้ว่า VPN มาจาก Milwaukee หรือ Mumbai. ผลลัพธ์คือเว็บไซต์อาจต้องบล็อกผู้ใช้ VPN ทั้งหมดทั่วโลกเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย.
ใครคือผู้ได้รับผลกระทบ
VPN ไม่ได้ใช้เฉพาะคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญของหลายกลุ่ม:
ธุรกิจ ใช้ VPN เพื่อปกป้องข้อมูลลูกค้าและพนักงาน.
นักศึกษา ต้องใช้ VPN เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลและทรัพยากรการเรียน เช่น WiscVPN ของมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison.
ผู้เปราะบาง เช่น ผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว, นักข่าว, นักกิจกรรม และชุมชน LGBTQ+ ใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยและการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น.
ผู้ใช้ทั่วไป ใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามและการขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัทโฆษณา.
ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
หาก VPN ถูกบล็อก ผู้ใช้จะถูกบังคับให้ยืนยันอายุด้วยการส่งข้อมูลบัตรประชาชน, ข้อมูลชีวมิติ หรือบัตรเครดิตโดยตรงไปยังเว็บไซต์ ซึ่งเสี่ยงต่อการรั่วไหลและการโจมตีทางไซเบอร์. ประวัติที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการเก็บข้อมูลเช่นนี้มักถูกแฮ็กและรั่วไหล ทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง.
กฎหมายที่ไม่สามารถทำงานได้จริง
แม้กฎหมายผ่านไป ผู้ใช้ก็สามารถหาทางเลี่ยงได้ง่าย เช่น ใช้ open proxies, VPS ราคาถูก หรือสร้าง VPN เอง. อินเทอร์เน็ตมักหาทาง “หลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์” อยู่เสมอ. ผลลัพธ์คือกฎหมายนี้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย แต่กลับทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสูญเสียความปลอดภัยและเสรีภาพดิจิทัล.
สรุปสาระสำคัญ
กฎหมายในวิสคอนซินและมิชิแกนพยายามแบน VPN
อ้างว่าเพื่อปกป้องเด็กจากเนื้อหาลามก
บังคับให้เว็บไซต์ตรวจสอบอายุและบล็อก VPN
VPN มีความสำคัญต่อหลายกลุ่ม
ธุรกิจและนักศึกษาใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ
ผู้เปราะบางและผู้ใช้ทั่วไปใช้เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล
การบล็อก VPN บังคับให้ส่งข้อมูลบัตรประชาชนหรือบัตรเครดิต
เสี่ยงต่อการรั่วไหลและการโจมตีทางไซเบอร์
กฎหมายไม่สามารถทำงานได้จริง
ผู้ใช้สามารถสร้าง VPN เองหรือใช้ open proxies
อินเทอร์เน็ตหาทางเลี่ยงการเซ็นเซอร์เสมอ
ผลกระทบต่อเสรีภาพดิจิทัล
กฎหมายทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสูญเสียความปลอดภัย
เป็นการเปิดทางให้รัฐบาลควบคุมอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
https://www.eff.org/deeplinks/2025/11/lawmakers-want-ban-vpns-and-they-have-no-idea-what-theyre-doing
กฎหมาย A.B. 105/S.B. 130 ในรัฐวิสคอนซินกำหนดให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหา “อาจเป็นอันตรายต่อผู้เยาว์” ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้และบล็อกการเข้าถึงจากผู้ใช้ที่เชื่อมต่อผ่าน VPN. ปัญหาคือการบล็อก VPN แบบเจาะจงพื้นที่เป็นไปไม่ได้ในทางเทคนิค เพราะเว็บไซต์ไม่สามารถรู้ได้ว่า VPN มาจาก Milwaukee หรือ Mumbai. ผลลัพธ์คือเว็บไซต์อาจต้องบล็อกผู้ใช้ VPN ทั้งหมดทั่วโลกเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย.
ใครคือผู้ได้รับผลกระทบ
VPN ไม่ได้ใช้เฉพาะคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญของหลายกลุ่ม:
ธุรกิจ ใช้ VPN เพื่อปกป้องข้อมูลลูกค้าและพนักงาน.
นักศึกษา ต้องใช้ VPN เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลและทรัพยากรการเรียน เช่น WiscVPN ของมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison.
ผู้เปราะบาง เช่น ผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว, นักข่าว, นักกิจกรรม และชุมชน LGBTQ+ ใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยและการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น.
ผู้ใช้ทั่วไป ใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามและการขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัทโฆษณา.
ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
หาก VPN ถูกบล็อก ผู้ใช้จะถูกบังคับให้ยืนยันอายุด้วยการส่งข้อมูลบัตรประชาชน, ข้อมูลชีวมิติ หรือบัตรเครดิตโดยตรงไปยังเว็บไซต์ ซึ่งเสี่ยงต่อการรั่วไหลและการโจมตีทางไซเบอร์. ประวัติที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการเก็บข้อมูลเช่นนี้มักถูกแฮ็กและรั่วไหล ทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง.
กฎหมายที่ไม่สามารถทำงานได้จริง
แม้กฎหมายผ่านไป ผู้ใช้ก็สามารถหาทางเลี่ยงได้ง่าย เช่น ใช้ open proxies, VPS ราคาถูก หรือสร้าง VPN เอง. อินเทอร์เน็ตมักหาทาง “หลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์” อยู่เสมอ. ผลลัพธ์คือกฎหมายนี้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย แต่กลับทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสูญเสียความปลอดภัยและเสรีภาพดิจิทัล.
