“AI Coding Trap: เมื่อโค้ดเร็วไม่ใช่คำตอบ — นักพัฒนาต้องกลายเป็นหัวหน้าทีมให้กับ LLM ที่ไม่รู้จักโต”
บทความโดย Chris Loy ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุค AI โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมืออย่าง LLM (Large Language Models) เช่น Claude Code หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับสร้างภาระให้กับนักพัฒนาในระยะยาว เพราะโค้ดที่ถูกสร้างขึ้นนั้นขาดบริบท ขาดความเข้าใจระบบ และมักต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง
Chris เปรียบเทียบการเขียนโค้ดกับการเล่นปริศนา crossword — การพิมพ์โค้ดเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ซึ่ง AI มักข้ามขั้นตอนเหล่านี้ไป ทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า “AI Coding Trap” หรือกับดักแห่งความเร็ว ที่ทำให้ทีมต้องเสียเวลาไปกับการแก้โค้ดที่ไม่เข้าใจ มากกว่าการสร้างสิ่งใหม่
เขายังชี้ให้เห็นว่า LLM เปรียบเสมือน “นักพัฒนารุ่นใหม่ที่เร็วแต่ไม่เรียนรู้” ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่พัฒนาทักษะทั้งด้านคุณภาพและความเร็วไปพร้อมกัน ในขณะที่ LLM พัฒนาได้แค่ผ่านการปรับ context หรือเปลี่ยนโมเดลเท่านั้น
บทความยังเชื่อมโยงกับปัญหาเก่าในวงการ คือ “Tech Lead’s Dilemma” ที่หัวหน้าทีมต้องเลือกระหว่างการกระจายงานเพื่อให้ทีมเติบโต กับการรับงานยากไว้เองเพื่อเร่งการส่งมอบ ซึ่งหากเลือกทางหลังมากเกินไปจะนำไปสู่การพึ่งพาคนเดียวและเสี่ยงต่อการล่มของทีมเมื่อคนนั้นลาออก
ทางออกที่ Chris เสนอคือการสร้าง “playbook ใหม่” สำหรับการทำงานร่วมกับ AI โดยนำแนวทางคลาสสิกของการพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้ เช่น modular design, test-driven development, code review และการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้ AI กลายเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ภาระที่ต้องตามแก้
ข้อมูลสำคัญจากข่าว
AI coding agents เขียนโค้ดได้เร็วแต่ขาดบริบท ทำให้ต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง
ความเร็วของ LLM ทำให้เกิด “AI Coding Trap” ที่ลดประสิทธิภาพโดยรวมของทีม
นักพัฒนาต้องกลายเป็น “Tech Lead” ให้กับ AI โดยกำหนดโครงสร้างและมาตรฐาน
LLM ไม่สามารถเรียนรู้ได้เอง ต้องพึ่ง context engineering หรือการเปลี่ยนโมเดล
การเปรียบเทียบกับ Tech Lead’s Dilemma ชี้ให้เห็นว่าการเร่งส่งมอบโดยไม่กระจายงานทำให้ทีมเปราะบาง
ทางออกคือการสร้าง playbook ใหม่ที่รวมแนวทางคลาสสิก เช่น modular design และ TDD
การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่าการใช้แบบ “vibe coding”
AI เหมาะกับงาน prototype หรือโค้ดง่าย ๆ แต่ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดี
ข้อมูลเสริมจากภายนอก
LLM เช่น GPT, Claude, หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วแต่ยังมีปัญหาเรื่อง hallucination
Test-driven development (TDD) ช่วยลดการแก้โค้ดภายหลังและเพิ่มความมั่นใจในการ deploy
Modular design ทำให้โค้ดเข้าใจง่ายและสามารถใช้ AI เขียนแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ AI ใน software lifecycle ต้องครอบคลุมตั้งแต่การวางสเปกไปจนถึงการ deploy
การทำงานร่วมกับ AI ต้องมี “guardrails” เพื่อป้องกันการสร้างโค้ดที่ไม่ maintainable
https://chrisloy.dev/post/2025/09/28/the-ai-coding-trap
