หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น”
 
จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต.
 
ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม
 
เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering
 
เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก
 
แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
 
จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้
ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว
 
ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95%
ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด
 
ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล
ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน
 
กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์
มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต
 
ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15
ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป
 
ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน
เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering
 
การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง
ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ
 
ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว
 
การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล
อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต
 
https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
  จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต.
ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม
เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering
เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก
แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้
ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว
ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95%
ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด
ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล
ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน
กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์
มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต
ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15
ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป
ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน
เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering
การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง
ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ
ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว
การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล
อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต
https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
🌊💻 หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น”
จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต.
ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม
เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering
เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก
แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ 
➡️ ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว
✅ ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95% 
➡️ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด
✅ ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล 
➡️ ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน
✅ กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์ 
➡️ มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต
✅ ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15 
➡️ ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป
✅ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน 
➡️ เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering
‼️ การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง 
⛔ ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ
‼️ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ 
⛔ ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว
‼️ การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล 
⛔ อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต
https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
     0 ความคิดเห็น
               0 การแบ่งปัน
               78 มุมมอง
                0 รีวิว