สรุปสาระสำคัญ
กฎหมายในวิสคอนซินและมิชิแกนพยายามแบน VPN
อ้างว่าเพื่อปกป้องเด็กจากเนื้อหาลามก
บังคับให้เว็บไซต์ตรวจสอบอายุและบล็อก VPN
VPN มีความสำคัญต่อหลายกลุ่ม
ธุรกิจและนักศึกษาใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ
ผู้เปราะบางและผู้ใช้ทั่วไปใช้เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
ความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล
การบล็อก VPN บังคับให้ส่งข้อมูลบัตรประชาชนหรือบัตรเครดิต
เสี่ยงต่อการรั่วไหลและการโจมตีทางไซเบอร์
กฎหมายไม่สามารถทำงานได้จริง
ผู้ใช้สามารถสร้าง VPN เองหรือใช้ open proxies
อินเทอร์เน็ตหาทางเลี่ยงการเซ็นเซอร์เสมอ
ผลกระทบต่อเสรีภาพดิจิทัล
กฎหมายทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสูญเสียความปลอดภัย
เป็นการเปิดทางให้รัฐบาลควบคุมอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
https://www.eff.org/deeplinks/2025/11/lawmakers-want-ban-vpns-and-they-have-no-idea-what-theyre-doing
⚖️ EFF เตือนว่ากฎหมายใหม่ในรัฐวิสคอนซินและมิชิแกนที่พยายาม “แบน VPN” เพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาลามก เป็นแนวคิดที่ผิดพลาด
กฎหมาย A.B. 105/S.B. 130 ในรัฐวิสคอนซินกำหนดให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหา “อาจเป็นอันตรายต่อผู้เยาว์” ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้และบล็อกการเข้าถึงจากผู้ใช้ที่เชื่อมต่อผ่าน VPN. ปัญหาคือการบล็อก VPN แบบเจาะจงพื้นที่เป็นไปไม่ได้ในทางเทคนิค เพราะเว็บไซต์ไม่สามารถรู้ได้ว่า VPN มาจาก Milwaukee หรือ Mumbai. ผลลัพธ์คือเว็บไซต์อาจต้องบล็อกผู้ใช้ VPN ทั้งหมดทั่วโลกเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย.
🌍 ใครคือผู้ได้รับผลกระทบ
VPN ไม่ได้ใช้เฉพาะคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญของหลายกลุ่ม:
🔰 ธุรกิจ ใช้ VPN เพื่อปกป้องข้อมูลลูกค้าและพนักงาน.
🔰 นักศึกษา ต้องใช้ VPN เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลและทรัพยากรการเรียน เช่น WiscVPN ของมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison.
🔰 ผู้เปราะบาง เช่น ผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว, นักข่าว, นักกิจกรรม และชุมชน LGBTQ+ ใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยและการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น.
🔰 ผู้ใช้ทั่วไป ใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามและการขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัทโฆษณา.
🔒 ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
หาก VPN ถูกบล็อก ผู้ใช้จะถูกบังคับให้ยืนยันอายุด้วยการส่งข้อมูลบัตรประชาชน, ข้อมูลชีวมิติ หรือบัตรเครดิตโดยตรงไปยังเว็บไซต์ ซึ่งเสี่ยงต่อการรั่วไหลและการโจมตีทางไซเบอร์. ประวัติที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการเก็บข้อมูลเช่นนี้มักถูกแฮ็กและรั่วไหล ทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง.
🚫 กฎหมายที่ไม่สามารถทำงานได้จริง
แม้กฎหมายผ่านไป ผู้ใช้ก็สามารถหาทางเลี่ยงได้ง่าย เช่น ใช้ open proxies, VPS ราคาถูก หรือสร้าง VPN เอง. อินเทอร์เน็ตมักหาทาง “หลบเลี่ยงการเซ็นเซอร์” อยู่เสมอ. ผลลัพธ์คือกฎหมายนี้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย แต่กลับทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสูญเสียความปลอดภัยและเสรีภาพดิจิทัล.
📌 สรุปสาระสำคัญ
✅ กฎหมายในวิสคอนซินและมิชิแกนพยายามแบน VPN
➡️ อ้างว่าเพื่อปกป้องเด็กจากเนื้อหาลามก
➡️ บังคับให้เว็บไซต์ตรวจสอบอายุและบล็อก VPN
✅ VPN มีความสำคัญต่อหลายกลุ่ม
➡️ ธุรกิจและนักศึกษาใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ
➡️ ผู้เปราะบางและผู้ใช้ทั่วไปใช้เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
✅ ความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล
➡️ การบล็อก VPN บังคับให้ส่งข้อมูลบัตรประชาชนหรือบัตรเครดิต
➡️ เสี่ยงต่อการรั่วไหลและการโจมตีทางไซเบอร์
✅ กฎหมายไม่สามารถทำงานได้จริง
➡️ ผู้ใช้สามารถสร้าง VPN เองหรือใช้ open proxies
➡️ อินเทอร์เน็ตหาทางเลี่ยงการเซ็นเซอร์เสมอ
‼️ ผลกระทบต่อเสรีภาพดิจิทัล
⛔ กฎหมายทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสูญเสียความปลอดภัย
⛔ เป็นการเปิดทางให้รัฐบาลควบคุมอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
https://www.eff.org/deeplinks/2025/11/lawmakers-want-ban-vpns-and-they-have-no-idea-what-theyre-doing
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
30 มุมมอง
0 รีวิว