บทความโดย Chris Loy ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุค AI โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมืออย่าง LLM (Large Language Models) เช่น Claude Code หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับสร้างภาระให้กับนักพัฒนาในระยะยาว เพราะโค้ดที่ถูกสร้างขึ้นนั้นขาดบริบท ขาดความเข้าใจระบบ และมักต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง
Chris เปรียบเทียบการเขียนโค้ดกับการเล่นปริศนา crossword — การพิมพ์โค้ดเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ซึ่ง AI มักข้ามขั้นตอนเหล่านี้ไป ทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า “AI Coding Trap” หรือกับดักแห่งความเร็ว ที่ทำให้ทีมต้องเสียเวลาไปกับการแก้โค้ดที่ไม่เข้าใจ มากกว่าการสร้างสิ่งใหม่
เขายังชี้ให้เห็นว่า LLM เปรียบเสมือน “นักพัฒนารุ่นใหม่ที่เร็วแต่ไม่เรียนรู้” ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่พัฒนาทักษะทั้งด้านคุณภาพและความเร็วไปพร้อมกัน ในขณะที่ LLM พัฒนาได้แค่ผ่านการปรับ context หรือเปลี่ยนโมเดลเท่านั้น
บทความยังเชื่อมโยงกับปัญหาเก่าในวงการ คือ “Tech Lead’s Dilemma” ที่หัวหน้าทีมต้องเลือกระหว่างการกระจายงานเพื่อให้ทีมเติบโต กับการรับงานยากไว้เองเพื่อเร่งการส่งมอบ ซึ่งหากเลือกทางหลังมากเกินไปจะนำไปสู่การพึ่งพาคนเดียวและเสี่ยงต่อการล่มของทีมเมื่อคนนั้นลาออก
ทางออกที่ Chris เสนอคือการสร้าง “playbook ใหม่” สำหรับการทำงานร่วมกับ AI โดยนำแนวทางคลาสสิกของการพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้ เช่น modular design, test-driven development, code review และการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้ AI กลายเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ภาระที่ต้องตามแก้
ข้อมูลสำคัญจากข่าว
AI coding agents เขียนโค้ดได้เร็วแต่ขาดบริบท ทำให้ต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง
ความเร็วของ LLM ทำให้เกิด “AI Coding Trap” ที่ลดประสิทธิภาพโดยรวมของทีม
นักพัฒนาต้องกลายเป็น “Tech Lead” ให้กับ AI โดยกำหนดโครงสร้างและมาตรฐาน
LLM ไม่สามารถเรียนรู้ได้เอง ต้องพึ่ง context engineering หรือการเปลี่ยนโมเดล
การเปรียบเทียบกับ Tech Lead’s Dilemma ชี้ให้เห็นว่าการเร่งส่งมอบโดยไม่กระจายงานทำให้ทีมเปราะบาง
ทางออกคือการสร้าง playbook ใหม่ที่รวมแนวทางคลาสสิก เช่น modular design และ TDD
การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่าการใช้แบบ “vibe coding”
AI เหมาะกับงาน prototype หรือโค้ดง่าย ๆ แต่ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดี
ข้อมูลเสริมจากภายนอก
LLM เช่น GPT, Claude, หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วแต่ยังมีปัญหาเรื่อง hallucination
Test-driven development (TDD) ช่วยลดการแก้โค้ดภายหลังและเพิ่มความมั่นใจในการ deploy
Modular design ทำให้โค้ดเข้าใจง่ายและสามารถใช้ AI เขียนแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ AI ใน software lifecycle ต้องครอบคลุมตั้งแต่การวางสเปกไปจนถึงการ deploy
การทำงานร่วมกับ AI ต้องมี “guardrails” เพื่อป้องกันการสร้างโค้ดที่ไม่ maintainable
https://chrisloy.dev/post/2025/09/28/the-ai-coding-trap
🧠 “AI Coding Trap: เมื่อโค้ดเร็วไม่ใช่คำตอบ — นักพัฒนาต้องกลายเป็นหัวหน้าทีมให้กับ LLM ที่ไม่รู้จักโต”
บทความโดย Chris Loy ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุค AI โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมืออย่าง LLM (Large Language Models) เช่น Claude Code หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับสร้างภาระให้กับนักพัฒนาในระยะยาว เพราะโค้ดที่ถูกสร้างขึ้นนั้นขาดบริบท ขาดความเข้าใจระบบ และมักต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง
Chris เปรียบเทียบการเขียนโค้ดกับการเล่นปริศนา crossword — การพิมพ์โค้ดเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ซึ่ง AI มักข้ามขั้นตอนเหล่านี้ไป ทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า “AI Coding Trap” หรือกับดักแห่งความเร็ว ที่ทำให้ทีมต้องเสียเวลาไปกับการแก้โค้ดที่ไม่เข้าใจ มากกว่าการสร้างสิ่งใหม่
เขายังชี้ให้เห็นว่า LLM เปรียบเสมือน “นักพัฒนารุ่นใหม่ที่เร็วแต่ไม่เรียนรู้” ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่พัฒนาทักษะทั้งด้านคุณภาพและความเร็วไปพร้อมกัน ในขณะที่ LLM พัฒนาได้แค่ผ่านการปรับ context หรือเปลี่ยนโมเดลเท่านั้น
บทความยังเชื่อมโยงกับปัญหาเก่าในวงการ คือ “Tech Lead’s Dilemma” ที่หัวหน้าทีมต้องเลือกระหว่างการกระจายงานเพื่อให้ทีมเติบโต กับการรับงานยากไว้เองเพื่อเร่งการส่งมอบ ซึ่งหากเลือกทางหลังมากเกินไปจะนำไปสู่การพึ่งพาคนเดียวและเสี่ยงต่อการล่มของทีมเมื่อคนนั้นลาออก
ทางออกที่ Chris เสนอคือการสร้าง “playbook ใหม่” สำหรับการทำงานร่วมกับ AI โดยนำแนวทางคลาสสิกของการพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้ เช่น modular design, test-driven development, code review และการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้ AI กลายเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ภาระที่ต้องตามแก้
✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว
➡️ AI coding agents เขียนโค้ดได้เร็วแต่ขาดบริบท ทำให้ต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง
➡️ ความเร็วของ LLM ทำให้เกิด “AI Coding Trap” ที่ลดประสิทธิภาพโดยรวมของทีม
➡️ นักพัฒนาต้องกลายเป็น “Tech Lead” ให้กับ AI โดยกำหนดโครงสร้างและมาตรฐาน
➡️ LLM ไม่สามารถเรียนรู้ได้เอง ต้องพึ่ง context engineering หรือการเปลี่ยนโมเดล
➡️ การเปรียบเทียบกับ Tech Lead’s Dilemma ชี้ให้เห็นว่าการเร่งส่งมอบโดยไม่กระจายงานทำให้ทีมเปราะบาง
➡️ ทางออกคือการสร้าง playbook ใหม่ที่รวมแนวทางคลาสสิก เช่น modular design และ TDD
➡️ การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่าการใช้แบบ “vibe coding”
➡️ AI เหมาะกับงาน prototype หรือโค้ดง่าย ๆ แต่ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดี
✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก
➡️ LLM เช่น GPT, Claude, หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วแต่ยังมีปัญหาเรื่อง hallucination
➡️ Test-driven development (TDD) ช่วยลดการแก้โค้ดภายหลังและเพิ่มความมั่นใจในการ deploy
➡️ Modular design ทำให้โค้ดเข้าใจง่ายและสามารถใช้ AI เขียนแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
➡️ การใช้ AI ใน software lifecycle ต้องครอบคลุมตั้งแต่การวางสเปกไปจนถึงการ deploy
➡️ การทำงานร่วมกับ AI ต้องมี “guardrails” เพื่อป้องกันการสร้างโค้ดที่ไม่ maintainable
https://chrisloy.dev/post/2025/09/28/the-ai-coding-trap
0 Comments
0 Shares
136 Views
0 Reviews